ผลการค้นหา :
สภาผู้บริโภค – MTEC เปิดผลทดสอบ “หมวกกันน็อกยี่ห้อไหนได้มาตรฐาน”
สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดงานแถลงข่าว “เปิดผลทดสอบหมวกกันน็อก ยี่ห้อไหนได้มาตรฐาน” เป็นการนำเสนอผลโครงการ “การออกแบบ พัฒนาเกณฑ์ประเมิน และทดสอบหมวกนิรภัยรถจักรยานยนต์” โดยสุ่มเลือกซื้อตัวอย่างหมวกนิรภัยที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดจำนวน 25 รุ่นตัวอย่าง นำไปทดสอบมาตรฐานด้านต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ และผลจากการทดสอบปรากฏว่ามีหมวกนิรภัยผ่านการทดสอบมาตรฐาน 14 รุ่น และไม่ผ่านมาตรฐาน 11 รุ่น ประชาชนหรือผู้บริโภคสามารถเข้าไปดูผลการทดสอบของหมวกแต่ละรุ่นได้ที่ https://www.mtec.or.th/news-event/78861/
นอกจากนี้ แนะนำประชาชนหรือผู้ซื้อหมวกนิรภัย ให้สังเกตเครื่องหมาย มอก. ต้องมีคิวอาร์โค้ดควบคู่กัน ผู้ซื้อสามารถสแกนเข้าไปตรวจสอบมาตรฐานและข้อมูลการผลิตได้
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์(Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) ภาคเรียนที่ 2
ทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์
(Singapore University of Technology and Design : SUTD)
สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) ภาคเรียนที่ 2
*** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน ***
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 3 ทุน ใน 4 สาขาวิชาคือ (1) Engineering Product Development (EPD) (2) Engineering Systems and Design (ESD) (3) Information Systems Technology and Design (ISTD) และ (4) Science, Mathematics and Technology (SMT) โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 23 มิถุนายน 2566 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/sutd/ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
รายละเอียด
ทุนการศึกษา : ระดับปริญญาเอก ระยะเวลา ไม่เกิน 4 ปี
ได้รับการยกเว้นค่าลงทะเบียนเรียน
มหาวิทยาลัยสนับสนุนค่าใช้จ่ายเดือนละ 2,200 SGD,
และเพิ่มเป็นเดือนละ 2,700 SGD เมื่อสอบผ่าน Ph.D. Qualifying Exam (QE)
*** ไม่มีข้อผูกพันการชดใช้ทุน ***
จำนวนทุนการศึกษา: จำนวน 2 ทุน
หมดเขตรับสมัคร : วันที่ 23 มิถุนายน 2566
ประกาศรับสมัครดูได้ที่ : https://www.princess-it.org/th/scholarship/sutd/
สาขาที่เปิดรับสมัคร: ใน 4 สาขา ได้แก่
(1) Engineering Product Development (EPD) (2) Information Systems Technology and Design (ISTD) (3) Engineering Systems and Design (ESD) (4) Science, Mathematics and Technology (SMT)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจาก ‘เปลือกมะพร้าวและใบลิ้นจี่’ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งสู่ ‘ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองสามน้ำ’
จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นเมืองที่มีลักษณะโดดเด่นทางภูมิศาสตร์ในฐานะ ‘เมืองสามน้ำ’ คือมีทั้งระบบนิเวศน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย ในพื้นที่เดียวกัน กลายเป็นความสมบูรณ์ที่เอื้อต่อการทำประมงและการเกษตร ยิ่งเฉพาะ ‘มะพร้าว’ ถือว่าเป็นแหล่งปลูกขนาดใหญ่ และขึ้นชื่อว่ามีรสชาติหวานหอมเป็นอัตลักษณ์ หนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดสมุทรสงคราม ทว่าในช่วงภาวะผลผลิตราคาตกต่ำ เกษตรกรผู้ปลูกต้องประสบปัญหาภาวะขาดทุนอยู่ไม่น้อย
วิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอก ต.บางยี่รงค์ อ.บางคนที คือกลุ่มชาวบ้านที่มีอาชีพหลักดั้งเดิมคือการทำสวนมะพร้าว แต่ด้วยปัญหาความเดือดร้อนจากราคามะพร้าวผลที่ตกต่ำอย่างมาก ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาลุกขึ้นมารวมกลุ่มพัฒนาแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์ ‘น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น’ เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงปากท้อง
บุปผา ไวยเจริญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอก จ.สมุทรสงคราม เล่าว่า เดิมทีชาวบ้านปลูกมะพร้าวผลแก่ขาย แต่ในช่วงนั้นราคาขายตกต่ำมาก จากขายลูกละ 15 บาท เหลือลูกละ 3 บาท เกษตรกรแทบอยู่ไม่ได้เลย เพราะแค่การเก็บมะพร้าว ต้องมีรายจ่ายทั้งค่าสอย ค่าวางมะพร้าว และค่านำมะพร้าวขึ้นรถเข็น รายได้จากการขายมะพร้าวแทบไม่พอจ่ายค่าจ้างด้วยซ้ำ จึงคิดกันว่าจะเพิ่มมูลค่ามะพร้าวได้อย่างไร กระทั่งมีโอกาสไปดูงานการแปรรูปมะพร้าว ก็เลยได้แนวคิดการทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ซึ่งตอนนั้นมีการรวมกลุ่มเล็ก ๆ ช่วยกันทำในโรงเรือน เป็นสินค้าแปรรูปชิ้นแรก และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า
ทั้งนี้ในกระบวนการผลิตน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นจะมีเปลือกมะพร้าวเหลือทิ้งอยู่มาก แม้จะนำไปขายต่อให้เกษตรกรในพื้นที่นำไปใช้ปลูกต้นไม้ได้บ้าง แต่ก็ยังจำหน่ายได้ในราคาถูกและเหลือปริมาณมาก บุปผา จึงเกิดแนวคิดนำมาเป็นวัตถุดิบทำ ‘ผ้ามัดย้อมจากเปลือกมะพร้าว’ โดยอาศัยภูมิปัญญาดั้งเดิมผสานกับนวัตกรรมจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.)
