ผลการค้นหา :

เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืชจากแล็บ สู่เชิงพาณิชย์ ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ
For English-version news, please visit : Plant-based chicken Ve-Chick: From lab to table
คนไม่กินเนื้อสัตว์ เฮ นักวิจัย เอ็มเทค สวทช. วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์อาหาร มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเนื้อสัมผัสอาหาร เปิดตัว Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based chicken) พร้อมส่งต่องานวิจัยจากแล็บ สู่เชิงพาณิชย์ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง เผยจุดเด่นที่ช่วยเสริมใยอาหาร มีรสชาติ และ เนื้อสัมผัสที่คล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์ ปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า และมีราคาย่อมเยาสามารถเข้าถึงได้
วันที่ 26 กันยายน 2565 ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อาคารวิจัยโยธี) กรุงเทพฯ : ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. พร้อมด้วย ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด และคุณสุรีย์พร ฉัตรมั่งมี ผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด แถลงข่าวเปิดตัว Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based chicken) ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช เป็นผลงานที่เกิดจากการวิจัยพัฒนาของ สวทช. โดยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค ที่เล็งเห็นถึงโอกาสจากแนวโน้มของตลาดโลกสำหรับอาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based food) ซึ่งมีมูลค่าในช่วง 4 - 30 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในปี พ.ศ. 2563 และคาดว่าจะเติบโตมีมูลค่าสูงถึง 8 พันล้าน - 7 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่าสามแสนล้านบาท) ในปี พ.ศ. 2568 รวมทั้งประเทศไทยที่มีผู้บริโภคกลุ่ม flexitarian ซึ่งมีความรักสุขภาพและเน้นการบริโภคผลิตภัณฑ์และโปรตีนจากพืชเพื่อลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ราว 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 17-18 ล้านคน จากประชากรไทย 67-68 ล้านคน
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้ให้ความสำคัญในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช โดยมุ่งวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเนื้อสัมผัสอาหาร โดยเฉพาะอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่อยากรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ยังรู้สึกว่าอาหารเพื่อสุขภาพไม่อร่อย ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในการออกแบบเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์จากพืชให้คล้ายคลึงกับเนื้อไก่ เกิดเป็น Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช
ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเอกชนแล้วรวม 3 ราย รายที่ 1 เป็นโรงงานรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารตามความต้องการของลูกค้า การเพิ่มตัวเลือกผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชให้กับลูกค้าจะช่วยเพิ่มตลาดให้กับธุรกิจของบริษัท รายที่ 2 บริษัท กรีน สพูนส์ จำกัด เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านอาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ที่บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ภายหลังจากรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว บริษัทได้พัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในช่วงต้นปี 2566 ล่าสุด บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ที่ร่วมแถลงข่าวในวันนี้ เป็นรายที่ 3 ที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดอาหารเจที่บริษัทเชี่ยวชาญด้วยเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชที่ไม่ซับซ้อน สามารถหาวัตถุดิบได้ง่าย เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์คล้ายคลึงกับเนื้อไก่ ปรุงเมนูอาหารได้หลากหลาย ในต้นทุนที่แข่งขันได้
นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด กล่าวว่า แบรนด์ Gin Zhai ผลิตภัณฑ์พืชและผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาภายใต้แนวคิด BCG สู่ความยั่งยืน เชื่อมโยงวัฒนธรรม อาหาร และ การท่องเที่ยว โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและความคิดสร้าง สรรค์ ซึ่งสวทช. สนับสนุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรมวัตถุดิบทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Ve-Chicken Plant based) รวมถึงวัตถุดิบที่ แบรนด์ Gin Zhai เลือกสรรและส่งเสริมการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรโดยตรง และส่งเสริมสินค้า GI ของไทยด้วย ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจของบริษัท คือ “มุ่งมั่นสร้างสังคมสุขภาพดีทั้งกายและใจอย่างยั่งยืน ด้วยเมนูผลิตภัณฑ์พืชและผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช ที่ผู้บริโภคชื่นชอบ โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง” ดังสโลแกนของแบรนด์ GIN Zhai คือ “กินด้วยใจ ปรุงด้วยใจ” ซึ่งสื่อถึงการบริโภคและการผลิตที่รับผิดชอบต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์แบรนด์ GIN Zhai ประกอบด้วย 2 รูปแบบ คือ
รูปแบบแรก ผู้บริโภคนำไปประกอบอาหารเอง มี 2 ผลิตภัณฑ์ คือ กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - Pre Cook) ใช้วัตถุดิบ Ve-Chick แทนเนื้อไก่ ขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนต่างๆของ เนื้อไก่ เช่น น่องไก่ ชิ้นไก่ ไก่บด ซึ่งเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อไก่ จุดเด่น คือ นำไปทำเมนูต่างๆ แทนเนื้อไก่ ได้ทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อไก่ และ กินใจ แพลนต์เจ พรีมิกซ์ (GIN Zhai Plant J - Pre-Mix) เป็นสูตรอาหารที่ใช้ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบ Ve-Chick แทนเนื้อไก่ ที่สามารถปรับสูตรโภชนาการได้ตามความต้องการกลุ่มผู้บริโภคที่ต่างกันได้ ทั้งด้านวัย ด้านสุขภาพ ด้านการรักษาโรค เป็นต้น ครบคุณค่าโปรตีน ครบคุณค่าสารอาหาร ไม่มีไขมัน ไม่มีสารเร่งโต
รูปแบบที่ 2 แฟรนไชส์ร้าน GIN Zhai เมนูพร้อมกิน มีทั้งเมนูทำจากพืช และเมนู Plant J
ปัจจุบันให้บริการแล้วอยู่หน้า 7-11 รวมถึงสั่งผ่าน 7-11 Delivery App ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาแฟรนไชส์ร้าน GIN Zhai ให้ได้ 100 สาขา ภายใน 1 ปี ส่วนเป้าหมายผลิตภัณฑ์ GIN Zhai Plant J บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 200 ล้านบาท ภายในปี 2567
ผู้สนใจสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ แบรนด์ Gin Zhai (กินใจ) ได้แล้วที่ร้านกินใจ อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 รวมถึงสั่งผ่าน 7-11 Delivery App ราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาท รวมถึงผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์ร้าน Gin Zhai หน้าร้าน 7-11 ทั่วประเทศ สามารถติดต่อสอบถาม ที่ Facebook : Gin Zhai-กินใจ หรือ Line: @ginzhai หรือ โทร 094 885 9228
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ได้แนวคิดมาจากโจทย์ที่ต้องการเพิ่มการใช้ประโยชน์ของใยอาหารที่ทางทีมวิจัยสกัดได้จากเปลือกส้มโอ ขณะเดียวกันทางทีมก็มองเห็นถึงกระแสการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืชในต่างประเทศ และมองเห็นโอกาสในการวิจัยพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมอาหารในประเทศ ทางทีมจึงได้ปรับเปลี่ยนจากการใช้วัตถุดิบที่ได้จากงานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ มาใช้ส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่มีอยู่และสามารถหาได้ในท้องตลาด มาออกแบบโครงสร้างของผลิตภัณฑ์และกระบวนการในการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่เสริมใยอาหาร มีรสชาติ และ เนื้อสัมผัสที่คล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์มากที่สุด ปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายได้ แล้วยังมีราคาย่อมเยาสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งจากรสนิยมของผู้บริโภคที่แตกต่างกันเป็นทั้งความท้าทายและจุดเด่นอีกประการหนึ่งที่ทำให้เทคโนโลยีหลักซึ่งได้ถ่ายทอดให้ทั้ง 3 ราย สามารถแตกแขนงผลิตภัณฑ์ออกไปได้หลากหลายตามกลุ่มลูกค้าของแต่ละบริษัทได้ ในส่วนของบริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ได้ใช้วีชิคเป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารเจ ความสามารถในการปรุงรสของเชฟทำให้ผลงานวิจัยที่ได้ถ่ายทอดไปยังบริษัท มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
