ผลการค้นหา :

สวทช. เปิดเวทีต่อยอดผลงาน โครงการ SUCCESS 2022 เชื่อมโยงการใช้ระบบนิเวศวิจัย ด้าน วทน.
(22 กุมภาพันธ์ 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดกิจกรรม “NSTDA Connect: A Network of Success ต่อยอดรวยด้วยเทคโนโลยีและงานวิจัยกับ สวทช.”
เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างงานบริการและงานวิจัยซึ่งเป็นหน่วยงานภายในของ สวทช. กับผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมโครงการ SUCCESS 2022 ให้เกิดการต่อยอดความร่วมมือการเชื่อมโยงสตาร์ตอัปให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและกลไกของ สวทช. หรือระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ได้เข้าถึงกลุ่มผู้ที่สนใจในการนำเทคโนโลยีในการเข้าไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจและได้นำไปใช้ประโยชน์ออกสู่เชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ แนะนำถึงเทคนิคและการต่อยอดธุรกิจ ซึ่งในงานดังกล่าว ฯ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในโครงการ SUCCESS 2022 มากกว่า 50 คน
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า BIC เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการจนสามารถดำเนินกิจการของตนได้อย่างประสบความสำเร็จ ซึ่งดำเนินกิจกรรมแบบมีแนวทางที่หลากหลายตามความเหมาะสมทำให้ผู้ประกอบการสามารถมีแนวคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีโอกาสนำผลงานของตนออกสู่เชิงพานิชย์อย่างจริงจัง พร้อมกับการประสานแหล่งทุน รวมทั้งสามารถวางแผนธุรกิจที่นำไปดำเนินการได้จริงสามารถไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งจะเกิดการพัฒนาธุรกิจอันก่อให้เกิดรายได้ นำไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจที่เข้มแข็งเป็นรากฐานที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี (SUCCESS) เป็นโครงการที่ช่วยสนับสนุนและช่วยเหลือในการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจเทคโนโลยี โดยจัดให้มีการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาด้านเทคนิค ธุรกิจ กฎหมาย การตลาด การบริหารจัดการองค์กรและบุคลากรแบบ 1 ต่อ 1 ตลอดถึงการสนับสนุนการออกตลาด หรือหาพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศสำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมโดยโครงการฯ เหมาะสำหรับผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชัดเจน อาทิ Modern Agriculture / Sustainable Food & Ingredients / Biodiversity / Medicine & Biopharmaceuticals / Medical Devices, Digital Health & Assistive Technology / Energy Innovation / Biochemicals & Biobased Materials / Digital Services & Smart Electronics และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ต้องการเตรียมตัวสร้างรากฐานให้องค์กรธุรกิจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และต้องการพันธมิตรเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจต่อยอดความสำเร็จ และเรียนลัดจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว ภายใต้แนวคิดหลัก คือ แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืนแบ่งกันรวยช่วยกันโต และพร้อมกับการรับโอกาสดี ๆในชีวิต
ดร.จิรัชญา ดวงบุรงค์ ผู้จัดการศูนย์สนับสนุนและให้บริการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย (TTRD) ได้แนะนำการประเมินศักยภาพในการประกอบธุรกิจบนพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Thailand Technology Rating System: TTRS) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมทราบถึงขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของตนเอง เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งในส่วนของสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือการเข้าถึงกลไกสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ จากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ
นางสาวศกุนต์กานต์ ปาลกะวงศ์ นักวิเคราะห์ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) กล่าวถึงโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation and Technology Assistance Program: ITAP) แนะนำกลไกเชื่อมโยงผู้ให้บริการเทคโนโลยี (Technology Service Providers) เข้ากับผู้ใช้เทคโนโลยี (Technology Users) ซึ่งจะมีบริการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเข้าไปให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทำโครงการเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
นางสาวสุพินยา อุปลกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี (BITT) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า นาโนเทค สวทช. มีภารกิจหลักในการทำวิจัยเเละพัฒนา เเละออกเเบบทางวิศวกรรมเพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมเเละสังคมอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสากล โดยได้นำเสนอผลงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอดทางเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการ ได้แก่ Nano Processing, Nano Devices & Systems, Nano Materials, Nano Characterization & Standardization
ด้าน นายเกียรติรัตน์ ทองผาย ที่ปรึกษาอาวุโสศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC) ได้กล่าวถึงโครงการและเเหล่งทุนเพื่อสนับสนุนและต่อยอดให้แก่ผู้ประกอบการสำหรับปี 2566 นี้ ได้แก่ โครงการBCG Startup, โครงการ SUCCESS2023 , โครงการ Innovation Product for Sustainable Economy เเละ โครงการ Food accelerate 2023 ซึ่งทั้ง 4 โครงการนี้ได้เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว
นอกจากนี้ยังได้เปิดคลินิกให้คำเเนะนำผู้ประกอบการที่สนใจบริการต่าง ๆ ของ สวทช. เข้ารับคำปรึกษาเป็นรายบริษัท เพื่อเเนะนำกลไกสนับสนุนจากภาครัฐมาช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเเละสตาร์ตอัป ให้สามารถดำเนินธุรกิจบนฐานเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตด้วยการสนับสนุนจาก สวทช. ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/NstdaBIC/ หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 71746 , 71745 , 81490 , 81492
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘NPV ไวรัสฝ่าวิกฤติหนอนกล้วยไม้ดื้อยา’
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/npv-product-helps-revive-thai-orchid-farms.html
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยบางรายจำต้องขาดสภาพคล่องหนัก เพราะการหวนกลับมาระบาดของ ‘หนอนกระทู้หอม’ ศัตรูพืชตัวฉกาจในรอบ 10 ปี ซ้ำร้ายสารเคมีปราบศัตรูพืชทุกชนิดที่เคยใช้ได้ผลกลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปด้วยปัญหา ‘การดื้อยา’ ส่งผลให้เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลักล้านบาท
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแก้ปัญหาเคียงข้างผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ จังหวัดนครปฐม นำ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nucleopolyhedro Virus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในแมลงเข้าปราบหนอนกระทู้หอมในพื้นที่จนสำเร็จ
สายด่วนจาก ‘หนุ่มสวนกล้วยไม้’
จุดเริ่มต้นของการใช้ไวรัส NPV ช่วยชาวสวนกล้วยไม้ต่อสู้กับหนอนกระทู้หอม ต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2562 ที่มีโทรศัพท์สายหนึ่งติดต่อมายังกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ (AVIG) ไบโอเทค สวทช. ในตอนนั้นปลายสายสอบถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนักว่า ‘ที่นี่ผลิตไวรัส NPV ใช่หรือไม่ ใช้ปราบหนอนที่กัดกินต้นกล้วยไม้ได้ด้วยหรือเปล่า’
[caption id="attachment_40217" align="aligncenter" width="700"] สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ (กบ) หัวหน้าทีมวิจัย ไบโอเทค สวทช.[/caption]
สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ (กบ) หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีไวรัส เอ็นพีวี เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ (AVIG) ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า ตอนนั้นเจ้าของสวนกล้วยไม้วัยหนุ่มจากจังหวัดนครปฐมโทรศัพท์ติดต่อมาที่แล็บ เพื่อสั่งซื้อไวรัส NPV สำหรับนำไปกำจัดหนอนที่สวนกล้วยไม้ หลังจากพูดคุยกัน 2-3 ครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ชนิดพันธุ์ของหนอนจากภาพถ่าย (ไวรัสมีฤทธิ์จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอน) เจ้าของสวนรายนั้นก็ตัดสินใจขับรถจากนครปฐมตรงมาที่แล็บเพื่อนำตัวอย่างหนอนมาให้ทีมวิจัยจำแนกชนิดถึงที่ด้วยตัวเอง
