หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช.- หนุน สร้างองค์ความรู้ บน ‘นวนุรักษ์’ แพลตฟอร์ม ชูจุดเด่น ด้านความหลากหลายทางชีวภาพฯ ของ ‘อุทยานธรณีโลกสตูล’ ช่วยชุมชนสร้างอาชีพ-รายได้เสริมจากการท่องเที่ยว ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG  
For English-version news, please visit : Navanurak platform supports the preservation of natural and cultural heritage in Satun Geopark สวทช. นำ นวนุรักษ์ แพลตฟอร์ม หนุน ให้นักวิจัย ม.สงขลานครินทร์ ม.ราชภัฏสงขลา และวิทยาลัยชุมชนสตูล ใช้เป็นเครื่องมือ จัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรม เพื่อให้ชาวบ้านทั้ง 4 อำเภอ (อ.เมือง อ.ควนโดน อ.ละงูและอ.ทุ่งหว้า) ในพื้นที่ ‘อุทยานธรณีโลกสตูล’ ศึกษา และใช้ประโยชน์จากความหลากหลาย ในรูปแบบเรื่องเล่าสื่อความหมาย และสื่อประชาสัมพันธ์ ช่วยชุมชนให้เกิดความเข้าใจในระบบนิเวศเขาหินปูน ระบบนิเวศสัตว์ในถ้ำ และระบบนิเวศสัตว์ชายฝั่งทะเลที่มีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และเป็นประโยชน์ต่อชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล วันที่ 8-9 สิงหาคม 2565  ณ สำนักงานอทุยานธรณีโลกสตูล ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จังหวัดสตูล นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. นำคณะสื่อมวลชน พร้อมด้วยนายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ดารานักแสดง ลงพื้นที่ในกิจกรรม สื่อมวลชนสัญจร (Press Tour) สตูลจีโอพาร์ค การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของ ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล และสิ่งมีชีวิตในถ้ำอุทยานธรณีโลกสตูลเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG พร้อมด้วยคณะนักวิจัยและอาจารย์จาก ม.สงขลานครินทร์ ม.ราชภัฏสงขลา และวิทยาลัยชุมชนสตูล โดยมี นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีโลกสตูล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า นายกเทศมนตรีตำบลทุ่งหว้า ให้การต้อนรับ นายเอกรัฐ หลีเส็น กล่าวว่า ในปี 2565 จังหวัดสตูลให้ความสำคัญกับการโปรโมตอุทยานธรณีโลกสตูล (Satun Global Geopark) มากขึ้น โดยก่อนหน้านี้จังหวัดสตูลได้รับการอนุมัติจากยูเนสโก เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2561 ให้เป็นพื้นที่อุทยานธรณีโลก และจะต้องมีการตรวจประเมินซ้ำทุก 4 ปี (ครบวาระ 4 ปี เมื่อปี 2564) ซึ่งหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากยูเนสโก ได้มีการตรวจประเมินซ้ำเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาแล้ว จังหวัดสตูลให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์อุทยานธรณีโลกสตูล เพื่อให้คนสตูล คนไทยและคนทั่วโลกได้รับทราบความสำคัญของเมืองที่พบฟอสซิลดึกดำบรรพ์ ในยุคพาเลโอโซอิก (Palaeozoic era) คือช่วง 545 – 245 ล้านปีก่อน เป็นมหายุคเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งในมหาสมุทรและบนบกถือเป็นจุดเด่นด้านธรณีวิทยา เนื่องจากจังหวัดสตูลเป็นจังหวัดใต้สุดฝั่งอันดามัน มีความสวยงามทั้งเรื่องธรรมชาติท้องทะเล และป่าภูเขา ที่สำคัญยังมีเรื่องราวของสัตว์ดึกดำบรรพ์ และสัตว์ทะเลโบราณจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาที่บ่งชี้ว่าจังหวัดสตูลเป็นจังหวัดที่มีวิวัฒนาการมานานและเก่าแก่น่าค้นหาทั้งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในจังหวัดสตูล นอกจากนั้นแล้วการมีองค์ความรู้และงานวิจัยจาก สวทช. นักวิจัยมหาวิทยาลัยและองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาต่างๆ มาสนับสนุนในรูปแบบ การเก็บรวบรวมองค์ความรู้ไว้ในระบบดิจิทัล ที่เรียกว่า ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมหลักฐานด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมายทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคต ของจังหวัดสตูลเก็บไว้ให้คนในชุมชนนำไปศึกษาใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงกับชีวิตความเป็นอยู่ เกิดอาชีพและสร้างรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพในจังหวัดสตูลและความยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ ได้สนับสนุนงานวิจัยจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย  1. การนำข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของสิ่งมีชีวิตในถ้ำอุทยานธรณีโลกสตูลเข้าในแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ซึ่งโครงการนี้เป็นการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล “นวนุรักษ์” ของศูนย์เนคเทค สวทช. มาใช้ต่อยอดการบริหารจัดการข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล โดยมีเป้าหมายพัฒนาระบบบริหารจัดการ ภาพถ่าย ไฟล์วีดีโอ คลิปเสียง และเรื่องราวนำชม (story telling) ไม่น้อยกว่า 3,000 รายการ รวมถึงการฝึกอบรมให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้ด้วยตัวเอง การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี และการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน “นอกจากนั้นแล้วมีการอบรมถ่ายทอดความรู้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลนวนุรักษ์ ให้กับหน่วยงานในท้องถิ่นและชุมชนให้มีทักษะและเข้าถึงข้อมูลดิจิทัล รวมถึงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สำหรับเผยแพร่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เช่น Hologram 3 มิติ, ป้ายประชาสัมพันธ์พร้อม QR Code, คลิปวีดีโอสั้น, หนังสือความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล” สำหรับโครงการที่ 2. คือ การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของสิ่งมีชีวิตในถ้ำ ในอุทยานธรณีโลกสตูลเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์และจุลินทรีย์ในถ้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล ได้แก่ ถ้ำเลสเตโกดอน (ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า) ถ้ำอุไรทอง (ตำบลกำแพง อำเภอละงู) และถ้ำทะลุ (ตำบลเขาขาว อำเภอละงู) ตลอดจนการศึกษาด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวฐานชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลก โดยข้อมูล ภาพถ่าย ไฟล์วีดีโอ และคลิปเสียง ถูกรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ’ เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี พัฒนาไกด์ท้องถิ่น และการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นางกุลประภา กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นแล้วโครงการที่ คือ 3. โครงการการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของระบบนิเวศชายฝั่งทะเลในอุทยานธรณีโลกสตูล เพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน มุ่งเน้นการรวบรวมสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทางทะเล วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล จังหวัดสตูล โดยเน้นศึกษาในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ หาดราไวย์ หาดแหลมสน บุโบย หาดบางศิลา ในทอน ท่าอ้อย สันหลังมังกร เกาะสะบัน เขาทะนาน หอสี่หลัง เกาะตะรุเตา เกาะลิดี และเกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวฐานชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลก โดยรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล “นวนุรักษ์” “ในพื้นที่หอสี่หลัง ซึ่งเป็นนิเวศชายฝั่ง ทีมวิจัย ม.