หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘Plant-based Chicken Mix’ เนื้อไก่ผงจากพืช DIY อร่อยตอบโจทย์เทรนด์รักษ์สุขภาพ-รักษ์โลก
For English-version news, please visit : NSTDA’s plant-based chicken mix hits the market   เทรนด์การบริโภคอาหารจากพืชหรือ ‘Plant-based food’ กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในปัจจุบันและมีแนวโน้มขยายวงกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในอาหารแห่งอนาคต เพราะไม่เพียงเป็นอาหารที่รักษ์สุขภาพเท่านั้น แต่กระบวนการผลิตยังรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย ล่าสุดนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนา ‘ผงไก่จากพืช’ ที่ให้ความอร่อยทดแทนเนื้อไก่ในเมนูอาหารได้สำเร็จ ปัจจุบันถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนผลิตจำหน่ายแล้ว สวทช. วิจัยปั้นโปรตีนถั่วเหลืองเป็นเนื้อไก่ Ve-Chick ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสการบริโภคอาหารรักษ์สุขภาพได้รับความนิยมมากขึ้น โดยผู้บริโภคหันมาสนใจผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืช และลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืชมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น อย่างไรก็ดี การบริโภคโปรตีนพืชอาจมีเนื้อสัมผัส รสชาติ และกลิ่นที่ไม่ถูกปากในผู้บริโภคบางกลุ่ม ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายที่ทีมวิจัยด้านวัสดุศาสตร์จะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การอาหารและวัสดุศาสตร์พัฒนาอาหารจากโปรตีนพืชเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคให้กว้างขึ้น “เราเลือกใช้โปรตีนถั่วเหลืองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช Ve-Chick โดยอาศัยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารผสานเข้ากับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อออกแบบจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้มีลักษณะเป็นเส้นใยเหมือนกับเนื้อไก่ ควบคู่กับการปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติให้เหมือนจริง จนได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบคือ ‘เนื้อไก่กึ่งสำเร็จรูป (Pre-cooked)’ เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเนื้ออกไก่ชุบแป้งทอดและชิ้นเนื้ออกไก่สำหรับปรุงอาหารทดแทนเนื้อไก่ได้หลากหลาย ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ ‘เนื้อไก่แบบผง (Premix)’ ปราศจากกลูเตน สำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นเนื้อไก่ด้วยตนเอง ซึ่งมีเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่แบบผง นำไปผลิตจำหน่ายแล้วภายใต้แบรนด์ต่างๆ อาทิ ‘กรีน สพูนส์’ (Green Spoons)” นักวิจัยกล่าว   [caption id="attachment_48152" align="aligncenter" width="650"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption] เอกชนรับไม้ต่อ เจาะตลาดอาหารสุขภาพ คุณอารดา วินัยแพทย์ สตาร์ตอัปด้านอาหารสุขภาพเจ้าของแบรนด์ ‘กรีน สพูนส์’ (Green Spoons) เล่าว่า หลังจากเรียนจบปริญญาเอกด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease) ที่สิงคโปร์เป็นเวลา 3 ปี ทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของหนูทดลองซึ่งเป็นผลกระทบจากอาหารที่กินเข้าไป ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนหันมาสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น กระแสการบริโภค plant-based food มีมากขึ้น จึงเริ่มสนใจอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะเราอยากให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และสุขภาพที่ดีต้องเชื่อมกับสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย ซึ่งการรับประทาน plant-based food มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับ plant-based food เพราะตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพในปัจจุบันและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในอนาคต   [caption id="attachment_48149" align="aligncenter" width="650"] คุณอารดา วินัยแพทย์[/caption]   “หลังจากได้มีโอกาสคุยกับ ดร.กมลวรรณ และทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหารของเอ็มเทค สวทช. แล้วเห็นว่าผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลืองน่าสนใจและน่าจะไปได้ไกล จึงรับถ่ายทอดเทคโนโลยีมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเราได้วิจัยพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อปรับสูตรให้เข้ากับการผลิตล็อตใหญ่และเหมาะกับผู้บริโภคมากขึ้น แต่สูตรหลักยังเป็นของ สวทช. โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ได้คือ เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งแบบพรีมิกซ์ สามารถนำมาผสมกับน้ำและน้ำมันตามสัดส่วนที่ระบุไว้ และปั้นเป็นชิ้นเนื้อไก่ตามใจชอบได้เลย”   [caption id="attachment_48150" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งจากพืชแบบพรีมิกซ์[/caption]   ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ผงไก่ปรุงรสจากพืช ‘กรีน สพูนส์’ ผลิตจากโปรตีนถั่วเหลืองและใยอาหารจากข้าว ไม่ใส่สารกันบูด ปราศจากกลูเทน ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอล เป็นผงไก่แบบ DIY ที่ให้ผู้บริโภคขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่ได้ตามต้องการ ด้วยวิธีการปรุงไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ผสมผงไก่กับน้ำและน้ำมันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ แล้วปั้นขึ้นรูป ก็จะได้เนื้อไก่จากพืชที่นำไปประกอบอาหารแทนเนื้อไก่ได้ทุกรูปแบบ โดยมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่อร่อยคล้ายกับเนื้อไก่จริง   [caption id="attachment_48148" align="aligncenter" width="500"] เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งจากพืชแบบพรีมิกซ์สามารถนำมาปั้นขึ้นรูปได้อย่างง่ายดาย และปรุงอาหารได้หลากหลายตามต้องการ (เครดิตภาพ www.facebook.com/greenspoonsonly)[/caption]   “ผลตอบรับจากลูกค้าที่ได้ลองชิมผลิตภัณฑ์ของเราส่วนใหญ่จะชอบมาก บอกว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนกับไก่มาก และคิดว่าน่าจะต่อยอดได้ แต่ด้วยเราเพิ่งจะมาจับธุรกิจทางด้านนี้ อาจจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งที่จะหาคู่ค้าหรือธุรกิจต่อยอดในอนาคต ซึ่งเราวางแผนการตลาดไว้ทั้งการขายในประเทศและการส่งออก ตอนนี้ก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ ส่วนในประเทศมีจำหน่ายแล้วที่ร้านอิ่มใจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ห้างไอซีเอส (ICS) ตรงข้ามไอคอนสยาม และร้าน healthy store หลายแห่ง หรือติดต่อสั่งซื้อผ่านไลน์ได้ที่ Line: @greenspoonsonly หรือติดตามได้ที่เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม greenspoonsonly” คุณอารดากล่าว   [caption id="attachment_48147" align="aligncenter" width="650"] นักเก็ตไก่ทำจากผลิตภัณฑ์ผงไก่ปรุงรสจากพืช ‘กรีน สพูนส์’ ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อไก่ (เครดิตภาพ www.facebook.com/greenspoonsonly)[/caption]   ‘FoodSERP’ พร้อมเสิร์ฟนวัตกรรมสู่ภาคธุรกิจ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ผงจากพืชแบบพรีมิกซ์เป็นหนึ่งในผลผลิตจาก ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน’ หรือ ‘FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)’ ที่ สวทช. จัดตั้งขึ้นเพื่อมุ่งเน้นให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน แบบ One-stop Service  โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช. เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางของประเทศให้แข่งขันได้และสอดรับกับทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต สำหรับบริการด้านอาหาร FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ พร้อมบริการวิเคราะห์ทดสอบเนื้อสัมผัสของอาหาร ทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร และทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานระดับสากล ผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบใหม่ สามารถติดต่อรับบริการจากแพลตฟอร์ม FoodSERP โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th หรือเฟซบุ๊ก facebook.com/FoodSERP     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘คอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว’ ผลิตภัณฑ์รีไซเคิลจากกระเบื้องมีตำหนิ ลดปัญหาวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรม นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม
For English-version news, please visit : Use of defective tiles to produce pervious concrete   ในอุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้อง โรงงานส่วนใหญ่มักต้องเผชิญปัญหาสินค้ามีตำหนิในทุกรอบการผลิต คิดเป็นปริมาณร้อยละ 5-10 ของสินค้าทั้งหมด ซึ่งสินค้ามีตำหนิเหล่านี้ไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้ เมื่อสะสมไว้เป็นเวลานานทำให้ไม่มีสถานที่จัดเก็บ โรงงานส่วนใหญ่จึงมักกำจัดทิ้งด้วยการบด ก่อนนำไปใช้ถมที่หรือฝังกลบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับบริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต ‘คอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว’ จากกระเบื้องมีตำหนิ เพื่อลดปัญหาวัสดุเหลือทิ้งและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยได้รับทุนสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช.   [caption id="attachment_47402" align="aligncenter" width="700"] คุณวิทยา ทรงกิตติกุล นักวิจัย เอ็มเทค สวทช.