ผลการค้นหา :
ไทยเดินหน้าพัฒนานโยบายและอุปกรณ์ลดความรุนแรงอุบัติเหตุ ‘ชนมุดท้าย-ข้าง รถบรรทุก’ หนุนลดอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนน
ประเทศไทยมีสถิติการเกิดเหตุรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ‘ชนหรือมุดเข้าด้านท้าย-ข้างของรถบรรทุก’ ติดอันดับต้นของโลก มีอัตราการเกิดเหตุเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือมากกว่า 60 ครั้งต่อปี ซึ่งอุบัติเหตุเหล่านี้มักนำมาซึ่งการบาดเจ็บสาหัสและการเสียชีวิต กรมการขนส่งทางบกร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และพันธมิตร เดินหน้าพัฒนานโยบายและอุปกรณ์ลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ ‘ชนหรือมุดท้าย-ข้างรถบรรทุก’ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ตั้งเป้าออก ‘ข้อกำหนด’ ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านท้ายและข้างรถบรรทุก
[caption id="attachment_43075" align="aligncenter" width="700"] นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรม กรมการขนส่งทางบก[/caption]
นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรม กรมการขนส่งทางบก อธิบายถึงสาเหตุความรุนแรงของอุบัติเหตุประเภทนี้ว่า ด้วยโครงสร้าง ขนาด ความสูง และความแข็งแรงที่แตกต่างกันมากระหว่างรถบรรทุกกับยานพาหนะขนาดเล็ก อาทิ รถเก๋ง รถกระบะ รถจักรยานยนต์ ทำให้รถขนาดเล็กที่พุ่งเข้าชนท้ายหรือสไลด์เข้าด้านข้างรถบรรทุก ‘ไม่อาจต้านทานความเสียหายที่เกิดขึ้นได้มากนัก’ แม้รถเหล่านั้นจะผ่านการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุมาเป็นอย่างดี
“จากความสูญเสียที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงอย่างชัดเจนตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรออกข้อกำหนดการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านท้าย (Rear Underrun Protective Device: RUPD) และด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD) บนรถบรรทุก สำหรับลดความเสี่ยงในการมุดหรือสไลด์เข้าไปใต้ตัวรถหากเกิดเหตุยานพาหนะขนาดเล็กพุ่งชน ‘เพื่อลดความเสียหายและเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต’ ดังข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ (UN vehicle regulations) ที่มีการใช้งานแล้วในยุโรปและหลายประเทศในเอเชีย เพราะแม้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะไม่ได้มีเหตุมาจากรถบรรทุกหรือผู้ขับขี่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ช่วยลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงเมษายน 2565 กรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. และพันธมิตรผู้ประกอบการด้านการขนส่ง ผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้นำเข้า และผู้ประกอบตัวถังรถบรรทุกในประเทศไทย เดินหน้าพัฒนาประกาศเรื่อง ‘การกำหนดคุณลักษณะและเงื่อนไขในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนสัตว์หรือสิ่งของ’ โดยพิจารณาร่วมกันทั้งด้านมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นสากล การปรับเงื่อนไขของอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับการใช้งานรถบรรทุกในประเทศไทย และการพิจารณาความพร้อมในการติดตั้งอุปกรณ์ของผู้ประกอบการ จนปัจจุบันคณะทำงานได้ข้อสรุปที่มีความพร้อมแล้ว คาดว่าจะออกประกาศได้ภายในกลางปีนี้ โดยมีผลบังคับใช้ในปีหน้า (มกราคม 2567)”
เปิดตัว ‘อุปกรณ์กันมุด’ ที่เหมาะสมกับรถบรรทุกไทย
ในด้านการพัฒนาต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้าย เอ็มเทค สวทช. ในฐานะองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้เร่งดำเนินการศึกษาและออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านท้ายและข้างที่ปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสากล มุ่งเน้นการผลิตในประเทศ ลดต้นทุนการผลิต ลดการนำเข้า และผู้ผลิตในไทยสามารถผลิตอุปกรณ์ได้ทันรองรับความต้องการภายในประเทศเมื่อข้อกำหนดมีผลบังคับใช้
[caption id="attachment_43076" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ในการพัฒนาต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย ทีมวิจัยได้นำข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ UN R73 และ UN R58 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายรถบรรทุกตามลำดับ มาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบเชิงวิศวกรรมรวมถึงการวิเคราะห์และทดสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์
[caption id="attachment_43088" align="aligncenter" width="700"] อุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD)[/caption]
[caption id="attachment_43082" align="aligncenter" width="700"] อุปกรณ์ป้องกันด้านท้าย (Rear Underrun Protective Device: RUPD)[/caption]
“ซึ่งปัจจุบันทีมวิจัยได้พัฒนาแบบเชิงวิศวกรรมชิ้นส่วนย่อยของอุปกรณ์ RUPD และ LPD ที่จำเป็นต้องติดตั้งให้ผู้ประกอบการได้เลือกใช้ผลิตอุปกรณ์รวมแล้วมากกว่า 90 แบบ โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้งานส่วนเชื่อมต่อ (Spacer/ Bracket & support), คานขวาง (Protective beam/ Cross section/ Beam section) และขายึด (Stay/ Chassis attachment) ได้ตามความเหมาะสม ผ่านการจัดชุดอุปกรณ์แบบผสมฟังก์ชันให้สอดคล้องกับรูปแบบลักษณะของรถในประเทศไทย ด้วยวิธีการที่เรียกว่า ‘Morphological Matrix’ ที่ช่วยให้ผู้ผลิตจัดสรรอุปกรณ์สำหรับนำไปผลิตตามได้หลากหลายรูปแบบ โดยทีมวิจัยได้จัดเตรียมเครื่องมือนี้ไว้ให้บริการในแพลตฟอร์มแล้ว ผู้ที่สนใจเข้าใช้บริการได้ที่แพลตฟอร์มฐานข้อมูลแบบเชิงวิศวกรรมสำหรับผู้ผลิตในประเทศ”
[caption id="attachment_43080" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD)[/caption]
[caption id="attachment_43081" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD)[/caption]
[caption id="attachment_43079" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านท้าย (Rear Underrun Protective Device: RUPD)[/caption]
[caption id="attachment_43077" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบชิ้นส่วนอุปกรณ์เชื่อมต่อ[/caption]
[caption id="attachment_43078" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบชิ้นส่วนอุปกรณ์เชื่อมต่อ[/caption]
โครงการความร่วมมือนี้นับเป็นการทำงานโดยคนไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง เพราะชุดข้อมูลที่ทีมวิจัยเลือกใช้เป็นหัวใจของการพัฒนา คือ ความพร้อมด้านการผลิตของผู้ประกอบการไทย และประสบการณ์การใช้งานจริงจากผู้ให้บริการด้านการขนส่ง
ดร.ศราวุธ อธิบายว่า ความท้าทายในการพัฒนาอุปกรณ์นี้มีถึง 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาอุปกรณ์ให้มีความแข็งแรงตามมาตรฐานสากล การออกแบบให้อุปกรณ์มีน้ำหนักเหมาะสม วัสดุที่ใช้ผลิตหาได้ในประเทศ ผู้ผลิตภายในประเทศดำเนินการผลิตด้วยโรงงานที่มีอยู่ และสุดท้ายคือต้นทุนการผลิตต้องถูกกว่าการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ เพราะหากตกหล่นข้อใดข้อหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบให้การดำเนินงานขับเคลื่อนไม่สำเร็จได้
“อีกด้านหนึ่งที่ สวทช. ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การผลักดันให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในไทย (SMEs) มีโอกาสคว้าส่วนแบ่งทางการตลาดได้ทันการประกาศใช้นโยบายที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า สวทช. โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) จึงได้เตรียมพร้อมให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสนับสนุนเงินทุนในการวิจัยตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว” ดร.ศราวุธ ทิ้งท้าย
ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งผู้ประกอบการด้านการขนส่ง ผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้นำเข้า และผู้ประกอบตัวถังรถบรรทุกในประเทศไทย ติดตามประกาศบังคับใช้จากกรมการขนส่งทางบกได้ในช่วงกลางปีนี้ และสำหรับผู้ที่สนใจขอรับคำปรึกษาด้านโครงสร้างเชิงวิศวกรรม ร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือนำอุปกรณ์เข้าทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
MycoSMART ชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากรา ตรวจสารพิษ 5 ชนิดพร้อมกัน ความไวสูง ต้นทุนต่ำ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/mycosmart-mycotoxin-strip-based-on-microarray-technology.html
สารพิษจากรา (Mycotoxin) คือภัยเงียบที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อมนุษย์และสัตว์ เนื่องจากพบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมทั้งในดินและอากาศ จึงมีโอกาสปนเปื้อนอยู่ในอาหารหรือวัตถุดิบอาหารทางการเกษตรตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว เก็บรักษา ไปจนถึงแปรรูป ทั้งนี้ราเหล่านี้สามารถสร้างสารพิษได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยผู้บริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อราจะได้รับอันตรายต่อร่างกาย เช่น เบื่ออาหาร ชัก หมดสติ หรือหากได้รับสารพิษสะสมเป็นเวลานานก็อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนั้นยังพบว่าสารพิษจากรายังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์อีกด้วย โดยสัตว์ฟาร์มที่ได้สารพิษจากราจะมีอัตราการเจริญเติบโตและระบบภูมิคุ้มกันลดลง อีกทั้งระบบสืบพันธุ์และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ ทำให้ผลผลิตลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับความเสียหายและขาดทุนสูง
โชคไม่ดีนักที่การควบคุมและเก็บรักษาวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราตลอดกระบวนการผลิตเป็นเรื่องยาก ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันก็ยังเอื้อต่อการเติบโตและผลิตสารพิษของราอีกด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยไบโอเทค เนคเทค และเอ็มเทค ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร พัฒนา “MycoSMART ชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากราแบบแถบทดสอบที่พัฒนาจากเทคนิคไมโครอะเรย์” เพื่อคัดกรองอาหารและผลผลิตทางการเกษตรที่ปนเปื้อนสารพิษจากราตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการบริโภคสารพิษจากรา รวมถึงลดความเสียหายให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและปศุสัตว์
[caption id="attachment_42963" align="aligncenter" width="750"] ดร.กฤศ พิจยเวทินท์ นักวิจัย เนคเทค สวทช. (ขวา)[/caption]
ดร.กฤศ พิจยเวทินท์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวว่า MycoSMART เป็นชุดตรวจวินิจฉัยที่เกิดจากการทำงานบูรณาการระหว่างนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในหลายสาขาวิชาทั้งในและต่างประเทศ โดยระบบประกอบด้วยเทคโนโลยี 3 ส่วนหลัก คือ เครื่องอ่านสัญญาณไมโครอะเรย์ ชุดตรวจวินิจฉัยแบบแถบทดสอบด้วยเทคนิคไมโครอะเรย์ และสารเรืองแสงที่มีความไวและเสถียรสูง ส่วนวิธีการใช้งานนั้นทำได้ง่าย เพียงนำสารสกัดจากอาหารหรือวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง มาหยดที่ชุดตรวจแบบแถบทดสอบ จากนั้นนำชุดตรวจใส่ในเครื่องอ่านสัญญาณ แล้วกดปุ่มควบคุมการทำงานผ่านหน้าจอทัชสกรีน เครื่องอ่านจะตรวจจับสัญญาณการเรืองแสงและรายงานผลการวิเคราะห์ผ่านหน้าจอได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