สงขลานครินทร์ ได้บัญชีรายการความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หาดหิน หาดทราย หาดเลน แนวหญ้าทะเล แนวปะการังน้ำตื้น ป่าชายเลน 566 ชนิด พบพืชมีสถานภาพเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vulnerable) 1 ชนิด คือ หญ้าใบพาย ในสัตว์พบ นกน็อทใหญ่ มีสถานภาพใกล้การสูญพันธุ์ (Endangered) และนกกะเต็นใหญ่ปีกสีน้าตาล มีสถานภาพเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vulnerable) นอกจากนี้ยังได้รวบรวมองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้อีก 517 รายการ โดยแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจตามแนวชายฝั่ง คือ บริเวณหอสี่หลัง สันหลังมังกร หาดแหลมสน บุโบย พบสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ เช่น หญ้าใบพาย, ปูก้ามดาบก้ามขาว, ปูทหารก้ามโค้ง, นกน็อทใหญ่, นกกะเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล เป็นต้น ส่วนบริเวณเกาะลิดี เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง ราวี พบสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ คือ หญ้าใบมะกรูด, ปลิงดำแข็ง, ดำวแดงหนำมใหญ่, แนวปะกำรังน้ำตื้น,เหยี่ยวแดง, ลิงแสม” นางกุลประภา กล่าว ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า สำหรับจุดเด่นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ์’ คือ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน หรือชุมชน ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูล และเป็นเจ้าของข้อมูล เข้ามาเพิ่มหรือ update ข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถใส่ชื่อวัตถุ รหัส ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ ลักษณะการเก็บรักษา สถานที่ ข้อมูลกายภาพ ข้อมูลทางชีวภาพ บทบรรยายสำหรับนำชม ขนาด ลักษณะ ประวัติ สถานที่จัดเก็บได้ โดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่ และ upload media ต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ภาพ 360 องศาได้ นอกจากนี้ระบบสามารถเลือกแสดงผลรายการวัตถุจัดแสดงในรูปแบบของ QR Code สามารถนำไปประยุกต์สำหรับใช้ทำสื่อเรียนรู้ต่างๆ รวมถึงจัดทำแบบสอบถามผ่านทาง QR Code เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถแสดงความคิดเห็น และวิเคราะห์ผลเชิงสถิติ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ เก็บข้อมูลได้ระยะยาว ทำให้หน่วยงานต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลได้ ช่วยยกระดับและพัฒนาทักษะของชุมชนให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลดิจิทัลและการสื่อความหมายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประชาชนที่สนใจข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งท่องเที่ยว ศาสนสถาน และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล สามารถศึกษาได้ที่เว็บไซต์ https://www.navanurak.in.th/satungeopark  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับมอบใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) และระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (ISO 45001:2018)
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. รับมอบใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) และใบรับรองระบบมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (ISO 45001:2018) จากนายจงรักษ์ โรจน์พลาเสถียร ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้รับการรับรองระบบบริหาร ISO 9001 ครั้งแรกเมื่อปี 2538 และได้รับการรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในปี 2555 โดย สวทช. ในฐานะองค์กรวิจัยเล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบบริหารคุณภาพ และระบบการจัดการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเสมอมา เพราะมาตรฐานเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหน่วยงานที่มีกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานซึ่งจะส่งผลไปยังผลลัพธ์องค์กร พร้อมยืนยัน สวทช. จะยังเดินหน้าพัฒนาทั้ง 2 ระบบนี้ให้มีการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สิงห์ เบเวอเรช-สวทช. เปิดโรงงานโชว์ความสำเร็จโครงการ TIME ยกระดับขีดความสามารถ-พัฒนาคนตอบโจทย์อุตสาหกรรม
ณ บริษัท สิงห์ เบเวอเรช จำกัด จ.นครปฐม : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ร่วมกับ บริษัท สิงห์  เบเวอเรช จำกัด เปิดโรงงานเยี่ยมชมความสำเร็จภายใต้ “โครงการยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้วยการบริหารจัดการนวัตกรรมองค์กรแบบทั่วถึง (Total Innovation Management Enterprises Program: TIME)” ที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถภาคเอกชน-พัฒนาคนตอบโจทย์อุตสาหกรรม ให้มีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการสร้างนวัตกรรม และเติบโตบนฐานของการสร้างนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตอบโจทย์ภาคการศึกษาที่ได้ทำงานใกล้ชิดและเข้าใจบริบทของการผลิตระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การผลิตบัณฑิตที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชนจากการทำงาน 2 ปีในโรงงาน โดยมี นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว.,คุณปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด, คุณสุชิน อิงคะประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ เบเวอเรช จำกัด, ผศ.ดร.ศิรินันท์ กุลชาติ รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ผู้แทน บพค., ศ.ดร.พญ. พัชรีย์ เลิศฤทธิ์ ประธานที่ประชุมคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยของรัฐ (ทคบร.) และคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล,นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) เข้าร่วมงาน ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) กล่าวว่า โครงการ TIME เป็นโครงการที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยยกระดับความสามารถทางนวัตกรรมสำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนากระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยบริษัทและทีมที่ปรึกษาของโครงการ TIME จะวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการโดยมีทีมอาจารย์จากสถาบันการศึกษาให้คำปรึกษาในการวิจัยซึ่งกำกับดูแลโดยประธานหลักสูตรของสถาบันการศึกษานั้น ๆ และนักศึกษาปริญญาโทจะเข้าไปวิจัยและทำงานในสถานประกอบการตลอดระยะเวลา 2 ปี ซึ่งทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับบุคลากรของบริษัท ขณะเดียวกันทีมที่ปรึกษาของโครงการ TIME จะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการเพื่อสร้างนวัตกรรม กระตุ้นให้เกิดการมองความต้องการของตลาด จุดที่จะต้องทำวิจัยพัฒนา และความร่วมมือกันของบุคลากรหลายๆ ฝ่ายในบริษัท ซึ่งมีข้อดีคือ ในระยะเวลา 2 ปี สิ่งที่บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการจากงานวิจัยจะสามารถนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ได้ทันที ต่างจากเดิมที่การทำวิจัยจะเริ่มจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์หรือการพัฒนาด้านการตลาดในภายหลัง ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ ที่ปรึกษา ฝ่ายยุทธศาสตร์และติดตามประเมินผล ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมในโครงการ TIME เริ่มต้นจากการส่งผู้เชี่ยวชาญไปวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมของกระบวนการผลิต, ผลิตภัณฑ์ และการบริการ 2. มุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะสูง โดยโครงการฯ จะนำเสนอกิจกรรมภายใต้แผนการดำเนินงาน การเลือกหัวข้อองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับโครงการ นำไปสู่การออกแบบแผนงานของโครงการร่วมกัน 3 ฝ่าย คือผู้ประกอบการ, อาจารย์ที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาโครงการ TIME เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันตั้งแต่กระบวนการการคัดสรรนักศึกษา, การจัดอบรม และการกำกับกระบวนการทำโครงงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาจนสิ้นสุดหลักสูตร คุณปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า จากนโยบายที่มุ่งสู่การเป็น Smart Factory มีการนำเอาเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในกระบวนการผลิต การวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยสิ่งที่บริษัทต้องการคือความรู้เชิงลึก ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานประกอบการ ซึ่งแนวทางการดำเนินการของโครงการ TIME สอดคล้องกับความต้องการของบริษัท ในด้านการนำบุคลากรที่มีความรู้เชิงลึกทางทฤษฎีมาเชื่อมโยงกับพนักงานที่มีทักษะในการปฏิบัติงานจริง เพื่อสร้างนวัตกรและนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และเป็นไปในแนวทางเดียวกับแผนการพัฒนาพนักงานของบริษัทฯ อีกทั้งบริษัทฯต้องการให้โอกาสทางการศึกษา การประกอบอาชีพ รวมทั้งให้การสนับสนุนและพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศและอุตสาหกรรม เพื่อให้มีบุคลากรที่มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาด สิ่งที่บริษัทได้รับจากการดำเนินโครงการคือการเรียนรู้กระบวนการในการพัฒนา เพื่อให้พนักงานสามารถต่อยอดองค์ความรู้ในการสร้างนวัตกรรมจนได้นวัตกรรมในกระบวนการผลิตใหม่ ๆ ให้กับองค์กร บุคลากรมีการพัฒนาและสามารถปฏิบัติงานร่วมกับเทคโนโลยีขั้นสูงได้ เกิดการวิจัยพัฒนากากอุตสาหกรรม โดยการเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าสูงขึ้น