หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ร่วมกับ JAXA พร้อมหน่วยงานพันธมิตร เปิดรับสมัครเยาวชนแข่งขัน Kibo Robot Programming Challenge ครั้งที่ 4 ชิงแชมป์ประเทศไทย รับทุนการศึกษา 20,000 บาท
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น และหน่วยงานพันธมิตร จัดโครงการแข่งขัน The 4th Kibo Robot Programming Challenge เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าเข้าร่วมการแข่งขัน โดยมุ่งส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทยในด้านสะเต็มศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมทรัพยากรบุคคลรองรับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทยในอนาคต โดยทีมชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และเป็นตัวแทนเข้าแข่งขันรอบชิงแชมป์โลกร่วมกับเยาวชนจากต่างประเทศในเดือนตุลาคม 2566 ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ร่วมจัดโครงการแข่งขัน The 4th Kibo Robot Programming Challenge ซึ่งได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว สำหรับกติกาปีนี้ ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันต้องมีสมาชิกจำนวน 3-5 คน และกำลังศึกษาไม่เกินระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า โดยสมาชิกในทีมอยู่ต่างสถาบันการศึกษาและระดับชั้นเรียนได้ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครทางออนไลน์ภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ก่อนเวลา 24.00 น. ผ่านเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc2023/ ภาพหุ่นยนต์ Astronbee ผู้ช่วยนักบินอวกาศ ขณะกำลังทดสอบอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ภาพระบบจำลองระบบซิมูเลชัน สำหรับทดสอบเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee “สำหรับรูปแบบการแข่งขัน ผู้เข้าร่วมต้องพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาจากเทมเพลตที่ทางแจ็กซากำหนด เพื่อควบคุมหุ่นยนต์แอสโตรบี (Astrobee) ในระบบ Simulation ซึ่งจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดเหตุแอมโมเนียรั่วไหลภายในสถานีอวกาศนานาชาติ ผู้เข้าแข่งขันต้องเขียนโปรแกรมด้วยภาษา JAVA เพื่อสั่งการให้หุ่นยนต์แอสโตรบีเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ที่กำหนด โดยจะต้องเคลื่อนเข้าไปอ่าน QR Code ตามจุดที่กำหนด และยิงเลเซอร์เข้าเป้าหมายที่ถูกสุ่มขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมสถานีอวกาศนานาชาติ โดยคะแนนการแข่งขันจะคำนวณจากความแม่นยำในการยิงเลเซอร์สู่เป้าหมายของหุ่นยนต์แอสโตรบี และเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น ทีมตัวแทนเยาวชนไทย ขณะกำลังแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติ นักบินอวกาศญี่ปุ่นทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขัน อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ขณะนี้ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันสามารถเข้าไปทดลองประมวลผลโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาในเซิร์ฟเวอร์ของการแข่งขันได้ที่เว็บไซต์ https://jaxa.krpc.jp ทั้งนี้การแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทยจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ทีมชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์โลกในเดือนตุลาคม 2566 ต่อไป” ด้าน นายวสันชัย วงศ์สันติวนิช ผู้บริหาร บริษัทเดลว์ แอโรสเปซ จำกัด ผู้ร่วมสนับสนุนโครงการแข่งขันในปีนี้ กล่าวเสริมว่า การเขียนโปรแกรมขึ้นไปใช้งานสำหรับหุ่นยนต์ในสถานีอวกาศฯ ถือเป็นภารกิจที่น่าสนใจและมีความท้าทาย สามารถพิสูจน์ได้ถึงทั้งฝีมือ และความละเอียดรอบคอบ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจทั้งในเรื่องของการพัฒนาอัลกอริทึม, ด้านแมคคาทรอนิคส์ ไปจนถึงองค์ความรู้ด้านการบินและอวกาศ เพราะต้องสร้างผลงานให้กับหุ่นยนต์ที่เราไม่เคยเห็น (physically) เพื่อให้ทำภารกิจได้อย่างดีที่สุด ซึ่งหุ่นยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ คือหุ่นยนต์แอสโตรบี (Astrobee) เป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศที่ใช้งานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ คอยสนับสนุนและช่วยเหลือการทำงานของนักบินอวกาศ พัฒนาโดย NASA Ames Research Center ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ขั้นสูงและเป็นศูนย์วิจัยที่พัฒนาอัลกอริทึมทั้งทางด้านการบินและอวกาศ ทั้งหมดนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของเด็กไทย ที่จะสามารถเข้าไปมีประสบการณ์กับงานในระดับโลก “ทีมเยาวชนไทยที่ชนะการแข่งขันจะได้เป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมแข่งขัน โครงการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์โลก ซึ่งจะมีเยาวชนเข้าร่วมแข่งขันรวม 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และไทย โดยมีนักบินอวกาศเป็นผู้ควบคุมการแข่งขันอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติและถ่ายทอดสดลงมาที่พื้นโลกด้วย การได้มีโอกาสร่วมสนับสนุนการจัดแข่งขันครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มีส่วนช่วยพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดและมีความสำคัญอย่างมากในอนาคต” ทีมเยาวชนประเทศญี่ปุ่นผู้ชนะการแข่งขันในปีที่แล้ว           ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge ได้ที่ Website: https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc-2023/ ,Facebook page: NSTDA SPACE Education หรือ สแกน QR Code  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ปฏิทินกิจกรรม
 
