หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. คว้า 3 รางวัลเลิศรัฐ ผอ.สวทช. ปลื้ม พร้อมเดินหน้านำวิทยาศาสตร์ฯ แก้ปัญหาประเทศ
For English-version news, please visit : NSTDA wins Public Sector Excellence Awards สุดปัง! สวทช.คว้ารางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 พร้อมด้วย 2 รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น ประเภทนวัตกรรมการบริการ ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ แชทบอทสุดฮิต ตัวช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาเมือง ขณะที่ ‘โครงการบูรณาการข้อมูลผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา’ ประเภทบูรณาการข้อมูลเพื่อการให้บริการ ที่ผู้รับบริการไม่ต้องร้องขอ !! (วันที่ 12 กันยายน 2565) : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สวทช. เข้าร่วมพิธีรับมอบรางวัลเลิศรัฐปี 2565 ในรูปแบบออนไลน์100 เปอร์เซ็นต์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยมี ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลเกียรติยศ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่มีความโดดเด่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งการพัฒนาคุณภาพที่ชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น การกินดีอยู่ดี มีรายได้ ชีวิตมั่นคงปลอดภัย มีความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รางวัลเลิศรัฐ เป็นรางวัลตามมติของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ รวมทั้งเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นขอขอบคุณทุกหน่วยงาน และขอให้ทุกหน่วยงานที่ได้รับรางวัล ระลึกถึงเสมอว่าสิ่งที่ต้องรักษาอันดับแรก คือ การรักษามาตรฐานของผลงานที่แต่ละองค์กรได้รางวัลให้คงอยู่และพัฒนาให้ดีขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งสามารถนำไปต่อยอดขยายผลให้หน่วยงานอื่นๆ และชักชวนคนในหน่วยงานของตนเองมาร่วมจิตร่วมใจในการทำงานให้ดีมากขึ้น เพื่อความสุขของประชาชนและประเทศชาติต่อไป ในโอกาสนี้คณะกรรมการได้ประกาศผลรางวัลเลิศรัฐประจำปี 2565 ซึ่ง สวทช. ได้รับจำนวน 3 รางวัล ได้แก่  1.รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 เป็นรางวัลที่ประเมินระบบริหารของหน่วยงานภาครัฐในเชิงบูรณาการ โดยพิจารณาผลการดำเนินงานของหน่วยงาน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2564 ที่แสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาหน่วยงานสู่ระบบราชการ 4.0 ยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ใน 3 มิติ คือ 1.) ระบบราชการที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงถึงกัน (Open & Connected Government) 2.) ระบบราชการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-Centric Government) 3.) หน่วยงานของรัฐมีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย (Smart & High Performance Government) โดยเชื่อมโยงกับเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ใน 7 หมวด และต้องสามารถดำเนินการตามหมวดได้อย่างครบถ้วนตามเกณฑ์และมีผลการดำเนินงานต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี ซึ่ง ในปีนี้ สวทช. ผ่านพิจารณาคัดเลือกจนถึงขั้นตอนการตรวจประเมิน ณ สถานที่ปฏิบัติงานเพื่อสัมภาษณ์ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก สำนักงาน ก.พ.ร. (เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565) โดยมีผู้บริหาร นักวิจัย บุคลากรสายสนับสนุนกว่า 60 คน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรับการตรวจประเมินฯ ที่สำคัญในปี 2565 นี้ สวทช. เป็น 1 ใน 2 ของหน่วยงานองค์กรมหาชน ที่ได้รับรางวัลสำคัญดังกล่าว 2.รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น ประเภทนวัตกรรมการบริการ มอบให้แก่ สวทช. จากผลงาน “ระบบบริหารจัดการปัญหาเมืองด้วยเทคโนโลยีแพลตฟอร์มและปัญญาประดิษฐ์” หรือ ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ แชทบอทสุดฮิต ตัวช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาเมือง โดยทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS) กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยและทีมงาน) โดยรางวัลดังกล่าวถือเป็นรางวัลการพัฒนาการให้บริการ ด้วยการนำนวัตกรรมที่เกิดจากการนำแนวคิด องค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลงาน/การให้บริการ กระบวนการ/ระบบบริการรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งเป็นผลงานที่แสดงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากผลงานหรือกระบวนการก่อนหน้านี้ และ 3. รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น ประเภทบูรณาการข้อมูลเพื่อการบริการ มอบให้แก่ สวทช. จาก ผลงาน “โครงการบูรณาการข้อมูลในการปฏิบัติการผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา (Water Hammer Flow Operation) โดยทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (DSS) กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ (DSARG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ดร.