“จุดเด่นของ MycoSMART คือออกแบบและพัฒนาระบบการตรวจจับสารพิษจากราโดยใช้เทคนิคไมโครอะเรย์ร่วมกับสารเรืองแสงที่มีความเสถียร มีความไวสูง และต้นทุนต่ำ จึงตรวจจับสารพิษจากเชื้อราได้หลายชนิดพร้อมกันเพียงใช้หนึ่งชุดทดสอบ และแสดงผลปริมาณการปนเปื้อนได้ทันที MycoSMART จึงเหมาะกับการใช้งานแบบพกพา ให้ผลการตรวจวัดอย่างรวดเร็ว และใช้ต้นทุนการตรวจวัดที่ถูกกว่าชุดตรวจในท้องตลาด ปัจจุบัน MycoSMART สามารถตรวจวัดสารพิษจากราได้ถึง 5 ชนิด ได้แก่ Aflatoxin B1 (AFB1) พบในผลิตภัณฑ์ประเภทแป้งและถั่วลิสง, Deoxynivalenol (DON) พบในผลิตภัณฑ์ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์, Fumonisin B1 (FUMB1) พบในเมล็ดข้าวโพดที่ใช้บริโภคทั้งในคนและสัตว์, T-2 toxin (T-2) พบในธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย และ Zearalenone (ZON) พบมากในวัตถุดิบอาหารสัตว์”
ดร.กฤศ กล่าวเพิ่มเติมว่า เทคโนโลยี MycoSMART ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตร ปศุสัตว์ และการแปรรูปอาหาร นำไปใช้ตรวจสารพิษจากราเพื่อคัดกรองผลผลิตทางการเกษตรได้สะดวกตั้งแต่ในแปลงปลูกผักจนถึงโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร ช่วยให้ผู้บริโภครับประทานอาหารได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงและมูลค่าความเสียหายให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันเทคโนโลยี MycoSMART ชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากราแบบแถบทดสอบอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยี ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2145
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/rice-disease-bot-chatbot-for-rice-disease-identification.html
ประเทศไทยผลิตข้าวได้มากกว่า 26 ล้านตันต่อปี เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายสำคัญอันดับ 4 ของโลก หากแต่รายได้ที่นำกลับเข้าประเทศมากกว่าแสนล้านบาทต่อปีนี้กลับไม่ได้สะท้อนถึงผลกำไรที่เกษตรกรควรได้รับ เพราะชาวนาไทยส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในวังวนของการ ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ต้องเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศ รวมถึงวิกฤตโรคระบาดที่ฉุดรั้งผลผลิตข้าวไทยให้ถดถอยลงทุกที
กลุ่มโปรแกรมเกษตรสมัยใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการวิจัย “โมบายแอปพลิเคชันเพื่อการวินิจฉัยโรคข้าวโดยใช้การวิเคราะห์ภาพถ่ายและปัญญาประดิษฐ์” ให้แก่ทีมวิจัยจาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินการพัฒนา ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคข้าวผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีแก่เกษตรกร เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกปัญหาการรับมือกับโรคระบาด ลดต้นทุนการใช้สารเคมีที่เสียไปอย่างไร้ค่า และยกระดับผลผลิตข้าวไทยให้มากขึ้น
[caption id="attachment_42337" align="aligncenter" width="700"] นายวศิน สินธุภิญโญ (กลาง) และทีมวิจัย[/caption]
นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบอทโรคข้าวเล่าว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2562 โดยความร่วมมือระหว่างเนคเทค สวทช. กับภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ต้องการสร้าง ‘แพลตฟอร์มกลาง’ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องมือการวินิจฉัยโรคข้าวที่มีประสิทธิภาพ พร้อมได้รับคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม ซึ่งจะช่วยยับยั้งการลุกลามของโรคระบาดในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศได้อย่างทันการณ์
“จากโจทย์ปัญหานำมาสู่การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ ระบบแชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยแพลตฟอร์มนี้ผ่านการออกแบบให้เกษตรกรใช้งานได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างใช้งานจนคุ้นเคยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเกษตรกรพบเห็นความผิดปกติของต้นข้าวในแปลงนาสามารถส่งข้อมูลให้ระบบวินิจฉัยโรคได้ทันที วิธีการใช้งานเพียงถ่ายภาพรอยโรคที่เกิดขึ้นบนต้นข้าวแล้วส่งภาพเข้าสู่หน้าแชต ระบบจะดึงภาพไปยังคลาวด์ และส่งให้ AI วิเคราะห์โรคด้วยเทคนิคเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เมื่อได้ผลแล้วระบบจะส่งผลการวิเคราะห์พร้อมคำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมกลับมารายงานให้เกษตรกรทราบภายใน 3-5 วินาที ช่วยให้เกษตรกรประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรคข้าวที่เกิดขึ้นในแปลงนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
[caption id="attachment_42336" align="aligncenter" width="700"] ภาพขณะกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม[/caption]
อย่างไรก็ตามการพัฒนา ‘บอทโรคข้าว’ ให้ดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล ต้องอาศัยการดำเนินงานแบบบูรณาการความเชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านโรคข้าว การพัฒนาคลังจัดเก็บชุดข้อมูล และการพัฒนาเทคโนโลยี AI
นายวศิน เล่าว่า ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม อาจารย์และทีมงานจากภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ที่ช่วยดำเนินงานภาคสนาม ต่างมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยจัดทำชุดข้อมูลเพื่อให้ทีมวิจัยได้นำมาใช้ออกแบบการเรียนรู้ให้แก่ AI
“ปัจจุบันบอทโรคข้าวให้บริการวิเคราะห์โรคข้าวที่สำคัญในไทยได้แล้วถึง 10 โรค ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบจุดสีน้ำตาล โรคใบขีดสีน้ำตาล โรคใบขีดโปร่งแสง โรคไหม้คอรวง โรคดอกกระถิน โรคใบวงสีน้ำตาล โรคเมล็ดด่าง และโรคใบหงิก โดยเปิดให้เกษตรกร ศูนย์ข้าวชุมชน หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงภาคเอกชน ทดลองใช้บริการแล้วผ่าน ‘กลุ่มบอทโรคข้าวของแต่ละจังหวัด’ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้าวตรวจทานความถูกต้องของผลการวินิจฉัย รวมถึงช่วยตอบข้อสงสัยและให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่เกษตรกรด้วย”
[caption id="attachment_42344" align="aligncenter" width="700"] ‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที[/caption]
ทั้งนี้ผลการรวบรวมข้อมูลสถิติการใช้งานพบว่าในปี 2566 มีผู้ใช้งาน ‘บอทโรคข้าว’ แล้วประมาณ 3,500 คน โดยมีทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นฟันเฟืองหลักนำแพลตฟอร์มไปขยายผลให้เกษตรกรในหลายจังหวัดทั่วประเทศได้ทดลองใช้งาน
[caption id="attachment_42346" align="aligncenter" width="450"] ผศ. ดร.สุจินต์ ภัทรภูวดล อาจารย์ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์[/caption]
ผศ. ดร.สุจินต์ ภัทรภูวดล อาจารย์ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ริเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มเล่าว่า หลังจากทีมร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มจนพร้อมเปิดให้บริการในปี 2565 ทีมงานจากภาควิชาฯ ได้นำแพลตฟอร์ม ‘บอทโรคข้าว’ ไปเผยแพร่และอบรมให้เกษตรกรเป้าหมายกว่า 3,200 คน จากจังหวัดลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม ที่เข้าร่วมโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-Naga Belt Road) ทดลองใช้งาน ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการขับเคลื่อนชุมชนให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มแบบครบวงจร นำไปสู่การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียว
“เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ได้ทดลองใช้ต่างชื่นชมว่าแพลตฟอร์มใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการที่แพลตฟอร์มนี้ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ยิ่งทำให้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีในเรื่องความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น (เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดความพร้อมในการติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่) และเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างยินดีที่จะแนะนำให้คนรู้จักได้ใช้งานร่วมกันต่อไป นอกจากนี้การที่ระบบมีการ ‘ให้บริการในลักษณะกลุ่มพื้นที่’ ยังช่วยให้เกษตรกรรวมถึงผู้ใช้บริการจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม ได้ตระหนักถึงชุดข้อมูลความถี่และช่วงเวลาในการเกิดโรค ทำให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวางแผนเฝ้าระวังการระบาดของโรคข้าวเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี”
[caption id="attachment_42339" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการแนะนำแพลตฟอร์มแก่กลุ่มเป้าหมาย[/caption]
[caption id="attachment_42340" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการแนะนำแพลตฟอร์มแก่กลุ่มเป้าหมาย[/caption]
อย่างไรก็ตามแม้โรคข้าวจะเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อจำนวนผลผลิตในแต่ละรอบอย่างมาก แต่ในการเพาะปลูกข้าวยังมีปัญหาอีกหลายด้านที่เกษตรกรต้องเผชิญ เช่น แมลงศัตรูพืช การขาดธาตุอาหาร ดังนั้นแล้วแพลตฟอร์มนี้จึงยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาระบบให้ครอบคลุมความต้องการของเกษตรกรมากยิ่งขึ้น
ผศ. ดร.สุจินต์ ชี้ว่า ความท้าทายใหญ่ที่สุดในการยืนหยัดพัฒนาระบบให้ครอบคลุมปัญหาการปลูกข้าว รวมถึงการให้บริการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว คือ ‘การได้มาซึ่งเงินทุน’ เพราะการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งด้านการรวบรวมข้อมูล การวิจัยและพัฒนาระบบ AI รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการให้บริการระบบดิจิทัล ดังนั้นแล้วในอนาคตจึงอาจมีความจำเป็นต้องเรียกเก็บค่าบริการจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม เพื่อให้แพลตฟอร์มนี้เดินหน้าสร้างประโยชน์แก่เกษตรกรไทยต่อไปได้อย่างยั่งยืน
‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ คือหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของบูรณาการความเชี่ยวชาญระหว่างองค์กรเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่เกษตรกรไทย อีกทั้งยังเป็นกลไกที่เกื้อหนุนการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพและเศรษฐกิจฐานรากไทยอย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
หน่วยงานที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มติดต่อได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. สำหรับเกษตรกรที่สนใจใช้บริการ เข้าร่วมได้ผ่านการเพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์โดยแสกน QR Code ด้านล่าง และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCG Economy Model ได้ที่ www.bcg.in.th
[caption id="attachment_59935" align="aligncenter" width="230"] สแกนเพื่อเข้าใช้งาน ‘บอทโรคข้าว’ (สำหรับบุคคลทั่วไป)[/caption]
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘สนทนา (Sontana)’ อวทาร์ให้บริการตอบคำถาม FAQ แบบอัตโนมัติ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/sontana-an-faq-conversational-avatar.html
องค์กรของคุณกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากรสำหรับให้บริการตอบคำถามใช่หรือไม่ ยกหน้าที่นี้ให้ ‘อวทาร์ หรือ อวตาร (Avatar)’ เป็นผู้ช่วยดูแลลูกค้าให้แก่คุณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พัฒนา ‘สนทนา (Sontana)’ อวทาร์ให้บริการตอบคำถามแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์รวดเร็ว เกิดความประทับใจต่อองค์กร