ลงทะเบียนฟรี ! กับสัมมนาปัญญาประดิษฐ์และข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรม 4.0 AI & Big Data for Industrial 4.0
ใครไม่อยากตกเทรนด์ AI และ Big Data ต้องไม่พลาดสัมมนานี้ 📢 ลงทะเบียนฟรี ! กับสัมมนาปัญญาประดิษฐ์และข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรม 4.0 AI & Big Data for Industrial 4.0 ขอเชิญผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจตลาดเทคโนโลยี AI & Big Data ในปัจจุบัน โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ ทั้งในและต่างประเทศ การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดอนาคตโดยใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data รวมถึงช่องทางการเพิ่มโอกาสและคำแนะนำการพัฒนาศักยภาพให้กับธุรกิจดิจิทัลด้วยข้อมูลที่ท่านมี โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ เทคโนโลยี AI & Big Data ผ่านการเสวนาของผู้ทรงคุณวุฒิจาก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช //สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย// วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์//ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์// ประธานสมาคมหอการค้าปทุมธานี// และทีมงานพัฒนาซอฟต์แวร์จากบริษัท ดิจิทัลสโตร์เมช จำกัด 🗓️วันที่ 10 พฤษภาคม 66 เวลา 13:00-16:00 📌ห้อง MR219 ไบเทค บางนา ☑️ลงทะเบียน https://forms.gle/TtMC5GAmPAR8Z78F9 กิจกรรมดี ๆ ที่จะทำให้คุณได้รับโอกาสทางธุรกิจ เพื่อการสร้างสรรค์และพัฒนาธุรกิจสู่อนาคตที่ยั่งยืน 📲 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : 02 - 564-7000 ต่อ 5397 📢 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย คือ พันธมิตรธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ นวัตกรรม 🔬 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 📌 The Integrated Ecosystem where Innovation Grows 🎯 Faster Better Prosper 🌐 www.sciencepark.or.th 📞 02-5647200 📧 customerrelation@sciencepark.or.th 🚙https://goo.gl/maps/GHtjhg1NoJWpAbN99
ปฏิทินกิจกรรม
 
Weisse-ไวส์เซ่ นวัตกรรมครีมกันแดดผลึกหกเหลี่ยม
  Tech: สุดล้ำ! นวัตกรรมครีมกันแดด "Weisse-ไวส์เซ่" ที่ใช้องค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีในการพัฒนาครีมกันแดดจากนาโนแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีลักษณะเป็น “ผลึกหกเหลี่ยม” ทำให้โมเลกุลของสารชนกันได้สนิทแบบไร้ช่องว่าง ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ประสิทธิภาพสูงสุด หนึ่งในนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งจัดโดย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 40 หน่วยงาน BIZ : #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาโดย ดร.จรัสพัฒน์ พฤกษารัตนวุฒิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันมีการผลิตและจำหน่ายครีมกันแดด Weisse-ไวส์เซ่ เชิงพาณิชย์ ติดต่อสอบถามหรือสั่งซื้อได้ที่ Line : @weisseskincare โทรศัพท์ 06 4635 1565 ดร.จรัสพัฒน์ พฤกษารัตนวุฒิ กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยมีปัญหาสุขภาพผิวที่เกิดจากรังสียูวี ทำให้ผิวเป็นฝ้า กะ จุดด่างดำ และที่สำคัญทำผิวเหี่ยวหย่นก่อนวัยอันควร และผิวคนไทยส่วนใหญ่มีสภาพมัน และ T-Zoneเวลาใช้ครีมกันแดดจะมีปัญหาหน้าหรือผิวขาวเกินไป ต้องทาซ้ำรหะว่างวัน และก่อให้เกิดการอุดตันผิวทำให้เกิดสิวอีก ซึ่งเป็นผลมาจากสารที่ใช้ในครีมกันแดดทั่วไปทำให้เนื้อครีมเหนียว เหนอะ และมีโมเลกุลของสารเป็นทรงกลม เมื่อโมเลกุลมาชนกันจะเกิดช่องว่างหรือรอยต่อ ทำให้ UV ทะลุไปทำลายผิวได้ ทีมวิจัยจึงมุ่งมั่นพัฒนาครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวคนไทยและแก้ปัญหาและข้อจำกัดของครีมกันแดดในปัจจุบัน โดยใช้นาโนเทคโนโลยีผลิตครีมกันแดดจากนาโนแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีลักษณะเป็น “ผลึกหกเหลี่ยม” เมื่ออนุภาคของผลึกมาชนกันจะชนกันได้สนิท โอกาสที่จะเกิดช่องว่างจึงลดลง และด้วยมุมผลึกหกเหลี่ยมของนาโนแคลเซียมคาร์บอเนตทำให้กระจายแสงหรือสะท้อนแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยปรับผิวให้สว่างใสอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ที่สำคัญธรรมชาติของสารผลึกหกเหลี่ยมยังช่วยให้เนื้อครีมบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และล้างออกได้ง่ายเพียงใช้สบู่อ่อนหรือโฟมล้างหน้า ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และไม่ทำให้เกิดสิว     ครีมกันแดด Weisse ไม่เพียงโดดเด่นด้วยนวัตกรรมผลึกหกเหลี่ยมที่ช่วยกันแดดได้อย่างล้ำลึก แต่ยังมีส่วนประกอบของสารบำรุงผิวที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น Alpha arbutin, Vitamin C อีกทั้งใช้เทคโนโลยี Encapsulation ในการกักเก็บสารบำรุงให้มีความคงตัว นำส่งและปลดปล่อยสารสู่เซลล์ได้ตามเป้าหมาย ช่วยบำรุงผิวจากภายใน เป็นผลให้ฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลง และทำให้ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น ไม่เพียงวิจัยพัฒนานวัตกรรมครีมกันแดดได้สำเร็จ ดร.