ศิโรจน์ ศิริทรัพย์ หัวหน้าทีมวิจัย) ร่วมกับ การประปานครหลวง กรมชลประทาน กองทัพเรือ สำนักงานทรัพยากรน้ำ โดยรางวัลดังกล่าวถือเป็นเป็นรางวัลการเพิ่มประสิทธิภาพหรือการเปลี่ยนแปลงการให้บริการที่เป็นผลมาจากความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Interoperability) ในการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างหน่วยงานของรัฐ และทำให้เกิดการให้บริการในรูปแบบดิจิทัล ที่ผู้รับบริการไม่ต้องไปขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้สิทธิการใช้งานที่มีหน่วยงานเข้าร่วมตั้งแต่ 3 หน่วยงานขึ้นไป ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า รู้สึกปลื้มใจกับรางวัลที่ได้รับถือเป็นกำลังใจให้คนทั้งองค์กร ซึ่ง สวทช. เป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาระดับประเทศ มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักค่านิยมองค์กร โดยเฉพาะการทำงานโดยยึดหลักของประเทศชาติเป็นส่วนแรก และยังคงยึดถือในการปฏิบัติงานเพื่อนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปพัฒนาชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สวทช. ในยุค 6.0 หรือผู้บริหารคนที่ 6 ตนมีแนวคิดจะขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อจะทำให้ สวทช. เป็นพลังหลักของประเทศในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยเทคโนโลยี ซึ่งจะต้องร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคธุรกิจ ภาคเอกชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาครัฐอื่นๆ เพื่อนำเอาปัญหาอุปสรรคของประชาชน ทั้งการไม่สามารถสร้างรายได้ การเสียดุลจากการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศมากเกินไป มาเป็นประเด็นเร่งด่วนในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ปัญหาเร่งด่วนอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง ดังนั้น สวทช. ยุค 6.0 พร้อมจะขับเคลื่อนให้ทีมประเทศไทย ที่มีทุกภาคส่วนมาเติมเต็มระบบนิเวศ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมของประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อทำให้ทุกภาคส่วนสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในส่วนที่ตนเองเกี่ยวข้อง เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน -------------------------------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สหภาพยุโรปและประเทศไทยลงนามความร่วมมือเพื่อผลักดันด้านการวิจัยขั้นแนวหน้า
For English-version news, please visit : EU and Thailand sign partnership for collaboration in frontier research สหภาพยุโรปและประเทศไทยได้ริเริ่มกรอบความร่วมมือใหม่เพื่อสนับสนุนความร่วมมือของนักวิจัยชั้นนำในประเทศไทยและนักวิจัยของสหภาพยุโรปที่ได้รับทุนของสภาวิจัยยุโรป (European Research Council: ERC) 9 กันยายน 2565  ที่สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ณ แอทธินี ทาวเวอร์ ชั้น 10 : ฯพณฯ นายเดวิด เดลี เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย และศาสตราจารย์ ดร. สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ บพค. ร่วมลงนามเอกสารความร่วมมือในพิธีลงนามความร่วมมือที่จัดขึ้นในวันนี้ ณ สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย โดยความร่วมมือของนักวิจัยชั้นนำในประเทศไทยและนักวิจัยของสหภาพยุโรปที่ได้รับทุนของสภาวิจัยยุโรป (European Research Council: ERC) ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่จะมุ่งเป้าสนับสนุนนักวิจัยไทย และผลักดันความร่วมมือระหว่างสภาวิจัยยุโรป หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ฯพณฯ นายเดวิด เดลี เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวว่า "วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำมาใช้จัดการกับปัญหาเร่งด่วนที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้ เช่น การสาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงด้านอาหาร ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่การลงนามความร่วมมือในวันนี้ จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และหล่อหลอมคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อวงการวิจัยในประเทศไทยและวงการวิจัยทั่วโลก" ศาสตราจารย์ มาเรีย เลปติน ประธานสภาวิจัยยุโรปที่เข้าร่วมพิธีผ่านระบบทางไกล กล่าวว่า "เรายินดีกับการริเริ่มความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดกว้างของสภาวิจัยยุโรปสู่โลกใบนี้ ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์นั้นนับเป็นสิ่งสากลอย่างแท้จริง และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ในระดับนานาชาติจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน ความร่วมมือนี้จะเปิดโอกาสให้นักวิจัยหัวกะทิจากประเทศไทย ได้ไปร่วมทำงานวิจัยที่ยุโรปกับนักวิจัยที่ได้รับทุนของสภาวิจัยยุโรป ช่วยให้นักวิจัยไทยได้รับประสบการณ์อันมีค่านี้ ซึ่งถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย" ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ บพค. กล่าวว่า "สภาวิจัยยุโรปได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนึ่งในโครงการวิจัยขั้นแนวหน้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ดังนั้นเราจึงมีความยินดีที่นักวิจัยไทยรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ จะได้รับประสบการณ์ ในการทำงานร่วมกับทีมวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสภาวิจัยยุโรป เราขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของคณะกรรมาธิการยุโรปและสภาวิจัยยุโรปในครั้งนี้ เรามั่นใจว่าการริเริ่มความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือในระยะยาวระหว่างประเทศไทยและสหภาพยุโรปด้านการวิจัยขั้นแนวหน้าต่อไป" นอกจากนี้ มาเรีย คริสตินา รุสโซ ผู้อำนวยการฝ่ายแนวทางโลกและความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการวิจัยและนวัตกรรมแห่งคณะกรรมาธิการยุโรป รองศาสตราจารย์ ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา ผู้อำนวยการ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ในฐานะผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยังร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในครั้งนี้ด้วย ความร่วมมือดังกล่าว มีชื่อเป็นทางการว่า Administrative Arrangement ซึ่งเป็นกลไกที่เปิดรับนักวิจัยระดับหัวกะทิของประเทศไทย ให้มีโอกาสได้เข้าไปร่วมงานกับทีมวิจัยที่ได้รับทุนของสภาวิจัยยุโรป โดยอิงจากหัวข้อวิจัยที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน บพค.จะเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้นักวิจัยไทยสำหรับกิจกรรมดังกล่าว ครั้งนี้ถือเป็นการลงนามครั้งที่ 17 ของสภาวิจัยยุโรป ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างทวีปยุโรปให้เป็นศูนย์รวมนักวิจัยหัวกะทิจากทั่วโลก ------------------------------------ ข้อมูลเพิ่มเติมประเภทการให้ทุนของสภาวิจัยยุโรป - ERC Starting Grant สำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่มีประสบการณ์การทำงานวิจัยอย่างน้อย 2 ปี และไม่เกิน 7 ปี หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาเอก วงเงินงบประมาณสูงสุดถึง 1.5 ล้านยูโร ในระยะเวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 5 ปี - ERC Consolidator Grant สำหรับนักวิจัยที่มีประสบการณ์การทำงานวิจัยอย่างน้อย 7 ปี และไม่เกิน 12 ปี หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาเอก วงเงินงบประมาณสูงสุดถึง 2 ล้านยูโร ในระยะเวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 5 ปี - ERC Advanced Grant สำหรับนักวิจัยอาวุโสที่มีผลงานวิจัยดีเด่นในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี วงเงินงบประมาณสูงสุดถึง 2.5 ล้านยูโร ในระยะเวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 5 ปี - ERC Proof of Concept Grants สำหรับนักวิจัยที่ได้รับทุน ERC ที่ต้องการศึกษาศักยภาพการตลาดและ/ หรือศักยภาพด้านนวัตกรรมของผลลัพธ์งานวิจัยของตน โดยมอบเป็นเงินก้อนจำนวน 150,000 ยูโร ในระยะเวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 18 เดือน - ERC Synergy Grants สำหรับการวิจัยเพื่อตอบโจทย์วิจัยขนาดใหญ่ที่ต้องการการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัยหลัก 2-4 คน วงเงินงบประมาณสูงสุดถึง 10 ล้านยูโร ในระยะเวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 6 ปี   เงื่อนไขและกลไกการให้ทุนของสภาวิจัยยุโรป กลไก Implementing Arrangement หรือ Administrative Arrangement นั้น จะมอบเงินสนับสนุนให้ผู้รับทุนได้เป็นเจ้าบ้านเพื่อรับนักวิจัยจากต่างประเทศมาร่วมทีมวิจัยของตน สภาวิจัยยุโรปได้ลงนามความร่วมมือประเภทนี้กับหน่วยงานให้ทุนหลายแห่งทั่วโลก เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนนักวิจัยในระดับนานาชาติ ทุกๆ ปี ผู้รับทุนของสภาวิจัยยุโรปสามารถแจ้งความสนใจที่จะรับนักวิจัยต่างชาติมาร่วมงานไปยัง ERC Executive Agency หลังจากนั้น หน่วยงานให้ทุนของประเทศต่างๆ ที่มีความร่วมมือนี้กับสภาวิจัยยุโรป จะแสดงข้อมูลดังกล่าวให้นักวิจัยในประเทศของตนทราบ เพื่อให้นักวิจัยทั้งสองฝ่ายได้ติดต่อพูดคุย โดยอิงจากความสนใจด้านงานวิจัยที่มีร่วมกัน โดยสภาวิจัยยุโรป และ บพค.จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักวิจัยของทั้งสองฝ่ายได้สื่อสารกัน เพื่อสร้างความร่วมมืองานวิจัยและสร้างองค์ความรู้ในระดับนานาชาติต่อไป ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุนของสภาวิจัยยุโรป EURAXESS ASEAN จะจัดงานสัมมนาออนไลน์ให้กับนักวิจัยและผู้ที่สนใจในภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับทุนของสภาวิจัยยุโรป ในวันที่ 11 ตุลาคม 2022 เวลา 15:00 น. ผ่านระบบ Zoom สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ asean@euraxess.net
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เนคเทค สวทช. จับมือเครือข่ายพันธมิตร เสริมแกร่งเกษตรกรรมไทย เปิดโลกเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ในงาน NECTEC-ACE 2022
For English-version news, please visit : NECTEC-ACE 2022 presents digital technology for sustainable agriculture 8 กันยายน 2565: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค สวทช. ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน (พด.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท. สวทช.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) พร้อมพันธมิตรภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เครือเบทาโกร สมาคมไทยไอโอที จัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2565 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2022 (NECTEC–ACE 2022) ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” จัดแสดงผลงานและสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเกษตรยั่งยืน (Digital Technology for Sustainable Agriculture) ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2565 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และ รูปแบบสัมมนาออนไลน์ ดร.ชัย  วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่างานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคประจำปี 2565 หรือ (NECTEC–ACE 2022) ยังคงได้รับการสนับสนุน และความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญจึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงาน รวมไปถึงทุกท่านที่ให้ความสนใจเนื้อหาของงาน ซึ่งได้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง ณ สถานที่จัดงาน และระบบสัมมนาออนไลน์ รวม 2 วันของการจัดงาน มากกว่า 3,000 คน เนคเทค มีภารกิจหลักในการดำเนินงานวิจัยพัฒนา นำองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญของทีมนักวิจัย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประเทศทางด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ ปีนี้เนคเทคครบ 3 รอบ หรือ 36 ปีแห่งการก่อตั้ง ซึ่งเรายังคงเดินหน้าต่ออย่างมุ่งมั่นกับการทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาเปรียบเสมือนเป็น “เครื่องจักรสำคัญเพื่อสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับประเทศ” รวมถึงการเตรียมความพร้อมงานวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยร่วมกับพันธมิตรผลักดันให้เกิดระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ของการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่วิจัยพัฒนาขึ้นไปสู่การใช้งานได้จริง เกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน เสมือนกับการเป็นสาธารณูปโภคที่ส่งให้ประชาชนทุกคนในบ้าน เพื่อช่วยให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยแต่ละปีมีโครงการวิจัยพัฒนาที่ได้ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน ไม่ต่ำกว่า 200 โครงการ การจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค หรือ NECTEC Annual Conference & Exhibitions ที่เรียกย่อๆ ว่า NECTEC-ACE จึงถือเป็นกิจกรรมสำคัญในการส่งมอบผลงานให้กับประเทศ เป็นเวทีนำเสนอผลงานวิชาการ ผลงานวิจัยที่ใช้งานได้จริง ตลอดจนการได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสนับสนุนภารกิจของเครือข่ายพันธมิตรที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ โดยปีนี้นับเป็นครั้งที่ 15 ของการจัดงาน ที่ผ่านมามีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน มากกว่า 1,000 คน และความพิเศษในแต่ละปีจะมีการนำเสนอแนวคิดหลักที่แตกต่างกันออกไป งานในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2565  ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จังหวัดปทุมธานี และรูปแบบสัมมนาออนไลน์ ให้แก่กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย ทั้งผู้บริหารองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนด้านการเกษตร ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน นักวิจัย นักวิชาการ เกษตรกร นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล ซึ่งเนคเทคได้ให้ความสำคัญ มีความพยายามพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีด้านการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และเนคเทคไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้เพียงลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการสนับสนุนส่งเสริมภาคเกษตรกรรมภายในประเทศมาร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” โดยมุ่งเน้นทางด้าน “Digital Technology for Sustainable Agricuture” ที่ทุกหน่วยงานจะได้มาร่วมสร้างและเติมเต็ม Ecosystem ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลให้เติบโต เพื่อสร้างภาคเกษตรกรรมไทยให้ยั่งยืน จึงได้จับมือร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐ และภาคเอกชน อันได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร, กรมพัฒนาที่ดิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน พร้อมด้วยพันธมิตรผู้สนับสนุน ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด,  สมาคมไทยไอโอที และเครือเบทาโกร เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงาน ความน่าสนใจภายในงานประกอบด้วย สัมมนาวิชาการ จำนวน 11 หัวข้อ จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิจัย นักวิชาการ กว่า 30 ท่าน ที่จะมาร่วมนำเสนอความก้าวหน้าทางวิชาการ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเกษตรยั่งยืน 6 โซนนิทรรศการผลงานวิจัย จากภาครัฐและเอกชน เพื่อแสดงศักยภาพ และเทคโนโลยีพร้อมใช้ ช่วยขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยสู่เกษตร 4.0 และอีกหนึ่งกิจกรรมพิเศษในปีนี้ กับ Open House เปิดบ้าน ให้เยี่ยมชมตัวอย่างแปลงเกษตรสาธิตที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในการดำเนินงานจริง ในพื้นที่สวทช. และบริเวณ ใกล้เคียงกับ 4 สถานีเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่ Plant Factory: โรงงานปลูกพืชระบบปิด โดย BIOTEC สวทช. AGRITEC: สวนเกษตรอัจฉริยะ โดย สท. สวทช. NECTEC Smart Garden: ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ โดย เนคเทค สวทช. สวนเกษตรในเมือง: อาคารเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัย และเทคโนโลยีอื่นๆ ของเนคเทค มานำเสนอให้ทุกท่านได้นำไปใช้ประโยชน์ และภายหลังการจัดงาน ยังเปิดให้ผู้สนใจสามารถเข้ามารับชมบันทึกการสัมมนาวิชาการ และศึกษาข้อมูลนิทรรศการผลงานวิจัย ได้ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/ace2022
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Facebook Live: สัมมนาออนไลน์ “คุยกันก่อน ที่จะมีโรงเรือน”
ฝนกระหน่ำปีนี้ มีโรงเรือนดีมั๊ย? เตรียมความพร้อมสำหรับคนที่ยังไม่มี คนที่มีแล้ว ใช้ยังไงให้คุ้ม มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับ คุณเลอทีชา เมืองมีศรี นักวิชาการผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงเรือนพลาสติกเพื่อการผลิตพืชผักคุณภาพฯ คุณวิรัตน์ โปร่งจิตร เกษตรกรผู้รับการถ่ายทอด ----------------------------------------- วันพุธที่ 14 กันยายน 2565 เวลา 19:30 น. เป็นต้นไป ทาง Facebook live สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ลงทะเบียนรับชมได้ที่ https://bit.ly/3DddtPg
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปิดโลกเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล ในงาน NECTEC-ACE 2022
ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2565 หรือ NECTEC-ACE 2022 ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2565 ที่อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า" มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเกษตรยั่งยืน โดยตลอดการจัดงาน 2 วันที่ผ่านมา บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมากเข้าชมนิทรรศการจัดแสดงผลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ จากงานวิจัยของ สวทช. หน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งเข้าร่วมฟังการสัมมนาวิชาการจำนวน 11 หัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเกษตรยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Open House ที่เปิดให้ผู้ที่สนใจเยี่ยมชมตัวอย่างแปลงเกษตรสาธิตที่นำเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลไปใช้งานจริงในพื้นที่อีกด้วย.  
