หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ร่วมจุฬาฯ พัฒนา ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (Zinc-ion Battery)’ จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร
For English-version news, please visit : Zinc-ion battery made from materials recovered from spent battery and biomass waste   กรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะถ่านไฟฉายธรรมดา (zinc carbon battery) และประเภทแอลคาไล (alkaline battery) ซึ่งเป็นถ่านชนิดปฐมภูมิหรือไม่สามารถอัดประจุซ้ำเพื่อใช้งานใหม่ได้ มากถึง 5 ตันต่อเดือน แต่โดยทั่วไปแล้วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีการรีไซเคิลส่วนประกอบของถ่านทั้ง 2 ชนิดมาใช้ประโยชน์แค่เฉพาะส่วนห่อหุ้มแบตเตอรี่ (packaging) ที่เป็นอะลูมิเนียมและสเตนเลสเท่านั้น การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการรีไซเคิลวัสดุส่วนประกอบอื่น ๆ ภายในแบตเตอรี่ เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างคุ้มค่าแก่การลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดทั้งการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_49743" align="aligncenter" width="700"] ถ่านไฟฉายที่ผ่านการใช้งานแล้ว[/caption] สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม เดินหน้าวิจัยและพัฒนากระบวนการรีไซเคิลธาตุสังกะสีและแมงกานีสซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของถ่านธรรมดาและถ่านแอลคาไล สำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (zinc-ion battery) เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน โดยในกระบวนการผลิตยังได้พัฒนากระบวนการแปรรูปชีวมวล (biomass) ของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารให้เป็นถ่านกัมมันต์ (activated carbon) ประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแก่แบตเตอรี่ที่ผลิตอีกด้วย ทั้งนี้การดำเนินงานได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ปัจจุบันการผลิต zinc-ion battery จากวัสดุเหลือทิ้งประสบความสำเร็จในระดับห้องทดลองแล้ว    คืนชีพขยะแบตเตอรี่ ลดใช้ทรัพยากร ลดปล่อย CO2 ถ่านไฟฉายทั้งชนิดธรรมดาและแอลคาไลมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ คือสังกะสีและแมงกานีส โดยในถ่านธรรมดามีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 30 และ 40 ขณะที่ถ่านแอลคาไลมีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 15 และ 55  ตามลำดับ ดังนั้นหากนำสารประกอบเหล่านี้มารีไซเคิลได้ จะช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_49740" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัย เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน เอ็นเทค สวทช. (อดีตทีมวิจัยภายใต้สังกัดศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช.) ในฐานะทีมวิจัยหลัก กล่าวว่า การนำขยะถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลมารีไซเคิลเป็นแบตเตอรี่แบบอัดประจุซ้ำได้ ริเริ่มโดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช., ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม (อดีตผู้อำนวยการ NSD สวทช.) และ รศ. ดร.รจนา พรประเสริฐสุข คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทีมวิจัยได้ร่วมกันพัฒนากระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ทั้ง 2 ชนิดข้างต้น เพื่อนำธาตุสังกะสีและแมงกานีสมาใช้ประโยชน์ในการผลิต zinc-ion battery ซึ่งเป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง และมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมพลังงานอย่างยิ่งในอนาคต “ในการรีไซเคิลสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลทีมวิจัยได้เลือกใช้กระบวนการละลายน้ำ (hydrometallurgy process) ที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำในการทำละลายสารประกอบ ก่อนใช้กระบวนการตกตะกอนหรือการแยกสารด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้าในการแยกเอาธาตุทั้ง 2 ออกจากสารประกอบอื่น ๆ โดยจากกระบวนการที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นสามารถแยกสังกะสีและแมงกานีสออกมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้รวมแล้วมากกว่าร้อยละ 50 และอาจสูงถึงร้อยละ 70 ในกรณีถ่านแอลคาไล” นอกจากการพัฒนากระบวนการแยกธาตุสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายมาใช้เป็นวัสดุหลักในการผลิต zinc-ion battery แล้ว ทีมวิจัยยังได้ร่วมกันพัฒนา ‘กระบวนการรีไซเคิลชีวมวล’ ซึ่งเป็นของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่มีอยู่มากในประเทศไทยมาใช้ประโยชน์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟฟ้าแก่ zinc-ion battery ที่ผลิตอีกด้วย   [caption id="attachment_49736" align="aligncenter" width="700"] ชีวมวล (biomass)[/caption]   ดร.ชาคริต กล่าวว่า ชีวมวลมีจุดแข็งคือเป็นแหล่งคาร์บอนคุณภาพสูง ในการทำวิจัยทีมได้นำ กากกะลาปาล์ม กากไผ่ และกากกาแฟ  ที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 40 ‘มาเข้ากระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ’ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด โดยในขณะเผาจะใช้สารกระตุ้นเพื่อให้ได้คาร์บอนหรือถ่านที่มีรูพรุนขนาดนาโนปริมาณมาก หรือมีปริมาณพื้นผิวสูงเหมาะแก่การใช้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ซึ่งโดยทั่วไปมีการเรียกคาร์บอนที่ได้นี้ว่า ‘ถ่านกัมมันต์’   [caption id="attachment_49738" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ[/caption]   [caption id="attachment_49737" align="aligncenter" width="700"] ถ่านกัมมันต์ (activated carbon)[/caption]   “หลังจากได้ส่วนประกอบทั้ง 3 จากกระบวนการรีไซเคิลแล้ว ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานมาออกแบบกระบวนการผลิต zinc-ion battery โดยนำสังกะสีมาใช้ในการผลิตขั้วลบ (cathode) และนำแมงกานีสมาแปรรูปเป็นแมงกานีสไดออกไซด์ (MnO2) ก่อนผสมเข้ากับถ่านกัมมันต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้า ปัจจุบันทีมวิจัยสามารถผลิต zinc-ion battery ในระดับห้องปฏิบัติการได้แล้ว โดยแบตเตอรี่ที่ผลิตได้มีแรงดันที่ 1.2 V และมีความจุที่ 180-200 mAh/g ชาร์จซ้ำได้มากกว่า 1,000 รอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างวิจัยขยายผลยกระดับกระบวนการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม”     [caption id="attachment_49734" align="aligncenter" width="700"] ส่วนประกอบของแบตเตอรี่[/caption]   [caption id="attachment_49739" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า[/caption] Zinc-ion battery อุปกรณ์กักเก็บพลังงานเพื่อความมั่นคงของประเทศ ปัจจุบันหากพูดถึงแบตเตอรี่อัดประจุซ้ำได้ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ที่ใช้ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เช่น สมาร์ตโฟน แล็ปท็อป ยานยนต์ไฟฟ้า เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ขึ้นชื่อเรื่องการอัดประจุได้มากและมีน้ำหนักเบา แต่ขณะเดียวกันยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกหลายชนิดไม่สามารถใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้ เนื่องด้วยจุดอ่อนด้านความปลอดภัย เพราะหากแบตเตอรี่ชนิดนี้บิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูง จะมีโอกาสติดไฟหรือระเบิด ดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ ดร.