ผลการค้นหา :

สวทช. เพิ่มศักยภาพหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ จัดกิจกรรมอบรมติดอาวุธ Incubator ภายใต้โครงการยกระดับ ขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประจำปี พ.ศ.2564 หรือ Maturity Model for Business Incubator
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดการกิจกรรมอบรมติดอาวุธ Incubator ภายใต้โครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประจำปี พ.ศ.2564 หรือ Maturity Model for Business Incubator เพื่อเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา พร้อมกับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม คณะทำงานเพื่อส่งเสริมการบ่มเพาะวิสาหกิจเริ่มต้น
โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโมเดลการส่งเสริมการดำเนินงานของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ (Maturity Model) อย่างเป็นระบบและมีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากลจากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างกระบวนการบ่มเพาะธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายการส่งเสริมผู้ประกอบการที่ดำเนินการธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ เชื่อมโยงและบูรณาการความร่วมมือภายใต้บริบทของระบบนิเวศนวัตกรรมของท้องถิ่น-ภูมิภาค-ประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับหน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประจำปี พ.ศ.2564 ได้แก่
อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเกษตรและอาหาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
สำนักบ่มเพาะวิชาการเพื่อวิสาหกิจในชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณ
อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ทั้งนี้ยังได้วิทยากรระดับแนวหน้ามาร่วมบรรยาย อาทิ นายสิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม CEO และ Founder of RGB72 / CREATIVE TALK นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด นายสายัณห์ ไวรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอดีเอ็มคอนซัลติ้ง จำกัด
นางกานต์ณัฐชา คณีกุล และ นางสุนัดดา สุจริต Assistant Vice President-LiVE พร้อมด้วยการนำผู้ที่อบรมได้เข้าร่วมดูงานในบริษัท และเยี่ยมชม INVESTORY พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่าโลกในยุคปัจจุบันกำลังเคลื่อนเข้าสู่มิติใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในทุกด้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจ จึงจำเป็นต้องมีการยกระดับปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สามารถส่งเสริมผู้ประกอบการในระดับต่าง ๆ ให้สามารถไปสู่ธุรกิจที่สร้างคุณค่า (Value-Based Business) และมีการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven) เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ ในการสร้างความเติบโตและความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าด้วย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ให้สามารถต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม COVID 19 ก็เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย ที่ต้องการความช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุน ซึ่งหน่วยบ่มเพาะธุรกิจตอบโจทย์ได้
ในการบ่มเพาะธุรกิจ ต้องอาศัยความรู้หลากหลายมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยี การตลาด การเงิน และการบริหารจัดการธุรกิจ ผนวกรวมเข้ากับการเชื่อมโยงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อผลักดันธุรกิจนวัตกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในภาพรวมได้ ซึ่งข้อมูลจากที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญพบว่าผู้ประกอบการที่ได้รับการบ่มเพาะธุรกิจนั้น มีอัตราการอยู่รอด และเติบโตมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการบ่มเพาะถึงร้อยละ 30
ผอ.ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า นับเป็นปีที่ 4 แล้ว ที่ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. ได้ดำเนินโครงการนี้ โดย 2 ปีแรกได้ประเมินหน่วยบ่มเพาะธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของสำนักเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) ไปแล้วจำนวน 13 แห่ง และในปีที่แล้วกับปีนี้ สวทช. ได้ร่วมกับสำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในการประเมินหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา จำนวน 10 แห่ง โดยได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจแต่ละแห่ง แล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกับ Creeda ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงด้านบ่มเพาะธุรกิจระดับโลกมีประสบการณ์กว่า 35 ปี เป็นที่ปรึกษามามากกว่า 50 ประเทศ จนทราบถึงสถานภาพปัจจุบันของแต่ละหน่วยแล้ว จึงได้ดำเนินการเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์เพื่อประเมินหน่วยบ่มเพาะ ด้วยมาตรฐานสากล 76 best practice
นอกจากการเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์เพื่อประเมินหน่วยบ่มเพาะ UBI แล้ว โครงการฯ ยังได้ดำเนินการจัดกิจกรรม Capability building ให้กับหน่วยบ่มเพาะ โดยนำผลการประเมิน และข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญนำไปใช้ยกระดับขีดความสามารถของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจด้วยการประยุกต์ใช้ Maturity Model ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประกาศเปิดรับสมัคร การอบรม ผ่านระบบ Zoom Meeting หลักสูตรการสร้างและบริหารผลิตภาพเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ(Productivity Management Course : PMC)”ฝ่าวิกฤติอุตสาหกรรม ด้วยองค์กรผลิตภาพ”
ประกาศเปิดรับสมัคร การอบรม ผ่านระบบ Zoom Meeting
🎯หลักสูตรการสร้างและบริหารผลิตภาพเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ(Productivity Management Course : PMC)"ฝ่าวิกฤติอุตสาหกรรม ด้วยองค์กรผลิตภาพ"
📌📌กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ สมัครเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตรการสร้างและบริหารผลิตภาพเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ(Productivity Management Course : PMC)"ฝ่าวิกฤติอุตสาหกรรม ด้วยองค์กรผลิตภาพ"
📆ระหว่างวันที่ 27 - 28 กันยายน 2565
⏰⏰เวลา 09.00-16.00 น. สามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
☎️☎️สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.career4future.com/pmc
หรือ (คุณทศวัชร์) โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81905
โทรศัพท์มือถือ : 08 7114 6806
โทรสาร : 0 2644 8110
E-MAIL : bas@nstda.or.th
หมายเหตุ: ค่าลงทะเบียนเพียงท่านละ 5,500 บาท
