ผลการค้นหา :
ไบโอเทค-สวทช. จับมือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อวดโฉมพันธุ์ข้าวใหม่รับโลกรวนจากเอลนีโญ พร้อมต่อยอดให้ใช้ประโยชน์สาธารณะ และเชิงพาณิชย์
(18 ก.ย. 66) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม - ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2023” งานแสดงพันธุ์ข้าวใหม่ รับโลกรวนจากเอลนีโญ ระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน 2566
เพื่อเผยแพร่สายพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมวิกฤตที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ องค์ความรู้ด้านข้าว ศักยภาพด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับข้าว และนวัตกรรมปรับปรุงพันธุ์ข้าวพร้อมจัดแสดงพันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวน เช่น ทนร้อน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานโรคและแมลง และมีคุณภาพหุงต้มและโภชนาการตามความต้องการของตลาด เพื่อมุ่งให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ เผยแพร่สู่เกษตรกร และต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยมี ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ เกษตรกรและผู้สนใจเข้าร่วมในงาน
ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. จัดงาน NSTDA-KU Rice Field Day 2023 เพื่อแสดงศักยภาพสายพันธุ์ข้าวดีเด่นรับมือกับเอลนีโญที่มีการเปลี่ยนแปลงอากาศแบบสุดขั้ว ซึ่งพัฒนาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแบบแม่นยำในภาคสนามแปลงนา โดยมุ่งเน้นให้เกิดการนำสายพันธุ์ข้าวไปใช้ประโยชน์สาธารณะและเชิงพาณิชย์อย่างรวดเร็ว และเปิดห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ และห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี แสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านจีโนมทางการเกษตร เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและพืชอื่นๆ ที่รวดเร็วตามต้องการ เท่าทันบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทย การจัดงานครั้งนี้จะเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแบบแม่นยำ และจัดแสดงสายพันธุ์ข้าวใหม่ที่มีคุณสมบัติดีเด่นที่เกิดจากผลงานวิจัยร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานมานานกว่า 20 ปี ให้กับนักวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และเกษตรกร สามารถนำเอาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และ สายพันธุ์ข้าวดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มรายได้ รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อมุ่งสร้างความร่วมมือในเชิงสาธารณประโยชน์และเชิงพาณิชย์ต่อไป
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า งาน NSTDA-KU Rice Field Day 2023 เป็นครั้งแรกที่หน่วยงานทั้งสองนำสายพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไบโอเทค และหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมการข้าว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งทุนต่างๆ ทั้งในประเทศ เช่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และต่างประเทศ เช่น Rockefeller Foundation, The Generation Challenge Programme (GCP) มาจัดแสดง รวมทั้งโชว์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์พืชสมัยใหม่ สายพันธุ์ข้าวที่จัดแสดงในงานนี้ เป็นพันธุ์ข้าวที่ลดผลกระทบของเอลนีโญ และลานีญา ที่นับจากนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตข้าวของประเทศ พันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวนนี้ มีคุณสมบัติต้านทานสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ทนร้อน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง ซึ่งพร้อมแล้วที่จะเผยแพร่สู่เกษตรกร และเป็นสายพันธุ์ข้าวศักยภาพสูงที่พร้อมให้หน่วยงานต่างๆ นำไปวิจัยต่อยอด รวมถึงเป็นงานแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาพันธุ์ข้าวและการนำไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ การนำเสนอความก้าวหน้าทางจีโนมิกส์ และการให้บริการเชิงวิชาการ ซึ่งเน้นข้าวและพืชสำคัญทางเศรษฐกิจรวมทั้งพืชมูลค่าสูง เทคโนโลยีการประเมินลักษณะอย่างรวดเร็วโดยใช้ภาพถ่ายและระบบดิจิทอล เทคโนโลยีการวินิจฉัยโรคข้าวด้วยภาพถ่าย และการให้บริการประเมินลักษณะ biotic & abiotic stress ซึ่งเป็นการประเมินลักษณะความเครียดของพืชจากสิ่งแวดล้อมสำหรับการปรับปรุงพันธุ์ข้าว เช่น ต้านทานโรคและแมลง ทนร้อน ทนน้ำท่วม เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีการจัดแสดงระบบการคัดเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ RiceFit การศึกษาการใช้น้ำของข้าวและ greenhouse gas emission ในนาข้าวของประเทศ รวมถึงชีวภัณฑ์ต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในระบบการผลิตข้าวอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย ทั้งนี้มุ่งหวังให้การจัดงานนี้มีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคเกษตรของประเทศไทยรองรับ climate change และสังคมผู้สูงอายุ ให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรของประเทศไทย ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาต่อยอดแบบก้าวกระโดด และนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนมากขึ้นต่อไป
สำหรับพันธุ์ข้าวรับโลกรวนที่จัดแสดง ประกอบด้วย พันธุ์ที่มีความต้านทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคไหม้ และต้านทานโรคขอบใบแห้ง เช่น พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วม / พันธุ์ข้าวหอมนาเล ทนน้ำท่วม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวหอมจินดา ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวธัญญา6401 ต้านทาน เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวหอมสยาม ทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ / พันธุ์ข้าวหอมสยาม 2 ทนน้ำท่วม เป็นต้น ซึ่งพันธุ์ข้าวเหล่านี้พร้อมแล้วที่จะต่อยอดใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ เชิงพาณิชย์ และเผยแพร่สู่เกษตรกร นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ข้าวใหม่อื่นๆ ที่พร้อมจะขึ้นทะเบียนพันธุ์ ทั้งข้าวโภชนาการสูง ข้าวหอมพื้นนุ่ม พื้นแข็ง ทั้งต่อช่วงไวแสงและไม่ไวต่อช่วงแสง รวมทั้งข้าวเหนียวอีกด้วย
โอกาสนี้ ยังมีการเปิดให้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการด้านข้าวที่ตั้งอยู่ในศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ได้แก่ ห้องแล็บดีเอ็นเอเทคโนโลยี ห้องแล็บวิเคราะห์เอกลักษณ์ดีเอ็นเอข้าวไทยเพื่อการส่งออก เช่น ความหอมของข้าว และห้องแล็บวิเคราะห์จีโนม (Genotyping Lab) ที่ศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรม
ดร.วินิตชาญ รื่นใจชน หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ไบโอเทค สวทช. และ ดร ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว เปิดเผยว่า ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ไบโอเทค และศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย สำหรับงานวิจัยด้านชีวโมเลกุล โรงเรือนปลูกพืชทดลองสำหรับงานประเมินลักษณะต่าง ๆ ห้องเย็นเก็บเมล็ดพันธุ์และแปลงทดลองขนาดเล็กสำหรับงานคัดเลือกไปจนถึงแปลงขนาดใหญ่สำหรับผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่ผ่านมาได้สร้างองค์ความรู้ในการสืบหาและระบุยีนที่มีความสำคัญในการพัฒนาพันธุ์ข้าว และระบบปรับปรุงพันธุ์ข้าว Rice Breeding Platform รวมทั้งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้มีคุณสมบัติตามความต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเป็นศูนย์กลางของการใช้เทคโนโลยีด้าน Marker Assisted Selection (MAS) ในระดับประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ เน้นพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว เน้นพัฒนาพันธุ์ข้าวตามความต้องการของผู้ผลิตและผู้บริโภค และข้าวที่มีคุณสมบัติโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพผู้บริโภค พันธุ์ข้าวที่พัฒนาขึ้นมีความทนทานต่อโรค แมลงศัตรูพืช และปรับตัวได้ดีต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำและศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวมีบริการวิชาการ AgriOmics ในหลายส่วน เช่น ห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี ให้บริการตรวจสอบความบริสุทธิ์ของพันธุ์ข้าวหอมมะลิและพันธุ์ข้าวต่าง ๆ เพื่อการส่งออกและรองรับการวิจัย การให้บริการตรวจสอบการปลอมปนของสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรม รวมถึงยังมีบริการใหม่ด้านการวิเคราะห์จีโนมพืช ได้แก่ การวิเคราะห์ Whole Genome Sequencing (WGS), Transcriptome sequencing (RNA-seq) และ Metagenome sequencing เพื่อการสนับสนุนงานวิจัยพื้นฐานที่ครอบคลุมด้าน Agri-genomics (พันธุศาสตร์พืช)
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือพันธมิตรนำนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์จัดแสดงในงาน Medical Fair Thailand 2023
วันที่ 13 กันยายน 2566: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการ อนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ ร่วมกันจัดนิทรรศการเครื่องมือแพทย์และบริการทางการแพทย์ ของกลุ่มผู้ประกอบการไทยภายใต้ Thailand Medical Device Pavilion ในงาน Medical Fair Thailand2023 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเครื่องมือแพทย์และสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นับเป็นการผนึกกำลังของ 3 หน่วยงานเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยในเวทีการค้าเครื่องมือแพทย์โลก ภายหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิดคลี่คลายลง โดยมี ศ.ดร. ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และ คุณวินิจ ฤทธิ์ฉิ้ม ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด ให้เกียรติตัดริบบิ้นเปิดบูธภายใต้ความร่วมมือของ 3 พันธมิตร ประกอบด้วย
🔷“BCG Thailand Medical Device Pavilion” ภายใต้ BCG Economy Model สาขาเครื่องมือแพทย์ โดย สวทช. ได้นำผลงานวิจัย Micro Needel จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งได้ Spin off เป็นบริษัท สไปค์ จำกัด ไปจัดแสดงผลงาน และผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทยจาก 8 บริษัทและ 1 หน่วยงานรัฐ ได้แก่
1. บริษัท อินโน-เอจ แลบอราทอรี จำกัด
2. เค.ไบโอไซเอ็นซ์ จำกัด
3. บริษัท เอ็มที อินโนเทร็กซ์ จำกัด
4. บริษัท วี เมด แล็บ เซ็นเตอร์ จำกัด
5. NEXTER LIVING CO., LTD บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด
6. SCG Chemicals Public Co., Ltd. บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน)
7. Sunshine Medical Co., Ltd. บริษัท ซันไชน์ เมดิคอล จำกัด
8. บริษัท ซีเมด เมดิคอล จำกัด
9. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ (บริษัท เซโนสติกส์ จำกัด/ บริษัท อินโนเซนส์ 2021 จำกัด / บริษัท อี.ซี.เน็กซ์ จำกัด)
🔷"Innovation Thailand" โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้นำผู้ประกอบการ Startup จำนวน 8 ราย มาร่วมแสดงผลงาน ได้แก่
1.Brain Dynamic Technology Co., Ltd. เจ้าของนวัตกรรม Polysomnography Technology และระบบตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง
2.Precision Dietz Co., Ltd. เจ้าของนวัตกรรม Dietz Telemedicine platform
3.WELALA CO., LTD. เจ้าของนวัตกรรม DNA Methylation test, DNA sequencing test
4.Healthtag Co.,Ltd. เจ้าของนวัตกรรม Healthtag มาตรฐานใหม่ของการเก็บข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล
5.TOMORROW SMILE CO., LTD . เจ้าของนวัตกรรม โปรแกรมวางแผนทันตกรรมแบบดิจิทัลให้ตรงตามความต้องการของคนไข้ได้มากขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3D
6.Sati co., ltd. เจ้าของนวัตกรรม Chart Sum ระบบบันทึกสรุปทางการแพทย์ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยสนับสนุนการบริหารและการตัดสินใจทางการแพทย์
7.Perfect Research Solutions Co., Ltd. เจ้าของนวัตกรรม อุปกรณ์ถ่างลิ้นสำหรับการผ่าตัดพังผืดใต้ลิ้นทารก
8.ย่านนวัตกรรมการแพทย์สวนดอก หรือ Suandok Medical Innovation District (SMID) มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมการแพทย์ของภูมิภาคอย่างยั่งยืน
🔷"Thailand Pavillion" โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพได้นำผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลาง จำนวน 9 ราย มาจัดแสดงผลงาน ได้แก่
1. บริษัท เพอร์มา คอร์ปอเรชั่น จำกัด
2. บริษัท ศราวิณ เมดิคอล ซัพพลาย จำกัด
3. CVP Medical Technology Co., Ltd
4. บริษัท เมดิทอป จำกัด
5. บริษัท ซี.ซี. ออโตพาร์ท จำกัด
6. บริษัท โพสเฮลท์แคร์ จำกัด
7. บริษัท โนวาเมดิค จำกัด
8. บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด
9. บริษัทนำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำกัด
ข่าวประชาสัมพันธ์
ภาคีเครือข่าย 16 องค์กร จัดงาน ‘วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก’ ภายใต้แนวคิด Engaging patients for patient safety
(วันที่ 17 กันยายน 2566) ณ โรงแรม อัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ : ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมงาน วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก ครั้งที่ 5 และ“วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด Engaging patients for patient safety จัดโดย สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพ 16 องค์กร โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การขับเคลื่อนงานยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ” เนื่องในวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก และวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย พร้อมประกาศ “ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากรและประชาชน ระยะที่ 2: 3P Safety Strategy” พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่สถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ 3P Safety Hospital ปี 2566 จำนวน 107 แห่ง
นายสันติ กล่าวว่า ปีนี้องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและญาติ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในทุกมิติเรื่องความปลอดภัยของตนเอง รวมถึงครอบครัวและญาติในการดูแลให้มีความปลอดภัย พลิกแนวคิดจากการออกแบบการดูแลเพื่อผู้ป่วย เป็นการออกแบบการดูแลร่วมกับผู้ป่วย หรือ Engaging patients for patient safety สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ป่วย ครอบครัว และประชาชน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ Global Patient Safety Action Plan 2021-2030 ที่มีเป้าหมายลดความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในระบบบริการ เปิดกว้างการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและประชาชน ตั้งแต่การปฏิบัติโดยการเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว ไปจนถึงระดับนโยบาย โดยร่วมกันพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน ซึ่งการออกแบบการบริการในทุกมิติเรื่องความปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุข ญาติและครอบครัว
“ขอชื่นชมสถานพยาบาลทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการฯ แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารและทีมงานมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาระบบบริการที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับทุกคน ซึ่งการที่ประเทศไทยมีการขับเคลื่อนนโยบาย Patient and Personnel Safety หรือ 2P Safety มาอย่างต่อเนื่องถึง 4 ปี และประกาศความพร้อมที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระยะที่ 2 โดยเพิ่มความปลอดภัยไปถึงประชาชน เป็น Patient, Personnel and People Safety หรือ 3P Safety เพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวสู่ระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความปลอดภัยเพื่อทุกคนนั้น ผมพร้อมที่จะสนับสนุนและผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ 3P Safety เป็นประเทศแรกในโลกอีกครั้ง” นายสันติกล่าว
แพทย์หญิงปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในผู้ป่วยและบุคลากร มาตั้งแต่ต้น มีนโยบาย Patient and Personnel Safety มียุทธศาสตร์การขับเคลื่อนระยะที่ 1 พ.ศ. 2561-2565 และ มีเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคคลากรระดับประเทศ ซึ่งกำหนดแนวทางปฏิบัติเป็น SIMPLE โดยมีการพัฒนาและขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติกับสถานพยาบาลทั่วประเทศ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการจำนวน 950 โรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลสมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมโครงการและรับใบประกาศนียบัตรเป็นโรงพยาบาล 2P Safety Hospital จำนวน 107 โรงพยาบาล โดยทุกโรงพยาบาลมีการประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข ทั้งนี้ ประเทศไทยนำแนวทางปฏิบัติ 2P Safety ไปประยุกต์ใช้และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการรายงานอุบัติการณ์เข้าสู่ระบบ National Reporting and Learning System เพื่อเฝ้าระวังและนำอุบัติการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขด้วย
“ความปลอดภัย เป็นประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพที่เชิญชวนทุกสถานพยาบาลมาร่วมดำเนินการกันในปีนี้ โดยอาศัยองค์ประกอบทั้งผู้ป่วย บุคลากร ประชาชนหรือญาติผู้ดูแล เป็น 3P คือ Patient Personal และ People ผสมผสานในการพัฒนาระบบที่คำนึงถึงทั้งผู้ให้ ผู้รับบริการและญาติ เป็นการขับเคลื่อนที่มีพลังและมีการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง ซึ่งสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงพลังที่ขยายเชื่อมต่อสังคมและประชาชนในการร่วมมือกันเพื่อความปลอดภัยในบริการสุขภาพ และประเทศไทยได้ประกาศการขับเคลื่อนที่ก้าวล้ำจาก Patient and Personnel Safety โดยเพิ่มความสำคัญของประชาชน หรือ People เป็น Patient, Personnel and People Safety หรือ 3P Safety ในเวทีประชุมรัฐมนตรีโลกที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วย ทั้งนี้ ได้มีการวางแนวทางผ่านยุทธศาสตร์ 3P Safety strategy ซึ่งจะนำเสนอต่อรัฐมนตรีต่อไป โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญความสำเร็จของการขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกและประเทศต่างๆ ทั่วโลก คือ การได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากผู้นำระดับสูง ทำให้การประกาศนโยบาย การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่ผ่านมา สามารถผนึกกำลังองค์กรหน่วยงานต่างๆ มาร่วมกันพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม การประกาศนโยบายเพิ่มเป็น 3P Safety จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่นำไปสู่การสร้างความปลอดภัยและสังคมสุขภาวะอย่างมีส่วนร่วมเพื่อทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยเริ่มต้นจากสถานพยาบาล” ผอ.สรพ.กล่าว
ด้าน ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นการเดินทางมาถึงปีที่ 5 ที่ 2P Safety Tech ได้มีการพัฒนานวัตกรรม และถูกนำไปใช้จริง ซึ่งรวมแล้วมากกว่า 24 นวัตกรรม ยกตัวอย่าง 4 ผลงานที่น่าสนใจ เช่น ผลงาน Rapid Response Alert จาก รพ.หาดใหญ่ มีผู้ป่วยใช้งานรวมกันแล้วกว่า 30,000 คน ผลงานระบบการให้บริการเวรเปล รพ.สกลนคร มีผู้ป่วยใช้งานกว่า 60,000 คน ผลงาน Stroke ระยอง มีคนใช้งานกว่า 5,000 และ รพ.ค่ายสมเด็จพระนเรศวร พิษณุโลก ก็มีการนำไปใช้กับผู้ป่วยมากกว่า 6,000 และนวัตกรรมอื่น ๆ ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องก็มีผู้ป่วยได้ประโยชน์จากนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังส่งผลให้บุคลากรสาธารณสุข ลดเวลาในการปฏิบัติงานในหลายขั้นตอน เช่น ลดการกรอกเอกสารในกระดาษ เห็นข้อมูลคนป่วยแบบ Real-Time ทำให้รักษาได้เร็วขึ้น เป็นต้น
“สวทช. ได้ติดตามความก้าวหน้าโครงการ 2P Safety Tech อยู่เป็นระยะซึ่งทุกทีมต่างมีความตั้งใจในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมเพื่อมุ่งแก้ปัญหาของแต่ละงาน และพิเศษกว่าทุกปีคือ ปีนี้เป็นปีแรกที่มีเงื่อนไขของการพัฒนาต้องร่วมมือกันระดับเครือข่าย ไม่ได้แยกกันทำทีละโรงพยาบาลเช่น 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นมิติของการพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวข้ามอุปสรรคในหลาย ๆ ด้าน เช่น มีการทำงานระหว่างโรงพยาบาลชุมชน กัน องค์กรปกครองส่วนตำบล เป็นต้น เนื่องจากทุกท่านได้ร่วมมือกันตั้งแต่ต้น เห็นเส้นทางของการเติบโตของนวัตกรรม การพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้แนวคิด Open Innovation เป็นความร่วมมือทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งนวัตกรรมที่เกิดขึ้นสามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่า โครงการนี้ มีส่วนกระตุ้นให้บุคลากรสาธารณสุขเกิดความตื่นตัวและมีแนวคิดการสร้างนวัตกรรมในองค์กรมากขึ้น ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมขององค์กรยุคใหม่ที่ต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีนี้จะสามารถช่วยกันผลักดันให้เกิดการใช้งานจริงได้ และนำไปขยายผลต่อในวงกว้างได้มากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามขอความยินดีกับทุกนวัตกรรมที่ได้นำเสนอ ทุกท่านถือว่าได้มากกว่ารางวัล คือ ความภาคภูมิใจที่งานของท่านถูกนำไปใช้จริง และขอขอบคุณ สรพ. ที่เปิดโอกาสให้ สวทช. ได้มีส่วนร่วม เชื่อมต่อนวัตกร มาเจอกับบุคลากรของสาธารณสุข ที่มาพร้อมกับปัญหาที่ท้าทาย” ดร.อดิสร กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สัมมนาประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนที่นำทางเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน เพื่อนำทางประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
ตามที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และเครือข่ายพันธมิตรได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานตามพันธกิจ ประจำปีงบประมาณ 2565 จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ให้ดำเนินงานโครงการ “แผนที่นำทางเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) เพื่อนำทางประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” นั้น
.
ในการนี้ จึงขอเชิญร่วมสัมมนาประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนที่นำทางเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน เพื่อนำทางประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
.
วันอังคารที่ 26 กันยายน 2566 เวลา 09.00-12.00 น.
ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
จ.ปทุมธานี
.
รายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานถึงวันที่ 20 กันยายน 2566
https://www.nstda.or.th/r/VEA58
ปฏิทินกิจกรรม
‘ศุภมาส’ชวนพ่อเมืองทุกจังหวัด ใช้ “ทราฟฟี่ ฟองดูว์” แก้ปัญหาประชาชน
‘ศุภมาส’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. หนุน รัฐบาลดิจิทัล ผลักดัน แพลตฟอร์ม ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ (Traffy Fondue) ชวนผู้ว่าราชการจังหวัด สถานที่ราชการ และหน่วยงานของรัฐทั่วประเทศเดินหน้าใช้เป็นประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาประชาชน ‘ชัชชาติ’ ปลื้ม กทม. รับรางวัลหน่วยงานดีเด่น หลังใช้แพลตฟอร์มกว่าปีเศษ แก้ปัญหารวดเร็ว 11 เท่า เล็ง ขยายผลเป็น Traffy Fondue Plus ผุด ‘4 ดี’ สร้างการมีส่วนร่วมประชาชน
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566) ที่ห้องแถลงข่าว อว. ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตร “หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อบริการประชาชน” ให้กับ 190 หน่วยงาน ทั้งในระดับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยมี รองศาสตราจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บรรยายพิเศษในหัวข้อ“การขับเคลื่อนการใช้งาน Traffy Fondue แก้ปัญหาระดับ เส้นเลือดฝอย กรุงเทพมหานคร” พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร) นายวสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์ ร่วมพิธีมอบประกาศเกียรติบัตร
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ขอชื่นชมและขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อประชาชน โดยยังมีอีกหลายจังหวัดและหลายหน่วยราชการที่ยังไม่ได้นำทราฟฟี่ ฟองดูว์ มาใช้เพื่อให้บริการประชาชน จึงขอเชิญชวนทุกท่านอีกครั้ง ซึ่งกระทรวง อว. พร้อมที่จะเดินหน้าทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่ และขอขอบคุณสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นขุมพลังหลักด้านการวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศไทย ที่ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์ จนสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เป็นเครื่องมือสำคัญให้กับหน่วยราชการต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึง
“รัฐบาลจะใช้การบริหารในรูปแบบของการกระจายอำนาจ (ผู้ว่า CEO) เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารงานในแต่ละจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ กล่าวคือ จะมีการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเพื่อสร้างโอกาสและสร้างประโยชน์ให้ประชาชนเป็นสำคัญ สนับสนุนการจัดการปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด โดยรัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการให้บริการมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใส ขจัดช่องโหว่ในการทุจริต ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น” รัฐมนตรีกระทรวง อว. กล่าว
ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. โดยหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมือง และใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยรับเรื่องร้องเรียนปัญหาเมือง โดยมีการขยายผลการใช้งานไปทั่วประเทศ ปัจจุบันระบบฯ ได้รับแจ้งเรื่องแล้วมากกว่า 373,000 เรื่อง มีหน่วยงานรับแจ้งในระบบรวมมากกว่า 10,400 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย เทศบาล มากกว่า 1,300 หน่วยงาน และองค์การบริหารส่วนตำบล มากกว่า 1,800 หน่วยงาน ครอบคลุมการใช้งานทั่วประเทศ โดยมี 14 จังหวัด ที่เข้าร่วมใช้งานแล้วทุกหน่วยราชการ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, พะเยา, ลำพูน, ปราจีนบุรี, ภูเก็ต, เพชรบูรณ์, สมุทรปราการ, สระบุรี, เชียงใหม่, ลำปาง และสิงห์บุรี และอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อเข้าร่วมใช้งานทุกหน่วยราชการ อีก 3 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นนทบุรี และแม่ฮ่องสอน
“กิจกรรมในครั้งนี้ เริ่มจากการที่ สวทช. ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือใน โครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาของประชาชน ร่วมกับ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และยังเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการพัฒนาและขยายผลระบบรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมืองด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศสู่ระดับการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) และ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่ต้องการให้เกิดการขยายผลการใช้งานระบบรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมือง (Traffy Fondue) ให้ครอบคลุม ทุกหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทุกภาคส่วน จึงถือเป็นอีกเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาบริการของรัฐ ให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้บริการในโลกยุคดิจิทัล”
รองศาสตราจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่ง ที่ สวทช. หน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ได้มอบเกียรติบัตรแก่หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์ เพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งนับเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบราชการจากระบบท่อเป็นแพลตฟอร์ม ช่วยลดขั้นตอนการสั่งการและการดำเนินการแก้ไขปัญหา ให้มีความสะดวกรวดเร็ว ประชาชนไว้วางใจและได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน โดยในส่วนของกรุงเทพมหานคร
มีการนำทราฟฟี่ ฟองดูว์ ไปใช้งานและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาระดับเส้นเลือดฝอยกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีประชาชนร้องเรียนปัญหามาแล้ว 380,704 เรื่อง แก้ไขสำเร็จแล้ว 279,184 เรื่อง (73%) ประเภทปัญหาที่ได้รับแจ้งมากที่สุด คือ ถนน (21%) รองลงมา คือ เรื่องอื่น ๆ (14%) ทางเท้า (9%) แสงสว่างและความปลอดภัย (ประเภทละ 6%) ความสะอาด น้ำท่วม และสิ่งกีดขวาง (ประเภทละ 5%) ท่อระบายน้ำและจราจร (ประเภทละ 4%) เป็นต้น
“ผลจากการใช้งานทราฟฟี่ ฟองดูว์ แก้ปัญหาระดับเส้นเลือดฝอย กรุงเทพมหานคร สะท้อนแล้วว่า พลังของแพลตฟอร์มเป็นสิ่งสำคัญในการกระจายอำนาจให้ประชาชน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ช่วยให้กรุงเทพมหานครรับปัญหาของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างทันท่วงที สิ่งเหล่านี้เป็นการนำเสียงของประชาชนเป็นที่ตั้งมากขึ้น ตอบโจทย์ของประชาชนให้มากขึ้น พยายามดูแลประชาชนให้ละเอียดขึ้น นี่จะเป็นสิ่งที่กรุงเทพมหานครจะดำเนินการต่อไป”
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเปิดรับแนวคิดจากภาคประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาให้ประชาชน กรุงเทพมหานครเตรียมพัฒนาต่อยอดทราฟฟี่ ฟองดูว์ สู่ทราฟฟี่ ฟองดูว์ พลัส (Traffy Fondue Plus) เพื่อดำเนินการนำร่องพัฒนาต่อยอดใน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1. ด้านข่าวสารดี เพื่อติดตามเรื่องสำคัญมีผลกระทบต่อประชาชน ประชาชนสนใจและได้ประโยชน์ 2. ด้านบริการดี ช่วยให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงข้อมูลและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ 3.ด้านข้อมูลดี เพื่อนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยเพิ่มศักยภาพการวิเคราะห์ข้อมูล และแก้ไขข้อร้องเรียน และ 4. ด้านสนุกดี เพื่อต่อยอดการร้องเรียนสู่การมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองของประชาชน (Active Citizen)
สำหรับพิธีรับมอบเกียรติบัตร “หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อบริการประชาชน” นอกจาก 14 จังหวัดที่มีการใช้งานทุกส่วนราชการแล้ว ยังมีหน่วยงานภาคส่วนอื่น ๆ เข้ารับมอบกว่า 100 หน่วยงาน อาทิ หน่วยงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด, หน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบล, หน่วยงานเทศบาล, หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปลี่ยน ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เป็น ‘สารเคลือบกระดาษ’ และ ‘สารดูดซับคราบน้ำมัน’ สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : Transforming green mussel shells into paper coating and oil absorbent materials