[caption id="attachment_42325" align="aligncenter" width="700"] ดร.อัษฎางค์ แตงไทย (ซ้าย) และ ดร.ชัยอนันต์ ดำรงรัตน์ (ขวา) นักวิจัยทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชัยอนันต์ ดำรงรัตน์ ทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. เล่าว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) ด้านเสียงและข้อความเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าหลากหลายด้าน อาทิ แพลตฟอร์มแปลงเสียงเป็นข้อความ แพลตฟอร์มแปลงข้อความเป็นเสียง แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อความ แพลตฟอร์มแชตบอตหรือระบบตอบโต้อัตโนมัติ โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้มีจุดแข็งที่สำคัญคือสามารถประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing: NLP) หรือภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
“ดังนั้นแล้วเพื่อพัฒนาต่อยอดให้ผลงานตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องเผชิญปัญหาการขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะด้านการดำเนินงานบริการตอบข้อซักถามทั่วไป (Frequently asked questions, FAQ) ทีมวิจัยจึงได้นำแพลตฟอร์ม 3 รูปแบบที่เปิดให้บริการแล้วอย่าง ‘พาที (Partii)’ ระบบบริการถอดความเสียงภาษาไทย ‘อับดุล (Abdul)’ ระบบบริการโต้ตอบอัตโนมัติ และ ‘วาจา (VAJA)’ ระบบบริการสังเคราะห์ภาพและเสียงภาษาไทยผ่านอินเทอร์เน็ต มาผนวกรวมกับเทคโนโลยีการสร้างอวทาร์ เพื่อให้ได้ ‘อวทาร์’ สำหรับทำหน้าที่ตอบ FAQ ตามชุดข้อมูลที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ด้วยสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงที่สุภาพ ตอบคำถามได้รวดเร็วภายในเวลาไม่เกิน 5 วินาที โดยเทคโนโลยีที่ผนวกรวมทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันนี้มีชื่อเรียกว่า ‘สนทนา (Sontana)’ ส่วนอวทาร์สาวสวยที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลในเวอร์ชันเปิดตัวนี้ ผู้ที่ได้ทดลองใช้ระบบต่างเรียกเธอด้วยความเอ็นดูว่า ‘น้องสนทนา’ ”
[caption id="attachment_42330" align="aligncenter" width="1000"] 3 แพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการแล้วในปัจจุบัน[/caption]
[caption id="attachment_42327" align="aligncenter" width="700"] สนทนา (Sontana)[/caption]
[caption id="attachment_42328" align="aligncenter" width="700"] สนทนา (Sontana)[/caption]
จุดแข็งที่น่าจับตาของ ‘อวทาร์สนทนา’ ไม่ได้มีแค่เรื่องการตอบ FAQ ได้รวดเร็วจนผู้ใช้บริการประทับใจเท่านั้น การแสดงสีหน้าและท่าทางได้อย่างสมจริงและมีชีวิตชีวาก็ดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้บริการได้ไม่แพ้กัน
ดร.อัษฎางค์ แตงไทย ทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า หลังจากที่ผู้ใช้บริการสอบถามข้อมูลกับอวทาร์แล้ว แพลตฟอร์มพาที อับดุล และวาจา จะประมวลผลต่อเนื่องกันโดยอัตโนมัติจนได้เป็นชุดเสียงสังเคราะห์สำหรับให้คำตอบแก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งระบบจะส่งต่อข้อมูลเหล่านั้นไปยังส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของ ‘โมเดล 3D’ หรือ ‘อวทาร์’ เพื่อให้อวทาร์แสดงท่าทางขยับริมฝีปากและองค์ประกอบต่าง ๆ บนใบหน้าให้สอดรับกับถ้อยคำที่เปล่งเสียงออกไป เสมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่ตอบคำถามแก่ผู้ใช้บริการ
[caption id="attachment_42326" align="aligncenter" width="450"] ภาพตัวอย่างการใช้งานสนทนา[/caption]
“สำหรับการควบคุมการขยับองค์ประกอบบนใบหน้าของอวทาร์แบบอัตโนมัติ ทีมวิจัยได้นำเทคโนโลยี Blendshapes จากแพลตฟอร์ม ARkit ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากบริษัทแอปเปิล จำกัด มาใช้ในการขยับองค์ประกอบ โดยแพลตฟอร์มนี้มีการใช้ Shapes มากถึง 52 แบบ และมีการใช้พรีเซตสระของภาษาอังกฤษ (A-E-I-O-U) ในการประมวลผล อวทาร์จึงขยับริมฝีปากและแสดงสีหน้าได้ละเอียด สมจริง มีชีวิตชีวา ซึ่งทีมวิจัยสามารถปรับแต่งการแสดงสีหน้า ท่าทาง รวมถึงเสียงสังเคราะห์ของอวทาร์ให้มีลักษณะเฉพาะตัวตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการได้อีกด้วย ส่วนทางด้านโมเดล 3D ที่ใช้สร้างเป็นอวทาร์นั้น ผู้ว่าจ้างสามารถจัดเตรียมโมเดลขององค์กรหรืองานต่าง ๆ มาด้วยตัวเอง หรือใช้บริการการผลิตโมเดลจากทางเนคเทคก็ได้เช่นกัน”
[caption id="attachment_42329" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่าง Shapes ที่ใช้ในการทำ Blendshapes[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมให้บริการแพลตฟอร์ม ‘สนทนา (Sontana)’ แก่กลุ่มธุรกิจ กลุ่มบริษัทซอฟต์แวร์เฮาส์ รวมถึงองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องการใช้ระบบตอบคำถามอัตโนมัติด้วยภาพและเสียงแล้ว หากสนใจใช้บริการติดต่อได้ที่ฝ่ายกลยุทธ์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี เนคเทค สวทช. อีเมล business@nectec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
SCI News Flash : 3 นวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ โดย เอ็มเทค สวทช.
นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา 3 นวัตกรรมขานรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 3 ผลงาน พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว
'Rachel' บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้สูงวัยที่ยังมีใจและมีไฟได้สนุกกับการใช้ชีวิตประจำวัน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง จุดเด่นของชุด คือ การช่วยเสริมแรงให้กับผู้สูงอายุบริเวณหลังและต้นขาด้วยกล้ามเนื้อจำลองซึ่งควบคุมด้วย AI เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มโดยตัวชุดผ่านการออกแบบให้น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย สามารถใส่ทับหรือใส่แทนชุดชั้นในได้เลย
รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว
'Gunther Bath' กันเธอหกล้มแล้วไม่มีใครมาช่วยเหลือ เป็นอุปกรณ์ Ambient sensor สำหรับตรวจจับการหกล้มในห้องน้ำ ซึ่งวิเคราะห์ Ambient ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย AI โดยหากเกิดเหตุผู้ใช้งานห้องน้ำหกล้มระบบจะแจ้งเตือนไปยังสมาร์ตโฟนของผู้ดูแลภายใน 5 วินาที จุดแข็งที่สำคัญของเทคโนโลยีนี้คือการประมวลผลทั้งหมดโดยไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานห้องน้ำ
รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Gunther Bath’ กันเธอหกล้มแล้วไม่มีคนช่วย นวัตกรรมตรวจจับการล้มเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล
'Ross' ชุดพยุงหลังสำหรับ 'ลูกหลาน' และ 'บุคลากรทางการแพทย์' ที่ต้องยกหรือพลิกตัวผู้สูงอายุอยู่เป็นประจำ ชุดจะทำหน้าที่ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหลัง ช่วยควบคุมให้ร่างกายยกของน้ำหนักมากด้วยท่าทางที่เหมาะสม โดยชุดนี้ผ่านการออกแบบให้สวมใส่และถอดง่าย พร้อมให้คว้ามาใส่อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน
รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Ross (รอส) บอดีสูทพยุงหลัง’ ป้องกันการบาดเจ็บจากการยกผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และสิ่งของน้ำหนักมาก
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว
แม้กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุจะอ่อนแรงไปตามวัย แต่หัวใจของผู้สูงวัยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่อนแรงไปตามกัน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร พัฒนา ‘Rachel (เรเชล)’ นวัตกรรมบอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ที่ช่วยเติมเต็มให้ผู้สูงวัยในกลุ่ม ‘พฤฒพลัง (Active aging)’ ซึ่งยังมีใจและมีไฟได้สนุกกับการใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง
[caption id="attachment_41742" align="aligncenter" width="700"] ‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว[/caption]
ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. เล่าถึงการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้สูงอายุ เพื่อใช้ในการออกแบบผลงานนวัตกรรมแบบมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (Human-centric design) ว่า ผู้สูงอายุโดยทั่วไปรวมถึงผู้สูงอายุแบบพฤฒพลังส่วนใหญ่ต่างต้องเผชิญภาวะ ‘มวลกล้ามเนื้อลดลงตามอายุขัย’ ทำให้การทรงตัวและเคลื่อนไหวร่างกายอาจไม่มั่นคงเท่าสมัยวัยหนุ่มสาว จึงเสี่ยงต่อการหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุ ทั้งจากการลุกยืน เดิน ขึ้นลงบันได และยกของ เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุหลายคนขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต ปฏิเสธการทำกิจกรรมต่าง ๆ จนสุขภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแอลง ดังนั้นแล้วเพื่อให้ประชากรสูงวัยในประเทศไทยได้มีทางเลือกในการยกระดับคุณภาพชีวิตมากยิ่งขึ้น ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนานวัตกรรม ‘Rachel – Motion assist bodysuit’ ชุดบอดีสูทสำหรับเสริมแรงกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมความมั่นใจในทุกการเคลื่อนไหวให้แก่ผู้สูงอายุ
‘Rachel’ ผ่านการออกแบบให้เป็นชุดเสริมแรงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยมีกล้ามเนื้อจำลอง 2 ชนิดทำงานสอดประสานกัน เพื่อเสริมแรงและพยุงกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้สำเร็จอย่างปลอดภัย
ดร.วรวริศ อธิบายถึงกลไกการเสริมแรงให้กับกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุว่า เมื่อผู้สูงอายุสวมใส่บอดีสูท ระบบเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่กับชุดจะตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แล้วส่งข้อมูลให้ AI ทำหน้าที่วิเคราะห์ท่าทางและการปรับเปลี่ยนอิริยาบถของผู้สวมใส่ จากนั้น AI จะสั่งการให้กล้ามเนื้อจำลองออกแรงกดไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งในด้านกระตุ้นการทำงานและการช่วยเสริมแรงให้แก่กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุในระดับที่เหมาะสม โดยการเสริมแรงระบบ AI จะสั่งการให้ปั๊มเติมลมเข้าสู่ ‘กล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติก (Pneumatic artificial muscles)’ ที่อยู่บริเวณต้นขาและหลังช่วงกลางถึงช่วงล่าง เพื่อให้ท่อลมพองตัวขึ้นและความยาวของท่อหดสั้นลง ซึ่งกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกจะทำงานร่วมกับ ‘กล้ามเนื้อยางยืด’ ที่อยู่บริเวณสะโพก บั้นท้าย และสะบักของผู้สวมใส่ โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกจะดึงให้กล้ามเนื้อยางยืดยืดออก ซึ่งทำให้เกิดแรงดึงกลับที่ช่วยเสริมแรงให้ผู้สูงอายุเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น เช่น ในท่าลุกขึ้นยืน นอกจากนี้การพองตัวขึ้นของกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกยังทำให้เกิดแรงกดลงอ่อน ๆ ที่บริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและบริเวณหลัง เป็นการช่วยพยุงกล้ามเนื้อและอาจกระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงานดีขึ้นได้
[caption id="attachment_41732" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา และทดสอบใช้งานโดยผู้สูงอายุ[/caption]
[caption id="attachment_41733" align="aligncenter" width="450"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา และทดสอบใช้งานโดยผู้สูงอายุ[/caption]