ปฏิทินกิจกรรม

ประกาศเปิดรับสมัคร การฝึกอบรม หลักสูตรการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหลักการและเหตุผล (Root Cause Analysis on Development of Sustainable Business : RCA)
ประกาศเปิดรับสมัคร การฝึกอบรม หลักสูตรการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหลักการและเหตุผล (Root Cause Analysis on Development of Sustainable Business : RCA)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) จัดอบรมหลักสูตรการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหลักการและเหตุผล (Root Cause Analysis on Development of Sustainable Business : RCA) (ภาคปฏิบัติ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง และผู้สนใจ ได้ฝึกปฏิบัติจากสถานการณ์สมมติ และนำเอากรณีปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในธุรกิจของผู้เข้าร่วม สัมมนา มาฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาอย่างถึงรากถึงโคน เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำจากสาเหตุเดิมอีกต่อไป
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ สมัครเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตรการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหลักการและเหตุผล (Root Cause Analysis on Development of Sustainable Business : RCA) (ภาคปฏิบัติ) ระหว่างวันที่ 13 - 14 กันยายน 2565 เวลา 09.00-16.00 น. สามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.career4future.com/rca หรือ (คุณทศวัชร์) เบอร์โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81905 โทรศัพท์มือถือ : 08 7114 6806 โทรสาร : 0 2644 8110 E-MAIL : bas@nstda.or.th
หมายเหตุ::ค่าลงทะเบียนเพียนท่านละ 12,000 บาท
โปรโมชั่นพิเศษ!! รับส่วนลด 10% เมื่อลงทะเบียน 2 ท่านขึ้นไปจากหน่วยงานเดียวกัน จ่ายเพียงท่านละ 10,800 บาท
ปฏิทินกิจกรรม

น้ำมันงาขี้ม้อนเติมนวัตกรรมนาโน ส่งต่อเอกชนบุกตลาดเพื่อสุขภาพ
For English-version news, please visit : Nanoemulsion boosts bioavailability of active ingredients in perilla seed oil
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาระบบนำส่งสารสำคัญของน้ำมันเมล็ดงาม้อน ด้วยเทคโนโลยีระบบนำส่งอิมัลชันชนิดเกิดเอง สู่สูตรตำรับอิมัลชันของน้ำมันเมล็ดงาม้อนขนาดอนุภาคเฉลี่ยราว 200 นาโนเมตร มีความเสถียรสูง กระจายตัวได้ดีในของเหลวในทางเดินอาหาร และถูกดูดซึมได้มากขึ้น จับมือภาคเอกชนผสานความเชี่ยวชาญด้านการผลิตแคปซูลนิ่มสู่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพน้ำมันงาขี้ม้อนชนิดบรรจุแคปซูลนิ่ม รับเทรนด์รักสุขภาพ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยงานวิจัย ตั้งเป้ายอดขาย 1 ล้านยูนิตในปี 66 พร้อมขยายตลาดลาวนำร่องสู่ CLMV
ดร.กิตติวุฒิ เกษมวงศ์ หัวหน้าทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือนี้ เริ่มต้นมาจากงานวิจัยพัฒนาตำรับนาโนอิมัลชั่นของน้ำมันเมล็ดคามิเลีย โดยความร่วมมือกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน มูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งภายหลังได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว ก็นำมาต่อยอดประยุกต์ใช้กับน้ำมันเมล็ดงาขี้ม้อนในที่สุด
งาม้อนหรืองาขี้ม้อน เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์ Lamiaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Perilla frutescens พบในหลายประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน เกาหลี รวมถึงประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน เป็นต้น น้ำมันเมล็ดงาม้อนอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายชนิด ได้แก่ กรดไลโนเลนิก (โอเมก้า 3) 55-60% กรดไลโนเลอิก (โอเมก้า 6) 18-22% และกรดโอเลอิก (โอเมก้า 9) 0.08-0.17% ซึ่งมีส่วนในการบำรุงระบบประสาทและสมอง ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้น ยังพบสารสำคัญในกลุ่มโพลีฟีนอลที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะกรดโรสมารินิก (rosmarinic acid) และสารลูทีโอลิน (luteolin) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
เติมนาโนเทคโนโลยี เพิ่มชีวประสิทธิผล
“ทีมวิจัยนาโนเทคเริ่มจากพัฒนาระบบนำส่งสารสำคัญ ในรูปแบบของการเตรียมเป็นตำรับนาโนอิมลชัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมและการละลายของสารสำคัญ จากเดิมที่มีการละลายยากและการดูดซึมต่ำ โดยสารออกฤทธิ์และยาที่ละลายน้ำยากจะสามารถกระจายตัวและดูดซับได้ดีบนผนังลำไส้ และถูกดูดซึมผ่านกลไกของการย่อยและการดูดซึมของไขมันในร่างกาย ส่งผลให้มีชีวประสิทธิผลดีขึ้น” ดร.กิตติวุฒิ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยกล่าว
จากนั้น ทีมวิจัยได้ขยายสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพน้ำมันงาขี้ม้อนในรูปแบบของแคปซูลนิ่ม ที่ผ่านการตั้งตำรับเป็นนาโนอิมัลชัน ก่อนการบรรจุแคปซูล จะส่งผลให้สารสำคัญต่างๆ ได้แก่ โอเมก้า 3 และวิตามินอี ในน้ำมันงาขี้ม้อน มีโอกาสดูดซึมเข้าสู่ระบบร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการนำน้ำมันงาขี้ม้อนบรรจุแคปซูลโดยตรง
จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือ สูตรตำรับอิมัลชันของน้ำมันเมล็ดงาม้อนที่พัฒนาขึ้นมีความเสถียรสูง หยดน้ำมันมีขนาดอนุภาคเล็ก (ประมาณ 200 นาโนเมตร) และผลิตภัณฑ์อยู่ในรูปแบบของแคปซูลนิ่มพร้อมบริโภคนี้ มีประสิทธิภาพสูงในด้านการดูดซึมและการนำส่งสารสำคัญไปยังลำไส้เล็กของมนุษย์
ปัจจุบัน งานวิจัยนี้ ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัท เจอาร์ แลบโบราทอรี่ จำกัด เรียบร้อยแล้ว โดยดร.กิตติวุฒิชี้ว่า ในเชิงเทคโนโลยี นาโนเทคเองถือว่ามีความเชี่ยวชาญอย่างมาก แต่การจะนำนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์จริง ต้องการพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด เพื่อที่จะสื่อสารและนำนวัตกรรมนี้ไปถึงมือผู้ใช้
วทน. สร้างความแตกต่างให้เอกชนไทย
น.ส.ภัสธารีย์ เรืองชัยพัฒนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจอาร์ แลบโบราทอรี่ จำกัด กล่าวว่า เดิม บริษัทฯ ทำธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอยู่แล้ว และมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตแคปซูลนิ่ม (softgel) จึงต้องการที่จะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจ โดยสร้างแบรนด์ของตนเองด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมเป็นสินค้านำร่อง และได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ นาโนเทค สวทช. ซึ่งมีนวัตกรรมต้นแบบเป็นน้ำมันเมล็ดงาม้อนในรูปแบบของแคปซูลนิ่ม จึงติดต่อพูดคุยและรับถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ในที่สุด
