ผลการค้นหา :
Prolifera นวัตกรรมแผ่นแปะปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน
นักวิจัยศูนย์นาโนเทค พัฒนา Prolifera แผ่นแปะปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน พัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยี ไมโครนีดเดิล หรือเข็มจิ๋ว ทำงานด้วย แนวคิด microninjury โดยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผู้ใช้ไม่มีความเจ็บปวด และช่วยให้ผิวฟื้นฟูตามกระบวนการธรรมชาติ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
อร่อยสมจริง! ‘กินใจ (GIN Zhai)’ เนื้อไก่จากโปรตีนพืช
ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชคือหนึ่งในนวัตกรรมอาหารที่มาแรงในช่วงปีนี้ และคาดว่ามูลค่าตลาดโลกจะเติบโตถึง 3 แสนล้านบาทภายในปี 2568 เพราะนอกจากจะเป็นโปรตีนทางเลือกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพและการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำยังทำให้นักวิจัยสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีความสมจริงทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติในราคาที่ย่อมเยาได้อีกด้วย
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทเอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “เนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based Chick)” ที่พร้อมวางจำหน่ายให้ประชาชนได้ลิ้มลองรสชาติแล้ว
[caption id="attachment_36851" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุลเทพ ขจรไชยกุล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกุล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า เอ็มเทคให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องการนำความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์มาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเคี้ยว กลืน และย่อยง่ายสำหรับผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช ซึ่งล่าสุดเอ็มเทคได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืช หรือ ‘Ve-Chick’ ให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 3 ราย รายแรกคือ โรงงานรับจ้างผลิต (OEM) อาหารทางเลือก รายที่สองคือ บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด บริษัทสตาร์ตอัปด้านอาหารเพื่อสุขภาพที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในปีหน้า และล่าสุดรายที่สามคือ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ที่พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘GIN Zhai (กินใจ)’ ให้ผู้บริโภคได้ทดลองรับประทานโปรตีนจากพืชแล้วในวันนี้
จุดแข็งสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืชหรือ ‘Ve-Chick’ เป็นที่หมายตาของผู้ประกอบการตั้งแต่การเปิดตัวเทคโนโลยีในช่วงต้นปี 2564 คือ ‘เทคนิคการจัดเรียงโครงสร้างให้ได้ลักษณะเส้นใยคล้ายกับเนื้อจริง’
[caption id="attachment_36852" align="aligncenter" width="700"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงสร้างอาหารมาผสานเข้ากับความรู้ด้านคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อออกแบบ ‘การจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้ออกมามีลักษณะเป็นเส้นใย’ จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสัมผัสและรสคล้ายเนื้อไก่จริง โดยผลิตภัณฑ์หลัก 2 ชนิดที่ทีมพัฒนา คือ ผลิตภัณฑ์ Precook เนื้อไก่ขึ้นรูปที่ผ่านการปรุงรสเป็นเมนูอาหารแช่แข็งต่างๆ และผลิตภัณฑ์ Premix ที่ผู้บริโภคสามารถนำผงวัตถุดิบมาตีผสมกับน้ำและน้ำมันเพื่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่ได้ตามปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน อีกทั้งผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้ยังมีจุดแข็งคือผง Premix (ผลิตภัณฑ์ก่อนผสม) เก็บรักษาได้นานเป็นปีโดยไม่ต้องแช่แข็ง ทำให้ผู้ผลิตอาหาร อาทิ ร้านอาหาร หรือผู้ให้บริการแคเทอริง สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน พื้นที่จัดเก็บ และการทิ้งอาหารที่มากเกินความต้องการได้เป็นอย่างดี
“ผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เป็นโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ไม่มีคอเลสเตอรอล และปราศจากกลูเตน (เฉพาะผลิตภัณฑ์ Premix) ที่สำคัญวัตถุดิบตั้งต้นส่วนใหญ่มีการผลิตภายในประเทศ ทำให้การผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้มีราคาย่อมเยา” ดร.กมลวรรณ กล่าวเสริม
[caption id="attachment_36850" align="aligncenter" width="700"] Ve-Chick เมนูไก่ย่าง[/caption]
[caption id="attachment_36848" align="aligncenter" width="700"] Ve-Chick เมนูแกงกะหรี่ไก่ทอด[/caption]
วันนี้เนื้อไก่จากโปรตีนพืช ‘Ve-Chick’ โดยนักวิจัยเอ็มเทคจะอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ผู้ผลิตแบรนด์ GIN Zhai (กินใจ) ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำเอาความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายอาหารเจมารังสรรค์เป็นเมนูอาหารต่างๆ ให้นักชิมได้ลิ้มลอง
[caption id="attachment_36853" align="aligncenter" width="700"] ธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด[/caption]
ธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด เล่าว่า บริษัทมีประสบการณ์ด้านการผลิตและจำหน่ายอาหารเจมากว่า 20 ปี จึงมีความมั่นใจในด้านการรังสรรค์เมนูอาหารต่างๆ ให้ถูกใจผู้บริโภค เมื่อเอ็มเทคเปิดตัว ‘Ve-Chick’ บริษัทจึงไม่รอช้าคว้าโอกาสในการขยายตลาดอาหารเจทันที
“ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของอาหารเจอาจไม่ได้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพนัก เพราะภาพที่ใครหลายคนนึกถึงมักเป็นผัดผักน้ำมันเยิ้ม หรือผัดหมี่ที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบปริมาณมาก แต่ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช เหมาะกับผู้รักการลิ้มรสอาหารอร่อยและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ เป็นอาหารทางเลือกเมนูใหม่ให้ผู้คนหันมาเปิดใจรับประทานอาหารเจมากยิ่งขึ้น ในวันนี้บริษัทพร้อมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช คือ ‘กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - PreCook)’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่ขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อรูปแบบต่างๆ เช่น น่องไก่ ชิ้นเนื้อไก่ พร้อมให้ผู้บริโภคนำไปปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ ‘กินใจ แพลนต์เจ พรีมิกซ์ (GIN Zhai Plant J – PreMix)’ ผลิตภัณฑ์รูปแบบผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้บริโภคปรุงแต่งรสชาติ เติมสารอาหาร และขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อได้ตามต้องการ ช่วยเพิ่มสีสันในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ GIN Zhai Plant J เพื่อลิ้มลองรสชาติความอร่อยได้แล้วผ่าน 7-11 Delivery App ราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาทเท่านั้น”
[caption id="attachment_36849" align="aligncenter" width="700"] กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - PreCook)[/caption]