สิ่งหนึ่งที่ทีมวิจัยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนางานนี้ คือ ‘Rachel’ ต้องทำหน้าที่ ‘เสริมแรงกล้ามเนื้อ’ เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น แต่ ‘ไม่ทำหน้าที่ออกแรงแทนกล้ามเนื้อที่ยังทำงานได้ดี’ เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อผู้สูงอายุให้นานที่สุด
ดร.วรวริศ อธิบายว่า การเสริมแรงของ ‘Rachel’ ในปัจจุบันควบคุมโดย AI ซึ่งผ่านการออกแบบให้มีการเสริมแรงอย่างเหมาะสม และผลการทดสอบใช้งานจริงโดยกลุ่มผู้สูงอายุ หลังจากนี้ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาต่อยอดให้ AI สามารถคำนวณการเสริมแรงให้สอดรับกับความต้องการรายบุคคล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้แก่ผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น นอกจากการเสริมแรงกล้ามเนื้อซึ่งเป็นปัจจัยหลักแล้ว อีกโจทย์ท้าท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ‘ความสะดวกสบาย’ ในการสวมใส่ ทีมวิจัยจึงเน้นการออกแบบชุดให้มี ‘น้ำหนักเบา สวมใส่ได้สบาย’ ช่วยให้ผู้สูงอายุสวมใส่ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้นาน และอยากหยิบมาสวมใส่ในทุกวัน
“Rachel ผ่านการออกแบบให้แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ประเภท Exoskeleton ที่มีลักษณะเป็นชุดโครงสร้างแข็ง ซึ่งทำให้ผู้สวมใส่ส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัด ทำกิจกรรมได้ไม่คล่องตัว และปฏิเสธที่จะสวมใส่เป็นประจำ การออกแบบ Rachel จึงไม่มีการใช้โครงสร้างแข็งที่มีน้ำหนักมากและมีขนาดใหญ่เทอะทะเป็นส่วนประกอบ รวมถึงเลือกใช้วัสดุที่ระบายความร้อนได้ดี น้ำหนักเบา สวมใส่และถอดได้สะดวก โดยผู้สูงอายุสามารถสวมใส่ทดแทนชุดชั้นในหรือใส่ทับชุดชั้นในได้เลย ในส่วนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องถอดออกจากชุดเพื่อนำไปชาร์จไฟก็ถอดและติดตั้งได้ง่าย ผู้สูงอายุสามารถทำได้ด้วยตัวเอง สำหรับชุด Rachel ที่ทีมวิจัยเตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและจำหน่ายจริงจะออกแบบเพิ่มเติมให้ครอบคลุมสรีระทั้งเพศหญิงและชาย มีหลากหลายขนาด รองรับรูปร่างส่วนใหญ่ของประชากรสูงวัยไทย รวมถึงรองรับความสะดวกสบายในการเข้าห้องน้ำด้วย” ดร.วรวริศ กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันผลงาน ‘Rachel’ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งต่อนวัตกรรมดี ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้เคลื่อนไหวทำกิจกรรมอย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการหกล้มบาดเจ็บแล้ว ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ลุยสวน “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” ใช้เทคโนโลยีพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
“มะพร้าวน้ำหอมพันธุ์ก้นจีบ” คือสินค้า GI ของจังหวัดราชบุรี ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติหอมหวานเป็นอัตลักษณ์ และเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาเกษตรกรยังประสบปัญหาเรื่องการจำหน่ายผลผลิต เนื่องด้วยเน้นผลิตแบบผลสด จึงต้องเผชิญกับภาวะสินค้าล้นตลาดและมะพร้าวตกเกรดจากปัญหารอยช้ำระหว่างเก็บเกี่ยวและขนส่ง ทำให้ต้องขายในราคาต่ำกว่าทุนแก่โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป หรือต้องทิ้งจำนวนมาก กลายเป็นปัญหาขยะจากการผลิต (Food loss)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับสถาบันอาหาร และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จัดทำโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจาก “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” ภายใต้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) แบบบูรณาการเชิงพื้นที่ (Area based) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติคัดเลือกจังหวัดราชบุรีให้เป็นหนึ่งในจังหวัดนำร่องการขับเคลื่อน และกำหนดให้มะพร้าวน้ำหอมเป็นหนึ่งใน “สินค้าเกษตรเป้าหมาย”
[caption id="attachment_41416" align="aligncenter" width="650"] ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร (IFBT) ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร (IFBT) ไบโอเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า มะพร้าวน้ำหอมของจังหวัดราชบุรี เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงมาก แต่ยังมีปัญหาเรื่องของสินค้าล้นตลาดที่มักเกิดในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคมที่มีผลผลิตจำนวนมาก รวมถึงผลมะพร้าวจำนวนมากที่ถูกคัดทิ้งเนื่องจากมีตำหนิเกินมาตรฐาน อีกทั้งในกระบวนการแปรรูปยังมีเศษเนื้อมะพร้าวและของเสียที่เหลือทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย โครงการฯ จึงมีเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากมะพร้าวน้ำหอมราชบุรี รวมถึงเทคโนโลยีการยืดอายุน้ำมะพร้าวน้ำหอม เพื่อถ่ายทอดให้แก่ชุมชน
[caption id="attachment_41418" align="aligncenter" width="650"] มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี[/caption]
“เราทำงานบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนในพื้นที่ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานเข้ามาส่งเสริมเกษตรกรให้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่มะพร้าวน้ำหอมได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำบนฐานของการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ปัจจุบันมีการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวน้ำหอมหลายรูปแบบที่พร้อมถ่ายทอดให้แก่ชุมชน เช่น ผลิตภัณฑ์น้ำส้มสายชูหมักจากมะพร้าวน้ำหอมไทย ผลิตด้วยเทคโนโลยีการหมักแบบขั้นตอนเดียว ต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพสูง COCOBIOTIC ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโพรไบโอติกพร้อมดื่ม ที่มีสี กลิ่นหอม รสชาติ และความซ่า คล้ายชาหมักคอมบุชา อุดมไปด้วยกลุ่มจุลินทรีย์โพรไบโอติก ช่วยในเรื่องระบบการย่อยอาหาร ผลิตภัณฑ์มะพร้าวหมักเลียนแบบโยเกิร์ตและโยเกิร์ตพร้อมดื่ม ที่มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีชีวิต จัดเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกกลุ่ม Plant-based
“นอกจากอาหารยังมีผลิตภัณฑ์ผงน้ำมะพร้าวเร่งการเจริญเติบโตของพืช ใช้กระตุ้นการสร้างสารสำคัญของพืชสมุนไพร เช่น บัวบก ในระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ รวมทั้งใช้กระตุ้นการงอกและการเจริญของเมล็ดพันธุ์ เช่น กะเพรา ผักกวางตุ้ง ผักชี สำหรับในส่วนของเทคโนโลยีการยืดอายุน้ำมะพร้าวน้ำหอม ทางสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการแปรรูปอาหารออกแบบกระบวนการยืดอายุด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ กระบวนการแช่เยือกแข็ง กระบวนการสเตอริไลซ์ และกระบวนการ High-Pressure Processing (HPP) ทำให้สามารถเก็บรักษาน้ำมะพร้าวได้นานขึ้น 30 วัน ถึง 1 ปี (ขึ้นกับกระบวนการที่ใช้) โดยที่ผู้บริโภคยังยอมรับกลิ่นรสที่เป็นอัตลักษณ์ของมะพร้าวน้ำหอมราชบุรี”
ด้าน นิตยา พิระภัทรุ่งสุริยา ที่ปรึกษาสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันอาหารมีบทบาทหน้าที่ขับเคลื่อนพัฒนาให้ผู้ประกอบการแข่งขันในตลาดโลก และพร้อมเข้ามาเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติ โดยหลังจากลงพื้นที่ร่วมกับทุกหน่วยงาน ได้นำข้อมูลมาออกแบบกระบวนการทำงานและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปและมูลค่าสูง โดยเน้นใช้ประโยชน์จากมะพร้าวในทุกส่วน รวมทั้งยังจัดทำหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่ชุมชนในพื้นที่ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เจลลีมะพร้าวผสมบุกคาราจีแนน น้ำมะพร้าวผสมน้ำสับปะรด ไอศกรีมมะพร้าวที่ใช้น้ำและเนื้อมะพร้าว
“นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาต่อยอดสินค้าร่วมกับผู้ประกอบการ เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน Aromatic Farm โดยนำเศษเนื้อมะพร้าวอ่อน ซึ่งเดิมจะนำไปใช้ทำอาหารเป็ดมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ฟิลลิงเนื้อมะพร้าว สำหรับใช้เป็นองค์ประกอบกับอาหารอื่น ๆ เช่น ไส้ขนมปัง วัตถุดิบแต่งหน้าเค้ก ผลิตภัณฑ์ทาหน้าขนมคล้ายแยม ส่วนน้ำมะพร้าวก็นำมาพัฒนาเป็นเครื่องดื่มฟังก์ชันมูลค่าสูง เช่น เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวกลิ่นเทอร์พีน นำสารสกัดกลิ่นเทอร์พีนซึ่งพบได้ในพืชตระกูลแคนนาบิส (Cannabis) หรือในกลุ่มกัญชาและกัญชงมาเป็นส่วนผสม มีประโยชน์ช่วยให้ผ่อนคลายและสดชื่น รวมทั้งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวผสมอินูลิน มีคุณสมบัติเป็นใยอาหารและพรีไบโอติก (Prebiotics) ช่วยให้ลำไส้ย่อยและดูดซึมอาหารช้าลง มีส่วนช่วยให้อิ่มท้อง มีประโยชน์ต่อผู้ที่ควบคุมน้ำหนักหรือจำกัดพลังงาน”
ส่วน นวลลออ เทิดเกียรติกุล Founder & CEO วิสาหกิจชุมชน Aromatic Farm กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการบอกได้เลยว่า มะพร้าวน้ำหอมถือเป็นผลิตภัณฑ์สุขสบายขายดีมากของจังหวัดราชบุรี แต่จะดียิ่งกว่าหากเติมนวัตกรรมเข้าไป เพราะจะกลายเป็นความยั่งยืน การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากมะพร้าวน้ำหอมราชบุรีเข้ามาตอบโจทย์ และเติมเต็มให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างมาก เพราะจากที่เรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการแปรรูปพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เมื่อมีนวัตกรรมมาช่วยก็ทำให้เกิดรายได้เพิ่มและสร้างมั่นคงแก่สินค้าชุมชน
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตร มีเป้าหมายปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรของประเทศไทยสู่ 3 สูง คือ ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และรายได้สูง ซึ่งมุ่งเน้นการทำงานบูรณาการระหว่างเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อร่วมกันพัฒนาทุนมนุษย์ในทุกมิติ นำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้าไปช่วยส่งเสริมในพื้นที่อย่างเหมาะสม และสร้างความเข้มแข็งในด้านการพัฒนาปัจจัยการผลิตด้วยตนเองซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืน
“จังหวัดราชบุรีเป็นตัวอย่างของจังหวัดนำร่องการขับเคลื่อน BCG และมีสินค้าเกษตรเป้าหมายหลากหลาย ได้แก่ มะพร้าวน้ำหอม กุ้งก้ามกราม โคนม อ้อย สุกร เกษตรอินทรีย์ ซึ่งโครงการจะสำเร็จได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานภาครัฐ แต่อยู่ที่ความเข้มแข็งของเกษตรกรและการสนับสนุนของภาคเอกชนในพื้นที่ด้วย อย่างไรก็ดีการดำเนินการผลักดันขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่จะต้องให้ความสำคัญในทุกมิติ ทั้งในด้านการเกษตร การแปรรูป พลังงานทางเลือก และการท่องเที่ยว จึงจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับรายได้ให้เกษตรกรและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่ง สวทช. จะพยายามใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ขับเคลื่อนการทำงานให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด”
สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากมะพร้าวน้ำหอม สามารถชมผลงานวิจัยและตัวอย่างผลิตภัณฑ์ได้ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยติดตามรายละเอียดและลงทะเบียน (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ได้ที่ www.nstda.or.th/nac หรือโทรศัพท์ 0 2564 8000 ทั้งนี้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานที่สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้ที่ www.bcg.in.th