‘หอยแมลงภู่’ เป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก โดยในปี 2565 ไทยผลิตหอยแมลงภู่ได้มากถึง 51,310 ตัน ตามรายงานของกรมประมง อย่างไรก็ตามแม้การเพาะเลี้ยงและแปรรูปหอยจะก่อให้เกิดรายได้อย่างมาก แต่ปริมาณ ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมก็นำมาซึ่งภาระในการกำจัด เพราะแม้จะนำไปจำหน่าย ก็ได้แค่กิโลกรัมละสลึงเท่านั้น กลายเป็นปัญหาขยะที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทรีนิว อินโนเวชั่นส์ จำกัด ดำเนินโครงการ “ต้นแบบผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงแปรรูปจากเปลือกหอยแมลงภู่เหลือทิ้ง” โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
[caption id="attachment_46899" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัยนาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เป็นขยะปริมาณมหาศาลจากอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งโดยทั่วไปหลังจากคนงานแกะเนื้อหอยออกจากเปลือกเพื่อส่งต่อเข้ากระบวนการแปรรูปแล้ว จะรวบรวมเปลือกหอยใส่กระสอบ กระสอบละ 10-15 กิโลกรัม เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างในราคากระสอบละประมาณ 2 บาท เพื่อนำไปใช้ถมที่
[caption id="attachment_46900" align="aligncenter" width="700"] สารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่[/caption]
“ทีมวิจัยเล็งเห็นถึงลู่ทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสารแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCo3) ซึ่งเป็นสารประกอบหลักที่มีอยู่ในเปลือกหอยมากกว่าร้อยละ 95 จึงร่วมกันศึกษาหาวิธีนำสารชนิดนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยผลิตภัณฑ์แรกที่พัฒนาได้สำเร็จ คือ ‘สารเคลือบกันน้ำ’ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้เพิ่มสมบัติกันน้ำให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมกระดาษ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นสารเติมเต็ม (filler) เพื่อลดปริมาณการใช้สารเคลือบกระดาษชนิดย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ อาทิ สารประเภทเซลลูโลสเบส (cellulose-based) ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงช่วยให้ผู้ประกอบการลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะเอื้อให้ผู้ประกอบการมีลู่ทางในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์กระดาษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเพิ่มโอกาสการจำหน่ายสินค้าในประเทศกลุ่ม EU ที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
“สำหรับการผลิตสารเคลือบ ทีมวิจัยใช้กระบวนการแยกสารอินทรีย์ออกจากเปลือกหอยด้วยพลังงานความร้อนต่ำ เพื่อให้ได้สารแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ 97 ก่อนนำมาลดขนาดให้เหลือประมาณ 100 นาโนเมตรเพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัส แล้วนำไปเพิ่มคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) ด้วยสารสเตียริกแอซิด (stearic acid) ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้สารที่ได้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเคลือบกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยสารที่ผลิตนี้สามารถใช้เป็นสารเติมเต็มสารเคลือบกระดาษที่นำเข้าจากต่างประเทศ ได้มากกว่าร้อยละ 20 จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี”
นอกจากการพัฒนาสารแคลเซียมคาร์บอเนตให้มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำมาช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดทางการค้าให้แก่อุตสาหกรรมกระดาษ ล่าสุดทีมวิจัยยังพัฒนาสารเคลือบให้มีคุณสมบัติพิเศษคือ ‘การดูดซับน้ำมัน’ ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายอุตสาหกรรม
ดร.ชุติพันธ์ เล่าว่า หลังจากพัฒนาสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ให้มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับน้ำมันที่มีความปลอดภัยได้แล้ว ทีมวิจัยได้เดินหน้าต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ทันที ผลิตภัณฑ์แรก คือ ‘สารดูดซับน้ำมันในครัวเรือน’ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีตลาดรองรับชัดเจน โดยผลิตภัณฑ์มี 2 รูปแบบ คือ ‘ฟองน้ำดูดซับคราบน้ำมัน’ ที่เช็ดสะอาด ไม่ทิ้งคราบ ใช้งานได้นาน และ ‘สารฉีดพ่นเพื่อกำจัดคราบน้ำมัน’ ที่ใช้งานง่าย เพียงฉีดพ่นลงบนคราบน้ำมัน น้ำมันจะจับตัวเป็นก้อน สามารถนำผ้าหรือกระดาษเช็ดออกได้โดยไม่ทิ้งคราบไว้
[caption id="attachment_46898" align="aligncenter" width="697"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ฟองน้ำดูดซับน้ำมัน (จานขวา)[/caption]
“ส่วนเป้าหมายต่อไปคือการสนับสนุนการดูแลพื้นที่ท่าจอดเรือบริเวณชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเรือเข้าจอดจำนวนมาก ทั้งเรือประมง เรือขนส่งสินค้า เรือขนส่งยานยนต์ และเรือขนส่งผู้โดยสาร รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ซ่อมบำรุงเรือ ทำให้บริเวณท่าเรือมักมีคราบน้ำมันที่ต้องกำจัดออกอยู่เสมอ ทีมวิจัยจึงเล็งเห็นโอกาสในการนำสารแคลเซียมคาร์บอเนตที่ผ่านการแปรรูปให้มีศักยภาพด้านการดูดซับน้ำมันมาใช้เป็น ‘สารเคลือบแผ่นกรองในระบบบำบัดน้ำ’ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการบำบัดคราบน้ำมันบริเวณท่าเรือ ทั้งนี้การดำเนินงานอยู่ในขั้นตอนประสานความร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อขอรับทุนสนับสนุนในการวิจัยและทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์”
นอกจากการพัฒนาและแปรรูปเปลือกหอยแมลงภู่แล้ว ที่ผ่านมาทีมวิจัยยังได้ดำเนินงานวิจัยแปรรูปเปลือกหอยจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับและอาหารอีกหลายชนิดเพื่อช่วยลดปัญหาขยะ สร้างมูลค่าเพิ่ม และลดต้นทุนการผลิตให้แก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ
“ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการนำสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยซึ่งมีลักษณะโครงสร้างแบบ ‘อะราโกไนต์ (aragonite form)’ หรือมีรูปร่างแบบแผ่น ขนาด 5-10 ไมครอน แตกต่างจากสารที่ได้จากภูเขาหินปูนซึ่งมีรูปร่างเป็นทรงกลมและขนาดเล็กกว่า มาใช้ประโยชน์แล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเวชสำอาง สามารถนำแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยกลุ่มที่ผลิตมุกมาใช้ทดแทนไมโครพลาสติกในผลิตภัณฑ์สครับผิว และใช้แปรรูปเป็นสารไฮดรอกซีอะพาไทต์ (hydroxyapatite) สำหรับใส่ในผลิตภัณฑ์ยาสีฟันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเคลือบและซ่อมแซมเนื้อฟัน ส่วนด้านอุตสาหกรรมพลาสติก สารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยนางรม หอยเป๋าฮื้อ สามารถใช้เป็นสารเติมแต่งเพื่อลดปริมาณการใช้พอลิเมอร์ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกได้โดยไม่ทำให้เนื้อพลาสติกขุ่น” ดร.ชุติพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
ผลงานการแปรรูปขยะจากอุตสาหกรรมอาหารถือเป็นตัวอย่างของการนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ทรัพยากรชีวภาพ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้ที่สนใจร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ติดต่อได้ที่ ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ อีเมล chutiparn.ler@nanotec.or.th
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องการพัฒนาสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยซึ่งมีลักษณะรูปทรงแบบ ‘อะราโกไนต์ (aragonite form) ได้จากบทความ แปรรูป ‘เปลือกหอย’ ขยะอุตสาหกรรม สู่ ‘สารสำคัญเวชสำอาง พลาสติก กระดาษ’
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : นาโนเทค สวทช. และ shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ขอเชิญร่วมงาน NSTDA-KU Rice Field Day2023 งานแสดงพันธุ์ข้าวใหม่ ข้าวเพื่ออุตสาหกรรม l ข้าวเพื่อสุขภาพ
NSTDA-KU Rice Field Day2023
งานแสดงพันธุ์ข้าวใหม่
ข้าวเพื่ออุตสาหกรรม l ข้าวเพื่อสุขภาพ
.
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566
ณ ห้องประชุมคณะอุตสาหกรรมบริการ ชั้น 3
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
.
กิจกรรมภายในงาน
ชิมข้าวพันธุ์ใหม่ (ข้าวเจ้า ข้าวเจ้าหอม ข้าวเหนียว และข้าวเหนียวหอม)
การให้บริการเชิงวิชาการจีโนมิกส์ สำหรับการปรับปรุงพันธุ์
การสร้างความร่วมมือเชิงสาธารณประโยชน์และเชิงพาณิชย์
แสดงแปลงนาสาธิต (ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ดูทรงต้น ดอก และรวง)
.