“เราชอบผ้ามัดย้อมเป็นทุนเดิม เริ่มแรกลองใช้ความรู้ที่มี นำเปลือกมะพร้าวมาแช่น้ำ พอมีสีออกมา ก็ใช้ย้อมผ้า ปรากฏว่าผ้าติดสีไม่ค่อยดี สีไม่สม่ำเสมอ แถมพอซักแล้วสีซีดจางหรือไม่ก็หลุดหมดเลย ไม่ได้ผล ตอนนั้นจึงไปติดต่ออุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งทางหน่วยงานได้ช่วยประสานงานให้ทางสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เข้ามาช่วย ซึ่งทางทีมวิจัยลงพื้นที่มาสอนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเลย ให้ความรู้ตั้งแต่การเลือกผ้าว่าผ้าประเภทไหนติดสี การทำความสะอาดผ้าด้วยเทคโนโลยีเอนไซม์เอนอีซ ซึ่งช่วยทำความสะอาดและลอกแป้งออกจากผ้าในขั้นตอนเดียว แค่แช่ผ้าก็สะอาดหมดจดทำให้ติดสีได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ความรู้เรื่องเทคนิคและกระบวนการสกัดสี วิธีย้อมสีจากเปลือกมะพร้าว ทีมวิจัยสอนตั้งแต่การชั่ง ตวง วัด การผลิตสี การตรวจเช็คความเข้มสีก่อนย้อม การออกแบบลายมัดย้อม การพิมพ์สกรีนสีธรรมชาติ ตลอดจนถึงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วยนาโนเทคโนโลยี ซึ่งองค์ความรู้ทั้งหมดนี้ทำให้เราพัฒนาผ้ามัดย้อมสีเปลือกมะพร้าวที่มีคุณภาพและยังมีความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน”
ความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอกไม่ได้มีเพียงการยกระดับเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เปลือกมะพร้าวที่เป็นของเหลือทิ้งสู่สินค้าภูมิปัญญาที่แฝงด้วยนวัตกรรม แต่พวกเขายังนำองค์ความรู้มาขยายผลแก้ปัญหา ‘ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม’ ผลไม้ที่เป็น ‘สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ Geographical Indications : GI’ ของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งกำลังประสบปัญหา ‘ผลผลิตน้อย’
บุปผา เล่าว่า ปัญหาใหญ่ของลิ้นจี่พันธุ์ค่อมคือผลผลิตออกน้อยมากว่า 10 ปีแล้ว ตอนนี้มีผลผลิตไม่ถึง 20% เพราะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ เกษตรกรหลายคนตัดสินใจฟันต้นทิ้งและหันมาปลูกมะพร้าวน้ำหอมแทนเพราะไม่มีรายได้ น่าเสียดายว่าถ้าชาวบ้านตัดทิ้งหมด ต่อไปคนจะไม่รู้จักลิ้นจี่พันธุ์ค่อมของจังหวัดสมุทรสงคราม จึงปรึกษากับทาง สวทช. ทีมนักวิจัย จึงลองนำเอาใบลิ้นจี่มาผลิตสีดู ปรากฏว่าสีจากใบลิ้นจี่จะสว่างกว่าสีจากเปลือกมะพร้าว สีจากใบลิ้นจี่จะได้โทนส้ม น้ำตาลและเทา ส่วนสีจากเปลือกมะพร้าวจะได้สีโทนน้ำตาลเข้ม
“ทุกวันนี้ผ้ามัดย้อมสีเปลือกมะพร้าวและใบลิ้นจี่เป็นสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนที่ช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้คนในพื้นที่อย่างมาก จากแทนที่ปีหนึ่งเก็บลิ้นจี่ได้ปีละ 1 ครั้ง ตอนนี้เก็บใบมาทำผ้ามัดย้อมขายได้ทั้งปี ที่สำคัญทั้งใบลิ้นจี่ และเปลือกมะพร้าวเป็นทุนที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ จึงนำมาสกัดสีได้โดยไม่ต้องซื้อจากที่อื่น ทำให้ลดต้นทุน และเพิ่มรายได้คนในพื้นที่ประมาณ 15% อีกทั้งการนำของเหลือทิ้งมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ยังเป็นการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุด ดีต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน”
ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอก นำ ‘ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจากเปลือกมะพร้าวและใบลิ้นจี่’ มาต่อยอดตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า หมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า ผ้าผืน ฯลฯ เพื่อให้ตอบโจทย์ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย มีการจำหน่ายทั้งที่ร้านของวิสาหกิจฯ และส่งขายให้แก่ห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ด้าน ‘การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวและการทำผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ’ ให้แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจ นับเป็นหนึ่งใน ‘ต้นแบบการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG’ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มายกระดับวัตถุดิบในพื้นที่สู่ผลิตภัณฑ์สร้างอาชีพให้คนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
9 องค์กรผนึกกำลัง สร้าง “แพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยน สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/launch-of-battery-swapping-platform-field-testing.html
(วันที่ 24 พฤษภาคม 2566) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีเปิด “การทดสอบภาคสนามจากผลงานโครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย” พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.นิสัย เฟื่องเวโรจน์สกุล ผู้แทนผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และอนุกรรมการแผนงานกลุ่มระบบคมนาคมแห่งอนาคต ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สายงานกลยุทธ์องค์กร ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล หัวหน้าโครงการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ ลานจอดรถ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติ เป็นประธานในพิธีเปิดการทดสอบภาคสนามจากผลงานโครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นความสำเร็จของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จนเกิดผลงานที่ตอบโจทย์ภาคเอกชนและกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยมีจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมและมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ต้องมีความตระหนัก และต้องผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Roadmap 30@30) ที่ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์อย่างน้อย 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 โครงการนี้จะแสดงให้เห็นถึงการเกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ใช้คือภาคเอกชน โดยมีรัฐบาลผลักดัน และยังแสดงถึงการเพิ่มขีดความสามารถของการสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรภาคการผลิตไปพร้อมๆกัน ทั้งนี้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมและสนับสนุน จนมาถึงการทดสอบภาคสนาม ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาข้อกำหนดและระเบียบที่เกี่ยวข้องไปสู่เชิงพาณิชย์
“วันนี้เป็นบรรยากาศแห่งความสำเร็จ ที่เราจะได้เห็นอุตสาหกรรมรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าซึ่งมีอนาคตมาก ซึ่งประเทศไทยก็ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นจำนวนมาก ทั้งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างและมอเตอร์ไซค์สำหรับส่งของ โดยมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีโดยเฉพาะแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าฯ ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย อย่างไรก็ตามการจะก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วต้องขายความรู้ ขายวิทยาศาสตร์ ขายเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้ผลิตภาพสูงขึ้นและแข่งขันกับนานาประเทศได้ โดยใช้เวลา 1 ปีครึ่ง ทีมวิจัยและภาคเอกชน สามารถทำให้เกิดแพ็กแบตเตอรี่สำเร็จ และรัฐบาลพร้อมจะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ไปสู่ต่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ดีต่อไป กระทรวง อว. ควรถูกจัดให้เป็นกระทรวงเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้เร็วขึ้น ดังนั้นขั้นต่อไปคือการก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น โดยต้องขายของที่มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งออกสินค้าและเทคโนโลยีที่มีระดับสูงขึ้น หรือขายของอยู่บนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า พันธกิจของ สวทช. ที่มุ่งเน้นการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม สนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศทั้งในภาคเศรษฐกิจและสังคม