และสามารถลดต้นทุนและเพิ่ม Productivity ให้กับบริษัทฯ อีกด้วย นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่าBOI ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนากำลังคน ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการลงทุน และพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งนวัตกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศที่ต้องการกำลังคนที่มีทักษะสูงและเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ BOI จึงส่งเสริมภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ TIME ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มเติมแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมและมีการฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากรในเทคโนโลยีสำคัญ หรือมีการวิจัยพัฒนาทั้งกระบวนการผลิต หรือผลิตภัณฑ์ในโครงการดังนี้ 1. สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives) ด้านการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งการดำเนินการเอง หรือการว่าจ้างผู้อื่นในประเทศ หรือการร่วมวิจัยและพัฒนากับองค์กรในประเทศหรือต่างประเทศ โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มเติมสูงสุด 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 300 ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และการจัดฝึกอบรมหรือฝึกการทำงานเพื่อพัฒนาทักษะเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับนักศึกษาที่อยู่ระหว่างการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้คิดเป็นร้อยละ 200 ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น 2.สิทธิและประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กรณีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการเป้าหมายมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หรือความร่วมมือเพื่อพัฒนาบุคลากรไทยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอื่นๆ ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จะได้สิทธิและประโยชน์ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติม โดยจะต้องยื่นแผนความร่วมมือในการรับนักเรียนหรือนักศึกษาเข้าฝึกอาชีพ  ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน หรือไม่น้อยกว่า 40 คน แล้วแต่จำนวนใดต่ำกว่า ทั้งนี้ โครงการ TIME จึงถือเป็นโครงการหนึ่งที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อน ประเทศไทย 4.0 หรือการสร้างให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจบนฐานของนวัตกรรม ทำให้ประเทศมีความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และยกระดับอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจโครงการ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ โทร. 081- 449-5365  อีเมล banpot.hor@ncr.nstda.or.th //////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ประกาศเปิดรับสมัครการฝึกอบรม หลักสูตรการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบราง (Transit-Oriented Development)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) จัดอบรมหลักสูตรหลักสูตรการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบราง (Transit-Oriented Development) ระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2565 ถ่ายทอดสด ในระบบ Online ผ่านโปรแกรม Zoom เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย • แนวคิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบราง (Transit-Oriented Development) • กรณีศึกษาการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบรางในต่างประเทศ • กรณีศึกษาและทิศทางการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบรางในประเทศไทย ค่าลงทะเบียนต่อหลักสูตร : ท่านละ 4,900 บาท (ราคานี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) *เฉพาะหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรของรัฐ ที่ไม่ใช่ธุรกิจ และไม่แสวงหากำไร จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม​ รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/tod สอบถามรายละเอียด: 0 2644 8150 ต่อ 81894 และ 085 324 2684 (นพมล) E-mail: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว ‘ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ’ ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ นำร่องใช้จริงบรรจุเมนูผักสลัดพร้อมทาน ผู้บริโภคได้ 2 ต่อ ‘กินผักสดดีต่อสุขภาพ-หนุนบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อโลก’
เอ็มเทค สวทช. โชว์ความเชี่ยวชาญการวิจัยด้านวัสดุศาสตร์ เปิดตัว ‘ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ’ มีจุดเด่นที่ ฟิล์มบางใส ต้านทานการเกิดฝ้า ช่วยยืดอายุสินค้าผักสลัดให้คงสภาพสดใหม่ในชั้นวางจำหน่ายจากเดิม 3 วัน เป็น 5 วัน ด้านมูลนิธิโครงการหลวง นำร่องใช้ฟิล์มกับบรรจุภัณฑ์ ‘เมนูผักสลัดพร้อมทาน’ ในร้านค้าโครงการหลวง ถูกใจผู้บริโภคสายเฮลธ์ตี้ ได้ถึง 2 ต่อ ได้กินผักสดปลอดภัยดีต่อสุขภาพ และสนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (วันที่ 6 สิงหาคม 2565) ณ บริเวณโซน เซ็นทรัล คอร์ต (Central Court) ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวเปิดตัวนวัตกรรม ‘ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ’ เริ่มต้นด้วยกันเพื่อเราเพื่อโลก โดยมี พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง ศ.ดร.อาภาณี เหลืองนฤมิตชัย ประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และนายเดชบดินทร์ เหรียญทรัพย์ดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าว ซึ่งภายในงานมีการเปิดตัว ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่นำไปบรรจุผักสลัดพร้อมทานของมูลนิธิโครงการหลวง วางจำหน่ายให้ประชาชนที่เข้ามาซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับพรีเมียม สินค้าผลผลิตทางการเกษตร ที่ปลูกโดยชาวเขาบนพื้นที่สูงภายในงานโครงการหลวง 53 (Royal Project 53) ซึ่งมูลนิธิโครงการหลวงและพันธมิตรจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-14 สิงหาคม 2565 นี้ พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง ได้กล่าวเปิดการแถลงข่าว โดยมีใจความว่า รูปแบบการพัฒนาทางเลือกพืชทดแทนฝิ่นของมูลนิธิโครงการหลวง ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่า เป็นรูปแบบการปฏิบัติที่ดีที่ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมในการสร้างความอยู่ดีกินดีของประชาชนบนพื้นที่สูง เกิดผลิตผลมากมายภายใต้การผลิตตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคชาวไทย และแบบอย่างโครงการหลวงโมเดลยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ปัจจุบันเกษตรกรบนพื้นที่สูงเลิกการปลูกฝิ่นหันมาประกอบอาชีพการเกษตร ด้วยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ระบบมาตรฐานอาหารปลอดภัย จึงทำให้ผลผลิตโครงการหลวงเป็นผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ความร่วมมือที่มูลนิธิโครงการหลวง ได้รับจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) โดยงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในการประยุกต์ใช้นวัตกรรม "ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ" บนถาดสลัดของโครงการหลวง จึงเป็นการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากประโยชน์ในการคงไว้ซึ่งคุณภาพของผลผลิต ยังเกิดประโยชน์ในมิติของสิ่งแวดล้อม ถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการต่อยอดนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาผลิตผลและผลิตภัณฑ์คุณภาพ สร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค และยังสนับสนุนนโยบายของประเทศอีกด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า  สวทช. ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาของประเทศ โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในหลายมิติ โดยเฉพาะโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Economy Green Model) เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังนำงานวิจัยและนวัตกรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน จึงเกิดเป็นความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ไปสู่ความสำเร็จในการวิจัยพัฒนา กระทั่งเป็นการเปิดตัวนวัตกรรมฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ในครั้งนี้ นวัตกรรม "ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ" เกิดจากความร่วมมือในการวิจัยพัฒนาระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) มูลนิธิโครงการหลวง บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยฟิล์มดังกล่าวสามารถขึ้นรูปในอุตสาหกรรมการผลิตจริง มีจุดเด่น ที่มีความบาง ใส มีสมบัติป้องกันการเกิดฝ้า ทำให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าชัดเจน สามารถปิดผนึกได้สนิทกับถาดที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชีวภาพ ทำให้มีความปลอดภัยจากการปนเปื้อน และที่สำคัญคือช่วยยืดอายุสินค้าผักสลัดให้คงสภาพสดใหม่ในชั้นวางจำหน่ายจากเดิม 3 วัน เป็น 5 วัน สามารถตอบโจทย์ของมูลนิธิโครงการหลวงในเรื่อง การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถย่อยสลายได้ทั้งระบบ ปัจจุบันมูลนิธิโครงการหลวงได้ใช้งานต้นแบบดังกล่าวในการบรรจุผักสลัดพร้อมทานวางจำหน่ายจริงภายในงาน “โครงการหลวง 53” (Royal Project 53) และพร้อมสำหรับการวางจำหน่ายในร้านค้าของมูลนิธิโครงการหลวงทั้ง 18 สาขาทั่วประเทศ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นหนึ่งความสำเร็จของโครงการที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐ เอกชน และมูลนิธิฯ ที่ได้ร่วมกันผลักดันการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรม เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ศาสตราจารย์ ดร.อาภาณี เหลืองนฤมิตชัย ประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า ผู้ให้ทุนวิจัยแก่โครงการ “ฟิล์มใสย่อยสลายได้สำหรับปิดหน้าถาดบรรจุภัณฑ์” ร่วมกับ บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) โดยการพัฒนาศักยภาพของพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้และการจัดการหรือใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกเป็นอีกหนึ่งโจทย์วิจัยสำคัญของ บพข. เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งโลกให้ความสำคัญอย่างมาก รวมถึงประเทศไทยที่ต้องการผลักดันประเทศให้เข้าสู่สังคมสีเขียว (Green Society) ซึ่งผู้ใช้ประโยชน์อย่างมูลนิธิโครงการหลวงได้ให้ความสำคัญในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้โครงการวิจัยฯ ดังกล่าวจึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการพัฒนาพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ และความสำเร็จของการผลักดันการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ช่วยกันใช้ความเชี่ยวชาญผลักดันการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง นายเดชบดินทร์ เหรียญทรัพย์ดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “บริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ซึ่งสอดรับกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเห็นความสำคัญของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDG (Sustainable Development Goals) ‘ทานตะวันอุตสาหกรรม’ จึงยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะเดียวกันต้องเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และคิดค้นนวัตกรรมของบริษัทฯ ดำเนินภายใต้กลยุทธ์ THIP Circular ECO Way ตามหลัก “6Rs” คือ Re-New, Re-Duce, Re-Use, Re-Pair, Re-Cycle และ Re-Cover มาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งระบบ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ และพันธมิตรทางธุรกิจมาโดยตลอด” “การร่วมมือวิจัยนวัตกรรมฟิล์มปิดหน้าถาดย่อยสลายได้ในครั้งนี้ เป็นอีกขั้นของการคิดค้นวิจัยที่ตอบโจทย์แนวคิด Zero Waste การลดขยะให้เหลือศูนย์ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการใช้เทคโนโลยี นำมาสู่นวัตกรรมที่ช่วยยืดอายุของพืชผักให้นานขึ้น ลดของเสีย เชื่อมั่นว่าความสำเร็จของโครงการวิจัยนี้จะเพิ่มความสามารถในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ให้ดีขึ้น พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้จริง และส่งมอบนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นทางเลือกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกันเพิ่มมากขึ้น อันไปสู่เป้าหมายของการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคตร่วมกัน”
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – PANUS ผนึกกำลัง ด้านวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมขนส่ง-ยานยนต์-แบตเตอรี่
วันที่ 4 สิงหาคม 2565 ณ ห้องโถงชั้นที่ 1 อาคาร สวทช. ถนนพระรามที่ 6 : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. และดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรมระหว่าง สวทช.และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด นำโดย นายพนัส วัฒนชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด คุณเกริก กลมเกลียว  ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม และดร.วิมล แสนอุ้ม ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจนวัตกรรม บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด เข้าร่วมงานและเป็นสักขีพยานในการลงนาม ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีความพร้อมไปใช้งานในเชิงพาณิชย์และสาธารณะประโยชน์ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคสังคม จึงได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเฉพาะทาง (Focus Center) ซึ่งปัจจุบันมี 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ และศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ นอกจากนี้ สวทช. ยังผลักดันการนำผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ ผ่านระบบบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งทำให้ผลงานวิจัยมีช่องทางนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตลาดใหญ่สุดในปัจจุบัน และทำงานร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ทำมาตรฐานอุตสาหกรรมนวัตกรรม กำหนดมาตรฐานสำหรับนวัตกรรม ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำให้นวัตกรรมได้รับการรับรองต่อไป “ตัวอย่างในการทำงานเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนเพิ่มเติม 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การจัดตั้ง NSTDA Startup สวทช. ได้กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อให้บุคลากร สวทช. สามารถไปถือหุ้นในบริษัท และให้บริษัทจ้าง สวทช. เข้าไปบริหารจัดการเรื่องเทคโนโลยี ด้วยกลไกนี้ทำให้บุคลากร สวทช. สามารถไปทำงานในบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นได้ ขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นพนักงานของ สวทช. เป็นรูปแบบที่ตอบสนองแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการท้าทายว่า งานวิจัยสามารถทำเชิงพาณิชย์ได้ สร้างประโยชน์ได้ และ 2. การตั้ง NSTDA Holding สวทช. ได้ปรับรูปแบบการลงทุนให้เป็นแพลตฟอร์ม ใน NSTDA Holding สวทช. ได้ถือหุ้น 100% มีงบประมาณในการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท มีกลไกการลงทุนแยกออกจาก สวทช. เป็นบริษัทจำกัดที่ใช้ในการลงทุน เอางานวิจัยของคนรุ่นใหม่ไปตั้งเป็นบริษัท สร้างแพลตฟอร์มในการลงทุนเพื่อที่จะเอางานวิจัยวิ่งผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ รวมทั้งมีเงินทุนจำนวนหนึ่งไปถือหุ้นในสตาร์ตอัปทั้งที่จัดตั้งเองและสตาร์ตอัปทั่วไป เป็นกลไกที่ขับเคลื่อนเชิงพาณิชย์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี NSTDA Holding สวทช. จะไปค้นหาโครงการที่น่าลงทุนและลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม จะไม่ใช้เงินจำนวนมาก แต่จะใช้ seed money ดึงให้หน่วยงานอื่นมาลงทุนร่วมต่อไป” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามสวทช. และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ได้มีความร่วมมือในหลายด้าน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ Logistics และแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน เป็นต้น การลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด และ สวทช. ในวันนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในกลไกที่จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีจุดแข็งและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในธุรกิจอุตสาหกรรมในอนาคต “ตลอด 30 ปี ผ่านมา สวทช. ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากองค์กรวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สู่ภารกิจในการริเริ่มและผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญของประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ใช้จุดเด่นและความเข้มแข็งของทรัพยากรภายในประเทศ ผสานกับความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภารกิจต่างๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนสอดคล้องตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ” นายพนัส วัฒนชัย ประธานกรรมการบริหาร พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีความร่วมมือกับทาง สวทช. ในหลายภาคส่วน ทั้งการร่วมใช้ทรัพยากรเกี่ยวกับ Finite Element กับ DECC มากกว่า 15 ปี ความร่วมมือกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี จัดการประกวดผลงานความคิดสร้างสรรค์เชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้าน Logistics ในโครงการ Panus Thailand LogTech Award ที่มีการร่วมจัดมาแล้วกว่า 5 ปี นอกจากนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เหมาะกับการใช้งานภายใต้สภาพเงื่อนไขประเทศไทย การพัฒนาแผ่นเกราะกันกระสุนสำหรับการใช้งานในหัวรถจักรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารในพื้นที่ภาคใต้ และอีกหลายโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่และกำลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “อย่างไรก็ดีกว่า 50 ปีนั้น บริษัทฯ เกิดการTransformation และพัฒนาธุรกิจในหลากหลายด้านเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดยเริ่มจากธุรกิจให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ หรือที่รู้จักกันดีในการผลิตรถขนส่งเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็น รถหางพ่วง รถขนตู้คอนเทนเนอร์ รถดั้ม รถทางการเกษตรต่างๆ รวมถึงรถบรรทุกรถที่เรามีนวัตกรรมร่วมกับ Toyota ซึ่งปัจจุบันในตลาดรถขนส่งเชิงพาณิชย์นี้ เราครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 มากกว่า 25% ของตลาดมาอย่างยาวนาน ด้วยเราเล็งเห็นโอกาสในทั่วทุกมมุมโลก จึงไม่เพียงแต่จำหน่ายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเราส่งออกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พนัสฯ กล่าวต่อว่า อีกธุรกิจหลักของบริษัทที่สำคัญเลยก็คือ ธุรกิจการให้บริการภาคพื้นสนามบินที่เราดำเนินกิจการมากว่า 15 ปี ผลิตภัณฑ์หลักๆ คือรถดันเครื่องบินที่มีทั้งดีเซล และไฟฟ้า 100% นอกจากนี้ก็เป็นอุปกรณ์ในภาคพื้นสนามบินต่าง ๆ รวมไปถึงรถบัสชานต่ำ หากพูดถึงรถดันเครื่องบินไฟฟ้า ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์มาตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทด้วยฐานคิดและนวัตกรรมด้านยานยนต์ไฟฟ้าตรงนี้ เราจึงได้พัฒนาต่อยอดและสร้างธุรกิจอีกหนึ่งส่วนขึ้นมาเรียกว่า หน่วยธุรกิจนวัตกรรม ที่ดูแลธุรกิจใหม่ๆของบริษัททั้งในเรื่องอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ซึ่งปัจจุบันเราได้รับการรับรองมาตรฐานรถหุ้มเกราะกันกระสุนจากกระทรวงกลาโหมถึง 2 รุ่นด้วยกัน รวมไปถึงระบบบริหารจัดการฝูงรถ และไฮไลท์เลท์คือ ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเชิงพาณิชย์ ในชื่อของ Panus Drive ที่เพิ่งเปิดตัวไปเป็นการสร้างชุดดัดแปลงรถสันดาปเป็นพลังงานไฟฟ้า มุ่งเน้นรถขนส่งเชิงพาณิชย์ ซึ่งตรงนี้เองเรามองว่าเป็นอนาคต ทั้งอนาคตของบริษัทและอนาคตของประเทศ และยังช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตไปพร้อมกันได้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมใหม่จึงจำเป็นอย่างที่จะต้องพัฒนาคนและกระจายองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่ รวมไปถึงอู่รายย่อย เครือข่ายพันธมิตร สถาบัน และองค์กรต่างๆ ทุกภาคส่วนที่สามารถรับ know how หรือชุด kit ไปประกอบและดัดแปลงเองได้ ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.ร่วมบริหารโครงการวิจัย พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายการทำงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอุตสาหกรรม 2. สร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนา Platform ให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ 3. บูรณาการเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในแต่ละหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ทั้งบุคลากรในสายวิจัยและวิชาการ โครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์เครื่องมือในการวิจัยและพัฒนา 4. การสร้างกลไกเพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ ในผลงานวิจัยและพัฒนาการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม และ 5.พัฒนางานวิจัยเชิงประยุกต์ พร้อมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น โครงการรับจ้างวิจัย โครงการร่วมวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการอนุญาตให้ใช้สิทธิ เพื่อสร้างธุรกิจที่มีความแตกต่างด้วยนวัตกรรม ให้คำปรึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรม แก้ไขปัญหาทางวิศวกรรม การบริการวิเคราะห์และทดสอบ รวมถึงจะร่วมกันพัฒนากลไกเชิงธุรกิจ ผ่านมาตรการส่งเสริมการเงิน ภาษี และบัญชีนวัตกรรมไทย ของสวทช. “สวทช. ได้มีความร่วมมือกับทางบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ในหลายด้าน โดยด้านการวิจัยและพัฒนานั้น ศูนย์วิจัยเฉพาะทาง หรือ focus center ของ สวทช. ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ หรือ Rail and Modern Transports Research Center : RMT ได้ร่วมดำเนินการวิจัยและพัฒนากับทาง บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ในการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เหมาะกับการใช้งานภายใต้สภาพเงื่อนไขประเทศไทย เพื่อสร้างต้นแบบยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ในรูปแบบรถฟีดเดอร์ ที่บรรทุกผู้โดยสารได้ 15 คน ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 35 กม./ชม. เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายขนส่งสาธารณะ หรือ First-and-Last Mile Connectivity โดยได้รับการทุนสนับสนุนการวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการพัฒนาเพิ่มความปลอดภัยของหัวรถจักรเพื่อป้องกันโจมตีจากกระสุนให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารรถไฟในพื้นที่ภาคใต้ โดยจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี” ด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. หรือ National Security and Dual-Use Technology Center: NSD กล่าวเสริมว่า ในส่วนของศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศฯ  ได้วางแผนงานวิจัยที่จะร่วมมือกับ บ. พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ใน 2 โครงการ ได้แก่ 1.การพัฒนาชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลด้วยการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต เพื่อกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลของรถขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกรองไอเสียดีเซลที่ประกอบด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กมากได้ สามารถฉีดล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย สำหรับติดตั้งในรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เพื่อลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ และ 2.การร่วมลงทุนวิจัยระหว่าง พนัส และ สวทช. ในโรงงานต้นแบบผลิตแบตเตอรี่ทางเลือก ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ในอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ebook ชุดข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยกองส่งเสริมความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดำเนินโครงการจัดทำชุดข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประชาชนและชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่และสร้างความเข้าใจการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สามารถเข้าชมได้ผ่านทางเว็บไซต์ https://actionforclimate-ebook.deqp.go.th