“งานวิจัยนี้ ตอบโจทย์ความเชี่ยวชาญของบริษัทเราคือ การผลิตแคปซูลนิ่ม ในขณะเดียวกัน ก็มองแนวโน้มของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากวิกฤตโควิด ที่แม้ส่งผลให้การทำตลาดมีชะงักในช่วงแรก แต่ก็ถือว่ามีส่วนในการกระตุ้นกระแสรักสุขภาพให้ผู้บริโภคไม่น้อย”
น้ำมันเมล็ดงาม้อนในรูปแบบแคปซูลนิ่ม ภายใต้แบรนด์ PEREAL จึงเกิดขึ้น โดยวางกลุ่มเป้าหมายเป็นคนวัยทำงานและผู้สูงอายุ ที่ต้องการการบำรุงสุขภาพ ซึ่ง น.ส.ภัสธารีย์ชี้ว่า การเปิดตลาดในช่วงปลายปี 2564 ที่ต้องเจอวิกฤตโควิด-19 ทำให้การตลาดเปลี่ยนเป็นแบบออนไลน์ 100% โดยมุ่งเน้นใช้สื่อโฆษณาในโซเชียลมีเดียต่างๆ พร้อมกับอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อเน้นให้ความรู้ (educate) ถึงคุณประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดงาขี้ม้อนกับกลุ่มเป้าหมายก่อน
ในขณะเดียวกัน ตลาดเปิดรับผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจากการวิจัยและพัฒนาของคนไทย เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลง และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น ทำให้การมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อถือผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น
“เรามีคู่แข่งในผลิตภัณฑ์เดียวกันอยู่แม้ไม่มากนักทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือ เรามีนวัตกรรมที่มีข้อมูลการวิจัย พัฒนา และทดสอบทางวิทยาศาสตร์มารองรับ ทำให้ในช่วงปีแรกของการสร้างแบรนด์ จะมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้ สร้างแบรนด์และการรับรู้ของแบรนด์ก่อน จากนั้น ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ก็จะเริ่มทำการตลาดให้มากขึ้น ทั้งออนไลน์ที่ทำอยู่แล้ว และการออกบูทเพื่อให้ผู้บริโภคได้มีประสบการณ์จริงกับผลิตภัณฑ์ ได้ซักถามข้อที่สงสัยหรือสนใจ” ผู้บริหารเจอาร์ แลบโบราทอรี่กล่าว พร้อมเผยว่า ในช่วงปลายปี 2565 นี้ มีแผนขยายสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV นำร่องที่ลาว ผ่านงานแสดงสินค้า
น.ส.ภัสธารีย์กล่าวว่า เป้าหมายในระยะสั้นคือ เป้ายอดขาย 1 ล้านยูนิตในปี 2566 ซึ่งภายใน 3-5 ปี เราจะทำให้ยอดขายและตัวแบรนด์เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยขับเคลื่อน ผ่านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเป้าหมายของบริษัทคือ การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่หากคนคิดถึงน้ำมันเมล็ดงาขี้ม้อนจะนึกถึงเรา และในขณะเดียวกัน ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตแคปซูลนิ่ม (softgel) ก็จะต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

4 เยาวชน “สุดเจ๋ง” ชนะเลิศสิ่งประดิษฐ์โครงการ “Chevron Enjoy Science: Young Makers Contest ปี 4” ตะลุยเยอรมนี
การกลับมาพบกันอีกครั้งของ 4 เยาวชนผู้ชนะการประกวด Chevron Enjoy Science: Young Makers Contest ปีที่ 4 ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา แม้จะห่างหายกันไปกว่า 2 ปีจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 จนเมื่อเยอรมันเริ่มเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้เดินทางเข้าประเทศได้ จึงเป็นโอกาสดีที่น้องๆ จะออกเดินทางไปเปิดประสบการณ์ในต่างแดนด้วยการศึกษาดูงาน Maker Faire Sachsen และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยี ณ ประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 7-14 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา
หากย้อนกลับไปบนเวทีการประกวดไอเดียความคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ในโครงการ Chevron Enjoy Science: Young Makers Contest ปีที่ 4 ภายใต้การสนับสนุนโดยบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่จะเปิดเวทีให้เหล่าน้องๆ นักประดิษฐ์จากทั่วประเทศได้ส่งไอเดียผ่านความคิดสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคม ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมและชุมชนให้ดีขึ้น โดยผลการพิจารณารางวัลชนะเลิศสายอาชีพ ได้แก่ โครงการชุดเลี้ยงกบในขวดพลาสติกระบบรีไซเคิลน้ำ โดยนายอนุชิต สุวรรณ์ และนางสาวศศิญาดา สุริโย จากวิทยาลัยการอาชีพไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และรางวัลชนะเลิศสายสามัญ ได้แก่ โครงการอุปกรณ์เลี้ยงปลาวาไรตี้ โดยนายกะวีวัตน์ แก่นยางหวาย และนายธีรภพ ปุรณกรณ์ จากโรงเรียนปลาปากวิทยา จ.นครพนม โดยได้รับทุนการศึกษาพร้อมสิทธิ์ในการเข้าร่วมงาน Maker Faire ระดับโลก
เมื่อโลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทุกอย่างต้องหยุดชะงักลงทันทีไม่เว้นแม้แต่การจัดงาน Maker Faire ในต่างประเทศก็เช่นกัน แต่ถึงกระนั้นโควิด-19 ก็ไม่อาจจะปิดกั้นโอกาสของน้อง ๆ ได้ เพราะเมื่อสถานการณ์เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ถึงเวลาที่เหมาะสมและทุกอย่างลงตัว ประกอบกับงาน Maker Faire Sachsen ได้กลับมาจัดขึ้นเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 9-10 กรกฎาคม 2565 การเดินทางของ 4 เยาวชนจึงเริ่มต้นขึ้น
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรวิจัยของประเทศ รวมถึงส่งเสริมและการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ให้มีความรู้ ความเข้าใจในทักษะด้านสะเต็ม พร้อม สร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม ซึ่งเป็นทักษะสำคัญนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต เพื่อเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ รวมถึงเมกเกอร์ อันจะทำให้ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความสามารถร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ส่งผลกระทบเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมต่อไป
การที่ได้พาน้องๆ ทีมชนะเลิศทั้ง 4 คนมาร่วมงาน Maker Faire Sachsen ในครั้งนี้ เราจะเห็นว่าสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่นำมาจัดแสดงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ถึงแม้เราจะต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกัน แต่ความคิดสร้างสรรค์ก็ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ การจัดงาน Maker Faire ของทุกประเทศต่างมีเป้าหมายที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเป็นแหล่งพบปะของเหล่านักประดิษฐ์ที่มีในทุกเพศและทุกวัยได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนหลักการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เกิดกิจกรรมที่ทุกคนสามารถร่วมสนุกได้ ทำให้เด็กๆ ที่มาร่วมในงานต่างก็สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับกิจกรรม
ซึ่งก็จะได้ซึมซับกระบวนการคิดและเรียนรู้ไปในเวลาเดียวกัน “ในวันนี้แม้น้องๆ ทั้ง 4 คนต่างแยกย้ายเส้นทางชีวิตไปศึกษาต่อในระดับชั้นอุดมศึกษา แต่ก็เชื่อมั่นว่าน้องๆ จะได้เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่การเข้าร่วมประกวดโครงการ จนถึงการเดินทางมาร่วมงาน Maker Faire ในต่างแดนครั้งนี้ไปต่อยอด นำไปปรับใช้กับการเรียนและเป็นกำลังสำคัญที่จะทำประโยชน์ให้กับชุมชนและประเทศต่อไป” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นางสาวพรสุรีย์ กอนันทา รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงความมุ่งมั่นของเชฟรอนเพื่อผลักดันการศึกษาในสาขาสะเต็ม (STEM) มาโดยตลอดว่า “ตลอดระยะที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเรามุ่งให้ความสำคัญกับการปลูกฝังการเรียนรู้ด้านสะเต็มอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต เพราะเราเชื่อว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมคือรากฐานที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คนได้ ดังนั้นการตีตั๋วพาเหล่าเยาวชนเมกเกอร์ไปเยือนต่างแดนในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการ ‘ตีตั๋ว’ แห่งโอกาสให้ประเทศไทย ในการจุดประกายและแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้พัฒนาองค์ความรู้จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเมกเกอร์ชาติอื่นๆ นำกลับมาสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสังคมในอนาคต ทั้งยังส่งเสริมวัฒนธรรมเมกเกอร์ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนสู่การสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมในระดับนานาชาติอีกด้วย ดังนั้น จึงถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของเชฟรอนในการยกระดับขีดความสามารถของเยาวชนไทยให้พัฒนาเป็น Smart Citizen พร้อมรับมือกับโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อขับเคลื่อนประเทศในอนาคตอย่างยั่งยืน”
นายกะวีวัตน์ แก่นยางหวาย หรือน้องแฟ้ม โรงเรียนปลาปากวิทยา จ.นครพนม ทีมชนะเลิศด้านสายสามัญ เล่าว่าการเดินทางครั้งนี้ได้ทั้งความรู้และได้ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการเข้าชมพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีที่ได้เห็นวิวัฒนาการของยานพาหนะในสมัยต่างๆ ของเยอรมัน ทำให้มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกของเรือ รถ และเครื่องบินที่นำชิ้นส่วนและอุปกรณ์จริงมาจัดแสดงได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แถมในระหว่างทริปยังได้เกร็ดความรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์และสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศเยอรมันด้วย และน้องภพ หรือนายธีรภพ ปุรณกรณ์ เล่าต่ออีกว่าสำหรับตนเองถือเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกที่ทำให้ได้พบกับผู้คนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม และได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนและยังได้รับความรู้อีก ก่อนเดินทางรู้สึกตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับไปหลายวัน “สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในการไปดูงานคือ ได้เห็นรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่ผมฝันถึงหลายคัน บางรุ่นเคยเห็นแต่ภาพในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่คิดฝันว่าจะได้มาเห็นของจริงในวันนี้ ความรู้และประสบการณ์ที่ผมได้รับโอกาสดีๆจากผู้ใหญ่ในครั้งนี้ ผมสัญญาว่าจะช่วยเหลือและทำประโยชน์ให้กับสังคมและช่วยคนที่เดือดร้อนให้ได้มากที่สุดต่อไปครับ”
อีกด้านสายอาชีพ นายอนุชิต สุวรรณ์ หรือน้องนก วิทยาลัยการอาชีพไชยา จ.สุราษฎร์ธานี บอกเล่าว่า ผมรู้สึกประทับใจในการดูงานเมกเกอร์ครั้งนี้มาก ได้รับความรู้หลายๆ อย่าง ทั้งด้านเครื่องจักรต่างๆ เเละที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของประเทศเยอรมัน และการเดินทางครั้งนี้ยังทำให้ผมรู้สึกว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญกับเรามากๆ เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษเลย เพราะคิดว่าไม่รู้จะเรียนไปทำไม เรียนไปก็ไม่รู้จะเอาไปพูดกับใคร จนมาถึงวันนี้ที่ผมได้เดินทางมาต่างประเทศทำให้ผมนึกขึ้นได้ภาษาอังกฤษสำคัญ ทำให้อยากจะไปเรียนภาษาเพิ่ม เพื่อที่จะได้สื่อสารและสนทนากับชาวต่างชาติได้ และน้องมิ้น หรือ นางสาวศศิญาดา สุริโย เล่าให้ฟังว่าสำหรับการดูงานเมกเกอร์ที่ประเทศเยอรมันในครั้งนี้ มีความประทับใจอย่างมาก ที่ได้เห็นผลงานสิ่งประดิษฐ์หลากหลายความคิดและเทคโนโลยี ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ นั้นเกิดจากองค์ความรู้ในหลายๆด้านมาประกอบรวมกัน และในงานนี้ตนชื่นชอบผลงานเขียนแบบ 3D มากที่สุด มันสามารถเขียนได้ทุกแบบทุกมิติปริ้นออกมาเป็นชิ้นงานซึ่งโดดเด่นมาก เช่นการทำเป็นตัวเลโก้ในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างสวยงาม ทำให้เกิดแรงบันดาลใจและอยากทดลองทำสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้ทีมตนที่ได้รางวัลชนะเลิศก็มีความคิดริเริ่มในสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดประโยชน์และนำมาใช้ได้จริง ๆ และถ้ามีโอกาสก็จะพัฒนาผลงานตัวเองต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

ศลช. ร่วมกับ สวทช. จัดงาน Seminar on Thai Herbal & Natural Products to Global Market เฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสู่ตลาดสากล
ณ อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ศลช. (ทีเซลส์ / TCELS) ในการจัดงานเสวนา Seminar on Thai Herbal & Natural Products to Global Market โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อการขยายตลาดสู่สากล
โดยมี นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นตัวแทนสองหน่วยงานกล่าวเปิดงานพร้อมกล่าวต้อนรับผู้ร่วมเสวนา นำโดย ดร.พัชราภรณ์ วงษา ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารโภชนเภสัชภัณฑ์และเวชสำอาง ศลช. นายยุทธพงศ์ มีแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย นายพินิจ เขื่อนสุวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเดียทูเอ็กซ์เพิร์ท จำกัด ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย นักวิจัยอาวุโส ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ(นาโนเทค) สวทช. และ Mr. Nitin Raizada Chief Business Officer, Specialty Natural Products Co., Ltd
ภายในงานดังกล่าวฯ ยังมีกิจกรรม Pitching Day ซึ่งจัดให้สำหรับผู้ประกอบการได้นำเสนอผลงานอุตสาหกรรมด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมสารสกัดสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ที่มีผลทดสอบประสิทธิภาพเเละความปลอดภัยทางวิทยาศาสตร์ พร้อมออกสู่ตลาดและขยายตลาดสู่สากล พร้อมกับยกระดับเเนวคิดในการทำธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเเละสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ภายหลังสถานการณ์โควิด – 19