[/caption]   คุณวิทยา ทรงกิตติกุล นักวิจัย ทีมวิจัยอีโคเซรามิกและจีโอพอลิเมอร์ เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องตกแต่งสำหรับปูพื้นและบุผนังรายใหญ่ของประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยปัจจุบันนอกจากการนำกระเบื้องมีตำหนิบางส่วนมารีไซเคิลเป็นวัสดุตั้งต้นสำหรับผลิตกระเบื้องใหม่แล้ว บริษัทยังได้ร่วมกับทีมวิจัยพัฒนาสูตรการผลิต ‘คอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว’ เพื่อนำกระเบื้องมีตำหนิสะสมมาหลายปีซึ่งยังคงมีเหลืออยู่มากมาใช้เป็นวัสดุตั้งต้นในการผลิตสินค้าชนิดใหม่ของบริษัท   [caption id="attachment_47404" align="aligncenter" width="750"] บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด[/caption]   สำหรับกระบวนการแปรรูปกระเบื้องมีตำหนิสู่คอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว ทีมวิจัยใช้วิธีการบดกระเบื้องที่มีตำหนิด้วยเครื่องบดขนาดใหญ่จนได้วัสดุที่มีขนาดอนุภาคเหมาะสม ก่อนนำมาขึ้นรูปด้วยสูตรจำเพาะ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแรง คงทน และน้ำซึมผ่านได้ดี     คุณวิทยา อธิบายว่า สูตรการผลิตคอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็วที่ทีมวิจัยได้ร่วมกับบริษัทพัฒนาขึ้นมีมากถึง 3 รูปแบบ ซึ่งมาจากวัตถุดิบตั้งต้น 3 ชนิด คือ กระเบื้องชนิดไม่เคลือบ กระเบื้องเคลือบ และหินจากธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อให้ได้กระบวนการผลิตจากวัตถุดิบที่หลากหลาย ผลิตได้จำนวนมาก ทันต่อความต้องการของลูกค้า โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัตถุดิบทั้ง 3 แบบ ได้รับการทดสอบความแข็งแรง ความหนาแน่น และการซึมผ่านของน้ำดี ได้ค่าผ่านตามมาตรฐานที่สหรัฐอเมริกากำหนด และรองรับแรงกดอัดได้ตามเกณฑ์ของคอนกรีตปูพื้น การประยุกต์ใช้งานผลิตภัณฑ์สามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการปูพื้นทางเท้า จัดตกแต่งสวน หรือใช้งานกับสถานที่ที่มีระบบระบายน้ำ เพื่อช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังและช่วยระบายความร้อน   [caption id="attachment_47403" align="aligncenter" width="700"] ภาพแสดงการไหลผ่านของน้ำ[/caption]   แม้ประเทศไทยจะยังมีการผลิต จำหน่าย และใช้งานคอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็วไม่แพร่หลาย แต่ในหลายประเทศมีการใช้งานผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มายาวนาน รวมถึงมีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย เช่น สนามกีฬา ถนน และลานจอดรถ คุณวิทยา เล่าว่า ในบางประเทศมีการปูพื้นพื้นที่ที่ต้องการใช้งานด้วยก้อนกรวด ก่อนนำคอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็วมาวางทับ เพื่อให้น้ำที่ไหลผ่านผลิตภัณฑ์ผ่านการกรองอีกขั้นจนค่อนข้างสะอาด เหมาะแก่การหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ หรือบางแห่งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีลักษณะเป็นกล่องคอนกรีตทึบที่บรรจุด้วยคอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว และมีท่อสำหรับระบายน้ำออก เพื่อควบคุมทิศทางการระบายน้ำไปยังจุดที่ต้องการ   [caption id="attachment_47401" align="aligncenter" width="450"] ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์แบบควบคุมทิศทางการไหลออกของน้ำ[/caption]   “นอกจากนี้ยังมีการดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์อีกหลายรูปแบบ เช่น การใช้เป็นขอบสระว่ายน้ำเพื่อดึงน้ำที่ล้นออกจากสระกลับเข้าสู่ระบบใหม่ หรือใช้เป็นกำแพงกรองลมในพื้นที่ที่มีลมพัดผ่านค่อนข้างแรง เพื่อช่วยลดความแรงของลม และเพิ่มความปลอดโปร่งให้แก่พื้นที่ภายในแนวกำแพง” ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทกำลังพัฒนาขนาดและรูปแบบให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และจัดเตรียมสายการผลิตและช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ผู้ที่สนใจติดตามการวางจำหน่ายสินค้าได้ที่ www.kenzai.co.th การร่วมแรงนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการตลาด มาพัฒนารูปแบบวิธีการที่จะใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างอันดีของการผสานกำลังและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อร่วมพัฒนากระบวนการผลิตที่คำนึงถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ บริการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (Industry 4.0 Platform Solution)
For English-version news, please visit : Industry 4.0 Platform: Empowering industrial transformation   ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตด้วย ถึงกระนั้นการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน สวทช. จึงเปิดให้บริการ 'Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service) Industry 4.0 Platform ประกอบด้วย 3 บริการหลัก ได้แก่ 'i4.0 maturity' ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศ โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือในการวัดระดับความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นการยกระดับได้อย่างเป็นระบบ และเป็นขั้นเป็นตอ 'i4.0 consulting' บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ และ 'i4.0 training' บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (System Integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมโรงงาน     บันได 4 ขั้น ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ขั้นแรกคือการประเมินความพร้อมด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ที่ www.nstda.or.th/i4platform/checkup เพื่อให้ทราบเบื้องต้นว่าอุตสาหกรรมของตนอยู่ในระดับไหน ขั้นที่สองคือการประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมรับคำแนะนำในการยกระดับโรงงาน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/OTlB9) ขั้นที่สามคือการรับคำแนะนำในการยกระดับอุตสาหกรรมทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ โดยผู้ประกอบการอาจนำแผนงานมาทดสอบจำลองสถานการณ์ (simulation) ด้วย testbed อาทิ เครื่องจักร สายการผลิต และระบบดิจิทัลที่มีให้บริการภายในระบบบริการของ Industry 4.0 Platform ก่อนลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และขั้นสุดท้ายคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับโรงงาน โดยข้อมูลชุดนี้จะนำเสนอ Industry 4.0 platform solution หรือเทคโนโลยีที่ สวทช. ได้ร่วมกับพันธมิตรวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมระบบบริการช่วยเหลือผู้ประกอบการยกระดับอุตสาหกรรมแบบครบวงจร (one-stop service)     'Industry 4.0 platform solution' 4 เทคโนโลยีรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 เทคโนโลยีแรกคือ URCONNECT อุปกรณ์รับส่งสัญญาณแบบ universal เพื่อเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าให้เป็น IoT สามารถสั่งการอุปกรณ์ได้จากทางไกล และรับสัญญาณจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งไว้ตรวจจับการทำงาน รวมถึงการประเมินสุขภาพของอุปกรณ์ มาประมวลผลและจัดเก็บที่ระบบคลาวด์ ช่วยให้ผู้ดูแลตรวจสอบข้อมูลและควบคุมการทำงานได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา เทคโนโลยีสองคือ UNAI (อยู่ไหน) ระบบระบุตำแหน่งและเส้นทางการเคลื่อนที่ของอุปกรณ์และสินค้าภายในโรงงาน เช่น การทำ smart warehouse เทคโนโลยีที่สามคือ NETPIE ระบบ cloud computing สัญชาติไทย ที่เปิดให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีที่สี่คือ Industrial IoT and Data Analytics Platform (IDA Platform) แพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรและการใช้พลังงานภายในโรงงานผ่านระบบคลาวด์     เมื่อนำชุดอุปกรณ์เหล่านี้มาติดตั้งภายในโรงงานจะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตแบบเรียลไทม์ โดยดูได้ทั้ง 1) ประสิทธิภาพโดยรวมการผลิตของเครื่องจักร (Overall Equipment Effectiveness: OEE) 2) ประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน (Energy monitoring) 3) ระบบแจ้งเตือนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ล่วงหน้า (Predictive Maintenance (PdM) ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตและการบริหารพลังงานสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อปรับแผนงาน ก่อนส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้   สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการ 'Industry 4.0 platform solution’ เข้าปรึกษา และใช้บริการด้านต่าง ๆ แบบครบวงจรได้ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ที่ EECi - Industry 4.0 assessment - training - consultant - low-cost platform solutions - custom solution - testbeds   SMC มีระบบ membership สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการที่ศูนย์เป็นประจำ โดยสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบจะได้รับจากการสมัคร คือ - รับส่วนลดในการใช้บริการ - รับคำปรึกษาเชิงลึกด้านเทคนิค และสิทธิประโยชน์ - ใช้พื้นที่ห้องทำงาน ห้องประชุม และห้องอบรม - รับข้อมูลข่าวสารและกิจกรรม business matching - จัดแสดงและสาธิตผลิตภัณฑ์ภายในศูนย์     โปรโมชันพิเศษคุ้ม 2 ต่อ สำหรับ 100 โรงงานแรกที่สมัครเข้าร่วมโครงการทดสอบการใช้งาน IDA platform ในเฟสที่สอง ต่อที่ 1 : สิทธิพิเศษจากศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) - ทุนสนับสนุนโรงงานละ 100,000 บาท - สนับสนุน IDA dashboard, cloud storage และ cloud IoT ฟรี 1 ปี - สนับสนุน URCONNECT 1 ชุด (จำนวนจำกัด) - สื่อวีดิทัศน์สำหรับเรียนรู้ทางออนไลน์ IDA fundamentals tutorial   ต่อที่ 2: หากโรงงานเป็นนิติบุคคลไทยและเป็น SME ตามนิยาม สสว. สามารถขอรับการสนับสนุนผ่าน 'โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP)’ โดย ITAP จะสนับสนุนค่าที่ปรึกษาสูงสุดไม่เกิน 50% ตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของ ITAP   รายละเอียดเพิ่มเติม Website: www.nstda.or.th/i4Platform Facebook: Thailand i4.0 Platform   ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ E-mail: i4Platform@nstda.or.th Line: @i4Platform   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ บริการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร
For English-version news, please visit : Industry 4.0 Platform: Empowering industrial transformation   ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตด้วย อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน สวทช. จึงเปิดให้บริการ 'Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service) โดยเปิดให้บริการ 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย 'i4.0 maturity' ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศ โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือในการวัดระดับความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นการยกระดับได้อย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน 'i4.0 consulting' บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ 'i4.0 training' บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (System Integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมโรงงาน และสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นวางแผนการยกระดับอุตสาหกรรม 'Industry 4.0 Platform’ ได้เปิดให้บริการประเมินอุตสาหกรรมด้วย 'Thailand i4.0 index' เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงสถานะความพร้อมของกิจการ โดยเปรียบเทียบกับกิจการชั้นนำระดับประเทศและระดับสากลที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน พร้อมแนะนำ 4 มิติที่ควรเร่งพัฒนาก่อน เพื่อปิดช่องโหว่ของความไม่พร้อม และเพิ่มประสิทธิภาพของสายการผลิต โดยผู้ประกอบการที่นำกิจการเข้ารับการประเมินด้วย 'Thailand i4.0 index' และได้รับการเห็นชอบแผนพัฒนาจาก สวทช. สามารถนำเอกสารรับรองยื่นขอรับการส่งเสริมจาก BOI เพื่อสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นภาษีเงินได้ในสัดส่วน 100% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปี 'เปรียบเสมือนภาครัฐช่วยลงทุน’ (เงื่อนไขตามข้อกำหนดของ BOI)     บันได 4 ขั้น ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ขั้นแรกคือการประเมินความพร้อมด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ที่ www.nstda.or.th/i4platform/checkup เพื่อให้ทราบในเบื้องต้นว่าอุตสาหกรรมของตนอยู่ในระดับใด ขั้นที่สองคือการประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมรับคำแนะนำในการยกระดับโรงงาน โดยผู้ประกอบการและพนักงานอาจเข้ารับการอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะด้านอุตสาหกรรม 4.0 ด้วย ขั้นที่สามคือการรับคำแนะนำในการยกระดับอุตสาหกรรมทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ และอาจนำแผนงานมาทดสอบจำลองสถานการณ์ (simulation) ด้วย testbed อาทิ เครื่องจักร สายการผลิต และระบบดิจิทัลที่มีให้บริการ ก่อนลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และขั้นสุดท้ายคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การเพิ่มความยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน ลดข้อเสีย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการรับบริการทุกขั้นบันไดสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ผ่าน 'Industry 4.0 Platform’ ที่ให้บริการโดย สวทช.     