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
นวัตกรรม ‘คอปเปอร์ไอออน’ สารยับยั้งเชื้อก่อโรคประสิทธิภาพสูง ช่วยบรรเทาปัญหาโรคระบาดในสุกร
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/ionic-copper-innovation-leads-to-effective-animal-health-products.html
ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง เนื่องจากการระบาดหนักของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่ทำให้สุกรล้มป่วยและตายแบบเฉียบพลันจำนวนมาก แม้ผ่านมาราวปีครึ่งแล้ว ราคาของเนื้อสุกรก็ยังไม่ลดลงเทียบเท่าสถานการณ์ปกติ สาเหตุหนึ่งมาจากต้นทุนด้านการรับมือโรคระบาดที่ค่อนข้างสูง จนเกษตรกรหลายรายจำต้องหยุดทำฟาร์มชั่วคราวหรือถาวร ส่งผลให้กำลังการผลิตเนื้อสุกรภายในประเทศลดลง
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘นวัตกรรมสารคอปเปอร์ไอออน (Ionic Copper) ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคสูง’ เพื่อหนุนแก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร ลดค่าใช้จ่าย และลดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_40872" align="aligncenter" width="450"] ดร.วรายุทธ สะโจมแสง นักวิจัย นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.วรายุทธ สะโจมแสง ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและประเทศข้างเคียงพบการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) โรคร้ายแรงที่ทำให้สุกรตายอย่างเฉียบพลัน และยังพบการระบาดของโรคอื่นๆ อาทิ โรคท้องร่วงในสุกร (Porcine Epidemic Diarrhea: PED) และโรคในระบบทางเดินหายใจและระบบสืบพันธุ์ (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome: PRRS) ทำให้มีสุกรป่วยและตายจำนวนมาก ส่งผลให้เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งจากค่าใช้จ่ายด้านระบบรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biocontrol) ค่ายาปฏิชีวนะเพื่อรักษาและป้องกันโรค (การป้องกันโรคด้วยยาปฏิชีวนะเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องและส่งผลให้เชื้อดื้อยา) และการจัดหาแม่พันธุ์และสุกรตัวใหม่มาเลี้ยง
“ดังนั้นแล้วการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สุกรติดเชื้อเป็นเรื่องสำคัญมาก ทั้งการดำเนินงานตามมาตรการที่กรมปศุสัตว์กำหนด และการทำความสะอาดด้วยสารยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพ เช่น สารประเภท ‘คอปเปอร์ไอออน’ หรือ ‘เกลือคอปเปอร์’ ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและลบ รวมถึงไวรัส ที่ค่อนข้างครอบคลุมโรคระบาดสำคัญในสุกร อย่างไรก็ตามสารชนิดนี้ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่เช่นกัน เพราะเป็น ‘สารที่ไม่คงทนต่อสภาพแวดล้อม’ ทำให้มีโอกาสที่สารจะออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกษตรกรต้องใช้สารในปริมาณมาก ต้นทุนการผลิตสูง และอาจก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในพื้นที่อีกด้วย”
จากปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ไม่นิ่งนอนใจ เร่งนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคีเลชัน (Chelation technology) มาพัฒนาสารคอปเปอร์ไอออนให้อยู่ในรูปที่สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคได้สูงในสภาพแวดล้อมที่ใช้งานจริง
ดร.วรายุทธ อธิบายว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการคีเลชันสารคอปเปอร์ไอออนด้วยคีเลติงเอเจนต์ธรรมชาติ (Natural chelating agent) เพื่อทำให้คอปเปอร์ไอออนมีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ไม่เสียประจุไอออนบวกที่ทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคได้ง่ายและไม่ตกตะกอน ทำให้สารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดปริมาณการใช้สารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การคีเลชันคอปเปอร์ไอออนด้วยด้วยคีเลติงเอเจนต์ธรรมชาติยังช่วยให้พืชดูดซึมสารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ (คอปเปอร์เป็นธาตุอาหารเสริมของพืช) ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในสิ่งแวดล้อม และไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในระบบนิเวศอีกด้วย
ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการคีเลชันคอปเปอร์ไอออนให้แก่บริษัทสมาร์ท เวท จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯ ได้ต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ดูแลสุขภาพสัตว์ทั้งในการทำปศุสัตว์และประมง
ดร.วรายุทธ แนะนำว่า ผลงานที่บริษัทฯ วางจำหน่ายแล้วในปัจจุบันมี 3 ชนิด คือ ‘BLUERACLE’ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและลบ รวมถึงเชื้อไวรัส ใช้ได้กับทั้งอาหารสุกรและไก่ และน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ‘BLEN IONIC’ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคท้องเสียในสุกร การใช้งานเป็นรูปแบบปั๊มเข้าปาก และ ‘BLUE TEC’ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหารสำหรับใช้กับอาหารสุกรและไก่ และใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคในระบบกระจายลม (Evaporative cooling system) ในฟาร์มได้
“จุดเด่นของ ‘นวัตกรรมสารคอปเปอร์ไอออนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคสูง’ คือ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคระบาดผ่านการควบคุมและป้องกัน นอกจากนี้ยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต ทำให้เกษตรกรที่เคยประสบปัญหาขาดทุนมีโอกาสได้หวนกลับมาผลิตสุกรเพื่อหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมอาหารไทยมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญสารคอปเปอร์ไอออนไม่ใช่ ‘ยาปฏิชีวนะ’ หรือ ‘สารเคมีอันตราย’ จึงเหมาะแก่การใช้เป็นสารทางเลือกสำหรับดูแลสุขภาพสัตว์ (ในปริมาณที่เหมาะสม) เพื่อช่วยลดข้อจำกัดทางการค้า เพิ่มโอกาสในการส่งออกเนื้อสุกรและเนื้อสุกรแปรรูปในอนาคต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว” ดร.วรายุทธ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการท่านใดสนใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ติดต่อได้ที่บริษัทสมาร์ท เวท จำกัด และหากสนใจใช้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารด้วยเทคโนโลยีนาโน ติดต่อได้ที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อีเมล pr@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘Magik Color’ แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ชูข้อดีของสีแบบไทยๆ
‘แป้งพิมพ์ผ้า’ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่อุตสาหกรรมสิ่งทอทั่วโลกใช้พิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้าเพื่อถ่ายทอดผลงานการออกแบบ แต่แป้งพิมพ์ส่วนใหญ่ที่มีการใช้งานในปัจจุบันเป็น ‘แป้งพิมพ์ที่มีสีเคมีเป็นส่วนผสม’ ซึ่งอาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา 'Magik Color แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ' เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการลดการใช้สารเคมี โดยผลิตภัณฑ์นี้นำจุดแข็งเรื่องความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทยมาใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ‘ให้มีสีสันสดใส หลากหลายเฉดสี’ ด้วย
[caption id="attachment_40752" align="aligncenter" width="450"] ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า สิ่งที่ทีมให้ความสำคัญในการวิจัยมาตลอดคือการพัฒนา ‘ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ที่ผ่านมาจึงมีการวิจัยสีสำหรับย้อมเส้นด้ายและผ้าจากวัตถุดิบธรรมชาติหลายชนิด หนึ่งในผลงานที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว คือ 'แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ 6 เฉดสี' ที่ใช้พิมพ์ได้ทั้งเทคนิค Silk screen printing, Block printing และ Stencil printing พิมพ์ได้ทั้งผ้าเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์ (ผลิตภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถใช้งานกับเทคนิค Rotary screen printing ได้)
[caption id="attachment_40753" align="aligncenter" width="650"] การพิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]
[caption id="attachment_40754" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างลายผ้าที่พิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]
“ผงสีที่ใช้เป็นส่วนประกอบของแป้งพิมพ์สีธรรมชาติสกัดมาจากวัตถุดิบ 4 ชนิด คือ ‘ครั่ง’ ที่ให้สีแดงและชมพู ‘ดอกดาวเรือง’ ให้สีเหลืองและน้ำตาลแดง ‘เปลือกต้นโกงกาง’ ให้สีน้ำตาลเหลือง และ ‘เปลือกผลชาน้ำมัน’ ให้สีเทาดำ ซึ่งวัตถุดิบ 2 อย่างหลังนี้มีจุดเด่นเรื่องการนำขยะจากอุตสาหกรรมอื่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เปลือกโกงกางเป็นขยะจากการผลิตถ่านหุงต้มที่คนจังหวัดสมุทรสงครามผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและส่งออก ส่วนเปลือกผลชาน้ำมันเป็นขยะจากการผลิตน้ำมันประกอบอาหาร ทีมูลนิธิชัยพัฒนาส่งเสริมให้เกษตรกรภาคเหนือปลูกและแปรรูป โดยหลังจากนี้ทีมวิจัยจะพัฒนาเฉดสีอื่นๆ ออกมาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น”
[caption id="attachment_40755" align="aligncenter" width="650"] วัตถุดิบที่ใช้ในการสกัดเพื่อทำผงสี[/caption]
[caption id="attachment_40756" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างเฉดสีที่พิมพ์ลงบนผ้า[/caption]
การสกัดผงสีจากวัตถุดิบธรรมชาติมาใช้ทำผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์ผ้านี้งานทำให้ในภาพรวมผลิตภัณฑ์สามารถช่วยลดสัดส่วนการใช้สารเคมีได้มากกว่าร้อยละ 20 ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เป็นสารเคมีก็ผ่านการทดสอบเพื่อรับรองความปลอดภัยแล้ว
ดร.มณฑล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติ นอกจากผงสีแล้วยังมีวัตถุอื่นๆ เป็นส่วนประกอบหลัก อาทิ สารช่วยเพิ่มความหนืด สารเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องการยึดติด สารปรับเฉดสี โดยทีมวิจัยได้นำเบสแป้งพิมพ์ที่ผสมวัตถุดิบตั้งต้นทั้งหมดแต่ยังไม่ได้ใส่ผงสีธรรมชาติไปตรวจสอบตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ผลการตรวจสอบพบว่าเบสแป้งพิมพ์ที่ทีมวิจัยใช้ปราศจาก ‘สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)’ ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ สารชนิดนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก และระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังเป็นสารก่อโรคมะเร็งด้วย
“อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจแก่ผู้สนใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ คือ สีจากธรรมชาติไม่คงทนเท่าสีเคมี โดยสูตรที่พัฒนาขึ้นนี้ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบแล้วว่าสามารถซักแบบถนอมเนื้อผ้าด้วยสารซักล้างที่มีความอ่อนโยนต่อเนื้อผ้า เช่น น้ำยาซักผ้าเด็ก ได้มากกว่า 30 ครั้ง ในแต่ละรอบการซักสีจะค่อยๆ อ่อนลงทีละเล็กน้อย”
[caption id="attachment_40757" align="aligncenter" width="450"] การอ่อนลงของสีในแต่ละรอบการซัก[/caption]
ปัจจุบันผลงานแป้งพิมพ์สีธรรมชาติอยู่ในสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ โดยทีมวิจัยได้เริ่มขยายผลสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) แล้ว