สวทช. มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่แก้ข้อจำกัดของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน รวมถึงพัฒนานวัตกรรมที่รองรับกับสถานการณ์ในอนาคต เน้นให้เกิดการใช้ได้จริงและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับภาคอุตสาหกรรมและเป็นไปตามแนวทางเศรษฐกิจ ที่จะต้องต่อยอดจุดแข็งของประเทศที่มีอยู่ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จึงเป็นที่มาในการดำเนิน “โครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย” โครงการดังกล่าว มีสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เป็นผู้ให้ทุน และมีบริษัท เบต้า เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด บริษัท จีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และบริษัท กริดวิซ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ให้ทุนร่วม รวมทั้งดำเนินการวิจัยและพัฒนาร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การผนึกกำลังของทั้ง 9 หน่วยงาน ก่อให้เกิดการพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในไทยจนออกมาเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็คือแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย เกิดการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา และต่อยอดสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้ในอนาคต
สำหรับโครงการนี้เป็นโครงการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้นที่ต้องการผลักดันให้เกิดมาตรฐานเทคนิคกลางระหว่างแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ตู้ประจุไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทย ส่งเสริมให้ผู้ให้บริการด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และตู้ประจุไฟฟ้าในแต่ละราย สามารถดำเนินการระหว่างกันได้ผ่านมาตรฐานกลางที่วางไว้ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า สามารถสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการผลิต การถือครองมอเตอร์ไซค์ แพ็กและสถานีประจุไฟฟ้า มุ่งหวังว่าจะส่งผลให้เกิดการใช้งานยานยนต์ที่สะดวกอย่างแพร่หลายและเกิดอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตนเองได้ภายในประเทศ โดยในโครงการได้มีต้นแบบเกิดขึ้น คือ ต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยน 1 รุ่น ที่ใช้งานกับ ต้นแบบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่น 2 ยี่ห้อ และต้นแบบสถานีสับเปลี่ยน 3 สถานี ซึ่งติดตั้งสถานีชาร์จที่บริเวณหน้าศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ปั๊มน้ำมันบางจาก เอกมัย-รามอินทรา คู่ขนาน 4 กรุงเทพมหานคร และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี โดยจากนี้จะทดสอบต้นแบบทั้งหมดที่พัฒนาจากข้อกำหนดร่วมในสภาวะการใช้งานจริง เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับประเทศไทยต่อไป
#################
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
รมว.อว. ชื่นชมเยาวชนไทยสร้างชื่อเวทีระดับโลกในการแข่งขันประกวดโครงงานวิทย์ฯ REGENERON ISEF 2023
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2566 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดีพร้อมมอบโอวาทแก่คณะเยาวชนไทยที่คว้ารางวัลสร้างชื่อในเวทีโลกจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 ณ เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมี ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) นางสาวสตตกมล เกียรติพานิช ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 2 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รศ.ดร.ธณัฏฐ์คุณ มงคลอัศวรัตน์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมแสดงความยินดี ที่ห้องโถงนิทรรศการ อาคาร 12 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีและชื่นชมทีมเยาวชนทั้ง 14 ทีม ที่ได้รับรางวัลและไม่ได้รับรางวัล ที่สำคัญต้องขอแสดงความดีใจกับผลผลิตของกระทรวงศึกษาธิการกับเยาวชนเหล่านี้ โดยมีกระทรวง อว. ช่วยผลักดันให้เกิดขึ้น การแข่งขัน ISEF เปรียบเสมือนโอลิมปิกทางโครงงานวิทยาศาสตร์ในระดับเยาวชน และน่าตื่นเต้นที่เราประสบความสำเร็จสูงมาก สิ่งสำคัญคือเยาวชนเหล่านี้ไม่ได้ถูกคัดเลือกมาพิเศษหรือเพียงเพราะเรียนเก่ง แต่คือเยาวชนที่มีความชอบและหลงใหลในด้านวิทยาศาสตร์ที่สนใจศึกษาสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะด้านธรรมชาติวิทยา ซึ่งทุกโครงงานการศึกษาวิจัยของเยาวชน ชี้ให้เห็นว่าเยาวชนไทยเก่งและมีความสามารถไม่แพ้ชาติใด
“กระทรวง อว. ปรารถนาที่จะเห็นเยาวชนไทยเป็นนักวิทยาศาสตร์ เดินหน้าพัฒนาต่อไป อย่าทิ้งจิตวิญญาณ เพราะเชื่อว่าคนไทยเก่งและกระจายอยู่ทั่วประเทศ เรามีหน้าที่นำช้างเผือกที่เก่งเหล่านี้มาเป็นพลังของสังคม ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็น สมาคมวิทย์ฯ อพวช. สวทช. วช. และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่สนับสนุนเยาวชนในครั้งนี้ และขอให้ช่วยกันผลักดันและสนับสนุนกันต่อไป ” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า การแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 ณ เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเยาวชนระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดโดย Society for Science ในระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2566 ซึ่งมีเยาวชนกว่า 1,600 คน จาก 63 ประเทศจากทั่วโลก และมลรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมแข่งขันฯ กว่า 21 สาขาวิชา เช่น วิศวกรรมศาสตร์ พืชวิทยา สัตวศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม พลังงาน และการขนส่ง เป็นต้น โดยปีนี้ กระทรวง อว. ได้ส่งเยาวชนเข้าร่วมทั้งหมด 14 ทีม มาจาก 2 เวที ได้แก่ ค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2565 (Thai Young Scientist Festival, TYSF 2022) จำนวน 8 ทีม ภายใต้การสนับสนุนโดย NSM และสมาคมวิทยาศาสตร์ฯ และการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 (Young Scientist Competition, YSC 2023) จำนวน 6 ทีม โดย สวทช. และมหาวิทยาลัยพันธมิตร ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งปีนี้ทีมเยาวชนไทยสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยโดยคว้าสุดยอดรางวัลมาทั้งหมด 10 รางวัลด้วยกัน”
ข่าวประชาสัมพันธ์
ต้อนรับทีมเยาวชนจากเวทีประกวดโครงงานวิทย์ฯ ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 กลับถึงไทย
(23 พฤษภาคม 2566) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ :ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมต้อนรับและแสดงความยินดีกับทีมเยาวชนไทย ที่เดินทางไปสร้างชื่อเสียงจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 ณ เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จัดโดย Society for Science & the Public ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้และสนุกไปกับการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน รวมถึงส่งเสริมให้เยาวชนมีประสบการณ์จากการแข่งขันบนเวทีโลก ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่เป็นรากฐานและกำลังสำคัญในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อไปในอนาคต
ในปีนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ส่งเยาวชนเข้าร่วมทั้งหมด 14 ทีม มาจาก 2 เวที ได้แก่ ค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2566 (Thai Young Scientist Festival, TYSF 2023) ภายใต้การสนับสนุนโดย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 (Young Scientist Competition, YSC 2023) โดย สวทช. และมหาวิทยาลัยพันธมิตร ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ผลการประกวด ทีมเยาวชนไทยสามารถคว้ารางวัลได้ถึง 10 รางวัล โดยทีมเยาวชนไทยจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ สามารถคว้ารางวัลใหญ่ที่สุดของการประกวด คือ “รางวัลสุดยอดนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์” Regeneron Young Scientist Awards สนับสนุนโดย Regeneron and Society for Science เป็นรางวัลโครงงานนวัตกรรมการวิจัยที่สะท้อนถึงการทำงานอย่างจริงจังของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ในการหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายของโลกในอนาคต โดยใช้แนวที่สร้างสรรค์และแตกต่าง พร้อมด้วยรางวัล Grand Awards อันดับ 1 สาขาสัตวศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีทีมเยาวชนไทยที่สามารถคว้ารางวัล Grand Awards และSpecial Awards มาครอบครองอีกหลากหลายสาขา โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมผลการประกวดได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/regeneronisef2023-2/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