ทั้งนี้ กิจกรรม Pitching Day มีผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกมาแล้วจำนวน 10 บริษัท ดังนี้ บริษัท สตาร์ เฮิร์บ ฟาร์ม่า จำกัด ,บริษัท ซีเอ็มเอช เชียงใหม่โฮลดิ้ง จำกัด ,บริษัท หมอยาไทย 101 จำกัด ,บริษัท ปัจจัยชีวี จำกัด ,บริษัท สยาม เนเชอรัล โปรดักซ์ จำกัด ,ห้างหุ้นส่วนจำกัด กัญญ์เฮิร์บ (ประเทศไทย) ,บริษัท เลิศ โปรเฟสชั่นเเนล กรุ๊ป จำกัด ,ห้างหุ้นส่วนจำกัด ปันกันกรุ๊ป, บริษัท เอ็ม.วาย.อาร์ คอสเมติคส์ โซลูชั่น จำกัด และ บริษัท ไซเอนซ์อินโนเวทีฟ โปรดักส์ จำกัด
และผลการแข่งขันกิจกรรมดังกล่าวผู้ชนะเลิศรางวัลที่ 1 คุณปิยเชษฐ์ จตุเทน บริษัท หมอยาไทย 101 จำกัด รับรางวัลรวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท และรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 มี 2 รางวัล ได้แก่ ภญ.ศศิมา อาจสงคราม บริษัท สตาร์ เฮิร์บ ฟาร์ม่า จำกัด และ คุณบุญเกียรติ ทรัพย์อังกูล บริษัท เอ็ม.วาย.อาร์ คอสเมติคส์ โซลูชั่น จำกัด และรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 3 มี 2 รางวัล ได้แก่ ดร.ธนธรรศ สนธีระ บริษัท สยาม เนเชอรัล โปรดักซ์ จำกัด และ คุณกัญญ์ภัสสร์ พลชัยศรี ห้างหุ้นส่วนจำกัด กัญญ์เฮิร์บ (ประเทศไทย) และรางวัลพิเศษสำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มอบบริการประกันการส่งออก Exim For Small Biz ให้กับทุกบริษัท อีกด้วย
นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การจัดงานสัมมนา Seminar on Thai Herbal & Natural Products to Global Market เป็นครั้งแรกของการสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อการขยายตลาดสู่สากล ซึ่ง สวทช. มีบทบาทสำคัญในด้านการวิจัยและพัฒนาที่สร้างคุณค่าและต่อยอดให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และให้ความสำคัญในการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เสริมศักยภาพและยกระดับผู้ประกอบการ นักลงทุน รวมถึงสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรในการขับเคลื่อนและต่อยอดผลงาน วทน. จากหิ้งสู่ห้างเพื่อเชื่อมโยงให้เอกชนเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ยังนำผลงาน วทน. ที่พัฒนาจากสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนอื่นๆ ออกสู่เชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบันโลกได้เคลื่อนเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในทุกมิติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่สร้างคุณค่า (Value-Based Economy) และมีการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven Economy) เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ ในการสร้างความเติบโตและความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ ให้สามารถขยายตลาดสู่สากลได้อย่างเข้มแข็ง
ด้าน ดร.พัชราภรณ์ วงษา ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารโภชนเภสัชภัณฑ์และเวชสำอาง ศลช. กล่าวว่า TCELS เป็นองค์การมหาชน มีบทบาทหน้าที่เป็นหน่วยบริหารจัดการทุนด้านวิจัยนวัตกรรม ด้านการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งผู้รับทุนคือผู้ประกอบการที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี ที่มีผลิตภัณฑ์ พร้อมขึ้นทะเบียนและออกสู่ตลาด การจัดงานสัมมนาฯ ในครั้งนี้ เป็นเวทีสำหรับผู้ประกอบการ ในกลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ที่ต้องการเห็นทิศทางการตลาด บวกกับการใช้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกิดการต่อยอด เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทตนเองจนสามารถขยายตลาดสู่สากล โดยวิทยากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ โดยคาดว่าผู้เข้าโครงการ จะได้รับการเติมเต็มเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการให้เกิดความเข้มแข็ง และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ขับเคลื่อนธุรกิจด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของไทย ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก
ดร.พัชราภรณ์ ยังกล่าวเพิ่มว่า การผลักดันสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลกนั้นอยู่ภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยสมุนไพรแห่งชาติ และมีร่างแผนปฏิบัติการสมุนไพรไทย ฉบับที่ 2 แล้ว ซึ่งมีผลครอบคลุมการปลูกวัตถุดิบให้ได้มาตรฐาน การสกัด การทดสอบสารสกัดที่ได้มาตรฐานสากล และการสร้างแบรนด์ของไทยที่เป็นรู้จักมีความเชื่อมั่นในคุณภาพ ที่เป็นมาตรฐานสากล
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วม กทม. จัดงาน “บางกอกวิทยา” เทศกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเดือนสิงหาคมนี้
สวทช. ร่วมกับ กทม. เตรียมจัดกิจกรรม KidBright Science Camp ที่พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร จตุจักร เป็นส่วนหนึ่งในงาน "บางกอกวิทยา" เทศกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเดือนสิงหาคมนี้
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า (กทม.) : นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมในงานแถลงข่าวการจัดงาน “บางกอกวิทยา” นำโดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , นายสมบูรณ์ หอมนาน ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว , ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.), ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการ อพวช. , ผู้บริหารสมาคมสตาร์ทอัพไทย และบริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด (Techsauce)
การจัดงาน “บางกอกวิทยา” เป็นเทศกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็น 1 ใน 12 เทศกาลที่จะจัดขึ้นในแต่ละเดือนตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า KidBright เป็นบอร์ดสมองกลฝังตัวพัฒนาโดยนักวิจัยเนคเทค สวทช. สามารถนำไปประยุกต์เป็นเซ็นเซอร์ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชนที่มีความสนใจคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่สามารถฝึกและเรียนรู้เรื่องการโค้ดดิ้งผ่านบอร์ด KidBright ได้ โดยกิจกรรม KidBright Science Camp นี้จะจัดขึ้นในวันที่ 20-21 สิงหาคม 2565 ที่พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร จตุจักร
โดยแบ่งเป็นการเขียน Coding เพื่อควบคุมรถ Formula Kid 2022 สำหรับเด็กและเยาวชนระดับประถมศึกษา ในลักษณะการแข่งควบคุมรถบังคับในสนามจำลอง เพื่อควบคุมรถหลบหลีกสิ่งกีดขวางและเข้าเส้นชัย และสำหรับเด็กระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและปลาย จะเป็นการสร้างโมเดล AI ด้วยเสียงเพื่อควบคุมหุ่นยนต์ AI Bot บนสนามแข่งรถ
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ปฐมนิเทศ TAIST – Tokyo Tech Orientation Ceremony 2022 เพื่อต้อนรับ นร. ทุน TAIST-Tokyo Tech ในรูปแบบออนไลน์
For English-version news, please visit : TAIST – Tokyo Tech welcomes new batch of students