“ความมุ่งมั่นของเขาทำให้ทีมตัดสินใจทันทีว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ โอกาสที่จะได้ทดลองใช้ไวรัส NPV ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งก็ถือว่าตัดสินใจได้ถูก เพราะปัญหาที่เขาเผชิญรุนแรงกว่าที่คิด ตอนนั้นภาพที่ได้ไปเห็น คือ ต้นกล้วยไม้ในแปลงขนาด 60 ไร่ กำลังโดนกัดกินจนใบและดอกแหว่ง มีหนอนกระทู้หอมกระจายอยู่ทั่วสวน หากไม่รีบแก้ไขอาจไปถึงจุดที่ต้องรื้อทิ้งทั้งแปลงได้”
สาเหตุความเสียหายหนักครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการบุกเข้าทำลายของ ‘หนอนกระทู้หอม’ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจมาแต่ครั้งเก่าก่อน แต่ยังถูกซ้ำด้วยปัญหา ‘การดื้อยา’ ที่ไม่ว่าสารเคมีชนิดไหนก็ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้
[caption id="attachment_40212" align="aligncenter" width="700"] ศุภิสิทธิ์ ว่องวณิชพันธุ์ (คุ้น) ผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม[/caption]
ศุภิสิทธิ์ ว่องวณิชพันธุ์ (คุ้น) ผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เล่าว่า ตอนนั้นสวนกล้วยไม้โดนหนอนกระทู้หอมบุกเข้าทำลายมาเกินครึ่งปีแล้ว สารเคมีทุกสูตรเอาไม่อยู่ ‘หนอนดื้อยา’ ขณะกำลังพะวงว่าจะต้องรื้อกล้วยไม้ออกทั้งหมดเพื่อพักแปลงหรือไม่ ก็โชคดีมีรุ่นพี่คนหนึ่งในแวดวงไม้ใบแนะนำว่า ‘NPV ใช้ปราบหนอนได้นะ’ จึงรีบหาข้อมูลและติดต่อไปที่แล็บของไบโอเทคเพื่อขอซื้อมาทดลองใช้ทันที ตอนนั้นคิดแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ต้องพักแปลง เพราะไม่ใช่แค่เราที่เสียหายหนัก ลูกน้องจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้
NPV ไวรัสปราบหนอน ‘ปลอดภัย ไม่ดื้อยา’
NPV คือ ไวรัสก่อโรคในแมลงที่มีความจำเพาะกับหนอนของแมลง 3 ชนิด คือ หนอนกระทู้หอม (SpexNPV) หนอนกระทู้ผัก (SpltNPV) และหนอนเจาะสมอฝ้าย (HearNPV) ซึ่งหนอนทั้ง 3 ชนิด เป็นศัตรูพืชหลักของพืชเศรษฐกิจไทย เช่น หอมแดง หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ผักตระกูลสลัด ผักตระกูลกะหล่ำ ส้ม องุ่น ดาวเรือง กุหลาบ รวมถึงกล้วยไม้
สัมฤทธิ์ อธิบายถึงไวรัส NPV ว่า เมื่อหนอนกินไวรัสที่ฉีดพ่นไว้ที่พืชผัก จะเกิดอาการป่วยบริเวณกระเพาะอาหาร (สังเกตได้จากสีตัวที่เปลี่ยนแปลงไป) ทำให้กินอาหารน้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอนจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาไบโอเทคได้ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและพันธมิตรพัฒนากระบวนการผลิต NPV จนพร้อมผลิตในระดับอุตสาหกรรม และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด และบริษัทบีไบโอ จำกัด
หลังจากทีมลงพื้นที่เพื่อประเมินวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนการรับมือกับปัญหา พบว่าหนอนกระทู้หอมระบาดหนักมาก จึงได้แนะนำให้ใช้ NPV ในสัดส่วนความเข้มข้นสูง (ความเข้มข้น 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร) เพื่อหยุดการลุกลามของหนอน
[caption id="attachment_40201" align="aligncenter" width="500"] ลักษณะของต้นกล้วยไม้ที่โดนหนอนกระทู้หอมกัดกิน[/caption]
“ช่วงแรกของการใช้งานยอมรับว่าต้องอาศัยความเชื่อใจพอสมควร” ศุภิสิทธิ์ กล่าวเสริม และเล่าว่า การใช้ NPV ความเข้มข้นสูงหมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วย ตอนฉีดพ่น NPV ครั้งแรกตอนนั้นต้องรอ 3-5 วันถึงจะเริ่มเห็นผล แต่หลังจากกำจัดรุ่นต่อรุ่นไปได้ประมาณ 2 เดือน ก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า ‘ปราบอยู่’ ตอนนี้ผ่านมา 3-4 ปีแล้ว บอกได้เลยว่า ‘ไม่กลัว รับมือได้สบายมาก’ ก่อนที่พี่กบเข้ามาช่วยเหลือเคยจ้างลูกน้องจับหนอนตัวละบาท จับกันได้มากกว่า 300 ตัวต่อวัน แต่วันนี้เดินผ่านเข้าไปในแปลงกล้วยไม้ซัก 2 แถว ประมาณ 4,000 ต้น จะเจอหนอนอย่างมากแค่ 10 ตัว อยู่ในจุดที่รับได้ (ยิ้ม) แค่คอยคุมไม่ให้หนอนรุ่นใหม่ที่หลุดเข้ามาขยายพันธุ์จนลุกลามก็พอ”
ศุภิสิทธิ์ ไม่เพียงเป็นชาวสวนที่กล้าเปิดใจรับสารชีวภัณฑ์ แต่เขายังผันตัวเป็น ‘นักทดลอง’ ปรับสัดส่วนการใช้สาร NPV จนพบสูตรที่เหมาะแก่การควบคุมหนอนกระทู้หอมในแปลงกล้วยไม้
“ด้วยความชอบคิดชอบลอง จึงได้ทดลอง ‘ปรับสัดส่วนการใช้สาร NPV’ และ ‘รูปแบบการฉีดพ่นสาร’ หลายครั้ง ตัวอย่างหนึ่งที่ทดลองแล้วสำเร็จและพี่กบได้นำไปใช้เป็นต้นแบบให้สวนอื่นๆ คือ การปรับปริมาณการฉีดพ่นจาก 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร สัปดาห์ละ 1 ครั้งในสถานการณ์ปกติ (สัดส่วนที่เหมาะกับการควบคุมปริมาณหนอนกระทู้หอมในภาพรวมของการปลูกพืชผักทั่วไป) ให้เหลือเพียงฉีดพ่น 5 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เดือนละ 1-2 ครั้ง เพราะจากการทดสอบพบว่าสัดส่วนเท่านี้ดีเพียงพอต่อการดูแลต้นกล้วยไม้ไม่ให้โดนหนอนกัดกินแล้ว ซึ่งผลลัพธ์นี้ก็ช่วยให้พี่น้องในแวดวงกล้วยไม้เปิดใจมาใช้ NPV มากขึ้นด้วย เพราะนอกจากหนอนจะไม่ดื้อยา ค่าใช้จ่ายยังถูกกว่าการใช้สารเคมีในระยะยาวมาก” ศุภิสิทธิ์เล่าด้วยความภูมิใจ
‘กอบกู้สวน’ ที่กำลังสลาย รายได้เป็นศูนย์
แน่นอนว่าการระบาดของหนอนกระทู้หอมไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้แก่สวนกล้วยไม้ของผู้ประกอบการรายเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสวนกล้วยไม้อีกหลายแห่งในจังหวัดนครปฐม ต้องเผชิญกับวิกฤติไม่แพ้กัน หนึ่งในนั้นคือ บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด ที่ทีมวิจัยถึงขั้นเอ่ยปากว่า ‘สถานการณ์หนักหนานัก’
สัมฤทธิ์ เล่าว่า ภาพสวนกล้วยไม้ที่เห็นชวนหดหู่มาก ต้นกล้วยไม้จำนวนมากเหลือแต่ก้าน สาเหตุมาจากปัญหาเดียวกัน คือ ‘หนอนดื้อยา’ ไม่ว่าจะใช้สารเคมีสูตรไหนปริมาณมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถกำจัดหนอนกระทู้หอมได้แล้ว ตอนนั้นเราจึงรับที่จะช่วยเหลือทันที โดยใช้พื้นที่ 1 แปลง ขนาด 75 ไร่ ในการพิสูจน์ให้เห็นว่า NPV ใช้ได้ผลจริง
คำว่า ‘เจ๊ง’ คือคำจำกัดความที่สะท้อนถึงสถานการณ์ธุรกิจกล้วยไม้ในปี 2562 จากผู้ประกอบการรายนี้ และอีกหลายรายในจังหวัดนครปฐมที่ต้องเผชิญปัญหาเดียวกัน
[caption id="attachment_40207" align="aligncenter" width="700"] เจ้าของสวนสุรชัย (คม) บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด[/caption]
เจ้าของสวนสุรชัย (คม) บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด เล่าว่า หลังจากหมดค่าสารเคมีไปหลายแสนต่อเดือนก็ยังรับมือกับหนอนกระทู้หอมไม่สำเร็จ ‘กล้วยไม้โดนกัดกินจนเหลือแต่ก้าน’ จึงตัดสินใจสั่งให้คนงานมัดรวมต้นกล้วยไม้ในแปลงหนึ่งเพื่อชั่งกิโลขายในราคาต่ำกว่าทุน และตัดสินใจใช้อีกแปลงที่โดนหนอนกัดกินหนักเป็น ‘แปลงทดลองใช้ไวรัส NPV ปราบหนอน’ ต้องยอมรับเลยว่าในมุมของผู้ประกอบการ การจะตัดสินใจใช้ NPV เป็นเรื่องที่ต้องชั่งใจหนักมาก เพราะราคาของผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบตามปริมาณกับสารเคมีถือว่าค่อนข้างแพง และอย่างที่ทราบกันการใช้ชีวภัณฑ์ ‘เห็นผลช้า’
[caption id="attachment_40200" align="aligncenter" width="700"] ภาพต้นกล้วยไม้ที่เหลือแต่ก้าน ผู้ประกอบการให้คนงานมัดรวมเพื่อชั่งกิโลขายในราคาต่ำกว่าทุน[/caption]
“ทีมวิจัยใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการใช้ NPV ปราบหนอนกระทู้หอมรุ่นแรก และใช้เวลาอีก 2 เดือนกับการกำจัดหนอนรุ่นหลังที่เพิ่งเกิดใหม่ จนแทบไม่หลงเหลือหนอนในแปลง หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 เดือน ต้นกล้วยไม้ที่เคยเหลือแต่ก้านก็กลับมาออกดอกผลิบานอีกครั้ง จากที่แทบไม่เหลืออะไรกลายเป็นตัดดอกได้วันละหมื่นช่อ และโชคดีมากที่กล้วยไม้กลับมาออกดอกทันช่วงความต้องการในตลาดสูง ตอนนั้นตัดเพื่อส่งออกได้มากถึงวันละหลักแสนช่อ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังโทรไปเล่าให้พี่กบฟังด้วยความสุขทุกครั้งที่ตัดดอกส่งออกได้มาก ตอนนี้ผ่านมา 3 ปีแล้ว อัตราการใช้ NPV ของสวนลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงการฉีดพ่น 1-2 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น เพราะจัดการได้อยู่หมัดแล้ว วันนี้เราอยากขอบคุณทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ที่เข้ามาช่วยให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ ‘ไม่ใช่แค่ไปต่อได้แบบเรื่อยๆ แต่ไปต่อแบบพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก’ ตอนนี้เราเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของ สวทช. มาก หากมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ มาแนะนำ ก็ยินดีให้ใช้พื้นที่การเกษตรของบริษัทในการทดลอง ขอบคุณจริงๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์”