โครงการ Traffy Fondue คว้ารางวัลเกียรติยศ Thailand Green Design Awards 2023 ประเภทสร้างแรงบันดาลใจ ด้านคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม-ยกระดับคุณภาพชีวิต
(วันที่ 19 พฤษภาคม 2566): ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม นักวิจัยอาวุโส กลุ่มนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ารับรางวัลเกียรติยศ (Honorary Awards) ในฐานะผู้พัฒนา โครงการ Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ประเภทผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจ ด้านการคำนึงถึงการจัดการ ด้านกำจัดขยะ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจด้านการรักษา ด้านคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมการยกระดับคุณภาพชีวิต และด้านการตอบแทนทางสังคม (Social Contribution) ในการประกาศรางวัล Thailand Green Design Awards 2023
ทั้งนี้มีผู้แทนจาก 3 โครงการ ได้รับรางวัลประเภทเดียวกัน ได้แก่ 1. โครงการ วน โดย บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) 2. โครงการ Siam Piwat 360 Waste Journey to Zero waste โดย บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และ 3. โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์
สำหรับการประกวดนี้มีจุดเริ่มต้นจากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (KAPI) ภายใต้ความดูแลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มองเห็นปัญหาในการใช้ทรัพยากรและการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งหวังให้ “TGDA” เป็นเวทีการประกวดระดับประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และสร้างนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตอบรับกับสภาพสังคมปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ต่อไป
#################
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
แอร์สุดคลีน ลมสุดคูล ด้วยนวัตกรรมทำความสะอาดแอร์ “PAC Klean”
Tech: สุดคูล ! ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ “PAC Klean” ผลิตด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้งานง่าย ไม่ต้องเรียกช่างล้างแอร์บ่อย ช่วยย่อยสลายสิ่งสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสะสมของเชื้อโรค ลดการอุดตันของท่อน้ำทิ้ง คิดค้นและพัฒนาโดยผู้ประกอบการร่วมกับนักวิจัยไทย หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งจัดโดย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 40 หน่วยงาน
BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาโดยบริษัทแพค คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องทำน้ำร้อนและเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงานของไทย ร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 0 2347 0447 เว็บไซต์ : www.pac.co.th หรือเฟซบุ๊ก : facebook.com/PACSolutions
[caption id="attachment_43341" align="aligncenter" width="400"] อัจฉรา ปู่มี กรรมการผู้จัดการ บริษัทแพค คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด[/caption]
อัจฉรา ปู่มี กรรมการผู้จัดการ บริษัทแพค คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า บริษัทเริ่มต้นกิจกรรมจากการต่อยอดธุรกิจเครื่องปรับอากาศของครอบครัวมาสู่การพัฒนานวัตกรรมเครื่องทำน้ำร้อนจากเครื่องปรับอากาศ โดยดึงเอาความร้อนที่ถูกระบายทิ้งออกจากเครื่องคอมเพรสเซอร์มาแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อผลิตน้ำร้อนใช้ในสถานประกอบการ ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต สปา ร้านอาหาร และโครงการบ้านจัดสรร ต่อมาได้ต่อยอดขยายธุรกิจโดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เครื่องทำน้ำร้อนจากเครื่องปรับอากาศ เครื่องปรับอากาศผลิตน้ำร้อน เครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน เครื่องปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องปรับอุณหภูมิสระว่ายน้ำ
หลังจากพัฒนานวัตกรรมเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานแล้ว ก็เกิดความสนใจที่จะพัฒนานวัตกรรมสำหรับช่วยทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศด้วย โดยได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยนาโนเทค สวทช. จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ “PAC Klean” ที่ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดกลิ่นอับชื้น ลดการสะสมของเชื้อโรค ช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในห้อง ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่เป็นอันตรายกับจุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบบำบัดน้ำเสีย
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ PAC Klean คือผลิตด้วยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดสูง ช่วยย่อยสลายสิ่งสกปรก คราบฝุ่น คราบไขมันที่ติดอยู่กับแผงคอยล์เย็นให้กลายเป็นอนุภาคขนาดเล็ก เพื่อให้ง่ายต่อการล้างทำความสะอาดและถูกขจัดได้ด้วยน้ำ ช่วยป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย เชื้อรา ตะไคร่น้ำ และเมือกภายในถาดน้ำทิ้ง ลดการอุดตันของเครื่องปรับอากาศโดยไม่กัดกร่อนอุปกรณ์ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ประหยัดพลังงาน ช่วยยืดระยะเวลาในการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศครั้งใหญ่ และช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องปรับอากาศให้ยาวนานขึ้น
ผลิตภัณฑ์ PAC Klean ใช้งานง่าย สามารถใช้ทำความสะอาดได้ด้วยตนเอง และใช้ได้กับเครื่องปรับอากาศทุกชนิด ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ 3 รูปแบบ คือ ชนิดสเปรย์ ชนิดแผ่น และชนิดก้อน โดยชนิดสเปรย์และชนิดแผ่นเหมาะสำหรับเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่เป็นเครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง ส่วนชนิดก้อนเหมาะสำหรับการทำความสะอาดระบบทำความเย็นในเชิงพาณิชย์ เช่น เครื่องปรับอากาศแบบแขวนใต้ฝ้า แบบสี่ทิศทาง และแบบต่อท่อลม
เครื่องปรับอากาศขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูงมาก หากผู้ใช้งานดูแลรักษาและทำความสะอาดให้เครื่องปรับอากาศทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวเครื่อง แต่ยังช่วยลดภาระค่าไฟฟ้า รวมถึงช่วยอนุรักษ์พลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอีกทางหนึ่งในการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศในยุคที่อากาศเมืองไทยร้อนจัดเช่นทุกวันนี้
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
เด็กไทยผงาดคว้าชัยในเวทีการแข่งขันประกวดโครงงานวิทย์ฯ ระดับโลก REGENERON ISEF 2023