นอกจาก 2 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้เปิดตัวแฟรนไชส์ ‘GIN Zhai’ คีออสจำหน่ายอาหารจาก GIN Zhai Plant J และ GIN Zhai จากพืชในรูปแบบพร้อมรับประทาน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดคีออสจำนวน 100 สาขา ภายใน 1 ปีหลังจากนี้ และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมียอดขายผลิตภัณฑ์กินใจ แพลนต์เจ ทั้ง PreMix และ PreCook 200 ล้านบาท ภายในปี 2567
[caption id="attachment_36855" align="aligncenter" width="500"] GIN Zhai เมนูน่องไก่ทอดเจ จิ้มแจ่ว ข้าวเหนียว[/caption]
[caption id="attachment_36854" align="aligncenter" width="500"] GIN Zhai เมนูเต้าหู้ทอด[/caption]
ธนินท์รัฐ เสริมว่า เป้าหมายของบริษัทไม่เพียงต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดีจากการบริโภคอาหารที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยด้วย บริษัทจึงลงพื้นที่สำรวจการเพาะปลูกในประเทศ คัดเลือกเกษตรกรที่เพาะปลูกได้มาตรฐาน สามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี เพื่อทำสัญญารับซื้อในราคาที่เหมาะสมโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบให้แก่บริษัทวางใจได้ว่าจะไม่ต้องทิ้งผลผลิต และไม่ต้องสู้รบกับราคาจำหน่ายที่ตกต่ำในแต่ละปี
“อยากให้ผู้บริโภคได้ลองพิสูจน์ว่าอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพแบรนด์ ‘GIN Zhai’ อร่อยสมจริงตามคำโฆษณาหรือไม่ครับ” คำทิ้งท้ายของธนินท์รัฐ
ปัจจุบันบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด เปิดรับผู้ลงทุนแฟรนไซส์ร้าน Gin Zhai ทั้งผู้ที่มีทำเลที่ตั้งร้านอยู่แล้ว หรือต้องการให้บริษัทเสนอทำเลให้ รวมถึงรับจัดอาหารแบรนด์ GIN Zhai สำหรับงานเลี้ยงด้วย ติดต่อได้ที่ Facebook: Gin Zhai-กินใจ, Line: @ginzhai หรือโทรศัพท์ 09 4885 9228 และสำหรับผู้ที่ต้องการขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ‘Ve-Chick’ หรือขอรับบริการการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพติดต่อสอบถามได้ที่เอ็มเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรือ E-mail: chanitw@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงาน
ผลงานวิจัยเด่น
รัฐบาลชูผลงาน สวทช.ปีงบฯ 64 ยื่นขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 524 รายการ เป็นอันดับ 1 ของประเทศ-สร้างมูลค่าต่อเศรษฐกิจสังคมของประเทศ จากการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์กว่า 7 หมื่นล้านบาท
วันที่ 5 ตุลาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ผลงานประจำปี 2564 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย สวทช. ได้ดำเนินงานวิจัย พัฒนา ออกแบบและวิศวกรรม และพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อโจทย์ประเทศ โดยมุ่งเน้นเพิ่มการลงทุนในวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากภาครัฐและภาคเอกชน บูรณาการเป็นโจทย์ขนาดใหญ่ร่วมกับเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศแบบจตุภาคี โดยเน้นฐานเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ส่งเสริม Deep-tech Company และ Inclusive Innovation ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร รวมทั้งดึงดูด Talents เพื่อพัฒนาฐานองค์ความรู้ใหม่ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สวทช. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ร่วมกับหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการเพื่อผลักดันและขับเคลื่อน BCG Model ซึ่งได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564 - 2570 และผ่านการเห็นชอบจาก ครม. เมื่อ 19 มกราคม 2564 ให้การขับเคลื่อน BCG Model เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ซึ่งผลการดำเนินงาน ของ สวทช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 724 เรื่อง ยื่นขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 524 รายการ เป็นอันดับ 1 ของประเทศ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์ 357 รายการ ให้แก่บริษัทและหน่วยงานต่าง ๆ รวม 333 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างผลงานสำคัญเชิงประจักษ์ ได้แก่ การนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญมาช่วยแก้ไขปัญหาและต่อสู้ต่อการระบาดของโรคโควิด 19 ประกอบด้วย
1) การป้องกัน เฝ้าระวัง และการควบคุมโรคโควิด 19 เช่น ระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล (A-MED Telehealth) เพื่อบุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลรักษาผู้ป่วย Home Isolation แบบทางไกล แอปพลิเคชันเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC-Care) บริหารจัดการสุขภาพของพนักงานในบริษัท/โรงงานในช่วงสถานการณ์โควิด 19 และวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แบบพ่นจมูก เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองในด้านวัคซีนต่อไปได้ในอนาคต
2) การตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 เช่น ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 (NanovCOVID-19 Antigen Rapid Test)
3) การลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 เช่น รถส่งของบังคับทางไกล “อารี” เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์สู้ภัยโควิด 19 เพื่อใช้ขนส่งสัมภาระ ยา อาหาร ให้แก่ผู้ป่วยโควิด 19 เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ เปลปกป้อง PETE เปลความดันลบห่อหุ้มร่างกายผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยโควิด 19 นวัตกรรมซิงก์ไอออนสู่ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อสู้วิกฤตไวรัส ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ไม่ระคายเคืองผิวหนัง และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
4) การรักษาโรคโควิด 19 เช่น การสังเคราะห์สารตั้งต้นยาฟาวิพิราเวียร์ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบยาต้านโรคโควิด 19 จากต่างประเทศ โดยพัฒนากระบวนการผลิตสารตั้งตันออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในการผลิตยารักษาโรคโควิด 19 ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมยาให้สามารถผลิตยาครบวงจรได้ด้วยตนเอง ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบยาต้านโรคโควิด 19 จากต่างประเทศ
นายอนุชาฯ กล่าวต่อไปว่า สวทช. ยังได้นำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และ AI ในด้านต่าง ๆ ได้แก่
1) ด้านเกษตรและอาหาร (Agriculture and Food) เช่น ปุ๋ยคีเลตเสริมธาตุอาหารพืชทางใบ ช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พริกขี้หนูผลใหญ่เกสรตัวผู้เป็นหมัน ขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ 22 สายพันธุ์ ทำให้เกษตรกรได้ใช้เมล็ดพันธุ์พริกลูกผสมที่มีคุณภาพถ่ายทอดให้บริษัทเอกชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เป็นต้น
2) ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Health and Wellness) เช่น เครื่องตรวจวัดสุขภาพเบื้องต้นอัตโนมัติ (8-Life Check) ติดตามความคืบหน้าสุขภาพประชาชนที่เป็นระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) BodiiRay R (บอดีเรย์อาร์) ระบบเอกซเรย์ดิจิทัลที่ปรับเปลี่ยนการใช้งานให้เข้ากับการใช้งานในโรงพยาบาลได้ แสดงผลภาพเอกซเรย์ได้ทันที และปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับน้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์แบบเดิม นวัตกรรมแผ่นกรองอากาศต้านรา-แบคทีเรีย อนุภาคนาโนที่เคลือบบนแผ่นกรองอากาศในรถยนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อราได้ แผ่นแปะเข็มขนาดไมโครเมตรเพื่อการนำส่งสารผ่านชั้นผิวหนัง เข็มนำส่งสารออกฤทธิ์เข้าสู่ร่างกายที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ ISO 13485 แห่งเดียวในประเทศไทย
3) ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ (Energy, Materials and Biochemicals) เช่น ชุดแบตเตอรี่และเครื่องชาร์จแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานด้านความมั่นคง แพ็กแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและเครื่องชาร์จ มีประสิทธิภาพความจุสูงกว่าเดิม 3 เท่า ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องชาร์จ ลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ ผ้าเคลือบกราฟีนอัจฉริยะ ผ้าที่มีเทคโนโลยีการเคลือบนาโนคาร์บอน ถ่ายเทความร้อนและควบคุมอุณหภูมิ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย นำมาผลิตเครื่องแบบทางทหารให้แก่กองทัพ เป็นต้น
4) ด้านดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ (Digital and Electronics) เช่น ระบบตรวจหาและวิเคราะห์ข้อมูลอุปกรณ์ชำรุดแบบยืดหยุ่นได้บนคลาวค์คอมพิวติง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำไปใช้ตรวจและวิเคราะห์ข้อมูลอุปกรณ์ชำรุด เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์สูงกว่าวิธีเดิมและใช้ทรัพยากรคำนวณอย่างคุ้มค่ามากขึ้น ระบบตรวจวัดการสั่นสะเทือนของรถไฟอัจฉริยะแบบฝังตัวบนรถไฟฟ้า บริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด นำไปใช้กับรถไฟที่ให้บริการเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง เครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต ช่วยบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ดักจับฝุ่นละออง และสร้างอากาศบริสุทธิ์รองรับพื้นที่ที่มีปริมาตรขนาดใหญ่แบบที่เครื่องกรองหรือฟอกอากาศทั่วไปไม่สามารถทำได้ เป็นต้น
นายอนุชาฯ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ สวทช. มีผลงานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการวิจัยของประเทศ (National S&T Infrastructure : NSTI) เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่ประเทศ โดยให้บริการด้านเทคนิค วิชาการ ที่มีมาตรฐานด้วยเครื่องมือทันสมัย และด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure : NQI) ยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ได้มาตรฐานสากล อาทิ ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ สนับสนุนการทำวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง อุตสาหกรรมชีวภาพ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาและส่งเสริมบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิเคราะห์ทดสอบชีวเภสัชภัณฑ์ สารสกัดจากสมุนไพรกัญชา กัญชง ด้วยเครื่องมือขั้นสูงและขยายขอบข่ายการทดสอบสมบัติทางกายภาพและสมบัติเกี่ยวกับเส้นใยกัญชงและคอมโพสิต เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนากลไกสนับสนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนด้านวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมเพิ่มขึ้น อาทิ สร้างธุรกิจสตาร์ทอัพจากผลงานวิจัยและพัฒนาโดยบุคลากร สวทช. นำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีการจดทะเบียนจัดตั้งสำเร็จ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัทเบรนนิฟิต จำกัด (BrainiFit) บริษัทบิ๊กโก อนาไลติกส์ จำกัด (BICGO) และบริษัท แคนนาบี ไบโอเทค จำกัด ขณะที่ผลงานด้านการพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย มีการสร้างบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพให้กับประเทศ ผ่านการสนับสนุนทุนการศึกษาในระดับต่าง ๆ 870 คน รวมทั้งสนับสนุนนักศึกษาและบุคลากรวิจัยทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมงานในห้องปฏิบัติการของศูนย์แห่งชาติ 600 คน
“การดำเนินงานของ สวทช.กับพันธมิตร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้สร้างมูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่เกิดจากการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น 73,692 ล้านบาท รวมทั้งผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคการผลิตและบริการทั้งสิ้น 25,224 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลโดย อว. สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมคนไทยแห่งศตวรรษที่ 21 ให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในทุกมิติ” นายอนุชาฯ กล่าว
ที่มาของข่าว: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/60052
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
Mastigone สมุนไพรรักษาเต้านมอักเสบในโคนม ทำจาก “ฝาง-ว่านหางจระเข้”
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ พัฒนา MASTIGONE Milking cow therapy ยาสอดเต้ารักษาโรคเต้านมอักเสบในโคนม ทำจากสมุนไพรธรรมชาติฝางและว่านหางจระเข้ เพื่อช่วยลดความรุนแรงและรักษาโรคเต้านมอักเสบในโคนม เหมาะกับฟาร์มปศุสัตว์ที่ต้องการลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ช่วยลดปัญหาคุณภาพนมโคที่อาจได้รับจากยาปฏิชีวนะได้
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
7 – 9 ตุลาคม 2565 นี้ เตรียมพบกับ การแข่งขันผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ “FoodInnopolis Innovaion Contest 2022 Demo Days”
✨ Book Your Calendar!!!
7 - 9 ตุลาคม 2565 นี้ เตรียมพบกับ
การแข่งขันผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ
“FoodInnopolis Innovaion Contest 2022 Demo Days” ที่เมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ชั้น G
เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ และผู้สนับสนุน โดย ศูนย์การศึกษาด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวิทยาการอาหารนานาชาติ (iGTC), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA), บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท พลังผัก จำกัด
เชิญชวนทุกท่าน
🚀ร่วมลุ้นและเชียร์การแข่งขันผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 รุ่น (รุ่นมัธยม มหาวิทยาลัย และบุคคลทั่วไป) ในโครงการ "FoodInnopolis Innovation Contest 2022 Demo Days" ปีที่ 5
🥫 ร่วมทดสอบ 40 นวัตกรรมอาหารที่คุณจะไม่เคยได้ลิ้มรสที่ไหนมาก่อน
💡 รับฟังไอเดียธุรกิจสุดล้ำจากนวัตกรเจ้าของธุรกิจ Tann:D Egg White Noodles และ Ampersand Gelato
🧪 เรียนรู้วิทยาศาสตร์แสนอร่อยกับ “เชฟทักษ์” นักวิทยาศาสตร์อาหารที่จะมาแบ่งปันเทคนิคแพรวพราวให้เราไปสร้างอาหารสุดล้ำได้เองที่บ้าน
🍄ทดลองชิมผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดและลุ้นรับของที่ระลึกจากผู้ร่วมจัดงาน Food Factor อีกทั้งผู้สนับสนุนหลัก KCG และ พลังผัก
🎶 สนุกกับ mini concert จาก Yes Indeed! ศิลปินเปิดหมวกสุด Hot!
และเกมชิงรางวัลมากมาย
📅 พลาดไม่ได้!!! พบกัน 7-9 ตุลาคมนี้
⏰ เวลา 10.30 – 19.00น.