‘NPV ใช้ดีจริง’ การันตีจากระดับเซียน
ความสำเร็จจากการใช้ไวรัส NPV กอบกู้วิกฤติการระบาดของหนอนกระทู้หอมของสวนกล้วยไม้ทั้ง 2 แห่ง เริ่มเกิดกระแสปากต่อปากถึงประสิทธิภาพ NPV ที่ได้ผลจริง และไม่เกิดการดื้อยา ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาวได้ แต่คำบอกเล่าของใครจะดีเท่าจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องการปลูกกล้วยไม้
สัมฤทธิ์ เล่าว่า ‘เฮีย’ หรือ คุณสมลักษณ์ เลิศรุ่งวิทยาชัย เจ้าของบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเพาะปลูกกล้วยไม้ เพราะทำธุรกิจด้านนี้มายาวนานทั้งด้านการเพาะปลูกและการผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในการแพ็กช่อดอกเพื่อส่งออก เป็นที่รู้จักและยอมรับของคนในแวดวงนี้ ดังนั้นถ้าทำให้เฮียยอมรับได้ ก็เหมือนได้รับใบเบิกทางในก้าวเข้าสู่วงการกล้วยไม้
[caption id="attachment_40197" align="aligncenter" width="500"] สมลักษณ์ เลิศรุ่งวิทยาชัย เจ้าของบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด[/caption]
สถานการณ์ปัญหาการระบาดของสวนบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด แตกต่างจาก 2 สวนก่อนหน้ามาก เพราะปริมาณหนอนกระทู้หอมที่พบจากการสำรวจไม่มากอย่างที่คิด แต่สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหญ่อย่างเฮียสมลักษณ์การมีหนอนกระทู้หอมหลงเหลืออยู่ในแปลงถือว่า ‘จัดการได้ไม่ดีพอ’
สมลักษณ์ เล่าว่า ที่ผ่านมาการจัดการกับหนอนกระทู้หอมทำได้ยาก ต้องสั่งสารเคมีมาใช้ในปริมาณมาก เสียค่าใช้จ่ายหลักแสนต่อเดือนเพื่อกำจัดหนอนออกจากสวน จนตอนนี้หนอนก็เริ่มดื้อยาแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับตรงๆ ว่าการจะให้ลองเปลี่ยนมาใช้ชีวภัณฑ์กำจัดหนอนแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำใจได้ยาก เพราะเห็นผลช้า จะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่มั่นใจ ที่แน่ๆ ผลผลิตเราเสียหายไปทุกวัน
“ตอนนั้นหลังจากคุ้นรุ่นน้องในวงการที่ต้องเผชิญปัญหาการกลับมาของหนอนกระทู้หอมเล่าให้ฟังว่าที่สวนได้รับการช่วยเหลือจากทีมวิจัยไบโอเทคจนสามารถรับมือกับหนอนกระทู้หอมได้สำเร็จ เราจึงตอบรับให้ทีมวิจัยเข้ามาทำการทดสอบที่สวนดูบ้าง ซึ่งผลที่ได้ก็เป็นไปตามคำกล่าวขานนะ ‘คุ้มจริงๆ’ แม้ช่วงแรกต้องลงทุนหนักตามที่อาจารย์สัมฤทธิ์บอก เพื่อลดปริมาณหนอนจนคุมสถานการณ์ได้ ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง แต่หลังจากนั้นเมื่อกลับสู่สถานการณ์ปกติก็ลดปริมาณ NPV ที่ใช้ลงได้กว่าครึ่ง ตอนนี้เราปรับมาใช้เทคนิคฉีดพ่นตามรอบในสัดส่วนที่เราวางไว้เพื่อควบคุมไม่ให้มีหนอนรุ่นใหม่มากัดกินจนเสียหายแล้ว อาจารย์บอกไว้นะว่าสามารถลดอัตราส่วนและปริมาณการฉีดลงเพื่อลดต้นทุนได้ แต่เราเลือกแล้วว่าจะใส่ตามสูตรที่วางไว้เพื่อให้มั่นใจในผลผลิต ‘เอาให้สบายใจ’ (ยิ้ม) เพราะอย่างไรต้นทุนที่ลงไปอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ถูกกว่าใช้สารเคมี ถ้ามีเพื่อนในแวดวงเดียวกันเจอปัญหาหนอนกระทู้หอมบุกจะแนะนำให้ใช้แน่นอน เพราะใช้แล้วได้ผลจริง” สมลักษณ์ เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสะท้อนถึงความสบายใจระหว่างพาเดินชมสวน
[caption id="attachment_40195" align="aligncenter" width="700"] ปฐมพร ไล่ชะพิษ (เจี๊ยบ) เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. (คนกลาง)[/caption]
“ครั้งแรกที่เจอเฮียแตกต่างจากวันนี้มาก เพราะตอนนั้นเฮียมีแต่สีหน้าที่ตึงเครียดและคำบ่นด้วยความทุกข์ใจ แต่วันนี้นอกจากเฮียจะมีรอยยิ้มให้แล้วยังบอกด้วยว่า ‘ผลประกอบการดี’ ” สัมฤทธิ์ กล่าวเสริมด้วยความภูมิใจ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายถึงปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จว่า
“คำที่ทีมวิจัยใช้บอกแก่ผู้ประกอบการหรือเกษตรกรเสมอ คือ ‘ศัตรูพืชชนิดนี้ ยกให้เป็นหน้าที่เรา’ เพราะทีมวิจัยทราบดีว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญที่สุดคือ ‘คุณภาพของผลผลิต’ ดังนั้นหากมีวิธีการใดจะช่วยทำให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้นและลดต้นทุนการผลิตได้ ผู้ประกอบการก็ต่างยินดีเปลี่ยน เพียงแต่เราต้องพิสูจน์ให้เห็นและเชื่อว่า ‘สิ่งที่เราเสนอให้ใช้หรือวิธีการที่เสนอให้ทำนั้นดีจริงๆ’ โดยการให้ความรู้และคำแนะนำในการทำงาน ลงมือทำให้เขาเห็น คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้าง รวมถึงเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดไปด้วยกัน หลังจากนั้นเมื่อคนกลุ่มหนึ่งทำได้สำเร็จแล้ว ก็จะเกิดการบอกต่อองค์ความรู้ สร้างแรงกระเพื่อมในการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่ต่อไป”
นอกจากการร่วมเดินเคียงข้างผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่จังหวัดนครปฐมแล้ว ทีมวิจัยและนักวิชาการจาก สวทช. รวมถึงหน่วยงานพันธมิตร ยังร่วมกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงกระบวนการการทำงานอีกหลายผลงาน เพื่อช่วยยกระดับการเกษตรของไทยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตามแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ทั้งนี้ติดตามผลงานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่ www.bcg.in.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ ปฏิวัติ อ่อนพุทธา ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. จัดงานสัมมนา “Sustainability in Food Industry” เสริมแกร่งธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-food-acceleration-program-for-sustainability-in-food-industry.html
(22 กุมภาพันธ์ 2566) ณ ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดงานสัมมนาหัวข้อ “Sustainability in Food Industry” เพื่อให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์แก่ผู้ประกอบการ ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร อีกทั้งให้แนวคิด เทคนิคต่าง ๆ ในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอาหาร เพื่อรับมือกับความท้าทาย ในสถานการณ์ Covid-19 โดยภายในกิจกรรมสัมมนาได้รับเกียรติจาก ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน
[caption id="attachment_40641" align="alignnone" width="2500"] ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า งานในวันนี้เป็นงานสัมมนาภายใต้โครงการเร่งการเติบโตผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร ให้มีการเพิ่มรายได้ในระดับสูง หรือ Food Acceleration Program โดยเป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างความเข้มแข็งและแรงบันดาลใจไปสู่การดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างสมดุลและยั่งยืน และที่สำคัญคือ การเชื่อมโยงบริการต่าง ๆ ของสวทช. ในการสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี ทิศทางของเศรษฐกิจโลก ถือเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าทั้งในและต่างประเทศ อันจะนำมาสู่การเพิ่มรายได้ระดับสูง ให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารรายใหม่ต่อไป
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ทำให้พบว่ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารเป็นกลุ่มที่สำคัญ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอาหารมีแนวโน้มขยายตัว หลายประเทศนำเข้าอาหารมากขึ้น ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัว มีการเจรจาทางการค้ากับตลาดใหม่ๆ มากขึ้น โดยสำหรับในปี 2566 หอการค้าไทยได้บูรณาการข้อมูลประเมินแนวโน้มคาดการณ์ส่งออกสินค้าอาหารของไทยจะเติบโตที่ 0-2% หรือ มีมูลค่า 1.50-1.53 ล้านล้านบาท จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ สวทช. มุ่งมั่น และเห็นความสำคัญ ในการผลักดัน สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยได้จัดโครงการเร่งการเติบโตผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร ให้มีการเพิ่มรายได้ในระดับสูง หรือ Food Acceleration Program เป็นโครงการที่เสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเทคโนโลยี รายใหม่ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่มีมูลค่าสูง เพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ สร้าง platform เครือข่ายความร่วมมือและการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดและสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ สวทช. ยังได้มีการให้บริการแก่ผู้ประกอบการอีกหลายด้าน จากหลายทีมงานของ สวทช. ได้แก่