จรัสพัฒน์ พฤกษารัตนวุฒิ ยังได้ผ่านการเข้าร่วมโครงการ Leaders in Innovation Fellowships (LIF) Programme ภายใต้ทุน Newton Fund โครงการความร่วมมือกับ The Royal Academy of Engineering (RAEng) ประเทศอังกฤษ ดำเนินการโดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ช่วยส่งเสริมนักวิจัยไทยสู่ผู้ประกอบการและสนับสนุนผลักดันให้ผลงานวิจัยนำไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ครีมกันแดด Weisse คว้ารางวัลนวัตกรรมการันตีคุณภาพจากหลายเวที เช่น รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ของ 7 Innovation Award ในฐานะผลิตภัณฑ์ขายดี ปี 2018, รางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมนวัตกรรมปกป้องผิว Excellent award from Saudi Arabia, รางวัลผลงานวิจัยยอดเยี่ยมจากประเทศรัสเซีย, รางวัลเทคโนโลยีปกป้องผิวยอดเยี่ยมระดับอาเซียน และรางวัลชนะเลิศนวัตกรรมปกป้องผิวยอดเยี่ยมระดับเอเชียจากประเทศเกาหลีใต้ เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
โครงการยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านพืชสมุนไพร
การมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก สวทช. ปี 2566 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม: ด้านพืช สมุนไพร”ร่วมกับ 3 จังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดมหาสารคาม โดยโครงการได้มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาดำเนินการและยกระดับการปลูกพืชสมุนไพรนำร่อง ได้แก่ ขิง ไพล ฟ้าทะลายโจร พร้อมทั้งเชื่อมโยงโดยได้รับความร่วมมือจากทาง บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) และบริษัท กุยลิ้มฮึ้ง จำกัด ในการรับซื้อผลผลิตคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเปิดช่องทางการตลาดใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจชุมชนและฐานรากให้ยั่งยืนโดยใช้ฐานทรัพยากรในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ สวทช. ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานความร่วมมือ ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ ศูนย์ขยายพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร บริษัท โอสถสภา จำกัด เพื่อวางแผนการดำเนินงานโครงการฯ คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเกษตรกร วางแผนการอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการยกระดับสมุนไพรคุณภาพดี รวมทั้งเปิดรับความคิดเห็นจากเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและติดตามการดำเนินการโครงการ โดยเมื่อ วันที่ 7 มีนาคม 2566 สวทช. ได้จัดให้มีการเปิดรับความคิดเห็นของเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ และมหาสารคาม ซึ่งมีเกษตรกรเข้าร่วมจำนวน 67 คน และเจ้าหน้าที่ 21 คน เกี่ยวกับความเหมาะสมของพื้นที่ และการนำพืชที่มีความเหมาะสมในการปลูกและนำมาผลิตสมุนไพร ซึ่งเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมได้ให้ความเห็นพร้อมทั้งร่วมวางแผนดำเนินการผลิตสมุนไพรร่วมกัน โดยจะมีการดำเนินการปรับปรุงพื้นที่สำหรับการปลูก จากข้อสรุปดังกล่าวจะดำเนินการปลูกขิงและไพล จำนวน 10 ไร่ในช่วงเดือนเมษายน 2566 และปลูกฟ้าทะลายโจร จำนวน 5,000 ต้น ในเดือนพฤษภาคม 2566 ตามลำดับ เมื่อวันที 8-9 มีนาคม 2566 สวทช.ได้มีการจัดกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดี ขิงไพล ของจังหวัด ศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดมหาสารคาม โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 67 คน เจ้าหน้าที่ 21 คน และมีหน่วยงานความร่วมมือที่เข้าร่วม ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานเกษตรจังหวัดมหาสารคาม ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เกษตรกรได้เข้ารับฟังการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีแล้วจึงให้เกษตรกรรับหัวพันธุ์ขิง และสารชีวภัณฑ์เพื่อใช้สำหรับการปลูกพืชสมุนไพรคุณภาพดีต่อไป ลงพื้นที่เพื่อติดตามการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานความร่วมมือเพื่อให้คำแนะนำกับเกษตรกรทั้ง 3 จังหวัด     ปัญหาอุปสรรค: ยังไม่มีปัญหาอุปสรรค และสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่ร่วมกันประชุมหารือไว้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการปลูกพืชสมุนไพร ข้อเสนอแนะ: ยังไม่มีข้อเสนอแนะ เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการปลูกพืชสมุนไพร
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ และ ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ประจำปี 2565 โอกาสนี้ สวทช. ขอแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ไบโอเทค สวทช. และ ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) สวทช. ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ประจำปี 2565 ในสาขาวิทยาศาสตร์ และ สาขานิติศาสตร์ ตามลำดับ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมกับ สทป. เดินหน้าความร่วมมือด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-dti-sign-r-d-collaborative-agreement.html  (21 เมษายน 2566) ณ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ :กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ลงนามความบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยทั้งสองหน่วยงานสนับสนุนความเชี่ยวชาญ ของบุคลากรและการสนับสนุนทรัพยกรงานวิจัยร่วมกัน โดยมีพลเอกชูชาติ บัวขาว ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ร่วมลงนาม พลตรีพีรพงศ์ โพธิ์เหมือน รองผู้อำนวยการ สปท. และดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมเป็นพยานทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าวเพื่อสร้างองค์ความรู้ การใช้เทคโนโลยี และกิจกรรมนวัตกรรมเทคโนโลยีสองทางทุกรูปแบบ อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายในการผลักดันให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็น S-Curve ตัวที่ 11 โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม รับผิดชอบในการส่งเสริมและวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสองทาง (Dual-Use) ที่สร้างขีดความสามารถให้มีการใช้งานได้ทั้งในภารกิจด้านความมั่นคงและสำหรับภาคพลเรือนทั่วไปเชิงพาณิชย์ พลเอกชูชาติ บัวขาว ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) กล่าวว่า การร่วมลงนามในครั้งนี้ เป็นการยกระดับความร่วมมือที่มีอยู่ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ซึ่งเกิดจากทั้งสองฝ่าย ได้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี และการร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร เช่น งบประมาณ บุคลากร เทคโนโลยี เครื่องมือ และสถานที่ ร่วมกันเสริมสร้างและแลกเปลี่ยนบุคลากร ความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการ ร่วมกันจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนา เพื่อพัฒนาศักยภาพ และเพิ่มขีดความสามารถแก่บุคลากรของทั้งสองฝ่าย ตลอดจนหน่วยงานในเครือข่ายความร่วมมือที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันขยายผลการนำผลงานวิจัยพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติ รวมทั้งขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งเน้นในการสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ของประเทศ และเชื่อมโยงกับพันธมิตรในทุกภาคส่วนในการขยายผลการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยความร่วมมือจากศูนย์วิจัยภายใต้สวทช. ซึ่งมีศูนย์แห่งชาติที่มีความเชี่ยวชาญและมีความรู้ความสามารถในทางวิทยาศาสตร์ อาทิ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ  ศูนย์โลหะและวัสดุแห่งชาติ  ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ  ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้พันธกิจหลักหนึ่ง คือกลุ่มศูนย์ฯ Focus Center  สวทช. โดยได้มอบหมายนโยบายให้ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์  มีพันธกิจในการสร้างเครือข่ายด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา NSD ได้มีความร่วมมือสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านวิชาการ ร่วมกับ สทป. ในการเป็นที่ปรึกษาและร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่องตลอดมา เพื่อให้เกิดการขยายผลของการนำผลงานวิจัยไปประยุกต์สู่การใช้งานด้านความมั่นคงและเชิงพาณิชย์ให้มีประสิทธิภาพ “ในช่วงที่ผ่านมาศูนย์ NSD ได้มีความร่วมมือสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านวิชาการ ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ  อาทิ การเชิญเป็นคณะกรรมการจัดทำแผนที่นำทางเทคโนโลยี “การจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านเทคโนโลยีสองทางและความมั่นคง (Dual use and Security Technology) เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่มุ่งสู่ยุค 4.0 ในอนาคต” ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและแผนการปฏิบัติงานอย่างสอดคล้องกับทิศทางของเทคโนโลยีด้านความมั่นคง ให้เกิดการขยายผลของการนำผลงานวิจัยไปประยุกต์สู่อุตสาหกรรมให้กับประเทศ โดย สวทช. มีบทบาทหลักของการสนับสนุนทั้งองค์ความรู้ เทคโนโลยีและบุคลากรวิจัย เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ  ให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘สนทนา (Sontana)’ อวทาร์ให้บริการตอบคำถาม FAQ แบบอัตโนมัติ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/sontana-an-faq-conversational-avatar.html   องค์กรของคุณกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากรสำหรับให้บริการตอบคำถามใช่หรือไม่ ยกหน้าที่นี้ให้ ‘อวทาร์ หรือ อวตาร (Avatar)’ เป็นผู้ช่วยดูแลลูกค้าให้แก่คุณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พัฒนา ‘สนทนา (Sontana)’ อวทาร์ให้บริการตอบคำถามแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์รวดเร็ว เกิดความประทับใจต่อองค์กร   [caption id="attachment_42325" align="aligncenter" width="700"] ดร.อัษฎางค์ แตงไทย (ซ้าย) และ ดร.ชัยอนันต์ ดำรงรัตน์ (ขวา) นักวิจัยทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชัยอนันต์ ดำรงรัตน์ ทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. เล่าว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) ด้านเสียงและข้อความเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าหลากหลายด้าน อาทิ แพลตฟอร์มแปลงเสียงเป็นข้อความ แพลตฟอร์มแปลงข้อความเป็นเสียง แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อความ แพลตฟอร์มแชตบอตหรือระบบตอบโต้อัตโนมัติ โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้มีจุดแข็งที่สำคัญคือสามารถประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing: NLP) หรือภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ “ดังนั้นแล้วเพื่อพัฒนาต่อยอดให้ผลงานตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องเผชิญปัญหาการขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะด้านการดำเนินงานบริการตอบข้อซักถามทั่วไป (Frequently asked questions, FAQ) ทีมวิจัยจึงได้นำแพลตฟอร์ม 3 