นอกจาก Ve-Chick (วีชิค) แล้ว เอ็มเทค ยังมี ผลิตภัณฑ์จากโปรตีนพืชอื่นๆ ที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้สนใจ อาทิ M-pro jelly drink ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเยลลี่โปรตีนสูงเสริมแคลเซียม , ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการเอ็กทรูชันความชื้นสูง Fibrous chicken analogue หรือ HMMA และ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการเอ็กทรูชันความชื้นต่ำ minced pork analogue LWMA หรือ TVP ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการเอ็กทรูชันมีเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์มากขึ้น ตอนนี้ทางทีมก็มีการวิจัยพัฒนา food ink สำหรับการขึ้นรูปโดยใช้เครื่องพิมพ์สามมิติอีกด้วย
คุณสุรีย์พร ฉัตรมั่งมี ผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ที่ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์โปรตีนจากพืช สำหรับคนไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังได้โปรตีนทดแทนครบถ้วนและยังได้รสชาติ เนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อไก่ และที่สำคัญมีความอร่อย ในฐานะผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ ได้มองเห็นโอกาสของผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช หรือ Plant Based จะเป็นวัตถุดิบหลักของแบรนด์ Gin Zhai (กินใจ) สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งกลุ่มอาหารเจ กลุ่มมังสวิรัติ กลุ่ม Vegan กลุ่ม Plant Based รวมถึงผู้บริโภคทั่วไปที่บริโภคเนื้อสัตว์เหมือนเดิม และเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชเป็นครั้งคราว รวมทั้งกลุ่มวัยทำงาน และกลุ่มผู้สูงอายุ บริษัทจึงมั่นใจว่า Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ที่เชฟของบริษัทเลือกแล้วว่าเหมาะสมกับการปรุงเมนูอาหารสำหรับแบรนด์ Gin Zhai (กินใจ) ซึ่งจะได้ทั้งคุณค่าโปรตีน รสสัมผัส รสชาติ และความอร่อย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับมัธยมศึกษา กับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของโรงเรียนในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ
วันที่ 24 กันยายน 2565 ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นตัวแทนร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับมัธยมศึกษา กับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย โดยมี ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ กรุงเทพมหานคร ผู้เข้าร่วมงานเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครูจากโรงเรียนศูนย์โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับประถมศึกษา 96 แห่ง และมัธยมศึกษา 95 แห่ง รวมจำนวน 450 คน
ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเปิด และมอบนโยบายขับเคลื่อนโรงเรียนโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โดย “เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระยะเวลา 10 ปี เพื่อพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพผู้เรียน สร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่มีความสนใจพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ” จุดประสงค์ของโครงการเพื่อมุ่งพัฒนาสมรรถนะนักเรียน (Competencies) ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีผ่านกระบวนการของหลักสูตร (Curriculum) และเครือข่าย การพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัย โรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียน (Peer Learning Network) เพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามแผนการศึกษาชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579)
โดย ดร.คุณหญิงกัลยา เน้นถึงการจัดการศึกษาที่มีเป้าหมายให้เด็กได้รับการพัฒนาทักษะสำคัญ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข มีความรู้ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และสามารถแข่งขันได้ โดยส่งเสริมให้โรงเรียนจัดการเรียนรู้เรื่องวิทยาการคำนวณ และโค้ดดิ้ง (Coding) เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้คิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล นำความรู้ที่เรียนไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันตามบริบทท้องถิ่น และส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนการสอนบนพื้นฐานของสะเต็มศึกษา (STEM: Science, Technology Engineering and Mathematic) การบูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน และเพิ่ม A เข้าไปจาก STEM เป็น STEAM ทั้งนี้ A หมายถึงศิลปะการใช้ชีวิต รวมไปถึงวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ( Arts of life, Art of Living, Arts of Working Together) ควบคู่กับการใช้สติ (STI ; Science, Technology, Innovation) เพื่อนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบได้
จากนั้น ตัวแทนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สวทช. เป็นตัวแทนร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ และบันทึกภาพร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียนศูนย์วิทยาศาสตร์พลังสิบ จำนวน 95 โรงเรียนจากทั่วประเทศ
นอกจากนี้แล้ว ในงานมีการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของโรงเรียนในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ โดย ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน บรรยายแนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ในการสนับสนุนการเรียนรู้ตามโรงเรียนในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ โดยขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ผ่านการบูรณาการหน่วยการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEAM education) เพื่อปรับกระบวนการให้นักเรียนเกิดสมรรถนะ สามารถคิดวิเคราะห์ สื่อสาร แก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีได้ และมีทักษะการใช้ชีวิตที่ดี ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ในโครงการอัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียนซึ่งเด็กสามารถคิดวางแผน แก้ปัญหา และลองถูกลองผิดได้ เป็นต้น
ในช่วงบ่ายเป็นการแบ่งกลุ่มผู้บริหารโรงเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรห้องเรียนโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ และมีกิจกรรมสำหรับสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายเพื่อต่อยอดการทำงานร่วมกันในอนาคต ซึ่งในปี 2564 สวทช. ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับประถมศึกษา และได้พัฒนาหลักสูตรกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งหมด 40 ชั่วโมงการเรียนรู้ จำนวน 5 หลักสูตร ได้แก่ คณิตศาสตร์แสนสนุก, ชี(วิทย์)ประจำวัน, สนุกกับไฟฟ้า, เรียนรู้วิทยาศาสตร์การ์ดไม่ตกกับโรคอุบัติใหม่โควิด-19 และ CODING แสนสนุก โดยออกแบบกิจกรรมที่สอดแทรกวิทยาการคำนวณและโค้ดดิ้ง (Coding) บนพื้นฐานของการจัดการเรียนรู้รูปแบบ STEAM ควบคู่กับการใช้ STI และได้จัดอบรมให้กับวิทยากรแกนนำเพื่อนำกิจกรรมไปขยายผลสู่โรงเรียนศูนย์วิทยาศาสตร์พลังสิบทั่วประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

Facebook Live: แถลงข่าว “เสิร์ฟงานวิจัยสู่ผู้บริโภค ด้วย Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ”
กำหนดการแถลงข่าว
“เสิร์ฟงานวิจัยสู่ผู้บริโภค ด้วย Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช
ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ”
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2565 เวลา 10.00 น. – 11.00 น.
ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อาคารวิจัยโยธี)
รับชมการถ่ายทอดสดทาง Facebook: NSTDA-สวทช.
10.00-10.05 น.
พิธีกรกล่าวต้อนรับ และพาชมวิดิทัศน์ Ve-Chick
10.05-10.15 น.
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.
กล่าวถึง บทบาทของเอ็มเทค สวทช. ในการวิจัยด้านอาหารเพื่อสุขภาพ และความสำเร็จในการถ่ายทอดงานวิจัยสู่เอกชน
นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด
กล่าวถึง ความร่วมมือและการต่อยอดนวัตกรรมอาหารระหว่าง บริษัทฯ และ สวทช
10.20-10.50 น.
เสวนา เสิร์ฟงานวิจัยสู่ผู้บริโภค ด้วย Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.
นางสาวสุรีย์พร ฉัตรมั่งมี ผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด
David Michael Holtum
ดำเนินการเสวนาโดย คุณแพรว ปาลิดา หงส์กระจ่าง
10.50-11.00 น.