ด้านการเงิน : NSTDA Investment Center, NASTDA Holding
ด้าน IP Commercialization : สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (TLO)
ด้าน Infrastructure : Thailand Science Park , Software Park Thailand
ด้านอุตสาหกรรมอาหาร : เมืองนวัตกรรมอาหาร
ด้านการพัฒนาบุคลากร : สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต Career for the Future
[caption id="attachment_40643" align="aligncenter" width="2500"] ดร.วรรณพ-วิเศษสงวน-ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ-BIOTEC[/caption]
สำหรับงานในวันนี้ มีหัวข้อน่าสนใจ ได้แก่ Deep Tech Trends Shaping the Future of Food Industry, หัวข้อ The Way of Sustainability in Food Products, หัวข้อ FoodSERP เร่งการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารระดับประเทศ “New Engine for Food Sustainability” และเสวนาพิเศษ : Sustainability in Food Industry
ทั้งนี้ ภายในงานยังได้วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ดร.พัชร์ เอกปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง นักวิจัยอาวุโส (ไบโอเทค) สวทช. พร้อมด้วย น.สพ.ดร.กษิดิ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่นวัตกรรม บริษัท กรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. และ นางเดือนเพ็ญ ธาราธิติคุณ พยาบาลโภชนบำบัด บริษัทเบนส์เวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมเสวนาพิเศษในครั้งนี้ด้วย
สำหรับผู้สนใจในบริการทางด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ หรือกิจกรรมต่างๆ สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-564-7000 ต่อ 71746 , 71745 , 81490 , 81492
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

EECi สวทช. เดินหน้าขยายผลนวัตกรรม “ถุงห่อทุเรียน” เพิ่มคุณภาพสู่ ทุเรียนพรีเมี่ยม ด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรรม
17 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi): โดย ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำนวัตกรรม “ถุงห่อทุเรียน Magik Growth” ส่งมอบและขยายผลการใช้งานสู่ภาคการเกษตรกรที่ปลูกทุเรียนในจังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียนสู่ทุเรียนระยองพรีเมี่ยม
โดยมีนางสาวพจณี อรรถโรจน์ภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) พร้อมด้วย นายประสานต์ พฤกษาชาติ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ร่วมส่งมอบถุงห่อทุเรียนให้กับเกษตรกรจังหวัดระยองเป็นจำนวน 10,000 ถุง เพื่อนำไปใช้งานห่อลูกทุเรียนในฤดูกาลนี้
ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. มีการพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีนวัตกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตทุเรียนคุณภาพดีที่หลากหลาย อาทิ การพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียน การใช้สาร ชีวภัณฑ์ ระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะในการควบคุมการให้น้ำตามสภาพอากาศความต้องการ การจัดการปุ๋ย หลัก-รอง-เสริม และนวัตกรรมถุงห่อทุเรียนเพื่อการลดใช้สารเคมี ฟิล์มบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ปิดผนึกหน้าถาด บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ที่มีสมบัติกันกลิ่น เป็นต้น ทั้งนี้ในส่วนของการร่วมพัฒนา ทุเรียนพรีเมี่ยม เพื่อให้ทันช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตจะออกเป็นจำนวนมากในฤดูกาลนี้ การขยายผลการใช้งานนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งมีผลการวิจัยจากการทดลองต่อเนื่องทั้งในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม ว่ามีผลในการลดใช้สารเคมีและเพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียน น้ำหนักผลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ความหนาของเปลือกมีแนวโน้มบางลง เหมาะกับการส่งออกทุเรียนในอนาคต ที่ต่อไปจะเป็นการส่งออกเนื้อทุเรียนแกะแช่แข็ง ไม่ส่งเป็นลูกทุเรียน นอกจากนั้นแล้วถุงห่อทุเรียน Magik Growth สามารถใช้งานได้ 3-5 ปี จึงทำให้เกษตรกรประหยัดค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป และลดของเสียได้”
ทั้งนี้เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EECi ซึ่งกำกับดูแลโดย สวทช. มีนโยบายในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาของชุมชนโดยรอบพื้นที่ผ่านการนำเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร โดยได้เริ่มทำโครงการความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานสมาชิกของ EECi เพื่อกระตุ้นให้มีการจัดทำกิจกรรมที่อิงตามความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก นอกจากนี้เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพทางการศึกษาและทักษะของนักเรียน นักศึกษาในชุมชนโดยรอบ สมาชิกของ EECi ยังได้ให้การสนับสนุนให้มีการจัดให้มีโปรแกรมการเรียนการสอนแบบ STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) โดยได้มีการฝึกอบรมครูผู้สอนในเชิงเทคนิคสมัยใหม่ พร้อมเพิ่มกิจกรรมนอกหลักสูตรเสริมพิเศษให้กับนักเรียน
อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนของ EECi หรือ EECi RUNs Academy (Re-skill Up-skill New Skill) เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยผู้เชี่ยวชาญจากในและต่างประเทศ เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อให้กำลังคนมีทักษะสามารถที่จำเป็นนำต่อยอดไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจและสังคม
นางพจณี อรรถโรจน์ภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนโยบายและแผน สกพอ. กล่าวว่า กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับ สวทช. และองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ดำเนินการโครงการขยายผลการทดสอบถุงห่อทุเรียน รวมทั้งนวัตกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสมกับบริบทสวนทุเรียน ให้กับเกษตรกรในจังหวัดระยอง ที่เป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ผลจังหวัดระยอง ได้มีโอกาสทดลองใช้ นำตัวอย่างทุเรียนกลับมาทดสอบเปรียบเทียบผลผลิต และทำการประเมินความพึงพอใจจากเกษตรกร ซึ่งนอกจากจะเป็นหนึ่งแนวทางเป็นการเตรียมการแก้ปัญหาเรื่องการส่งออกแล้ว ยังเป็นหุ้นส่วนการร่วมทิศทางในการเป็นผู้ผลิตทุเรียนระยอง-ทุเรียนพรีเมี่ยม ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรรม เพื่อให้การสนับสนุนและเสริมศักยภาพทางเทคโนโลยีการเกษตรในการยกระดับคุณภาพผลผลิตทุเรียนในพื้นที่จังหวัดระยอง ด้วยการเปิดโอกาสให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนเข้าถึงการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสและสนับสนุนการพัฒนาทุเรียน
พรีเมี่ยม
สำหรับนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth เป็นวัสดุเสริมการเพาะปลูกชนิดสปันบอนด์นอนวูเวน (spunbond nonwoven) ที่กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. คิดค้นสูตรโพลิเมอร์คอมพาวด์จากการเลือกใช้ชนิดของโพลิเมอร์ เม็ดสี และสารเติมแต่งต่างๆ เช่น สารป้องกันยูวี และดัดแปรเนื้อวัสดุให้มีสมบัติพิเศษต่างๆ ได้แก่ มีโครงสร้าง 3 มิติในลักษณะที่เส้นใยสานกันไปมา ทำให้มีรูพรุนและความหนาที่ถ่ายเทน้ำและอากาศได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็แข็งแรงพอที่จะนำกลับมาใช้งานซ้ำได้ คัดเลือกช่วงแสงที่พืชต้องการและใช้สีที่ไม่ดึงดูดแมลง อีกทั้งสามารถออกแบบให้มีลักษณะตามการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น ถุงห่อ ถุงปลูก หรือวัสดุคลุมดิน
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมัครเข้าร่วม “โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate)” ประจำปี 2566
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช.