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2566
ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
แจกพันธุ์ข้าวใหม่ฟรี!!
สำหรับผู้ลงทะเบียน 100 ท่านแรก
ข้าวไรซ์เบอรี่ /ข้าวหอมสยาม / ข้าวหอมสยาม 2
.
แสดงแปลงสาธิต
ข้าวนาปี / ข้าวนาปรัง / ดูทรงต้น ดอก และรวง
.
จองพันธุ์ข้าวใหม่
ข้าวต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล / ข้าวต้านทานโรคขอบใบแห้ง / ข้าวทนน้ำท่วม
.
ชิมข้าวพันธุ์ใหม่
ข้าวเจ้า / ข้าวเจ้าหอม / ข้าวเหนียว / ข้าวเนียวหอม
.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
0 2564 6700 ต่อ 3379 - 3381
rmd-bms@biotec.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญร่วมงาน “โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 22” หรือ CDIC 2023
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. ร่วมกับบริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานต่างประเทศ ขอเชิญร่วมงานสัมมนาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย “โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 22” หรือ CDIC 2023 ระหว่างวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2566 ณ ห้องแกรนฮอลล์ 201-203 ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
.
ข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานที่ https://www.cdicconference.com/agenda/
ปฏิทินกิจกรรม
NECTEC-ACE 2023 ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชน แสดงศักยภาพแห่ง “ข้อมูล” หนุนให้เกิดการ“แชร์และใช้” เพื่อขับเคลื่อน พัฒนา เพิ่มมูลค่า สร้างความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีไทย เพื่อคนไทย
For English-version news, please visit : NECTEC–ACE 2023 features advancement in data science
ข้อมูลเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากในชีวิตประจำวันและการดำเนินงานขององค์กร การจัดการและใช้ประโยชน์จากข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มคุณค่าและประสิทธิผลในหลายมิติ ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน อย่างข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาหรือหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวก เช่น การค้นหาข้อมูลการเดินทาง, ข้อมูลสุขภาพ, ข้อมูลการซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ข้อมูลยังช่วยในการพัฒนาองค์กร ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ขององค์กร สภาพแวดล้อมภาพนอก ช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อเปรียบเทียบ การวิเคราะห์ทางการตลาด การบริหารความเสี่ยง รวมถึงพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมธุรกิจและสังคมอย่างทันท่วงที
จึงเป็นที่มาของการจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2566 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2023 (NECTEC–ACE 2023) ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” ที่มุ่งเน้นนำเสนอด้าน "Data for Thai Data for All" จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค สวทช. ร่วมกับ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชน รวม 19 หน่วยงาน (ในวันที่ 12 กันยายน 2566)
นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานเปิดงาน NECTEC-ACE 2023 กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราทุกคน ข้อมูลกลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาล ทั่วโลกต่างใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยข้อมูลดิจิทัล ในส่วนภาครัฐนั้นได้เห็นความสำคัญของการใช้ข้อมูลในการส่งเสริมความเจริญของประเทศ โดยการสนับสนุนแนวคิดของภาครัฐเปิดข้อมูล (Open Government Data) รวมถึงมีการประกาศใช้ พรบ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ และส่งเสริมการรวบรวมข้อมูลในฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรียนรู้และพัฒนาต่อไปได้ การขับเคลื่อนประเทศโดยการนำข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้ประเทศก้าวสู่การเป็นประเทศที่ใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลางอย่างครบถ้วน การเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลหรือ Data Sharing ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ๆ ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการข้อมูลจึงมีความสำคัญจะต้องดำเนินการอย่างเหมาะสมและมีความปลอดภัย จากข้อมูลที่หลาก หลาย ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลอัตลักษณ์ส่วนบุคคล หรือข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น เพื่อนำข้อมูลที่ถูกต้องมาประยุกต์ สร้างสรรค์ ออกแบบ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการนำเสนอนวัตกรรมหรือการบริการใหม่ๆ หรือวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่าการจัดงานประชุมวิชาการ และนิทรรศการของเนคเทค หรือ NECTEC-ACE 2023 นอกจากจะเป็นเวทีนำเสนอองค์ความรู้ทางวิชาการ ผลงานวิจัยที่ใช้ได้จริงที่เกิดจากความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำการดำเนินงานในปัจจุบันของสวทช. ภายใต้นโยบาย “NSTDA Core Business” ที่ต้องการเป็นฐานรากทางเทคโนโลยี ให้ภาคส่วนต่างๆ ได้นำความรู้ เครื่องมือ นำงานวิจัยใช้แก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ และที่สำคัญคือ ประชาชน/ชุมชนให้เข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้จริง
โดยได้คัดเลือกงานวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ พัฒนา ขึ้นเป็นแพลตฟอร์มการดำเนินงาน ได้แก่ Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) ในรูปแบบ One stop service Thailand i4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร รวมถึงศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง หรือ ThaiSC ของสวทช. ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศไทย ให้บริการ Supercomputer ชื่อว่า “LANTA” ประสิทธิภาพสูงรองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน และติดอันดับที่ 70 ของโลก
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่างานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคประจำปี 2566 หรือ NECTEC–ACE 2023 ยังคงได้รับการสนับสนุน และความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนจาก 19 หน่วยงาน ที่เล็งเห็นประโยชน์ และความสำคัญในการสนับสนุน รวมทั้งมีผู้สนใจได้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานมาแล้วทั้งสิ้น มากกว่า 2,000 คน โดยวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าทางวิชาการ แลกเปลี่ยน ความรู้ และประสบการณ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิจัย นักวิชาการ ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้ง การนำเสนอ องค์ความรู้จากผลงานวิจัยของเนคเทค และผลงานที่ร่วมกับพันธมิตร ในรูปแบบสัมมนาวิชาการ และนิทรรศการเพื่อ แสดงศักยภาพ และเทคโนโลยีจากภาครัฐและเอกชน
โดยเนื้อหา สาระความรู้ ในงาน NECTEC–ACE 2023 เพื่อนำเสนอต่อกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้บริหารหน่วยงาน ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีทางด้านข้อมูลได้เข้ามาใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย 12 หัวข้อสัมมนาวิชาการ ที่รวบรวมวิทยากรมากกว่า 50 ท่าน มาร่วมนำเสนอความรู้ แลกเปลี่ยน ประสบการณ์การดำเนินงานจริง ในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องทางด้านข้อมูล 3 กลุ่มที่สำคัญ ได้แก่ Data Platform, Data Governance & Security และ Big Data & AI 30 บูธนิทรรศการ ทั้งผลงานวิจัยจากเนคเทค และหน่วยงานพันธมิตร ที่มาร่วมนำเสนอ Data Solution, Core Technology และตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของการใช้ข้อมูล ต่อยอด ขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กร และธุรกิจ สำหรับตัวอย่างการพัฒนาฐานข้อมูลของเนคเทค ที่เป็นประโยชน์และพร้อมนำไปต่อยอดสำหรับการพัฒนาในด้านต่างๆ อาทิ