ถ่ายภาพหมู่บนเวที
ปฏิทินกิจกรรม

3 หน่วยงานรัฐ เสริมแกร่งท้องถิ่น ใช้ Traffy Fondue ‘ไลน์สร้างสุข’ บริการประชาชน “เจอ แจ้ง จบ สะดวก รวดเร็ว ประทับใจ”
For English-version news, please visit : Traffy Fondue platform to enhance efficiency of public services
วันนี้ (23 กันยายน 2565) ณ ห้องอรรถไกวัลวที (108) ชั้น 1 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร : นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนาม “บันทึกความร่วมมือโครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาของประชาชน” ระหว่าง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามความร่วมมือ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศให้สามารถเข้าถึงช่องทางการแจ้งปัญหาอย่างทั่วถึงและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยมี นายธราเทพ เทวกุล ณ อยุธยา รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักบริหารข้อมูลกลาง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าศูนย์บริการประชาชน โดยศูนย์บริการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ของรัฐบาล 1111 เป็นอีกหนึ่งการต่อยอดของ Traffy Fondue ในการเพิ่มช่องทางแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ เช่น ถนนทางเท้า กลิ่นน้ำเสีย ประปา ไฟฟ้าโทรศัพท์ ความสะอาด ควันไฟ ฝุ่นละออง เสียงรบกวน ระเบียบการจราจร ที่จอดรถ เป็นต้น โดยทำหน้าที่ในการเชื่อมประสานระหว่างประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ รับฟังปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ตลอดจนข้อเสนอแนะต่างๆ และได้นำเสนอไปยังหน่วยงานภาครัฐ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาหรือกำหนดเป็นนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชน
ทั้งนี้ กรอบการดำเนินงานทั้ง 3 หน่วยงาน จะร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อให้ได้ข้อยุติอย่างเป็นธรรมในเวลาที่เหมาะสม โดยยึดความต้องการของประชาชนเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญเมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน Traffy Fondue ไปใช้ จะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ประโยชน์ 3 อย่าง ประโยชน์ต่อสังคมต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพ 4 อย่าง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรและใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงาน ลดความเสี่ยงต่อความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดค่าใช้จ่ายในการแจ้งปัญหาและติดตาม โดยหน่วยงานและภาคประชาชนร่วมใช้ร่วมแบ่งปันปัญหาหรือเบาะแสของปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขด้วยแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ผู้ช่วยสำคัญในการบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามการลงนามบันทึกความร่วมมือ“โครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาของประชาชน” ประกอบด้วย 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทั้ง 3 หน่วยงานจะร่วมมือกันดำเนินการ ใน 4 เรื่อง ได้แก่
ส่งเสริมและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติไปพัฒนาใช้งานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ใช้งานอย่างจริงจัง
ให้ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ ประมวลผล และการใช้ประโยชน์จากข้อมูล
พัฒนาและยกระดับคุณภาพการบริการประชาชนด้านการดำเนินการเรื่องร้องเรียนสู่ความเป็นมาตรฐาน
นำเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบบริหารจัดการปัญหา และข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) มาสนับสนุนการทำงานของหน่วยราชการ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาของหน่วยงาน
โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ มีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือฯ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นำระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลไปใช้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ในฐานะผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Traffy Fondue พร้อมทีมวิจัย ได้ให้บริการแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมในการรับบริการ มาตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมาและ ในปี 2564 เนคเทค สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนงบประมาณ “โครงการพัฒนาและขยายผลแพลตฟอร์มรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมืองด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศสู่ระดับการปกครองส่วนท้องถิ่น” จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายในสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553
อย่างไรก็ดี เนคเทค สวทช. เล็งเห็นว่า Traffy Fondue หรือ ‘ไลน์สร้างสุข’ เป็นแอปพลิเคชันสำหรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมืองด้วยโทรศัพท์มือถือประชาชนเพียงถ่ายรูปปัญหาที่เกิดขึ้น ระบุตำแหน่ง และระบุประเภท ระบบจะทำการส่งต่อปัญหาดังกล่าวไปยังหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยทันที ผู้แจ้งสามารถติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาชุมชนร่วมกัน ซึ่งทำให้เกิดความหวงแหน ดูแล รักษา ให้ชุมชนมีความน่าอยู่ยิ่งขึ้น ผู้บริหารเมืองสามารถช่วยกำกับติดตามการแก้ไขปัญหา และเห็นสถิติและภาพรวมของการดำเนินงานได้ทุกที่ ทุกเวลา
“ปัจจุบันพบว่า มีหลายหน่วยงานที่นำ Traffy Fondue ไปใช้ในหน่วยงาน เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 96 หน่วยงาน เทศบาล จำนวน 577 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 459 แห่ง อาคาร/สำนักงาน จำนวน 262 แห่ง นิคมอุตสาหกรรม จำนวน 18 แห่ง และอื่น ๆ จำนวน 1,754 แห่ง โดยประโยชน์ที่ได้รับสำหรับหน่วยงาน สามารถแก้ไขปัญหาเร็วขึ้น 8.7 ชั่วโมงต่อเรื่อง ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 78.14 ล้านบาท และประโยชน์ที่ได้รับสำหรับประชาชน ประชาชนสามารถลดเวลาการดำเนินการได้ถึง 65 นาทีต่อการแจ้ง ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 79 บาทต่อการเดินทางไปแจ้งเรื่อง และประชาชนมีความพึงพอใจถึงร้อยละ 89”
อย่างไรก็ตาม สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อนำระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม มาช่วยสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ทุกภาคส่วน โดยจากความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. พร้อมเดินหน้าศึกษาปัญหาและความต้องการจากท้องถิ่นมาเป็นโจทย์วิจัยและพัฒนาต่อยอดตามความเหมาะสมต่อไป เพื่อร่วมกันเป็นทีมประเทศไทยขับเคลื่อนการทำงานกับทุกภาคส่วน ให้การแก้ปัญหาเกิดประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันเกิดประสิทธิผลกับพี่น้องประชาชนเพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยต่อไป
สำหรับ Traffy Fondue “ไลน์สร้างสุข” คือ แชทบอทสุดฮิต ผ่านไลน์แชทบอท ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาเมือง โดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแจ้งสถานการณ์โควิด การแจ้งปัญหาเมือง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดในสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากปริมาณฝนที่ตกหนักตลอดเดือนกันยายน 2565 ทีมวิจัยได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่สำหรับใช้ตรวจสอบจุดน้ำท่วมด้วย Traffy Fondue ง่ายๆ เพียงแค่ 1. เพิ่มเพื่อน @traffyfodnue (https://lin.ee/GJymAr8) 2. กดปุ่มเขียว (ซ้ายสุด) เพื่อตรวจสอบน้ำท่วม 3. แชร์ตำแหน่งจุดที่ต้องการตรวจสอบ และ 4.Traffy Fondue จะแสดงจุดน้ำท่วมในรัศมี 1 กิโลเมตร เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางได้สะดวกและช่วยลดความเสี่ยง เลี่ยงจุดเสี่ยงจากสถานการณ์น้ำท่วมในแต่ละวัน
ข่าวประชาสัมพันธ์

จัดยิ่งใหญ่! งาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐ เอกชน พร้อมจัดงานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ และวันที่ 12 ต.ค. เป็นการนำผู้ประกอบการลงพื้นที่ (site visit) ชมโครงการที่ประสบความสำเร็จจากการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปประยุกต์ใช้