📍 ที่เมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ชั้น G
ลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อรับกำหนดการและการแจ้งเตือนได้ที่นี่
https://bit.ly/3SisHqu
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ IASP World Conference 2022 แสดงศักยภาพของอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย พร้อมเชิญชวนต่างชาติมาลงทุน
For English-version news, please visit : NSTDA demonstrates its potential at IASP World Conference 2022
ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) พร้อมกับผู้บริหารเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ IASP World Conference 2022 ครั้งที่ 39 ในหัวข้อ "Green and digital change powered by innovation ณ เมือง Seville ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน 2565 ซึ่งจัดขึ้นโดย International Association of Science Parks and Area of Innovation หรือ IASP
โดยในงานนี้ได้พบประชุมหารือกับ Ms.Ebba Lund, CEO ของ IASP เกี่ยวกับความร่วมมือของอุทยานวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยกับ IASP รวมทั้งสมาชิกของ IASP ซึ่งมี 350 แห่ง ใน 77 ประเทศ ทั่วโลก มีบริษัทหรือองค์กรวิจัยในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ที่เป็นสมาชิกมากกว่า 115,000 บริษัททั่วโลก ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบนิเวศน์นวัตกรรมและส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีในประเทศไทยให้เจริญเติบโต รวมทั้งได้พบปะหารือกับผู้บริหารอุทยานวิทยาศาสตร์ในประเทศต่างๆ ที่มาร่วมงานครั้งนี้ในการเชิญชวนธุรกิจเทคโนโลยีที่เป็นสมาชิกของอุทยานวิทยาศาสตร์เหล่านั้นให้มาลงทุนในประเทศไทยเพื่อขยายตลาดไปทางอาเซียนที่มีประชากรเกือบ 700 ล้านคน โดยจัดตั้ง R&D Center หรือ Technology Center ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยซึ่งเป็นนิคมวิจัยแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ขณะนี้ อวท. มีสมาชิกมากกว่า 110 บริษัท เป็นบริษัทต่างชาติประมาณ 38% โดย อวท.ได้จัดให้มีบริการใหม่ๆ ได้แก่ ConneX ศูนย์เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสู่ภาคธุรกิจ ที่จะให้บริการครบวงจร พื้นที่พิเศษ Inno-X รองรับการทำ Soft Landing สำหรับบริษัทจากต่างประเทศที่ต้องการมาศึกษาดูลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย TD-X Center ศูนย์เร่งรัดต้นแบบรวดเร็ว รองรับการทำผลิตภัณฑ์ต้นแบบสำหรับธุรกิจโดยมีเครื่อง 3-D Composite ที่ทันสมัย ทั้งหมดนี้จะมีนักวิจัยและบุคลากรของสวทช.จำนวนมากกว่า 3000 คน พร้อมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศที่จะช่วยภาคธุรกิจให้เจริญเติบโต
📢 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย คือ พันธมิตรธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ นวัตกรรม
🔬 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
📌 The Integrated Ecosystem where Innovation Grows
🎯 Faster Better Prosper
🌐 www.sciencepark.or.th
📞 02-5647200
📧 customerrelation@sciencepark.or.th
🚙https://goo.gl/maps/GHtjhg1NoJWpAbN99
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
โรงพยาบาลทหาร 3 เหล่าทัพนำร่องใช้นวัตกรรม “ลิฟต์ไร้สัมผัส MagikTuch”
เมื่อวันที่ 28 ก.ย.2565 ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ พลโทสมเกียรติ สัมพันธ์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ร่วมกันแถลงข่าวการส่งมอบนวัตกรรม "MagikTuch ระบบปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1" ให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกรมแพทย์ทหาร 3 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า สังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ , โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สังกัดกรมแพทย์ทหารบก และโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช สังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ
โดยโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่ง ได้นำร่องทดลองใช้แล้วต่างตอบรับว่าเป็นนวัตกรรมที่มีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคติดเชื้อจากการสัมผัสปุ่มกดลิฟต์ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้มารับบริการในโรงพยาบาล
ลิฟต์ไร้สัมผัส MagikTuch เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดยทีมนักวิจัย NSD สวทช. ที่คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมลดการสัมผัสปุ่มกดลิฟต์โดยสารสาธารณะ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และโรคติดเชื้ออื่นๆ โดยได้ออกแบบเป็นอุปกรณ์เซ็นเซอร์ สามารถนำไปติดตั้งปรับแปลงกับปุ่มกดลิฟต์ที่มีอยู่เดิมได้ทุกรุ่น โดยไม่กระทบกับโครงสร้างเดิม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ที่ต้องการขยายผลนวัตกรรม MagikTuch ไปสู่การใช้ประโยชน์และใช้งานจริงในวงกว้างต่อไป
สำหรับหน่วยงานใดที่สนใจนวัตกรรม MagikTuch สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ 0 2564 6900 ต่อ 2650
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการอบรมครูแกนนำ “การสร้างสรรค์นวัตกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโรงเรียนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการอบรมครูแกนนำ “การสร้างสรรค์นวัตกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโรงเรียนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” ระหว่างวันที่ 16 – 18 กันยายน 2565 ณ โรงแรมรอแยลเบญจา สุขุมวิท กรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนให้มีความรู้ ความเข้าใจ เกิดทักษะ สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG นำไปสู่การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสะเต็มศึกษา เตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนเกิดทักษะ สมรรถนะ เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG พัฒนาต่อยอดเป็นทักษะทางอาชีพ ซึ่งจะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรม เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้แก่เด็กและเยาวชนได้ผู้เข้าร่วมอบรมเป็นครูผู้สอนระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ที่รับผิดชอบสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี จากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 76 คน และบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าร่วมสังเกตการณ์