รูปแบบที่เปิดให้บริการแล้วอย่าง ‘พาที (Partii)’ ระบบบริการถอดความเสียงภาษาไทย ‘อับดุล (Abdul)’ ระบบบริการโต้ตอบอัตโนมัติ และ ‘วาจา (VAJA)’ ระบบบริการสังเคราะห์ภาพและเสียงภาษาไทยผ่านอินเทอร์เน็ต มาผนวกรวมกับเทคโนโลยีการสร้างอวทาร์ เพื่อให้ได้ ‘อวทาร์’ สำหรับทำหน้าที่ตอบ FAQ ตามชุดข้อมูลที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ด้วยสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงที่สุภาพ ตอบคำถามได้รวดเร็วภายในเวลาไม่เกิน 5 วินาที โดยเทคโนโลยีที่ผนวกรวมทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันนี้มีชื่อเรียกว่า ‘สนทนา (Sontana)’ ส่วนอวทาร์สาวสวยที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลในเวอร์ชันเปิดตัวนี้ ผู้ที่ได้ทดลองใช้ระบบต่างเรียกเธอด้วยความเอ็นดูว่า ‘น้องสนทนา’ ”   [caption id="attachment_42330" align="aligncenter" width="1000"] 3 แพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการแล้วในปัจจุบัน[/caption]   [caption id="attachment_42327" align="aligncenter" width="700"] สนทนา (Sontana)[/caption]   [caption id="attachment_42328" align="aligncenter" width="700"] สนทนา (Sontana)[/caption]   จุดแข็งที่น่าจับตาของ ‘อวทาร์สนทนา’ ไม่ได้มีแค่เรื่องการตอบ FAQ ได้รวดเร็วจนผู้ใช้บริการประทับใจเท่านั้น การแสดงสีหน้าและท่าทางได้อย่างสมจริงและมีชีวิตชีวาก็ดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้บริการได้ไม่แพ้กัน ดร.อัษฎางค์ แตงไทย ทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า หลังจากที่ผู้ใช้บริการสอบถามข้อมูลกับอวทาร์แล้ว แพลตฟอร์มพาที อับดุล และวาจา จะประมวลผลต่อเนื่องกันโดยอัตโนมัติจนได้เป็นชุดเสียงสังเคราะห์สำหรับให้คำตอบแก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งระบบจะส่งต่อข้อมูลเหล่านั้นไปยังส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของ ‘โมเดล 3D’ หรือ ‘อวทาร์’ เพื่อให้อวทาร์แสดงท่าทางขยับริมฝีปากและองค์ประกอบต่าง ๆ บนใบหน้าให้สอดรับกับถ้อยคำที่เปล่งเสียงออกไป เสมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่ตอบคำถามแก่ผู้ใช้บริการ   [caption id="attachment_42326" align="aligncenter" width="450"] ภาพตัวอย่างการใช้งานสนทนา[/caption]   “สำหรับการควบคุมการขยับองค์ประกอบบนใบหน้าของอวทาร์แบบอัตโนมัติ ทีมวิจัยได้นำเทคโนโลยี Blendshapes จากแพลตฟอร์ม ARkit ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากบริษัทแอปเปิล จำกัด มาใช้ในการขยับองค์ประกอบ โดยแพลตฟอร์มนี้มีการใช้ Shapes มากถึง 52 แบบ และมีการใช้พรีเซตสระของภาษาอังกฤษ (A-E-I-O-U) ในการประมวลผล อวทาร์จึงขยับริมฝีปากและแสดงสีหน้าได้ละเอียด สมจริง มีชีวิตชีวา ซึ่งทีมวิจัยสามารถปรับแต่งการแสดงสีหน้า ท่าทาง รวมถึงเสียงสังเคราะห์ของอวทาร์ให้มีลักษณะเฉพาะตัวตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการได้อีกด้วย ส่วนทางด้านโมเดล 3D ที่ใช้สร้างเป็นอวทาร์นั้น ผู้ว่าจ้างสามารถจัดเตรียมโมเดลขององค์กรหรืองานต่าง ๆ มาด้วยตัวเอง หรือใช้บริการการผลิตโมเดลจากทางเนคเทคก็ได้เช่นกัน”   [caption id="attachment_42329" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่าง Shapes ที่ใช้ในการทำ Blendshapes[/caption] ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมให้บริการแพลตฟอร์ม ‘สนทนา (Sontana)’ แก่กลุ่มธุรกิจ กลุ่มบริษัทซอฟต์แวร์เฮาส์ รวมถึงองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องการใช้ระบบตอบคำถามอัตโนมัติด้วยภาพและเสียงแล้ว หากสนใจใช้บริการติดต่อได้ที่ฝ่ายกลยุทธ์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี เนคเทค สวทช. อีเมล business@nectec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และ S-Curve สู่นักเรียนและครูในพื้นที่ EEC เสริมรากฐานด้านกำลังคนเพื่อความยั่งยืน
เมื่อวันที่ 29-30 มีนาคม 2566 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) จัดกิจกรรมสำหรับเยาวชนและครูในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ภายในงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2566 (NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้ธีม “สวทช.: ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน กิจกรรมดังกล่าวได้มีกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ในวันที่ 29 และ 30 มีนาคม 2566 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และอาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร จ.ปทุมธานี จำนวน 4 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 3 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมนักนวัตกรรมเกษตร Indoor Farming กิจกรรมไวรัส วายร้าย และกิจกรรมการประดิษฐ์ชุดหลอดไฟส่องสว่าง LED แบบหมู่คณะเชื่อมความสามัคคี โดยความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และกิจกรรมสำหรับครู จำนวน 1 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมสนุกกับกิจกรรมเรียนรู้สะเต็มศึกษากับซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของไทย ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะและกระบวนการคิดเชิงวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบผ่านการฟังการบรรยายและกิจกรรมการทดลองปฏิบัติจริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และพี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำแนะนำในระหว่างทำกิจกรรม