ผลการค้นหา :

การพัฒนาเศรษฐกิจด้วย BCG Model พื้นที่นำร่องทุ่งกุลาม่วนชื่น
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดี กินดี รายได้ก้าวพ้นเส้นความยากจนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ BCG ทุ่งกุลาร้องไห้ ที่มีอัตลักษณ์ผ่านมาตรฐาน กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของผู้มีรายต่ำกว่าเส้นความยากจน (มีรายได้มากกว่า 40,000 บาท/คน/ปี) เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10
โครงการที่ 1 การยกระดับเกษตรอินทรีย์/อาหารปลอดภัยด้วย BCG Economyเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)เกิดการกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย จำนวน 18,000 คน มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10แผนงาน/สิ่งส่งมอบสินค้าเกษตรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับการยกระดับด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG (50 ผลิตภัณฑ์)สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ (500 ล้านบาท)ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (18,000 คน)
โครงการที่ 2การยกระดับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วย BCG Economyเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)เกิดการยกระดับรายได้จากการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาต่อยอดขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจฐานรากจำนวน 3,500 คน มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10แผนงาน/สิ่งส่งมอบผู้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (3,500 คน)ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ร้อยละ 50 มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยว
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567เกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อยพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยียกระดับประสิทธิภาพ การผลิตจำนวน 5,000 คนผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดธุรกิจ 5 ผลิตภัณฑ์เกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อยอย่างน้อยร้อยละ 5 ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างรายได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10สร้างผลลัพธ์ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมมูลค่าไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
BCG Implementation

แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP)
วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหารฟังก์ชัน เวชสำอาง และ Functional Ingredients และให้บริการแบบ One-Stop Service โดยอาศัยแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มีความพร้อม โครงสร้างพื้นฐานโรงงานต้นแบบที่มีมาตรฐานการผลิต เครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัยและความเชี่ยวชาญของทีมบุคลากรที่ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารใหม่และผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ ให้ถึงมือผู้บริโภคมากกว่า 1 ล้านคน ผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมหรือวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการผลิตส่วนผสมฟังก์ชันจากทรัพยากรชีวภาพของประเทศอย่างยั่งยืน
ประกอบด้วย 2 พันธกิจหลัก ได้แก่นวัตกรรมอาหารฟังก์ชัน อาหารเฉพาะทาง และอาหารอนาคต (Innovation Of Functional Foods, Specific Foods And Future Foods): มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเทรนด์ตลาดแพลตฟอร์มบริการผลิตและทดสอบผลิตภัณฑ์อาหาร เวชสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน (Platform Of Production And Testing Services For Foods, Cosmeceuticals And Functional Ingredients) : มุ่งเน้นให้บริการพัฒนา/นวัตกรรมกระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน ให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน อาหาร และเวชสำอางตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะของลูกค้า ในรูปแบบ One-Stop Service ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบและมาตรฐาน และหน่วยงานภาควิชาการ
เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรม มากกว่า 1,000,000 คน สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม 1,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีแผนงาน/สิ่งส่งมอบการให้บริการพัฒนา/นวัตกรรมกระบวนการผลิต นวัตกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน ให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน อาหาร และเวชสำอางตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะของลูกค้า ในรูปแบบ One-Stop Service ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบและมาตรฐาน และหน่วยงานภาควิชาการผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรม ที่เกิดจากการให้บริการพัฒนากระบวนการ/ผลิตภัณฑ์ การผลิต และทดสอบผลิตภัณฑ์ (ผลิตภัณฑ์)ผู้ประกอบการที่ใช้บริการ (ราย)
BCG Implementation

นวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่า
ในภาพรวมของสมุนไพรไทย มีมูลค่าการตลาดในปี 2566 เป็นจำนวนถึง 52,104.3 ล้านบาท โดยโอกาสทางธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2570 จะมีมูลค่าการตลาดถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งมีกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ทั้งด้านอาหารเสริมพร้อมดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้รักษาอาการไอ หวัด แพ้อากาศ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไป ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเนื่องจากมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบพืชพรรณสมุนไพร มีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ แต่สมุนไพรไทยก็มีอุปสรรค ได้แก่คุณภาพของวัตถุดิบมีความแปรปรวน ความไม่สม่ำเสมอของปริมาณสารสำคัญ และการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช กระบวนการผลิตสารสกัดยังให้ปริมาณสารสำคัญน้อย และใช้สารเคมีในการสกัดสูง รวมถึงขาดระบบการผลิตสารสกัดมาตรฐานสำหรับการสกัดในระดับอุตสาหกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรยังมีจำนวนน้อย และผลิตภัณฑ์อาศัยเพียงความเชื่อและความรู้สึกตอบสนองของผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่หรือเป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้มาช่วยยืนยันคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยจากปัญหาและอุปสรรคของสมุนไพรดังกล่าว การพัฒนานวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรโดยมีสมุนไพรนำร่อง 3 ชนิดได้แก่ กระชายดำ บัวบก และกะเพรา เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร อุตสาหกรรมสารสกัด และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทย สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเอกชนให้สามารถผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับการรับรองมาตรฐาน ผลักดันให้เกิด “Hub of Thai Herbal Extract” ในการส่งเสริมพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสตลาดสมุนไพรให้กับประเทศอย่างยั่งยืน
โครงการที่ 1 นวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานกะเพรา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า ในปี 2571 จากปีที่เริ่มมีรายได้ (ปี 2569)แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหาร สารแต่งกลิ่นรสผงแห้งจากสารสกัดกะเพรา (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลดสภาวะเครียด (Anti Stress) จากสารสกัดมาตรฐานกะเพรา (ผลิตภัณฑ์)กระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานกะเพรา ระดับอุตสาหกรรม (กระบวนการ)
โครงการที่ 2การขยายผลนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าในปี 2571 จากปีที่เริ่มมีรายได้ (ปี 2568)แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์ต้านการอักเสบจากสารสกัดกระชายดำ (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชะลอวัย ลดไขมัน/น้ำตาล ในเลือด (Antiobesity/Hypoglycemia) จากสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ (ผลิตภัณฑ์)กระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานกระชายดำระดับอุตสาหกรรม (กระบวนการ)