ผู้ที่สนใจร่วมงานดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานได้ฟรีที่ www.nstda.or.th/apecbcg-tts2022 หรือสอบถามโทร. 0-2564-7000
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

ประกาศผลรางวัลโครงการ Software Park – WealthMagik 3 ทีมสุดเจ๋งคว้ารางวัลชนะเลิศ เวทีเงินออมสร้างชาติ ซีซั่น 7 “ออมลงทุน คุณทำได้”
ตลอดระยะเวลา 6 ปี ของการดำเนินโครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards โดยความร่วมมือระหว่าง เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือ สวทช. หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน และผลักดันอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์ไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมุ่งสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาศักยภาพ บุคลากรไอที กับบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ www.WealthMagik.com เครื่องมือที่ให้บริการข้อมูลความรู้ด้านการเงิน การลงทุนผ่านกองทุนรวม และตราสารหนี้มาอย่างยาวนาน ถือได้ว่ามีส่วนช่วยผลักดัน และสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมไทยในเรื่องการบริหารเงินออมเพื่ออนาคต ด้วยเล็งเห็นว่า คนไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนบริหารการเงินส่วนบุคคล ซึ่งควรเป็น ความรู้พื้นฐานสำหรับทุกครอบครัว
(22 กันยายน 2565) ที่เขตอุตสาหกรรมซอฟแวร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ร่วมกับ บริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ประกาศผลรางวัล “โครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 7 ตอน ออมลงทุน คุณทำได้” โดยโครงการฯ มุ่งมั่นถ่ายทอดความรู้ด้านการวางแผนบริหารเงินออม และเป็นสื่อกลางความรู้ส่งต่อไปยังทุกกลุ่มสังคม ผ่านการประกวดพัฒนาการ์ตูนแอนิเมชัน และวิดิทัศน์เรื่องสั้น ซึ่งเป็นสื่อความรู้ที่เข้าถึง และเข้าใจง่ายมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการ Software park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 7 นี้ ได้กำหนดหัวข้อ การประกวดคือ “ออมลงทุน คุณทำได้” เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ทุกคนในสังคมได้รู้ว่าการบริหารเงินออม ให้งอกเงยนั้น ใครๆ ก็สามารถทำได้ และการออมเงินอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องรู้จักนำเงินออมนั้นมา บริหารโดยการ “ออมลงทุน” เพื่อขยายต่อยอดเงินออมของเราให้งอกเงย และสร้างอนาคตที่ดียามเกษียณ ซึ่งการประกวดในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัลได้แก่ 1. รางวัลแอนิเมชันสำหรับนักเรียน นักศึกษา 2. รางวัลแอนิเมชันสำหรับบุคคลทั่วไป และ 3. รางวัลผลิตวีดีโอสั้นสำหรับบุคคลทั่วไป โดยผู้ชนะเลิศของแต่ละประเภทรางวัลมีดังต่อไปนี้
รางวัลชนะเลิศ ประเภทรางวัลแอนิเมชันสำหรับนักเรียน นักศึกษา ได้แก่ ทีม Heavy Mind Production จากผลงานเรื่อง “First time ครั้งนี้ ก็โดนที เสียแล้ว” รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม PINEAPPLE Mini จากผลงานเรื่อง “NOWIZ’ Adventure” รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ทีม ผมอยากทำแอนิเมชัน จากผลงานเรื่อง “stable life”
รางวัลชนะเลิศ ประเภทรางวัลแอนิเมชันสำหรับบุคคลทั่วไป ได้แก่ ทีม Pi-Pi MAMA (ไปๆ มาๆ ) จากผลงานเรื่อง “you can do it” รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม ss8 ss5 เหลือซีวั่นลูกต่อโฮ้ปป จากผลงานเรื่อง แมว 3 รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ทีม นั่นสินะ จากผลงานเรื่อง “Destructible values”
รางวัลชนะเลิศ ประเภทรางวัล Short Video สำหรับบุคคลทั่วไป ได้แก่ ทีม The Superproductionmans จากผลงานเรื่อง “พี่ชาย” รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม MOVING IMAGE จากผลงานเรื่อง “สยองขวัญการเงิน” รองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม ราหูฟิล์ม จากผลงานเรื่อง “ผีถ้วยแก้ว”
ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. หวังว่าโครงการนี้จะมีส่วนส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปได้พัฒนาศักยภาพด้านสื่อสร้างสรรค์และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้นำความรู้ด้านการพัฒนาสื่อซอฟต์แวร์แอนิเมชัน หรือหนังสั้น ผสมผสานความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคลมาประยุกต์เพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ และเข้าใจง่าย ตลอดจนมีเวทีนำเสนอผลงานที่มีคุณภาพ เกิดการเรียนรู้ในการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือวางแผนบริหารการเงินส่วนบุคคลเพื่ออนาคต ในขณะที่ พันธมิตรหลักที่ร่วมจัดงาน ได้แก่ Wealth Management System ก็ยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้คนไทยได้รู้จัก และเข้าถึงนวัตกรรมที่สามารถช่วยวางแผนบริหารเงินออมให้งอกเงยด้วยการออมลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นนั่นคือ การมุ่งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ และเผยแพร่องค์ความรู้ที่ช่วยปลูกฝังนิสัยรักการออม และบ่มเพาะวินัยทางการเงินให้กับเยาวชนไทยสำหรับการวางรากฐานทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
“จากสถิติที่พบว่าจำนวนประชากรกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดว่าในปี 2576 จะเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” คือมีสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในอัตราร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ จะสร้างผลกระทบในระดับบุคคล เรื่องผู้สูงอายุที่มีสภาวะขาดเงินออม ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย
ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะสังคมสูงวัย จึงควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุและผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วัยสูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยจากแนวคิด Active Ageing องค์การอนามัยโลก ได้อธิบายถึงองค์ประกอบสำคัญของการเป็น Active Ageing 3 ประการ คือ การมีสุขภาพดี มีหลักประกันและความมั่นคงในชีวิต รวมถึงมีส่วนร่วมและมีคุณค่าทางสังคม ดังนั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า การวางแผนทางการเงินและการลงทุนอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งดี”
ด้าน ดร.สมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ CEO บริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด กล่าวว่า จากการดำเนินโครงการประกวดมายาวนานถึง 7 ปี แน่นอนว่า เราสามารถถ่ายทอด ความรู้พื้นฐานทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเงิน หรือการออมลงทุน กระจายไปยังหลายกลุ่มสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมครอบครัว สังคมโรงเรียน สถาบันการศึกษาต่างๆ หรือแม้แต่สังคมคนทำงานที่เริ่มคิดวางแผนทางการเงินให้ได้เรียนรู้การวางแผนบริหารการเงินที่ถูกต้อง เรียนรู้แนวทางการบริหารเงินให้งอกเงยอย่างถูกวิธี จึงเป็นความภาคภูมิใจของผู้จัดโครงการที่นอกจากจะสร้างนักการเงินมือใหม่แล้ว ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจทั่วไปได้มาแสดงศักยภาพด้านจินตนาการผสมผสานความรู้ ความสามารถทางไอที ถ่ายทอดเนื้อหาด้านการเงินที่ยากๆ มาเป็นการ์ตูนแอนิเมชัน และหนังสั้นที่สนุก และเข้าใจง่าย
“เวทีการประกวดนี้ นอกจากเราจะได้สร้างนักแอนิเมชัน และผู้ผลิตหนังสั้นฝีมือดีแล้ว เรายังได้สร้างนักการเงินตัวน้อยที่จะกลายเป็นมืออาชีพในวันข้างหน้า ได้เรียนรู้การบริหารเงินออมที่ถูกต้อง และสามารถถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้กับครอบครัว และสังคมรอบข้างได้ต่อไป ต้องไม่ลืมว่าการบริหารเงินออมส่วนบุคคลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นความรู้พื้นฐานที่จำเป็นเพื่ออนาคตที่ดี”
ข่าวประชาสัมพันธ์

สำรวจอุทยานธรณีโลกสตูล สร้างองค์ความรู้สู่ ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’
จังหวัดสตูลขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามทั้งธรรมชาติ ท้องทะเล ป่า ภูเขา ถ้ำ และยังพบซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ รวมถึงสัตว์ทะเลโบราณจำนวนมาก ขณะเดียวกันพื้นที่แห่งนี้ยังมีต้นทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่น ในปี 2561 ยูเนสโกอนุมัติให้อุทยานธรณีสตูลเป็นพื้นที่ ‘อุทยานธรณีโลก’ แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นแห่งที่ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ได้นำ ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’ มาใช้เป็นเครื่องมือจัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม เพื่อบันทึกเรื่องราวมรดกอันล้ำค่าและส่งต่อให้ชุมชนนำไปใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
สำรวจ ‘ถ้ำ’ แหล่งซากดึกดำบรรพ์จากบรรพกาล
แหล่งท่องเที่ยวด้านธรณีวิทยาที่สำคัญของอุทยานธรณีโลกสตูลต้องยกให้ระบบนิเวศ ‘ถ้ำ’ เพราะนอกจากจะมีถ้ำที่สวยงามตระการตามากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งค้นพบฟอสซิลในมหายุคพาลีโอโซอิกที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่น ถ้ำทะลุ ถ้ำขนาดเล็กที่เกิดจากการละลายของหินปูนในยุคออร์โดวิเชียน หรือเมื่อราว 490-445 ล้านปีมาแล้ว
[caption id="attachment_35873" align="aligncenter" width="700"] ภายในถ้ำทะลุ[/caption]
[caption id="attachment_35861" align="aligncenter" width="700"] นอติลอยด์[/caption]
“บนผนังถ้ำด้านนี้ที่เราเห็นคือซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ทะเลชื่อว่า นอติลอยด์ บรรพบุรุษของหมึก เมื่อ 450 ล้านปีก่อน” บังธิ หรือ นายธานี ใจสมุทร ไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นอาสาสมัครชุมชนรักษ์บ้านหาญ กล่าวถึงร่องรอยซากดึกดำบรรพ์จากบรรพกาลที่เป็นจุดไฮไลต์สำคัญของถ้ำทะลุแก่ผู้ร่วมเดินทาง และเล่าว่า ในถ้ำทะลุเราสามารถเห็นฟอสซิลนอติลอยด์ที่มีความคมชัดและสมบูรณ์ที่สุดแล้วในจังหวัดสตูล หากมองไปด้านบนจะเห็นฟอสซิลแกสโตรพอด ต้นกระกูลหอยฝาเดียวที่เกิดขึ้นบนโลก
“ความพิเศษของถ้ำทะลุแห่งนี้คือเมื่อเดินทะลุเข้าไปด้านในจะพบหลุมยุบป่าดึกดำบรรพ์ เกิดจากปรากฏการณ์แผ่นดินเลื่อนและยุบตัวลงคล้ายปล่องภูเขาไฟ ภายในมีพันธุ์ไม้เด่นคือต้นท้ายเภายักษ์ขนาด 15 คนโอบ และยังมีพรรณไม้แปลกตานานาชนิดที่หาชมได้ยาก ทั้งเห็ดถ้วยแชมเปญ ต้นกระดาด และต้นลูกชก”
[caption id="attachment_35867" align="aligncenter" width="700"] เห็ดถ้วยแชมเปญ[/caption]
[caption id="attachment_35866" align="aligncenter" width="700"] ต้นท้ายเภายักษ์ขนาด 15 คนโอบ[/caption]
[caption id="attachment_35851" align="aligncenter" width="700"] นายเรืองฤทธิ์ พรหมดำ นักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์[/caption]
แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตอันน่าอัศจรรย์ในถ้ำทะลุไม่ได้มีเพียงเท่านี้ นายเรืองฤทธิ์ พรหมดำ นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษาสยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล่าว่า สวทช. โดยโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ ได้สนับสนุนทุนวิจัยในการสำรวจถ้ำหินปูนต่างๆ ในพื้นที่ของอุทยานธรณีโลกสตูล รวมถึงถ้ำทะลุ ซึ่งเราพบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและสัตว์มีกระดูกสันหลังจำนวนมาก สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่น่าสนใจ เช่น แมงมุมขายาว กิ้งกือมังกร หอยทากจิ๋ว ที่สำคัญยังเจอมดถ้ำซึ่งมีหนวดยาว ขายาว และอยู่ระหว่างการจำแนกลักษณะสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่
[caption id="attachment_35854" align="aligncenter" width="700"] ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์[/caption]
“สำหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังที่พบมากในถ้ำทะลุ คือ ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์ ซึ่งพบเป็นโคโลนีขนาดใหญ่มากประมาณ 500 ตัว โดยค้างคาวใช้ถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยเนื่องจากมีอุณหภูมิที่เหมาะสมและทำให้ไม่สูญเสียพลังงาน ขณะเดียวกันยังช่วยทำหน้าที่ควบคุมแมลงให้มีความสมดุล นอกจากนี้ยังมีตุ๊กกายหมอบุญส่ง เป็นญาติกับตุ๊กแก แต่มีความแตกต่างคือนิ้วตุ๊กกายจะเรียวยาว ไม่แบน และไม่มีพังผืดเชื่อมต่อระหว่างนิ้ว”
ล่องเรือล่าช้างดึกดำบรรพ์ที่ ‘ถ้ำเลสเตโกดอน’
เดินทะลุถ้ำบกมาแล้ว มาลองเปลี่ยนบรรยากาศล่องเรือไคแย็กชม ถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำธารลอดในเทือกเขาหินปูนคล้ายอุโมงค์ใต้ภูเขา ภายในถ้ำมีลักษณะคดเคี้ยวและมีระยะทางจากปากถ้ำถึงทางออกยาว 4 กิโลเมตร ถือเป็นถ้ำที่เชื่อมกับทะเลที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย ความโดดเด่นของถ้ำแห่งนี้คือการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นชิ้นส่วนฟันกรามของช้างสกุลสเตโกดอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำเลสเตโกดอน
[caption id="attachment_35862" align="aligncenter" width="700"] หินย้อยที่ยังมีชีวิตภายในถ้ำ[/caption]
นายสัมฤทธิ์ ทิพย์มณี ไกด์ท้องถิ่นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เล่าว่า ภายในถ้ำนอกจากจะได้ตื่นตาตื่นใจกับหินงอกหินย้อยหลากรูปแบบแล้ว ยังมีฟอสซิลของสัตว์ทะเลมหายุคพาลีโอโซอิกอีกหลายชนิด อาทิ นอติลอยด์ แอมโมไนต์ ซึ่งหากพายเรือเข้าไปในถ้ำในช่วงน้ำใสจะได้เห็นกุ้งก้ามกรามขนาด 3-4 ตัว/กิโลกรัม ตามผนังถ้ำจะมีจิ้งโกร่ง และบนเพดานตามแนวที่มีน้ำจืดซึมไหลผ่านจะมีปูเขาหินปูนทุ่งหว้า ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดใหม่ของโลกที่พบเฉพาะบริเวณนี้ ที่บริเวณทางออกของถ้ำนักท่องเที่ยวจะได้พบกับค้าวคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ และได้สัมผัสกับภาพสุดประทับใจที่ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้คือ ‘หัวใจที่ปลายอุโมงค์’
[caption id="attachment_35860" align="aligncenter" width="700"] ปูเขาหินปูนทุ่งหว้า[/caption]
ชมนิเวศชายฝั่ง ‘หอสี่หลัง’ มหัศจรรย์ ‘กองทัพปู’
หลังจากนั่งเรือลอดอุโมงค์ใต้ภูเขา ชมร่องรอยแห่งโลกธรณีกาลแล้ว เรายังสามารถนั่งเรือชมวิวป่าชายเลนไปอีกเพียง 30 นาที เพื่อพบกับ ‘หอสี่หลัง’ เนินทรายอันกว้างใหญ่กลางทะเลอันดามันที่ปรากฏเมื่อยามน้ำทะเลลดลง และเมื่อก้าวเท้าเดินบนชายหาดไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็ได้พบกองทัพปูที่มารอต้อนรับอยู่ทั่วพื้นทราย
[caption id="attachment_35859" align="aligncenter" width="700"] ปูทหารก้ามโค้ง[/caption]
[caption id="attachment_35855" align="aligncenter" width="700"] ผศ. ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์[/caption]
“ที่เราเห็นคือปูทหารก้ามโค้ง มักออกมาหากินช่วงน้ำลงและมีพฤติกรรมเคลื่อนที่ไปพร้อมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่คล้ายกับการเคลื่อนพลของกองทัพ ทำให้ได้รับสมญานามว่าปูทหาร” ผศ. ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อธิบายถึงความอัศจรรย์ของกองทัพปูที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าและเล่าว่า “ผลการสำรวจสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หาดหิน หาดทราย หาดเลน แนวหญ้าทะเล แนวปะการังน้ำตื้น และป่าชายเลน เราพบความหลากหลายมากถึง 566 ชนิด แบ่งเป็นสาหร่ายทะเล 25 ชนิด พืชมีท่อลำเลียง เช่น หญ้าทะเล และพืชบก 11 ชนิด สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น หอย กุ้ง ปู ไส้เดือนทะเล 301 ชนิด และสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา นก โลมา พะยูน 229 ชนิด”
[caption id="attachment_35868" align="aligncenter" width="700"] หญ้าใบพาย Halophila beccarii[/caption]
“ที่สำคัญเราพบว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เช่น หญ้าใบพาย Halophila beccarii หญ้าทะเลขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย ด้วยความที่มีขนาดเล็กมากจึงถูกทับถมด้วยตะกอนได้ง่าย กิจกรรมใดๆ ที่เป็นการรบกวนตะกอน เช่น การทำประมง อวนลาก อวนรุน การก่อสร้างริมชายฝั่ง ล้วนส่งผลเสียต่อหญ้าใบพาย ซึ่งหญ้าใบพายมีความสำคัญช่วยสะสมตะกอน ทำให้พื้นทรายแน่นขึ้น รวมทั้งยังเป็นอาหารของสัตว์ทะเลหลายชนิด เช่น พะยูน เต่าทะเล นอกจากนี้ยังมีสัตว์ในข่ายใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด เช่น นกหัวโตมลายู นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล องค์ความรู้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ สวทช.”