ดร.มณฑล เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้เรื่องการใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติไปถ่ายทอดให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแล้วหลายจังหวัด อาทิ สมุทรสงคราม น่าน ลำพูน เชียงใหม่ เพราะเป็นกลุ่มที่จำหน่ายผ้าทอจากเส้นใยธรรมชาติที่มักมีการ ‘นำวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่นมาใช้ผลิตสีสำหรับย้อม’ ดังนั้นแล้วการนำเทคนิคการพิมพ์เข้าไปถ่ายทอดจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการสร้างสรรค์ลวดลายบนผืนผ้าหรือผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น แตกต่าง หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการลงพื้นที่ไปถ่ายทอดองค์ความรู้ ทีมวิจัยได้ร่วมกับชุมชนต่างๆ ทดลองผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติจากวัตถุดิบท้องถิ่นเพื่อชูอัตลักษณ์ของชุมชนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าด้วย
“สำหรับในกลุ่ม SMEs ทีมวิจัยได้นำผลิตภัณฑ์ไปเปิดตัวในงานนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ โดยมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองสีละ 80 และ 250 กรัม ให้ผู้ประกอบการได้นำไปทดลองใช้ ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าเป็นกลุ่ม SMEs แล้วทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการผลิตส่วนใหญ่มักเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีลวดลายพิเศษแตกต่างกับผลิตภัณฑ์จากโรงงาน ทำให้สินค้าที่จำหน่ายมีราคาสูงกว่าทั่วไปและมีตลาดเฉพาะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยแป้งพิมพ์สีเคมี นอกจากนี้ทีมวิจัยและทีมประชาสัมพันธ์จากเอ็มเทค สวทช. ยังได้จัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจทดลองใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติสร้างสรรค์ผลงานศิลปะลงบนผืนผ้าในงานมหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย”
[caption id="attachment_40761" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์ Magik Color[/caption]
แป้งพิมพ์สีธรรมชาติเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ที่มุ่งเน้นส่งเสริมผู้ประกอบการให้หันมาลดการใช้สารเคมีและพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นขณะเดียวกันการพัฒนาสีจากธรรมชาติยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย รวมถึงช่วยต่อยอดผ้าทอไทยให้มีสีสันสวยงามหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ มีความทันสมัย และตอบโจทย์กระแสแฟชั่นโลกที่กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมสิ่งทอสู่ความยั่งยืน
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติในระดับอุตสาหกรรม หรือสนใจทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค สวทช. โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรือ อีเมล chanitw@mtec.or.th ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCG Economy Model เพิ่มเติมได้ที่ www.bcg.in.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
จบปัญหามะนาวแพง ! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวแช่แข็งเกรดพรีเมียมในราคาจับต้องได้
“มะนาวราคาผันผวน” คือ ปัญหาที่เกษตรกร ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคต้องเผชิญกันเป็นประจำเกือบทุกปี เพราะประเทศไทยไม่ได้ปลูกมะนาวได้ดีทุกฤดูกาล ตรงข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ตลอด ช่วงมะนาวติดดอกออกผลมากจนล้นตลาดราคาก็ตกต่ำ ช่วงนอกฤดูกาลก็ต้องพึ่งพาสารเคมีให้ออกผล จนต้นทุนการผลิตพุ่งสูงลิ่ว จะดีกว่าไหม ถ้ามีทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ราคาดีในช่วงฤดูกาล และมีผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคุณภาพเยี่ยมให้ผู้บริโภคได้รับประทานแบบปลอดภัยในราคาที่จับต้องได้ตลอดทั้งปี
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์ “มะนีมะนาว” ให้เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 2 ปี และเก็บในช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน โดยคงกลิ่นและรสชาติที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงน้ำมะนาวสำเร็จรูปคุณภาพสูงที่มีราคาใกล้เคียงกับการใช้มะนาวผลสดในช่วงราคาปกติ
[caption id="attachment_30755" align="aligncenter" width="750"] ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อจำหน่ายแบบ B2B ให้แก่ร้านอาหารเชนใหญ่ที่มีห้องแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่บริษัทติดปัญหาว่าไม่สามารถขยายการจำหน่ายไปยังผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป เพราะแม้ผลิตภัณฑ์จะมีกลิ่นและรสชาติดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องอายุการใช้งานหลังนำออกจากห้องแช่แข็งสั้น ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดภายใน 1-2 วัน ทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับทีมวิจัยในการคิดค้นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์
“โดยทั่วไปน้ำมะนาวคั้นสดที่มีการจำหน่ายในตลาดจะผ่านกระบวนการการพาสเจอไรซ์หรือใช้ความร้อนในการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้น้ำมะนาวเสียสภาพ เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่วิธีการนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือทำให้น้ำมะนาวมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนกับน้ำมะนาวคั้นสด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก
ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”
[caption id="attachment_30756" align="aligncenter" width="750"] วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด[/caption]
วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อธิบายเสริมข้อมูลว่า มะนาวที่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ เป็นมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติคงที่ น้ำเยอะ ไร้เมล็ด อีกทั้งต้นมะนาวยังแข็งแรงทนทานต่อโรค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการดูแล ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกร และผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ค่อยนิยมปลูกมะนาวพันธุ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการผลผลิตอย่างชัดเจน และยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดในแต่ละปี
“ทางบริษัทจึงได้ทำสัญญารับซื้อกับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกรเครือข่ายหลายร้อยครัวเรือนในภาคเหนือช่วยดำเนินการผลิตมะนาวสายพันธุ์นี้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วจัดส่งให้แก่บริษัทเพื่อนำผลผลิตมะนาวคุณภาพดีมาใช้ผลิตสินค้ามาตรฐาน GMP และ HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งออกระดับสากล”
[caption id="attachment_30753" align="aligncenter" width="750"] มะนาวพันธุ์ตาฮิติ[/caption]
วิริยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากร่วมทำวิจัยกับนาโนเทค สวทช. จนสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว บริษัทจึงได้วางจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศในราคาที่จับต้องได้ และล่าสุดบริษัทได้ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานการนำเข้าสินค้าสูงมากสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวได้รับการยอมรับจากเชฟอาหารไทยในญี่ปุ่นทั้งด้านความคงที่ของรสชาติและความสะดวกในการใช้งาน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีร้านอาหารไทยต่อไป
“การยกระดับผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจให้เติบโต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายน้ำมะนาวคุณภาพดีมาใช้ประกอบอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวอาจเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่สามารถตีตลาดอาหารโลกก็เป็นได้”
[caption id="attachment_30751" align="aligncenter" width="750"] มะนีมะนาว[/caption]
สนใจซื้อ "มะนีมะนาว" ได้ที่ Makro / Foodland / CP fresh mart / Gourmet market / Home fresh mart / Tops Supermarket หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.maneemanao.com/wheretobuy
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘NPV ไวรัสฝ่าวิกฤติหนอนกล้วยไม้ดื้อยา’
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/npv-product-helps-revive-thai-orchid-farms.html
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยบางรายจำต้องขาดสภาพคล่องหนัก เพราะการหวนกลับมาระบาดของ ‘หนอนกระทู้หอม’ ศัตรูพืชตัวฉกาจในรอบ 10 ปี ซ้ำร้ายสารเคมีปราบศัตรูพืชทุกชนิดที่เคยใช้ได้ผลกลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปด้วยปัญหา ‘การดื้อยา’ ส่งผลให้เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลักล้านบาท
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแก้ปัญหาเคียงข้างผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ จังหวัดนครปฐม นำ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nucleopolyhedro Virus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในแมลงเข้าปราบหนอนกระทู้หอมในพื้นที่จนสำเร็จ
สายด่วนจาก ‘หนุ่มสวนกล้วยไม้’
จุดเริ่มต้นของการใช้ไวรัส NPV ช่วยชาวสวนกล้วยไม้ต่อสู้กับหนอนกระทู้หอม ต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2562 ที่มีโทรศัพท์สายหนึ่งติดต่อมายังกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ (AVIG) ไบโอเทค สวทช. ในตอนนั้นปลายสายสอบถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนักว่า ‘ที่นี่ผลิตไวรัส NPV ใช่หรือไม่ ใช้ปราบหนอนที่กัดกินต้นกล้วยไม้ได้ด้วยหรือเปล่า’
[caption id="attachment_40217" align="aligncenter" width="700"] สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ (กบ) หัวหน้าทีมวิจัย ไบโอเทค สวทช.[/caption]
สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ (กบ) หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีไวรัส เอ็นพีวี เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ (AVIG) ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า ตอนนั้นเจ้าของสวนกล้วยไม้วัยหนุ่มจากจังหวัดนครปฐมโทรศัพท์ติดต่อมาที่แล็บ เพื่อสั่งซื้อไวรัส NPV สำหรับนำไปกำจัดหนอนที่สวนกล้วยไม้ หลังจากพูดคุยกัน 2-3 ครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ชนิดพันธุ์ของหนอนจากภาพถ่าย (ไวรัสมีฤทธิ์จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอน) เจ้าของสวนรายนั้นก็ตัดสินใจขับรถจากนครปฐมตรงมาที่แล็บเพื่อนำตัวอย่างหนอนมาให้ทีมวิจัยจำแนกชนิดถึงที่ด้วยตัวเอง
“ความมุ่งมั่นของเขาทำให้ทีมตัดสินใจทันทีว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ โอกาสที่จะได้ทดลองใช้ไวรัส NPV ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งก็ถือว่าตัดสินใจได้ถูก เพราะปัญหาที่เขาเผชิญรุนแรงกว่าที่คิด ตอนนั้นภาพที่ได้ไปเห็น คือ ต้นกล้วยไม้ในแปลงขนาด 60 ไร่ กำลังโดนกัดกินจนใบและดอกแหว่ง มีหนอนกระทู้หอมกระจายอยู่ทั่วสวน หากไม่รีบแก้ไขอาจไปถึงจุดที่ต้องรื้อทิ้งทั้งแปลงได้”
สาเหตุความเสียหายหนักครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการบุกเข้าทำลายของ ‘หนอนกระทู้หอม’ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจมาแต่ครั้งเก่าก่อน แต่ยังถูกซ้ำด้วยปัญหา ‘การดื้อยา’ ที่ไม่ว่าสารเคมีชนิดไหนก็ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้