25 กรกฎาคม 2565 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech: Thailand Advanced Institute of Science and Technology – Tokyo Institute of Technology) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดปฐมนิเทศ “TAIST - Tokyo Tech Orientation Ceremony 2022” เพื่อต้อนรับนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ประจำปี 2565 โดยมี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย Prof. Katsunori Hanamura Chair of TAIST – Tokyo Tech Steering Committee เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และกล่าวต้อนนักศึกษา
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ในปีนี้โครงการ TAIST-Tokyo Tech ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และงบประมาณบางส่วนจากมหาวิทยาลัยพันธมิตรฝั่งไทย ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และมหาวิทยาลัยมหิดล โดยปัจจุบันมีนักเรียนทุนภายใต้โครงการ TAIST-Tokyo Tech กว่า 800 คน ซึ่งเป็นบัณฑิตที่จบการศึกษาแล้ว 462 คน
โดยปี 2565 มีนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ทั้งสิ้น 69 คนจาก 3 หลักสูตร ได้แก่ 1.หลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (A2TE: Automotive and Advanced Transportation Engineering) 2.หลักสูตรปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (AIoT: Artificial Intelligence and Internet of Things) 3.หลักสูตรวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรที่ยั่งยืน (SERE: Sustainable Energy and Resources Engineering) เป็นนักศึกษาไทยจำนวน 23 คน และเป็นนักศึกษาต่างชาติอาเซียน 46 คน จากประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เนปาล และปากีสถาน
ข่าวประชาสัมพันธ์

แล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม ให้บริการเชิงพาณิชย์แห่งแรกในไทย!
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ บริษัท พี โซลูชัน จำกัด ต่อยอดความสำเร็จการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม เปิดตัวห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม พร้อมให้บริการในเชิงพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทย ที่ จ.สุพรรณบุรี
การเปิดตัวห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกและผู้พัฒนาพันธุ์อินทผลัมพันธุ์ทานสดต่างๆ โดยเฉพาะพันธุ์ที่พัฒนาโดยฝีมือคนไทย ในการขยายพันธุ์ต้นกล้าด้วยเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. เป็นการช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการนำเข้าต้นพันธุ์อินทผลัมจากต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้เกษตรกรทุกระดับสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นอินทผลัม ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยในอนาคต สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ BCG model
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ บริษัท พี โซลูชัน จำกัด โทร. 081-3751969
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

เปิดใจ! เยาวชนคว้าทุน JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4
เปิดใจเยาวชนคนเก่งได้รับทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 เผยความมุ่งมั่นเข้าค่ายกิจกรรมทำโครงงานวิทยาศาสตร์ มองเป็นโอกาสและความท้าทายกว่าจะถึงวันนี้
เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้มอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กและเยาวชน : Junior Science Talent Project (JSTP) โดยเป็นทุน JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 มีเยาวชนที่ได้รับทุน 9 คน และโครงการ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 มีเยาวชนได้รับทุน 5 คน
นายโชติอนันต์ทรัพย์ โสภาเคน หรือ “น้องโชกุน” ซึ่งจบชั้น ม.6 จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย และได้รับทุนโครงการ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 ปัจจุบันกำลังศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดใจว่า สมัครเข้าร่วมโครงการ JSTP เนื่องจากมีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้รับทุนครั้งนี้ความยากและความท้าทายอยู่ที่การทำโครงงานวิทยาศาสตร์
น้องโชกุน เผยว่า โครงงานวิทยาศาสตร์ที่ทำเป็นแบบจำลองการจัดกลุ่มคำหรือจับคู่คำในภาษาไทยโดยเฉพาะภาษาข่าวหรือพาดหัวข่าวไทยที่มีคำแปลกๆ เกิดขึ้นมาก เพื่อนำไปประยุกต์ใช้รองรับการแปลภาษาในบริบทต่างๆ เช่น การแปลภาษาอังกฤษ หรือการแปลเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในอนาคต โดยโครงการนี้ได้นักวิจัยจากเนคเทค สวทช. มาเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาแนะนำ เพราะเป็นโครงงานที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางจริงๆ และในอนาคตตนเองก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือนักพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับระบบปัญญาประดิษฐ์
“การได้รับทุนวันนี้อาจยังไม่ใช่ความสำเร็จของผม แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำพาไปถึงความสำเร็จในอนาคต ซึ่งผมจะพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะได้ไปสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เป็นประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติต่อไป”
น.ส.นภัสสร หลิดชิววงศ์ หรือ “น้องเพลง” นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ หนึ่งในเยาวชนที่ได้รับทุน JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 เผยว่า รู้จักโครงการ JSTP มาตั้งแต่ตอนเรียน ม.3 ก่อนจะมีโอกาสสมัครเข้าร่วมโครงการตอนอยู่ชั้น ม.4 โดยสมัครเข้ามาในสาขาคอมพิวเตอร์ เพราะส่วนตัวมีความถนัดและสนใจด้านคอมพิวเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์หรือ AI
น้องเพลง เล่าว่า กว่าจะได้รับทุนโครงการ JSTP ต้องผ่านการเข้าค่ายทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ เยาวชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการเป็นเวลา 1 ปี ระหว่างนั้นต้องทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยโครงงานวิทยาศาสตร์ของตนเป็นแพลตฟอร์มระบบการตรวจสอบและคัดกรองผู้ป่วยโรคซึมเศร้าด้วยปัญญาประดิษฐ์ พัฒนาในรูปแบบแอปพลิเคชันชื่อว่า My Safe Zone เป็นแชทบอทให้ผู้ใช้งานได้พูดคุยกับแอนิเมชัน ซึ่งจะมี AI ตรวจจับน้ำเสียง ตรวจจับลักษณะใบหน้า และวิเคราะห์ข้อความที่สื่อสารออกมา เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นว่าผู้ใช้งานเข้าข่ายหรือมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่
น้องเพลง ซึ่งเคยได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลก Regeneron ISEF 2022 ที่สหรัฐอเมริกา เปิดใจด้วยว่า สำหรับการได้รับทุน JSTP ระยะยาวครั้งนี้ ถือว่ามาไกลเกินฝัน แต่เมื่อถูกถามว่าอนาคตจบไปจะทำงานเป็นนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์หรือไม่นั้น ยอมรับว่ายังไม่แน่นอน เพราะส่วนตัวชอบทั้งคอมพิวเตอร์ การแพทย์ รวมถึงยังชอบด้านรัฐศาสตร์และกฎหมาย