ชาคริต กล่าวว่า ด้วยธรรมชาติของวัสดุที่ใช้ในการผลิต zinc-ion battery มีน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก ทำให้แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะแก่การใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานแบบตั้งอยู่กับที่ ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง หรือใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยเป็นอย่างมาก เพราะ zinc-ion battery ทนทานต่อทั้งความร้อนและความชื้น โดยหากเกิดการฉีดขาดหรือชำรุดจะไม่ระเบิดหรือติดไฟ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่เหมาะแก่การใช้งาน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เพื่อการใช้งานภายในบ้าน (battery for home energy storage system) ระบบสำรองไฟฟ้าแบบกริด (grid energy storage) ทั้งเพื่อการใช้งานในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูง อาทิ แบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภารกิจทหาร การใช้เป็นแหล่งพลังงานในแท่นขุดเจาะน้ำมัน   [caption id="attachment_49742" align="aligncenter" width="700"] ระบบสำรองไฟฟ้า (energy storage)[/caption]   [caption id="attachment_49741" align="aligncenter" width="700"] แท่นขุดเจาะน้ำมัน[/caption]   “นอกจากนี้เทคโนโลยีการผลิต zinc-ion battery จะยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศไทย เพราะหากเกิดเหตุวิกฤตที่ไม่สามารถนำเข้าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนหรือวัสดุสำหรับผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้ได้ (ไทยไม่มีแหล่งทรัพยากรธาตุลิเทียมเป็นของตัวเอง) คนไทยจะยังมีความพร้อมในการผลิต zinc-ion battery เพื่อใช้ทดแทนสูง ซึ่งวัตถุดิบในการผลิตที่ใช้ได้นอกจากวัสดุรีไซเคิลที่มีอยู่เยอะแล้ว ประเทศไทยยังมีความพร้อมด้านแหล่งทรัพยากรแร่ที่ใช้ในการผลิต โดยมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่สังกะสี 260,248 เมตริกตัน และมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่แมงกานีสสูงถึง 18.2 ล้านเมตริกตัน ตามการรายงานของกองทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี ในปี 2565” การวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร’ เป็นหนึ่งในการทำวิจัยเพื่อขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนากระบวนการผลิตที่คำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีในด้านการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และช่วยลดข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี ดร.ชาคริต กล่าวทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัยคาดว่างานวิจัยจะแล้วเสร็จพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยนอกจากกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงนามความร่วมมือในการทำวิจัยแล้ว ยังมีบริษัทเอกชนชั้นนำของไทยอีกหลายแห่งที่ติดตามการทำงานวิจัยนี้ เพื่อวางแผนในการนำไปใช้เป็นระบบกักเก็บพลังงานเช่นกัน สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่ ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ อีเมล chakrit.sri@entec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. จับมือ SMBC แบงก์ชั้นนำของญี่ปุ่น เสริมแกร่งกำลังคน พัฒนาการวิจัยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA and Sumitomo Mitsui Banking Corporation establish partnership to strengthen research and human resource development to advance BCG agenda (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยได้รับเกียรติจาก นายเคนทาโร นากาอิ เลขานุการเอกด้านดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยาน ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีระหว่าง สวทช. และ SMBC โดยสวทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยผ่านการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบความมุ่งมั่นของเรา เราปรับตัวให้เข้ากับวาระการพัฒนาที่สำคัญของประเทศ รวมถึงโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) แผนแม่บท AI แห่งชาติ (the National AI Masterplan) และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (the Eastern Economic Corridor) ทั้งนี้ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในงานวิจัยสาขาต่าง ๆ ของ สวทช. ดำเนินงานใน 5 สาขาเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล วัสดุ นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีพลังงาน (Biotechnology, Digital, Materials, Nanotechnology and Energy Technology) ตลอดจนกิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างการแก้ไขปัญหาให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายและสังคมโดยรวม สวทช. จึงตระหนึกถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกับพันธมิตรว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว อาจไม่ช่วยให้เรานำเสนอการแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างเต็มศักยภาพ เราต้องการพันธมิตรที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของอุตสาหกรรมและชุมชน ให้ความเชื่อมโยง ตลอดจนจัดหากลไกสนับสนุน เช่น คำแนะนำทางธุรกิจ การสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุน “เรามีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ SMBC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการแก้ปัญหาระดับโลกที่มีชื่อเสียง และมีเครื่องมือทางการเงินและบริการสนับสนุนที่หลากหลาย รวมถึงทุ่มเทอย่างลึกซึ้งในการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจของลูกค้า ได้ตัดสินใจที่จะกระชับความร่วมมือให้ดียิ่งขึ้นกับพวกเรา อย่างไรก็ดีด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจในวันนี้ เราให้คำมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SMBC ในการประสานและเสริมสร้างจุดแข็งและความสามารถร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น ทั้งไทยและญี่ปุ่น” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ครั้งนี้เพื่อแสดงความร่วมมือในการส่งเสริมการลงทุน บริษัทของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่ง SMBC เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ สวทช. ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ดังกล่าว SMBC จะแนะนำลูกค้าที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจในประเทศไทยให้กับ สวทช. โดย SMBC จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาการวิจัยและพัฒนา การสรรหาบุคลากร การพัฒนาบุคลากรและทำงานร่วมกับ สวทช. เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ผ่านการจัดสัมมนา “ในปี 2566 ถือเป็นวันครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในฐานะธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่น การจัดทำ MOU นี้เราต้องการที่จะเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้มากขึ้น และมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและโมเดลเศรษฐกิจ BCG ผ่านความร่วมมือกับ สวทช. ทั้งนี้ SMBC ในฐานะสถาบันการเงินญี่ปุ่น เรามีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสานต่อกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทญี่ปุ่น และมีส่วนช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพเพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย”
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
BCG เครื่องมือแพทย์ มอบเครื่อง DentiiScan Duo ให้ รพ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เพื่อบริการประชาชน
For English-version news, please visit : NSTDA presents DentiiScan Duo to Laemsing Hospital วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จ.จันทบุรี: ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะนักวิจัย จากทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (MIS), A-MED ได้ร่วมกันมอบเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงาน ทันตกรรม หรือ DentiiScan Duo (เดนตีสแกน รุ่นดูโอ) ภายใต้ โครงการสร้างความเชื่อมั่นเครื่องมือแพทย์ไทยให้ โรงพยาบาลแหลมสิงห์ เพื่อบริการประชาชน โดยมี นายแพทย์ณัฐกาญจน์ วิเศษฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแหลมสิงห์ และทันตแพทย์วันชนะ สว่างหล้า เป็นผู้รับมอบ ซึ่งคณะกรรมการผู้พิจารณาได้เล็งเห็นว่า แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลแหลมสิงห์ มีความตั้งใจและมีความพร้อมที่จะใช้เครื่อง DentiiScan Duo ให้บริการประชาชนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งมีการให้บริการทันตกรรมรากฟันเทียมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 คณะนักวิจัยได้ติดตั้งและอบรมการใช้งานเเครื่อง DentiiScan Duo ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ถึง 2 พฤศจิกายน 2566 เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงานทันตกรรม DentiiScan Duo วิจัยพัฒนาขึ้นมา โดยทีมวิจัย MIS,  ศูนย์เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED)  สวทช. เพื่อรองรับการติดตั้งใช้งานในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีขนาดพื้นที่จำกัด ตอบสนองความต้องการฟังก์ชันการถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องปากทั้งสองมิติและสามมิติ สามารถถ่ายภาพเอกซเรย์สองมิติแบบพาโนรามิก หรือ ถ่ายภาพรังสีปริทัศน์ (Panoramic Radiography) และถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบลำรังสีทรงกรวย (CBCT หรือ Cone-Beam CT) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดบริเวณช่องปากและใบหน้า อาทิเช่น ทันตกรรมรากฟันเทียม (Dental Implant), การผ่าตัดฟันคุดและฟันฝัง, ทันตกรรมรักษารากฟัน (Endodontics) และการรักษาทางทันตกรรมทั่วไป
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่าง” นวัตกรรมกู้วิกฤตอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
For English-version news, please visit : Diagnostic technology offers solutions for combating cassava mosaic disease   “มันสำปะหลัง” เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเพราะเป็นทั้งอาหารคน อาหารสัตว์ และเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในหลายอุตสาหกรรม อีกทั้งประเทศไทยยังครองอันดับหนึ่งผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องเผชิญวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดการระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้ผลผลิตลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดเพื่อนำมาปลูกต่อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศในไม่ช้าหากไม่เร่งป้องกันและแก้ไข สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการระบาดของโรคใบด่าง และช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ   ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ วิกฤตใหญ่ของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย   [caption id="attachment_48448" align="aligncenter" width="700"] นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สท. สวทช. ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัยไบโอเทค ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยไบโอเทค และ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัยไบโอเทค[/caption]   ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่าโรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึ่งมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรค โดยเริ่มพบการระบาดบริเวณชายแดนของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2561 แต่ปัจจุบันพบว่ามีการระบาดไปทั่วทุกภูมิภาคที่มีการเพาะปลูกมันสำปะหลัง สาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นวงกว้างเกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ หากระบาดรุนแรงอาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้มากถึง 30-80 เปอร์เซ็นต์   [caption id="attachment_48454" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]   [caption id="attachment_48453" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]   “มันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างจะมีลักษณะใบด่างเหลือง ใบหงิก ลดรูป ลำต้นแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต จำนวนหัวและขนาดของผลผลิตลดลง คุณภาพของแป้งลดลง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เกษตรกรสูญเสียผลผลิตและรายได้ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับป้อนเข้าโรงงาน นอกจากนี้เกษตรกรยังขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดสำหรับปลูกในฤดูกาลถัดไป ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจตามมาอีกมาก ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. จึงได้พัฒนาชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังเพื่อช่วยเกษตรกรเฝ้าระวังโรคใบด่างในแปลงปลูกและใช้คัดกรองท่อนพันธุ์ก่อนนำไปปลูกเพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายไปกับท่อนพันธุ์”   ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง อาวุธสกัดโรคระบาดในไร่มัน ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคการตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง 2 รูปแบบ แบบแรกใช้เทคนิคอิไลซา (ELISA) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความถูกต้อง ราคาไม่แพง มีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ สามารถตรวจได้ 96 ตัวอย่างในคราวเดียว โดยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบการโรงแป้งมันสำปะหลัง หน่วยงานราชการ และมหาวิทยาลัย โดยจัดตั้งเป็นศูนย์ตรวจที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรในการเฝ้าระวังโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่เพาะปลูกและการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค   [caption id="attachment_48449" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง[/caption]   ส่วนรูปแบบที่ 2 คือ ชุดตรวจแบบรวดเร็วหรือสตริปเทสต์ (Strip test) ที่ใช้งานง่าย มีความไวสูง ความแม่นยำสูง และรู้ผลเร็ว เกษตรกรนำไปใช้ตรวจได้เองในแปลงปลูก โดยนำใบพืชมาบดในสารละลายที่เตรียมไว้ในชุดตรวจ จากนั้นจุ่มตัว Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืช และรออ่านผล 15 นาที หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C เพียงที่เดียว แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง T และ C แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากเกษตรกรตรวจพบว่ามีโรคใบด่างในแปลงได้เร็วก็สามารถทำลายต้นที่เป็นโรคได้ทันทีเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดหรือแพร่กระจายเชื้อไปในวงกว้าง   [caption id="attachment_48455" align="aligncenter" width="800"] วิธีใช้ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]   สวทช. ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน ช่วยเกษตรกรสู้โรคใบด่างมันสำปะหลัง นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันโรคใบด่างมันสำปะหลังถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศไทย โดยในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาโรคนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก เทคโนโลยีป้องกันและควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังจึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความต้องการมากที่สุดในขณะนี้ “ชุดตรวจโรคใบด่างที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช.พัฒนาขึ้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าแปลงมันสำปะหลังของตนเองนั้นติดโรคใบด่างหรือไม่ หากพบว่าติดโรคใบด่างก็สามารถถอนทำลายต้นพันธุ์ทิ้งได้ทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่แปลงปลูกข้างเคียงและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยปัจจุบัน สท. ได้นำเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดการแปลงมันสำปะหลังอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ในพื้นที่ดังกล่าว”   [caption id="attachment_48452" align="aligncenter" width="650"] เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลัง ทดลองการใช้ชุดตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ที่ทีมนักวิชาการ สวทช. ลงไปอบรมในพื้นที่[/caption]   นอกจากนี้ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาดำเนินการจัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยเทคนิค ELISA แล้ว 6 แห่ง คือ บริษัทสงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด จังหวัดนครราชสีมา บริษัทเอฟ ดี กรีน ในเครือบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดกำแพงเพชร บริษัทเอเซียโมดิไฟด์สตาร์ช จำกัด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานสภาเกษตรกร จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี โดยทีมวิจัยไบโอเทคทำหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำเชิงเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่รับถ่ายทอดนำเทคโนโลยีชุดตรวจไปใช้ในการตรวจสอบโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ   [caption id="attachment_48458" align="aligncenter" width="1000"] การตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังในแปลงผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาดจะช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ[/caption]   การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงทีอย่างเช่นเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง ช่วยลดผลกระทบรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมของไทย และทำให้ประเทศพึ่งพาตนเองได้ในยามวิกฤต สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่สนใจเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหัง สามารถติดต่อทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 025646700 ต่อ 3342     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง ติดตามผลได้ทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์
  การเพาะเลี้ยงกุ้งให้ประสบความสำเร็จมีอัตราการอยู่รอดสูง สิ่งสำคัญคือเกษตรกรจะต้องคอยติดตามการเจริญเติบโตและปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด โดยยกยอขึ้นจากบ่อเพาะเลี้ยงทุกบ่อวันละหลายครั้งเพื่อตรวจสอบการกินอาหารของกุ้ง เพราะปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย อุณหภูมิของน้ำ รวมถึงสุขภาพของกุ้ง ณ ขณะนั้น ซึ่งหากให้อาหารในปริมาณที่น้อยเกินไปจะส่งผลให้กุ้งเติบโตช้า และหากให้มากเกินไปจะส่งผลให้น้ำในบ่อเลี้ยงเน่าเสียซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกุ้ง และยังสิ้นเปลืองค่าอาหารที่เป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของการเพาะเลี้ยงโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พัฒนา ‘ระบบยกยออัตโนมัติ (Automatic Feeding-tray Lifting System)’ อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) สำหรับยกยอขึ้นถ่ายภาพและส่งภาพถ่ายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังแอปพลิเคชัน LINE เพื่อช่วยลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง และช่วยให้ผู้ประกอบการติดตามผลการเพาะเลี้ยงได้จากทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์   [caption id="attachment_48235" align="aligncenter" width="650"] เจริญมิตร วรเดช[/caption]   เจริญมิตร วรเดช นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ตัวเครื่องของ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ มีลักษณะเป็นชุดอุปกรณ์น้ำหนักเบาติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ ติดตั้งได้ง่าย ไม่ต้องก่อสร้างโครงสร้างเพิ่มเติมเพื่อรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ อุปกรณ์หลักประกอบด้วยกล่องควบคุมที่มีระบบสมองกลฝังตัวอยู่ภายในสำหรับสั่งการทำงาน กล้องสำหรับถ่ายภาพ เซนเซอร์สำหรับกำหนดระยะการยกยอจากผิวน้ำ และตัวยอที่ใช้ในการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป     “กลไกการทำงานของระบบ คือ กล่องควบคุมจะสั่งการให้ระบบยกยอขึ้นมาจนถึงตำแหน่งที่มีเซนเซอร์ตรวจจับซึ่งเป็นตำแหน่งที่พอดีกับระยะโฟกัสของกล้อง จากนั้นกล้องจะถ่ายภาพแล้วส่งเข้าระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อจัดส่งข้อมูลไปให้เจ้าของฟาร์มหรือผู้ดูแลระบบผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งการยกยอขึ้นมาถ่ายภาพแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15 วินาทีเท่านั้น ผู้ดูแลฟาร์มสามารถกำหนดความถี่ในการถ่ายภาพแบบอัตโนมัติได้สูงสุดทุก 30 นาที หรือหากต้องการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ ก็สั่งการทำงานจากระบบควบคุมที่ตัวเครื่อง หรือสั่งผ่านแชตบอตในแอปพลิเคชัน LINE ให้ถ่ายภาพ ณ ขณะนั้นได้ทันที”   [caption id="attachment_48233" align="aligncenter" width="650"] รูปภาพยอที่ถ่ายโดยระบบยกยออัตโนมัติ[/caption]   อุปกรณ์ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน ทีมวิจัยเลือกใช้อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพงในการผลิต เพื่อให้เกษตรกรเปลี่ยนหรือซ่อมแซมอุปกรณ์เมื่อชำรุดได้ด้วยตัวเอง โดยอุปกรณ์ IoT รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทั้งระบบ WIFI สาย LAN และการใส่ SIM Card ส่วนด้านระบบพลังงาน ชุดอุปกรณ์รองรับทั้งกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าและจากโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ แล้ว   [caption id="attachment_48236" align="aligncenter" width="650"] วรากร คำแก้ว[/caption]   วรากร คำแก้ว นักวิจัยทีม DAT เนคเทค สวทช. อธิบายเพิ่มเติมว่า เพื่อยกระดับการทำงานของอุปกรณ์ IoT ไปอีกขั้น สิ่งที่ทีมวิจัยกำลังพัฒนาต่อคือ ทำให้ระบบวิเคราะห์ขนาดและน้ำหนักของกุ้งตัวอย่างในยอได้อัตโนมัติ ผ่านการใช้ AI ตรวจจับตำแหน่งและนับปริมาณกุ้ง และใช้ระบบ image processing วิเคราะห์ขนาดความยาวของกุ้งแต่ละตัว โดยใช้ข้อมูลจากกรมประมงมาแปลงความยาวของตัวกุ้งเป็นน้ำหนักของกุ้งแต่ละตัวโดยประมาณ ซึ่งข้อมูลด้านน้ำหนักจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการติดตามอัตราการเจริญเติบโต อย่างไรก็ตามการวิจัยในส่วนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบภาคสนามเพื่อพัฒนาความแม่นยำในการวิเคราะห์ผล ซึ่งหลังจากการวิจัยและพัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว สามารถติดตั้งฟังก์ชันนี้เข้าไปเพิ่มเติมในระบบประมวลผลเดิมได้   [caption id="attachment_48240" align="aligncenter" width="650"] ระบบวิเคราะห์ขนาดของกุ้ง[/caption]   ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เพื่อการใช้งานด้านการถ่ายภาพและจัดส่งภาพให้ผู้ดูแลระบบการเพาะเลี้ยงแบบอัตโนมัติ ผ่านการทดสอบการใช้งานจริงที่ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนาเรียบร้อยแล้วจำนวน 9 รอบการเลี้ยง จนปัจจุบันระบบมีความเสถียร ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมากจากผู้ใช้งานจริง   [caption id="attachment_48242" align="aligncenter" width="500"] อลิสา มากศรี[/caption]   อลิสา มากศรี นักวิชาการและเจ้าหน้าที่โครงการ ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนา เล่าในมุมมองของผู้ประกอบการที่ได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์ตั้งแต่ช่วงปี 2564 จนถึงปัจจุบัน หรือใช้มาแล้วรวม 9 รอบการเลี้ยงว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่ค่อย ๆ ผ่านการพัฒนาจากความต้องการของผู้ใช้งานจริง จนปัจจุบันอุปกรณ์มีความเสถียรและช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ตนเองสามารถเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเป็นระยะยาวได้โดยไม่ต้องกังวลใจ เพราะตรวจสอบคุณภาพการเพาะเลี้ยงได้ผ่านมือถือจากทุกที่ทุกเวลา “ข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายไม่เพียงบอกได้ว่ามีการให้อาหารมากเกินจนตกค้างหรือไม่ ปริมาณของขี้กุ้งที่ผ่านการตักขึ้นมาบนยอยังใช้บ่งชี้ถึงการได้รับอาหารในปริมาณที่พอดี น้อยไป หรือมากไป สีของตัวกุ้งที่เปลี่ยนแปลงไปบอกได้ถึงอุณหภูมิของน้ำที่ไม่เหมาะสม และหากกุ้งมีลักษณะตัวหดเกร็งหรือมีอาการเป็นตะคริวก็สันนิษฐานถึงการขาดสารอาหารบางประเภทได้อีกด้วย”       แม้ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ อาจยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีแรงงานจำนวนมากเพียงพอต่อการดูแลกุ้งทุกบ่อได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง แต่อุปกรณ์ชนิดนี้จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนผู้ประกอบการก้าวสู่การทำเกษตรแม่นยำ (smart agriculture) ช่วยให้ผู้ดูแลระบบปรับเปลี่ยนกระบวนการเพาะเลี้ยงได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ช่วยลดภาระงานซ้ำซาก ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรสมัยใหม่อีกด้วย วรากร กล่าวทิ้งท้ายว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยเพื่อสนับสนุนการทำเกษตรของคนในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน นำไปสู่การทำน้อยแต่ได้มากตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการวิจัยจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณในการวิจัยและการพัฒนาอุปกรณ์ การทดสอบใช้งานภาคสนาม และการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังเสาะหาช่องทางการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐและเอกชนในการขยายผลสู่การเปิดให้ใช้งานเทคโนโลยีในรูปแบบสาธารณประโยชน์ (open source) เพื่อให้เกษตรกรไทยมีโอกาสเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการทำการเกษตรอย่างทั่วถึง สำหรับผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยี รับถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ คุณเจริญมิตร วรเดช เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 หรืออีเมล info@nectec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
BLOCKCHAIN มีความปลอดภัยหรือไม่ ?