'Thailand i4.0 index' หรือ 'ดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0' เป็นดัชนีเพื่อประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมที่ประเมินผ่าน 6 ด้านหลัก (17 ด้านย่อย) ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้รองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดย 6 ด้านหลักประกอบด้วย technology smart operation IT system & data transactionhuman capital market & customers strategy & organization ทั้งนี้ Thailand i4.0 Index พัฒนาขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรม ITAP สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม และได้รับการสนับสนุนการทำวิจัยจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนี www.thindex.or.th     ในการประเมินความพร้อม คณะกรรมการจะประเมินผ่าน 6 ด้านหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย 17 ด้านย่อย โดยแบ่งระดับความพร้อมเป็น 6 ระดับ (band) ซึ่งในช่วงอุตสาหกรรม 3.0 และ 4.0 ที่มีการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและการลงทุนที่ค่อนข้างสูง จะแบ่งย่อยเป็น 2 ระดับต่อขั้นอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการก้าวขึ้นแต่ละขั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น     เมื่อผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรมแล้ว จะได้รับข้อสรุปผลการประเมินเป็น 2 ตารางหลักดังภาพตัวอย่าง ตารางแรก (ซ้าย) จะแสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบกับโรงงานชั้นนำของประเทศที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (Best in Class: BIC) ส่วนตารางที่สอง (ขวา) จะแนะนำ 4 มิติที่ผู้ประกอบการควรปรับปรุงก่อน โดยพิจารณาจาก ระดับปัจจุบัน, โครงสร้างต้นทุน, KPI ของบริษัท และความห่างจาก BIC     ประโยชน์ 4 ต่อที่ผู้ประกอบการจะได้จากการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรม คือ ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Industry 4.0 และการประยุกต์ใช้งานในองค์กร ได้รายงานสรุปผลการประเมินระดับความพร้อม (assessment report) สำหรับใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์องค์กรตาม impact value chain ได้ข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดหา System Integrator (SI) ที่เหมาะสมมาร่วมพัฒนา ได้ใช้ assessment report ประกอบการยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI     BOI สนับสนุนสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ ที่ลงทุนยกระดับกิจการสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยการยกเว้นภาษีเงินได้ในสัดส่วน 100% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้ BOI ได้กำหนดเงื่อนไขในการสนับสนุนการลงทุน คือ 1. ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสู่ระบบอัตโนมัติ 2. ลงทุนระบบ automation and network technology 3. ลงทุนระบบ smart operation 4. ลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งานในอุตสาหกรรม โดยมีเงื่อนไขในการพิจารณาสนับสนุนสิทธิประโยชน์ คือ 1. แผนการลงทุนจะต้องได้รับการเห็นชอบจาก สวทช. 2. ดำเนินงานแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับจากวันออกบัตรสนับสนุนโดย BOI     ด่วน จำนวนจำกัด !! สวทช. เปิดรับประเมินอุตสาหกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางฟรี 100 โรงงาน ติดต่อขอรับบริการได้ที่ i4Platform@nstda.or.th     รายละเอียดเพิ่มเติม Website: www.nstda.or.th/i4Platform Facebook: Thailand i4.0 Platform   ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ E-mail: i4Platform@nstda.or.th Line: @i4Platform  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เปิดแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเนื้อ “อินทผลัมพันธุ์บาฮี” การันตีคุณภาพผลผลิตตรงตามแม่พันธุ์
  Tech: สุดเจ๋ง ! นักวิจัยไทยพัฒนาวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีเชิงการค้าสำเร็จ เอกชนสานต่อสู่เชิงพาณิชย์ จัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพร้อมผลิตต้นกล้าออกสู่ตลาด ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ หนึ่งในผลงานนวัตกรรมจากไบโอเทค สวทช. ร่วมจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปี 2566 BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาเทคโนโลยีโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ผลิตและจำหน่ายโดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 08 1875 9340 หรือ 08 9155 2777   [caption id="attachment_47240" align="aligncenter" width="700"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าว่าปัจจุบันธุรกิจการปลูกอินทผลัมพันธุ์ชนิดรับประทานสดในประเทศไทยมีการขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น ทว่าอินทผลัมเป็นพืชต่างประเทศ เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศเข้ามาปลูก เพราะสามารถการันตีถึงการตรงตามพันธุ์ ที่ส่งผลให้มีความสม่ำเสมอของคุณภาพและปริมาณของผลิตผลอินทผลัมที่จะออกสู่ตลาดได้ การพัฒนาเทคนิคผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อรวมถึงการปรับปรุงพันธุ์อินทผลัมให้เหมาะสมกับสภาพการปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในประเทศไทยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรองรับความต้องการของเกษตกร ดังนั้นไบโอเทค สวทช. จึงได้ร่วมกับบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด พัฒนาเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีซึ่งเป็นพันธุ์การค้ามาตรฐานชนิดรับประทานผลสดที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลิตต้นกล้าอินทผลัมคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม และลดการนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมจากต่างประเทศ   [caption id="attachment_47241" align="aligncenter" width="700"] ต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   จุดเด่นของต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินผลัมบริษัทพี โซลูชัน กรุ๊ป จำกัด คือ เป็นต้นเพศเมียที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่นำมาจากต้นแม่พันธุ์คุณภาพดี ปลูกง่าย ดูแลง่าย เติบโตได้ดีเกือบทุกภูมิภาคในประเทศไทย เริ่มจำหน่ายผลผลิตได้หลังปลูกประมาณ 3 ปี อายุเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 150 วันหลังผสมเกสร ผลมีสีเหลืองทอง รูปร่างกลมรี เนื้อแน่น หวานกรอบอร่อย ไม่มีรสฝาด   [caption id="attachment_47242" align="aligncenter" width="700"] ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของพีโซลูชันกรุ๊ปเริ่มผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจำหน่ายออกสู่ตลาดแล้ว และในอนาคตยังสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีอื่น ๆ ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง เช่น เบรม โคไนซี่ บาฮีแดง ฯลฯ รวมถึงรองรับการขยายพันธุ์ต้นอินผลัมที่มาจากการพัฒนาต้นพันธุ์เพาะเมล็ดลักษณะดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจการปลูกอินทผลัมเป็นให้เป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยและสามารถส่งออกผลผลิตหรือต้นกล้าพันธุ์ดีได้ในอนาคต นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในประเทศไทยที่สามารถขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการผลิตอินทผลัมชนิดรับประทานผลสด และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอินผลัมพันธุ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทยอีกด้วย   เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ไบโอเทค-สวทช. พัฒนาองค์ความรู้ ฟื้นฟูพื้นที่เพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่า อนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
  ‘เห็ดตับเต่า’ เป็นหนึ่งในเห็ดพื้นบ้านของไทยที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ที่สำคัญคือมีให้รับประทานเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ซึ่งแหล่งผลิตเห็ดตับเต่าที่ใหญ่ที่สุดและคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่บ้านสามเรือน ตำบลสามเรือน อำเภบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นับเป็นเห็ดเศรษฐกิจที่เกิดจากวิถีภูมิปัญญาผสานกับการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้บริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมเพื่อผลิตเห็ดตับเต่าอย่างยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน   [caption id="attachment_47202" align="aligncenter" width="450"] นางสาวธิติยา บุญประเทือง นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]   นางสาวธิติยา บุญประเทือง หัวหน้ากลุ่มวิจัยเห็ด ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า เกษตรกรบ้านสามเรือนเพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่าในดงโสนเป็นอาชีพหลักมานานหลายสิบปี และได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเห็ดตับเต่าคลองโพ แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2554 ส่งผลให้เชื้อเห็ดตับเต่าในพื้นที่ลดลงและพักตัวนานขึ้น ผลผลิตเห็ดในปีถัด ๆ มาก็ลดลงตามไปด้วย หากไม่เร่งฟื้นฟูอาจทำให้เห็ดตับเต่าค่อย ๆ หายไปจากพื้นที่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในระยะยาว “ทีมวิจัยจึงได้ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรบ้านสามเรือนเพื่อฟื้นฟูพื้นที่เพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่า เริ่มตั้งแต่ศึกษาสรีรวิทยาของเห็ดตับเต่า ศึกษาระบบนิเวศและปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการเจริญของเห็ดตับเต่าทั้งดิน น้ำ ความชื้น และอากาศ รวมถึงพืชอาศัยของเห็ดตับเต่า ซึ่งเดิมเคยมีความรู้ว่าเห็ดตับเต่าเป็นเห็ดเอ็กโทไมคอร์ไรซา (ectomycorrhiza) ที่เจริญร่วมกับรากของต้นไม้ จึงไม่สามารถเพาะในโรงเรือนได้เหมือนกับเห็ดชนิดอื่นๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เห็ดตับเต่าไม่เป็นเห็ดเอ็กโทไมคอร์ไรซา แต่เป็นเห็ดที่มีสังคมการอาศัยที่ซับซ้อนคือ มีความสัมพันธ์ร่วมระหว่างพืชอาศัย ซึ่งมีมากกว่า 60 ชนิด และต้นโสนเป็นหนึ่งในนั้น ร่วมกับแมลงคือมดและเพลี้ย ดังนั้นหากกำจัดมดและเพลี้ยจะส่งผลต่อเห็ดตับเต่าด้วย กลไกของสังคมนี้ยังคงอยู่ในระหว่างศึกษาถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เห็ดตับเต่าสามารถนำมาเพาะเลี้ยงในโรงเรือนได้แต่รสชาติเปรียบกับเห็ดตับเต่าที่ขึ้นในบริเวณแหล่งปลูกอาศัยตามธรรมชาติไม่ได้ ต้นทุนสูงและเพาะเลี้ยงยากจึงไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย” นักวิจัยเล่าว่าเกษตรกรที่บ้านสามเรือนจะเพาะเห็ดตับเต่าในดงโสนนาซึ่งเป็นพืชประจำถิ่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่มีมากมาย โดยเห็ดตับเต่าจะเริ่มออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน หลังจากเก็บดอกเห็ดขายจนหมดแล้วและต้นโสนเริ่มแก่ พร้อมกับช่วงของการกักเก็บน้ำจากชลประทานซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แก้มลิงของจังหวัด โดยน้ำจะเข้าท่วมถึงระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน หลังจากน้ำลดแล้วจึงเริ่มปรับพื้นที่ให้ต้นโสนงอกใหม่อีกครั้งคือการถอนต้นโสนทิ้งแล้วให้ต้นอ่อนขึ้นตามธรรมชาติ แล้วจึงนำเชื้อเห็ดที่หมักเตรียมไว้มาราดให้ทั่วแปลง และเมื่อเข้าสู่ต้นฤดูฝนในช่วงเดือนพฤษภาคมจะเริ่มสังเกตเห็นเส้นใยเห็ดตับเต่าเดินเต็มผิวดินและดอกเห็ดตับเต่าก็จะเริ่มบานเต็มพื้นที่อีกครั้ง   [caption id="attachment_47204" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน[/caption]   “เราศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าตั้งแต่โครงสร้างของดิน แร่ธาตุในดิน อุณหภูมิ ความชื้น ความเข้มแสงบริเวณโคนต้นเหนือพื้นดิน รวมถึงความสูงของต้นโสน พบว่าเห็ดตับเต่าจะเจริญได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความจำเพาะ เช่น ดินต้องมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์และมีความเป็นกรดสูง มีความชื้นในอากาศเหมาะสม มีแสงส่องถึงพื้นดินที่พอเหมาะ และต้องไม่มีสารเคมีปนเปื้อนในแปลงเพาะเห็ด ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องหมั่นดูแลสภาพแวดล้อมในแปลงและตัดแต่งกิ่งโสนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถางหญ้าที่รกออกโดยไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าเพื่อให้เชื้อเห็ดเจริญและออกดอกได้ดี ที่สำคัญเกษตรกรจะต้องไม่เก็บดอกเห็ดขายจนหมด ต้องปล่อยดอกเห็ดบางส่วนทิ้งไว้จนแก่เพื่อนำไปทำหัวเชื้อหรือให้เชื้อนั้นพักตัวในดินสะสมไว้เพื่อฤดูกาลถัดไป ในส่วนของต้นโสนไม่ควรนำเมล็ดไปขายเพราะจะส่งผลถึงปริมาณต้นอ่อนของต้นโสนซึ่งมีผลสัมพันธ์กับการลดปริมาณของเห็ดในฤดูถัดไปได้ ห้ามกำจัดมดและเพลี้ยในบริเวณเช่นเดียวกันเพราะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเห็ดตับเต่าที่จำเป็นต้องมีในถิ่นอาศัย” นักวิจัยกล่าว จากการศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าและทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรบ้านสามเรือนเป็นเวลากว่า 2 ปี นักวิจัยไม่เพียงได้องค์ความรู้สำหรับถ่ายทอดสู่เกษตรกรในพื้นเท่านั้น แต่ยังสามารถจำลองสภาวะธรรมชาติเพื่อเพาะเห็ดตับเต่าได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรที่ต้องการขยายพื้นที่เพาะเห็ดตับเต่า รวมถึงใช้เป็นโมเดลในการเพาะเห็ดตับเต่าสำหรับพื้นที่อื่นๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังพัฒนาเทคนิคการผลิตหัวเชื้อเห็ดตับเต่าหลายรูปแบบ และพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่าที่เหมาะกับหัวเชื้อแต่ละรูปแบบ   [caption id="attachment_47205" align="aligncenter" width="750"] เชื้อเห็ดตับเต่าแบบต่าง ๆ[/caption]   “เห็ดตับเต่าที่บ้านสามเรือนมีลักษณะดอกใหญ่ เนื้อแน่น และมีความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนเห็ดตับเต่าในพื้นที่อื่น ซึ่งกลิ่นและรสของเห็ดตับเต่านั้นยังขึ้นอยู่กับชนิดของรากไม้ แร่ธาตุในดิน และสภาพแวดล้อมที่เห็ดเจริญ เห็ดชนิดเดียวกันแต่ขึ้นต่างพื้นที่กัน กลิ่นและรสก็จะแตกต่างกันด้วย ดังนั้นการที่เราได้เข้าไปทำงานร่วมกับเกษตรกรในการฟื้นฟูเห็ดตับเต่าของบ้านสามเรือน นอกจากจะช่วยรักษาทรัพยากรในท้องถิ่น ฟื้นฟูอาชีพและรายได้ของคนในชุมชนให้กลับคืนมาแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์เห็ดตับเต่าชั้นดีของประเทศไทยอีกด้วย" นักวิจัยกล่าว   [caption id="attachment_47203" align="aligncenter" width="750"] เห็ดตับเต่าเป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญและเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสามเรือน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา[/caption]   ปัจจุบันเห็ดตับเต่ากลายเป็นสินค้าเกษตรที่ขึ้นชื่อและเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสามเรือน มีเกษตรกรผู้เพาะเห็ดไม่ต่ำกว่า 300 ราย ส่วนใหญ่จำหน่ายเป็นผลิตผลสดและบางส่วนนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ให้ชุมชนเป็นปีละประมาณ 10 ล้านบาท อีกทั้งยังได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและศูนย์เรียนรู้ด้านการเพาะเห็ดตับเต่าที่สำคัญของประเทศ การพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพร้อมนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมนับว่าเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนบนฐานทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นให้เติบโตและงอกงามได้อย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG model)     เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เปลี่ยน ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เป็น ‘สารเคลือบกระดาษ’ และ ‘สารดูดซับคราบน้ำมัน’ สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : Transforming green mussel shells into paper coating and oil absorbent materials   ‘หอยแมลงภู่’ เป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก โดยในปี 2565 ไทยผลิตหอยแมลงภู่ได้มากถึง 51,310 ตัน ตามรายงานของกรมประมง อย่างไรก็ตามแม้การเพาะเลี้ยงและแปรรูปหอยจะก่อให้เกิดรายได้อย่างมาก แต่ปริมาณ ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมก็นำมาซึ่งภาระในการกำจัด เพราะแม้จะนำไปจำหน่าย ก็ได้แค่กิโลกรัมละสลึงเท่านั้น กลายเป็นปัญหาขยะที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทรีนิว อินโนเวชั่นส์ จำกัด ดำเนินโครงการ “ต้นแบบผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงแปรรูปจากเปลือกหอยแมลงภู่เหลือทิ้ง” โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)   [caption id="attachment_46899" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัยนาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เป็นขยะปริมาณมหาศาลจากอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งโดยทั่วไปหลังจากคนงานแกะเนื้อหอยออกจากเปลือกเพื่อส่งต่อเข้ากระบวนการแปรรูปแล้ว จะรวบรวมเปลือกหอยใส่กระสอบ กระสอบละ 10-15 กิโลกรัม เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างในราคากระสอบละประมาณ 2 บาท เพื่อนำไปใช้ถมที่   [caption id="attachment_46900" align="aligncenter" width="700"] สารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่[/caption]   “ทีมวิจัยเล็งเห็นถึงลู่ทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสารแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCo3) ซึ่งเป็นสารประกอบหลักที่มีอยู่ในเปลือกหอยมากกว่าร้อยละ 95 จึงร่วมกันศึกษาหาวิธีนำสารชนิดนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยผลิตภัณฑ์แรกที่พัฒนาได้สำเร็จ คือ ‘สารเคลือบกันน้ำ’ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้เพิ่มสมบัติกันน้ำให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมกระดาษ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นสารเติมเต็ม (filler) เพื่อลดปริมาณการใช้สารเคลือบกระดาษชนิดย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ อาทิ สารประเภทเซลลูโลสเบส (cellulose-based) ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงช่วยให้ผู้ประกอบการลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะเอื้อให้ผู้ประกอบการมีลู่ทางในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์กระดาษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเพิ่มโอกาสการจำหน่ายสินค้าในประเทศกลุ่ม EU ที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมด้วย “สำหรับการผลิตสารเคลือบ ทีมวิจัยใช้กระบวนการแยกสารอินทรีย์ออกจากเปลือกหอยด้วยพลังงานความร้อนต่ำ เพื่อให้ได้สารแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ 97 ก่อนนำมาลดขนาดให้เหลือประมาณ 100 นาโนเมตรเพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัส แล้วนำไปเพิ่มคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) ด้วยสารสเตียริกแอซิด (stearic acid) ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้สารที่ได้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเคลือบกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยสารที่ผลิตนี้สามารถใช้เป็นสารเติมเต็มสารเคลือบกระดาษที่นำเข้าจากต่างประเทศ ได้มากกว่าร้อยละ 20 จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี”     นอกจากการพัฒนาสารแคลเซียมคาร์บอเนตให้มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำมาช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดทางการค้าให้แก่อุตสาหกรรมกระดาษ ล่าสุดทีมวิจัยยังพัฒนาสารเคลือบให้มีคุณสมบัติพิเศษคือ ‘การดูดซับน้ำมัน’ ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายอุตสาหกรรม ดร.