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับ และแนะนำภาพรวมกิจกรรมโดยกล่าวถึงหัวใจของ BCG Model อันเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะช่วยส่งเสริมการออกแบบการเรียนรู้โดยใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมถึงการนำความคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เชื่อมโยงสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์และการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน
กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการประกอบด้วย กิจกรรมที่ 1 เรียนรู้ BCG กับความหลากหลายทางชีวภาพ นำโดย ดร. วียะวัฒน์ ใจตรง และ นายทัศนัย จีนทอง นักวิชาการจากองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เริ่มด้วยการบรรยายในหัวข้อ ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย และความหลากหลายทางชีวภาพของมดที่เชื่อมโยงไปสู่โมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้านเศรษฐกิจและอาหาร เรียนรู้วิธีการเลี้ยงมดในหลอดทดลอง และการเลี้ยงมดเป็นอาหารเพื่อสร้างรายได้ผลิตภัณฑ์ตัวอย่างเช่น ไข่มดแดงกระป๋อง
กิจกรรมที่ 2 เรียนรู้ BCG เรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดย ดร. ปิยวิทย์ คุ้มพงษ์ ผู้จัดการงานวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนชนบท และทีมงานจาก สวทช. เป็นกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการทดสอบคุณสมบัติของพลาสติกชนิดต่าง ๆ และการนำกลับมาใช้ประโยชน์ ผ่าน 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) พิจารณาส่วนประกอบ 2) จำแนกชนิดตามสัญลักษณ์ recycle 3) ทดสอบการจม - ลอยในน้ำ 4) การหดของพลาสติกบางชนิดเมื่อได้รับความร้อน เพื่อประดิษฐ์พวงกุญแจ
กิจกรรมที่ 3 เรียนรู้ BCG เรื่องนวัตกรรมอาหาร โดย น.ส.สุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. เป็นการบรรยายให้ความรู้และลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างประสบการณ์เกี่ยวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมอาหารที่นำมาใช้ตอบยุทธศาสตร์โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเรียนรู้ผ่านกิจกรรมย่อยที่หลากหลาย เช่น การแปรรูปอาหารเพิ่มมูลค่าโปรตีนทางเลือกจากพืช (plant-based protein)นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “ถ้วยร้อน” และการทดลองทำ “อาหารโมเลกุล”
กิจกรรมที่น่าสนใจ กิจกรรมที่ 4 เรียนรู้ BCG เรื่องเกษตรกรรมสมัยใหม่ โดย น.ส.จิดากาญจน์ สีหาราช นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. เป็นการนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ และนวัตกรรม ผสานกับภูมิปัญญาเพื่อการผลิตให้ได้มาตรฐานทั้งด้านโภชนาการ มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง ระบบการผลิตยั่งยืน มีประสิทธิภาพ โดยนำเสนอโรงงานผลิตพืช การปลูกพืชไมโครกรีน แล้วทดลองปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มเพื่อประกอบอุปกรณ์แจ้งเตือนการรดน้ำต้นไม้ ต่อยอดระดมความคิดออกแบบชุดปลูกไมโครกรีน
ต่อด้วย กิจกรรมกลุ่มระดมสมองการนำองค์ความรู้ BCG มาเชื่อมโยงสู่กิจกรรมในชั้นเรียน โดยวิทยากร รศ.ดร. ชาตรี ฝ่ายคำตา และนายณภัทร สุขนฤเศรษฐกุล ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน พร้อมนำเสนอผลงานรายกลุ่ม
วันแรกปิดท้ายด้วยกิจกรรม “BCG Ambassador” ซึ่งผู้เข้าร่วมการอบรมได้นำเสนอผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่โดดเด่นด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น และอัตลักษณ์สำคัญของชุมชนตนเอง แยกจัดเป็นนิทรรศการตามภูมิภาคแสดงให้เห็นความหลากหลายของทรัพยากรจากแต่ละจังหวัด พร้อมกันนี้ ได้ส่งภาพผลงานพร้อมแคปชั่นโดนใจลงใน Padlet เพื่อร่วมกันโหวต
วันที่ 2 เป็นกิจกรรมกลุ่มย่อย “กิจกรรมที่ 6 เทคนิคนำแนวคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มาใช้ในการสร้างสรรค์โครงงานและสิ่งประดิษฐ์ระดับโรงเรียน/หนึ่งจังหวัดหนึ่งโครงการ BCG” เป็นการลงมือพัฒนา Conceptual โครงงานและสิ่งประดิษฐ์สะเต็มศึกษาตามแนวทางความคิดเชิงออกแบบ โดยคำนึงถึงบริบทท้องถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น และอัตลักษณ์สำคัญในชุมชน นำเสนอแนวคิด สรุปเพิ่มเติมเสริมด้วยคำแนะนำ สะท้อนผลงานจากคณะวิทยากร เพื่อให้เป็นแนวทางการดำเนินการ ปรับปรุง พัฒนา ต่อยอดและนำไปประยุกต์ใช้จริงในสถานศึกษาอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าร่วมอบรมต่อไป
ตัวอย่างผลงานแนวทางการพัฒนาโครงงานตามแนวทางเศรษฐกิจใหม่ BCG เช่น เสื้อนาโนเคลือบสารยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์จากเปลือกมังคุด หม่ำจิ๋วคีโตเพื่อคนรักสุขภาพ แอพลิเคชั่นส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม คุณครูวิวิศน์ ธนะจิตต์สิน โรงเรียนสตรีสิริเกศ จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า “ดีใจที่ได้มาเรียนรู้ในเรื่องของ BCG พอได้มารู้จักแนวคิด BCG รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สนใจมากสำหรับแนวคิดการนำเรื่องที่ใกล้ตัวมามองในมุมของความยั่งยืนและบริบทความหลากหลายในท้องถิ่น จากการมาร่วมอบรมในครั้งนี้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มุมมองการทำโครงงานตามแนวทาง BCG ร่วมกับคุณครูจากหลายจังหวัด และสนใจนำแนวคิดการคิดเชิงออกแบบไปต่อยอดกับโครงงานด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน”
“ก่อนมาอบรมไม่รู้จักแนวคิด BCG มาก่อน เมื่อได้มาร่วมอบรมการทำโครงงานตามแนวทาง BCG เป็นความรู้ที่แปลกใหม่และมีประโยชน์มาก การอบรมสนุกมีกิจกรรมให้ได้ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆ เกิดไอเดียที่จะนำไปต่อยอดกับการจัดกิจกรรมในโรงเรียนซึ่งตอนนี้ทางโรงเรียนของคุณครูมีการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น อุทยานธรณีโลกสตูล และคุณครูกับเด็กๆ กำลังทำโครงงาน eco printing จากใบไม้พืชท้องถิ่น คุณครูจะนำหลักการ BCG เรื่องของพัฒนาโครงงานให้ออกมาเป็นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดึงจุดเด่นของบริบทชุมชน การอนุรักษ์ใบไม้ท้องถิ่นและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า ที่ได้เรียนรู้ไปถ่ายทอดต่อให้กับเด็กๆ เพื่อพัฒนาโครงงานให้สามารถขยายผลเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนต่อไป” จาก คุณครูวัลลัดดา สุขหรรษา โรงเรียนบ้านหาญ จ.สตูล
ข่าวประชาสัมพันธ์
Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช รสชาติ-เนื้อสัมผัสเหมือนไก่แท้!