“หนูคิดว่าปลายทางการเรียนด้านวิทยาศาสตร์ไม่ได้จำกัดว่าจบไปจะต้องเป็นนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้จะได้ทุนเรียนด้านวิทยาศาสตร์ก็ตาม แต่สำหรับหนูคิดว่ามันกว้างกว่านั้น เพราะความเป็นวิทยาศาสตร์มันสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกอาชีพ คุณอาจจะเป็นศิลปินก็ได้โดยเอาความรู้วิทยาศาสตร์ไปผนวก แล้วสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่าต่อโลกหรือสังคม นั่นก็ถือว่าคุณประสบความสำเร็จแล้ว สำหรับปลายทางของโครงการนี้หนูคิดว่าเป็นโครงการที่เปิดกว้างมากกว่า อยู่ที่แต่ละคนว่าจะไปทางไหน”
นายสรวิช เตือนตรานนท์ หรือน้องไบร์ท นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ได้รับทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 เผยว่า เคยสมัครเข้าร่วมโครงการ JSTP ในรุ่นชั้นมัธยมต้นสมัยตอนเรียนอยู่ชั้น ม.1 แม้ครั้งนั้นจะไม่ได้ทุนระยะยาว แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้เจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้อยากกลับไปร่วมโครงการนี้อีกครั้ง จนขึ้นชั้น ม.5 ตนจึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ JSTP ในรุ่นมัธยมปลาย และในที่สุดวันนี้ก็ได้รับทุนระยะยาว
“ตอนเด็ก ๆ ผมยังไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร จนผมได้เข้าร่วมโครงการ JSTP ตั้งแต่ ม.ต้น ก็ทำให้ผมรู้ครับว่า ผมอยากเป็นนักวิจัยนักวิทยาศาสตร์ต่อไปครับ”
น้องไบร์ท ยังมีคำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ JSTP ว่า อยากให้ลองสมัครตั้งแต่ในรุ่นมัธยมต้นเพื่อค้นหาตัวเองก่อน และหากพลาดหวังไปก็ยังมีโอกาสสมัครในรุ่นมัธยมตอนปลายได้อีก
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) เป็นหนึ่งในโครงการด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. ที่มีเป้าหมายในการเฟ้นหาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายและปริญญาตรี เข้ามารับการส่งเสริมและพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน โดยจัดหานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยให้คำดูแล แนะนำ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้แสดงศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อพัฒนาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและนักวิจัยที่มีคุณภาพและมีจริยธรรมต่อไปในอนาคต และขอขอบคุณธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เยาวชนในครั้งนี้
//////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญร่วมลงนามถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ทางออนไลน์
พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2565
ด้วยรัฐบาลได้กำหนดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 ณ ท้องสนามหลวง โดยมีพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดินเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แสดงความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่ตามรอยพระยุคลบาท ในฐานะข้าของแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนและประเทศชาติสืบไป
ขอเชิญชวนข้าราชการและประชาชนทั่วประเทศ ร่วมลงนามถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ประจำปี 2565 ทางออนไลน์ ได้ที่ https://web.ocsc.go.th/ForMyKing
ข่าวหน่วยงานภายนอก

ยกระดับสินค้าภูมิปัญญา ‘กระดาษสาทนน้ำ’
ใครที่คิดว่า “กระดาษสา” มีไว้เพียงทำสมุดโน้ต หรือกระดาษห่อของขวัญ คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว เมื่อบริษัท ซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด โรงงานกระดาษบ้านต้นเปา จังหวัดเชียงใหม่ หันมาใช้นวัตกรรมผสานภูมิปัญญาพัฒนา “กระดาษสาทนน้ำ” ยกระดับเพิ่มมูลค่าการใช้งานเทียบเท่าถุงพลาสติก ภายใต้การสนับสนุนของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ โปรแกรม ITAP (Innovation and technology assistance program) หน่วยงานในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
เพิ่มมูลค่ากระดาษสาล้านนา ภูมิปัญญาบ้านต้นเปา
นายธนากร สุภาษา กรรมการผู้จัดการบริษัทซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษจากใยธรรมชาติแบรนด์ “ปาป้า เปเปอร์ คราฟท์ (Papa Paper Craft) ” เล่าว่า ด้วยพื้นเพเป็นคนเชียงใหม่ และเป็นทายาทรุ่นที่สอง ที่สืบทอดธุรกิจกระดาษสาจากครอบครัวในหมู่บ้านต้นเปา จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งผลิตกระดาษสาครบวงจรแห่งเดียวในประเทศไทย ดังนั้นเมื่อใครที่อยากทำกระดาษสา หรือเส้นใยเกี่ยวกับกระดาษมักจะนึกถึงชุมชนหมู่บ้านต้นเป้าเป็นอันดับแรกเสมอ
[caption id="attachment_34573" align="aligncenter" width="650"] นายธนากร สุภาษา กรรมการผู้จัดการบริษัทซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด[/caption]
ทว่าแม้ปัจจุบันวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก จะเป็นตัวแปรผลักดันให้คนทั่วโลกลดการใช้พลาสติก และหันกลับมาใช้สินค้าจากธรรมชาติมากขึ้น แต่ด้วยจุดอ่อนของกระดาษสาที่ขาดง่ายเมื่อโดนน้ำ ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคมากนัก แนวคิดการพัฒนา ‘กระดาษสาทนน้ำ’ จึงอาจเป็นหนทางปรับจุดอ่อนเป็นข้อได้เปรียบ เพื่อให้แข่งขันกับตลาดทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น
“เราอยากเพิ่มมูลค่ากระดาษสาให้มีสมบัติกันน้ำได้ แต่ด้วยเราไม่มีองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงไปปรึกษาทาง สวทช. ภาคเหนือ และได้รับคำแนะนำให้เข้าร่วมโปรแกรม ITAP ซึ่งเขามีบริการให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี ตลอดจนจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งก็ได้แนะนำให้พบกับ ดร.มาโนช นาคสาทา คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ที่จะเข้าให้คำปรึกษาการพัฒนากระดาษสาทนน้ำ”
กำจัดจุดอ่อนกระดาษสา เพิ่มคุณสมบัติทนน้ำ
ที่ผ่านมาการผลิตกระดาษสาของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงใช้กระบวนการแบบดั้งเดิมซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของกระดาษสา แต่หากสามารถพัฒนาให้กระดาษสารมีสมบัติพิเศษ เช่น การทนน้ำ จะทำให้ประยุกต์การใช้กระดาษสาได้กว้างขึ้น
ดร.มาโนช นาคสาทา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เทคโนโลยีกระดาษสากันน้ำ เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาด้วยทุนวิจัยของ สวทช. เครือข่ายภาคเหนือ เมื่อผู้ประกอบการในพื้นที่ทำธุรกิจกระดาษสามีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นกระดาษสากันน้ำ จึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและเข้าโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยี กับทางโปรแกรม ITAP สวทช.