ชุติพันธ์ เล่าว่า หลังจากพัฒนาสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ให้มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับน้ำมันที่มีความปลอดภัยได้แล้ว ทีมวิจัยได้เดินหน้าต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ทันที ผลิตภัณฑ์แรก คือ ‘สารดูดซับน้ำมันในครัวเรือน’ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีตลาดรองรับชัดเจน โดยผลิตภัณฑ์มี 2 รูปแบบ คือ ‘ฟองน้ำดูดซับคราบน้ำมัน’ ที่เช็ดสะอาด ไม่ทิ้งคราบ ใช้งานได้นาน และ ‘สารฉีดพ่นเพื่อกำจัดคราบน้ำมัน’ ที่ใช้งานง่าย เพียงฉีดพ่นลงบนคราบน้ำมัน น้ำมันจะจับตัวเป็นก้อน สามารถนำผ้าหรือกระดาษเช็ดออกได้โดยไม่ทิ้งคราบไว้   [caption id="attachment_46898" align="aligncenter" width="697"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ฟองน้ำดูดซับน้ำมัน (จานขวา)[/caption]   “ส่วนเป้าหมายต่อไปคือการสนับสนุนการดูแลพื้นที่ท่าจอดเรือบริเวณชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเรือเข้าจอดจำนวนมาก ทั้งเรือประมง เรือขนส่งสินค้า เรือขนส่งยานยนต์ และเรือขนส่งผู้โดยสาร รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ซ่อมบำรุงเรือ ทำให้บริเวณท่าเรือมักมีคราบน้ำมันที่ต้องกำจัดออกอยู่เสมอ ทีมวิจัยจึงเล็งเห็นโอกาสในการนำสารแคลเซียมคาร์บอเนตที่ผ่านการแปรรูปให้มีศักยภาพด้านการดูดซับน้ำมันมาใช้เป็น ‘สารเคลือบแผ่นกรองในระบบบำบัดน้ำ’ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการบำบัดคราบน้ำมันบริเวณท่าเรือ ทั้งนี้การดำเนินงานอยู่ในขั้นตอนประสานความร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อขอรับทุนสนับสนุนในการวิจัยและทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์”     นอกจากการพัฒนาและแปรรูปเปลือกหอยแมลงภู่แล้ว ที่ผ่านมาทีมวิจัยยังได้ดำเนินงานวิจัยแปรรูปเปลือกหอยจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับและอาหารอีกหลายชนิดเพื่อช่วยลดปัญหาขยะ สร้างมูลค่าเพิ่ม และลดต้นทุนการผลิตให้แก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ “ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการนำสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยซึ่งมีลักษณะโครงสร้างแบบ ‘อะราโกไนต์ (aragonite form)’ หรือมีรูปร่างแบบแผ่น ขนาด 5-10 ไมครอน แตกต่างจากสารที่ได้จากภูเขาหินปูนซึ่งมีรูปร่างเป็นทรงกลมและขนาดเล็กกว่า มาใช้ประโยชน์แล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเวชสำอาง สามารถนำแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยกลุ่มที่ผลิตมุกมาใช้ทดแทนไมโครพลาสติกในผลิตภัณฑ์สครับผิว และใช้แปรรูปเป็นสารไฮดรอกซีอะพาไทต์ (hydroxyapatite) สำหรับใส่ในผลิตภัณฑ์ยาสีฟันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเคลือบและซ่อมแซมเนื้อฟัน ส่วนด้านอุตสาหกรรมพลาสติก สารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยนางรม หอยเป๋าฮื้อ สามารถใช้เป็นสารเติมแต่งเพื่อลดปริมาณการใช้พอลิเมอร์ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกได้โดยไม่ทำให้เนื้อพลาสติกขุ่น” ดร.ชุติพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย ผลงานการแปรรูปขยะจากอุตสาหกรรมอาหารถือเป็นตัวอย่างของการนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ทรัพยากรชีวภาพ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้ที่สนใจร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ติดต่อได้ที่ ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ อีเมล chutiparn.ler@nanotec.or.th ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องการพัฒนาสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยซึ่งมีลักษณะรูปทรงแบบ ‘อะราโกไนต์ (aragonite form) ได้จากบทความ แปรรูป ‘เปลือกหอย’ ขยะอุตสาหกรรม สู่ ‘สารสำคัญเวชสำอาง พลาสติก กระดาษ’       เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : นาโนเทค สวทช. และ shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ไบโอเทค สวทช. ‘เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไผ่เศรษฐกิจ 150,000 ต้น’ มุ่งส่งมอบไผ่พันธุ์ดี ไม่ติดอายุแม่
  'ไผ่' เป็นพืชเศรษฐกิจของไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง นำไปใช้ประโยชน์ได้แทบทุกส่วน  อาทิ หน่อและใบใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนของลำและเนื้อไม้ใช้ในงานแปรรูปเป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมและเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นชีวมวลในการผลิตเชื้อเพลิงเพื่อหล่อเลี้ยงการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตามการจะปรับปรุงพันธุ์และขยายต้นกล้าไผ่ให้ได้คุณภาพสูงตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เนื่องจากไผ่เป็นพืชที่อายุยืนยาว แต่เมื่อถึงช่วงของการออกดอก ไผ่ที่เกิดจากกอแม่เดียวกันจะทยอยตายตามกันไปจนหมดเรียกว่า ‘ตายขุย’ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียเป็นวงกว้าง นอกจากนี้การปลูกไผ่ให้มีลักษณะเด่นตรงตามสายพันธุ์ด้วยวิธีการขยายพันธุ์จากต้นแม่ด้วยวิธีปกติ อาทิ การแยกเหง้า ชำลำ และเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากข้อ ยังมีข้อจำกัดในเรื่องอายุเหง้า เพราะต้นลูกจะจดจำอายุของต้นแม่มาด้วย ดังนั้นหากต้นแม่มีอายุใกล้จะออกดอก ต้นที่เกิดใหม่ก็จะออกดอกแล้วตายไปพร้อม ๆ กับต้นพันธุ์​ ทำให้ ‘ต้นที่ปลูกใหม่มีอายุสั้น เกษตรกรอาจได้รับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน’ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดำเนินโครงการขยายต้นพันธุ์ไผ่ เพื่อส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบต้นพันธุ์ไผ่ปลอดโรคจำนวน 150,000 ต้น ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการภายในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงบประมาณ   [caption id="attachment_46323" align="aligncenter" width="750"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่าธรรมชาติของไผ่จะมีอายุ 3 แบบ ได้แก่ อายุเหง้า (ต้นแม่จากการเพาะเมล็ด) อายุปลูก (แยกกอมาปลูก) และอายุลำ (ลำที่พัฒนาใหม่ในกอแต่ละปี) ซึ่งโดยทั่วไปการขยายต้นกล้าไผ่นิยมทำด้วยวิธีชำลำ แยกเหง้าลงดิน หรือตัดข้อของต้นไผ่มาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพราะจะทำให้ต้นลูกมีลักษณะตรงตามต้นแม่พันธุ์ อย่างไรก็ตามวิธีการเหล่านี้มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ ‘ต้นลูกจะมีอายุเท่ากับอายุเหง้าของต้นแม่’ ส่วนหากเกษตรกรเพาะปลูกด้วยเมล็ดจากต้นพันธุ์ แม้ต้นใหม่ที่ได้จะไม่ติดอายุต้นแม่มาด้วย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลักษณะไม่เหมือนกับต้นพันธุ์เนื่องจากการแปรปรวนทางพันธุกรรม เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้ดำเนินโครงการขยายต้นพันธุ์ไผ่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 2 รูปแบบคู่ขนานกันไป   [caption id="attachment_46321" align="aligncenter" width="750"] การชักนำให้เกิดต้นอ่อนจากแคลลัส (callus)[/caption]   “รูปแบบแรก คือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นไผ่ด้วยวิธีการโซมาติกเอมบริโอเจเนซิส (somatic embryogenesis) หรือการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากเซลล์ร่างกาย (somatic cells) ผ่านการชักนำให้เกิดต้นอ่อนจากแคลลัส (callus) ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่ โดยกลุ่มเซลล์นี้พัฒนาขึ้นจากการกระตุ้นเนื้อเยื่อเจริญ (meristem) ของต้นพันธุ์ด้วยอาหารเพาะเลี้ยงที่เหมาะสมในห้องปฏิบัติการ ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ต้นอ่อน (somatic embryo) ของไผ่ที่เจริญเป็นต้นใหม่ (regeneration) จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนแม่ทุกประการ (clonal plants) และมีอายุเริ่มต้นจากศูนย์หรือไม่จดจำอายุของต้นแม่มาด้วย ซึ่งขณะนี้การวิจัยอยู่ระหว่างติดตามการเจริญเติบโตเพื่อเปรียบเทียบกับต้นพันธุ์ต้นแม่ คาดว่าจะได้ทราบผลที่แน่ชัดภายในปีหน้า ส่วนรูปแบบที่สอง คือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากข้อของต้นพันธุ์ไผ่ที่รู้อายุ และผ่านการคัดเลือกลักษณะทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์การใช้งานแล้ว เพื่อให้ได้ต้นไผ่ที่ใช้ประโยชน์ได้ยืนยาวคุ้มค่าแก่การลงทุน โดยการทำวิจัยเฟสแรกนี้ทีมวิจัยตั้งเป้าหมายที่จะขยายต้นกล้าไผ่เพื่อการใช้ประโยชน์ด้านงานโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และเฟอร์นิเจอร์ อาทิ ไผ่รวกดำ (รวกใหญ่) ไผ่ซางหม่น และไผ่บงใหญ่ โดยได้รับการอนุเคราะห์พันธุ์ไผ่ที่ผ่านการคัดเลือกลักษณะทางเศรษฐกิจมาแล้วจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ให้การสนับสนุนโครงการ”   [caption id="attachment_46325" align="aligncenter" width="750"] การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากข้อของต้นพันธุ์ไผ่ที่รู้อายุ[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนากระบวนการขยายพันธุ์จนได้ ‘ต้นอ่อนไผ่ปลอดโรค’ ในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการนำความเชี่ยวชาญรวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของไบโอเทค สวทช. มาพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยอาหารเหลวแบบ ‘Temporary Immersion Bioreactor (TIB)’ หรือ ‘ระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม’ เพื่อเร่งขยายพันธุ์ไผ่ให้ทันต่อการส่งมอบต่อไป   [caption id="attachment_46320" align="aligncenter" width="750"] ระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (TIB)[/caption]   ดร.ยี่โถ อธิบายว่า โดยทั่วไปการเลี้ยงต้นอ่อนที่เกิดจากกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะใช้การเพาะเลี้ยงต้นอ่อนในห้องปฏิบัติการภายใต้สภาพปลอดเชื้อด้วยอาหารแข็งหรือกึ่งแข็ง (1 ต้น ต่อ 1 ขวดโหล) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์และอาหารเพาะเลี้ยงไม่สูงนัก แต่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลปรับสูตรอาหาร สภาพแวดล้อม รวมถึงการย้ายเนื้อเยื่อพืชและเปลี่ยนอาหารใหม่ (subculture) ทุกต้น จนกว่าจะได้ต้นที่แข็งแรงและมีขนาดเหมาะสมแก่การจำหน่าย แต่ในกรณีของการขยายพันธุ์ในระดับเชิงพาณิชย์ (mass scale) ภายในระยะเวลาอันสั้น ทีมวิจัยมีความจำเป็นต้องเลือกใช้กระบวนการเลี้ยงด้วยวิธีการ TIB ซึ่งแม้จะมีต้นทุนด้านวัสดุและเครื่องมือที่สูงกว่า แต่ถือเป็นวิธีการที่คุ้มทุน เพราะช่วยลดต้นทุน แรงงาน และเวลาผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ   [caption id="attachment_46318" align="aligncenter" width="750"] ระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (TIB)[/caption]   “การเลี้ยงต้นอ่อนด้วยวิธี TIB จะใช้ไบโอรีแอกเตอร์ที่มีลักษณะเป็นภาชนะขนาดใหญ่ 2 ภาชนะ วางซ้อนกันบน-ล่าง ภาชนะบนใช้สำหรับเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ภาชนะล่างใช้สำหรับใส่อาหารเพาะเลี้ยง ระบบจะดันอากาศเข้าทางโหลล่างเพื่อดันอาหารเพาะเลี้ยงขึ้นมาท่วมเนื้อเยื่อในภาชนะบนด้วยความถี่และระยะเวลาที่เหมาะสมตามที่ทีมวิจัยตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ เพื่อควบคุมปริมาณอาหารและสภาพแวดล้อมให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้ประหยัดต้นทุนและเวลาในการดูแลรวมถึงการย้ายต้นอ่อนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญต้นอ่อนของพืชที่เลี้ยงด้วยวิธีนี้จะโตเร็วกว่าวิธีเดิม 3-5 เท่า อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการเจริญและพัฒนาเป็นต้นอ่อนสมบูรณ์ได้ครั้งละปริมาณมากด้วย โดยในกรณีของไผ่ที่ลำต้นมีขนาดเล็กหากเลี้ยงด้วยไบโอรีแอกเตอร์ขนาด 5 ลิตร ภายใน 1 เดือนจะได้ไผ่สำหรับแจกจ่ายมากถึง 1,000 ต้นต่อไบโอรีแอกเตอร์ ทั้งนี้ภายหลังจากการผลิตต้นไผ่เพื่อส่งมอบผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในเฟสแรกเรียบร้อยแล้ว ทีมวิจัยมีแผนที่จะวิจัยและพัฒนากระบวนการขยายพันธุ์ต้นไผ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ ไผ่หม่าจู ไผ่ข้าวหลาม ไผ่ยักษ์ ไผ่ตง ไผ่เลี้ยงลำ ต่อไปในอนาคตอันใกล้     อย่างไรก็ตามแม้ทีมวิจัยจะมีความเชี่ยวชาญด้านการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และการเลี้ยงต้นอ่อนด้วยเทคนิค TIB แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกครั้งที่เริ่มต้นพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชนิดที่แตกต่างกันออกไป ปัจจัยทางพันธุกรรม (genetic dependent) ที่ส่งผลต่อการตอบสนองการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ยังคงเป็นโจทย์ท้าทายในการวางแผนวิจัยรวมถึงแนวทางการตั้งรับเมื่อต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาของเซลล์พืชอยู่เสมอ ดร.