เอ็มเทค สวทช. แถลงเปิดตัว Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช พัฒนาโดยทีมนักวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร ที่อาศัยความเชื่ยวชาญนำเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์อาหารมาประยุกต์ใช้กับองค์ความรู้เกี่ยวกับโปรตีนพืช มาพัฒนาเนื้อสัมผัสอาหารโดยเสริมเส้นใยจากการสกัดวัตถุดิบทางการเกษตร จนมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ใกล้เคียงเนื้อสัตว์มากที่สุด
ปัจจุบัน เอ็มเทค สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยี Ve-Chick ให้กับผู้ประกอบการเอกชนแล้ว 3 ราย ล่าสุดถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด นำไปออกเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Gin Zhai เป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ต้องการทานเนื้อสัตว์ แต่ยังได้โปรตีนทดแทนครบถ้วน และยังได้รสชาติ เนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อไก่
ผู้ประกอบการภาคเอกชนที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี Ve-Chick สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค สวทช. โทร. 02 564 6500 ต่อ 4788
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
มรภ.ราชนครินทร์ จับมือ สวทช. และภาคเอกชน มุ่งเสริมกำลังสมรรถนะ‘บุคลากร-นักศึกษา’ ตอบโจทย์ภาคการผลิต สู่การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG
วันที่ 28 กันยายน 2565 : ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สำนักปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย NTT DATA Business Solutions (Thailand) Ltd. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อร่วมมือการดำเนินการ ว่าด้วยโครงการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มุ่งบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาประเทศจากกำลังทรัพยากรบุคคล องค์ความรู้ เทคโนโลยี งานวิจัยสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างแท้จริง
ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า "ด้วยนโยบายของกระทรวง อว. มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model : BCG Model) ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่เข้มแข็งจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน ที่พร้อมจะขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่สถาบันในระดับอุดมศึกษาจะต้องถ่ายทอดความรู้และความเข้าใจให้กับบุคลากร เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม นำไปสู่การสร้างสรรค์องค์ความรู้ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่มีฐานมูลค่าและเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง"
รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงพร ภู่ผะกา รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มีความมุ่งมั่นพัฒนาคนหรือบุคลากรในทุกระดับ โดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการส่งเสริมงานวิจัย เพื่อนำไปช่วยพัฒนาชุมชนต่างๆ ด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อดึงเอาจุดเด่น นั่นคือองค์ความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศ โดยกระทรวง อว. ได้ร่วมเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้กับบุคลากร นิสิต นักศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษา ให้มีความพร้อมทั้งในด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการวิชากร เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะที่ตอบโจทย์ภาคการผลิต ในขณะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่งทั่วประเทศ ในฐานะมหาวิทยาลัยเชิงพื้นที่ จะต้องเร่งสร้างบุคลากรที่จะเข้าไปช่วยพัฒนาท้องถิ่นไปพร้อมกัน เพื่อส่งเสริมความมั่นคงให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น และช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยโครงการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวง อว. มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อพัฒนาทักษะอนาคตที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 2. เพื่อร่วมกันวางแผนและพัฒนางานด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการวิชาการ และ 3. เพื่อพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม"แนวทางการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย เป็นกระบวนการสำคัญในการปรับเปลี่ยนบทบาทของมหาวิทยาลัยให้มีความทันสมัย
มีการทำงานที่ตรงกับเป้าหมายในการพัฒนาบุคคลให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีทักษะ องค์ความรู้ที่ทันสมัย ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยจะต้องปรับตัวให้มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา โดยแต่ละสถาบันจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้ทราบถึงแนวทางที่จะต้องทุ่มเททรัพยากร ความสนใจ รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในด้านนั้นๆ โดยทางมหาวิทยาลัยฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดทำหลักสูตรต่างๆ ทั้งหลักสูตรระยะสั้น ระยะยาว เพื่อพัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากร ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษาบุคลากรมหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตโดยเฉพาะในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมระดับฐานรากที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ" รศ. ดร.ดวงพร กล่าวทิ้งท้าย
ด้าน ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ พัฒนาหลักสูตร และถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตให้กับผู้ประกอบการเกษตรในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และบริเวณใกล้เคียง โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ การถ่ายทอดความรู้เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการหลักสูตรระยะสั้น 3-5 วันต่อหลักสูตร ผ่านความร่วมมือจากนักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ผู้ประกอบการภายใต้โครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการ สวทช. นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ หน่วยงานพันธมิตรในการถ่ายทอดความรู้และความเชี่ยวชาญ ได้แก่ 1. หลักสูตร HandySense ‘ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ’ ขั้นพื้นฐาน 2. หลักสูตร HandySense ‘ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ’ ขั้นสูง ที่นำเทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อมทางการเกษตรและระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติ ซึ่งนักวิจัยได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายทนทานต่อสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกษตรกรได้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ 3. หลักสูตรการผลิตยางพาราตามมาตรฐานการแพทย์และสุขภาพ นำความรู้กระบวนการปลูกยางเพื่อการใช้น้ำยาง การเก็บน้ำยางและมาตรฐานน้ำยางเพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และ 4. หลักสูตรระบบบริหารจัดการและติดตามการผลิตพืชปลอดภัย GAP (SMART Farm_KASETTRACK) แอปพลิเคชันติดตามการปลูกพืชผักของเกษตรกร ซึ่งทำให้เกษตรกรรู้ชนิดพืชที่กำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและสามารถวางแผนบริหารจัดการด้านการขาย โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต
นอกจากนี้ในความร่วมมือดังกล่าว สวทช. ยังมีการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตร โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง ,การผลิตพริกคุณภาพแบบปลอดภัย ,การผลิตพืชหลังนาแบบครบวงจร : พันธุ์ถั่วเขียวพันธุ์ KUML และสถานีตรวจวัดสภาพอากาศ ซึ่งพัฒนาระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ
“รูปแบบการถ่ายทอดความรู้ เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการจะเป็นหลักสูตรระยะสั้น 3-5 วันต่อหลักสูตร เพื่อเสริมทักษะและสร้างแนวทางต่อยอดการเพิ่มมูลค่าทั้งผลผลิต และการพัฒนาเป็นอาชีพเสริม โดยผู้ผ่านการอบรมเฉลี่ย 30 คนต่อหลักสูตร จะได้รับประกาศนียบัตรรับรอง ส่วนการถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเกษตร จะมีสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. มาร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถนำองค์ความรู้ ไปพัฒนาคุณภาพของผลผลิตและความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค และยังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ทั้งนี้ สวทช. พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยี โดยเฉพาะการขับเคลื่อนตามแนวนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งรัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ด้วยการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการในภาคการเกษตร เปลี่ยนวิถีการผลิตแบบเดิมที่ ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ ด้วยการประยุกต์และปรับใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำไปเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมและชุมชนตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
วช. – สวทช.-วท.กห. ส่งมอบนวัตกรรม MagikTuch แก่ โรงพยาบาลทหาร 3 เหล่าทัพ สู่ชีวิตวิถีใหม่ ด้วย ‘ลิฟต์ไร้สัมผัส’ ช่วยลดเสี่ยง-เลี่ยงเชื้อโรค
28 กันยายน 2565 ณ ห้องประชุม พล.ร.ท.สนิท โปษะกฤษณะ ชั้น 5 อาคารพิเคราะห์และบำบัดโรค โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. และพล.ท.สมเกียรติ สัมพันธ์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.)