🚩ขอเชิญผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมัครเข้าร่วม “โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate)” ประจำปี 2566
🌟สวทช. ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้
1️⃣เงินสนับสนุนรูปแบบ matching fund ไม่เกิน 75% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 800,000 บาท สำหรับการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการตามแผนกิจกรรม
2️⃣ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญแบบ one on one
3️⃣การออกตลาดในรูปแบบการออกบูธนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ
📩ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและรายละเอียดโครงการได้ที่
https://www.nstda.or.th/home/news_post/food-accelerate-2023/
และส่งใบสมัครมาที่อีเมล foodac@nstda.or.th ภายในวันที่ 12 มีนาคม 2566
📍ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการฯ สวทช.
โทร 0 2564 7000 ต่อ 71746, 81490, 81492 และ 71745
ปฏิทินกิจกรรม

ยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สวทช. ร่วมกับ กรมการขนส่งทางราง และ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) กระทรวงคมนาคม ลงนามความร่วมมือ การขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรมด้านมาตรฐานและการทดสอบ สำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. โดย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมในด้านการทดสอบผลิตภัณฑ์ในระบบขนส่งทางรางระดับสากล และได้รับการรับรองคุณภาพ ISO/IEC17025 พร้อมขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการทดสอบมาตรฐานเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ของระบบรางอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย และยกระดับไปสู่การเป็นผู้นำระดับภูมิภาคต่อไปในอนาคต.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. ร่วมศูนย์ SEAMEO STEM-ED เสริมแกร่งครูไทย จัดอบรมความรู้ ‘วัคซีนสู้โรค’
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ นำโดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ร่วมกับศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO STEM-ED) โดย ผศ.ดร.บุรินทร์ อัศวพิภพ ผู้จัดการโครงการ STEM Resources and Capacity Building ด้วยการสนับสนุนโดยโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ Pre-Competition Teacher Workshop ความรู้ วัคซีนสู้โรค MICROBIOLOGY SCHOOLS COMPETITION Vaccines: fighting disease ภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 - 3 กุมภาพันธ์ 2566 ในรูปแบบ hybrid ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และ online ผ่านระบบ Zoom เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และจัดกิจกรรมการทดลองทางจุลชีววิทยาให้แก่ครูไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้นำกระบวนการเรียนรู้ หรือ facilitator เพื่อถ่ายทอดกิจกรรมการทดลองให้แก่ครูที่เข้าร่วมการอบรมจาก 11 ประเทศ และนำความรู้ไปประยุกต์สอนในชั้นเรียน โดยมีกำหนดจัดอบรมรอบจริง TEACHER WORKSHOP AND STUDENT VIDEO COMPETITION Vaccines: fighting disease ในวันที่ 20 - 21 และ 27 – 28 กุมภาพันธ์ 2566 ให้แก่ครูเครือข่ายศูนย์ SEAMEO STEM-ED จาก 11 ประเทศในอาเซียน และติมอร์ ตะวันออก เพื่อเป็นที่ปรึกษาโครงการประกวดการทำสื่อวีดิทัศน์ของนักเรียนและส่งผลงานประกวดในหัวข้อ Vaccines: fighting disease
สำหรับการอบรมในรอบ Pre-Competition Teacher Workshop เป็นการรับชมวีดิทัศน์ความรู้ทางด้านจุลชีววิทยา ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมถึงกระบวนการผลิตวัคซีน จาก Dr. Margaret Whalley ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของศูนย์ SEAMEO STEM-ED ซึ่งประกอบด้วยวีดิทัศน์ เรื่อง จุลินทรีย์คืออะไร (What are microbes?) เชื้อโรคที่มองไม่เห็น(The invisible enemy) การต่อสู้ของร่างกาย: การป้องกันด่านแรก (The body fights back: first lines of defence) การต่อสู้ของร่างกาย: ค้นหาและทำลาย (The body fights back: find and destroy!) และ การสอนให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค: วัคซีน (Teaching the body to fight infection: vaccines)
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากทีมผู้เชี่ยวชาญทางด้านจุลชีววิทยาจาก สวทช. นำทีมโดย ดร.นันท์ชญา วรรณเสน ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในการให้ความรู้เพิ่มเติมและให้คำแนะนำระหว่างการอบรมด้วย
ในส่วนของกิจกรรมการทดลองทางด้านจุลชีววิทยา นางสาวปัณรสี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ประสานงานโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย และทีมวิทยากรจากฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ได้นำกิจกรรมการทดลองที่หลากหลายให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองทำ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้นำกระบวนการเรียนรู้สำหรับวันอบรมจริง และนำไปประยุกต์สอนในชั้นเรียน โดยมีกิจกรรมการทดลอง ได้แก่ การทำโมบายจุลินทรีย์ (Making a microbe mobile) เพื่อรู้จักตัวอย่างของจุลินทรีย์และเรียนรู้เรื่องขนาดของจุลินทรีย์ การทำขนมปัง (Making bread) เพื่อเรียนรู้หลักการทำงานของยีสต์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่นำมาใช้ประโยชน์ในการทำอาหาร การสร้างโมเดลอะดีโนไวรัส (Make your own adeno virus) การทดลองเรื่องเราเป็นหวัดได้อย่างไร (How do we catch colds) การทดลองเรื่องการโจมตีเชื้อโรคของแอนติบอดี้ (Antibody attack) การทดลองเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่คืออะไร (What is herd immunity?) และการทดลองเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่ทำงานอย่างไร (How herd immunity works?)