[caption id="attachment_40212" align="aligncenter" width="700"] ศุภิสิทธิ์ ว่องวณิชพันธุ์ (คุ้น) ผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม[/caption]
ศุภิสิทธิ์ ว่องวณิชพันธุ์ (คุ้น) ผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เล่าว่า ตอนนั้นสวนกล้วยไม้โดนหนอนกระทู้หอมบุกเข้าทำลายมาเกินครึ่งปีแล้ว สารเคมีทุกสูตรเอาไม่อยู่ ‘หนอนดื้อยา’ ขณะกำลังพะวงว่าจะต้องรื้อกล้วยไม้ออกทั้งหมดเพื่อพักแปลงหรือไม่ ก็โชคดีมีรุ่นพี่คนหนึ่งในแวดวงไม้ใบแนะนำว่า ‘NPV ใช้ปราบหนอนได้นะ’ จึงรีบหาข้อมูลและติดต่อไปที่แล็บของไบโอเทคเพื่อขอซื้อมาทดลองใช้ทันที ตอนนั้นคิดแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ต้องพักแปลง เพราะไม่ใช่แค่เราที่เสียหายหนัก ลูกน้องจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้
NPV ไวรัสปราบหนอน ‘ปลอดภัย ไม่ดื้อยา’
NPV คือ ไวรัสก่อโรคในแมลงที่มีความจำเพาะกับหนอนของแมลง 3 ชนิด คือ หนอนกระทู้หอม (SpexNPV) หนอนกระทู้ผัก (SpltNPV) และหนอนเจาะสมอฝ้าย (HearNPV) ซึ่งหนอนทั้ง 3 ชนิด เป็นศัตรูพืชหลักของพืชเศรษฐกิจไทย เช่น หอมแดง หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ผักตระกูลสลัด ผักตระกูลกะหล่ำ ส้ม องุ่น ดาวเรือง กุหลาบ รวมถึงกล้วยไม้
สัมฤทธิ์ อธิบายถึงไวรัส NPV ว่า เมื่อหนอนกินไวรัสที่ฉีดพ่นไว้ที่พืชผัก จะเกิดอาการป่วยบริเวณกระเพาะอาหาร (สังเกตได้จากสีตัวที่เปลี่ยนแปลงไป) ทำให้กินอาหารน้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอนจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาไบโอเทคได้ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและพันธมิตรพัฒนากระบวนการผลิต NPV จนพร้อมผลิตในระดับอุตสาหกรรม และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด และบริษัทบีไบโอ จำกัด
หลังจากทีมลงพื้นที่เพื่อประเมินวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนการรับมือกับปัญหา พบว่าหนอนกระทู้หอมระบาดหนักมาก จึงได้แนะนำให้ใช้ NPV ในสัดส่วนความเข้มข้นสูง (ความเข้มข้น 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร) เพื่อหยุดการลุกลามของหนอน
[caption id="attachment_40201" align="aligncenter" width="500"] ลักษณะของต้นกล้วยไม้ที่โดนหนอนกระทู้หอมกัดกิน[/caption]
“ช่วงแรกของการใช้งานยอมรับว่าต้องอาศัยความเชื่อใจพอสมควร” ศุภิสิทธิ์ กล่าวเสริม และเล่าว่า การใช้ NPV ความเข้มข้นสูงหมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วย ตอนฉีดพ่น NPV ครั้งแรกตอนนั้นต้องรอ 3-5 วันถึงจะเริ่มเห็นผล แต่หลังจากกำจัดรุ่นต่อรุ่นไปได้ประมาณ 2 เดือน ก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า ‘ปราบอยู่’ ตอนนี้ผ่านมา 3-4 ปีแล้ว บอกได้เลยว่า ‘ไม่กลัว รับมือได้สบายมาก’ ก่อนที่พี่กบเข้ามาช่วยเหลือเคยจ้างลูกน้องจับหนอนตัวละบาท จับกันได้มากกว่า 300 ตัวต่อวัน แต่วันนี้เดินผ่านเข้าไปในแปลงกล้วยไม้ซัก 2 แถว ประมาณ 4,000 ต้น จะเจอหนอนอย่างมากแค่ 10 ตัว อยู่ในจุดที่รับได้ (ยิ้ม) แค่คอยคุมไม่ให้หนอนรุ่นใหม่ที่หลุดเข้ามาขยายพันธุ์จนลุกลามก็พอ”
ศุภิสิทธิ์ ไม่เพียงเป็นชาวสวนที่กล้าเปิดใจรับสารชีวภัณฑ์ แต่เขายังผันตัวเป็น ‘นักทดลอง’ ปรับสัดส่วนการใช้สาร NPV จนพบสูตรที่เหมาะแก่การควบคุมหนอนกระทู้หอมในแปลงกล้วยไม้
“ด้วยความชอบคิดชอบลอง จึงได้ทดลอง ‘ปรับสัดส่วนการใช้สาร NPV’ และ ‘รูปแบบการฉีดพ่นสาร’ หลายครั้ง ตัวอย่างหนึ่งที่ทดลองแล้วสำเร็จและพี่กบได้นำไปใช้เป็นต้นแบบให้สวนอื่นๆ คือ การปรับปริมาณการฉีดพ่นจาก 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร สัปดาห์ละ 1 ครั้งในสถานการณ์ปกติ (สัดส่วนที่เหมาะกับการควบคุมปริมาณหนอนกระทู้หอมในภาพรวมของการปลูกพืชผักทั่วไป) ให้เหลือเพียงฉีดพ่น 5 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เดือนละ 1-2 ครั้ง เพราะจากการทดสอบพบว่าสัดส่วนเท่านี้ดีเพียงพอต่อการดูแลต้นกล้วยไม้ไม่ให้โดนหนอนกัดกินแล้ว ซึ่งผลลัพธ์นี้ก็ช่วยให้พี่น้องในแวดวงกล้วยไม้เปิดใจมาใช้ NPV มากขึ้นด้วย เพราะนอกจากหนอนจะไม่ดื้อยา ค่าใช้จ่ายยังถูกกว่าการใช้สารเคมีในระยะยาวมาก” ศุภิสิทธิ์เล่าด้วยความภูมิใจ
‘กอบกู้สวน’ ที่กำลังสลาย รายได้เป็นศูนย์
แน่นอนว่าการระบาดของหนอนกระทู้หอมไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้แก่สวนกล้วยไม้ของผู้ประกอบการรายเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสวนกล้วยไม้อีกหลายแห่งในจังหวัดนครปฐม ต้องเผชิญกับวิกฤติไม่แพ้กัน หนึ่งในนั้นคือ บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด ที่ทีมวิจัยถึงขั้นเอ่ยปากว่า ‘สถานการณ์หนักหนานัก’
สัมฤทธิ์ เล่าว่า ภาพสวนกล้วยไม้ที่เห็นชวนหดหู่มาก ต้นกล้วยไม้จำนวนมากเหลือแต่ก้าน สาเหตุมาจากปัญหาเดียวกัน คือ ‘หนอนดื้อยา’ ไม่ว่าจะใช้สารเคมีสูตรไหนปริมาณมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถกำจัดหนอนกระทู้หอมได้แล้ว ตอนนั้นเราจึงรับที่จะช่วยเหลือทันที โดยใช้พื้นที่ 1 แปลง ขนาด 75 ไร่ ในการพิสูจน์ให้เห็นว่า NPV ใช้ได้ผลจริง
คำว่า ‘เจ๊ง’ คือคำจำกัดความที่สะท้อนถึงสถานการณ์ธุรกิจกล้วยไม้ในปี 2562 จากผู้ประกอบการรายนี้ และอีกหลายรายในจังหวัดนครปฐมที่ต้องเผชิญปัญหาเดียวกัน
[caption id="attachment_40207" align="aligncenter" width="700"] เจ้าของสวนสุรชัย (คม) บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด[/caption]
เจ้าของสวนสุรชัย (คม) บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด เล่าว่า หลังจากหมดค่าสารเคมีไปหลายแสนต่อเดือนก็ยังรับมือกับหนอนกระทู้หอมไม่สำเร็จ ‘กล้วยไม้โดนกัดกินจนเหลือแต่ก้าน’ จึงตัดสินใจสั่งให้คนงานมัดรวมต้นกล้วยไม้ในแปลงหนึ่งเพื่อชั่งกิโลขายในราคาต่ำกว่าทุน และตัดสินใจใช้อีกแปลงที่โดนหนอนกัดกินหนักเป็น ‘แปลงทดลองใช้ไวรัส NPV ปราบหนอน’ ต้องยอมรับเลยว่าในมุมของผู้ประกอบการ การจะตัดสินใจใช้ NPV เป็นเรื่องที่ต้องชั่งใจหนักมาก เพราะราคาของผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบตามปริมาณกับสารเคมีถือว่าค่อนข้างแพง และอย่างที่ทราบกันการใช้ชีวภัณฑ์ ‘เห็นผลช้า’
[caption id="attachment_40200" align="aligncenter" width="700"] ภาพต้นกล้วยไม้ที่เหลือแต่ก้าน ผู้ประกอบการให้คนงานมัดรวมเพื่อชั่งกิโลขายในราคาต่ำกว่าทุน[/caption]
“ทีมวิจัยใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการใช้ NPV ปราบหนอนกระทู้หอมรุ่นแรก และใช้เวลาอีก 2 เดือนกับการกำจัดหนอนรุ่นหลังที่เพิ่งเกิดใหม่ จนแทบไม่หลงเหลือหนอนในแปลง หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 เดือน ต้นกล้วยไม้ที่เคยเหลือแต่ก้านก็กลับมาออกดอกผลิบานอีกครั้ง จากที่แทบไม่เหลืออะไรกลายเป็นตัดดอกได้วันละหมื่นช่อ และโชคดีมากที่กล้วยไม้กลับมาออกดอกทันช่วงความต้องการในตลาดสูง ตอนนั้นตัดเพื่อส่งออกได้มากถึงวันละหลักแสนช่อ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังโทรไปเล่าให้พี่กบฟังด้วยความสุขทุกครั้งที่ตัดดอกส่งออกได้มาก ตอนนี้ผ่านมา 3 ปีแล้ว อัตราการใช้ NPV ของสวนลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงการฉีดพ่น 1-2 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น เพราะจัดการได้อยู่หมัดแล้ว วันนี้เราอยากขอบคุณทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ที่เข้ามาช่วยให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ ‘ไม่ใช่แค่ไปต่อได้แบบเรื่อยๆ แต่ไปต่อแบบพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก’ ตอนนี้เราเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของ สวทช. มาก หากมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ มาแนะนำ ก็ยินดีให้ใช้พื้นที่การเกษตรของบริษัทในการทดลอง ขอบคุณจริงๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์”
‘NPV ใช้ดีจริง’ การันตีจากระดับเซียน
ความสำเร็จจากการใช้ไวรัส NPV กอบกู้วิกฤติการระบาดของหนอนกระทู้หอมของสวนกล้วยไม้ทั้ง 2 แห่ง เริ่มเกิดกระแสปากต่อปากถึงประสิทธิภาพ NPV ที่ได้ผลจริง และไม่เกิดการดื้อยา ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาวได้ แต่คำบอกเล่าของใครจะดีเท่าจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องการปลูกกล้วยไม้
สัมฤทธิ์ เล่าว่า ‘เฮีย’ หรือ คุณสมลักษณ์ เลิศรุ่งวิทยาชัย เจ้าของบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเพาะปลูกกล้วยไม้ เพราะทำธุรกิจด้านนี้มายาวนานทั้งด้านการเพาะปลูกและการผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในการแพ็กช่อดอกเพื่อส่งออก เป็นที่รู้จักและยอมรับของคนในแวดวงนี้ ดังนั้นถ้าทำให้เฮียยอมรับได้ ก็เหมือนได้รับใบเบิกทางในก้าวเข้าสู่วงการกล้วยไม้
[caption id="attachment_40197" align="aligncenter" width="500"] สมลักษณ์ เลิศรุ่งวิทยาชัย เจ้าของบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด[/caption]
สถานการณ์ปัญหาการระบาดของสวนบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด แตกต่างจาก 2 สวนก่อนหน้ามาก เพราะปริมาณหนอนกระทู้หอมที่พบจากการสำรวจไม่มากอย่างที่คิด แต่สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหญ่อย่างเฮียสมลักษณ์การมีหนอนกระทู้หอมหลงเหลืออยู่ในแปลงถือว่า ‘จัดการได้ไม่ดีพอ’
สมลักษณ์ เล่าว่า ที่ผ่านมาการจัดการกับหนอนกระทู้หอมทำได้ยาก ต้องสั่งสารเคมีมาใช้ในปริมาณมาก เสียค่าใช้จ่ายหลักแสนต่อเดือนเพื่อกำจัดหนอนออกจากสวน จนตอนนี้หนอนก็เริ่มดื้อยาแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับตรงๆ ว่าการจะให้ลองเปลี่ยนมาใช้ชีวภัณฑ์กำจัดหนอนแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำใจได้ยาก เพราะเห็นผลช้า จะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่มั่นใจ ที่แน่ๆ ผลผลิตเราเสียหายไปทุกวัน
“ตอนนั้นหลังจากคุ้นรุ่นน้องในวงการที่ต้องเผชิญปัญหาการกลับมาของหนอนกระทู้หอมเล่าให้ฟังว่าที่สวนได้รับการช่วยเหลือจากทีมวิจัยไบโอเทคจนสามารถรับมือกับหนอนกระทู้หอมได้สำเร็จ เราจึงตอบรับให้ทีมวิจัยเข้ามาทำการทดสอบที่สวนดูบ้าง ซึ่งผลที่ได้ก็เป็นไปตามคำกล่าวขานนะ ‘คุ้มจริงๆ’ แม้ช่วงแรกต้องลงทุนหนักตามที่อาจารย์สัมฤทธิ์บอก เพื่อลดปริมาณหนอนจนคุมสถานการณ์ได้ ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง แต่หลังจากนั้นเมื่อกลับสู่สถานการณ์ปกติก็ลดปริมาณ NPV ที่ใช้ลงได้กว่าครึ่ง ตอนนี้เราปรับมาใช้เทคนิคฉีดพ่นตามรอบในสัดส่วนที่เราวางไว้เพื่อควบคุมไม่ให้มีหนอนรุ่นใหม่มากัดกินจนเสียหายแล้ว อาจารย์บอกไว้นะว่าสามารถลดอัตราส่วนและปริมาณการฉีดลงเพื่อลดต้นทุนได้ แต่เราเลือกแล้วว่าจะใส่ตามสูตรที่วางไว้เพื่อให้มั่นใจในผลผลิต ‘เอาให้สบายใจ’ (ยิ้ม) เพราะอย่างไรต้นทุนที่ลงไปอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ถูกกว่าใช้สารเคมี ถ้ามีเพื่อนในแวดวงเดียวกันเจอปัญหาหนอนกระทู้หอมบุกจะแนะนำให้ใช้แน่นอน เพราะใช้แล้วได้ผลจริง” สมลักษณ์ เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสะท้อนถึงความสบายใจระหว่างพาเดินชมสวน
[caption id="attachment_40195" align="aligncenter" width="700"] ปฐมพร ไล่ชะพิษ (เจี๊ยบ) เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. (คนกลาง)[/caption]
“ครั้งแรกที่เจอเฮียแตกต่างจากวันนี้มาก เพราะตอนนั้นเฮียมีแต่สีหน้าที่ตึงเครียดและคำบ่นด้วยความทุกข์ใจ แต่วันนี้นอกจากเฮียจะมีรอยยิ้มให้แล้วยังบอกด้วยว่า ‘ผลประกอบการดี’ ” สัมฤทธิ์ กล่าวเสริมด้วยความภูมิใจ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายถึงปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จว่า