ร่วมกันส่งมอบนวัตกรรม MagikTuch ระบบปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1 ภายหลังจากทีมวิจัยติดตั้งแล้วเสร็จและมีผู้บริหารโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งเข้ารับมอบ ได้แก่ พลเรือตรี ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า พ.อ.สมภพ ภู่พิทย์ ผู้อำนวยการกองออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และนาวาเอก วรพจน์ วิทยกฤตศิริกุล แพทย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ทั้งนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทีมบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป ซึ่งมีความจำเป็นต้องโดยสารลิฟต์ภายในโรงพยาบาลของรัฐทั้ง 3 แห่ง โดยนวัตกรรมปุ่มกดลิฟต์แบบไร้สัมผัส มีจุดเด่นสำคัญ คือ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสปุ่มกดลิฟต์ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อก่อโรคที่อาจสะสมอยู่บนปุ่มกดลิฟต์ที่ประชาชนมาใช้บริการจำนวนมาก
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า เกือบ 3 ปีแล้วที่คนไทยและทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวง อว. ได้มีส่วนร่วมในการคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 โดย วช. ได้รวบรวมนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คน มาทำการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยลดผลกระทบจากโควิด-19 มุ่งเน้นผลงานเชิงสุขภาพให้หลากหลาย โดยนวัตกรรม “MagikTuch” ระบบปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1 ถือเป็นหนึ่ง ในผลงาน ที่ วช. ให้การสนับสนุนนักวิจัย สวทช. เพื่อขยายผลสู่การใช้งานจริงเพื่อบรรเทาวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศ ด้วยการแปลงระบบลิฟต์ทั่วไปให้เป็นลิฟต์แบบไร้สัมผัส เนื่องจากลิฟต์ในที่สาธารณะมีประชาชนใช้งานจำนวนมาก ดังนั้นการมีนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงของประชาชนในการสัมผัสเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรคระบาดเกิดขึ้นจำนวนมาก และหลายโรคสามารถติดต่อกันผ่านการสัมผัสสิ่งของต่างๆ ที่มีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคจากผู้ป่วยติดค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งของต่างๆ ที่มีคนใช้งานร่วมกัน เช่น ที่จับประตู ราวบันไดเลื่อน ก๊อกน้ำ รวมถึงปุ่มกดลิฟต์โดยสารซึ่งเป็นระบบขนส่งที่มีผู้คนใช้ร่วมกันจำนวนมาก ทีมวิจัยจึงพัฒนานวัตกรรมเมจิกทัช (MagikTuch) เพื่อเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ลดการเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค โดยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับปุ่มกดลิฟต์ที่อาจมีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคต่างๆ ของผู้ป่วยติดค้างอยู่ จึงสามารถช่วยลดการแพร่กระจายโรคโควิด-19 ได้
ดร.ศิวรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการส่งมอบ MagikTuch ให้กับโรงพยาบาลทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ทีมวิจัยได้ดำเนินการเพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้ประโยชน์ โดยวันนี้ได้ส่งมอบ 3 โรงพยาบาล ได้แก่ 1. โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ทีมวิจัยได้ดำเนินการติดตั้งระบบลิฟต์ไร้สัมผัส (MagikTuch) ณ อาคารพิเคราะห์และบำบัดโรค ตั้งแต่ชั้น B ถึง ชั้น 6 จำนวน 2 ชุด พร้อมติดตั้งแผงด้านในที่ลิฟต์จำนวน 2 ตัว และแผงด้านนอกลิฟต์จำนวน 5 แผง 2. โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ ได้ดำเนินการติดตั้งระบบลิฟต์ไร้สัมผัส (MagikTuch) ณ อาคารคุ้มเกศ ตั้งแต่ชั้น B ถึง ชั้น 5 จำนวน 2 ชุด พร้อมติดตั้งแผงด้านในที่ลิฟต์จำนวน 2 ตัว และแผงด้านนอกลิฟต์จำนวน 6 แผง และ 3. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ดำเนินการติดตั้งระบบลิฟต์ไร้สัมผัส (MagikTuch) ณ อาคารมหาวชิราลงกรณ์ ตั้งแต่ชั้น 1 ถึง ชั้น 7 จำนวน 1 ชุด พร้อมติดตั้งแผงด้านในที่ลิฟต์จำนวน 1 ตัว และแผงด้านนอกลิฟต์จำนวน 4 แผง รวมทั้ง 3 โรงพยาบาล ติดตั้งลิฟต์ไร้สัมผัสจำนวนทั้งสิ้น 5 ชุด 20 แผงสั่งการลิฟต์ไร้สัมผัส
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สวทช. ได้ดำเนินการติดตั้งใช้งานระบบ MagikTuch ตามสถานที่ต่างๆ แล้ว เช่น อาคารต่าง ๆ ของศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ และจากการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก วช. อีกจำนวน 12 ชุด ทำให้เกิดการขยายผลและดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด อาทิ ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น รวมทั้งโรงพยาบาลทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ซึ่ง วท. กห. ได้ร่วมสนับสนุนการต่อยอดนวัตกรรมพร้อมส่งมอบในวันนี้ ซึ่งจะเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤตเร่งด่วนของประเทศได้โดยเฉพาะในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่ ที่ต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยส่วนบุคคลกันมากขึ้น
ด้าน พล.ท.สมเกียรติ สัมพันธ์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) ได้ร่วมสนับสนุนการต่อยอดนวัตกรรมเมจิกทัช (MagikTuch) โดยได้ให้ความอนุเคราะห์สนับสนุนการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ ระบบไฟฟ้า และกำลังคน เพื่อนำนวัตกรรมลิฟต์ไร้สัมผัสเข้ามาติดตั้ง ณ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซึ่งรู้สึกดีใจและยินดีอย่างยิ่งที่ วท.กห. ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมนำนวัตกรรมที่นักวิจัยไทยเป็นผู้ค้นคิดและผลิต มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังมีคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ ลดการนำเข้าและไม่ต้องซื้อลิฟต์ตัวใหม่ นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับระบบลิฟต์ เนื่องจากเป็นงานวิจัยที่ผ่านมาตรฐานทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถติดตั้งเข้าไปบนลิฟต์ตัวเดิมโดยไม่ต้องเจาะตัวลิฟต์ ที่สำคัญไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะของระบบประกันจากบริษัทผู้ติดตั้งและผู้ดูแลลิฟต์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์สำหรับดัดแปลงปุ่มกดลิฟต์ให้เป็นระบบไร้สัมผัส ที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตคนไทยห่างไกลโรคต่างๆ ได้