นางสาวจุฑามาศ มีสุข ครูจากโรงเรียนอนุกูลนารี จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่ารู้สึกประทับใจ และดีใจมากที่ได้มาเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ นอกจากได้รับความรู้ทางด้านจุลชีววิทยาและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแล้ว ยังสามารถนำความรู้ที่ได้รับทั้งในส่วนของคลิปวีดิทัศน์และกิจกรรมการทดลองไปประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมในชั้นเรียนได้อีกด้วย ซึ่งกิจกรรมการทดลองนั้นน่าสนใจมาก เพราะได้ลงมือทำด้วยตนเอง และทำให้เข้าใจเนื้อหาความรู้ได้ดียิ่งขึ้น
ด้านนางสาวหทัยชนก ชนะชัย ครูจากโรงเรียนพิมายวิทยา จ.นครราชสีมา ได้กล่าวว่ากิจกรรมการทดลองต่าง ๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละระดับชั้นได้ หากเป็นนักเรียนในระดับมัธยมปลายก็สามารถเจาะลึกเนื้อหาเรื่องนั้นเพิ่มเติมได้หรือเพิ่มกิจกรรมการทดลองเชิงลึกให้เรียนรู้ได้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การทดลองเรื่อง Making bread จากการนำยีสต์มาใช้ประโยชน์ทำแป้งขนมปัง สามารถให้นักเรียนออกแบบและทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าการทำงานของยีสต์ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจริงหรือไม่และจะใช้วิธีการทดลองใดเพื่อพิสูจน์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
////////////////////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เปิดพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์ สรพ. เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล
(17 กุมภาพันธ์ 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) ในการขับเคลื่อนพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อพัฒนานวัตกรรมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนับสนุนองค์กรด้วยระบบ smart office ให้รองรับการให้บริการในยุคดิจิทัล โดยมี นางสาวศิรินาถ แถบทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. นายชุมชัย แซ่โง้ว ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลสารสนเทศ สวทช. และ นายสุภัค พงศ์ปิยะประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี สวทช. ให้การต้อนรับพร้อมร่วมแชร์ประสบการณ์
นางสาวศิรินาถ แถบทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า เนื่องจาก สวทช. เป็นองค์กรรัฐที่มีการบริหารขับเคลื่อนเป็นเวลากว่า 31 ปี และมีภารกิจที่หลากหลายทำให้ สวทช. ต้องมีการปรับรูปแบบพัฒนาระบบที่สนับสนุนองค์กรตั้งแต่เริ่มต้นงานจนถึงกระบวนการสุดท้ายของงานให้ตอบรับกับการทำงานขององค์กร นอกจากนี้ สวทช. ยังเป็นหน่วยงานแรกที่มีความร่วมมือกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่องการปรับปรุงกระบวนการให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์จากรูปแบบเดิม ดังนั้นไม่ว่ารูปแบบของระบบเบิกจ่าย การหารายได้ หรือจัดซื้อจัดจ้าง สวทช. พยายามทำเข้าระบบและให้เป็น Paperless มากที่สุด
ด้าน นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. กล่าวเสริมว่า นับเป็นอีกหนึ่งความตื้นตันใจที่ สวทช. ได้มีโอกาสช่วยกัลยาณมิตรที่ดีอย่าง สรพ. โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 หน่วยงานได้ทำงานร่วมกันมากว่า 5 ปีผ่านโครงการ 2P Safety Tech ทำให้สามารถส่งมอบบริการที่ดีให้กับประชาชนได้ และในวันนี้ สรพ. ยังเปิดโอกาสให้ สวทช. นำความรู้งานวิจัยและนวัตกรรมเข้าไปช่วยประชาชนและทำให้คุณภาพชีวิตของบุคลากรทางด้านสาธารณสุขดีขึ้น ซึ่ง สวทช. ยินดีอย่างยิ่งและพร้อมที่จะสนับสนุนต่อไปในอนาคต
แพทย์หญิงปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า สิ่งที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องเรียนรู้คือเรื่องการจัดการข้อมูลสารสนเทศ รวมถึงการบริหารจัดการงานหลังบ้าน ซึ่ง สรพ. ได้เล็งเห็นว่า สวทช. เป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ที่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานให้เกิดความคล่องตัวและมีธรรมาภิบาล โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ จึงเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และพัฒนานวัตกรรมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนับสนุนองค์กรด้วยระบบ smart office ให้รองรับการให้บริการในปัจจุบันที่เป็นยุคดิจิทัล เพื่อนำไปสู่การส่งมอบระบบบริการที่ดีให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ สรพ. ยึดมั่นตลอดมา
ทั้งนี้ในด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนับสนุนองค์กรได้รับเกียรติจาก นายชุมชัย แซ่โง้ว ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลสารสนเทศ สวทช. เป็นผู้ให้คำแนะนำรวมถึงแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จของการพัฒนาระบบต่าง ๆ พร้อมด้วย นายสุภัค พงศ์ปิยะประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี สวทช. ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ถอดบทเรียนความสำเร็จของการปรับเปลี่ยนงานการเงินและบัญชี ไปสู่องค์กรดิจิทัลในครั้งนี้
///////////////////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate) ประจำปี 2566
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate) ประจำปี 2566
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ขอเชิญผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมัครเข้าร่วม “โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate)” ประจำปี 2566 เพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด โดยเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมอาหารที่มีมูลค่าสูง เชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการตลาดและโอกาสขยายธุรกิจ ซึ่ง สวทช. ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในลักษณะเงินสนับสนุนรูปแบบ matching fund ไม่เกิน 75% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 800,000 บาท สำหรับการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการตามแผนกิจกรรม โดยมีระยะเวลาการสนับสนุนไม่เกิน 8 เดือน ตลอดจนได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัว การออกตลาดในรูปแบบการออกบูธนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ
ดาวน์โหลดใบสมัครโครงการ Food Accelerate ที่นี่
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มแผนการดำเนินงาน ที่นี่
ดาวน์โหลดข้อมูลโครงการ ที่นี่
ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและส่งมาที่อีเมล foodac@nstda.or.th ภายในวันที่ 12 มีนาคม 2566
หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการฯ สวทช.
โทร 0 2564 7000 ต่อ 71746, 81490, 81492 และ 71745
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมในงาน Thailand International Science Fair: TISF 2023
(15 กุมภาพันธ์ 2566) ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดกิจกรรม NSTDA Science Zone เป็นกิจกรรมศึกษาดูงานเชิงปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาให้นักเรียนมีความเป็นนักวิจัย นักประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและครู เข้าร่วมจำนวน 260 คน จาก 12 ประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้งาน Thailand International Science Fair : TISF จัดโดยโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่มีประเทศเข้าร่วมกิจกรรมทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์รวม 16 ประเทศ
[caption id="attachment_40526" align="aligncenter" width="2500"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมให้การต้อนรับเยาวชนและบรรยายพิเศษในหัวข้อ LANTA Supercomputer for National-Scale S&T Development โอกาสนี้กลุ่มเยาวชนได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการและหน่วยวิจัยของ สวทช. รวมทั้งเข้าร่วมฐานกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเรียนรู้วิทยาศาสตร์แสนสนุก เพื่อจุดประกายความคิดและสร้างแรงบันดาลใจการเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ รวมทั้งสานสัมพันธไมตรีระหว่างเยาวชนไทยและเยาวชนนานาชาติ
สำหรับกิจกรรมที่เยาวชนได้เข้าร่วมในครั้งนี้ อาทิ การเยี่ยมชมศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThailSC) เยี่ยมชมธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) เยี่ยมชมและสนุกกับกิจกรรม The Plant Factory & the Happy Veggies เรียนรู้ทักษะทางวิศวกรรมศาสตร์ การเขียนโปรแกรม และเรียนรู้เกี่ยวกับโดรนผ่านกิจกรรม Do Code Drone Camp กิจกรรม Innovation of Functional Ingredient ; Modified Starch เรียนรู้เทคโนโลยี CARBANO นวัตกรรมการผลิตวัสดุดูดซับระดับพรีเมียมที่จะมาช่วยดูแลคุณภาพชีวิต ด้วยการป้องกันมลพิษทางอากาศ ผ่านกิจกรรมเปิดโลกทัศน์ในการผลิตวัสดุดูดซับจากชีวมวลแบบครบวงจรกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ รวมทั้งลงมือทำกิจกรรม 10 ฐานกิจกรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

แผ่นยางพาราปูคอกสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดเสี่ยงโคนมพิการ-บาดเจ็บ ลดสารพิษปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/eco-friendly-rubber-flooring-for-livestock.html