หลายท่านอาจมีความสงสัยว่า Blockchain  มีความปลอดภัยหรือไม่ ? ในบทความนี้ทางผู้เขียนขอยกตัวอย่างกรณีศึกษา โดยเป็นกลุ่มเพื่อนที่ชื่อกลุ่มว่า "แชร์กันจุก" กลุ่มนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อไปทานอาหารและหารค่าอาหารกัน  กลุ่มนี้มีสมาชิก 4 คน โดยแต่ละคนก็จะมีกระเป๋า Crypto Wallet ในการจ่ายเงินแทนการโอนเงินแบบปกติ  ดังนั้นเมื่อมีการใช้ระบบ Crypto Wallet จะเกิดสิ่งนี้ ทุกคนจะถูกสร้าง Block Transaction ของการโอนจ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกันของการหารเงินครั้งนั้น ทุกคนจะมี Block ที่เท่ากันต่อกันเป็น chain โดยมีการเข้ารหัสกันทั้ง 4 คน  ของคนใดคนหนึ่งหาย จะมีส่วนอื่นทดแทนหรืออยู่ในระบบเสมอ ทำให้การทำธุรกรรมจะไม่หายไปจากเครือข่าย Blockchain หาก Hacker ต้องการเข้าไปแทรกแทรงหรือเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลของ Blockchain นี้ ทาง Hacker จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงในการเข้าไปเขียน Block และถอดรหัสข้อมูลพร้อมๆ กันในทุกๆ Block ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการถอดรหัสในทุก Block ทุก Chain ที่ต้องใช้เวลาถอดรหัสมากขึ้น ดังนั้น ในปัจจุบันมีผู้อ้างว่า การจะ Hack Blockchain หรือถอดรหัสธุรกรรมได้นั้น ต้องใช้ Super Computer ที่มีความเร็วถึง 1,500 Qubit  แต่ทว่าในปัจจุบันยัง Super Computer ที่มีความเร็วได้ไม่ถึง 500 Qubit เกิดขึ้น ว่ากันว่าต้องใช้เวลากว่า 10  - 20 ปีต่อจากนี้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจริง ความยากในการถอดรหัสและความยาวของธุรกรรมจะมีปริมาณมหาศาลมากขึ้น จึงทำให้ยังเป็นที่เชื่อถือได้ว่า Blockchain ยังคงมีความน่าเชื่อถือและตรวจสอบได้ในปัจจุบันครับ
นานาสาระน่ารู้
 
การเลือกตั้งกับการใช้เทคโนโลยี Blockchain
เทคโนโลยี Blockchain สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายกับการพัฒนาระบบที่มุ่งเน้นการโปร่งใสตรวจสอบได้ ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากแนะนำการเลือกตั้งผ่านเทคโนโลยี Blockchain ที่ถูกพัฒนาโดยศุูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เผยแพร่บทความเชิงเทคนิคไว้น่าสนใจ ทำให้การเลือกตั้งโปร่งใสและเป็นไปได้จริง เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้มาก ที่สำคัญยังสามารถระบุตัวตนของผู้ลงคะแนน หมดปัญหาเรื่องบัตรผีหรือบัตรปลอม พร้อมทำการประมวลผลคะแนนได้ทันที สิ่งเหล่านี้พร้อมในการดำเนินการและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยผู้อ่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nectec.or.th/research/research-project/blockchain-evoting.html
นานาสาระน่ารู้
 
BLOCKCHAIN คืออะไร ?
Blockchain “เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัย ผ่านการเข้ารหัส Cryptography และมีรูปแบบการจัดเก็บแบบกระจายศูนย์ เพื่อจุดประสงค์ในการ Trust and Security” เพื่อให้เกิด Trustless System และขจัดคนกลางหรือผู้คุมกฏออกจากระบบ เกิดขึ้นในปีค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)      Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยผู้ที่ใช้นามสมมติว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากได้สร้าง BITCOIN ซึ่งเป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกที่เริ่มใช้งานและเทรดซื้อขายเมื่อ ค.ศ. 2010 ได้ผ่านการพิสูจน์ตนเองมาเป็นเวลากว่า 14 ปี  โดยเหรียญ Crypto Currency ต่างๆ  จะมีการเข้ารหัสแตกต่างกันไป และถูกพัฒนาใช้งานบน Blockchain Technology เช่นกัน นอกจากนั้น ยังสามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมอื่นๆ ได้อีกด้วย  
นานาสาระน่ารู้
 
วิธีดึงคนที่คุณรักให้ห่างจากหน้าจอโทรศัพท์
เชื่อไหมครับ หลายคนมีความกังวลกับบุตรหลานหรือคนที่คุณรัก ในการจมดิ่งอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์หรือโลกดิจิทัลมากกว่าการใช้ชีวิตในปัจจุบัน บางคนเสียงานเสียการ เสียการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง  จนสุดท้ายก็มีการตัดสินและมองว่าโลกดิจิทัล และ Smart Device ต่างๆ คือผู้ร้ายที่มาพรากเวลาและสิ่งดีๆ จากชีวิตของการเป็นมนุษย์ไป สิ่งเหล่านี้อาจเป็นคำพูดที่ไม่เกินเลยในเรื่องดังกล่าว  แต่แท้จริงแล้ว ผู้เขียนอยากสอบถามกับผู้อ่า่นว่า ผู้กล่าวหาเองหรือเปล่าที่อาจมีส่วนร่วมในการสร้างความห่างเหินเหล่านี้ไปกับคนที่คุณรักด้วย ?   มีคำถาม check list ให้คุณสำรวจตัวเองสั้นๆ ดังนี้ครับ  เวลาคุณต้องการเวลาส่วนตัวแล้วอีกฝ่ายเรียกร้องเวลาจากคุณ คุณเลือกจะให้เวลาอีกฝ่ายหรือเลือกที่จะให้เขาทำอะไรไปเองโดยที่ไม่มีคุณ  หากคุณเลือกให้เขาทำอะไรเองโดยไม่มีคุณแล้วคุณยังปล่อยให้เขาใช้ smart device หรือโลก Social เป็นเพื่อนเขาแทนคุณ  นี่คือข้อแรก ที่คุณเริ่มมีส่วนร่วมในการผลักเขาออกจากการปฏิสัมพันธ์กับคุณแล้วครับ เวลาคนที่คุณรักต้องการให้คุณฟังเขา คุณเลือกที่จะฟังอย่างตั้งใจ หรือเลือกที่จะฟังแบบให้จบไปที     ถ้าคุณเลือกที่จะฟังแบบขอไปที แปลว่า คนที่คุณรักจะรับรู้ได้ว่าการใส่ใจเริ่มมีระยะห่าง การพูดให้ฟัง การฟังเริ่มเป็นแค่หน้าที่ ไม่ใช่การรับรู้ด้วยความเข้าใจ เหล่านี้จะเริ่มเกิดช่องว่างและสร้างความชินชา เฉยชา ขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้าย เขาจะไม่อยากสื่อสารกับคุณ เวลาว่างที่มี คุณเลือกที่จะทำกิจกรรมร่วมกันหรือต่างที่จะนั่งทำอะไรที่ตนเองชอบใกล้ๆ กันโดยไม่สนใจอีกฝ่าย   หากเป็นต่างคนต่างทำ แปลว่า คุณอาจมีความวางใจและสบายใจในจุดที่อยู่ใกล้กัน แต่ไม่ได้สร้างการแชร์ความรู้สึกซึ่งกันและกัน ตรงนี้สำคัญนะครับห้ามละเลย เพราะกิจกรรมที่ทำร่วมกันจะเป็นสะพานสำคัญที่ทำให้คุณและคนที่คุณรักสามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างวัย ระหว่างเวลา ระหว่างความรู้สึก ได้ดีที่สุด ซึ่งส่วนนี้จะเป็นกิจกรรมกลางแจ้ง การผลัดกันอ่านหนังสือให้ฟัง การเล่นเกมส์ด้วยกัน เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นสะพานสำคัญที่จะทำให้คุณกับเขาก้าวไปในโลกเดียวกันได้ ดังนั้น บทความนี้จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงอีกด้านของความเข้าใจและอยากให้คุณและคนที่คุณรักได้อ่านเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในด้านการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เลิกโทษส่วนอื่น ให้ปรับสิ่งที่เป็นจากหัวข้อดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณสามารถเริ่มทำได้ทันที แล้วคนที่คุณรักและคุณเองจะห่างจากหน้าจอโทรศัพท์ได้มกกว่าที่เป็น อย่าลืมพิจารณาก่อนที่จะสายเกินไปนะครับ
นานาสาระน่ารู้
 
ทำอย่างไรเมื่อมิจฉาชีพโทรมาหรือส่งข้อความที่ทำให้เราต้องรีบตัดสินใจ
ปัจจุบันมิจฉาชีพมีทุกรูปแบบ โดยเฉพาะมิจฉาชีพทาง Cyber  และพวกที่มาแบบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์หรือการส่งข้อความแปลกๆ มายังกลุ่มเป้าหมาย  สำหรับบทความนี้ทางผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างกรณีที่ทางมิจฉาชีพมักจะเริ่มการล่อเหยื่อในรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ  และมีอยู่สองเหตุการณ์ที่ทางผู้ตกเป็นเหยื่อมักพลาดท่าเสียทีมิจฉาชีพ ได้แก่ การส่ง Link มาทาง sms หรือข้อความโดยระบุข้อความทำนองว่า "ญาติของคุณหรือคนที่คุณรู้จักประสบอุบัติเหตุ" หรือ "คนที่คุณรักกำลังมีเหตุคับขัน หรือ มีเหตุให้นอกใจ" พร้อมกับส่ง link ให้เหยื่อ click ไปยังปลายทาง โดยวิธีการเหล่านี้ร้อยละ 90 ของเหยื่อมักเกิดความตกใจและรีบ click ไปยังปลายทางของมิจฉาชีพ ซึ่งจะถูกแอบแฝงโปรแกรมดักจับข้อมูลหรือประสงค์ร้ายบางอย่าง เช่น การดักจับรหัสทาง social เก็บรหัสผ่าน หรือขอข้อมูลส่วนตัวที่แนบเนียน เพื่อการจารกรรม จนทำให้เหยื่อต้องสูญเสียข้อมูลไปโดยง่ายดาย วิธีแก้ปัญหา   ให้คุณตั้งสติ และคิดเสมอว่า การแนบ link หรือเบอร์ติดต่อ หรืออื่นๆ คือมิจฉาชีพ  ให้คุณตัดการสนทนาหรือห้าม click link ที่ส่งมาโดยเด็ดขาด ให้ทำการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้เช่น ญาติ หรือคนที่ถูกกล่าวอ้างโดยตรงทันที ไม่ควรผ่านคนอื่นหรือโปรแกรมใดๆ   โดยเด็ดขาด สำคัญที่สุดคือการใช้สติในการพิจารณาข้อมูลก่อนการตัดสินใจใดๆ จากข้อมูลที่ได้รับ  โอนเงินมายังบัญชีของผู้ตกเป็นเหยื่่อ พร้อมโทรขู่คุกคามให้โอนเงินคืนหรืออื่นๆ  ในกรณีนี้คุณไม่ควรต่อความกับผู้โอนคืน ให้ดำเนินการแจ้งความกับทางตำรวจในกระบวนการดังกล่าว พร้อมนำหลักฐานการโอนแจ้งประกอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และให้ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้เสียหายมาเข้าพบทางสถานีตำรวจร่วมกับคุณ  ในหลายกรณี ผู้ตกเป็นเหยื่อจะโดนเสนอให้เป็นทางผ่านของเงิน หรือบัญชีม้า และได้รับผลต่างของเงินเข้ามาเพื่อการจูงใจ จนทำให้ผู้เป็นเหยื่อกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยปริยาย  ดังนั้นคุณไม่ควรชะล่าใจกับสิ่งเหล่านี้ครับ สองวิธีการดังกล่าว มีผู้ตกเป็นเหยื่อมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นวิธีที่ผู้ร้ายมักเลือกใช้และได้ผลมากที่สุด เพราะเล่นกับจิตวิทยาและการเร่งรัดการตัดสินใจบนความเป็นความตายของคนที่คุณรัก หรือผลประโยชน์ที่เข้ามาแบบที่เราคิดไม่ถึง  ดังนั้น สติ จึงเป็นภูมิคุ้มกันเบื้องต้นที่ดีที่สุด ส่วนการเรียนรู้วิธีการจัดการยังคงเป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาเพื่อให้เท่าทันกับสิ่งที่มิจฉาชีพพัฒนาในปัจจุบันครับ
นานาสาระน่ารู้
 
อยากเป็นศิลปิน NFT ต้องทำอย่างไรบ้าง ?