“โดยธรรมชาติเส้นใยกระดาษชอบน้ำมาก ประกอบกับช่องว่างขนาดเล็กในกระดาษมีจำนวนมาก ทำให้กระดาษอุ้มน้ำเหมือนกับฟองน้ำ ดังนั้นเมื่อมีการหยดน้ำหยดลงบนกระดาษ น้ำจึงแพ่รกระจายไปบนผิวกระดาษเป็นวงกว้างพร้อมทั้งซึมผ่านเข้าไปในเนื้อกระดาษได้อย่างรวดเร็ว การทำให้กระดาษสามารถกันน้ำได้ เช่น การลดช่องว่างในตัวกระดาษ โดยการเติมแป้งพร้อมกับมีกระบวนการอัดให้เส้นใยของกระดาษอยู่ชิดกันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้กระดาษหนาและแข็ง
อีกกระบวนการหนึ่งคือการเติมสารที่ไม่ชอบน้ำลงไป สารพวกนี้จะทำให้มุมสัมผัสของหยดน้ำโตมากทำให้น้ำไม่สามารถเปียกเส้นใย และไม่สามารถซึมผ่านกระดาษได้ ซึ่งในการวิจัยพัฒนา เราใช้วิธีเติมสารไม่ชอบน้ำ ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลการทดลองพบว่าช่วยให้กระดาษสากันน้ำได้ดี หยดน้ำสามารถกลิ้งไปมาบนกระดาษได้เหมือนที่กลิ้งบนใบบัว ที่สำคัญกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน ผู้ประกอบการยังสามารถทำได้ด้วยวิธีการเดิม ไม่ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง”
ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ BCG แต้มต่อทำธุรกิจ
ปัจจุบัน บริษัท ซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตกระดาษสาทนน้ำ โดยการนำสารไม่ชอบน้ำ ซึ่งเป็นสารสกัดธรรมชาติ เข้ามาใช้ในกระบวนการปั่นเยื่อก่อนนำขึ้นไปขึ้นรูปเป็นกระดาษสา และมีการนำมาใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์
นายธนากร เล่าว่า กระดาษสาทนน้ำที่ผลิตได้มีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จาน กล่องเครื่องสำอาง และถุงกระดาษ เน้นการออกแบบรูปทรงและการตัดเย็บให้ดูทันสมัย ความพิเศษของผลิตภัณฑ์กระดาษสาทนน้ำ คือ เมื่อเทน้ำลงไป น้ำจะขังอยู่ในผลิตภัณฑ์จนกว่าจะเทน้ำออก การดูดซับน้ำจะมีเฉพาะผิวกระดาษชั้นนอก และกระดาษจะค่อยๆ คายน้ำออกมาจนแห้งในเวลาไม่นาน เช่น ถุงกระดาษสาทนน้ำ เราไม่ได้ทดสอบแค่เทน้ำใส่ถุงเพียง 5-10 วินาทีเท่านั้น แต่เทน้ำทิ้งไว้ในถุงเป็นวัน ซึ่งก็ไม่พบการรั่วซึม ขณะที่ถุงกระดาษสาทั่วไป เมื่อเทน้ำลงไปกระดาษจะดูดซึมน้ำ เปื่อยและฉีกขาดทันที ที่สำคัญถุงกระดาษสาทนน้ำยังนำมาใช้ซ้ำได้มากกว่า 1 ปี เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้วสามารถย่อยสลายได้เองในธรรมชาติ
[caption id="attachment_34564" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบการทนน้ำกับถุงกระดาษทั่วไป (กระดาษสาทนน้ำถุงซ้าย)[/caption]
ผลิตภัณฑ์กระดาษสาทนน้ำเริ่มวางจำหน่ายออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก papapaperfactory ซึ่งได้รับการตอบรับจากอยู่ค้าอย่างดี ทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดยุโรปที่เริ่มมีการสั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยข้อได้เปรียบการเป็นสินค้ารักษ์โลก และยังตอบโจทย์การพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG
“ผมมีความเชื่อว่าตลาดจะตอบรับเรา เพราะกระดาษสาทนน้ำเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์แนวคิดทั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) และโมเดลเศรษฐกิจของ BCG ที่ภาครัฐกำลังให้การสนับสนุน เพราะต้องการลดการใช้พลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single use) โดยกระบวนการผลิตกระดาษสาทนน้ำของเรา ไม่เพียงใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ตอบโจทย์เศรษฐกิจชีวภาพแล้ว ในกระบวนการผลิตกระดาษสายังเน้นใช้สีธรรมชาติ ทำให้นำน้ำกลับมาใช้หมุนเวียนในกระบวนการผลิตได้เกือบ 100% แทบไม่มีการปล่อยออกเสียสู่สิ่งแวดล้อม เป็น zero waste ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ถือเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจที่เท่าทันตอบโจทย์กระแสโลก และด้วยกระบวนการทำธุรกิจแบบนี้ เชื่อว่าจะทำให้ชุมชนและบริษัทอยู่ได้ รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน”
นวัตกรรมกระดาษสาทนน้ำนับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมรักษ์โลกที่เกิดจากการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับภูมิปัญญาแห่งบ้านต้นเปา จังหวัดเชียงใหม่ ให้ยังคงสืบสานจากรุ่นสู่รุ่น และยังสร้างโอกาสทางธุรกิจ สร้างรายได้ให้ชุมชนและผู้ประกอบการ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล
[caption id="attachment_34574" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์กระเป๋ากันน้ำ[/caption]
[caption id="attachment_34575" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์กระเป๋ากันน้ำ[/caption]
[caption id="attachment_34576" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์กระเป๋ากันน้ำ[/caption]
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น