ฟาร์มโคนมในประเทศไทยมากกว่าร้อยละ 95 นิยมเลี้ยงโคนมแบบ ‘ผูกยืนโรง’ โดยแม่โคแต่ละตัวจะถูกผูกให้ยืนอยู่ในซองภายในโรงเรือนเนื่องด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ขณะที่พื้นคอกส่วนใหญ่เป็นพื้นปูนซีเมนต์ เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด หากแต่การเลี้ยงโคนมบนพื้นปูนมักก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพโคนม อย่างมาก เนื่องจากโคนมมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยมากกว่า 500 กิโลกรัม แรงกดทับของน้ำหนักตัวต่อพื้นปูนทำให้เกิดการบาดเจ็บ อีกทั้งพื้นปูนเมื่อเวลาโดนน้ำยังลื่นง่าย เสี่ยงต่อการล้ม ทำให้โคนมพิการ และไม่สามารถผลิตน้ำนมได้อย่างมีคุณภาพ สร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่เกษตรกร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงพัฒนา “แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์” เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของโคนม และลดผลกระทบการปนเปื้อนสารเคมีต่อสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_40511" align="aligncenter" width="450"] ดร.ภุชงค์ ทับทอง นักวิจัยเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ภุชงค์ ทับทอง ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จะเทพื้นคอกด้วยปูนซีเมนต์ ข้อดีคือพื้นไม่เละเป็นโคลน เพราะโคนมเวลาอยูในโรงเรือนจะขับถ่ายตลอดเวลา แต่ข้อเสียคือผิวปูนมีความคม ซึ่งแม่โคแต่ละตัวมีน้ำหนักมากกว่าครึ่งตัน เวลายืนนาน ๆ น้ำหนักที่กดทับลงบนพื้นปูน อาจทำให้กีบเท้าอักเสบ หรือเวลาที่โคนมเปลี่ยนอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ยืน นั่ง หรือนอน จะต้องใช้ขาในการพยุงตัวหรือยันตัวกับพื้นปูน อวัยวะที่กดทับกับพื้นปูนบ่อย ๆ จะเกิดการบาดเจ็บ และเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา ส่งผลให้การผลิตน้ำนมไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม
[caption id="attachment_40515" align="aligncenter" width="651"] ลักษณะบาดแผลที่ขาของโคนม[/caption]
[caption id="attachment_40516" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะการนอนของโคนมที่บาดเจ็บ[/caption]
“อีกปัญหาใหญ่คือ พื้นปูนเวลาฉีดน้ำบ่อย ๆ จะเกิดตะไคร่เกาะพื้นปูน ทำให้ลื่น ซึ่งเวลาโคนมลื่นจะไม่ล้มเอียงตัวไปด้านข้าง แต่จะล้มแบบขาแบะออกไปด้านข้างทั้งสองด้าน ลักษณะเหมือนกบ เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ส่วนใหญ่โคนมจะพิการ เกษตรกรใช้คำว่า ‘หมดสภาพ’ ทางออกสุดท้ายคือส่งเข้า ‘โรงเชือด’ เพราะไม่สามารถผลิตน้ำนมอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกต่อไป ซึ่งโคนมหนึ่งตัวมีราคาประมาณ 50,000-60,000 บาท”
[caption id="attachment_40512" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะของแผ่นปูแบบโฟมราคาถูกที่เสื่อมสภาพเมื่อใช้เป็นระยะเวลา 8 เดือน[/caption]
‘การปูแผ่นยางบนพื้นคอก’ เป็นทางออกหนึ่งที่เกษตรกรนำมาใช้ลดอาการบาดเจ็บของโคนม แต่แผ่นยางที่วางจำหน่ายทั่วไปมีหลายประเภท หากเป็นแผ่นยางที่ได้รับมาตรฐาน มอก. จะมีราคาสูง ขณะที่แผ่นยางที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น แผ่นโฟม แม้จะมีราคาถูกกว่าประมาณ 3-4 เท่า แต่ก็มีอายุการใช้งานสั้นมากเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แผ่นยางในท้องตลาดส่วนใหญ่มักใช้ปริมาณสารเคมีในการผลิตค่อนข้างสูง อาจก่อให้เกิดปัญหาสารเคมีปนเปื้อนระหว่างการเลี้ยง ส่งผลต่อสุขภาพของโคนม รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการกำจัดแผ่นยางอย่างไม่ถูกวิธีหลังหมดอายุการใช้งาน การวิจัยพัฒนา ‘แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์’ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ดร.ภุชงค์ กล่าวว่า จุดเด่นของแผ่นปูพื้นที่พัฒนาขึ้นคือ ‘คุณภาพดี ทนทาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ โดยผลิตจากยางพาราธรรมชาติและใช้สารเคมีในปริมาณต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการใช้ซิงก์ออกไซด์เกรดพิเศษในการพัฒนาสูตรยาง ทำให้ได้แผ่นปูพื้นที่มีซิงก์ออกไซด์ในปริมาณต่ำกว่าแผ่นปูพื้นที่จำหน่ายทั่วไปค่อนข้างมาก ซึ่งองค์กรป้องกันสิ่งแวดล้อมจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดให้ซิงก์ออกไซด์เป็นสารเคมีที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ยางและอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหากผลิตภัณฑ์ยางมีซิงก์ออกไซด์ (รวมถึงสารเคมีอื่น ๆ) ในปริมาณต่ำ เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้ว แต่ไม่ได้ถูกนำกลับไปใช้ซ้ำหรือได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี ก็จะเป็นการช่วยลดปริมาณสารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางโดยใช้สารเคมีในปริมาณต่ำแต่ยังคงมีสมบัติผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถือเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย เนื่องจากโดยปรกติการผลิตผลิตภัณฑ์ยางต้องใส่สารเคมีเป็นส่วนผสมเพื่อให้ได้ยางที่มีคุณสมบัติตามต้องการ หากใส่สารเคมีในปริมาณน้อยเกินไปก็มักส่งผลเสียต่อสมบัติของผลิตภัณฑ์ยางนั้น ๆ
“สำหรับในส่วนของต้นทุนการผลิตและราคาจำหน่าย พบว่าหากมีบริษัทเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการผลิตจำนวนมากเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถผลิตจำหน่ายในราคาเทียบเท่าหรือต่ำกว่าแผ่นยางพาราเกรดที่ได้รับมาตรฐาน มอก. ทั่วไปได้ เนื่องจากราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและปริมาณในการผลิตเป็นสำคัญ”
[caption id="attachment_40514" align="aligncenter" width="650"] แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์ พัฒนาโดยทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ปัจจุบันนวัตกรรม ‘แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์’ ผ่านมาตรฐาน มอก. 2584-2556 ซึ่งยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพ และความทนทานต่อการใช้งาน อีกทั้งยังมีการทดสอบภาคสนาม โดยนำไปทดลองที่ อุทุมพรฟาร์ม จังหวัดราชบุรี ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก รองศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ธีระ รักความสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเก็บข้อมูลผลกระทบของการใช้แผ่นยางต่อสุขภาพของโคนม ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าแผ่นยางมีความทนทาน ไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพน้ำนม และช่วยลดการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิผล
“ทีมวิจัยนำแผ่นยางพาราไปทดสอบปูพื้นคอกที่อุทุมพรฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มโคนมขนาดกลาง มีแม่โคประมาณ 40 ตัว และติดตามเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว พบว่าแผ่นยางมีความทนทาน รับน้ำหนักโคนมได้ดี ไม่เกิดการฉีกขาด หรือเสียรูปได้ง่าย ระยะเวลาการใช้งานจากเบื้องต้นประเมินไว้ 2 ปี แต่จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่าเกือบ 4 ปีแล้ว ยังมีคุณภาพดี ซึ่งคาดว่าแผ่นยางจะมีอายุการใช้งานได้ถึง 5 ปีหรือมากกว่า นอกจากนี้ผลการตรวจสุขภาพโคนม ทั้งการตรวจเลือดและร่างกาย พบว่าการปูแผ่นยางพาราช่วยลดอาการบาดเจ็บของโคนมได้ดีมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มโคนมที่ยืนบนปูนซีเมนต์ โดยโคนมไม่มีอาการบาดเจ็บ ไม่พบบาดแผลภายนอก รวมถึงไม่พบปริมาณสารโลหะหนักต่าง ๆ ในเลือดและน้ำนม เกษตรกรกรเจ้าของฟาร์มรู้สึกพอใจต่อผลการใช้งานเป็นอย่างมาก ขณะนี้มีการต่อยอดความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จังหวัดสระบุรี เพื่อขยายขอบเขตการทดสอบภาคสนามเพิ่มเติม”
[caption id="attachment_40513" align="aligncenter" width="650"] ทีมวิจัยนำแผ่นยางพาราไปทดสอบปูพื้นคอกที่อุทุมพรฟาร์ม[/caption]
อย่างไรก็ดีขณะนี้แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์ยังไม่มีการผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์ โดยอยู่ระหว่างการทดสอบภาคสนามเพิ่มเติมและมองหาผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้หากสามารถต่อยอดงานวิจัยสู่การผลิตใช้งานจริง เชื่อว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมโคนมและยางพารา นอกจากนี้ยังนับเป็นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งใช้ประโยชน์และดูแลทรัพยากรอย่างยั่งยืน
“เวลาลงพื้นที่ฟาร์ม สังเกตเห็นเลยว่าเมื่อโคลงจากพื้นยางมายืนบนพื้นปูน โคจะยืนแบบกลัว ๆ ขาสั่น สายตาบ่งบอกเลยว่ากลัวลื่น น่าสงสารมาก อีกทั้งการที่โคนมอยู่ในภาวะหวาดกลัว หรือมีบาดแผลจากการกดทับย่อมมีผลต่อคุณภาพการผลิตน้ำนม ยิ่งหากโคนมล้มและพิการ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่คุ้มค่าอย่างมาก ขณะเดียวกันแผ่นยางราคาถูกที่วางจำหน่ายทั่วไป บางชนิดก็มีอายุการใช้งานสั้น บางชนิดก็ตรวจพบการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำล้าง ดังนั้นการใช้แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่เพียงเป็นผลดีช่วยลดการบาดเจ็บและพิการให้กับโคนม แต่ยังลดปริมาณสารพิษที่จะส่งผลต่อสุขภาพโคนมและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในประเทศ เพราะแผ่นยางที่ผลิตมีการใช้ยางพาราเป็นองค์ประกอบมากถึง 50%” ดร.ภุชงค์กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจร่วมทดสอบพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือรับถ่ายทอดเทคโนโลยี สามารถติดต่อได้ที่ ดร.ภุชงค์ ทับทอง ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 74802