โครงการที่ 3การเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานบัวบกด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าในปี 2571 จากปีที่เริ่มมีรายได้ (ปี 2568)แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากสารสกัดบัวบก (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบของสิว (Anti-Acne) จากสารสกัดบัวบก (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์ยาทาสมานแผลจากสารสกัดบัวบก (ผลิตภัณฑ์)กระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานบัวบกระดับอุตสาหกรรม (กระบวนการ)
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567 สารสกัดมาตรฐานของกระชายดำ สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging)ถ่ายทอดเทคโนโลยีและขยายผลสารสกัดมาตรฐานของกระชายดำสำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้านการอักเสบจากสารสกัดกระชายดำผงแต่งกลิ่นจากสารสกัดกะเพรา เสมือนกลิ่นกะเพราสดขยายขนาดกระบวนการกักเก็บกลิ่นกะเพรา ที่มีกลิ่นเสมือนกะเพราสดในระดับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง /เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) / เวชสำอางต้านสิว (Anti-Acne) จากอนุภาคนำส่งสารสกัดบัวบกถ่ายทอดเทคโนโลยีและขยายผลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง / เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากอนุภาคนำส่งสารสกัดบัวบก ร่วมกับผู้ประกอบการอนุภาคกักเก็บสารสกัดกะเพราลดกรด/ลดความเครียด
BCG Implementation

ชวนคนกรุงสูดอากาศสะอาด ที่ ‘MagikFresh’ ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ ณ สวนจตุจักร
PM2.5 เป็นปัญหาฝุ่นละอองที่คนไทยต้องเผชิญแทบทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วง ‘อากาศปิด’ สภาวะอากาศแห้งและนิ่ง ทำให้ฝุ่นละอองแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้นาน ส่งผลให้ PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีค่าเกินมาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ผู้คนในหลายพื้นที่ไม่สามารถใช้ชีวิตกลางแจ้งเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมนันทนาการ ได้ตามปกติ
[caption id="attachment_50260" align="aligncenter" width="750"] MagikFresh[/caption]
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร พัฒนา 'ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่’ หรือ ‘MagikFresh (เมจิกเฟรช)’ สำหรับให้บริการแก่ผู้ใช้บริการสวนจตุจักร ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 - พฤษภาคม 2567 เป็นเวลา 7 เดือน เพื่อใช้ประโยชน์ในการพักผ่อน ออกกำลังกาย และจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ มุ่งลดผลกระทบการเจ็บป่วยจากการสูดฝุ่น PM2.5 ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ปัจจุบัน MagikFresh ตั้งอยู่ภายในสวนจตุจักร ฝั่งติดถนนพหลโยธิน บริเวณใกล้กับประตูทางเข้าออกสวนที่ตรงกับ MRT สถานีสวนจตุจักร
ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า MagikFresh เป็นอาคารลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาด 100 ตารางเมตร มีประตูทางเข้าหนึ่งทาง ประตูทางออกหนึ่งทาง โครงสร้างอาคารมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกใสมองทะลุเห็นบรรยากาศสวนภายนอกได้ บริเวณภายในอาคารมีนิทรรศการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ PM2.5 และ MagikFresh ติดตั้งอยู่บนผนังทั้ง 4 ด้าน อีกทั้งยังมีสวนหย่อมให้ประชาชนได้เข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนด้านนอกอาคารเป็นพื้นที่ติดตั้งเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้ดึงอากาศจากภายนอกให้เข้ามาไหลเวียนเข้ามาภายในอาคาร ส่วนองค์ประกอบสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือหลังคาที่มีลักษณะเป็นช่องระบายอากาศสำหรับปล่อยให้อากาศจากภายในอาคารไหลออกสู่ภายนอก
“MagikFresh สร้างการไหลเวียนของอากาศสะอาดภายในอาคาร โดยดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่เครื่องกรองอากาศที่ติดตั้งไว้ทั้ง 4 ทิศรอบอาคารด้านนอก เพื่อกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กออกจากอากาศด้วยระบบไฟฟ้าสถิต ก่อนปล่อยอากาศสะอาดเข้าสู่ภายในอาคารผ่านช่องปล่อยอากาศด้านใน จากนั้นอากาศจะเคลื่อนตัวขึ้นไปที่ช่องระบายอากาศบริเวณหลังคา ทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ผู้ใช้บริการรู้สึกสบายตัว และเป็นการป้องกันฝุ่นจากภายนอกไม่ให้ลอยเข้ามาทางช่องเปิดด้วย”
MagikFresh สร้างอากาศสะอาดที่มีค่า PM2.5 ต่ำกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ระดับที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ) ได้มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศภายในอาคารได้ไม่ต่ำกว่า 10 รอบต่อชั่วโมง
[caption id="attachment_50259" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]
[caption id="attachment_50258" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]
ดร.พรอนงค์ อธิบายเสริมถึงจุดเด่นสำคัญ 5 ประการของเทคโนโลยี MagikFresh ว่าประการแรก คือการออกแบบระบบกรองอากาศด้วยเทคนิคไฟฟ้าสถิต ที่มีการปลดปล่อยก๊าซโอโซนเฉลี่ย 1 ชั่วโมง ไม่เกิน 10 ppb หรือต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 10 เท่า ประการที่สอง คือ MagikFresh ปรับการทำงานของเครื่องให้สอดคล้องกับค่าฝุ่นละออง ณ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ประการที่สาม คือ ชุดกรองอากาศผ่านการออกแบบให้ถอดล้างหรือทำความสะอาดได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ และไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศบ่อยครั้งเหมือนเครื่องกรองอากาศทั่วไป จึงช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสร้างขยะได้เป็นอย่างดี ประการที่สี่ คือ MagikFresh ผ่านการออกแบบให้ถอดประกอบรวมถึงปรับขนาดของพื้นที่อาคารได้ตามต้องการ นำไปติดตั้งเพื่อใช้งานยังสถานที่อื่น ๆ ได้สะดวก และประการสุดท้ายที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ MagikFresh เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศที่พัฒนาโดยคนไทยและผลิตได้ภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขไทยด้วย
นอกจาก MagikFresh ที่เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้งานในพื้นที่อาคารกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาดใหญ่แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนานวัตกรรมอีกหลายชิ้นเพื่อสนับสนุนการรับมือปัญหาด้านฝุ่น PM2.5
ดร.พรอนงค์ เล่าว่า ตัวอย่างเทคโนโลยีเด่นที่ทีมวิจัยพัฒนาเพื่อสนับสนุนการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 เช่น ‘ชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล’ สำหรับใช้งานกับรถขนาดใหญ่ อาทิ รถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ รวมถึงรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหา PM2.5 จากการทดสอบประสิทธิภาพกับรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลพบว่า ชุดกรองสามารถลดค่าไอเสียที่สูงถึงร้อยละ 99 ให้เหลือเพียงร้อยละ 27 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานใหม่ที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ที่ร้อยละ 30 ที่สำคัญชุดกรองยังผ่านการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบโครงสร้างให้ใช้งานได้ยาวนาน ทำความสะอาดง่าย เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้ประกอบการด้านระบบขนส่งให้ได้มากที่สุด
[caption id="attachment_50261" align="aligncenter" width="700"] ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ นำเสนอผลงานชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล[/caption]
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี ‘IonFresh+ (ไอออนเฟรชพลัส)’ เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศสำหรับใช้ภายในห้องขนาดใหญ่ 100-250 ตารางเมตร อาทิ ห้องประชุม ห้องจัดแสดงผลงาน ซึ่งเครื่องกรองฯ ทำงานโดยใช้เทคโนโลยี 2 ด้านหลัก คือ ใช้ระบบไฟฟ้าสถิตในการกรองฝุ่นละออง และใช้แสง UVC ในการกำจัดเชื้อก่อโรค จุดเด่นที่สำคัญของเครื่องนี้คือปลดปล่อยโอโซนต่ำ ปรับการทำงานได้แบบอัตโนมัติตามค่า PM2.5 ณ ขณะนั้น ล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย และตัวเครื่องยังผ่านการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ทำให้เคลื่อนย้ายไปใช้งานตามห้องต่าง ๆ ได้สะดวก”
[caption id="attachment_50257" align="aligncenter" width="700"] IonFresh+[/caption]
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างผลงานวิจัยที่ สวทช. พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย รวมถึงช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีอื่น ๆ ติดตามข้อมูลได้ที่ www.nstda.or.th ส่วนผู้สนใจใช้พื้นที่ MagikFresh จัดกิจกรรมนันทนาการ หรือ นำ MagikFresh ไปติดตั้งในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศที่กล่าวมาทั้ง 3 ผลงาน ติดต่อได้ที่ทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. โทร 0 2564 6900