20 พฤษภาคม 2566 / ทีมเด็กไทยสร้างชื่อให้ประเทศไทย คว้ารางวัลสุดยอดนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Regeneron Young Scientist Awards รางวัลใหญ่เวทีโลก รับเงินรางวัลมูลค่ารวมมากกว่า 1.7 ล้านบาท พร้อมคว้าอันดับ 1 รางวัล Grand Award สาขาสัตวศาสตร์ ในเวทีการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 เฉือนคู่แข่งจาก 63 ประเทศ แถมทีมเยาวชนไทยคว้าอีก 8 รางวัลบนเวทีระดับโลก รวม 10 รางวัล มูลค่ารางวัลรวมทั้งสิ้น $ 66,500 ที่จัดขึ้นโดย Society for Science & the Public ณ เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำทีมเยาวชนไทยสร้างชื่อในเวทีโลกคว้าชัยจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 ณ เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดโดย Society for Science & the Public ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2566 โดยในปีนี้มีนักเรียนกว่า 1,600 คน จาก 63 ประเทศจากทั่วโลก และมลรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง กระทรวง อว. ได้ส่งเยาวชนเข้าร่วมทั้งหมด 14 ทีม มาจาก 2 เวที ได้แก่ ค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2566 (Thai Young Scientist Festival, TYSF 2023) ภายใต้การสนับสนุนโดย NSM และสมาคมวิทยาศาสตร์ฯ และการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 (Young Scientist Competition, YSC 2023) โดย สวทช. และมหาวิทยาลัยพันธมิตร ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ผลปรากฏว่า ทีมเยาวชนไทยจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ สมาชิกทีมประกอบด้วย นายปูรณ์ ตระกูลตั้งมั่น นายทีปกร แก้วอำดี และนายปัณณธร ศิริ และมีนายชนันท์ เกียรติสิริสาสน์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา สามารถคว้ารางวัลใหญ่ที่สุดของการประกวด คือ “รางวัลสุดยอดนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์” Regeneron Young Scientist Awards สนับสนุนโดย Regeneron and Society for Science ซึ่งถือเป็นรางวัลโครงงานนวัตกรรมการวิจัยที่สะท้อนถึงการทำงานอย่างจริงจังของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ในการหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายของโลกในอนาคต โดยใช้แนวที่สร้างสรรค์และแตกต่าง พร้อมทั้งได้รับเงินรางวัล $50,000 (มูลค่ามากกว่า 1.7 ล้านบาท) พร้อมคว้ารางวัล Grand Awards อันดับ 1 สาขาสัตวศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $5000 (มูลค่ามากกว่า 170,000 บาท) กับ โครงงาน “การเพิ่มอัตราการรอดของแมลงช้างปีกใส (Mallada basalis) จากพฤติกรรมการฟักและการเลือกกินอาหาร (Innovation for Optimizing Lacewing Survivability)” โดยการศึกษานี้สืบเนื่องมาจากแมลงช้างปีกใสเป็นแมลงตัวห้ำที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืชสูง แต่ปัญหาสำคัญที่ประสบคืออัตราการรอดต่ำอันเกิดจากอัตราการฟักไข่ต่ำและพฤติกรรมการกินเอง จึงได้ทำการศึกษาพฤติกรรมการฟักไข่และพฤติกรรมการเลือกกินอาหารเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างนวัตกรรมการฟักไข่แมลงช้างปีกใสซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการรอดของแมลงช้างปีกใสได้ถึง 5.8 เท่า โดยตัวแทนทีมอธิบายถึงเบื้องหลังโครงงานฯ ดังกล่าวว่า “การพัฒนาโครงงานเมลงช้างปีกใสนี้ ต้องขอขอบคุณเกษตรกรในไร่มันสำปะหลังที่ได้ให้การตอบรับอย่างดียิ่งในการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีผ่านการใช้บรรจุภัณฑ์การเพิ่มอัตรารอดของแมลงช้างปีกใสของพวกผม นอกจากนี้พวกผมมีความยินดียิ่งที่ได้ช่วยเหลือผู้ผลิตใบไม้อัดในการทำบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน และลดโอกาสการเกิดไฟป่าด้วยการนำเชื้อเพลิงที่เป็นเศษใบไม้มาสร้างบรรจุภัณฑ์ที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ที่สำคัญขอขอบพระคุณอาจารย์ รวมถึงบุคลากรของสมาคมวิทย์ฯ และ NSM เป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบโอกาสสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้” ซึ่งโครงงานนี้ได้รับคัดเลือกจากการประกวดในเวทีค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2565 (Thai Young Scientist Festival (TYSF)) ครั้งที่ 18
ทั้งนี้ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM กล่าวว่า “ปีนี้ NSM ร่วมกับ สมาคมวิทย์ฯ ได้ส่งตัวแทนทีมเยาวชนไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 8 ทีม จากเวทีค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2566 (Thai Young Scientist Festival, TYSF 2023) เข้าร่วมประกวดในครั้งนี้ ซึ่งปีนี้ผลงานของทีมเยาวชนไทยสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองได้สำเร็จด้วยผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ในครั้งนี้ ต้องขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับเยาวชนทุกคน ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กไทยเก่งไม่แพ้ชาติใด ขอขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ คว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาให้คนได้ชื่นชม และหวังว่าทุกผลงานจะนำไปต่อยอดในการพัฒนาและสร้างประโยชน์ในวงกว้างให้กับประเทศไทยต่อไปในอนาคต”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ตระหนักและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่อง สร้างขุมกำลังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างขุมกำลังในด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งเสริมและกระตุ้นให้เยาวชนหันมาสนใจและเพิ่มพูนทักษะทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ในระดับนักเรียน เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามนโยบายของกระทรวง อว. โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ผ่านการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition, YSC) ที่ สวทช. สนับสนุนตั้งแต่ปี 2542 โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 6 มหาวิทยาลัยเครือข่ายที่ร่วมเป็นศูนย์ประสานงานภูมิภาคของโครงการฯ จัดประกวดโครงงานในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั่วประเทศรวม 9 สาขา ให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 – 6 ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นนวัตกรรม ให้สังคมไทยเป็นสังคมฐานความรู้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
“การเข้าร่วมประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ หรือ Regeneron ISEF 2023 ถือเป็นเวทีที่มีความสำคัญด้านการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก เพื่อส่งเสริมความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และเป็นอีกหนึ่งเวทีการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้และสนุกไปกับการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน ซึ่งเด็กและเยาวชนของชาติเป็นบุคคลที่มีบทบาทและส่วนสำคัญอย่างยิ่ง การสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรากฐานและกำลังสำคัญในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการส่งเสริมให้เยาวชนมีประสบการณ์จากการแข่งขันบนเวทีโลกจะเป็นกุญแจสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนของประเทศ”
ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.ธนัฏฐ์คุณ มงคลอัศวรัตน์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวแสดงความยินดี “ขอแสดงความยินดีกับเยาวชนไทยทั้ง 14 ทีม ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในการแข่งขันโครงงานวิทย์ฯ ระดับโลกในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์อันมีค่าที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ในการแข่งขันในเวทีระดับโลก หวังว่าเยาวชนทุกคนจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้จากการประกวดในครั้งนี้ มาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ต่อไป”
นอกจากนี้ ยังมีทีมเยาวชนไทยที่สามารถคว้ารางวัล Grand Awards และSpecial Awards มาครอบครองอีกหลากหลายสาขา ได้แก่
1.โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย ได้รับรางวัล Grand Awards อันดับที่ 2 สาขาสัตวศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $2000 กับ โครงการวิธีการใหม่ในการตรวจสอบการติดเชื้อโรคเพบริน (Pebrine Disease Detection Using Silkworm Phototaxis) โดยมีสมาชิก คือ นายธนวิชญ์ น้ำใจดี, นายพณทรรศน์ ชัยประการ, นางสาวกัญญาริณทร์ ศรีวิชัย และนายเกียรติศักดิ์ อินราษฎร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