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเป็นศิลปินด้าน NFT อาจมีคำถามว่า แล้วจะต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นศิลปิน NFT ได้ บทความนี้ผู้เขียนจะอธิบายด้วยภาพที่เข้าใจง่าย โดยสมมติว่า คุณคือ ริกะ   จะทำอย่างไรถึงจะเป็นศิลปินขายภาพ NFT ได้  ดังนี้ กระบวนการทั้ง 3 ดังกล่าว ริกะ ต้องมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีและ Crypto Currency เป็นอันดับแรก จึงจะสามารถนำภาพหรือผลิตภัณฑ์ของตนมาจัดทำเป็น NFT เข้าสู่ตลาดได้ โดยจำเป็นต้องจัดทำตามเงื่อนไขของตลาดที่กำหนด เช่นการ Mint หรือจัดส่งผลงานให้ขายได้เป็นตัน ดังนั้นบทสรุปในส่วนของเทคโนโลยี Block chain กับการเป็นศิลปินดิจิทัลในปัจจุบัน มีทางเลือกมากมายให้กับคุณผู้อ่าน ที่สำคัญ คุณควรเข้าใจเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและความเสี่ยงที่จะต้องพบในมุมเทคโนโลยีและ Cyber Security ที่คุณต้องเรียนรู้ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์ผลงานของคุณให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นี่คือกระบวนการที่คุณสามารถเรียนรู้และลองได้ด้วยตนเองครับ
นานาสาระน่ารู้
 
NFT กับความเสี่ยงในสินทรัพย์ดิจิทัล
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ใช่การแนะนำการลงทุน เป็นการสะท้อนสินทรัพย์ดิจทัล NFT จากข้อมูล เพื่อการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อผู้อ่าน กระแส NFT ในปี 2021 - 2022 เป็นสิ่งที่ใหม่และสร้างมูลค่าได้อย่างเป็นที่กล่าวถึงทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีการตื่นตัวของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ในตลาด Crypto Currency โดยการซื้อขาย NFT มีเรื่องราวหลากหลายจากวงการเกมส์  วงการศิลปะ วงการศิลปิน ที่สร้างผลงานแล้วนำมาเข้าสู่การขายผ่าน NFT เป็นตัน โดยในบทความนี้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างผลงานที่ชื่อว่า Crypto Punk ซึ่งเป็นผลงานรูปภาพ NFT ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก มีราคาซื้อขายที่สูง  ซึ่งมีลักษณะดังภาพ       ภาพดังกล่าวจัดทำเป็นไฟล์ดิจิทัล ผ่านการลงทะเบียนจัดทำเป็น NFT และเสนอขายผ่านระบบเว็บไซต์ Cryptopunk โดยแต่ละภาพ แต่ละแบบ มีมูลค่าสูงมากในปี 2021 - 2022 เช่น Cryptopunk รหัส 5822  สามารถขายได้ถึง 135 ล้านดอลล่าร์  ซึ่งไม่มีใครเคยคาดคิดว่าภาพดิจิทัลภาพเดียวทำไมถึงมีราคาแสนแพงขนาดนี้  และนั่นจึงทำให้คนทั่วโลกเริ่มสนใจ NFT อย่างกว้างขวาง และมีผู้เข้าร่วมทั้งสร้างสรรค์ผลงานและการร่วมซื้อขายทั่วโลก  และหลังจากนั้นไม่นาน ภาพด้านล่างนี้ก็เกิดขึ้นครับ จากภาพด้านบน คุณผู้อ่านอาจตกใจกับราคาที่เกิดขึ้นกับ Cryptopunk รหัส 5822  ที่เคยซื้อขายกันหลักร้อยล้านดอลล่าร์จากปี 2021  พบว่าปลายปี  2022 ห่างไปเพียงแค่ 1 ปี มูลค่ากลับตกไปเหลือเพียง 36,049 ดอลล่าร์   ซึ่งนั่นทำให้เกิดความNFTสูญเสียทางมูลค่าอย่างมหาศาล  ทำให้เกิดบทเรียนและคำถามว่าแล้วการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล มีความเสี่ยงหรือไม่?  ทางผู้เขียนขออนุญาตไม่ลงลึกในคำตอบ แต่จะขออนุญาตสรุปแนวทางความเข้าใจในกระบวนการ NFT ดังภาพ ที่สำคัญ คุณควรเข้าใจการลงทุนในตลาดนั้นๆ ก่อนการลงทุนเสมอ โดยสรุป บทความนี้ให้คุณเห็นความไม่แน่นอนของวงการ NFT และแนวทางการลงทุนที่คุณเอง เป็นผู้ตัดสินใจ ไม่มีอะไรผิดถูกนะครับ การวางแผนคือสิ่งที่ดีที่สุด และไม่ควรลงทุนอะไรหากคุณไม่เข้าใจในกติกาหรือตลาดนั้นๆ เพราะความเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จสูงมากครับ พบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ
นานาสาระน่ารู้