“คำที่ทีมวิจัยใช้บอกแก่ผู้ประกอบการหรือเกษตรกรเสมอ คือ ‘ศัตรูพืชชนิดนี้ ยกให้เป็นหน้าที่เรา’ เพราะทีมวิจัยทราบดีว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญที่สุดคือ ‘คุณภาพของผลผลิต’ ดังนั้นหากมีวิธีการใดจะช่วยทำให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้นและลดต้นทุนการผลิตได้ ผู้ประกอบการก็ต่างยินดีเปลี่ยน เพียงแต่เราต้องพิสูจน์ให้เห็นและเชื่อว่า ‘สิ่งที่เราเสนอให้ใช้หรือวิธีการที่เสนอให้ทำนั้นดีจริงๆ’ โดยการให้ความรู้และคำแนะนำในการทำงาน ลงมือทำให้เขาเห็น คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้าง รวมถึงเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดไปด้วยกัน หลังจากนั้นเมื่อคนกลุ่มหนึ่งทำได้สำเร็จแล้ว ก็จะเกิดการบอกต่อองค์ความรู้ สร้างแรงกระเพื่อมในการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่ต่อไป”
นอกจากการร่วมเดินเคียงข้างผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่จังหวัดนครปฐมแล้ว ทีมวิจัยและนักวิชาการจาก สวทช. รวมถึงหน่วยงานพันธมิตร ยังร่วมกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงกระบวนการการทำงานอีกหลายผลงาน เพื่อช่วยยกระดับการเกษตรของไทยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตามแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ทั้งนี้ติดตามผลงานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่ www.bcg.in.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ ปฏิวัติ อ่อนพุทธา ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แผ่นยางพาราปูคอกสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดเสี่ยงโคนมพิการ-บาดเจ็บ ลดสารพิษปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/eco-friendly-rubber-flooring-for-livestock.html
ฟาร์มโคนมในประเทศไทยมากกว่าร้อยละ 95 นิยมเลี้ยงโคนมแบบ ‘ผูกยืนโรง’ โดยแม่โคแต่ละตัวจะถูกผูกให้ยืนอยู่ในซองภายในโรงเรือนเนื่องด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ขณะที่พื้นคอกส่วนใหญ่เป็นพื้นปูนซีเมนต์ เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด หากแต่การเลี้ยงโคนมบนพื้นปูนมักก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพโคนม อย่างมาก เนื่องจากโคนมมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยมากกว่า 500 กิโลกรัม แรงกดทับของน้ำหนักตัวต่อพื้นปูนทำให้เกิดการบาดเจ็บ อีกทั้งพื้นปูนเมื่อเวลาโดนน้ำยังลื่นง่าย เสี่ยงต่อการล้ม ทำให้โคนมพิการ และไม่สามารถผลิตน้ำนมได้อย่างมีคุณภาพ สร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่เกษตรกร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงพัฒนา “แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์” เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของโคนม และลดผลกระทบการปนเปื้อนสารเคมีต่อสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_40511" align="aligncenter" width="450"] ดร.ภุชงค์ ทับทอง นักวิจัยเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ภุชงค์ ทับทอง ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จะเทพื้นคอกด้วยปูนซีเมนต์ ข้อดีคือพื้นไม่เละเป็นโคลน เพราะโคนมเวลาอยูในโรงเรือนจะขับถ่ายตลอดเวลา แต่ข้อเสียคือผิวปูนมีความคม ซึ่งแม่โคแต่ละตัวมีน้ำหนักมากกว่าครึ่งตัน เวลายืนนาน ๆ น้ำหนักที่กดทับลงบนพื้นปูน อาจทำให้กีบเท้าอักเสบ หรือเวลาที่โคนมเปลี่ยนอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ยืน นั่ง หรือนอน จะต้องใช้ขาในการพยุงตัวหรือยันตัวกับพื้นปูน อวัยวะที่กดทับกับพื้นปูนบ่อย ๆ จะเกิดการบาดเจ็บ และเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา ส่งผลให้การผลิตน้ำนมไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม
[caption id="attachment_40515" align="aligncenter" width="651"] ลักษณะบาดแผลที่ขาของโคนม[/caption]
[caption id="attachment_40516" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะการนอนของโคนมที่บาดเจ็บ[/caption]
“อีกปัญหาใหญ่คือ พื้นปูนเวลาฉีดน้ำบ่อย ๆ จะเกิดตะไคร่เกาะพื้นปูน ทำให้ลื่น ซึ่งเวลาโคนมลื่นจะไม่ล้มเอียงตัวไปด้านข้าง แต่จะล้มแบบขาแบะออกไปด้านข้างทั้งสองด้าน ลักษณะเหมือนกบ เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ส่วนใหญ่โคนมจะพิการ เกษตรกรใช้คำว่า ‘หมดสภาพ’ ทางออกสุดท้ายคือส่งเข้า ‘โรงเชือด’ เพราะไม่สามารถผลิตน้ำนมอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกต่อไป ซึ่งโคนมหนึ่งตัวมีราคาประมาณ 50,000-60,000 บาท”
[caption id="attachment_40512" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะของแผ่นปูแบบโฟมราคาถูกที่เสื่อมสภาพเมื่อใช้เป็นระยะเวลา 8 เดือน[/caption]
‘การปูแผ่นยางบนพื้นคอก’ เป็นทางออกหนึ่งที่เกษตรกรนำมาใช้ลดอาการบาดเจ็บของโคนม แต่แผ่นยางที่วางจำหน่ายทั่วไปมีหลายประเภท หากเป็นแผ่นยางที่ได้รับมาตรฐาน มอก. จะมีราคาสูง ขณะที่แผ่นยางที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น แผ่นโฟม แม้จะมีราคาถูกกว่าประมาณ 3-4 เท่า แต่ก็มีอายุการใช้งานสั้นมากเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แผ่นยางในท้องตลาดส่วนใหญ่มักใช้ปริมาณสารเคมีในการผลิตค่อนข้างสูง อาจก่อให้เกิดปัญหาสารเคมีปนเปื้อนระหว่างการเลี้ยง ส่งผลต่อสุขภาพของโคนม รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการกำจัดแผ่นยางอย่างไม่ถูกวิธีหลังหมดอายุการใช้งาน การวิจัยพัฒนา ‘แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์’ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ดร.ภุชงค์ กล่าวว่า จุดเด่นของแผ่นปูพื้นที่พัฒนาขึ้นคือ ‘คุณภาพดี ทนทาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ โดยผลิตจากยางพาราธรรมชาติและใช้สารเคมีในปริมาณต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการใช้ซิงก์ออกไซด์เกรดพิเศษในการพัฒนาสูตรยาง ทำให้ได้แผ่นปูพื้นที่มีซิงก์ออกไซด์ในปริมาณต่ำกว่าแผ่นปูพื้นที่จำหน่ายทั่วไปค่อนข้างมาก ซึ่งองค์กรป้องกันสิ่งแวดล้อมจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดให้ซิงก์ออกไซด์เป็นสารเคมีที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ยางและอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหากผลิตภัณฑ์ยางมีซิงก์ออกไซด์ (รวมถึงสารเคมีอื่น ๆ) ในปริมาณต่ำ เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้ว แต่ไม่ได้ถูกนำกลับไปใช้ซ้ำหรือได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี ก็จะเป็นการช่วยลดปริมาณสารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางโดยใช้สารเคมีในปริมาณต่ำแต่ยังคงมีสมบัติผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถือเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย เนื่องจากโดยปรกติการผลิตผลิตภัณฑ์ยางต้องใส่สารเคมีเป็นส่วนผสมเพื่อให้ได้ยางที่มีคุณสมบัติตามต้องการ หากใส่สารเคมีในปริมาณน้อยเกินไปก็มักส่งผลเสียต่อสมบัติของผลิตภัณฑ์ยางนั้น ๆ
“สำหรับในส่วนของต้นทุนการผลิตและราคาจำหน่าย พบว่าหากมีบริษัทเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการผลิตจำนวนมากเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถผลิตจำหน่ายในราคาเทียบเท่าหรือต่ำกว่าแผ่นยางพาราเกรดที่ได้รับมาตรฐาน มอก. ทั่วไปได้ เนื่องจากราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและปริมาณในการผลิตเป็นสำคัญ”
[caption id="attachment_40514" align="aligncenter" width="650"] แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์ พัฒนาโดยทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ปัจจุบันนวัตกรรม ‘แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์’ ผ่านมาตรฐาน มอก. 2584-2556 ซึ่งยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพ และความทนทานต่อการใช้งาน อีกทั้งยังมีการทดสอบภาคสนาม โดยนำไปทดลองที่ อุทุมพรฟาร์ม จังหวัดราชบุรี ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก รองศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ธีระ รักความสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเก็บข้อมูลผลกระทบของการใช้แผ่นยางต่อสุขภาพของโคนม ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าแผ่นยางมีความทนทาน ไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพน้ำนม และช่วยลดการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิผล
“ทีมวิจัยนำแผ่นยางพาราไปทดสอบปูพื้นคอกที่อุทุมพรฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มโคนมขนาดกลาง มีแม่โคประมาณ 40 ตัว และติดตามเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว พบว่าแผ่นยางมีความทนทาน รับน้ำหนักโคนมได้ดี ไม่เกิดการฉีกขาด หรือเสียรูปได้ง่าย ระยะเวลาการใช้งานจากเบื้องต้นประเมินไว้ 2 ปี แต่จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่าเกือบ 4 ปีแล้ว ยังมีคุณภาพดี ซึ่งคาดว่าแผ่นยางจะมีอายุการใช้งานได้ถึง 5 ปีหรือมากกว่า นอกจากนี้ผลการตรวจสุขภาพโคนม ทั้งการตรวจเลือดและร่างกาย พบว่าการปูแผ่นยางพาราช่วยลดอาการบาดเจ็บของโคนมได้ดีมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มโคนมที่ยืนบนปูนซีเมนต์ โดยโคนมไม่มีอาการบาดเจ็บ ไม่พบบาดแผลภายนอก รวมถึงไม่พบปริมาณสารโลหะหนักต่าง ๆ ในเลือดและน้ำนม เกษตรกรกรเจ้าของฟาร์มรู้สึกพอใจต่อผลการใช้งานเป็นอย่างมาก ขณะนี้มีการต่อยอดความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จังหวัดสระบุรี เพื่อขยายขอบเขตการทดสอบภาคสนามเพิ่มเติม”
[caption id="attachment_40513" align="aligncenter" width="650"] ทีมวิจัยนำแผ่นยางพาราไปทดสอบปูพื้นคอกที่อุทุมพรฟาร์ม[/caption]
อย่างไรก็ดีขณะนี้แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์ยังไม่มีการผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์ โดยอยู่ระหว่างการทดสอบภาคสนามเพิ่มเติมและมองหาผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้หากสามารถต่อยอดงานวิจัยสู่การผลิตใช้งานจริง เชื่อว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมโคนมและยางพารา นอกจากนี้ยังนับเป็นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งใช้ประโยชน์และดูแลทรัพยากรอย่างยั่งยืน
“เวลาลงพื้นที่ฟาร์ม สังเกตเห็นเลยว่าเมื่อโคลงจากพื้นยางมายืนบนพื้นปูน โคจะยืนแบบกลัว ๆ ขาสั่น สายตาบ่งบอกเลยว่ากลัวลื่น น่าสงสารมาก อีกทั้งการที่โคนมอยู่ในภาวะหวาดกลัว หรือมีบาดแผลจากการกดทับย่อมมีผลต่อคุณภาพการผลิตน้ำนม ยิ่งหากโคนมล้มและพิการ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่คุ้มค่าอย่างมาก ขณะเดียวกันแผ่นยางราคาถูกที่วางจำหน่ายทั่วไป บางชนิดก็มีอายุการใช้งานสั้น บางชนิดก็ตรวจพบการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำล้าง ดังนั้นการใช้แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่เพียงเป็นผลดีช่วยลดการบาดเจ็บและพิการให้กับโคนม แต่ยังลดปริมาณสารพิษที่จะส่งผลต่อสุขภาพโคนมและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในประเทศ เพราะแผ่นยางที่ผลิตมีการใช้ยางพาราเป็นองค์ประกอบมากถึง 50%” ดร.ภุชงค์กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจร่วมทดสอบพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือรับถ่ายทอดเทคโนโลยี สามารถติดต่อได้ที่ ดร.ภุชงค์ ทับทอง ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 74802
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