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ตรวจง่าย สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ
For English-version news, please visit : PigXY-AMP: A sensitive and rapid one-step colorimetric LAMP detection kit for African swine fever virus
โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever: ASF) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ทำให้สุกรมีอัตราป่วยและตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรและเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างมาก สาเหตุสำคัญที่ทำให้การควบคุมการระบาดของโรคนี้เป็นไปได้ยากมาจากการที่เชื้อไวรัสก่อโรค ASF มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนและยาที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคได้ ทำให้การป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดใหม่ยังคงต้องพึ่งพาการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเป็นสำคัญ ผู้ประกอบการที่กลับมาเริ่มธุรกิจฟาร์มสุกรจึงทำได้เพียงตรวจคัดกรองลูกสุกรก่อนนำเข้าเลี้ยงในฟาร์มเท่านั้น ล่าสุดองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายงานว่าช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนปี 2566 ยังพบการระบาดของโรคนี้ใน 3 ทวีป คือ แอฟริกา ยุโรป และเอเชีย ขณะที่ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคให้สงบได้แล้วหลังเผชิญการระบาดใหญ่ในปี 2565 อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์ยังคงมีมาตรการให้ทุกฟาร์มตรวจคัดกรองโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ASF อย่างเคร่งครัดต่อไป
ในช่วงเริ่มแรกของการระบาดของโรค ASF ในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ปี 2561 แต่ยังไม่พบการระบาดในประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้เดินหน้าเชิงรุกเตรียมความพร้อมด้านชุดตรวจวินิจฉัยก่อนการระบาด โดยนำองค์ความรู้ทางด้านอณูชีววิทยาร่วมกับเทคนิคการตรวจวัดสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมาออกแบบและพัฒนา ‘ต้นแบบชุดตรวจหาเชื้อโรค ASF ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยสมัยใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาย่อมเยา และใช้ง่าย’ ต่อมาในปี 2565 เมื่อพบการระบาดของโรคในประเทศไทย จึงได้มีการนำตัวอย่างเชื้อที่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรภาคเอกชนมาทดลองใช้ร่วมกับต้นแบบชุดตรวจที่พัฒนาขึ้น และพัฒนาน้ำยาสกัดดีเอ็นเอจากเลือดสุกรแบบรวดเร็ว (rapid DNA extraction) เพิ่มเติม เพื่อการใช้งานแบบครบวงจร ได้เป็น PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาประสบความสำเร็จ และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนไทยเรียบร้อยแล้ว
[caption id="attachment_49909" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]
[caption id="attachment_49910" align="aligncenter" width="750"] คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย (ซ้าย) และคุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ (ขวา)[/caption]
คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. หัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า วิธีมาตรฐาน (gold standard) ของการตรวจโรค ASF ที่ใช้กันทั่วโลกคือเทคนิค real-time PCR (real-time polymerase chain reaction) เพราะเป็นวิธีการตรวจที่มีความไว (sensitive) สูง ตรวจได้แม้ในตัวอย่างมีปริมาณเชื้อน้อย อย่างไรก็ตามวิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายในการตรวจสูง เพราะต้องใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ราคาหลักล้านและน้ำยาเฉพาะ ทำให้อัตราค่าบริการสูงถึง 1,000-1,500 บาท ต่อ 1 ตัวอย่าง เป็นข้อจำกัดในการตรวจคัดกรองโรค
“เพื่อสนับสนุนการลดค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรอง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนา ‘PigXY-AMP’ ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว การตรวจทำได้ง่ายเพียงใช้ก้านสำลีปาดเลือดสดจากหางลูกสุกร แล้วนำไปจุ่มแช่ในน้ำยาสกัดดีเอ็นเอแบบรวดเร็ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วนำดีเอ็นเอที่ได้ไปผสมกับน้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีสำเร็จรูปซึ่งมีสีม่วง จากนั้นนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสในกล่องให้ความร้อน (heating block) นาน 1 ชั่วโมง ก็จะสามารถอ่านผลการตรวจด้วยตาเปล่าได้แล้ว โดยหากในตัวอย่างมีเชื้อไวรัส ASF น้ำยาจะเปลี่ยนสีจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แต่ถ้ายังคงเป็นสีม่วงแสดงว่าไม่มีเชื้อ”
PigXY-AMP ไม่เพียงใช้งานได้ง่ายแต่ยังมีประสิทธิภาพการตรวจทั้งด้านความไว (sensitivity) ความจำเพาะ (specificity) และความแม่นยำ (accuracy) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานอีกด้วย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีของ PigXY-AMP มีประสิทธิภาพในการตรวจจับเชื้อสูงและแม่นยำ อีกทั้งยังมีขีดจำกัดของการตรวจวัด (limit of detection) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานคือ real- time PCR (Ct = 36-37) คือ การใช้ไพรเมอร์สำหรับเทคนิคแลมป์จำนวน 2 ชุด หรือ 16 เส้น ตรวจจับยีนที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีนหุ้มอนุภาคไวรัส (p72 capsid protein)
[caption id="attachment_49915" align="aligncenter" width="1000"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]
[caption id="attachment_49912" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยผู้พัฒนา PigXY-AMP[/caption]
[caption id="attachment_49913" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]
คุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ หนึ่งในทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. ผู้ร่วมวิจัยหลัก อธิบายว่า จุดเด่นสำคัญของ PigXY-AMP คือมีประสิทธิภาพในการตรวจสูงเทียบเท่าเทคนิค real-time PCR แต่มีราคาถูกกว่า ใช้เวลาตรวจสั้นกว่า (เพียง 70 นาที) ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีราคาสูงและผู้เชี่ยวชาญในการทำงานและอ่านผล อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการใช้ตรวจภาคสนามมากกว่า ทำให้ในภาพรวม PigXY-AMP สามารถช่วยลดต้นทุนด้านการตรวจคัดกรองโรคให้แก่ผู้ประกอบได้เป็นอย่างดี และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีศักยภาพด้านการตลาดในระยะยาวทั้งในไทยและต่างประเทศสูงอีกด้วย โดยช่วงต้นปี 2566 บริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด ได้เข้ารับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนอุปกรณ์ทางการแพทย์กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
“สำหรับการวิจัยต่อยอด หากได้รับการสนับสนุนต่อจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทีมวิจัยมุ่งเป้าที่จะพัฒนาชุดตรวจโรค ASF เพื่อรองรับการตรวจพื้นผิวคอก โรงเรือน และสิ่งแวดล้อมภายในฟาร์มสุกร รวมถึงสิ่งส่งตรวจชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เลือด เพื่อเป็นทางเลือกนอกเหนือจากเทคนิค real-time PCR ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในฟาร์มสุกรให้แก่ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี”
PigXY-AMP เป็นตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเทคโนโลยีที่นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการเฝ้าระวังโรคได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยป้องกันการระบาดของโรค ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการระบาดของโรคภายในประเทศ ทั้งด้านการขาดทุน การขาดแคลนอาหาร รวมไปถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์อาหารไทย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผลงาน PigXY-AMP ได้รับรางวัลประดิษฐ์คิดค้นระดับดี สาขาเกษตรและชีววิทยา จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 ที่จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นเครื่องการันตีประสิทธิภาพของงานวิจัยด้วย
[caption id="attachment_49908" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศจากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566[/caption]
ผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการทำวิจัยต่อยอด ติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ(BBD) โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3301 (คุณลินดา) และติดตามการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้จากบริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เอกสารเผยแพร่

ไดอารี่ สวทช. 2024
Download ไดอารี่ สวทช. 2024 Full 34 MB , บีบอัด 32 MB
Download NSTDA Timeline 2526 - 2566 Timeline 5 MB
เอกสารเผยแพร่

‘FoodSERP’ ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามไทย สร้างนวัตกรรม ‘ส่วนผสมฟังก์ชัน’ จากสมุนไพร-จุลินทรีย์ ผลักดันเวชสำอางไทยสู่สากลตอบโจทย์เทรนด์โลก
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามในตลาดโลกมีมูลค่านับล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดมากกว่า 40% รองลงมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เครื่องสำอาง และน้ำหอมตามลำดับ ในขณะที่เทรนด์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่มุ่งไปหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติและมีนวัตกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย หรือ TCOS (Thai Cosmetic Cluster) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่อง ‘การพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง’ เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมชั้นนำที่ได้มาตรฐานสากลจาก ‘FoodSERP’ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันภายใต้ สวทช. โดยมุ่งใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศเป็นกลไกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน
‘FoodSERP’ พร้อมให้บริการผู้ประกอบการไทยแบบครบวงจร
[caption id="attachment_49759" align="aligncenter" width="550"] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.[/caption]
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัยด้านส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredient) มานานเกือบ 10 ปี เพราะเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพร จุลินทรีย์ หรืออื่น ๆ แต่ที่ผ่านมางานวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เนื่องจากขาดการเชื่อมต่อตรงกลางระหว่างนักวิจัยกับผู้ประกอบการ แต่ปัจจุบันสามารถทำได้แล้วโดยแพลตฟอร์ม FoodSERP
“FoodSERP เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบครบวงจร โดยรวบรวมองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ด้านอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค สำหรับผลิตส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredients) และสารออกฤทธิ์สำคัญ (active ingredients) รวมถึงโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง สำหรับผลิตเวชสำอางที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการตั้งแต่การวิจัยพัฒนา วิเคราะห์ทดสอบ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาด ขยายขนาดการผลิต ไปจนถึงขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์
“ความร่วมมือกับ TCOS ในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะช่วยปิดช่องว่างตรงกลาง ทำให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามสมบูรณ์ขึ้นและขับเคลื่อนไปอย่างถูกทิศทาง เพื่อให้เกิดการพัฒนายกระดับสารสกัดที่ได้มาตรฐานจากสมุนไพรไทยหรือการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ จนถึงเกษตรกร”
ชูสารสกัด ‘บัวบก-กระชายดำ’ ดันสู่ตลาดเวชสำอาง
[caption id="attachment_49758" align="aligncenter" width="550"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.[/caption]
ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนา functional ingredients จากวัตถุดิบสมุนไพรที่มีมากในประเทศสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปี ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรเป้าหมาย 4 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ บัวบก ขมิ้นชัน และไพล โดยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้ให้ความสำคัญและมุ่งศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาสารสกัดจากสมุนไพรโดยเฉพาะบัวบกและกระชายดำ
“บัวบกเป็นพืชที่ปลูกเยอะมากในบ้านเรา ส่วนใหญ่นำมาบริโภคโดยตรง แต่ในต่างประเทศมีการใช้ประโยชน์สารสกัดจากบัวบกในผลิตภัณฑ์ความงามกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีคุณสมบัติชะลอวัย (anti-ageing) ค่อนข้างดี จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากบัวบก ส่วนกระชายดำเป็นที่รู้จักดีในด้านรับประทานเพื่อบำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังไม่ค่อยนำไปใช้ในด้านเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. จึงศึกษาและพัฒนาสารจากกระชายดำ โดยสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสารสำคัญได้สูงถึง 80-90% และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ พบว่าสารสกัดกระชายดำมีฤทธิ์ anti-ageing ดีเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสใหม่ให้กระชายดำสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เวชสำอางเพื่อความงาม
“เมื่อเรามีกระบวนการสกัดที่ดี ควบคุมคุณภาพได้ ทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดได้ว่าสารสกัดนั้นเหมาะที่จะนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านความงาม ด้านการดูแลสุขภาพหรือป้องกันโรค ทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าของสารสกัดในประเทศได้ และเมื่อเรามี functional ingredients แล้วพัฒนาต่อยอดไปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าได้อีกหลายร้อยเท่า”
หนุนใช้ ‘จุลินทรีย์’ เป็นโรงงานผลิตสารออกฤทธิ์คุณภาพสูง
[caption id="attachment_49756" align="aligncenter" width="550"] ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช.[/caption]
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช. ให้ข้อมูลว่า นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังมี functional ingredients และ active ingredients จำนวนมากที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์และใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม โดย active ingredients กลุ่มแรกที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์คือกลุ่มสารให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดแล็กติก (lactic acid) กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) กลุ่มที่สองเป็น active ingredients ที่มีมูลค่าสูง เช่น เรสเวอราทรอล (resveratrol) โคเอนไซม์คิว-10 (coenzyme Q-10) และอีกกลุ่มหนึ่งคือ natural colors เช่น สารสีน้ำเงินอินดิโกอิดีน (indigoidine) จากแบคทีเรีย และสารสีแดงจากข้าวหมักด้วยเชื้อรากลุ่มโมแนสคัส (Monascus)
“การผลิตสารสำคัญจากจุลินทรีย์มีข้อดีคือเราสามารถขยายขนาดการผลิตได้ ควบคุมคุณภาพได้ ลดการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารต่าง ๆ ที่มาจากแหล่งอื่นได้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการทิ้งของเสียออกไป แต่จะกำจัดและควบคุมในกระบวนการผลิต ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของการใช้กระบวนการทางชีวภาพเข้ามาช่วยในการผลิต active ingredients สำหรับกลุ่มเวชสำอาง และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือสารพลอยได้หรือบายโพรดักต์ (by-product) ที่เกิดขึ้น เช่น ในกระบวนการผลิตโพรไบโอติกจะมีบายโพรดักต์เรียกว่า ‘โพสต์ไบโอติก’ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ และกระบวนการทางชีวภาพที่มีการย่อยกรดอะมิโนจะได้เพปไทด์ต่าง ๆ เป็นบายโพรดักต์ สามารถนำไปใช้ฟื้นฟูสภาพผิวได้เช่นกัน”
ดร.กอบกุล ย้ำว่า “อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิต functional ingredients หรือ active ingredients จากจุลินทรีย์ ต้องมีมาตรฐานและต้องขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ซึ่งถือเป็นความท้าทายของนักวิจัยและผู้ประกอบการในการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ต้องเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ทั้งยังต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งความร่วมมือของ สวทช. กับ TCOS ครั้งนี้จะทำให้ FoodSERP มีข้อมูลต่าง ๆ มากเพียงพอในการออกแบบพัฒนากระบวนการผลิตได้อย่างครบวงจร และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการสามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์และจำหน่ายออกสู่ตลาดได้”
ของดีต้องมี ‘เรื่องเล่า’ และคำนึงถึง ‘สิ่งแวดล้อม’
ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS) กล่าวว่า จากการได้มีโอกาสไปดูงานด้านสุขภาพและความงามในประเทศต่าง ๆ พบว่าหลายแห่งไม่ได้มองไปที่ตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เขาจะมองไปที่เรื่องราวด้วย หากสิ่งนั้นมีเรื่องราวที่เล่าได้ยาวนาน มี story telling เขาจะสนใจนำมาศึกษาเพื่อค้นพบความลับที่อยู่ในนั้น และมักจะทำเป็นซีรีส์โดยค่อย ๆ ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาทีละตัวและจะใส่นวัตกรรมเพิ่มเข้าไปในผลิตภัณฑ์ตัวถัดไป ทำให้มีเรื่องราวเล่าได้ต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์หรือสารสกัดพืชสมุนไพรไทยได้เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ผลิตภัณฑ์
“นอกจากนี้เรายังต้องมองเทรนด์ของโลกด้วยว่าโลกตอนนี้กำลังตื่นตัวกันด้วยเรื่องอะไร สำหรับในปัจจุบันเรากำลังตื่นตัวในเรื่องของการทำให้โลกอยู่อย่างยั่งยืน ลดขยะ ลดการใช้พลาสติก ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตที่ลดความฟุ่มเฟือย ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ จนเกิดเป็นเทรนด์ที่เรียกว่า ‘solid cosmetic’ ที่ใช้บรรจุภัณฑ์น้อยลง ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยเราจะต้องตื่นตัว ไม่ใช่เป็นเพียงแฟชั่น หากแต่ว่าเป็นความรับผิดชอบในระยะยาวที่เราต้องคำนึงถึงว่าแบรนด์ของเราจะสร้างผลกระทบอย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันเรายังมีโอกาสในการรับจ้างผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ต่างประเทศ เราจึงต้องคำนึงถึงโจทย์ต่าง ๆ ที่แบรนด์เขาให้ความสนใจด้วย”
[caption id="attachment_49761" align="aligncenter" width="550"] ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)[/caption]
ด้าน ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญในการทำ story telling คือต้องเล่าในสิ่งที่คนอยากจะฟัง และหัวใจหลักในการทำธุรกิจก็คือต้องฟังผู้บริโภคให้มาก เอาความต้องการของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง และเล่าเรื่องให้ตรงตามที่ใจเขาต้องการ โดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นจุดแข็ง
“การเปิดโอกาสให้แก่สตาร์ตอัปรุ่นใหม่ ๆ รวมถึงนักวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ได้มาร่วมกันคิดเพิ่มขึ้น จะช่วยพัฒนาให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสารสกัดของไทยเติบโตได้เร็วขึ้นและก้าวกระโดด ซึ่งการที่ สวทช. และ TCOS ได้มีความร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่เอสเอ็มอีและสตาร์ตอัปรายใหม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองและเติบโตไปในอนาคตได้”
[caption id="attachment_49757" align="aligncenter" width="550"] ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]
ท้ายสุด กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ได้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าด้านเครื่องสำอางและความงามในระดับโลก แต่สินค้าส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เกาหลี หลายแบรนด์ใช้วัตถุดิบที่มีมากในประเทศไทยอย่างเช่น ซิกา (cica) จากบัวบก แต่ขณะเดียวกันปัญหาสำคัญในเรื่องวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ของไทยที่ไปจัดแสดงในต่างประเทศได้จะต้องมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็งรองรับ
“การที่ สวทช. กับ TCOS ได้ร่วมมือกันจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ อาจเป็นภาพลักษณ์ที่ประเทศไทยจะเริ่มมีวัตถุดิบผลิตเครื่องสำอางเป็นของตัวเอง และมีไทยพาวิลเลียนที่จัดแสดง active ingredients ของไทยทั้งหมดอยู่ในงานระดับโลก”
[caption id="attachment_49760" align="aligncenter" width="550"] กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ร่วมจุฬาฯ พัฒนา ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (Zinc-ion Battery)’ จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร
For English-version news, please visit : Zinc-ion battery made from materials recovered from spent battery and biomass waste
กรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะถ่านไฟฉายธรรมดา (zinc carbon battery) และประเภทแอลคาไล (alkaline battery) ซึ่งเป็นถ่านชนิดปฐมภูมิหรือไม่สามารถอัดประจุซ้ำเพื่อใช้งานใหม่ได้ มากถึง 5 ตันต่อเดือน แต่โดยทั่วไปแล้วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีการรีไซเคิลส่วนประกอบของถ่านทั้ง 2 ชนิดมาใช้ประโยชน์แค่เฉพาะส่วนห่อหุ้มแบตเตอรี่ (packaging) ที่เป็นอะลูมิเนียมและสเตนเลสเท่านั้น การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการรีไซเคิลวัสดุส่วนประกอบอื่น ๆ ภายในแบตเตอรี่ เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างคุ้มค่าแก่การลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดทั้งการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_49743" align="aligncenter" width="700"] ถ่านไฟฉายที่ผ่านการใช้งานแล้ว[/caption]
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม เดินหน้าวิจัยและพัฒนากระบวนการรีไซเคิลธาตุสังกะสีและแมงกานีสซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของถ่านธรรมดาและถ่านแอลคาไล สำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (zinc-ion battery) เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน โดยในกระบวนการผลิตยังได้พัฒนากระบวนการแปรรูปชีวมวล (biomass) ของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารให้เป็นถ่านกัมมันต์ (activated carbon) ประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแก่แบตเตอรี่ที่ผลิตอีกด้วย ทั้งนี้การดำเนินงานได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ปัจจุบันการผลิต zinc-ion battery จากวัสดุเหลือทิ้งประสบความสำเร็จในระดับห้องทดลองแล้ว
คืนชีพขยะแบตเตอรี่ ลดใช้ทรัพยากร ลดปล่อย CO2
ถ่านไฟฉายทั้งชนิดธรรมดาและแอลคาไลมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ คือสังกะสีและแมงกานีส โดยในถ่านธรรมดามีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 30 และ 40 ขณะที่ถ่านแอลคาไลมีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 15 และ 55 ตามลำดับ ดังนั้นหากนำสารประกอบเหล่านี้มารีไซเคิลได้ จะช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_49740" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัย เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน เอ็นเทค สวทช. (อดีตทีมวิจัยภายใต้สังกัดศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช.) ในฐานะทีมวิจัยหลัก กล่าวว่า การนำขยะถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลมารีไซเคิลเป็นแบตเตอรี่แบบอัดประจุซ้ำได้ ริเริ่มโดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช., ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม (อดีตผู้อำนวยการ NSD สวทช.) และ รศ. ดร.รจนา พรประเสริฐสุข คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทีมวิจัยได้ร่วมกันพัฒนากระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ทั้ง 2 ชนิดข้างต้น เพื่อนำธาตุสังกะสีและแมงกานีสมาใช้ประโยชน์ในการผลิต zinc-ion battery ซึ่งเป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง และมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมพลังงานอย่างยิ่งในอนาคต
“ในการรีไซเคิลสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลทีมวิจัยได้เลือกใช้กระบวนการละลายน้ำ (hydrometallurgy process) ที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำในการทำละลายสารประกอบ ก่อนใช้กระบวนการตกตะกอนหรือการแยกสารด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้าในการแยกเอาธาตุทั้ง 2 ออกจากสารประกอบอื่น ๆ โดยจากกระบวนการที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นสามารถแยกสังกะสีและแมงกานีสออกมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้รวมแล้วมากกว่าร้อยละ 50 และอาจสูงถึงร้อยละ 70 ในกรณีถ่านแอลคาไล”
นอกจากการพัฒนากระบวนการแยกธาตุสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายมาใช้เป็นวัสดุหลักในการผลิต zinc-ion battery แล้ว ทีมวิจัยยังได้ร่วมกันพัฒนา ‘กระบวนการรีไซเคิลชีวมวล’ ซึ่งเป็นของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่มีอยู่มากในประเทศไทยมาใช้ประโยชน์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟฟ้าแก่ zinc-ion battery ที่ผลิตอีกด้วย
[caption id="attachment_49736" align="aligncenter" width="700"] ชีวมวล (biomass)[/caption]
ดร.ชาคริต กล่าวว่า ชีวมวลมีจุดแข็งคือเป็นแหล่งคาร์บอนคุณภาพสูง ในการทำวิจัยทีมได้นำ กากกะลาปาล์ม กากไผ่ และกากกาแฟ ที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 40 ‘มาเข้ากระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ’ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด โดยในขณะเผาจะใช้สารกระตุ้นเพื่อให้ได้คาร์บอนหรือถ่านที่มีรูพรุนขนาดนาโนปริมาณมาก หรือมีปริมาณพื้นผิวสูงเหมาะแก่การใช้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ซึ่งโดยทั่วไปมีการเรียกคาร์บอนที่ได้นี้ว่า ‘ถ่านกัมมันต์’
[caption id="attachment_49738" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ[/caption]
[caption id="attachment_49737" align="aligncenter" width="700"] ถ่านกัมมันต์ (activated carbon)[/caption]
“หลังจากได้ส่วนประกอบทั้ง 3 จากกระบวนการรีไซเคิลแล้ว ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานมาออกแบบกระบวนการผลิต zinc-ion battery โดยนำสังกะสีมาใช้ในการผลิตขั้วลบ (cathode) และนำแมงกานีสมาแปรรูปเป็นแมงกานีสไดออกไซด์ (MnO2) ก่อนผสมเข้ากับถ่านกัมมันต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้า ปัจจุบันทีมวิจัยสามารถผลิต zinc-ion battery ในระดับห้องปฏิบัติการได้แล้ว โดยแบตเตอรี่ที่ผลิตได้มีแรงดันที่ 1.2 V และมีความจุที่ 180-200 mAh/g ชาร์จซ้ำได้มากกว่า 1,000 รอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างวิจัยขยายผลยกระดับกระบวนการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม”
[caption id="attachment_49734" align="aligncenter" width="700"] ส่วนประกอบของแบตเตอรี่[/caption]
[caption id="attachment_49739" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า[/caption]
Zinc-ion battery อุปกรณ์กักเก็บพลังงานเพื่อความมั่นคงของประเทศ
ปัจจุบันหากพูดถึงแบตเตอรี่อัดประจุซ้ำได้ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ที่ใช้ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เช่น สมาร์ตโฟน แล็ปท็อป ยานยนต์ไฟฟ้า เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ขึ้นชื่อเรื่องการอัดประจุได้มากและมีน้ำหนักเบา แต่ขณะเดียวกันยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกหลายชนิดไม่สามารถใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้ เนื่องด้วยจุดอ่อนด้านความปลอดภัย เพราะหากแบตเตอรี่ชนิดนี้บิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูง จะมีโอกาสติดไฟหรือระเบิด ดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ
ดร.ชาคริต กล่าวว่า ด้วยธรรมชาติของวัสดุที่ใช้ในการผลิต zinc-ion battery มีน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก ทำให้แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะแก่การใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานแบบตั้งอยู่กับที่ ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง หรือใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยเป็นอย่างมาก เพราะ zinc-ion battery ทนทานต่อทั้งความร้อนและความชื้น โดยหากเกิดการฉีดขาดหรือชำรุดจะไม่ระเบิดหรือติดไฟ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่เหมาะแก่การใช้งาน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เพื่อการใช้งานภายในบ้าน (battery for home energy storage system) ระบบสำรองไฟฟ้าแบบกริด (grid energy storage) ทั้งเพื่อการใช้งานในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูง อาทิ แบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภารกิจทหาร การใช้เป็นแหล่งพลังงานในแท่นขุดเจาะน้ำมัน
[caption id="attachment_49742" align="aligncenter" width="700"] ระบบสำรองไฟฟ้า (energy storage)[/caption]
[caption id="attachment_49741" align="aligncenter" width="700"] แท่นขุดเจาะน้ำมัน[/caption]
“นอกจากนี้เทคโนโลยีการผลิต zinc-ion battery จะยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศไทย เพราะหากเกิดเหตุวิกฤตที่ไม่สามารถนำเข้าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนหรือวัสดุสำหรับผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้ได้ (ไทยไม่มีแหล่งทรัพยากรธาตุลิเทียมเป็นของตัวเอง) คนไทยจะยังมีความพร้อมในการผลิต zinc-ion battery เพื่อใช้ทดแทนสูง ซึ่งวัตถุดิบในการผลิตที่ใช้ได้นอกจากวัสดุรีไซเคิลที่มีอยู่เยอะแล้ว ประเทศไทยยังมีความพร้อมด้านแหล่งทรัพยากรแร่ที่ใช้ในการผลิต โดยมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่สังกะสี 260,248 เมตริกตัน และมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่แมงกานีสสูงถึง 18.2 ล้านเมตริกตัน ตามการรายงานของกองทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี ในปี 2565”
การวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร’ เป็นหนึ่งในการทำวิจัยเพื่อขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนากระบวนการผลิตที่คำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีในด้านการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และช่วยลดข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี
ดร.ชาคริต กล่าวทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัยคาดว่างานวิจัยจะแล้วเสร็จพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยนอกจากกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงนามความร่วมมือในการทำวิจัยแล้ว ยังมีบริษัทเอกชนชั้นนำของไทยอีกหลายแห่งที่ติดตามการทำงานวิจัยนี้ เพื่อวางแผนในการนำไปใช้เป็นระบบกักเก็บพลังงานเช่นกัน
สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่ ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ อีเมล chakrit.sri@entec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. จับมือ SMBC แบงก์ชั้นนำของญี่ปุ่น เสริมแกร่งกำลังคน พัฒนาการวิจัยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA and Sumitomo Mitsui Banking Corporation establish partnership to strengthen research and human resource development to advance BCG agenda
(วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยได้รับเกียรติจาก นายเคนทาโร นากาอิ เลขานุการเอกด้านดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยาน
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีระหว่าง สวทช. และ SMBC โดยสวทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยผ่านการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบความมุ่งมั่นของเรา เราปรับตัวให้เข้ากับวาระการพัฒนาที่สำคัญของประเทศ รวมถึงโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) แผนแม่บท AI แห่งชาติ (the National AI Masterplan) และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (the Eastern Economic Corridor)
ทั้งนี้ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในงานวิจัยสาขาต่าง ๆ ของ สวทช. ดำเนินงานใน 5 สาขาเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล วัสดุ นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีพลังงาน (Biotechnology, Digital, Materials, Nanotechnology and Energy Technology) ตลอดจนกิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างการแก้ไขปัญหาให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายและสังคมโดยรวม สวทช. จึงตระหนึกถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกับพันธมิตรว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว อาจไม่ช่วยให้เรานำเสนอการแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างเต็มศักยภาพ เราต้องการพันธมิตรที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของอุตสาหกรรมและชุมชน ให้ความเชื่อมโยง ตลอดจนจัดหากลไกสนับสนุน เช่น คำแนะนำทางธุรกิจ การสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุน
“เรามีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ SMBC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการแก้ปัญหาระดับโลกที่มีชื่อเสียง และมีเครื่องมือทางการเงินและบริการสนับสนุนที่หลากหลาย รวมถึงทุ่มเทอย่างลึกซึ้งในการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจของลูกค้า ได้ตัดสินใจที่จะกระชับความร่วมมือให้ดียิ่งขึ้นกับพวกเรา อย่างไรก็ดีด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจในวันนี้ เราให้คำมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SMBC ในการประสานและเสริมสร้างจุดแข็งและความสามารถร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น ทั้งไทยและญี่ปุ่น” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ครั้งนี้เพื่อแสดงความร่วมมือในการส่งเสริมการลงทุน บริษัทของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่ง SMBC เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ สวทช.
ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ดังกล่าว SMBC จะแนะนำลูกค้าที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจในประเทศไทยให้กับ สวทช. โดย SMBC จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาการวิจัยและพัฒนา การสรรหาบุคลากร การพัฒนาบุคลากรและทำงานร่วมกับ สวทช. เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ผ่านการจัดสัมมนา
“ในปี 2566 ถือเป็นวันครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในฐานะธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่น การจัดทำ MOU นี้เราต้องการที่จะเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้มากขึ้น และมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและโมเดลเศรษฐกิจ BCG ผ่านความร่วมมือกับ สวทช. ทั้งนี้ SMBC ในฐานะสถาบันการเงินญี่ปุ่น เรามีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสานต่อกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทญี่ปุ่น และมีส่วนช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพเพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย”
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

BCG เครื่องมือแพทย์ มอบเครื่อง DentiiScan Duo ให้ รพ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เพื่อบริการประชาชน
For English-version news, please visit : NSTDA presents DentiiScan Duo to Laemsing Hospital
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จ.จันทบุรี: ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะนักวิจัย จากทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (MIS), A-MED ได้ร่วมกันมอบเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงาน ทันตกรรม หรือ DentiiScan Duo (เดนตีสแกน รุ่นดูโอ)
ภายใต้ โครงการสร้างความเชื่อมั่นเครื่องมือแพทย์ไทยให้ โรงพยาบาลแหลมสิงห์ เพื่อบริการประชาชน โดยมี นายแพทย์ณัฐกาญจน์ วิเศษฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแหลมสิงห์ และทันตแพทย์วันชนะ สว่างหล้า เป็นผู้รับมอบ ซึ่งคณะกรรมการผู้พิจารณาได้เล็งเห็นว่า แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลแหลมสิงห์ มีความตั้งใจและมีความพร้อมที่จะใช้เครื่อง DentiiScan Duo ให้บริการประชาชนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งมีการให้บริการทันตกรรมรากฟันเทียมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 คณะนักวิจัยได้ติดตั้งและอบรมการใช้งานเเครื่อง DentiiScan Duo ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ถึง 2 พฤศจิกายน 2566
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงานทันตกรรม DentiiScan Duo วิจัยพัฒนาขึ้นมา โดยทีมวิจัย MIS, ศูนย์เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. เพื่อรองรับการติดตั้งใช้งานในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีขนาดพื้นที่จำกัด ตอบสนองความต้องการฟังก์ชันการถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องปากทั้งสองมิติและสามมิติ สามารถถ่ายภาพเอกซเรย์สองมิติแบบพาโนรามิก หรือ ถ่ายภาพรังสีปริทัศน์ (Panoramic Radiography) และถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบลำรังสีทรงกรวย (CBCT หรือ Cone-Beam CT) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดบริเวณช่องปากและใบหน้า อาทิเช่น ทันตกรรมรากฟันเทียม (Dental Implant), การผ่าตัดฟันคุดและฟันฝัง, ทันตกรรมรักษารากฟัน (Endodontics) และการรักษาทางทันตกรรมทั่วไป
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

“เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่าง” นวัตกรรมกู้วิกฤตอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
For English-version news, please visit : Diagnostic technology offers solutions for combating cassava mosaic disease
“มันสำปะหลัง” เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเพราะเป็นทั้งอาหารคน อาหารสัตว์ และเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในหลายอุตสาหกรรม อีกทั้งประเทศไทยยังครองอันดับหนึ่งผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องเผชิญวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดการระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้ผลผลิตลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดเพื่อนำมาปลูกต่อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศในไม่ช้าหากไม่เร่งป้องกันและแก้ไข
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการระบาดของโรคใบด่าง และช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ
‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ วิกฤตใหญ่ของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
[caption id="attachment_48448" align="aligncenter" width="700"] นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สท. สวทช. ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัยไบโอเทค ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยไบโอเทค และ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัยไบโอเทค[/caption]
ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่าโรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึ่งมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรค โดยเริ่มพบการระบาดบริเวณชายแดนของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2561 แต่ปัจจุบันพบว่ามีการระบาดไปทั่วทุกภูมิภาคที่มีการเพาะปลูกมันสำปะหลัง สาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นวงกว้างเกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ หากระบาดรุนแรงอาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้มากถึง 30-80 เปอร์เซ็นต์
[caption id="attachment_48454" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]
[caption id="attachment_48453" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]
“มันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างจะมีลักษณะใบด่างเหลือง ใบหงิก ลดรูป ลำต้นแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต จำนวนหัวและขนาดของผลผลิตลดลง คุณภาพของแป้งลดลง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เกษตรกรสูญเสียผลผลิตและรายได้ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับป้อนเข้าโรงงาน นอกจากนี้เกษตรกรยังขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดสำหรับปลูกในฤดูกาลถัดไป ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจตามมาอีกมาก ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. จึงได้พัฒนาชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังเพื่อช่วยเกษตรกรเฝ้าระวังโรคใบด่างในแปลงปลูกและใช้คัดกรองท่อนพันธุ์ก่อนนำไปปลูกเพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายไปกับท่อนพันธุ์”
ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง อาวุธสกัดโรคระบาดในไร่มัน
ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคการตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง 2 รูปแบบ แบบแรกใช้เทคนิคอิไลซา (ELISA) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความถูกต้อง ราคาไม่แพง มีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ สามารถตรวจได้ 96 ตัวอย่างในคราวเดียว โดยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบการโรงแป้งมันสำปะหลัง หน่วยงานราชการ และมหาวิทยาลัย โดยจัดตั้งเป็นศูนย์ตรวจที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรในการเฝ้าระวังโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่เพาะปลูกและการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค
[caption id="attachment_48449" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง[/caption]
ส่วนรูปแบบที่ 2 คือ ชุดตรวจแบบรวดเร็วหรือสตริปเทสต์ (Strip test) ที่ใช้งานง่าย มีความไวสูง ความแม่นยำสูง และรู้ผลเร็ว เกษตรกรนำไปใช้ตรวจได้เองในแปลงปลูก โดยนำใบพืชมาบดในสารละลายที่เตรียมไว้ในชุดตรวจ จากนั้นจุ่มตัว Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืช และรออ่านผล 15 นาที หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C เพียงที่เดียว แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง T และ C แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากเกษตรกรตรวจพบว่ามีโรคใบด่างในแปลงได้เร็วก็สามารถทำลายต้นที่เป็นโรคได้ทันทีเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดหรือแพร่กระจายเชื้อไปในวงกว้าง
[caption id="attachment_48455" align="aligncenter" width="800"] วิธีใช้ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]
สวทช. ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน ช่วยเกษตรกรสู้โรคใบด่างมันสำปะหลัง
นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันโรคใบด่างมันสำปะหลังถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศไทย โดยในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาโรคนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก เทคโนโลยีป้องกันและควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังจึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความต้องการมากที่สุดในขณะนี้
“ชุดตรวจโรคใบด่างที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช.พัฒนาขึ้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าแปลงมันสำปะหลังของตนเองนั้นติดโรคใบด่างหรือไม่ หากพบว่าติดโรคใบด่างก็สามารถถอนทำลายต้นพันธุ์ทิ้งได้ทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่แปลงปลูกข้างเคียงและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยปัจจุบัน สท. ได้นำเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดการแปลงมันสำปะหลังอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ในพื้นที่ดังกล่าว”
[caption id="attachment_48452" align="aligncenter" width="650"] เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลัง ทดลองการใช้ชุดตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ที่ทีมนักวิชาการ สวทช. ลงไปอบรมในพื้นที่[/caption]
นอกจากนี้ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาดำเนินการจัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยเทคนิค ELISA แล้ว 6 แห่ง คือ บริษัทสงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด จังหวัดนครราชสีมา บริษัทเอฟ ดี กรีน ในเครือบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดกำแพงเพชร บริษัทเอเซียโมดิไฟด์สตาร์ช จำกัด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานสภาเกษตรกร จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี โดยทีมวิจัยไบโอเทคทำหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำเชิงเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่รับถ่ายทอดนำเทคโนโลยีชุดตรวจไปใช้ในการตรวจสอบโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[caption id="attachment_48458" align="aligncenter" width="1000"] การตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังในแปลงผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาดจะช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ[/caption]
การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงทีอย่างเช่นเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง ช่วยลดผลกระทบรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมของไทย และทำให้ประเทศพึ่งพาตนเองได้ในยามวิกฤต สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
หน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่สนใจเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหัง สามารถติดต่อทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 025646700 ต่อ 3342
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง ติดตามผลได้ทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์
การเพาะเลี้ยงกุ้งให้ประสบความสำเร็จมีอัตราการอยู่รอดสูง สิ่งสำคัญคือเกษตรกรจะต้องคอยติดตามการเจริญเติบโตและปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด โดยยกยอขึ้นจากบ่อเพาะเลี้ยงทุกบ่อวันละหลายครั้งเพื่อตรวจสอบการกินอาหารของกุ้ง เพราะปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย อุณหภูมิของน้ำ รวมถึงสุขภาพของกุ้ง ณ ขณะนั้น ซึ่งหากให้อาหารในปริมาณที่น้อยเกินไปจะส่งผลให้กุ้งเติบโตช้า และหากให้มากเกินไปจะส่งผลให้น้ำในบ่อเลี้ยงเน่าเสียซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกุ้ง และยังสิ้นเปลืองค่าอาหารที่เป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของการเพาะเลี้ยงโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พัฒนา ‘ระบบยกยออัตโนมัติ (Automatic Feeding-tray Lifting System)’ อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) สำหรับยกยอขึ้นถ่ายภาพและส่งภาพถ่ายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังแอปพลิเคชัน LINE เพื่อช่วยลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง และช่วยให้ผู้ประกอบการติดตามผลการเพาะเลี้ยงได้จากทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์
[caption id="attachment_48235" align="aligncenter" width="650"] เจริญมิตร วรเดช[/caption]
เจริญมิตร วรเดช นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ตัวเครื่องของ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ มีลักษณะเป็นชุดอุปกรณ์น้ำหนักเบาติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ ติดตั้งได้ง่าย ไม่ต้องก่อสร้างโครงสร้างเพิ่มเติมเพื่อรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ อุปกรณ์หลักประกอบด้วยกล่องควบคุมที่มีระบบสมองกลฝังตัวอยู่ภายในสำหรับสั่งการทำงาน กล้องสำหรับถ่ายภาพ เซนเซอร์สำหรับกำหนดระยะการยกยอจากผิวน้ำ และตัวยอที่ใช้ในการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป
“กลไกการทำงานของระบบ คือ กล่องควบคุมจะสั่งการให้ระบบยกยอขึ้นมาจนถึงตำแหน่งที่มีเซนเซอร์ตรวจจับซึ่งเป็นตำแหน่งที่พอดีกับระยะโฟกัสของกล้อง จากนั้นกล้องจะถ่ายภาพแล้วส่งเข้าระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อจัดส่งข้อมูลไปให้เจ้าของฟาร์มหรือผู้ดูแลระบบผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งการยกยอขึ้นมาถ่ายภาพแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15 วินาทีเท่านั้น ผู้ดูแลฟาร์มสามารถกำหนดความถี่ในการถ่ายภาพแบบอัตโนมัติได้สูงสุดทุก 30 นาที หรือหากต้องการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ ก็สั่งการทำงานจากระบบควบคุมที่ตัวเครื่อง หรือสั่งผ่านแชตบอตในแอปพลิเคชัน LINE ให้ถ่ายภาพ ณ ขณะนั้นได้ทันที”
[caption id="attachment_48233" align="aligncenter" width="650"] รูปภาพยอที่ถ่ายโดยระบบยกยออัตโนมัติ[/caption]
อุปกรณ์ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน ทีมวิจัยเลือกใช้อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพงในการผลิต เพื่อให้เกษตรกรเปลี่ยนหรือซ่อมแซมอุปกรณ์เมื่อชำรุดได้ด้วยตัวเอง โดยอุปกรณ์ IoT รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทั้งระบบ WIFI สาย LAN และการใส่ SIM Card ส่วนด้านระบบพลังงาน ชุดอุปกรณ์รองรับทั้งกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าและจากโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ แล้ว
[caption id="attachment_48236" align="aligncenter" width="650"] วรากร คำแก้ว[/caption]
วรากร คำแก้ว นักวิจัยทีม DAT เนคเทค สวทช. อธิบายเพิ่มเติมว่า เพื่อยกระดับการทำงานของอุปกรณ์ IoT ไปอีกขั้น สิ่งที่ทีมวิจัยกำลังพัฒนาต่อคือ ทำให้ระบบวิเคราะห์ขนาดและน้ำหนักของกุ้งตัวอย่างในยอได้อัตโนมัติ ผ่านการใช้ AI ตรวจจับตำแหน่งและนับปริมาณกุ้ง และใช้ระบบ image processing วิเคราะห์ขนาดความยาวของกุ้งแต่ละตัว โดยใช้ข้อมูลจากกรมประมงมาแปลงความยาวของตัวกุ้งเป็นน้ำหนักของกุ้งแต่ละตัวโดยประมาณ ซึ่งข้อมูลด้านน้ำหนักจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการติดตามอัตราการเจริญเติบโต อย่างไรก็ตามการวิจัยในส่วนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบภาคสนามเพื่อพัฒนาความแม่นยำในการวิเคราะห์ผล ซึ่งหลังจากการวิจัยและพัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว สามารถติดตั้งฟังก์ชันนี้เข้าไปเพิ่มเติมในระบบประมวลผลเดิมได้
[caption id="attachment_48240" align="aligncenter" width="650"] ระบบวิเคราะห์ขนาดของกุ้ง[/caption]
‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เพื่อการใช้งานด้านการถ่ายภาพและจัดส่งภาพให้ผู้ดูแลระบบการเพาะเลี้ยงแบบอัตโนมัติ ผ่านการทดสอบการใช้งานจริงที่ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนาเรียบร้อยแล้วจำนวน 9 รอบการเลี้ยง จนปัจจุบันระบบมีความเสถียร ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมากจากผู้ใช้งานจริง
[caption id="attachment_48242" align="aligncenter" width="500"] อลิสา มากศรี[/caption]
อลิสา มากศรี นักวิชาการและเจ้าหน้าที่โครงการ ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนา เล่าในมุมมองของผู้ประกอบการที่ได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์ตั้งแต่ช่วงปี 2564 จนถึงปัจจุบัน หรือใช้มาแล้วรวม 9 รอบการเลี้ยงว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่ค่อย ๆ ผ่านการพัฒนาจากความต้องการของผู้ใช้งานจริง จนปัจจุบันอุปกรณ์มีความเสถียรและช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ตนเองสามารถเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเป็นระยะยาวได้โดยไม่ต้องกังวลใจ เพราะตรวจสอบคุณภาพการเพาะเลี้ยงได้ผ่านมือถือจากทุกที่ทุกเวลา
“ข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายไม่เพียงบอกได้ว่ามีการให้อาหารมากเกินจนตกค้างหรือไม่ ปริมาณของขี้กุ้งที่ผ่านการตักขึ้นมาบนยอยังใช้บ่งชี้ถึงการได้รับอาหารในปริมาณที่พอดี น้อยไป หรือมากไป สีของตัวกุ้งที่เปลี่ยนแปลงไปบอกได้ถึงอุณหภูมิของน้ำที่ไม่เหมาะสม และหากกุ้งมีลักษณะตัวหดเกร็งหรือมีอาการเป็นตะคริวก็สันนิษฐานถึงการขาดสารอาหารบางประเภทได้อีกด้วย”
แม้ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ อาจยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีแรงงานจำนวนมากเพียงพอต่อการดูแลกุ้งทุกบ่อได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง แต่อุปกรณ์ชนิดนี้จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนผู้ประกอบการก้าวสู่การทำเกษตรแม่นยำ (smart agriculture) ช่วยให้ผู้ดูแลระบบปรับเปลี่ยนกระบวนการเพาะเลี้ยงได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ช่วยลดภาระงานซ้ำซาก ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรสมัยใหม่อีกด้วย
วรากร กล่าวทิ้งท้ายว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยเพื่อสนับสนุนการทำเกษตรของคนในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน นำไปสู่การทำน้อยแต่ได้มากตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการวิจัยจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณในการวิจัยและการพัฒนาอุปกรณ์ การทดสอบใช้งานภาคสนาม และการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังเสาะหาช่องทางการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐและเอกชนในการขยายผลสู่การเปิดให้ใช้งานเทคโนโลยีในรูปแบบสาธารณประโยชน์ (open source) เพื่อให้เกษตรกรไทยมีโอกาสเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการทำการเกษตรอย่างทั่วถึง
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยี รับถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ คุณเจริญมิตร วรเดช เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 หรืออีเมล info@nectec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น