2.โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 2 สาขาวิทยาศาสตร์โลกและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม พร้อมเงินรางวัล $2,000 กับ การพัฒนานวัตกรรมซ่อมแซมป่าหลังเกิดไฟป่าเลียนแบบโครงสร้างของผลน้อยหน่าเครือ (Kadsura coccinea) (A Novel Seed Delivery System for Effective Reforestation) โดยมีสมาชิก คือนายจิรพนธ์ เส็งหนองแบน, นายนฤพัฒน์ ยาใจ, นายพรหมพิริยะ ขัตติยวงษ์ และนายขุนทอง คล้ายทอง เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
3.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ ได้รับรางวัล Grand Awards อันดับที่ 3 สาขาสัตวศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $1000 กับ โครงงาน “วิธีการยั่งยืนในการควบคุมปัญหาการเป็นศัตรูพืชของหนอนด้วงสาคู” (Approach to Control Red Palm Weevil Pests) นอกจากนี้โครงการนี้ยังได้รับรางวัล Special Award อันดับที่ 2 จากหน่วยงาน : U.S. Agency for International Development (USAID) ในสาขา Agriculture and Food Security ได้รับเงินรางวัล $3000 อีกด้วย โดยมีสมาชิก คือ นายสัญพัชญ์ อัครจีราวัฒน์, นายธนัตถ์กรณ์ เชาวนสมิทธิ์ และนางสาววนิดา ภู่เอี่ยม เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
4.โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 3 สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $1000 กับ โครงงานการศึกษาแบบจำลองผลของสนามแม่เหล็กต่อพายุทรงหลายเหลี่ยมบนดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์โดยหลักความไม่เสถียรเชิงอุทกพลศาสตร์ (Study of Polygonal Cyclones on Jupiter and Saturn) โดยมีสมาชิก คือ นางสาวจินต์จุฑา ปริปุรณะ, นายปวริศ พานิชกุล, นางสาวอมาดา ภานุมนต์วาที และดร.ปริญญา ศิริมาจันทร์ และนายศรัณย์ นวลจีน เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
5.โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 4 สาขาชีววิทยาเชิงคำนวณและชีวสารสนเทศศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $500 กับ โครงการ PROSynMOGN: การปรับปรุง Graph Neural Networks สำหรับโมเลกุลเพื่อทำนายการเสริมฤทธิ์ของยาคู่ผสมสำหรับรักษาโรคมะเร็งที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลการแสดงออกของโปรตีน โดยมีสมาชิก คือ นายติสรณ์ ณ พัทลุง, นายเมธิน โฆษิตชุติมา, นายกิตติพัศ พงศ์อรุโณทัย และดร.ธนศานต์ นิลสุ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และนายบัณฑิต บุญยฤทธิ์ สถาบันวิทยสิริเมธี เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
6.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 4 สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ปริวรรต พร้อมเงินรางวัล $500 กับ โครงงาน ออร่า “ผู้ช่วยป้องกัน ชะลอ และฟื้นฟูข้อเสื่อม” (O-RA: Osteoarthritis Rehabilitation Assistant) นอกจากนี้โครงการนี้ยังได้รับรางวัล Special Award อันดับที่ 1 จากหน่วยงาน : Sigma Xi, The Scientific Research Honor Society ในสาขา: Life Sciences Discipline ได้รับเงินรางวัล $1,500 อีกด้วย โดยมีสมาชิก คือ นางสาวนภัสชล อินทะพันธุ์, นายแก้วกล้า สร้อยกาบแก้ว, นายกฤตภาส ตระกูลพัว และนายกฤติพงศ์ วชิรางกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
ขอแสดงความยินดีกับน้องๆ เยาวชนไทยและอาจารย์ที่ปรึกษาทุกท่านที่ได้แสดงศักยภาพและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอีกครั้ง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สำนักงานสถิติฯ และ สวทช. เปิดเวทีนำเสนอผลการศึกษาทางสถิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้! สัญญาณบวกการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
(19 พ.ค. 66) กรุงเทพฯ - สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในฐานะหัวหน้าที่ปรึกษาโครงการฯ จัดเวทีนำเสนอผลการศึกษา “โครงการบูรณาการเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาสถิติทางการ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG” ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหาร BCG เพื่อติดตามผลดำเนินงานในประเด็นโมเดล BCG ต่อการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ทั้งในระดับประเทศและใน 2 จังหวัดนำร่อง (จันทบุรี และราชบุรี) ผลศึกษาพบเศรษฐกิจ BCG เปรียบเทียบทั้ง 2 จังหวัดมีทิศทางการพัฒนาที่ดีขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ลดลง
โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวง อว. ในฐานะผู้วางหลักการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ BCG ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม หรือ BCG in action ให้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ BCG Economy Model : ความหวัง โอกาส และความท้าทาย
ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการบูรณาการเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาสถิติทางการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่ติดตามข้อมูล ผลลัพธ์ของการดำเนินงานตามแผน BCG ต่อการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของ SDG ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจึงได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินโครงการฯ เพื่อจัดทำ (ร่าง) บัญชีสถิติทางการประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยการติดตามผลการดำเนินงานโครงการฯ มี 2 ระดับ คือ
1) ระดับประเทศ พบว่า ภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทยปรับลดลง จาก 3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2561 เหลือ 2.6 ล้านล้านบาท ในปี 2564 คนไทย 8.5 ล้านคนมีฐานะดีขึ้นเมื่อพิจารณาจากรายได้ต่อหัวที่สูงกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ระหว่างปี 2562 - 2564 และความเหลื่อมล้ำลดลง โดยความแตกต่างระหว่างค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของกลุ่มประชากรที่มีฐานะเศรษฐกิจสูงสุด (10%) ต่อรายจ่าย ต่อคนต่อเดือนของกลุ่มที่มีฐานะต่ำสุด (40%) ปรับลดลงจาก 6.15 เท่าในปี 2560 เหลือ 5.68 เท่าในปี 2564 จำนวนผู้ที่ได้รับการพัฒนาทักษะ BCG สะสม ปี 2564 - 2565 รวมกันกว่า 6 แสนคน อย่างไรก็ตาม ยังพบประเด็นที่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมายซึ่งจำเป็นต้องเร่งพัฒนา ได้แก่ การลดใช้ทรัพยากร การเพิ่มพื้นที่ป่า การลดการนำเข้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพ
2) ระดับจังหวัด (2 จังหวัดนำร่อง) พบว่า จังหวัดจันทบุรีมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG สูงถึง 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (Gross Provincial Product: GPP) และจังหวัดราชบุรีมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG ประมาณ 30% ของ GPP ในภาพรวมทั้งสองจังหวัดมีทิศทางการพัฒนาที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่สำคัญและต้องพัฒนาเพิ่มเติม ได้แก่ ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะน้ำ
สำหรับการพัฒนาสินค้าเป้าหมายที่กำหนดโดยคณะกรรมการขับเคลื่อน BCG Model ของจังหวัด ประกอบไปด้วย สินค้าเป้าหมายของจังหวัดราชบุรี ได้แก่ มะพร้าวน้ำหอม ทุเรียน มันสำปะหลัง สุกร และกุ้งก้ามกราม และสินค้าเป้าหมายของจังหวัดจันทบุรี ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และกุ้งขาว พบว่า สินค้าเป้าหมายของทั้งสองจังหวัดมีจุดเด่นที่คล้ายคลึงกัน คือเป็นสินค้าที่มีสัดส่วนสูงต่อผลิตภัณฑ์จังหวัด เช่น ทุเรียนมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GPP ภาคเกษตร อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำคัญคือ การพึ่งพาตลาดส่งออกโดยเฉพาะจีนที่อาจมีความผันผวนของราคาเหมือนกรณียางพารา รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อเป้าหมาย Zero Waste เช่น ทุเรียนมีสัดส่วนเปลือกสูงถึง 75% ของน้ำหนักผลสด ซึ่งส่วนนี้ต้องการนวัตกรรมมาแก้ปัญหา หรือการบริหารจัดการน้ำที่ต้องพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้การบริหารจัดการปริมาณน้ำ ป้องกันปัญหาการแย่งชิงน้ำในช่วงฤดูแล้ง