สำหรับนวัตกรรม MagikTuch มีจุดเด่น 3 ข้อ คือ 1) Touchless เป็นระบบการทำงานแบบไร้สัมผัส สั่งการด้วยเซนเซอร์ วิธีใช้งานง่ายคือใช้นิ้วมือวางเหนือปุ่มลิฟต์ของชั้นที่ต้องการระยะห่าง 1-3 เซนติเมตร เซนเซอร์จะตรวจจับข้อมูลชั้นที่ต้องการเลือกและสั่งการลิฟต์โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งมีระบบการตรวจจับเพื่อป้องกันการสั่งการพร้อมกันหลายปุ่ม ขณะเดียวกันหากระบบเกิดการขัดข้อง หรือผู้ใช้งานไม่สะดวกใช้งานแบบไร้สัมผัส สามารถใช้วิธีกดปุ่มลิฟต์แบบเดิม เนื่องจากระบบออกแบบให้ทำงานได้ 2 แบบ คือ แบบไร้สัมผัสและการกดปุ่ม 2) Safe from Infection ปลอดภัยจากการติดเชื้อโรค เพราะเมื่อไม่มีการสัมผัสจะลดการแพร่กระจายเชื้อโรคในลิฟต์ และ 3) Easy Installation คือติดตั้งได้ง่ายและมีความยืดหยุ่น โดยชุดอุปกรณ์ MagikTuch สามารถติดตั้งเข้าไปบนลิฟต์ตัวเดิม โดยไม่ต้องดัดแปลงหรือเชื่อมต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของตัวลิฟต์ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะการรับประกันระบบของบริษัทผู้ติดตั้งและผู้ดูแลลิฟต์ อีกทั้งยังออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถรองรับจำนวนชั้นได้ตามที่ต้องการสำหรับลิฟต์โดยสารหลากหลายยี่ห้อ อีกทั้งมีระบบป้องกันทางไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน และผ่านการทดสอบมาตรฐานด้าน EMC/EMI
ปัจจุบันทีมวิจัยได้ขยายผลการพัฒนานวัตกรรม MagikTuch สำหรับแปลงระบบลิฟต์ทั่วไปให้เป็นระบบลิฟต์แบบไร้สัมผัสเพื่อบรรเทาปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากการใช้ลิฟต์ในที่สาธารณะที่มีประชาชนมาใช้จำนวนมาก ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. เบอร์โทรศัพท์: 02 564 6900 ต่อ 2521
ข่าวประชาสัมพันธ์
รับสมัครหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ “Infographic Presentation เพิ่มพลังการสื่อสารในยุคไทยแลนด์ 4.0”
หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ “Infographic Presentation เพิ่มพลังการสื่อสารในยุคไทยแลนด์ 4.0”
เปลี่ยนการนำเสนอแบบเดิมๆ มาเป็นการนำเสนอแบบ Smart เพื่อก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยการนำเสนอแบบ Infographic ที่เน้นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย น่าสนใจ และน่าติดตาม
หลักการและเหตุผล
ในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคการสื่อสารที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสื่อสารด้วยภาพมีบทบาทอย่างมากต่อการรับรู้และเข้าใจของผู้คนปัจจุบัน โดยเฉพาะสื่อภาพหรือกราฟิกซึ่งบ่งชี้ถึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นสถิติ ความรู้ ตัวเลข ฯลฯ เรียกว่าเป็นการย่อข้อมูลเพื่อให้ประมวลผลได้ง่าย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้คนในยุคไอทีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลที่ซับซ้อนในการถ่ายทอดเรื่องราวโดยการเปลี่ยนตัวอักษรให้กลายเป็นภาพที่เข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจมากขึ้น (เหตุผลเพราะมนุษย์ชอบและจดจำภาพสวยๆ ได้มากกว่าการอ่าน) และในปัจจุบันภาพสวยๆ นี้สามารถทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึง เข้าใจ ไม่น่าเบื่อในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจ ด้วยการเรียงลำดับที่ตรงกับความสนใจของผู้อ่านและผู้ฟังด้วยข้อมูลที่ถูกคัดกรองมาเป็นอย่างดี เรียงร้อยเป็นเรื่องราวทำให้ผู้นำเสนอผลงานนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นวิธีการนำเสนอข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ที่เราสามารถหยิบยกเรื่องราวเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องราวใหญ่โตมานำเสนอในมุมมองที่แปลกตา ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน ด้วยรูปแบบหรือประเภทของ Infographic ที่ต้องการนำเสนอ
Key highlights
เรียนรู้ เข้าใจพร้อมทั้งได้รับเทคนิคในการจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic โดยโปรแกรม Microsoft PowerPoint 2016
เรียนรู้พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติจริงตลอด 2 วัน ในด้านการออกแบบข้อมูล (Creative Content) และการออกแบบการนำเสนอ (Creative Design)
สามารถจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic ให้สวยงาม เข้าใจง่ายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ
บุคลากรทั่วไปทุกท่านที่ต้องการพัฒนาการจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ให้น่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นด้วย Infographic
**โดยควรมีพื้นฐานในการใช้โปรแกรม Microsoft PowerPoint เบื้องต้น
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริงในการแปลงข้อมูลจากตัวอักษรออกมาเป็นรูปภาพ เพื่อนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic ได้อย่างถูกต้อง
ได้เรียนรู้เทคนิคในการออกแบบการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic แบบต่างๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริงในการใช้เครื่องมือต่างๆ ในโปรแกรม Microsoft PowerPoint 2016 เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน
ได้เรียนรู้เทคนิคการจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic ให้ง่ายขึ้นด้วยเครื่องมือจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ
นายทินกร พรมดีมา เจ้าหน้าที่พัฒนาสื่อ (Media Developer) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
นายสมิทธิชัย ไชยวงศ์ วิทยากรอิสระด้าน Infographic design
รูปแบบการอบรม
ภาคทฤษฎี และ ภาคปฏิบัติ
ระยะเวลาของหลักสูตร
จำนวน 2 วัน เวลา 9.00 – 16.00 น.
รุ่นที่ 13 วันที่ 10 – 11 พฤศจิกายน 2565
ค่าลงทะเบียน
ท่านละ 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
หมายเหตุ
สถาบันฯ เป็นหน่วยงานราชการ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
ค่าลงทะเบียนรวมอาหารกลางวัน อาหารว่าง เอกสารประกอบการฝึกอบรมและคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการฝึกปฏิบัติ
ข้าราชการมีสิทธิ์เบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบกระทรวงการคลังและเข้าร่วมอบรมสัมมนาได้โดยไม่ถือเป็นวันลา
หากท่านต้องการยกเลิกการลงทะเบียน กรุณาแจ้งยืนยันการยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย 7 วันทำการก่อนวันจัดงาน หากการแจ้งยกเลิกล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดดังกล่าว ทางสถาบันฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการหักค่าดำเนินการ คิดเป็นจำนวนเงิน 30% จากค่าลงทะเบียนเต็มจำนวน
ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงวิทยากรและกำหนดการตามความเหมาะสม
ค่าใช้จ่ายในการส่งบุคลากรเข้าอบรมทางวิชาชีพของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 200%
สถานที่จัดอบรม
โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส
เลขที่ 444 ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
จำนวนผู้เข้าอบรม
จำนวนผู้เข้าร่วมอบรม 30 ท่าน
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้เข้าอบรมต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 80% และทำกิจกรรมทุกหัวข้อของหลักสูตร จึงจะได้รับวุฒิบัตรจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Call Center: 0 2644 8150 ต่อ 81897
E-mail : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม