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ประกาศรับข้อเสนอโครงการร่วมวิจัย ประจำปี 2566 โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศรับข้อเสนอโครงการร่วมวิจัย ประจำปี 2566 โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้ง สนับสนุนการสร้างเครือข่ายการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ และสร้างผลงานที่มีผลกระทบสูง นำไปสู่การพัฒนาความเข้มแข็งของหน่วยงานทั้งสอง ตั้งแต่วันนี้ – 18 ตุลาคม 2565 ภายในเวลา 17.00 น. ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล  https://op.mahidol.ac.th/ra/category/research-news/ โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยมหิดล-สวทช.  https://www.nstda.or.th/ChairProfessor/mahidol-nstda-excellence.html
ปฏิทินกิจกรรม
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนสิงหาคม 2565
ข่าว ไอแทป สวทช. สนับสนุนนวัตกรรม ‘DRAG KOOLER’ แผ่นเช็ดตัวสมุนไพร ตัวช่วยลดไข้เด็ก นักเรียนพิการทำได้ ทีม “ร.ร.โสตศึกษาจังหวัดนครปฐม” คว้าแชมป์ KidBright for All โครงการสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright สวทช. อัปเดตความคืบหน้าของการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ใน 1 เดือนแรก พร้อมเวทีเสวนาสร้างความเข้าใจให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชน เปิดตัวแล็บทดสอบ EV Charger กำลังสูง 150 kW โดย กฟผ.-สวทช. รองรับธุรกิจหัวชาร์จไฟฟ้า หนุน EV Ecosystem แบบครบวงจรในไทย สวทช. - ธ.ไทยพาณิชย์ จัดพิธีมอบทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 เดินหน้าหนุนเยาวชนพัฒนาอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นาสท์ด้า โฮลดิ้ง สวทช. ผนึก บ.โมรีน่า รุกตลาดวิจัย ‘ไบโอเบส’ เสริมแกร่งอุตสาหกรรมการเกษตร เปิดตัวห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมเชิงพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทยจากความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด สวทช. ปฐมนิเทศ TAIST - Tokyo Tech Orientation Ceremony 2022 ต้อนรับนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ในรูปแบบออนไลน์ ศลช. ร่วมกับ สวทช. จัดงาน Seminar on Thai Herbal & Natural Products to Global Market เฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสู่ตลาดสากล สวทช. ร่วม กทม. จัดงาน "บางกอกวิทยา" เทศกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเดือนสิงหาคม 4 เยาวชน “สุดเจ๋ง” ชนะเลิศสิ่งประดิษฐ์โครงการ “Chevron Enjoy Science: Young Makers Contest ปี 4” ตะลุยเยอรมนี   บทความ ‘WATER FiT’ simple กล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูกตอบโจทย์ ‘เกษตรแบบ Unplug’  Download เอกสารฉบับเต็ม (22.2MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
สวทช. เชิญชวนผู้ประกอบการร่วมงานสัมมนา หัวข้อ “ การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว ( Green Industry ) เพื่อความยั่งยืน ” (ฟรี..ไม่มีค่าใช่จ่าย)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ขอเชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมงานสัมมนา ในหัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อความยั่งยืน” ในวันพุธที่ 28 กันยายน 2565 เวลา 09.00 – 12.30 น. ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรม zoom เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตและเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ และผู้แทนผู้ประกอบการมาถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับผู้สนใจได้เพิ่มศักยภาพและนำประสบการณ์ที่ได้รับไปสู่การปฏิบัติ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวต่อไป สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 23 กันยายน 2565 https://bit.ly/3Rivqjr หรือ แสกน QR code ได้ตั้งแต่บัดนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ โปรแกรมการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. โทรศัพท์ 02-564-7000 ต่อ 1371 มือถือ 096-128-8826 (คุณภาวิณี) โทรศัพท์ 02-564-7000 ต่อ 1301 มือถือ 063-915-6656 (คุณพนิตา) ทั้งนี้ทางผู้จัดอบรมจะนำส่ง link การอบรมให้กับท่านที่ลงทะเบียนเท่านั้น
ปฏิทินกิจกรรม
 
ทัพภาคเอกชนญี่ปุ่นเยี่ยมชมเมืองนวัตกรรม EECi อ.วังจันทร์ จ.ระยอง
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2565  ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ ซึ่งนำภาคเอกชนญี่ปุ่นรายใหญ่กว่า 60 ราย ลงพื้นที่เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi วังจันทร์วัลเลย์ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เพื่อดูความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม และแสวงหาความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาด้านต่างๆ ในอนาคตต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นาโนเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีอนุภาคกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ ส่งต่อเอกชนสู่นวัตกรรมความงามถึงมือผู้ใช้
For English-version news, please visit : Unlock the potential of reishi mushroom with nano delivery system นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคโนโลยีการสกัดสารสำคัญจากดอกเห็ดเห็ดหลินจือเพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์ทางเครื่องสำอางสูง สร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และพัฒนาระบบห่อหุ้มที่เพิ่มความคงตัวและความปลอดภัย ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัท ฟาร์มคิดดี จำกัด สู่ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าผสมอนุภาคกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ หวังยกระดับพืชสมุนไพรให้ใช้งานได้หลากหลายมิติ เพิ่มมูลค่า รวมถึงสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ ตอบเทรนด์แนวคิดเศรษฐกิจ BCG ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า พันธกิจหลักของนาโนเทคในการดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีสู่ความเป็นเลิศนั้น เราได้ให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีศักยภาพไปสู่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และสังคม สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยดำเนินการสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่อย่าง BCG  (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อขยับต่อยอดสู่นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ประเทศสู่ความยั่งยืน ใน 3 ด้านที่นาโนเทคเกี่ยวข้อง ได้แก่ เกษตรและอาหาร การแพทย์และสุขภาพ วัสดุและพลังงาน “สำหรับการวิจัยเรื่อง การพัฒนากรรมวิธีสกัดสารสำคัญจากดอกและสปอร์เห็ดหลินจือและระบบอนุภาคนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเวชสำอาง นั้น จะเป็นการเสริมจุดแข็งของประเทศในด้านของพืชสมุนไพร และสารสกัดธรรมชาติที่หลากหลายให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) แบบ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ ที่มีภาคเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมความงามที่กำลังเติบโตตามกระแสการรักสุขภาพและดูแลตัวเอง” ดร.วรรณีกล่าว ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า งานวิจัยเรื่อง การพัฒนากรรมวิธีสกัดสารสำคัญจากดอกและสปอร์เห็ดหลินจือและระบบอนุภาคนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเวชสำอางนั้น เริ่มมาจากการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านนวัตกรรมในอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่ทำให้ตนเองได้รู้จักกับบริษัท ฟาร์มคิดดี จำกัด ก่อนได้พูดคุยและตกผลึกความคิดในการร่วมกันของฝั่งวิจัยที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านสารสกัดธรรมชาติ และการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เวชสำอางด้วยระบบกักเก็บระดับนาโน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ด้านเครื่องสำอาง และภาคเอกชนอย่างบริษัทที่ให้ความสำคัญด้านวัตถุดิบที่เป็นออร์แกนิกส์หลายชนิด รวมถึงเห็ดหลินจือออร์แกนิกส์อีกด้วย “โจทย์จากผู้ประกอบการคือ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณค่าของสารธรรมชาติออร์กานิค ผสมผสานกับแนวคิดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางนวัตกรรม โดยใช้กระบวนการสกัดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้วัตถุดิบและสารสกัดเห็ดหลินจือที่มีคุณภาพ และปลอดภัย และนำมาพัฒนาเป็นระบบกักเก็บที่สามารถนำส่งสารสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ธงชัยกล่าว พร้อมชี้ว่า นักวิจัยและผู้ประกอบการพัฒนาข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมกันและขอทุนวิจัยจากโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE* ซึ่งในตอนนั้น (พ.ศ.2560) อยู่ภายใต้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้โครงการวิจัย “การพัฒนากรรมวิธีสกัดสารสำคัญจากดอกและสปอร์เห็ดหลินจือและระบบอนุภาคนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเวชสำอาง” * โปรแกรม INNOVATIVE HOUSE ปัจจุบัน อยู่ภายใต้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เมื่อได้รับทุนทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการสกัดดอกเห็ดหลินจือ โดยสารสกัดเห็ดหลินจือที่ได้นั้น พบสารสำคัญหลักคือ Ganoderic acid A และ Ganoderic acid C2 จึงได้ต่อยอดพัฒนาระบบกักเก็บสารสำคัญ พร้อมกับพัฒนาระบบอนุภาคนิโอโซม เพื่อกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ ซึ่งมีขนาดอนุภาคช่วง 144.6 ถึง 308.3 นาโนเมตร และประสิทธิภาพการห่อหุ้ม 96.67% ทำให้อนุภาคนี้กระจายตัวได้ดี มีความคงตัว มีความปลอดภัยในการเพาะเลี้ยงเซลล์ไฟโบรบลาสต์ และมีความปลอดภัยเมื่อสัมผัสผิวหนังในมนุษย์ ที่สำคัญคือ อนุภาคสามารถนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4.640 ถึง 97.44 ในเวลา 24 ชั่วโมง อนุภาคกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือที่ได้ ได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของอนุภาคในชื่อ ริชโอโซม (REISHOSOME) และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของริชโอโซมที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีการทดสอบในอาสาสมัครทั้งการระคายเคืองผิวหนัง (Irritation test) และประสิทธิศักย์ (Efficacy test) โดยผลการทดสอบประสิทธิศักย์พบว่า ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส และมีความชุ่มชื่นเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ในอาสาสมัคร และจดแจ้ง อย. ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ริเชอรอล (REISHURAL) นางวาสนา เชิดเกียรติกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์มคิดดี จำกัด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นมาจากคุณวรกร เลาหเสรีกุล กรรมการผู้จัดการอีกท่านของฟาร์มคิดดีฯ ที่ทำฟาร์มเห็ดหลินจือไว้กินเอง หากมีเยอะก็แปรรูปเป็นชาเห็ดหลินจือขายที่ตลาดสุขใจ ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ จนเมื่อได้คุยกับ ดร.ธงชัย ก็มีแนวคิดที่จะขยายประโยชน์ของเห็ดหลินจือให้มากกว่าแค่ในอุตสาหกรรมอาหาร สู่อุตสาหกรรมกลุ่มสุขภาพและความงามที่มีมูลค่าสูงกว่า ตลาดกว้างกว่า และความท้าทายมากกว่าด้วยเทคโนโลยีนาโน “เรามองเห็นโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่โหยหาวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและความงามที่เป็นออร์แกนิคส์ ทำให้การวิจัยและพัฒนาที่ได้ผู้เชี่ยวชาญทั้งนักวิจัยจากนาโนเทค อาจารย์ทางด้านวิชาการและการตลาดในโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE เข้ามาเสริมในมิติต่างๆ อย่างครบครัน ทำให้เราสามารถต่อยอดงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวในชื่อ ริเชอรอล (REISHURAL) ในที่สุด” กรรมการผู้จัดการฟาร์มคิดดี กล่าว ปัจจุบัน ริเชอรอลอยู่ระหว่างการผลิต ณ โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง (Nanoparticles and Cosmetics Production Plant) ภายใต้การดำเนินงานของนาโนเทค ซึ่งคาดว่า จะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกันยายนนี้ นางวาสนาเผยว่า กลุ่มเป้าหมายสำหรับริเชอรอลคือคนวัย 45-60 ปี ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้อ่อนเยาว์ ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง และการใส่ใจรูปลักษณ์ ภาพลักษณ์ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีนวัตกรรมรองรับ แม้ปัจจุบัน ในตลาดโลกจะมีผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอางและบำรุงผิวจากสารสกัดเห็ดหลินจืออยู่บ้าง ราว 20 แบรนด์ทั่วโลก โดยมีทั้งเซรั่ม โลชั่น สบู่ รวมถึงครีมกันแดด นางวาสนาชี้ว่า ด้วยจุดเด่นเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น (Nano Encapsulation) จะเพิ่มประสิทธิภาพให้ผลิตภัณฑ์ริเชอรอลโดดเด่น แตกต่างจากคู่แข่งอื่น ๆ “เราตั้งเป้ายอดขาย 30 ล้านบาทใน 3 ปีแรก ซึ่งปัจจุบัน ก็เริ่มมีคนสั่งจองเข้ามาตั้งแต่ของยังอยู่ระหว่างการผลิตแล้ว และในก้าวต่อไป จะเป็นการต่อยอดใช้อนุภาคสารสกัดเห็ดหลินจือในผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยเริ่มจากกลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดด ที่อยู่ระหว่างการขอทุนวิจัยเพิ่มเติม รวมถึงมีแผนที่จะขายอนุภาคสารสกัดเห็ดหลินจือให้กับบริษัทผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางในอนาคต” ผู้บริหารฟาร์มคิดดีชี้
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชดำรัสในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2022  ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชดำรัสในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 15 หรือ i-CREATe 2022 ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2565 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีนโดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นางสาววันทนีย์ พันธชาติ ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์  (A-MED) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เคนเนธ ฟอง ประธานจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2022 และ นายไซมอน หวอง ประธานจัดงานและประธานกลุ่มความร่วมมือ CREATe Asia พร้อมทั้งคณะกรรมการจัดงาน เข้าร่วมงานประชุมดังกล่าว การประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 15 (The 15th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology : i-CREATe 2022) นับได้ว่าเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งเป็นเวทีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการและผู้สูงอายุระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิในระดับสากล ซึ่งเกิดจากกลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย ภายใต้ชื่อว่า CREATe Asia โดยเป็นการรวมกลุ่มระหว่าง 15 องค์กร จาก 12 เขตเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อการจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe ซึ่งหมุนเวียนจัดในเขตเศรษฐกิจของสมาชิก CREATe Asia ตลอดมา พระองค์เสด็จทรงเปิดงานและทอดพระเนตรกิจกรรมด้วยพระองค์เองเป็นประจำทุกปี แม้นระหว่างมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ทรงมีพระราชดำรัสเปิดงานผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ นำความปลาบปลื้มมาสู่ผู้จัดงานและผู้ร่วมงานอย่างเป็นล้นพ้น ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า การประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2022 ประกอบด้วยการแสดงปาฐกถาพิเศษซึ่งมุ่งเน้นให้เป็นเวทีผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ที่ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูงด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก การอบรมเชิงปฏิบัติการและการนำเสนอผลงานวิจัยมุ่งเน้นให้เป็นเวทีของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC 2022) เพื่อส่งเสริมนิสิตนักศึกษาให้มีความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ นางสาววันทนีย์ พันธชาติ ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ มีผลงานสิ่งประดิษฐ์จากนิสิตนักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกและเข้าร่วมการประกวดรอบชิงชนะเลิศ จาก 5 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และไต้หวัน รวมทั้งสิ้น 40 ผลงาน การประกวดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Technology Category) และผลงานด้านการออกแบบนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Design Category)  ผลปรากฏว่า ทีมเยาวชนไทยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กวาดรางวัลใหญ่ 2 เหรียญทองทั้งในด้านสิ่งประดิษฐ์และด้านการออกแบบนวัตกรรม รางวัลเหรียญทองแรกเป็นด้านสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ได้แก่ ผลงาน “การออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์กายภาพแขนผ่านกลไกสะท้อนแบบสมมาตร (Design and development of physical therapy upper limb device with symmetrical reflections mechanism)” พัฒนาโดย นายเมธาสิทธิ์ เกียรติ์ชัยภา นางสาวธันยพร วงศ์วัชรานนท์ และ  Mr. Abul Kashem Tahmid Shahriar อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ และ ผศ.ดร.