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเทคโนโลยียานยนต์และขนส่งโลจิสติกส์ เรื่อง การขนส่งสินค้าจากร้านค้าถึงผู้บริโภคโดยตรง (Last Mile Delivery) สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ร่วมจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเทคโนโลยียานยนต์และขนส่งโลจิสติกส์ เรื่อง การขนส่งสินค้าจากร้านค้าถึงผู้บริโภคโดยตรง (Last Mile Delivery) ระหว่างวันที่ 26 – 28 กรกฎาคม 2565 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม zoom เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อย่างต่อเนื่องและเตรียมพร้อมรองรับการพัฒนากำลังคนสำหรับตลาดแรงงาน โดยเน้นการพัฒนาทักษะและสมรรถนะผู้เรียน ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ปัจจุบันธุรกิจขนส่งกลุ่ม Last Mile Delivery หรือการขนส่งสินค้าจากร้านค้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ในภาพรวมของประเทศเติบโตเป็นอย่างมาก เพราะผู้บริโภคหันมานิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมเป็นครูในระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) 80 โรงเรียน จำนวน 160 คน ทั้งนี้ยังมีบุคลากรทางการศึกษาอีกมากกว่า 10  ท่าน เข้าร่วมสังเกตการณ์ นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการอบรม โดยกล่าวถึงหัวใจของหลักสูตร ซึ่งเชื่อมโยงกับ BCG Model อันเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม เน้นรักษ์สิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ความเท่าเทียมทางสังคม การเข้าถึงทรัพยากร ที่จะช่วยส่งเสริมการออกแบบการเรียนรู้โดยใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีเชื่อมโยง เนื้อหาความรู้สู่การจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน โดยได้รับเกียรติจาก นางจรัสพร ฉัตรทอง รองผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย กล่าวเปิดการอบรม และต่อด้วยการกล่าวต้อนรับ จาก ดร.สุธีรุจ อุปถัมภ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และ ดร.สมศักดิ์ ทองเนียม ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเทคโนโลยียานยนต์และขนส่งโลจิสติกส์ นำโดยวิทยากรหลัก ดร. ปิติวุฒญ์ ธีรกิตติกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มจธ. ร่วมด้วยทีมวิทยากร นางสาวกมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนถนนหักพิทยาคม นางสาวธารทิพย จันทรนิมะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ นางทิพย์สุดา สรณะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนท่าใหม่ "พูลสวัสดิ์ราษฎร์นุกูล"และ ผศ.ดร.น้ำเพชร นาสารีย์ หัวหน้าหน่วยวิจัยและพัฒนาหลักสูตร โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) เริ่มการอบรมด้วยการบรรยายแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการขนส่งแบบ last mile delivery ในปัจจุบัน เสริมด้วยกระบวนการและสื่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางแชตและโปรแกรมช่วยสอน เช่น Mentimeter  padlet โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจในกิจกรรม “การเดินทางของฉันและเธอคือการเรียนรู้” เพื่อทำความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของจำนวนเส้นทางและรูปแบบเส้นทางที่เกิดขึ้นจากจำนวนจุดส่งของที่แตกต่างกัน ผ่านกิจกรรมปฏิบัติการรายบุคคล “Connect the Dots” ที่ผู้เข้าร่วมได้แชร์ผลผ่าน padlet กิจกรรม “The Shortest path” จะเป็นปฏิบัติการทีมในห้องย่อยของ Zoom เพื่อค้นหาเส้นทางในการส่งของโดยใช้ระยะทางสั้นที่สุด โดยใช้ทักษะ Computational thinking ในการแก้ไขปัญหา และใช้โปรแกรม Geo-gebra ในการหาเส้นทางการเคลื่อนที่ หลังจากหาเส้นทางการเคลื่อนที่โดยการคำนวณแล้ว เริ่มวันที่ 2 ด้วยกิจกรรมกลุ่มย่อย “Fast and Furious” เพื่อปฏิบัติภารกิจทดลองนำรถขนส่งจำลองไปขนส่งสินค้าในเส้นทางต่าง ๆ  เรียนรู้เกี่ยวกับความคลาดเคลื่อน รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างการคำนวณและการปฏิบัติจริง ต่อด้วยกิจกรรม “ส่งมาที่ฉัน ฉันรับไว้เอง” เพื่อร่วมกันค้นหาความสัมพันธ์ของปริมาณพลังงานที่ใช้ในการขนส่ง (ระยะทาง น้ำหนักสินค้าที่บรรทุก รวมทั้งรูปแบบเส้นทางการเคลื่อนที่) เพื่อนำเข้ากิจกรรมกลุ่มย่อย “Save Energy Save the World”  สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ Carbon footprint และพลังงาน  ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศแปรปรวนอันเป็นผลมาจากปริมาณการใช้พลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น วางแผนการแก้ปัญหา การแบ่งงาน ค้นหาเส้นทางที่ใช้พลังงานน้อยที่สุดเป็นการบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด วันสุดท้ายของการอบรมเริ่มด้วยกิจกรรมกลุ่มย่อย “ส่งของเร็วสุด” เป็นการนำองค์ความรู้ที่ต้องใช้ในการหาคำตอบ ค้นหาเส้นทางที่ส่งของได้เร็วที่สุด และ เรียนรู้การใช้หลักการทาง optimization ในการค้นหาและปรับปรุงเส้นทางการส่งสินค้าให้ดีขึ้น เชื่อมโยงไปสู่ภารกิจปฏิบัติการกลุ่ม “Logistic management system (LMS)” กิจกรรมสรุปประยุกต์ใช้องค์ความรู้และทักษะ ค้นหาแนวทางในการจัดการรูปแบบการส่งสินค้าของทีมที่สามารถทำให้เกิด Carbon footprint ที่ต่ำ และตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า นำเสนอผลงานผ่าน Padlet เสริมบทสรุปท้ายกิจกรรมทุกวันด้วย “การสะท้อนผลการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผล” โดย ผศ.ดร.น้ำเพชร นาสารีย์ หัวหน้าหน่วยวิจัยและพัฒนาหลักสูตร โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) เพื่อแนะนำแนวทางการต่อยอดกิจกรรมและนำกิจกรรมไปใช้ในสถานศึกษา แนวทางการวัดและประเมินผลสมรรถนะผู้เรียน รวมถึงการนำไปเชื่อมโยงกับวิทยฐานะ (ว PA) อันเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าร่วมอบรมต่อไป เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม คุณครูอรุณ กัณหา รร.เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ระยอง “ได้เรียนรู้การบูรณาการความรู้ในรายวิชาต่างๆ มาใช้ในการจัดกิจกรรม การสร้าง challenge ในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนมีเป้าหมายในการทำงาน กิจกรรมสามารถนำมาใช้ปรับประยุกต์ในการจัดการเรียนรู้ได้” “ได้รับแนวทางในการจัดกิจกรรมด้านวิทยาการคำนวณ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงทักษะในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูต่างโรงเรียน สามารถนำแนวคิดที่ได้ไปปรับใช้ในการทำงานต่อไป ได้รับองค์ความรู้ใหม่ ๆ และยังสามารถแก้ปัญหาคิดสร้างสรรค์สร้างยานยนต์ขึ้นมาจากอุปกรณ์ที่มีให้อย่างจำกัด และที่สำคัญยังสามารถนำไปต่อยอดจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมศักยภาพพัฒนาให้ผู้เรียนได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมหรือในรายวิชาให้นักเรียนได้” จากคุณครูอนุสรณ์ ปิติวงศ์ รร.พนัสพิทยาคาร ชลบุรี “ได้รับความรู้ในหัวข้อการขนส่งสินค้า แบบประหยัดพลังงานหรือลด carbon footprint ปัจจัยที่มีผลต่อความคลาดเคลื่อน เหนื่อยล้าปนสนุก” จากคุณครูอรณ๊ ทองอารีย์ รร.วิทยาราษฎร์รังสรรค์ ฉะเชิงเทรา
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนกรกฎาคม 2565
ข่าว การใช้เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังในภาคอุตสาหกรรมเพื่อคัดกรองท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. ผลักดันธุรกิจสู่ตลาดภาครัฐ หวังดันผู้ประกอบการอุตสาหกรรมดิจิทัลขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย สวทช. - จุฬาฯ ผนึกกำลัง ศึกษาชีววิทยายุคใหม่ ด้วย ‘วิทยาศาสตร์โอมิกส์’ ป้องกัน-ฟื้นฟูภาวะขาดสมดุลสิ่งแวดล้อม สวทช. แถลงความคืบหน้าผลงาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ มุ่งเป้าใช้นวัตกรรมไทยพึ่งพาตนเองและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สวทช. จับมือ SUMMIT สานต่อความร่วมมือวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบ และผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ยกระดับมาตรฐานการผลิต ลดการนำเข้า และพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เอกชนญี่ปุ่น จัดตั้งสำนักงานแห่งใหม่ที่ EECi มุ่งรองรับลูกค้าอุตสาหกรรมเคมีและฐานชีวภาพ สวทช. เสริมทักษะ พัฒนา AI เปิดกิจกรรมแข่งขันหุ่นยนต์ไร้การบังคับอัจฉริยะ RoboInnovator Challenge 2022 By Software Park Thailand มูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับ สวทช. และ ม.แม่โจ้ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ด้านการวิจัยและพัฒนา การเก็บรักษาทรัพยากรเชื้อพันธุกรรมพืชระยะยาว” อธิบดีณัฐพล ดันงานวิจัยไทยขึ้นห้าง ตอบโจทย์ S-Curve ด้าน ‘เวสเทิร์น’ ย้ำเชื่อมั่นโลจิสติกส์ระบบ ASRS ของคนไทย สวทช. ขยายงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจใหม่ “9 ดีปเทคสตาร์ตอัป” สวทช. ผนึก มทร.