ชิมโกปี๊นาข่า สร้างสรรค์ผ้าบาติกสีธรรมชาติ
[caption id="attachment_35863" align="aligncenter" width="700"] โกปี๊นาข่า[/caption]
เสน่ห์แดนใต้ไม่ได้เลื่องชื่อแค่ธรรมชาติที่งดงาม แต่วิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ดังเช่น ‘โกปี๊นาข่า’ กาแฟโบราณผ่านการคั่วมือพร้อมปรุงรสให้มีความขมปนหวาน ซึ่งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านนาข่าเหนือ ผลิตจากเมล็ดกาแฟพื้นถิ่นสตูลพันธุ์โรบัสตา ที่เพาะปลูกในพื้นที่หินปูนในช่วงยุคออร์โดวิเชียนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ จึงช่วยขับรสชาติโกปี๊นาข่าให้กลมกล่อมไม่เหมือนใคร
[caption id="attachment_35857" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการคั่วกาแฟโบราณ[/caption]
[caption id="attachment_35856" align="aligncenter" width="700"] การชงกาแฟแบบดริฟ[/caption]
นางรุจินก สำเร ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านนาข่าเหนือ เล่าว่า แต่เดิมวิถีชีวิตของคนในพื้นที่จะชอบดื่มกาแฟที่เรียกว่าโกปี๊ ซึ่งอำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นพื้นที่ปลูกกาแฟ แต่พอมีกาแฟสำเร็จรูปเข้ามา ทำให้กาแฟโบราณเริ่มสูญหาย ทางวิทยาลัยชุมชนสตูลเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาได้เข้ามาส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจฯ หันมารื้อฟื้นการทำกาแฟโกปี๊ รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการนำทุกส่วนของกาแฟมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG
“เรานำเมล็ดกาแฟมาพัฒนาผลิตภัณฑ์โกปี๊ กาแฟสด และทอฟฟี่กาแฟ เปลือกเชอร์รีกาแฟและใบกาแฟนำมาทำสีสำหรับการทำผ้ามัดย้อม ส่วนกากกาแฟนำไปใช้ทำปุ๋ยและสบู่สครับกาแฟ โดยออกแบบก้อนสบู่ให้คล้ายกับซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ เพื่อสะท้อนเรื่องราวของความเป็นอุทยานธรณีโลก”
[caption id="attachment_35858" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการทำผ้าบาติก[/caption]
ชิมแล้วก็ต้องชอปผ้าบาติกที่วิสาหกิจชุมชนปันหยาบาติก หนึ่งในวัฒนธรรมการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยเทคนิคการปิดเทียนบริเวณที่ไม่ต้องการให้ย้อมติดสี ที่คนสตูลสืบทอดเทคนิคนี้กันมาจนถึงปัจจุบัน และมีการต่อยอดโดยนำเอาภาพซากดึกดำบรรพ์ที่พบในพื้นที่มาสร้างสรรค์เป็นลวดลาย ด้านสีย้อมก็มีการต่อยอดโดยนำเอาดินแทร์รารอสซา ดินจากซากหินปูนผุพังยุคออร์โดวิเชียนมาใช้ย้อมให้เกิดสีน้ำตาลอมส้มสวยงาม เกิดเป็นผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ท้องถิ่น และยังมีการนำเทคนิคมัดย้อมและการย้อมสีธรรมชาติจากไม้ป่าชายเลนอย่างหูกวาง โกงกาง และตะบูน เข้ามาเสริมการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วย
[caption id="attachment_35865" align="aligncenter" width="700"] ผ้าบาติกย้อมสีด้วยดินแทร์รารอสซา[/caption]
บันทึกมรดกล้ำค่า ผ่าน ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’
องค์ความรู้ทั้งในด้านความหลากหลายชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้เก็บรวบรวมไว้ในนวนุรักษ์แพลตฟอร์ม ระบบบริหารจัดการคลังข้อมูลที่พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. สำหรับจัดเก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมและพร้อมส่งต่อสู่ชุมชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งเรียนรู้ การพัฒนาไกด์ท้องถิ่น การประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_35852" align="aligncenter" width="700"] ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. กล่าวว่า จุดเด่นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ์’ คือ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานหรือชุมชนที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลและเป็นเจ้าของข้อมูล โดยเข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถใส่ชื่อ สถานที่ ข้อมูลกายภาพ ข้อมูลทางชีวภาพ บทบรรยายสำหรับนำชม ขนาด ลักษณะ ประวัติ สถานที่จัดเก็บได้ โดยเลือกได้ว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่ และยังอัปโหลดสื่อต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ภาพ 360 องศา ชุมชนสามารถนำไปใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลในท้องถิ่น ใช้ทำสื่อเรียนรู้ต่างๆ ช่วยยกระดับและพัฒนาทักษะของชุมชนให้บริหารจัดการข้อมูลดิจิทัลและการสื่อความหมายได้อย่างต่อเนื่อง
ผลจากการศึกษาวิจัยและบันทึกองค์ความรู้ไว้อย่างเป็นรูปธรรมในนวนุรักษ์แพลตฟอร์ม ได้เอื้ออำนวยให้ชาวบ้านในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูลนำไปใช้บอกเล่าถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในฐานะไกด์ท้องถิ่นได้อย่างภาคภูมิใจ ขณะเดียวกันยังสามารถนำความรู้ต่างๆ มาต่อยอดสร้างรายได้ในหลายมิติ นำมาสู่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรแห่งธรณีกาล และก่อให้เกิดการอนุรักษ์เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นายสมชาย นกเกษม หรือ บังบอย ไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นอาสาสมัครชุมชนรักษ์บ้านหาญ เล่าว่า เมื่อก่อนด้วยความไม่รู้ ยอมรับเลยว่าไม่กล้าพูด แต่เมื่อได้รับองค์ความรู้จากนักวิชาการทั้ง สวทช. และมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งได้เข้ามาจัดอบรมความรู้ให้กับชาวบ้านด้วย ทำให้เกิดความมั่นใจ กล้าที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของถ้ำทะลุ หลุมยุบดึกดำบรรพ์พื้นที่ขนาด 2-3 ไร่ ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ทำให้ถ้ำขนาดใหญ่ในอดีตยุบตัวลง จนก่อเกิดเป็นระบบนิเวศพรรณไม้ดึกดำบรรพ์ที่ชุมชนรักษ์บ้านหาญต่างภาคภูมิใจ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานธรณีโลกที่ช่วยสร้างรายได้เสริมให้แก่ชุมชน และทำให้ชุมชนเห็นคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแห่งนี้มากขึ้นด้วย
สำหรับประชาชนที่สนใจข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งท่องเที่ยว ศาสนสถาน และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล สามารถศึกษาได้ที่เว็บไซต์ https://www.navanurak.in.th/satungeopark
แผ่นพับ Satun Global Geopark : อุทยานธรณีโลกสตูล คลิกเพื่อดาวน์โหลดแผ่นพับ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงาน
ผลงานวิจัยเด่น

ทีมเยาวชนประเทศไทยเจ๋ง คว้าสุดยอดรางวัล Intel AI Global Impact Festival ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
For English-version news, please visit : Thai student team wins Intel AI Global Impact Festival Grand Prize
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับทีมเยาวชนประเทศไทย โดย นายธนภัทร จรัญวรพรรณ นายนพวิชญ์ ฉุนรัมย์ และ นายแมท แทนไทย คอช นักเรียนโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ผู้พัฒนาผลงาน “เครื่องมือการตรวจสอบหัวใจด้วยตนเองจากเสียงเสต็ตโทสโคปด้วยอัลกอริธึมเครือข่ายเซลล์ประสาทเทียม” (CS-M Tool)
โดยมี อาจารย์รุ่งกานต์ วังบุญ อาจารย์กฤติพงศ์ วชิรางกุล และ อาจารย์สาธิตา วรรณรัตน์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และมีที่ปรึกษาเชี่ยวชาญทางโรคหัวใจและนวัตกรรม จากคณะแพทยศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แก่ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ พญ.แรกขวัญ สิทธิวางค์กูล ผศ.ดร.นพ.นราวุฒิ ประเสริฐวิทยากิจ รศ.ดร.พญ.ศิริอนงค์ นามวงศ์พรหม อ.นพ.ชโนดม เพียรกุล และ ผศ.ดร. ยศธนา คุณาทร ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับโลกในฐานะที่สร้างสรรค์ผลงานปัญญาประดิษฐ์ที่มีผลกระทบสูง (Global Award winners for AI Impact Creator) ในระดับเยาวชนอายุ 13-17 ปี จากเวที Intel AI Global Impact Festival 2022 จัดโดย บริษัท อินเทล ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะเดินทางไปร่วมนำเสนอผลงานและเข้ารับรางวัลจาก CEO ของบริษัท อินเทล Mr. Patrick P. Gelsinger ในงาน Intel Innovation 2022 Conference ระหว่างวันที่ 27-28 กันยายน 2565 ใน Silicon Valley ณ เมืองซานโฮเซ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวแสดงความยินดีกับทีมเยาวชนไทยและทีมอาจารย์ที่ปรึกษาที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอีกครั้ง จากความคิดสร้างสรรค์สู่สิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ กับผลงาน “เครื่องมือการตรวจสอบหัวใจด้วยตนเองจากเสียงเสต็ตโทสโคปด้วยอัลกอริธึมเครือข่ายเซลล์ประสาทเทียม” (CS-M Tool) โดยผลงานนี้ได้ผ่านเวทีการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 24 (National Software Contest: NSC 2022) ซึ่งจัดโดย สวทช. เป็นประจำทุกปี โดยได้รับรางวัลชนะเลิศในประเภทโปรแกรมเพื่อช่วยคนพิการและผู้สูงอายุ ระดับนักเรียน และเข้ารับพระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานประชุมวิชาการประจำปีของ สวทช. (NSTDA Annual Conference: NAC) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา และล่าสุดในการประกวด Intel AI Global Impact Festival 2022 จัดโดย บริษัท อินเทล ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวทีสำหรับนักวิจัย นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้บริหารและนักวิชาการ เข้าร่วมเพื่อหารือและใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายโลกในปัจจุบัน มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 1,000 ผลงานจาก 25 ประเทศทั่วโลก และจะมีการมอบรางวัลชนะเลิศให้กลุ่มเยาวชน 6 รางวัลและครูอาจารย์อีก 3 รางวัล ซึ่งนอกเหนือจากทีมเยาวชนไทยแล้ว ยังมีผลงานของเยาวชนจากจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกาที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ จึงนับเป็นความสำเร็จของประเทศไทยที่มีบุคลากรในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทัดเทียมประเทศระดับแนวหน้าของโลก