พัชรี คุณค้ำชู จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนรางวัลเหรียญทองอีกรางวัลหนึ่งเป็นด้านการออกแบบนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ได้แก่ ผลงาน “รถเข็นไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายผู้พิการทางขา หรือ Movere (New design power wheelchair for easy transfer)” พัฒนาโดย นางสาวธัญรดา วิริยะทรัพย์อุดม นายสุพศิน สมบุญดี และ นายกวิน สิริจันทกุล อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช่นกัน   นอกจากนี้ ทีมเยาวชนไทยยังได้รับรางวัลอื่นอีก 5 รางวัล โดยแบ่งเป็นผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์ 2 รางวัล และ ผลงานด้านการออกแบบนวัตกรรม 3 รางวัล ดังนี้ ด้านสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ได้แก่ ผลงาน “เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างอนิเมชันล่ามภาษามือแบบสามมิติ (JustSigns)” พัฒนาโดย นางสาวนาราภัทร โมระกรานต์ นางสาวพลอยปภัส เพียรชูพัฒน์ และ นายชัชพล สุกิจพรอุดม อาจารย์ที่ปรึกษา นายนันทิพัฒน์ นาคทอง จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับรางวัลเหรียญเงิน ผลงาน “การฝึกโดยใช้การสังเกตร่วมกับการใช้จินตนาการเพื่อฟื้นฟูการทำงานของแขนและมือในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (AOMI-based BCI system for stroke patient’s upper  extremity rehabilitation)” พัฒนาโดย นายณัฐวัฒน์ รุ่งศิริศิลป์ นางสาวกัญญา อารีย์รักษา นางสาวเปรมรวี ธีรวิชยางกูร นายฤทธิชัย ไพรบูรณ์ และ นายวิศรุต อนรรฆมงคล อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัลชมเชย ด้านการออกแบบนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ได้แก่ ผลงาน “เครื่องช่วยพยุงการลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงของผู้สูงอายุ (The sit-to-stand support device for the elderly)” พัฒนาโดย นายนูรุดดิน ยูโซะ นายอิทธิพันธุ์ เอี่ยมกิจ นายศาสตรพล สมใจ  นางสาวชลธิชา พรหมจักร์ และ นางสาวหทัยชนก หนูเรือง อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.จรูญรัตน์ ปริญญาคุปต์ ผศ.ธนกร อยู่โต และ ดร.กิติมา รงค์สวัสดิ์ จากวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง ผลงาน “ไซท์แบนด์ อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็น (SightBand)” พัฒนาโดย นายธัชชัย ศรีมุนินทร์นิมิต นางสาวบุญธิชา แซ่เจี่ย และ Mr. Rodolfo Lian Paderon อาจารย์ที่ปรึกษา รศ. พญ.โสฬพัทธ์ เหมรัญช์โรจน์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลผลงานต้นแบบยอดเยี่ยม (Best Prototype) ผลงาน “เครื่องช่วยฟังมหัศจรรย์ (The amazing hearing devices (AHDs)” พัฒนาโดย นายวิทวัส สุดทวี นายพลิศ อนามบุตร นางสาวณจรีย์ จันทร์เจิดศักดิ นางสาวลลิดา อภิรมย์เดช และ นายพิจักษณ์ อารยาวิชานนท์ อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ และ ผศ.ดร. จำรัส พร้อมมาศ  จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัลผลงานตามหลักสรีรศาสตร์ยอดเยี่ยม  (Best Ergonomic)  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดรับสมัครแล้วในโครงการ “PADTHAI Social Enterprise #2”
เปิดรับสมัครแล้วในโครงการ "PADTHAI Social Enterprise #2 เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย FI Accelerator ร่วมกับเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยาย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดรับสมัครผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคมด้านนวัตกรรมเกษตรอาหารที่ต้องการยกระดับกิจการ เพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และสร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ >>สิ่งที่ท่านจะได้รับ ∙ การอบรมและเวิร์คช็อปอย่างเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนากิจการเพื่อสังคมด้านนวัตกรรมเกษตรอาหารกว่า 10 ท่าน ∙ การถอดบทเรียนการพัฒนาผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม ∙ โอกาสเข้าถึงแหล่งสนับสนุนด้านทุน ตลาด และการนำเสนอแผนธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ∙ การสนับสนุนผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม ด้านนวัตกรรมเกษตรอาหาร ด้วยบริการแบบครบวงจร โดย One Stop Service จาก FoodInnopolis และหน่วยงานเครือข่าย ∙ เข้าเป็นผู้ประกอบการในเครือข่ายของ FoodInnopolis และโอกาสในการเข้าร่วมโครงการอื่น ๆ ของ FI Accelerator >> สมัครเลย หากท่านมีคุณสมบัติดังนี้ ∙ ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอาหารที่มีวิธีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Social Enterprise ∙ ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอาหารที่กำลังปรับรูปแบบธุรกิจ ให้มีกลไกของ Social Enterprise ∙ ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจที่มีแนวคิด และต้องการสร้างธุรกิจเกษตรอาหารในรูปแบบ Social Enterprise ∙ ผู้ที่อยู่ในระบบนิเวศของการพัฒนาธุรกิจเกษตรอาหารใน รูปแบบ Social Enterprise เช่น ภาคการศึกษา หน่วยงานวิจัยพัฒนา หน่วยงานให้ทุน เป็นต้น >>กำหนดการโครงการ ∙ เปิดรับสมัครและสัมภาษณ์เพื่อเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2565 ∙ ประกาศผลผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ : 7 ตุลาคม 2565 ∙ ชำระค่าลงทะเบียนสำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก : 8 - 28 ตุลาคม 2565 ∙ ศึกษาดูงานกิจการเพื่อสังคมในจังหวัดเชียงราย 2 วัน : 19 - 20 พฤศจิกายน 2565 ∙ อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเข้มข้น 5 วัน 4 คืน ณ โรงแรม แสน โฮเทล จังหวัดเชียงราย : 21 - 25 พฤศจิกายน 2565 >>ค่าลงทะเบียนฝึกอบรม ∙ 1 ท่าน 18,000 บาท ∙ 2 ท่าน 25,000 บาท ∙ มากกว่า 2 ท่าน ติดต่อผู้ดูแลโครงการ รวมค่าที่พัก 1 ห้อง ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายตลอดการฝึกอบรม ไม่รวมค่าเดินทาง สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการตามลิงค์ด้านล่าง —> https://forms.gle/hJwbYUxtiP3nwLvu9 หรือ Facebook Page: Padthai by FoodInnopolis ติดต่อผู้ดูแลโครงการ 091-7135433 (กรองจิตร สมใส)    
ปฏิทินกิจกรรม