อีสาน พัฒนา-ถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ พลิกทุ่งกุลาให้ “ยิ้มได้” สวทช. นำทัพนักวิจัยหญิงและผลงานวิจัยร่วมงานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 แสดงศักยภาพ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างความสัมพันธ์และเครือข่าย หนุนการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ ชาวไร่อ้อยเฮ! ดีพร้อม นำทีมผลักดันงานวิจัยสมาร์ทฟาร์มสู่ไร่อ้อย ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต อัปเกรดเกษตรอุตสาหกรรม สวทช. ร่วมกับ ม.มหิดล จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา“โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ” ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. จัดงานเสวนาทางด้านการลงทุนระดับโลก “World Business Angel Investor Week 2022” สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ สตาร์ตอัป และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ คูโบต้า ผนึก เนคเทค สวทช. ขยายผลนวัตกรรมระบบจัดการน้ำ (HandySense) สู่ ‘คูโบต้าฟาร์ม’ พื้นที่สาธิตเทคโนโลยีด้านเกษตรสมัยใหม่ สวทช. จับมือ สรพ. พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข (2P Safety Tech)   บทความ ยกระดับสินค้าภูมิปัญญา “กระดาษสาทนน้ำ”  Download เอกสารฉบับเต็ม (17.3MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
เยาวชนแชมป์สิ่งประดิษฐ์ Young Makers Contest ปี 4 ตะลุยเยอรมนี
เมื่อวันที่ 7-14 ก.ค.2565 ทีมเยาวชนไทยที่ชนะเลิศการประกวดสิ่งประดิษฐ์ในโครงการ “Chevron Enjoy Science: Young Makers Contest ปี 4” เมื่อปี 2563 ได้มีโอกาสเดินทางไปทัศนศึกษางานวิทยาศาสตร์ระดับโลก Maker Faire Sachsen ที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นนำ บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานเป็นการเปิดประสบการณ์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้กับน้องๆ เป็นอย่างมาก.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
Brainifit เกมออกกำลังกายสมอง ช่วยผู้สูงวัยห่างไกลอัลไซเมอร์
  สภาวะสมองเสื่อม หรือ ความจำถดถอย เป็นภาวะที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องเผชิญ ล่าสุดสมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นถึง 10% ผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงานหรือออกกำลังกายอย่างเพียงพอ มีโอกาสเกิดภาวะโรคสมองเสื่อม 9 ใน 10 คน การออกกำลังกายสมองนับเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงาน เพื่อชะลอความเสื่อมของสมองได้ “Brainifit (เบรนนิฟิต)” คือผลิตภัณฑ์ออกกำลังกายสมอง ที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพสมองผ่านคลื่นสมองโดยตรง เพื่อชะลอภาวะความจำเสื่อมให้แก่ผู้สูงวัย นวัตกรรมด้านการแพทย์ที่วิจัยและพัฒนาโดย ดร.สุวิชา จิรายุเจริญศักดิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการการประมวลสัญญาณประสาท (NSP) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเตรียมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์ ในนามบริษัทเบรนนิฟิต จำกัด หนึ่งในบริษัท NSTDA Startup ที่เกิดขึ้นภายใต้กลไกการส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ของ สวทช.   [caption id="attachment_34708" align="aligncenter" width="500"] ดร.สุวิชา จิรายุเจริญศักดิ์ ผู้บริหารบริษัทเบรนนิฟิต จำกัด[/caption]   ดร.สุวิชา จิรายุเจริญศักดิ์ ผู้บริหารบริษัทเบรนนิฟิต จำกัด กล่าวว่า Brainifit คือ ผลิตภัณฑ์ออกกำลังกายสมอง ที่ช่วยเสริมศักยภาพสมองทางด้านการรู้คิดและความทรงจำ ผ่านการเล่มเกมที่ควบคุมด้วยคลื่นสมอง อาศัยหลักการ Neurofeedback Training ที่ใช้การประมวลผลสัญญาณคลื่นสมองและแสดงผลผ่านตัวการ์ตูนในเกม ทำให้ผู้เล่นทราบสภาวะคลื่นสมองของตนเอง และพยายามรักษาให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมตลอดการเล่นเกมให้ได้ เหมาะสำหรับนำไปใช้ชะลออาการโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงลืมเล็กน้อย หรือการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ของเด็กสมาธิสั้น     “Brainifit สามารถติดตั้งใช้งานได้กับอุปกรณ์ Smart Device ต่างๆ รวมถึงคอมพิวเตอร์ ส่วนขั้นตอนการใช้งานไม่ยุ่งยาก ผู้เล่นเพียงสวมใส่อุปกรณ์สวมหัวอัจฉริยะซึ่งมีขั้วไฟฟ้าสำหรับวัดคลื่นสมอง จากนั้นเปิดแอปพลิเคชัน เลือกเกมที่ต้องการเล่น เช่น เกมวิ่งแข่ง หากผู้เล่นมีสมาธิจดจ่อ ตัวการ์ตูนในเกมจะวิ่งเร็ว แต่หากผู้เล่นไม่มีสมาธิ ตัวการ์ตูนจะวิ่งช้าลง ทำให้ผู้เล่นได้เรียนรู้การปรับเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นสมองว่าเมื่อใดที่ตัวการ์ตูนวิ่งช้าลง หรือเคลื่อนไหวได้ไม่ดี แสดงว่าเขาไม่มีสมาธิจดจ่อ ต้องพยายามกลับมามีสมาธิกับเกมให้มากขึ้น ซึ่งนั่นคือการฝึกให้สมองมีสมาธิจดจ่อ หรืออยู่ในภาวะที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างศักยภาพสมอง” จุดเด่นของ Brainifit ไม่เพียงได้ฝึกออกกำลังกายสมองโดยตรงและวัดผลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งต่างจากวิธีการบริหารสมองรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่สามารถแสดงผลได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว โปรแกรมเกมของ Brainifit ยังได้รับการออกแบบให้เล่นแข่งขันกับเพื่อนๆ ผ่านทางออนไลน์ ช่วยเพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้ใช้งาน “เราไม่ได้ออกแบบให้ผู้ใช้งานนั่งเพ่งเล่นเกมอยู่คนเดียวเฉยๆ แต่เราออกแบบเกมให้บังคับได้ เล่นกับเพื่อนๆ ผ่านออนไลน์ได้ เมื่อผู้เล่นเข้าแอปพลิเคชันจะเห็นว่ามีใครออนไลน์อยู่บ้าง และสามารถชักชวนให้มาแข่งขันกัน เช่น เกมซูโม่ เกมวิ่งแข่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสนุก มีเพื่อน และอยากฝึกออกกำลังกายสมองมากขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายสมอง ต้องทำต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 เดือน อาจจะทำทุกวัน หรือวันเว้นวัน ดังนั้นการที่มีแรงจูงใจให้อยากฝึกฝนเป็นประจำ จะทำให้เสริมสร้างศักยภาพสมองได้ดี ที่สำคัญเรายังใช้เทคโนโลยี AI ในการประมวลผลและค่อยๆ ปรับค่าความยากของเกมเป็นลำดับ เพื่อให้ไม่รู้สึกเบื่อ และดึงศักยภาพในการปรับเปลี่ยนคลื่นสมองให้มากขึ้น ทำให้มีระดับสมาธิจดจ่อดีขึ้น”     ทั้งนี้ บริษัทเบรนนิฟิต จำกัด ได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการวิจัยทางคลินิก (Clinical Trials) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผลิตภัณฑ์ Brainifit กับผู้สูงอายุที่ศูนย์ฝึกสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ “เราทดสอบกับผู้สูงอายุ จำนวน 115 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุปกติและกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มมีการรู้คิดบกพร่องระยะแรก ซึ่งพบว่าผู้สูงอายุทั้ง 2 กลุ่ม มีความสามารถของสมองในด้าน Executive Function หรือความสามารถในด้านการจดจำ การควบคุมความคิด อารมณ์ พฤติกรรม ดีขึ้นอย่างชัดเจน”     ประสิทธิผลของ Brainifit ไม่เพียงพิสูจน์ได้จากผลการทดสอบใช้งานจริง แต่ยังยืนยันด้วยการคว้ารางวัลเหรียญทองจากการประกวดสิ่งประดิษฐ์ในงาน “The International Exhibition of Inventions of Geneva” และงาน “Seoul International Innovation Fair”   [caption id="attachment_34706" align="aligncenter" width="500"] The International Exhibition of Inventions of Geneva[/caption]   [caption id="attachment_34707" align="aligncenter" width="500"] Seoul International Innovation Fair[/caption]   ดร.สุวิชา กล่าวว่า ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ Brainifit เปิดให้บริการทดสอบนำร่องที่ศูนย์ฝึกสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ 6 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ที่บ้านบางแค กรุงเทพมหานคร ศพส.ภูเก็ต ศพส.บ้านบางละมุง จ.ชลบุรี ศพส.บุรีรัมย์ ศพส.วาสนะเวศน์ จ.พระนครศรีอยุธยา และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุธรรมปกรณ์ จ.เชียงใหม่ ส่วนการวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์คาดว่าจะได้เห็นภายในปีนี้ โดยเตรียมเปิดตัวในรูปแบบ Product Home Use ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อออนไลน์ไปใช้งานที่บ้านได้เลย ทั้งนี้จะมีระบบการบริการ การติดตามประเมินผลก่อน-หลังการใช้งานของแต่ละบุคคลด้วย เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าศักยภาพของสมองด้านใดที่ปรับตัวดีขึ้นบ้าง Brainifit หนึ่งในนวัตกรรมการวิจัยที่ได้รับการต่อยอดสู่โมเดลธุรกิจ ที่จะช่วยขยายผลต่อยอดเทคโนโลยีด้านการแพทย์สมัยใหม่ไปสู่การใช้งานจริง เพิ่มโอกาสให้ผู้สูงวัยและเยาวชนไทยที่ต้องเผชิญกับภาวะสมาธิสั้นได้เข้าถึงเทคโนโลยีการฟื้นฟูศักยภาพสมองทั้งในด้านการรู้คิดและความทรงจำ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีด้านการฝึกสมองผู้ป่วยจากต่างประเทศ และสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งหวังพัฒนาประชาชนให้มีสุขภาพที่ดีทุกช่วงวัย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“9 ดีปเทคสตาร์ทอัป” ก้าวใหม่ สวทช. ดันวิจัยจากแล็บสู่ธุรกิจ