ผลงาน CS-M Tool ของเยาวชนไทยจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ร่วมกับหูฟังของแพทย์ เพื่อเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนทั่วไปสามารถตรวจคัดกรองหัวใจในเบื้องต้นเองได้ เพื่อจะได้ช่วยป้องกันและลดการสูญเสียบุคลากรจากโรคหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของไทยและทั่วโลก มีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือช่วยเหลือแพทย์สำหรับโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลประจำตำบล และตอบโจทย์นโยบาย BCG Economy Model ของรัฐบาล
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช.-พันธมิตร จัดใหญ่ Thai-BISPA DAY 2022 ฉลอง 13 ปี สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย
ณ Swissotel Le Concorde Hotel Ratchada กรุงเทพฯ: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยพร้อมด้วย นางสาวชมพูนุช อนุศาสน์สิทธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และนางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดงานฉลองครบรอบ 13 ปี สมาคม Thai-BISPA หรือ สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทยในฐานะหน่วยงานร่วมก่อตั้งสมาคมและหน่วยงานพันธมิตร รวมถึงร่วมแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการดีเด่นที่ได้รับรางวัล THE BEST INCUBATEE AWARD ที่มีทักษะความสามารถและความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาสินค้า บริการที่แตกต่าง โดดเด่น สามารถตอบโจทย์ทั้งในและต่างประเทศ และมีผลประกอบการรวมถึงผลกระทบธุรกิจทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดี
รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย นายกสมาคม Thai-BISPA กล่าวว่า สมาคมฯ จัดตั้งขึ้นในปี 2552 เพื่อเป็นศูนย์กลางเครือข่ายของกิจกรรมบ่มเพาะธุรกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยในการที่จะพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศ ในระดับสากล ปัจจุบันมีสมาชิกองค์กรในประเทศรวมทั้งสิ้น 40 รายเป็นหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานสนับสนุนอื่นๆที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมทั้งจากภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในระดับนานาชาติและองค์กรหรือสมาคมต่างๆ มากกว่า 40 แห่งทั่วโลก ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสมัยใหม่ ให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้มากขึ้น หรือ ประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาสมาคม Thai-BISPA ได้ดำเนินการภายใต้กิจกรรมสนับสนุนความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ เช่น การพัฒนากำลังคน ด้านบริหารจัดการนวัตกรรมของประเทศ ซึ่งสมาคมได้ให้ความสำคัญในการจัดอบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ประชุมวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 60 กิจกรรม มีผู้ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมตลอดปี 2564 มากกว่า 1,500 คน การพัฒนามาตรฐานเครื่องมือในการบริหารจัดการหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆ ในการประเมินศักยภาพความพร้อมของเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงความรู้ ข้อมูลข่าวสารเครือข่ายและความร่วมมือด้านบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ภายในงานได้มีการประกาศผลรางวัลผู้ประกอบการดีเด่น THE BEST INCUBATEE AWARD ให้กับผู้ประกอบการที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม ซึ่งมีผู้ได้รับรางวัล 2 ราย โดยรายแรกเป็นผู้ประกอบการภายใต้การดูแลของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้แก่ บริษัท เทสเต็ด เบ็ตเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็น ผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายแป้งและขนมปังไร้กลูเตน ไม่มีน้ำตาล และผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ อาทิ อาหารผู้ป่วยเบาหวาน รายที่สอง ได้แก่ บริษัท คิว คิว (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันให้บริการระบบคิวออนไลน์ที่ใช้งานทั้งในร้านอาหาร ธนาคาร ห้างสรรพสินค้า และศูนย์บริการต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการภายใต้การดูแลของศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC)
นอกจากนี้ยังมีรางวัลในสาขาอื่นๆ ได้แก่ สาขา Potential technology transfer หรือผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจากการนำเทคโนโลยีที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาที่ได้รับการถ่ายทอดมาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศได้แก่ บริษัท อินโน กรีน เทค จำกัด ผู้พัฒนาระบบบำบัดวงจรไฟฟ้าชีวภาพ และรางวัลรองชนะเลิศได้แก่ บริษัท พาริช สกิน จำกัด ผู้พัฒนา ผลิตและจำหน่ายเวชสำอางบำรุงผิวหน้านวัตกรรมโพรไบโอติก
สาขา Promising entrepreneurs หรือผู้ประกอบการที่พร้อมด้วยทัศนคติ ทักษะ ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ของการเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดย รางวัลชนะเลิศได้แก่ บริษัท ฟางไทย แฟคทอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาชนะบรรจุภัณฑ์เยื่อฟางข้าว ส่วน รางวัลรองชนะเลิศในสาขานี้ ได้แก่ บริษัท รีฟัน จำกัด ตู้รับซื้อขยะรีไซเคิลอัตโนมัติ เปลี่ยนขยะรีไซเคิล เป็นเงินในรูปแบบต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการของผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานวิทยาศาสตร์และหน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่น่าสนใจ เช่น บริษัท อินน็อกซ์เซลลา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ในอาหารเสริม รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเวชสำอาง ซึ่งช่วยลดการนำเข้าสารออกฤทธิ์จากต่างประเทศและสามารถลดต้นทุนได้ และ บริษัท พีชแอนด์ โค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่สนใจสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ซึ่งทางบริษัทสามารถดูแลได้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตั้งแต่การให้คำปรึกษา การพัฒนาสูตร การออกแบบผลิตภัณฑ์ การทำวิจัยและพัฒนา การ Matching โรงงานผลิต รวมถึงการให้คำปรึกษาในการขอรับรองระบบมาตรฐานต่างๆ ของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

ยกระดับเกษตรกร “ทุ่งกุลา” ผลิตพืชสมุนไพรด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ลงนามความร่วมมือโครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม: ด้านพืช สมุนไพร” เป็นความร่วมมือเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ คือ จ.ศรีสะเกษ, จ.ร้อยเอ็ด และ จ.มหาสารคาม ปลูกพืชสมุนไพร โดยใช้องค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด เป็นการเพิ่มรายได้ที่ยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งหวังยกระดับอาชีพและรายได้ของเกษตรกร สร้างเศรษฐกิจฐานรากไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนของทรัพยากรทางชีวภาพของไทย.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. ผนึกพันธมิตร 40 หน่วยงาน จัดยิ่งใหญ่ งาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) โชว์กว่า 200 ผลงาน ‘นวัตกรรมพร้อมต่อยอดธุรกิจ’
21 กันยายน 2565 ที่โถงชั้น 1 สวทช. อาคารโยธี ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือพันธมิตรองค์กรภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งในและต่างประเทศกว่า 40 หน่วยงาน แถลงข่าว “การจัดงานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz” (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business)
จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ และวันที่ 12 ตุลาคม 2565 นำผู้ประกอบการลงพื้นที่ (site visit) ชมโครงการที่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อเป็นกิจกรรมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022 Thailand) และเปิดงาน Thailand Tech Show 2022 เวทีแสดงผลงานทางวิชาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจ พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมโอกาสความร่วมมือด้านธุรกิจ วิชาการระหว่างสมาชิกเอเปคให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ในปี 2565 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ประเทศไทยได้แสดงวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติเรื่อง โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) หรือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันในการพัฒนาประเทศ บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรที่หลากหลายซึ่งถือเป็นจุดแข็งและต้นทุนสำคัญของประเทศไทย เพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรมที่เพิ่มมูลค่าและเกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ดังนั้น สวทช. และพันธมิตรกว่า 40 หน่วยงานจึงจัดงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด “ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน” (Synergizing STI to Sustainable Business) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