พร้อมทั้งปลูกฝังให้นักเรียนในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) สนใจและเข้าใจถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาความเจริญของประเทศ กิจกรรม “นักนวัตกรรมเกษตร Indoor Farming” สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในเขตพื้นที่ EEC จำนวน 100 คน จัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม 2566 รุ่นที่ 1 ช่วงเช้า และรุ่นที่ 2 ช่วงบ่าย ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้นวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ รับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีในโรงงานผลิตพืช Plant Factory และลงมือปฏิบัติกิจกรรม นักนวัตกรรมเกษตร Indoor Farming เน้นการนำความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ในชั้นเรียน เรื่องกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ความยาวคลื่นและความเข้มของแสงที่เป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของพืชมาใช้ออกแบบแสงเทียมจากหลอดไฟ LED แทนแสงจากดวงอาทิตย์ในการควบคุมการเจริญเติบโต มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบกระถางปลูกพืชในร่ม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “ไวรัส วายร้าย” สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในเขตพื้นที่ EEC จำนวน 50 คน จัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม 2566 ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้เกี่ยวกับไวรัสวิทยาขั้นพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานของไวรัสชนิดต่าง ๆ พยาธิสภาพของโรคติดเชื้อไวรัส พาหะของไวรัส การระบาดของไวรัส ผลกระทบของการระบาดครั้งยิ่งใหญ่ รวมไปถึงการป้องกันการติดเชื้อจากไวรัส การเตรียมพร้อมด้านวัคซีนและการเตรียมพร้อมต่อไวรัสที่จะอุบัติใหม่ในอนาคต โดยจะเป็นการบรรยายในรูปแบบการอภิปรายไปพร้อมกับเยาวชน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้เยาวชนแบ่งกลุ่มลงมือออกแบบไวรัสโครงสร้างต่าง ๆ ด้วยตนเอง และนำองค์ความรู้ที่ได้จากการฟังบรรยายทั้งหมดมาบูรณาการณ์เชื่อมโยงเกี่ยวกับไวรัสและอภิปรายให้เพื่อน ๆ ฟัง กิจกรรม “สนุกกับกิจกรรมเรียนรู้สะเต็มศึกษากับซอฟต์พาวเวอร์ (Soft power) ของไทย ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG” สำหรับครูระดับมัธยมศึกษาในเขตพื้นที่ EEC จำนวน 25 คน ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้แนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษากับซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของไทย ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG และลงมือทำกิจกรรมสุคนธบำบัด (Aromatherapy) สกัดน้ำมันหอมระเหย โดยใช้ภูมิปัญญาไทยและสะเต็มศึกษา และกิจกรรม “การประดิษฐ์ชุดหลอดไฟส่องสว่าง LED แบบหมู่คณะเชื่อมความสามัคคี” สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในเขตพื้นที่ EEC จำนวน 50 คน ผู้เข้าร่วมได้ทำความรู้จักกับ EZ-LED light kits หรือชุดหลอดไฟส่องสว่าง LED อย่างง่ายที่เป็นเทคโนโลยีไฟฟ้าโซลาร์เซลล์แบบพื้นฐานจากห้องปฏิบัติการสู่การนำไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าส่องสว่างในชุมชนถิ่นทุรกันดารของโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริฯ ภายใต้การกำกับของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยผลงานการประดิษฐ์ของนักเรียนจะนำไปมอบให้กับชาวบ้านเพื่อใช้งานจริงในกิจกรรมครัวเรือนของชุมชนต่อไป ด้าน นายภูมิพัฒน์ อึ้งเสือ นักเรียนโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 กล่าวว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทำให้ได้รับความรู้และการต่อวงจรไฟฟ้า ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนและได้ช่วยเหลือคนอื่น ชอบการต่อวงจร การต่อไฟ ทำให้เรามีทักษะในการทำงาน ได้ลงมือทำเอง ทำให้เราได้มีประสบการณ์ (ด้านขวา)นายภูมิพัฒน์ อึ้งเสือ นักเรียนโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 เช่นเดียวกับ ด.ญ.กฤษติกา ดวงแก้ว นักเรียนโรงเรียนวัดป่าประดู่ จ.ระยอง  ที่อธิบายถึงความรู้ใหม่ที่ได้จากการอบรม ว่า “หนูกำลังทำโครงงานเกษตรในร่ม และไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเข้มแสงเท่าไหร่นัก เพราะใช้แสงไฟอย่างเดียว พอได้มาร่วมกิจกรรมก็ได้รู้ว่าความเข้มแสงมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมาก ๆ เลยค่ะ และชอบตรงที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง” ขณะที่ นายกฤษณะ ศรัทธาผล ครูโรงเรียนประภัสสร จ.ชลบุรี กล่าวว่า กิจกรรม “สนุกกับกิจกรรมเรียนรู้สะเต็มศึกษากับซอฟต์พาวเวอร์ (Soft power) ของไทยตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG” เมื่อได้อบรมแล้วทำให้เห็นชัดเจนว่า บ้านเราเป็นเมืองเกษตรกร และกำลังทำ lab เกี่ยวกับเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จุดเด่นคือต่างประเทศปลูกไม่ได้ แต่บ้านเราปลูกได้ ถือเป็น soft power อย่างหนึ่ง และได้นำไปทำเป็นกิจกรรมให้กับนักเรียนชั้น ม.3 ซึ่งไม่เคยทำและไม่ทราบว่ามาก่อนว่าสามารถทำแบบนี้ได้ เช่น การปลูกกล้วยไม้แบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ที่ประเทศไทยทำอยู่แล้ว เช่น duty free ส่งออกไปต่างประเทศทั่วโลก ก็ถือว่าเป็น soft power อย่างหนึ่ง //////////////////  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
SCI News Flash : 3 นวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ โดย เอ็มเทค สวทช.
  นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา 3 นวัตกรรมขานรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 3 ผลงาน พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว     'Rachel' บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้สูงวัยที่ยังมีใจและมีไฟได้สนุกกับการใช้ชีวิตประจำวัน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง จุดเด่นของชุด คือ การช่วยเสริมแรงให้กับผู้สูงอายุบริเวณหลังและต้นขาด้วยกล้ามเนื้อจำลองซึ่งควบคุมด้วย AI เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มโดยตัวชุดผ่านการออกแบบให้น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย สามารถใส่ทับหรือใส่แทนชุดชั้นในได้เลย รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว   'Gunther Bath' กันเธอหกล้มแล้วไม่มีใครมาช่วยเหลือ เป็นอุปกรณ์ Ambient sensor สำหรับตรวจจับการหกล้มในห้องน้ำ ซึ่งวิเคราะห์ Ambient ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย AI โดยหากเกิดเหตุผู้ใช้งานห้องน้ำหกล้มระบบจะแจ้งเตือนไปยังสมาร์ตโฟนของผู้ดูแลภายใน 5 วินาที จุดแข็งที่สำคัญของเทคโนโลยีนี้คือการประมวลผลทั้งหมดโดยไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานห้องน้ำ รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Gunther Bath’ กันเธอหกล้มแล้วไม่มีคนช่วย นวัตกรรมตรวจจับการล้มเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล   'Ross' ชุดพยุงหลังสำหรับ 'ลูกหลาน' และ 'บุคลากรทางการแพทย์' ที่ต้องยกหรือพลิกตัวผู้สูงอายุอยู่เป็นประจำ ชุดจะทำหน้าที่ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหลัง ช่วยควบคุมให้ร่างกายยกของน้ำหนักมากด้วยท่าทางที่เหมาะสม โดยชุดนี้ผ่านการออกแบบให้สวมใส่และถอดง่าย พร้อมให้คว้ามาใส่อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Ross (รอส) บอดีสูทพยุงหลัง’ ป้องกันการบาดเจ็บจากการยกผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และสิ่งของน้ำหนักมาก   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ร่วมสืบสานประเพณี สรงน้ำพระ ขอพรผู้ใหญ่ เนื่องในวันสงกรานต์
(10 เมษายน 2566) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธี สรงน้ำพระและรดน้ำขอพร เนื่องในวันสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2566 เพื่อสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมไทย รวมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีให้แก่บุคลากรกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา พร้อมด้วย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ร่วมพิธีสรงน้ำ พระพุทธรูป และรดน้ำขอพรจาก ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ปอว.) เนื่องในวันสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2566
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ บีเคเคจีไอ ศึกษา “จุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์” เพื่อจัดทำระบบสารสนเทศ สู่การใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลจุลินทรีย์ดูแลสุขภาพคนไทย
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-bangkok-genomics-innovation-to-embark-on-human-gut-microbiome-research.html เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ กรรมการ บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคเคจีไอ (BkkGI) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “โครงการกระบวนการศึกษาจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยเทคนิค Next-generation sequencing โดยอาศัยเครื่อง DNBSEQ-G50 (DNBSEQ-G50) ตั้งแต่การเตรียม library, การตรวจสอบรหัสพันธุกรรม และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมทาง Bioinformatics” ระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และบริษัทแบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคเคจีไอ (BkkGI) โดยมี ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. และดร.เสาวลักษณ์ ด่านสกุล กรรมการบริษัทฯ เป็นสักขีพยาน ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการ สวทช.  กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสอันดียิ่งที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand : NBT) ได้ทำความร่วมมือกับบริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จํากัด (มหาชน) ทำการศึกษาวิจัยความหลากหลายจุลินทรีย์ในลำไส้ของประชากรไทยที่มีสุขภาพดี เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นระบบสารสนเทศที่ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลจุลินทรีย์ในลำไส้ของประชากรไทย  สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เกิดความก้าวหน้าในงานวิจัยใหม่ ๆ นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงสังคมและพาณิชย์ ตลอดจนขับเคลื่อนสังคมยุคใหม่ที่ดูแลสุขภาพด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถรักษาสมดุลในการใช้ทรัพยากรตามกรอบความคิดโมเดลเศรษฐกิจ ‘BCG Economy Model’ อันเป็นวาระแห่งชาติ “โดยจุดประสงค์ของความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้คือ ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเมตาจีโนมิกส์ หรือการศึกษาจุลินทรีย์ในลำไส้ ด้วยเทคโนโลยี Next-generation sequencing หรือ NGS และการวิเคราะห์ข้อมูลชีวนิเวศจุลชีพลำไส้ หรือ Gut microbiome ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดสายพันธุ์มาจากมารดาตั้งแต่แรกคลอด รวมถึงการรับจุลินทรีย์มาจากอาหาร และยาที่มนุษย์รับเข้าสู่ร่างกาย การสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น ได้แก่ ห้องปฏิบัติการ เครื่องมือวิเคราะห์พันธุกรรม และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางวิชาการ ซึ่งจะเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับเมตาจีโนมิกส์ของมนุษย์ และสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการพัฒนาสุขภาพที่ดีในอนาคตได้” รองผู้อำนวยการ สวทช. ระบุ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ กรรมการบริษัทฯ  กล่าวว่า บริษัทแบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จํากัด (มหาชน) มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือศึกษาวิจัยความหลากหลายจุลินทรีย์ในลำไส้ของประชากรไทยที่มีสุขภาพดี กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นระบบสารสนเทศที่เป็นฐานข้อมูลจุลินทรีย์ในลำไส้ของประชากรไทยในอนาคต โดย บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชากรไทย ในด้านการส่งเสริมเทคโนโลยีการตรวจที่มีประสิทธิภาพ และพัฒนาบุคลากรในประเทศ รวมถึงการขยายความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนาร่วมกับ สวทช. อย่างต่อเนื่องในอนาคต” “การลงนามในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการร่วมมือวิจัยโดยการแบ่งปันความชำนาญของทั้งสององค์กร ทั้งความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยของ สวทช. และ ความชำนาญการด้านการให้บริการวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมของ บีเคเคจีไอ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสามารถตอบโจทย์ในงานวิจัยเกี่ยวกับเมตาจีโนมิกส์ของกลุ่มประชากรที่ศึกษาได้ แต่ยังสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยครั้งนี้ ไปพัฒนาต่อยอดงานบริการเกี่ยวกับสุขภาพที่ดีของมนุษย์ในอนาคตได้” นอกจากนี้ บีเคเคจีไอ ยังคงมีนโยบายมุ่งเน้นสนับสนุนและส่งเสริมด้านการวิจัยด้านสุขภาพที่ดีของมนุษย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านความร่วมมือกับสถานบันต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อพัฒนานักวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อยู่เสมอ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป ////////////
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญร่วมงานสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “การรับรองระบบ RDIMS เพื่อสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษี 200%” ……ฟรี!!!
ขอเชิญร่วมงานสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ "การรับรองระบบ RDIMS เพื่อสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษี 200%" ......ฟรี!!! . เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดและการประยุกต์ใช้ระบบ RDIMS ในองค์กร สำหรับผู้ประกอบการฯ ที่มีรายจ่ายเพื่อทำการวิจัยฯ ที่เข้าข่ายจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี . วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 เวลา 09.00 – 11.30 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Cisco Webex webinar กำหนดการ 09.00 - 09.10 น. กล่าวเปิดงาน โดย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. 09.10 - 09.30 น. บรรยาย เรื่อง “สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษี 200% ในรายจ่ายการวิจัยฯ” โดย... คุณพรศิริ ทองเปรม (รักษาการ) ผู้จัดการงานงานกระตุ้นการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน สวทช. 09.30 - 10.00 น. บรรยาย เรื่อง “ข้อกำหนดและการประยุกต์ใช้ระบบ RDIMS ในองค์กร” โดย... คุณวันเพ็ญ ดีพรม นักวิเคราะห์อาวุโส งานกระตุ้นการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน สวทช. 10.00 - 10.30 น. แบ่งปันประสบการณ์ “การเป็นที่ปรึกษาระบบ RDIMS ในองค์กร” โดย... คุณณัฐพล เอกไพศาล วิทยากรที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ 10.30 – 11.00 น. แจ้งข่าวเล่าเรื่อง “งบประมาณสนับสนุนสำหรับ SME ในการพัฒนาระบบ RDIMS ในองค์กร” โดย... เจ้าหน้าที่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 11.00 – 11.30 น. คลินิกให้คำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาระบบ RDIMS ในองค์กรแบบ One on One แก่ผู้ประกอบการ โดย ทีมงาน สวทช. (ลงทะเบียนล่วงหน้า รับจำนวนจำกัด) 11.30 น. ปิดงาน *** กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม *** พร้อมกิจกรรมพิเศษภายในงาน - งบประมาณสนับสนุนสำหรับ SMEs ในการพัฒนาระบบ RDIMS ในองค์กร จาก สสว. - คลินิกให้คำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาระบบ RDIMS ในองค์กร แบบ One on One รับจำนวนจำกัด! . สนใจลงทะเบียนได้ฟรีที่ https://www.nstda.or.th/r/fqk6w ผู้ลงทะเบียนจะได้รับลิงก์เข้าร่วมงานผ่านทางอีเมล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ifs-rdi@nstda.or.th, โทร. 0-2564-7000 ต่อ 1328 - 1332 และ 1631 - 1634
ปฏิทินกิจกรรม