Open-D เทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับข้อมูลแบบเปิด แหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เชื่อถือได้จากหน่วยงานภาครัฐในรูปแบบข้อมูลดิจิทัล เช่นข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลการขนส่ง ข้อมูลการเลือกตั้ง และอื่นๆ ซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลเปิด ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรม การสร้างสรรค์ และออกแบบ รวมทั้งสร้างความเข้าใจในสังคม และการสนับสนุนการดำเนินการทางธุรกิจและการวิจัยต่างๆ ที่อาจใช้ข้อมูลนี้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ และเพิ่มมูลค่าให้กับสังคม TPMAP ระบบบริหารจัดการข้อมูลและพัฒนาคนแบบชี้เป้า เครื่องมือช่วยในการกำหนดนโยบายแก่ผู้บริหารเมือง เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและตรงจุดภายใต้บริบทในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของประเทศ
แดชบอร์ดที่เชื่อมข้อมูลจากระบบ "Thai School Lunch" และแพลตฟอร์ม "KidDiary" ที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะโภชนาการและคุณภาพอาหารกลางวันของนักเรียนทั่วประเทศ ทำให้ชุมชนสามารถวางแผน ออกแบบ จัดการอาหารกลางวันให้สอดคล้องกับหลักโภชนาการของนักเรียนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยโรงเรียน ผู้ปกครอง และสถานพยาบาลในพื้นที่สามารถเรียนรู้และติดตามสุขภาวะของนักเรียนได้อีกด้วย ปัจจุบันมีนักเรียนที่ได้รับประโยชน์จากแดชบอร์ดดังกล่าวกว่า 95,000 คน การจัดงานในครั้งนี้ ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน มาร่วมนำเสนอ แลกเปลี่ยนองค์กรความรู้ทั้งในฝั่งผู้พัฒนาเทคโนโลยี ผู้ใช้งาน และผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ข้อมูล สำหรับงาน NECTEC-ACE 2023 ในวันนี้ต้องขอบคุณประธานท่านผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้ง 19 หน่วยงาน และหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้เล็งเห็นประโยชน์ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนในการจัดงานในครั้งนี้
ภายหลังการจัดงาน ยังเปิดให้ผู้ที่สนที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ สามารถติดตามบันทึกการสัมมนาย้อนหลังและข้อมูลนิทรรศการผลงานวิจัย ได้ที่ www.nectec.or.th/ace2023
ข่าวประชาสัมพันธ์
ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. ประกาศผล การแข่งขันหุ่นยนต์ไร้การบังคับอัจฉริยะ ทีม Robot A และ ทีม FRANNNNN คว้าแชมป์ รับถ้วยรางวัลพระราชทาน กรมสมเด็จพระเทพฯ
(วันที่ 10 กันยายน 2566) ณ ลานกิจกรรม ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand: SWP) ร่วมกับศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และ ห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์ SQUAT ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) โดยการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)
จัดกิจกรรมมอบรางวัลการแข่งขันหุ่นยนต์ไร้การบังคับอัจฉริยะ“Robo Innovator Challenge 2023 By Software Park Thailand” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งการแข่งขันหุ่นยนต์อัจฉริยะไร้การบังคับได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันเพื่อเฟ้นหาความสามารถพิเศษ (Talent) ที่ใช้การควบคุมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Self-Driving Car) แบบไร้การบังคับ และยังสามารถตอบโจทย์ระบบโลจิสติกส์เพื่อช่วยขนส่งสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทางตามความต้องการของลูกค้าได้อีกด้วย
ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) สวทช. กล่าวว่า การแข่งขันครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สามหลังจากการมีการจัดแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 2563 ที่ได้รับการตอบรับและเป็นการปลุกกระแสการแข่งขันหุ่นยนต์อัจฉริยะ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligent (AI) แบบไร้การบังคับให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่สามารถก้าวข้ามกฎและกติกาเดิม ๆ และให้เกิดความท้าทายมากยิ่งขึ้นนับเป็นก้าวเริ่มต้นของการพัฒนากำลังคนโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาสร้างนวัตกรรมนำประเทศ
ในปีนี้ยังเพิ่มเติมความเข้มข้นในการแข่งขัน โดยแบ่งออกเป็นประเภทจูเนียร์ (Junior) ที่ยังคงมุ่งเน้นในเรื่องของการปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จตามโจทย์ที่กำหนด และประเภทเมเจอร์ (Major) ที่เพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจเสมือนจริง ในสถานการณ์จำลอง ให้สามารถต่อยอดใช้งานทางอุตสาหกรรมหุ่นยนต์บริการได้ต่อไปในอนาคต
“การแข่งขันครั้งนี้นอกจาก สวทช. จะสนับสนุนกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจผ่านการแข่งขันแล้ว ยังมุ่งสร้างเสริมการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ ตลอดจนสามารถถ่ายทอดนำไปสู่การใช้ประโยชน์ ส่งเสริมการพัฒนากำลังคนและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จำเป็น เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมระบบเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงให้ทันต่อการพัฒนาประเทศ ผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและมีขีดความสามารถบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก”
ดร.ภัทราวดี กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การแข่งขันหุ่นยนต์ไร้การบังคับอัจริยะ Robo Innovator Challenge 2023 By Software Park Thailand ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดระหว่าง 8-10 กันยายน 2566 ได้เสร็จสิ้นแล้ว ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรทุกหน่วยงานที่ร่วมจัดงานขึ้นมีความภูมิใจกับความสามารถของเหล่าเยาวชนคนไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกทีม ขอแสดงความยินดีกับผู้เข้าแข่งขันทุกท่าน ที่พิสูจน์ความสามารถและศักยภาพของตัวเอง ไม่ว่าท่านจะได้รับรางวัลหรือไม่ อย่างน้อยสิ่งที่ได้ประสบการณ์ล้ำค่าจากการแข่งขันครั้งนี้แน่นอน และขอให้ผู้ร่วมแข่งขันทุกท่านได้ถอดบทเรียนการแข่งขันครั้งนี้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ความรู้ความสามารถของตนเองเพื่อแก้โจทย์ภาคอุตสาหกรรม นำไปสู่การคิดค้นและออกแบบนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือหรือแก้ปัญหาให้กับสังคมและประเทศชาติ รวมไปถึงในเวทีการแข่งขันในระดับโลกอย่างต่อเนื่องสืบไป
สำหรับผลการแข่งขันประเภท Junior ซึ่งเป็นรุ่นอายุ 13-18 ปี ผลปรากฎว่า รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมRobot A ได้รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 10,000 บาท และยังได้รับรางวัลเทคนิคยอดเยี่ยม อีก 1 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล3,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม EasyKids-RoboSparkz ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตรและเงินรางวัล 7,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ทีมโรงเรียนวารินชำราบ ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 5,000 บาท และ รางวัลเทคนิคยอดเยี่ยม ได้แก่ทีม Speedy ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 3,000 บาท
และ ผลการแข่งขันประเภท Major ซึ่งเป็นรุ่นไม่จำกัดอายุ ช่วงชั้นและสังกัด ผลปรากฎว่ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม FRANNNNN ได้รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 15,000 บาท และยังได้รับรางวัลเทคนิคยอดเยี่ยม อีก 1 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 3,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม เมคคาห้อง 408 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีมหุ่นยนต์วิ่งมั่ว ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 7,000 บาท และ รางวัลเทคนิคยอดเยี่ยม ได้แก่ ทีม EasyKids-Janjam ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 3,000 บาท
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. – ผส.- สสส. ชวน ขึ้นทะเบียนและค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ ผ่านไลน์ แชทบอท @jaideecity ภายใต้ “เมืองใจดี ผู้สูงวัยHappy”
9 กันยายน 2566 ณ วัดนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา : นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นประธานเปิด “งานแพลตฟอร์มการขึ้นทะเบียนและค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ ภายใต้ “เมืองใจดี ผู้สูงวัยHappy” จัดโดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. ร่วมเป็นเกียรติในพิธี
นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งกระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายผู้สูงอายุ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุทุกกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมทั้งมิติสุขภาพ ร่างกายและจิตใจ ฐานะทางเศรษฐกิจ รวมถึงสภาพแวดล้อมทางสังคม โดยในวันนี้ได้นำร่องทำหน้าที่ปรับปรุงและซ่อมห้องน้ำและที่สาธารณะ ในวัดนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้อำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและเอื้อประโยชน์ในการเดินทางท่องเที่ยว ที่ปราสาทนครหลวง ณ วัดนครหลวง อีกทั้งยังมี สวทช. หน่วยงานด้านการวิจัยของประเทศ พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อติดตามว่าพื้นที่ใดมีห้องน้ำ ทางลาด และสิ่งอำนวยสะดวกต่าง ๆ สำหรับผู้สูงอายุเพื่อร่วมกันค้นหาและพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จริง
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานสนับสนุนหลัก ในงานเปิดแพลตฟอร์มการขึ้นทะเบียนและค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ ภายใต้ “เมืองใจดี ผู้สูงวัยHappy” และเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ Line Chatbot เมืองใจดีเที่ยวทุกวัย @jaideecity ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue ซึ่งเป็นงานวิจัยที่เป็น 1 ใน 4 เรื่องหลักที่สวทช. สร้างกลยุทธ์ NSTDA Core Business ‘นำพลังวิจัยรับใช้สังคม’ เพื่อนำงานวิจัยที่เป็นความเชี่ยวชาญของ สวทช. มาแก้ปัญหาคอขวดงานวิจัยของประเทศไทยจำนวนมากที่ยังไม่สามารถผลักดันไปสู่การใช้จริงในภาคส่วนต่าง ๆ ได้
สำหรับกิจกรรม “เมืองใจดี ผู้สูงวัยHappy” มีวัตถุประสงค์เพื่อขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและเจ้าของพื้นที่ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สามารถร่วมกันเพิ่มข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุที่ตนเองพบเจอหรือเป็นเจ้าของ ผ่าน LINE OA: @jaideecity โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ระบบสามารถพูดคุย เพื่อรับข้อมูลสิ่งอำนวยสะดวกได้โดยอัตโนมัติ และประมวลผลเป็นฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อผู้พิการและผู้สูงอายุของประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลการขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวก ได้ทุกพื้นที่ ทุกเวลา และสามารถดูได้บนแผนที่ออนไลน์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำให้ทุกคนสามารถค้นหา เข้าถึงและใช้ประโยชน์ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น
“สวทช. เล็งเห็นความสำคัญ ของการแบ่งปันข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกให้ ผู้สูงอายุ และคนพิการ จึง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทุกท่านทุกองค์กร จะนำนวัตกรรมพร้อมใช้นี้ไปประยุกต์ใช้งานเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ คนพิการ และประชาชนทั่วไป ดังนั้นจึงขอเชิญชวนหน่วยงานราชการ เอกชน สถานประกอบการ ผู้ดูแลอาคารสถานที่ และประชาชนทั่วไป ร่วมขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการและผู้สูงอายุ เพื่อแบ่งปันข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกให้เพื่อนร่วมทาง ไปถึงจุดหมายได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา ทุกสภาพร่างกาย เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง “เมืองใจดี เที่ยวได้ทุกวัย” ให้ผู้สูงอายุและคนพิการ ได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันในสังคม”
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. กล่าวว่า สวทช. ทำแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อเก็บข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ ในปีนี้ทำงานร่วมกับกรมกิจการผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุเมื่อเดินทางไปที่ใดกับผู้ดูแลหรือลูกหลาน สามารถมีส่วนช่วยขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ ในพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น ทางลาด ห้องน้ำ ฯลฯ เข้ามาในระบบเพื่อให้ผู้อื่นที่เข้ามาใช้ แพลตฟอร์มในรูปแบบแอปพลิเคชันไลน์ เพียงแต่เพิ่มเพื่อน @jaideecity จากไลน์ได้ทันทีโดย ไม่ต้องลงแอปฯ ใหม่ และเข้าไปค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ใกล้ ๆ เพื่อทุกคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ๆ เมื่อมีความจำเป็นต้องเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันกับคนในครอบครัว
ทั้งนี้ สวทช. ในฐานะผู้พัฒนา Traffy Fondue ขยายผลแพลตฟอร์มเมืองใจดี ไปยังผู้สูงอายุ ร่วมกับกรมกิจการผู้สูงอายุ นำร่องที่วัดนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นที่แรก ซึ่งกรมกิจการผู้สูงอายุ มีชมรมผู้สูงอายุหลายหมื่นชมรมทั่วประเทศ ดังนั้นมีความหวังว่าจะให้ผู้สูงอายุในชมรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่สาธารณะ จะได้ช่วยกันขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้ทุกคนที่เข้าถึงได้ และอำนวยความสะดวกทั้งเรื่องการเดินทางและการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันต่อไป
ผู้สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มข้อมูล หรือ ค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ เช่น ที่จอดรถ ทางลาด ห้องน้ำ โดยคลิ๊กที่ลิงก์นี้ได้ทันที https://line.me/R/ti/p/%40743rvooq
ข่าวประชาสัมพันธ์
บริษัท อาร์ดี เทอร์มอล จำกัด มอบเงินสนับสนุนกองทุนวิจัย สวทช.
(วันที่ 8 กันยายน 2566) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และนายภาณุทัต ธรรมบุศย์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการทางการเงินเพื่อนวัตกรรม สวทช. ให้การต้อนรับ นายปราชญ์ เยาวพงศ์ศิริ กรรมการบริษัท อารดี เทอร์มอล จำกัด ในโอกาสมอบเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. จำนวน 3,036,000 บาท เพื่อสนับสนุนงานทางด้านการวิจัย พัฒนาของประเทศไทย และรับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI )
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวขอบคุณ บริษัทฯ ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะเทคโนโลยี และนวัตกรรม โดย สวทช. จะนำเงินสนับสนุนไปใช้ในพันธกิจหลักเกี่ยวกับกิจกรรมการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค สนับสนุนและส่งเสริม SMEs ในประเทศ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมต่อไป
ทั้งนี้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากบริษัท อาร์ดี เทอร์มอล จำกัด ได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยแห่งชาติ ของ สวทช. อาทิ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยวัสดุเฉพาะทางสำหรับการประยุกต์ใช้ทางวิศวกรรม และห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่งของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสนใจและเห็นประโยชน์ของกองทุนวิจัยฯ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนระบบนิเวศนวัตกรรมด้านการวิจัยของประเทศพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในการนี้ สวทช. ขอเชิญชวนท่านร่วมมีส่วนในการสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยร่วมบริจาคเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของ สวทช. และผู้บริจาคจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจาก BOI
ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจะเป็นไปตามการสนับสนุนเงินซึ่งคำนวณจากรายได้ 3 ปีแรก (1-5%) โดยได้ยกเว้นวงเงินภาษีเงินได้เพิ่มเติม 200%ของเงินสนับสนุน และได้รับระยะเวลายกเว้นเงินภาษีเพิ่มเติม 1-5 ปี (รวมสิทธิเดิมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี)
หากสนใจสามารถสอบถามหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
งานสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรมภาคเอกชน (TEI)
ฝ่ายบริการทางการเงินเพื่อนวัตกรรม (IFS)
เบอร์โทร. 02-5647000 ต่อ 1335 หรือ 1308
https://www.nstda.or.th/tei/service/service-%E0%B8%BAboi/sti-fund.html
ข่าวประชาสัมพันธ์