ด้าน ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยไบโอเทคมีการดำเนินการภายใต้แนวคิดหลักของจตุภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน ตัวอย่างเช่น การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตรแบบบูรณาการเชิงพื้นที่ (Area based) ในพื้นที่นำร่องจังหวัดราชบุรี ด้วยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้เพื่อการยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับมะพร้าวน้ำหอมซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัด มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและใช้สารชีวภัณฑ์เพื่อการผลิตอาหารที่ปลอดภัย การพัฒนาวัคซีนเพื่อแก้ปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกา มีความร่วมมือในการดำเนินงานกับกรมประมงและมหาวิทยาลัยบูรพาในการพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงกุ้งทะเลให้เกิดความยั่งยืน
นอกจากนี้ ไบโอเทคยังมีการดำเนินงานในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยข้าวเหนียวตาม BCG Model ในลักษณะการทำงานครบวงจรทั้งการเพิ่มผลผลิตข้าว การแปรรูปข้าว รวมถึงการใช้ประโยชน์ฟางข้าว การสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตทางการเกษตรรวมถึงเศษวัสดุทางการเกษตรที่มีอยู่มาก พัฒนาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่มีความเป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม ขณะที่ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหาร ไบโอเทคได้เน้นการพัฒนาอาหารเพื่ออนาคต เช่น โปรตีนทางเลือก ตลอดจนยังร่วมมือกับมูลนิธิ Scholars of Sustenance Foundation (SOS Thailand) ในการพัฒนาธนาคารเพื่อส่งมอบอาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มผู้เปราะบางด้วย
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. CSIRO จับมือผู้ประกอบการร่วมแก้ปัญหาขยะพลาสติก เพื่อลดมลพิษในแม่น้ำและทางทะเล ภายใต้โครงการพันธมิตรนวัตกรรมพลาสติกลุ่มน้ำโขง ระหว่างไทยและออสเตรเลีย
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-csiro-team-up-in-mekong-plastics-innovation-alliance-between-thailand-and-australia.html
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2566 ณ ทําเนียบเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจําประเทศไทย: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พร้อมด้วยผู้แทน สวทช. เข้าร่วมงานเปิดโครงการพันธมิตรนวัตกรรมพลาสติกลุ่มน้ำโขงระหว่างไทยและออสเตรเลีย จัดโดย สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย และมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้แทนจาก สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย สำนักงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติของออสเตรเลีย (CSIRO) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และผู้แทนจากบริษัทผู้ประกอบกิจการด้านพลาสติก
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ในปัจจุบันขยะพลาสติกเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เร่งด่วนที่สุด ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็ต้องเผชิญกับปัญหาและความท้าทายในการจัดการขยะพลาสติกเช่นเดียวกัน ซึ่งความท้าทายนี้ก็จะพบว่ามีโอกาสในการพัฒนาและปรับเปลี่ยนนวัตกรรมอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความร่วมมือ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จ โดยความร่วมมือนี้ไม่จำกัดเพียงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมก็มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเช่นกัน เพื่อเปลี่ยนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ผ่านการทำงานร่วมกัน ซึ่งโครงการพันธมิตรนวัตกรรมพลาสติกลุ่มน้ำโขงระหว่างไทยและออสเตรเลียนี้ จะเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการสร้างขีดความสามารถ เพื่อสนับสนุนการแปลงความคิดที่ก้าวล้ำไปสู่แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่สามารถใช้งานได้จริง สวทช. มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในทำงานร่วมกัน นำไปสู่การสร้างอนาคตที่มีความยั่งยืนต่อไป
ดร. แองเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย กล่าวว่า ภาคภูมิใจที่ได้เปิดตัวโครงการความร่วมมือนวัตกรรมพลาสติกในลุ่มน้ำโขง ระหว่างไทยและออสเตรเลียครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรนี้ จะรวบรวมความรู้ในท้องถิ่น ทรัพยากรจากภาคเอกชน และความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ เพื่อขับเร่งและขยายวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้นวัตกรรม เพื่อจัดการกับมลพิษพลาสติกในทางน้ำ สำนักงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติของออสเตรเลีย (CSIRO) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ของประเทศไทย จะร่วมมือกับผู้ประกอบการในการระบุแนวทางใหม่เพื่อลดมลพิษในแม่น้ำและทางทะเล เสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัย และสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในประเด็นดังกล่าว
อมิเลีย ไฟฟิลด์ ที่ปรึกษาและผู้อำนวยการ CSIRO ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า การเปิดตัวพันธมิตรในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางแบบองค์รวมและครอบคลุมมากขึ้น ในการจัดการกับขยะพลาสติกในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจการหยุดขยะพลาสติก (Ending Plastic Waste) ของ CSIRO ซึ่งมีเป้าหมายที่ 80 ต่อร้อยละของขยะพลาสติกที่เข้าสู่สิ่งแวดล้อมภายในปี 2573 การสนับสนุนนวัตกร (innovator) ในการแปลงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้กลายเป็นวิธีแก้ปัญหาที่สอดรับกับโลกความเป็นจริงนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาระดับโลก เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้ทำงานร่วมกับกลุ่มพันธมิตรของเราในการฝึกอบรมผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ในภูมิภาค "เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกัน เนื่องจากปัญหาของพลาสติกนั้นเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าประเทศใดประเทศหนึ่งต้องรับมือด้วยตนเอง แนวทางและความร่วมมือกันในระดับภูมิภาคเท่านั้นที่จะทำให้เราสร้างความก้าวหน้าในการยุติขยะพลาสติกได้อย่างแท้จริง"
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT)หนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โชว์ โปรแกรม “วิเคราะห์เลือกคู่ผสมสัตว์” ลดเสี่ยงสูญพันธุ์ นำร่องอนุรักษ์ “ละมั่งพันธุ์ไทย”
วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ทีมวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. เปิดบ้านให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ พร้อมสัมภาษณ์พิเศษในกิจกรรม NSTDA Meets the Press
เพื่อโชว์ศักยภาพให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และเนื่องในโอกาสวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Day of Biological Diversity) ซึ่งตรงกับวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อรำลึกถึงวันที่อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (เริ่มมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2535) ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ประชาคมโลกเกิดความตระหนักและส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของ สวทช. ที่มุ่งเป้าขับเคลื่อนให้เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐและเอกชน ชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญนำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด จึงเกิดการจัดตั้ง ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ขึ้นในปี 2562 เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ ในการสนับสนุนการดำเนินงานอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว ภายใต้การบริหารจัดการของ สวทช.