ยี่โถ เล่าว่า การเพาะเลี้ยงพืชต่างชนิดและสายพันธุ์ต้องพัฒนาสูตรอาหารและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมแบบจำเพาะต่อพันธุกรรมของพืชเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบโซมาติกเอมบริโอเจเนซิส ที่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการทำวิจัยสูง แต่หากผลการทำวิจัยประสบความสำเร็จแล้ว ก็ถือเป็นการดำเนินงานที่คุ้มค่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเกษตรไทย ซึ่งทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พร้อมส่งเสริมการขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจให้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเปิดให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม ไปจนถึงการพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงในระดับอุตสาหกรรม "ทีมวิจัยมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้คนไทยได้เข้าถึงทรัพยากรชีวภาพประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตลอด value chain โดยนอกจากการผลิตต้นพันธุ์ไผ่คุณภาพสูงปลอดโรคเพื่อส่งมอบให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการดังที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันแล้ว ที่ผ่านมาทีมวิจัยยังได้พัฒนากระบวนการคัดเลือกพันธุ์พืชเศรษฐกิจและการขยายพันธุ์พืชในระดับอุตสาหกรรม เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ที่สนใจมาโดยตลอดด้วย ตัวอย่างพันธุ์พืช เช่น พืชตระกูลปาล์มอย่าง ปาล์มน้ำมัน อินทผลัม พืชสมุนไพรอย่าง กระชายดำ ขมิ้นชัน และไม้ดอกมูลค่าสูงอย่างปทุมมา" ดร.ยี่โถ กล่าวทิ้งท้าย การวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตต้นพันธุ์แท้ปลอดโรคของพืชเศรษฐกิจในระดับอุตสาหกรรม เป็นก้าวสำคัญของการยกระดับเศรษฐกิจชีวภาพของไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรชีวภาพและการอนุรักษ์ทรัพยากรให้คงอยู่ในระยะยาว ตามแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ผู้ที่สนใจติดต่อขอรับองค์ความรู้ รับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต หรือร่วมวิจัยการผลิตพืชชนิดพันธุ์ใหม่ ได้ที่ ทีมนวัตกรรมโรงเรือนผลิตพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช.   [caption id="attachment_46319" align="aligncenter" width="450"] ทีมวิจัย[/caption]   [caption id="attachment_46322" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัย[/caption]     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ปฏิวัติ อ่อนพุทธา ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก และไบโอเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘Winona Probio’ นวัตกรรมเสริมสุขภาพจาก ‘โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย’ คุณภาพมาตรฐานสากล
For English-version news, please visit : Winona Probio: Probiotic supplement based on locally isolated microorganisms   Tech: สุดปัง ! “Winona Probio” นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยรายแรกในประเทศ ผลิตจากจุลินทรีย์มีชีวิตที่ผ่านการคัดแยก วิจัยพัฒนา และทดสอบประสิทธิภาพในคนไทยแล้ว หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. หรือ NAC2023 BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์โดยศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางวิจัยด้านโพรไบโอติก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) พัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิตเซลล์จุลินทรีย์โพรไบโอติกในระดับกึ่งอุตสาหกรรมโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์โดยบริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 0 2821 5501 อีเมล : nopppart.s@winonafeminine.com เฟซบุ๊ก : วิโนน่า คอสเมติกส์ ไลน์ : @winona หรือเว็บไซต์ www.winonafeminine.com   [caption id="attachment_46231" align="aligncenter" width="700"] นพรัตน์ สุขสราญฤดี ผู้ก่อตั้ง บริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด[/caption]   นพรัตน์ สุขสราญฤดี ผู้ก่อตั้ง บริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด เล่าว่า บริษัทเริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เฟมินินแคร์จากสมุนไพรไทย โดยเน้นทำตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของเราเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอก เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จึงเริ่มมองหานวัตกรรมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ และพบว่าในต่างประเทศมีการนำจุลินทรีย์โพรไบโอติกมาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพกันเป็นจำนวนมาก แต่ในประเทศไทยยังมีน้อยและส่วนใหญ่ต้องนำเข้า ในขณะที่อุตสาหกรรมโพรไบโอติกมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น จึงเกิดความสนใจที่จะนำโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ โดยเราได้รับอนุญาตใช้สิทธิข้อมูลเทคโนโลยีจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยจำนวน 2 สายพันธุ์ จากศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางวิจัยด้านโพรไบโอติก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ถัดมาได้ร่วมวิจัยกับไบโอเทค สวทช. ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกเพื่อสตรี เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีคุณภาพที่ดีตามมาตรฐานระดับสากล และมีความพร้อมในการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับ บริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ   [caption id="attachment_46226" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย[/caption]   จุดเด่นของผลิตภัณฑ์วิโนน่าโพรไบโอ คือ ผลิตจากจุลินทรีย์โพรไบโอติก Lactobacillus paracasei และ Bifidobacterium animalis สายพันธุ์ไทย ที่มีเซลล์มีชีวิตจำนวนสูง ผ่านการพิสูจน์คุณสมบัติการเป็นโพรไบโอติกที่ดี และได้รับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ขององค์การอาหารและยา (อย.) จากผลการศึกษาโดยศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางวิจัยด้านโพรไบโอติก มศว. พบว่าเป็นโพรไบโอติกที่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบในตับและลำไส้ ลดการสะสมของไขมัน ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากโพรไบโอติกไม่ใช่ยาหรือสารเคมี แต่เป็นจุลินทรีย์ตามธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว   [caption id="attachment_46227" align="aligncenter" width="700"] ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์วิโนน่าโพรไบโอ ใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตเซลล์โพรไบโอติกของโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BBF) สวทช. ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตอาหาร และได้รับมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP รวมถึงการดำเนินงานภายใต้แนวทางการปฏิบัติที่ดีในการใช้จุลินทรีย์ในระดับอุตสาหกรรม หรือ Good Industrial Large Scale Practice (GILSP) ในสภาพควบคุมระดับ LS1 โดย BBF มีความพร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญ องค์ความรู้ และเครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยและผลิตด้วยเทคโนโลยีของคนไทยไม่เพียงตอบโจทย์เทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการนำเข้าโพรไบโอติก ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพิ่มการสร้างงาน และเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารใหม่ของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก   เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
บทเรียนวิกฤตโควิด-19 สู่การพัฒนา “PETE (พีท) เปลความดันลบ” นวัตกรรมเพื่อความมั่นคงด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย
  นับตั้งแต่ปี 2562 โรคโควิด-19 ได้สร้างความเสียหายด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่ผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล เป็นแรงกระตุกครั้งสำคัญให้ผู้นำทั่วโลกตระหนักถึงความรุนแรงของโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) และหายนะที่เกิดขึ้นจากการขาดความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งประเทศไทยเองก็ต้องเผชิญความยากลำบากในการก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้มาเช่นกัน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) และหน่วยงานพันธมิตร ผู้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา PETE (พีท) จัดเวทีถอดบทเรียนความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมรับมือวิกฤตโรคโควิด-19 อันนำไปสู่การสร้างความเข็มแข็งด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย   [caption id="attachment_46097" align="aligncenter" width="750"] PETE[/caption]   ‘เสียงสะท้อนบุคลากรด่านหน้า’ ในสถานการณ์โควิด-19 “เสียงตะโกนกรีดร้องด้วยความเครียดและหวาดผวา น้ำตาที่ไหลผ่านหน้าด้วยความเหนื่อยล้าแสนสาหัส คือความเจ็บปวดที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญในปี 2563 ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ถาโถมอย่างหนัก โรคที่ไม่มีใครไม่รู้จักและไร้ซึ่งหนทางตั้งรับ” คือ คำบอกเล่าของ นพ.อนุแสง จิตสมเกษม รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช หนึ่งในบุคลากรด่านหน้าที่ได้หวนสะท้อนถึงความรู้สึกของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ต้องยืนหยัดต่อสู้ท่ามกลางสถานการณ์อันโหดร้ายในช่วงเวลานั้น   [caption id="attachment_46106" align="aligncenter" width="750"] นพ.