ซึ่งภายในงานทั้ง 2 วันมีทั้งการประชุม สัมมนา นิทรรศการ เพื่อสร้างโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุนไทยที่สนใจนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความเข้มแข็งของธุรกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเป็นการสร้างขุมพลังของระบบนิเวศ วิจัยและนวัตกรรม นำไปช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เข้มแข็งและเกิดความมั่งคั่งยั่งยืน และวันที่ 12 ตุลาคม 2565 จะเป็นกิจกรรม site visit พาผู้ประกอบการที่สนใจไปชมโครงการและผลงานที่ประสบความสำเร็จจากการประยุกต์ใช้ BCG Model อาทิ ราชบุรีโมเดล EECi และ Solar Cell Recycle
“หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายประเทศ ได้หาวิธีฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว (Disruption) สะท้อนให้เห็นถึงผลเสียจากการพัฒนาที่ไม่ทั่วถึงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกปล่อยละเลย ด้วยเหตุนี้นโยบายเศรษฐกิจ BCG จึงได้ถูกนำเสนอมาขับเคลื่อนเอเปค 2565 เพื่อตอบโจทย์การฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุม และสมดุล โดยเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาต่างๆ ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่ประเทศไทยมุ่งผลักดันเป็นหลักคือการ “สร้างความสมดุลในทุกด้าน” หรือ Balance โดยนำแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเอเปค มาบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของภูมิภาคในระยะยาว”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า สำหรับสิ่งที่ต้องห้ามพลาดในการจัดงานครั้งนี้ คือ ในวันที่ 11 ตุลาคม 2565 จะมีการบรรยายพิเศษ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to watch) ซึ่งเป็นการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า ที่ผู้ประกอบการในปัจจุบันต้องติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมรับมือและปรับตัวให้เท่าทันกับเทรนด์เทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Disruption) ซึ่งอาจพลิกธุรกิจของทุกภาคส่วนได้เสมอ ภายในงานยังมีการนำเสนองานวิจัยพร้อมต่อยอดธุรกิจ กับเวที Investment Pitching เวทีแห่งการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนและนักอุตสาหกรรม สำหรับ 10 ผลงานที่มีความพร้อมถ่ายทอดผลงานให้กับผู้ประกอบการที่มองหาโอกาสและช่องทางในการทำธุรกิจเทคโนโลยี
นอกจากนี้ยังมีการปาฐกถาพิเศษ การบรรยาย และการเสวนา การขับเคลื่อน BCG Economy Model สู่การปฏิบัติ ในเขตเศรษฐกิจเอเปค ครอบคลุมวิทยากรจาก 8 เขตเศรษฐกิจ ในสาขา BCG ทั้งพลังงานและสิ่งแวดล้อม อาหารและเกษตรท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งการพัฒนาชุมชน รวม 7 หัวข้อ อาทิ เทคโนโลยีพลังเพื่อสังคมปลอดคาร์บอน ,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ,เศรษฐกิจ BCG เพื่อชุมชนเข้มแข็ง เป็นต้น
อีกทั้งนิทรรศการ APEC Economy Pavilion และ โซน IP Marketplace แหล่งรวมงานวิจัยจากพันธมิตรหน่วยงานวิจัยทั่วประเทศทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีกว่า 200 ผลงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมนั้น ตอบโจทย์ BCG ช่วยโดยไปช่วยเสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้กับธุรกิจแบบครบวงจรและยั่งยืน
คุณวริทธิ์ นามวงษ์ กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและรองประธานสายงานส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรม กล่าวว่า ส.อ.ท. ยินดีในการเป็นหนึ่งพันธมิตรของ สวทช. และกระทรวง อว. ในการร่วมจัดงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งถือเป็นงานที่เพิ่มโอกาสให้กับทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการ ที่กำลังมองหาเทคโนโลยีในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการในยุค New Normal มีแนวคิดในการทำธุรกิจแบบใหม่ คือ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อการรับมือกับสถานการณ์ ซึ่งการปรับตัวเชิงรุกจำเป็นต้องมีการพัฒนานวัตกรรม โดยการจัดงานครั้งนี้ จะเป็นเวทีเชื่อมโยงผู้ประกอบการได้พบกับนักวิจัย นักนวัตกร เพื่อแลกเปลี่ยนและเลือกงานวิจัยที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมจนสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจได้
“ทั้ง ส.อ.ท. และ สวทช. เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ ใช้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปสู่การพัฒนาธุรกิจของตนเองอย่างเข้มแข็ง เพื่อสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งตัวอย่าง การดำเนินงาน อาทิ การร่วมทุน กับกระทรวง อว. ตั้ง “Matching Fund” ช่วย SMEs ต่อยอดธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือสตาร์ทอัปและเอสเอ็มอี BCG Idea การสร้างมาตรฐานองค์กรเศรษฐกิจหมุนเวียน กระทรวงอุตสาหกรรม (Prime Minister Awards) การพัฒนาทักษะ และความเชี่ยวชาญ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ Funding for Upskill 400,000 บาท/องค์กร เป็นต้น”
อย่างไรก็ดี ส.อ.ท. ได้ดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อน BCG Economy ซึ่งครอบคลุมธุรกิจที่กว้างขวาง ด้วยการต่อยอดเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ของประเทศ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย โดยส่งเสริมความเชื่อมโยงงานวิจัย เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกับ สวทช. ในการสนับสนุนให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่ม Productivity เช่น โครงการ Cost effective technology การช่วยเหลือด้านทรัพยากร ทั้งแหล่งเงินทุน และองค์ความรู้ และคำนึงถึงความยั่งยืนควบคู่กันไป
ภายในงานแถลงข่าวมีการนำไฮไลท์ผลงานวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจ มาแสดงในงานรวม 5 ผลงาน ได้แก่ 1. FOODe’ care ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างและฆ่าเชื้อที่ใช้สำหรับอาหาร (ENTEC) 2. FleXARs ฟิล์มป้องกันการเกาะของสิ่งมีชีวิต (NECTEC) 3. Prolifera แผ่นแปะกระตุ้นการฟื้นฟูสภาพผิว (NANOTEC) 4. ChelaPlant-Nano ปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารรอง-เสริม เพื่อเร่งการเจริญของพืช (NANOTEC) 5. ยาสอดเต้าจากสมุนไพรฝางและว่านหางจระเข้ เพื่อรักษาโรคเต้านมอักเสบในโคนม (มหาวิทยาลัยแม่โจ้)
ทั้งนี้ สวทช. และพันธมิตรทุกองค์กรผู้ร่วมจัดงาน ขอเชิญชวน นักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ผู้ที่มองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน เข้าร่วมงานดังกล่าว ระหว่างวันที่ 10 - 12 ตุลาคม 2565 นี้ฟรีตลอดงาน ซึ่งเป็นอีกงานใหญ่ที่จะแสดงให้เห็นศักยภาพของงานวิจัยไทย ที่พิสูจน์ได้ว่างานวิจัยไม่ได้อยู่บนหิ้งเสมอไป งานดีๆแบบนี้ มีแต่งานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ดี และเป็นนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดทางธุรกิจได้ ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานได้ฟรีที่ www.nstda.or.th/apecbcg-tts2022 หรือสอบถาม โทร. 0-2564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์

การเปิดรับข้อเสนอโครงการร่วมวิจัย ภายใต้ความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ประจำปี 2566
ขอเรียนเชิญเข้าร่วม งานประชาสัมพันธ์การเปิดรับข้อเสนอโครงการร่วมวิจัย ภายใต้ความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ประจำปี 2566
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2565 เวลา 10.30 – 12.00 น. ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Cisco Webex
โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. เป็นการร่วมทุน เพื่อสนับสนุนโครงการร่วมวิจัยระหว่างสองหน่วยงาน โดยมหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. สนับสนุนฝ่ายละ 1 ล้านบาทต่อปี ต่อโครงการ รวม 2 ล้านบาทต่อโครงการ ต่อปี งบประมาณรวมไม่เกิน 6 ล้านบาทต่อโครงการ และระยะเวลาดำเนินงานไม่เกิน 3 ปีต่อโครงการ สนับสนุนไม่เกิน 3 โครงการต่อปี (เปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัย ปีเว้นปี)
ขอบเขตการสนับสนุน ประจำปี 2566: 1. Health Sciences 2. Agricultural and Biological Sciences 3. Engineering 4. Energy and Environmental Sciences และ 5. Advanced Material Sciences and Nanotechnology รวมทั้ง เทคโนโลยีที่สามารถขยายผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายสาขา เช่น AI
หมายเหตุ สนับสนุนทุนนักศึกษาปริญญาเอก 1 ทุนต่อโครงการ (นักศึกษาใหม่) ผ่านทางโครงการทุนพัฒนาบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่
https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?RGID=ra6aa315ba4ae69d751b4cb2a93bf8863
ปฏิทินกิจกรรม