‘กระจกตาชีวภาพ’ แบบใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผู้บริจาคออกแบบให้เหมาะกับค่าสายตาคนไข้ หรือ ‘เข็มขนาดไมโคร’ ในรูปแบบแผ่นแปะที่ช่วยส่งสารสำคัญผ่านผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็น 2 ผลงาน ใน 9 ผลงานจาก ‘นาสท์ด้า สตาร์ตอัป’ NSTDA Startup สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกสู่สาธารณชนแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มาร่วมผลักดันธุรกิจเทคโนโลยีกับ NSTDA Startup และเป็นการเปิดโลกการลงทุนใหม่ เพื่องานวิจัยจากแหล่งการลงทุนใหม่ของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดย สวทช. องค์กรวิจัยระดับประเทศ ได้สร้างกลไกใหม่เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของการวิจัย ด้วยกลไกที่พร้อมเปิดโอกาสให้นักวิจัยที่ทำงานวิจัย ก้าวขีดจำกัดของตนเองลุกขึ้นมาขายสินค้านวัตกรรมในรูปแบบ ‘สตาร์ตอัป’ ในลักษณะทำเอง หาคู่ธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนและขยายโอกาสหาช่องทางตลาดร่วมกัน โดยมีหน่วย NSTDA Startup เป็นพี่เลี้ยง คอยหนุนเสริมกลไกต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจวิจัยไปถึงมือผู้ใช้จริง “โดยหลักคือจะมีกลุ่มนักวิจัยเข้าร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชนและ/หรือ สวทช. ในการปั้นโมเดลธุรกิจ (Business Model) จากผลงานวิจัยของ สวทช. เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นแผนธุรกิจ (Business Plan) อย่างเป็นรูปธรรม แล้วก้าวไปสู่การร่วมจัดตั้งเป็นบริษัทสตาร์ตอัป” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ฉายภาพให้เห็นโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น ดร.ณรงค์ ย้ำว่า สวทช. เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในด้านการวิจัยและพัฒนาที่สร้างคุณค่าและต่อยอดให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) และให้ความสำคัญในการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ดังนั้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการส่งผ่านงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ในรูปแบบธุรกิจใหม่ สวทช. จึง ขยายงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจใหม่ ภายใต้กลไกการส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์อีกรูปแบบหนึ่งของ สวทช. หรือที่เรียกว่า ‘นาสท์ด้า สตาร์ตอัป’ NSTDA Startup ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อผลักดันผลงานวิจัยนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และยังช่วยตอกย้ำศักยภาพงานวิจัยสู่การตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม โดยมีสตาร์ตอัป ที่ได้รับการอนุมัติจาก สวทช. จำนวน 9 ผลงาน โดยกลไกของ NSTDA Startup นี้จะช่วยตอบโจทย์การเร่งให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้เร็วยิ่งขึ้น สำหรับ 9 NSTDA Startup : Deep-tech Startup เพื่อขยายงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจใหม่ ประกอบด้วย ด้านอุตสาหกรรม Biotechnology & BIO Service  ได้แก่ บริษัท ไบโอเทค โกลเบิ้ล อินโนเวชั่น จำกัด ให้บริการแพลตฟอร์มด้าน Biotechnology และ Life Science ครบวงจรรายแรกของประเทศ ที่ต้องการสร้างกลไกขับเคลื่อนธุรกิจไบโอเทคโนโลยีอย่างครบวงจร ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีหรือเวชภัณฑ์จากต่างประเทศ และช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนถูกกว่ายานำเข้าให้กับประชาชน ด้านอุตสาหกรรม Digital ได้แก่ บริษัท เอไอไนน์ จำกัด (AI9) เป็นแพลตฟอร์ม AI ของบริษัทไทยรายแรกที่ให้บริการการถอดเสียงการประชุมโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในด้านเสียงและการสนทนา (Speech and Conversation) รวมทั้งด้านการเข้าใจภาษา เพื่อให้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าใจและสามารถสื่อสารภาษาของมนุษย์ได้ ตอบโจทย์ความต้องการภาคเอกชนที่ต้องการยกระดับ workflow การทำงานให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บริษัท ดาร์วินเทค โซลูชันส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการจัดอาหารและดูแลสุขภาพในสถานศึกษาแบบครบวงจร รองรับการจัดอาหารแบบ Smart Canteen โดยให้นักเรียนเลือกอาหารเอง หรือ Tailor-Made รายคน เชื่อมโยงข้อมูลอาหารที่จัดเข้าสู่ Thai School Lunch เพื่อให้ทางโรงเรียนตรวจสอบรายการอาหาร คุณภาพ และปริมาณวัตถุดิบ ซึ่งสตาร์ตอัปถือเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ สอดคล้องกันนโยบายส่งเสริมสุขภาพของประเทศ บริษัท บิ๊กโก อนาไลติกส์ จำกัด ให้บริการแพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาระบบจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data / Data Analytic) ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยต้นทุนที่ลดลง ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ด้านอุตสาหกรรม Aging Society/Quality of Life ได้แก่ โครงการ รีไลฟ์ (อยู่ระหว่างเตรียมจดทะเบียนในนามบริษัท รีไลฟ์ จำกัด) ผลิตกระจกตาชีวภาพที่ไม่ต้องรอบริจาคจากผู้อื่น สามารถใช้ได้เลย สามารถออกแบบค่าสายตาให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคน ไม่มีความเสี่ยงจากการใช้กระจกตาจากผู้อื่นหรือวัสดุเทียม บริษัท เบรนนิฟิต จำกัด ให้บริการแพลตฟอร์ม Game-based neurofeedback system ช่วยฟื้นฟูศักยภาพการเรียนรู้ได้ถึง 5 ด้าน และวัดผลได้อย่างแม่นยำ เป็นผู้นำ Neuro Technology นำงานวิจัยมาขยายผลการให้บริการรูปแบบ Home-based Rehabilitation ในระดับเชิงพาณิชย์ เช่น ระบบฝึกสมองโดยใช้สัญญาณป้อนกลับ และด้านอุตสาหกรรมด้านความงามและอาหารเสริม  ได้แก่ บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด ผลิตเข็มขนาดไมโคร (Microneedle) ในรูปแบบแผ่นแปะเทคโนโลยี Microspike ที่มีลักษณะพิเศษความเฉพาะที่สามารถดีไซน์ได้ตามต้องการของลูกค้าที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้สามารถนำส่งสารสำคัญผ่านผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือผู้นำด้านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการผลิตเข็มขนาดไมโคร (Microneedle) สำหรับเสริมประสิทธิภาพการดูแลผิวและนำส่งสารสำคัญผ่านผิวหนัง เพื่ออุตสาหกรรมความงาม สุขภาพ และเป็นเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาการแพทย์ของไทยได้ในอนาคต บริษัท ควอนตัม ไบโอเทค จำกัด ใช้ประโยน์จากเทคโนโลยีชีวภาพ นำเทคโนโลยีด้านไบโอรีไฟเนอรี่และไฮบริดมาผลิตสารออกฤทธิ์มูลค่าสูงจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เป็นการ สร้าง Ecosystem การผลิตสารมูลค่าสูงจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร สอดคล้องโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการต่อยอดวัตถุดิบชีวมวลเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบผลิตสารมูลค่าสูง และ โครงการ KANTRUS ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุออกฤทธิ์สำหรับเครื่องสำอางและการแพทย์ เช่น โปรตีนอีจีเอฟ ที่มีความบริสุทธิ์และความสามารถในการออกฤทธิ์สูง ซึ่งเป็นสารชีววัตถุประเภทโกรทแฟกเตอร์ (growth factor) ที่มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์สูงและกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดโลก ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ (recombinant DNA technology) ทำให้โปรตีนที่บริสุทธิ์ออกฤทธิ์สูง ในราคาเข้าถึงได้ เพิ่มทางเลือกในการผลิตเครื่องสำอางระดับพรีเมียมเพื่อแข่งขันกับแบรนด์ต่างๆ ระดับสากลได้ ถือเป็นก้าวใหม่ของ สวทช. ในการส่งต่องานวิจัยสู่สาธารณะ เพราะการวิจัยและพัฒนาที่รับโจทย์เพื่อทำวิจัยแล้วถ่ายทอดสิทธิ (Licensing) แบบเดิม อาจไม่เพียงพอกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและส่งผลกระทบพวกเราทุกคนที่ต้องก้าวให้ทันโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต /////////////  
บทความ