เพื่อเป็นคลังสำรองให้แก่ประเทศ รวมถึงสนับสนุนการใช้ข้อมูลชีวภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านการดำเนินงานร่วมกันของนักวิจัยจาก 3 ธนาคาร คือ ธนาคารพืช (Plant bank) ธนาคารจุลินทรีย์ (Microbe bank) และธนาคารข้อมูลชีวภาพ (Data bank) โดยเป้าหมายสำคัญของ NBT ในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ คือ การสนับสนุนการจัดเก็บสิ่งมีชีวิตนอกสภาพธรรมชาติแบบระยะยาวด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเตรียมพร้อมฟื้นคืนทรัพยากรชีวภาพให้แก่ประเทศในยามที่เกิดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติหรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มากเกินพอดี เพื่อเป็นฐานที่สำคัญของการพัฒนาตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการเตรียมพร้อมรับมือสภาวะวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่นำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรชีวภาพอย่างถาวรในธรรมชาติ
ทั้งนี้ NBT ดำเนินงานจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพผ่าน 2 ธนาคาร คือ ธนาคารพืชและธนาคารจุลินทรีย์ ธนาคารพืชมีภารกิจด้านการเก็บอนุรักษ์พันธุกรรมพืชของประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับพืชถิ่นเดียว พืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และพืชที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ส่วนธนาคารจุลินทรีย์มีภารกิจด้านการเก็บสำรองจุลินทรีย์ที่มีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์และเป็นแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ
“NBT มีองค์ความรู้ของนักวิจัยเฉพาะทางและมีความพร้อมด้านเครื่องมือสำหรับจัดเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพในรูปแบบคงสภาพหรือคงความมีชีวิตที่อุณหภูมิเยือกแข็งถึง 3 ระดับ ระดับ -20 องศาเซลเซียส ใช้สำหรับจัดเก็บเมล็ดพันธุ์พืชที่บรรจุในหลอดขนาด 25 มิลลิลิตร จัดเก็บได้ 100,000 หลอด ส่วนอุณหภูมิระดับ -80 องศาเซลเซียส ใช้สำหรับจัดเก็บจุลินทรีย์และตัวอย่างชีววัสดุอื่น ๆ ที่บรรจุในหลอดขนาด 2.5 มิลลิลิตร จัดเก็บได้ 300,000 หลอด นอกจากนี้ยังมีถังไนโตรเจนเหลวขนาด 1,770 ลิตร สำหรับจัดเก็บตัวอย่างเซลล์สิ่งมีชีวิตในสภาวะเย็นยิ่งยวดที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส หัวใจสำคัญในการอนุรักษ์พันธุกรรมสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด คือ “ความสามารถในการมีชีวิตรอดหลังการจัดเก็บในธนาคาร” เพื่อให้มั่นใจว่าจะนำสิ่งมีชีวิตเหล่านี้กลับมาใช้ฟื้นฟูทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศให้คงความสมบูรณ์ต่อไปได้ในอนาคต”
พัฒนา “โปรแกรมการเลือกคู่” ฟื้นฟูประชากร “ละมั่งไทย”
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ NBT ยังมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) และความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จึงพัฒนาโปรแกรมช่วย “วิเคราะห์เลือกคู่ผสมพันธุ์สัตว์” หนุนลดอัตราเสี่ยงการสูญพันธุ์จากปัญหาโรคทางพันธุกรรม โดยเริ่มเดินหน้าสนับสนุนการอนุรักษ์ “ละมั่งพันธุ์ไทย” แล้ว
“ในอดีตละมั่งเคยมีสถานภาพสูญพันธุ์ไปจากป่าธรรมชาติของประเทศไทยแล้ว แต่ด้วยการเพาะเลี้ยงและนำปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติได้สำเร็จ ประกอบกับการเลี้ยงละมั่งในกรงเลี้ยงโดยการดูแลของหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมอุทยาน องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทำให้ปัจจุบันในไทยยังคงมีละมั่งทั้งพันธุ์ไทย และลูกผสมพันธุ์ไทยและพันธุ์เมียนมา อาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนประชากรละมั่งพันธุ์ไทยที่เหลือน้อยในระดับวิกฤต ผู้ดูแลจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเรื่องการผสมพันธุ์ เพื่อไม่ให้เกิดการผสมในเครือญาติใกล้ชิด หรือเลือดชิด (Inbreeding) เพราะจะเป็นการเสี่ยงต่อการจับเข้าคู่ของยีนด้อย ซึ่งจะทำให้ละมั่งอ่อนแอลงและมีแนวโน้มสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการฟื้นฟูประชากรละมั่งพันธุ์ไทยให้กลับมามีสถานภาพปกติอีกครั้ง คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับบทบาทสำคัญในการทำวิจัยเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ละมั่งพันธุ์ไทยที่อยู่ในการดูแลของหน่วยงานด้านการอนุรักษ์ โดยร่วมมือกับศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center: NOC) สวทช. ในการถอดรหัสพันธุกรรมของละมั่งในประเทศ และร่วมกับทีมวิจัยจากธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand) พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับนำข้อมูลรหัสพันธุกรรมของละมั่งมาวิเคราะห์เลือกคู่ผสมพันธุ์จากความห่างของสายพันธุกรรม
One for All “ขยายผลแพลตฟอร์ม” อนุรักษ์ “สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์”
ดร.พงศกร วังคำแหง นักวิจัยธนาคารข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ NBT สวทช. อธิบายถึงกลไกการทำงานของโปรแกรมว่า เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวสารสนเทศในการวิเคราะห์จับคู่รหัสพันธุกรรม (Genotype) ของสิ่งมีชีวิตประมาณ 30,000 ตำแหน่ง แบบเมทริกซ์ (Matrix) หรือการจับคู่ผสมพันธุ์แบบพบกันทุกตัว เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของรหัสพันธุกรรม เพื่อใช้คัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่มีรหัสพันธุกรรมแตกต่างกันมากที่สุด ซึ่งจะช่วยป้องกันการผสมในเครือญาติใกล้ชิดได้ โดยโปรแกรมนี้จะแสดงผลข้อมูลการจับคู่ให้เห็นเป็นเฉดสีจากสีอ่อนไปเข้ม หรือจากความแตกต่างทางพันธุกรรมมากไปถึงความแตกต่างทางพันธุกรรมน้อย เพื่อให้ผู้ดำเนินงานด้านการขยายพันธุ์นำผลการวิเคราะห์ไปใช้ประโยชน์ต่อสะดวก ซึ่งปัจจุบัน NBT ได้พัฒนาโปรแกรมจนเสร็จสิ้นและส่งมอบชุดข้อมูลผลวิเคราะห์การจับคู่ละมั่งพันธุ์ไทยในประเทศให้แก่ผู้ดำเนินงานด้านการผสมพันธุ์เรียบร้อยแล้ว และมีแผนการที่จะใช้สนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ชนิดอื่น ๆ อาทิ พญาแร้ง เก้งหม้อ ในอนาคตด้วย
“ทั้งนี้นอกจากการวิเคราะห์ความห่างของรหัสพันธุกรรมแล้ว โปรแกรมที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นนี้ยังสามารถตอบโจทย์การดำเนินงานด้านอนุรักษ์ได้อีก 2 ด้าน ด้านแรกคือ “การวิเคราะห์สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตว่าเป็นพันธุ์แท้หรือลูกผสม” สำหรับใช้ยืนยันจำนวนประชากรและวางแผนการอนุรักษ์ตามสายพันธุ์ และด้านที่สองคือ “การสืบย้อนหาเครือญาติของสิ่งมีชีวิต” ซึ่งแพลตฟอร์มนี้สามารถวิเคราะห์ความเชื่อมโยงได้ถึง 3 รุ่น (Generations) ข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลสายพันธุกรรม (Pedigree) และการสังเกตลักษณะเด่นและด้อยที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่น (ที่ปรากฏให้เห็น) เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการวางแผนผสมพันธุ์รุ่นต่อไป”
หลังจากนี้ NBT มีแผนดำเนินงานร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโปรแกรมเข้าสู่ระบบขององค์การสวนสัตว์ฯ เพื่อเปิดให้ผู้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และการผสมพันธุ์สัตว์ในประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมร่วมกันต่อไปในอนาคต ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโปรแกรมนี้จะไม่เพียงมีส่วนสนับสนุนงานด้านการอนุรักษ์ในไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานให้แก่หน่วยงานในประเทศอื่น ๆ ได้ด้วย พร้อมกันนี้ NBT ยังเตรียมจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของสัตว์ในการดูแลขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ เพื่อสำรองไว้ใช้ในการฟื้นคืนความหลากหลายในอนาคตหากต้องเผชิญสถานการณ์วิกฤติด้วย” ดร.พงศกร กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ด้วยความพร้อมทางด้านบุคลากร งานวิจัย และโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน NBT พร้อมดำเนินงานส่งเสริมหน่วยงานที่มีบทบาทด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรที่มีค่าและใช้ข้อมูลชีวภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจชีวภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT ได้ที่ www.nationalbiobank.in.th หรือติดต่อสอบถามความร่วมมือด้านงานวิจัยได้ที่อีเมล nbt.pr@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์