อนุแสง จิตสมเกษม (ขวา)[/caption]   “ตอนนั้นสถานพยาบาลทั่วประเทศต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะอุปกรณ์สำหรับควบคุมการแพร่กระจายเชื้อขณะเคลื่อนย้ายคนไข้ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้บุคลากรด่านหน้าล้มป่วย หมอและพยาบาลต้องอลหม่านสร้างสรรค์อุปกรณ์เพื่อใช้งานกันเอง โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นาน ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. และทีมวิจัย ได้ติดต่อเข้ามาที่วชิรพยาบาลเพื่อนำเสนอแนวคิดการต่อยอดนวัตกรรม ‘เปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ติดโรคระบาดในระบบทางเดินหายใจ'   ‘นวัตกรรมฝ่าวิกฤต’ ลดความเสี่ยงบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยสถานการณ์ที่คับขัน ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. เร่งนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญมาพัฒนาต้นแบบ PETE (พีท) เปลความดันลบ ในเวลาอันสั้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้บุคลากรด่านหน้าใช้รับมือโรคระบาด   [caption id="attachment_46048" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ[/caption]   ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าโครงการ และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ในช่วงเวลานั้น อุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจมีความสำคัญและจำเป็นในทุกโรงพยาบาล แต่ในประเทศไทยมีน้อยมาก เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนที่มีอยู่ก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน เช่น ขนย้ายลำบาก ไม่สามารถนำเข้าเครื่องเอกซเรย์ชนิด CT-scan ได้ ทีมวิจัยจึงมีแนวคิดพัฒนา PETE หรืออุปกรณ์เปลความดันลบที่ลดข้อจำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย   [caption id="attachment_46045" align="aligncenter" width="750"] PETE รุ่นที่ 8 ถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว[/caption]   “จุดเด่นของ PETE คือเปลมีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ตัวเปลมีลักษณะเป็นห้องหรือท่อพลาสติกใส (plastic chamber) ขนาดพอดีตัวคน มีระบบปรับความดันอากาศภายในเปลเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจสบาย และมีระบบฆ่าเชื้อโรคในอากาศเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก นอกจากนี้อุปกรณ์ยังผ่านการออกแบบให้เคลื่อนย้ายเข้า-ออกรถพยาบาล รวมถึงเครื่องเอกซเรย์ชนิด CT Scan ได้โดยไม่ต้องพาผู้ป่วยออกจากเปล ที่สำคัญยังมีช่องถุงมือสำหรับทำหัตถการผู้ป่วย หรือสอดท่อหรือสายจากเครื่องมือแพทย์ จำนวน 6 ถึง 8 จุด เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยได้โดยไม่ต้องเปิด chamber”   [caption id="attachment_46101" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบการใช้งานทางบกร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ[/caption]   [caption id="attachment_46102" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบการใช้งานทางบกร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ[/caption]   [caption id="attachment_46046" align="aligncenter" width="750"] ผลงาน PETE ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ ประจำปี 2565[/caption]   เอกชนพร้อมสู้ภัยโควิด-19 เดินหน้า ‘ผลิตเชิงพาณิชย์’ นับเป็นความโชคดีที่ภายหลังทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ฝ่าฟันความยากลำบากในการวิจัยและพัฒนาต้นแบบ PETE จนประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด ที่มีความพร้อมด้านการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีในทันที เพื่อเร่งผลิตอุปกรณ์ช่วยเหลือสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่กำลังเดือดร้อน   [caption id="attachment_46098" align="aligncenter" width="750"] คุณสกุล คงธนสาโรจน์ (ซ้าย) นาวาอากาศเอก พยงค์ รัตนสุข (คนที่ 2) คุณอานนท์ ศรีจักรโคตร (คนที่ 3)[/caption]   คุณอานนท์ ศรีจักรโคตร วิศวกรอาวุโส บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย PETE เล่าว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตรถพยาบาลและรถที่ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับปฏิบัติงานทางการแพทย์แบบเคลื่อนที่ จึงทราบดีว่าในปี 2563 บุคลากรด่านหน้าต้องเผชิญความยากลำบากในการทำงานเพียงใด พอทราบข่าวว่าเอ็มเทคพัฒนาต้นแบบ PETE ได้สำเร็จ เราจึงติดต่อขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีทันที “จากการดำเนินงานร่วมกับทีมวิจัยตั้งแต่ช่วงต้น ทำให้มีโอกาสได้ทราบว่าทีมวิจัยต้องเผชิญกับอุปสรรคในการพัฒนานวัตกรรมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องข้อจำกัดในการเลือกใช้ ‘อุปกรณ์การผลิต’ เพราะตอนนั้นทั่วโลกต่างมีความต้องการวัสดุสำหรับการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์สูง อีกทั้งการขนส่งระหว่างประเทศยังทำได้ยากลำบาก ทีมวิจัยจึงต้องพยายามเลือกใช้อุปกรณ์ที่ผลิตได้ภายในประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านพ้นมาได้แล้วผลดีที่เกิดขึ้นคือเราสามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้เองในยามวิกฤตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงกำลังการผลิตจากภายนอก อีกทั้งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ยังมีราคาถูกกว่าสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศหลายเท่าตัว ช่วยเพิ่มโอกาสให้สถานพยาบาลไทยเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูง” ปัจจุบัน บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด ร่วมกับทีมวิจัยเอ็มเทค พัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต้นแบบ PETE เปลความดันลบ มาแล้วถึง 9 รุ่น ซึ่งรุ่นที่ 9 เป็นรุ่นที่บุคลากรทางการแพทย์ให้การยอมรับว่ามีประสิทธิภาพทัดเทียมกับสินค้าที่จำหน่ายในตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับใช้ทดแทนห้องความดันลบในสถานพยาบาลในกรณีมีห้องไม่เพียงพอ และใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ในโรงพยาบาลสนามหรือสถานที่กักตัวภายในชุมชนด้วย   [caption id="attachment_46043" align="aligncenter" width="747"] HI PETE[/caption]   [caption id="attachment_46042" align="aligncenter" width="750"] HI PETE[/caption]   [caption id="attachment_46044" align="aligncenter" width="750"] HI PETE[/caption] ส่งมอบ ‘เปลความดันลบ’ เกราะคุ้มกันกำลังพลคนด่านหน้า ด้วยแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทำให้บริษัทสุพรีร่าฯ ผลิตและส่งมอบอุปกรณ์ให้แก่สถานพยาบาลทั่วประเทศได้แล้วมากกว่า 120 ชุด คุณสกุล คงธนสาโรจน์ นักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ จังหวัดนครราชสีมา เล่าว่า การได้ PETE มาใช้งาน ช่วยลดภาระงานเจ้าหน้าที่อย่างมาก จากที่ต้องใช้เวลานำแผ่นพลาสติกซีลภายในรถทั้งคันเป็นเวลาหลักชั่วโมงต่อการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 1 ครั้ง เหลือเพียงใช้เวลาติดตั้งอุปกรณ์ 5 นาทีเท่านั้น อีกทั้งการดูแลผู้ป่วยหลังจากเคลื่อนย้ายมายังสถานพยาบาลก็ทำได้สะดวกขึ้นมาก ทุกคนที่ได้ใช้งานรู้สึกสะดวก คลายความกังวล และมีความสุข แม้วันนี้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย จะพบจำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างมากจนใกล้กลับคืนสู่สถานการณ์ปกติแล้ว แต่สถานพยาบาลต่าง ๆ ก็ยังคงใช้ PETE ในการดูแลผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจที่มีความรุนแรง อาทิ วัณโรค (Tuberculosis) อีสุกอีใส (Chickenpox) เพื่อปกป้องบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลทั่วไปจากการแพร่กระจายเชื้ออยู่เสมอ   [caption id="attachment_46049" align="aligncenter" width="750"] ภาพการส่งมอบ PETE ในปี 2564[/caption]   ‘พลังความร่วมมือ’ หนทางก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 ผลความสำเร็จในพัฒนา PETE เปลความดันลบ จากต้นแบบในห้องปฏิบัติการสู่ผลงานที่ส่งมอบให้แก่สถานพยาบาลเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19  คงเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาด “ความร่วมแรงร่วมใจ” จากทุกภาคส่วน ดร.ศราวุธ เล่าว่า นวัตกรรมนี้เกิดขึ้นได้จากการร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายในการนำสรรพกำลังและความเชี่ยวชาญสหสาขามาบูรณาการการทำงาน ต้องขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ร่วมฝ่าฟันความยากลำบากมาด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้งานที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลปัญหาที่ชัดเจน และร่วมให้ความเห็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แหล่งทุนวิจัยต่าง ๆ  ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) รวมถึงภาคเอกชน ได้แก่ เครือมติชน บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีสเทิร์นโพลีเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด และประชาชนที่ร่วมบริจาคงบประมาณในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้มีความถูกต้องทางวิศวกรรมและตอบโจทย์ผู้ใช้ “อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนให้ต่อยอดขยายผลอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนด้านการทดสอบมาตรฐานจากกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) มาตั้งแต่ต้น ทำให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ส่งผลดีด้านการสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่หน้างานเป็นอย่างมาก”   ต่อยอดนวัตกรรม PETE ‘เคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศและทางน้ำ’ PETE ไม่เพียงเป็นนวัตกรรมสำคัญในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำในอนาคต ทีมวิจัยยังตั้งเป้าพัฒนาขยายผลการใช้งาน PETE ให้เป็นอุปกรณ์ที่พร้อมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในทุกสถานการณ์ ดร.ศราวุธ เล่าว่า ก้าวต่อไปของ PETE คือการพัฒนาอุปกรณ์ให้ใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้ทั้งทางอากาศและทางน้ำ โดยปัจจุบันทีมวิจัยกำลังร่วมกับหน่วยงานการแพทย์และศูนย์ทดสอบต่าง ๆ ในการทดสอบอุปกรณ์ภายใต้สถานการณ์จำลอง เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงและจัดทำรายงานทางคลินิกเพื่อยื่นขอรับรองมาตรฐานอุปกรณ์ทางการแพทย์ระดับสากลในหัวข้อต่าง ๆ เพิ่มเติม นำไปสู่การเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันในตลาดโลก ตามที่ นาวาอากาศเอก พยงค์ รัตนสุข นายทหารนิรภัยเวชกรรมการบิน สถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ ได้ให้กำลังใจไว้ว่า ‘Go higher!’ ”   [caption id="attachment_46047" align="aligncenter" width="750"] PETE รุ่นที่ 9 อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้งานให้ครอบคลุมภาคพื้นดิน ภาคอากาศ และภาคน้ำ เพื่อเตรียมการขยายผลในและต่างประเทศ[/caption]   การทำวิจัยเพื่อยกระดับขีดความสามารถของอุปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศและทางน้ำ ได้รับการสนับสนุนจาก ศลช. รวมถึงพันธมิตร อาทิ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กองบินตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และกองบังคับการตํารวจน้ำ (สุราษฎร์ธานี) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ   [caption id="attachment_46103" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบการติดตั้งบนเฮลิคอปเตอร์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[/caption]   [caption id="attachment_46105" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบจำลองภารกิจการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางน้ำ (แม่น้ำ) โดยศูนย์วิทยุวัฒนะจังหวัดปทุมธานี[/caption]   “ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการพัฒนานวัตกรรมและขยายผลการใช้งาน PETE เปลความดันลบในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย เพื่อขับเคลื่อนสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (medical hub) แห่งเอเชียตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วย” ดร.ศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย หากคุณสนใจร่วมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม PETE รวมถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ติดต่อได้ที่ pete@mtec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
    FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง ด้านที่ 1 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredient) เช่น โพรไบโอติก พรีไบโอติก โพสต์ไบโอติก ต้นเชื้อสำหรับหมักอาหารและเครื่องดื่ม เอนไซม์สำหรับเป็นส่วนประกอบในอาหารหรือเวชสำอาง เพื่อให้มีคุณสมบัติเชิงหน้าที่ในการส่งเสริมสุขภาพ FoodSERP พร้อมให้บริการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ่าน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่อยู่ในประกาศของ อย. และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ที่มีศักยภาพ โดยทีมวิจัยพร้อมให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่คัดสรรวัตถุดิบที่เหมาะสม พัฒนากระบวนการผลิต การทดสอบ จนได้เป็นผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่สามารถขยายผลในระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกสำหรับคนและสัตว์ น้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ไทย ผลิตภัณฑ์เอนไซม์แบบพรีมิกซ์ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ทางเลือก     ด้านที่ 2 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative proteins) หรือโปรตีนที่ไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ แต่ผลิตได้จากสิ่งมีชีวิตอื่นหรือกรรมวิธีอื่น เช่น โปรตีนจากพืช โปรตีนจากจุลินทรีย์ โปรตีนหรือเนื้อจากการเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ซึ่งเป็นเทรนด์ของอาหารยุคใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม FoodSERP มีความพร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหาร และอุปกรณ์การผลิตที่ทันสมัย เพื่อให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก ที่จะทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นไม่เพียงอร่อยและมีเนื้อสัมผัสที่ดี แต่ยังดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากโปรตีนพืช ไข่เหลวจากโปรตีนพืช มัยคอโปรตีน     ด้านที่ 3 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะกลุ่ม (Food for specific group) เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารสำหรับผู้ป่วย อาหารสำหรับผู้มีภาวะกลืนลำบาก และอาหารเฉพาะบุคคล FoodSERP มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงเนื้อสัมผัสของอาหาร ความนุ่ม และความหนืด (Food texture & characterization) พร้อมให้บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม ด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่อ้างอิงตามมาตรฐานสากล แบบครบวงจร ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เนื้อหมูนุ่มที่ผ่านการปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวง่าย เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อาหารให้ทางสายยางสำหรับผู้ป่วยติดเตียง     ด้านที่ 4 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดฟังก์ชัน (Functional extracts) สำหรับใช้เป็นส่วนผสมฟังก์ชันในผลิตภัณฑ์อาหารและเวชสำอาง เช่น สารสกัดจากพืช สมุนไพร จุลินทรีย์ ผลผลิตพลอยได้จากอุตสาหกรรม (By-product) เช่น โปรตีนไฮโดรไลเสต สารให้กลิ่นและรส สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาแบบครบวงจรด้วยความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนากระบวนการสกัด การเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งและความคงตัวของสารสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอัตลักษณ์แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูงและมีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เวชสำอางที่มีสารสกัดอนุภาคนาโน วัตถุดิบปรุงแต่ง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร     FoodSERP เป็นแพลตฟอร์มให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยปลดล็อกศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการไทย นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารใหม่ และการยกระดับอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน     FoodSERP พร้อมให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจรับบริการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/FoodSERP และ Facebook: FoodSERP ติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th     รายละเอียดเพิ่มเติม: FoodSERP: One-stop service ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์  
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
FoodSERP: One-stop service ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร
  ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อุตสาหกรรมอาหารจึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล ปัจจุบันทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลกกำลังมุ่งสู่ “อาหารแห่งอนาคต (Future food)” ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงโอกาสของอุตสาหกรรมไทย จึงได้จัดตั้ง “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” หรือ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” ขึ้น เพื่อให้บริการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต แบบ One-stop Service โดยทีมผู้เชี่ยวชาญสหสาขา ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนา และการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล     FoodSERP เป็น 1 ใน 4 Core business ของ สวทช. ทำหน้าที่ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงวิธีการผลิตที่เหมาะสมในระดับห้องปฏิบัติการ การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การให้บริการขยายขนาดการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์     FoodSERP พร้อมให้บริการใน 4 ด้านหลัก คือ 1) วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตและสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ 2) วิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือขยายกำลังการผลิต 3) บริการวิเคราะห์ทดสอบและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4) บริการอบรมและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพตามความต้องการเฉพาะของผู้ประกอบการ     FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่เป็นเทรนด์อุตสาหกรรม 4 กลุ่ม ได้แก่ ส่วนผสมฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารเฉพาะกลุ่ม และสารสกัดฟังก์ชัน โดยให้บริการแบบบูรณาการความเชี่ยวชาญ และใช้เครื่องมือมาตรฐานสากลในการวิจัยและพัฒนาแบบ One-stop service เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตที่พัฒนา จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค มีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมผลิตและจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ     FoodSERP พร้อมให้บริการโรงงานต้นแบบมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบการผลิตผลิตภัณฑ์ก่อนขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยโรงงานต้นแบบที่พร้อมให้บริการมี 2 ประเภท คือ 1) โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (Food-grade manufacturer) สถานที่ผลิตอาหารสำหรับขยายขนาดการผลิตจากจุลินทรีย์และการแปรสภาพทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามมาตรฐานสากล Codex GHPs, HACCP และ GILSP ในสภาพควบคุมระดับ LS1 ซึ่งรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งจากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม 2) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ให้บริการพัฒนาและผลิตอนุภาคนาโนของสารสกัด และเวชสำอาง ด้วยมาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP     นอกจากโรงงานต้นแบบทั้ง 2 ประเภทที่พร้อมรองรับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่าง ๆ แล้ว FoodSERP ยังพร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีการผลิตอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดลองผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบก่อนขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างเครื่องมือแรก คือ เครื่องเอกซ์ทรูเดอร์แบบสกรูคู่ (Twin-screw extruder) สำหรับแปรรูปและขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีโครงสร้างและรูปร่างต่าง ๆ กัน สามารถใช้ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากโปรตีนพืช ทั้งในรูปแบบความชื้นต่ำและความชื้นสูง รวมถึงอาหารประเภทขบเคี้ยว เป็นต้น อีกตัวอย่าง คือ เครื่องพิมพ์อาหารสามมิติ (3D food printer) ที่เป็นเครื่องมือขึ้นรูปอาหารแบบสามมิติ ที่สามารถขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีส่วนประกอบ รูปร่าง และเนื้อสัมผัสของอาหาร ให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ     FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายด้าน เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าอาหารที่ผลิตตรงตามโจทย์ความต้องการ ตัวอย่างการให้บริการ เช่น - Molecular sensomics: การทดสอบด้านกลิ่นและรสชาติของผลิตภัณฑ์ - Food texture and characterization: การทดสอบเนื้อสัมผัสอาหาร และความหนืดของเครื่องดื่ม - Peptidome and proteome: การวิเคราะห์ชนิดและโพรไฟล์ของเพปไทด์และโปรตีนในตัวอย่างทดสอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง - Dynamically simulated gut model: การทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ด้วยแบบจำลองระบบทางเดินอาหารของกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่     ทางด้านเวชสำอาง FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบการออกฤทธิ์ของส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients) และผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ทั้งด้วยเซลล์ผิวหนังมนุษย์ (2D human skin test) เนื้อเยื่อผิวหนังมนุษย์ (3D human skin tissues) ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ที่ได้รับบริจาคจากอาสาสมัคร (Ex vivo human skin) และการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยใช้แบบจำลองลำไส้แบบ 3 มิติ (Intestinal tissue model) และแบบจำลองปลาม้าลาย (Zebrafish model) ตัวอย่างการทดสอบ เช่น การออกฤทธิ์ลดการอักเสบ การต้านอนุมูลอิสระ การชะลอการเสื่อมสภาพของผิวหนัง การเพิ่มความกระจ่างใส การศึกษาพิษเฉียบพลัน และการดูดซึมด้วยแบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้สามมิติ (In vitro)     FoodSERP พร้อมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่ยั่งยืน หนุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารใหม่และการยกระดับของอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อการยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน       FoodSERP พร้อมให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจรับบริการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/FoodSERP และ Facebook: FoodSERP ติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th     รายละเอียดเพิ่มเติม: FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น