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ผนึก กรมการขนส่งทางราง และ สทร. หนุนการผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-teams-up-with-transport-agencies-to-boost-innovation-in-rail-industry.html
สวทช. -กรมราง-สทร. ผนึกกำลังยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง ตั้งเป้าสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทนในระบบขนส่งทางราง เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
(14 กุมภาพันธ์ 2566) : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) และ ดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. กระทรวงคมนาคม ร่วมลงนามความร่วมมือการขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรมด้านมาตรฐานและการทดสอบ สำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย ที่อาคารแชมเบอร์ 10 เมตร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
[caption id="attachment_40486" align="aligncenter" width="2500"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เทคโนโลยีระบบรางเป็นหนึ่งในระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากขนส่งผู้โดยสารจำนวนมาก และสามารถลดเวลาในการเดินทางได้จริง โดยประเทศไทยเอง ได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างมหาศาล ทั้งในกรุงเทพมหานคร ตามเมืองในภูมิภาคต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น โคราช ฯลฯ ตลอดจนการพัฒนาระบบรถไฟรางทางคู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าในระยะทางไกลที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงระบบรางรถไฟทางไกลสมัยใหม่ อาทิ รถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมกับ สปป. ลาว และมีแผนพัฒนาอีกหลายเส้นทางตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่กระทรวงคมนาคม ได้วางเป้าหมายและดำเนินการให้ระบบรางเป็นโครงข่ายคมนาคมหลักของประเทศ และเป็นผู้นำด้านระบบรางในภูมิภาค
ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางให้กับประเทศอย่างยั่งยืน ทำให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระบบราง และการยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตประชาชนด้านการขนส่งและการเดินทาง จำเป็นต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิเคราะห์ทดสอบมาตรฐานเป็นปัจจัยสำคัญ สวทช. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง จึงได้ให้ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC ซึ่งมีความพร้อมด้านการทดสอบผลิตภัณฑ์ในระบบขนส่งทางรางในระดับสากล และได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO/IEC17025 เรียบร้อยแล้ว เป็นห้องปฏิบัติการทดสอบชิ้นส่วนรถไฟประเภทไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ อาณัติสัญญาณของระบบรถไฟ ระบบสื่อสาร และด้านประสิทธิภาพการใช้งานต่างๆ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมปัจจุบันที่ต้องการปรับรูปแบบจากผลิตภัณฑ์แบบเดิมไปสู่การผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทนในระบบขนส่งทางรางที่จะมีความต้องการมากขึ้น
นอกจากการทดสอบผลิตภัณฑ์ของระบบรางในห้องปฏิบัติการทดสอบแล้ว PTEC ยังมีประสบการณ์ในการทดสอบการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility : EMC) สำหรับรถไฟมาแล้วมากกว่า 20 ปี โดยเริ่มดำเนินงานตั้งแต่การสำรวจการรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าของระบบควบคุมและโทรคมนาคมตลอดเส้นแนวราง ที่พาดผ่านสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล เสาโทรคมนาคม เสาวิทยุโทรทัศน์ ธนาคาร ระบบสัญญาณไฟจราจรบนถนน ซึ่งสถานที่ต่าง ๆ นี้ มีความเสี่ยงในการรบกวนสัญญาณควบคุมของระบบรถไฟด้วย โดยที่ผ่านมา PTEC ได้ดำเนินการทดสอบสำหรับรถไฟหลายเส้นทางแล้ว เช่น สายสีม่วง สายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีแดง สายสีทอง รวมถึงรถไฟฟ้า BTS อีกด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมการทดสอบระบบรางนอกห้องปฏิบัติการมากยิ่งขึ้นตามข้อกำหนดด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ (EHIA) ตามแนวทางสากล ซึ่งในปี 2566 สวทช. จึงให้ PTEC ทำการขยายขอบข่ายการทดสอบจากด้าน EMC โดยเพิ่มการทดสอบด้านการทดสอบเสียง (sound acoustic) เมื่อขบวนรถไฟวิ่งผ่านพื้นที่ชุมชน เพื่อกำหนดจุดวาง กำแพงกั้นเสียง ลดเสียงดังและการทดสอบแรงสั่นสะเทือนบนขบวนรถไฟขณะเคลื่อนที่ (rolling stock vibration) เพื่อให้ผู้โดยสารมีความสะดวกและปลอดภัยตลอดการเดินทาง
“ที่ผ่านมา สวทช. ร่วมเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึง กรมการขนส่งทางราง และ สทร. รวมทั้งส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือร่วมกับภาคเอกชนที่มีความพร้อมและสนใจเข้ามาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น โดยจะเน้นการนำความรู้ ความสามารถในการวิจัยพัฒนา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่ สวทช. มี ให้เกิดขึ้นจริงและใช้ประโยชน์จริง เพราะ สวทช. ถือเป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งเครื่องมือ บุคลากร และบริการที่พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการนำ วทน. ไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางภายในประเทศและในภูมิภาค” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
[caption id="attachment_40485" align="aligncenter" width="2500"] ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.)[/caption]
ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะรับรองและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางขึ้นในประเทศไทย โดยใช้หลักการ “Thai First : ไทยทำ ไทยใช้” ของกระทรวงคมนาคม เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งกระทรวงคมนาคมเลือกที่จะใช้แรงงานขั้นสูงและคนไทยเป็นผู้ก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้เกิดการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางโดยคนไทย ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีและลดการจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
“เรามี PTEC ของ สวทช. ซึ่งมีทรัพยากรจำนวนมากและบุคลากรที่มีความรู้ ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัย องค์ความรู้ใหม่และเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้ จะเข้ามาช่วยการพัฒนาระบบรางเพื่อลดการนำเข้าเทคโนโลยี ให้เราควรจะยืนอยู่ด้วยเทคโนโลยีของคนไทย ทั้งการซ่อม การสร้างและใช้เทคโนโลยีของประเทศไทย ตามนโยบายบาย Thai First ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเราควรจะเริ่มต้นและเรียนรู้กับเทคโนโลยีเหล่านี้”
ทั้งนี้เมื่อ สวทช. และ สทร. และกรมการขนส่งทางราง ร่วมกันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศ เมื่อกรมการขนส่งทางรางออกมาตรฐานความปลอดภัย มาตรฐานการผลิตแล้ว ทาง สวทช. มีองค์ความรู้และวิธีการวิเคราะห์ทดสอบที่ได้มาตรฐานสากล ทาง สทร. ก็สามารถมาบูรณาการความรู้เหล่านี้เข้ามาเพื่อทำงานร่วมกันได้ เพื่อลดการนำเข้าและลดการจ่ายเงินตราต่างประเทศ ที่สำคัญคือคนไทยได้ความรู้เหล่านี้ มีมูลค่าที่เกิดขึ้นกับคนไทย ทั้งมูลค่าการจ้างงาน การผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมระบบรางได้ เป็นมูลค่าเพิ่มที่ลดการนำเข้าได้เป็นอย่างดี
[caption id="attachment_40484" align="aligncenter" width="2500"] ดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน)[/caption]
ดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. กล่าวว่า สทร. ยึดเป้าหมายของประเทศในการขนส่งทางรางจาก 15 % เป็น 40% ในอนาคต ซึ่ง สทร. ไม่สามารถดำเนินการได้โดยองค์กรเดียว หากขาดหน่วยงานด้านวิจัยและนวัตกรรม เพื่อดำเนินการร่วมกัน ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีในการซ่อมบำรุง การส่งเสริมการวิจัยเพื่อผลิตชิ้นส่วนในประเทศ และระบบทดสอบและรับรองมาตรฐานซึ่งทาง PTEC สวทช. มีความเชี่ยวชาญในระบบทดสอบมาตรฐานที่ได้มาตรฐานสากล ความร่วมมือในการดำเนินงานขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรมด้านมาตรฐานและการทดสอบ สำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบรางเพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย
“สิ่งสำคัญคือ ผู้ประกอบการเวลาจะใช้ชิ้นส่วนใดก็จะอ้างอิงระบบมาตรฐานในการทดสอบ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการร่วมมือกับ PTEC สวทช. ครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการผลิตชิ้นส่วนทดแทนที่ได้มาตรฐาน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนตามเป้าหมาย Thai Frist ของกระทรวงคมนาคมต่อไป” ผู้อำนวยการ สทร. กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์