หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ศุภมาส ร่วมผลักดันไทยเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เร่งขับเคลื่อนงานวิจัยพัฒนาด้าน EV ด้วยขุมพลังด้านกำลังคน เครื่องมือและเทคโนโลยีของ สวทช.
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ได้ประชุมบอร์ด กวทช. พร้อมมอบหมายให้ สวทช. ดำเนินงานเชิงรุกในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านการใช้รถ ICE มาสู่รถไฟฟ้า หรือ EV-Transformation เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย อว. FOR EV ตอบโจทย์บอร์ดอีวี ซึ่งมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ตั้งเป้าหมายการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 และผลักดันไทยขึ้นแท่นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของภูมิภาค และ 10 อันดับแรกของโลก ด้านศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กล่าวว่า สวทช. พร้อมเดินหน้าทำงานทันทีหากรัฐบาลให้การสนับสนุน  เพราะเรามีขุมพลังทั้งในด้านกำลังคน การวิจัยพัฒนา และเทคโนโลยีที่สมัย สามารถสนับสนุนการดำเนินงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าตาม 4 พันธกิจสำคัญของประเทศ ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการบริการทดสอบตามมาตรฐาน การส่งเสริมเพื่อขับเคลื่อนและยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการเพิ่มบุคลากรวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม  “สวทช. ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมในทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนาแพลตฟอร์มยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV Platform) ระบบขับขี่อัตโนมัติ การพัฒนาแพลตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาในกลุ่มมอเตอร์ ระบบขับเคลื่อน และโครงสร้างน้ำหนักเบา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สมรรถนะ และลดต้นทุนของยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลวัสดุในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในหนทางช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจเป็นปัญหาขยะมลพิษในอนาคต ไม่เพียงเฉพาะยานยนต์ สวทช. ยังศึกษาวิจัยถึงการเชื่อมต่อในระบบ IoT ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และสื่อสาร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ในหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น ในด้านความปลอดภัย สวทช. มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการบริการทดสอบ สอบเทียบ วิจัย พัฒนา ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากล อาทิ การทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้าและความปลอดภัยสำหรับระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ทั้งคัน การทดสอบอุปกรณ์อัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ทดสอบชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียม โมดูลแบตเตอรี่ของจักรยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่แพ็กของยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการยกระดับอุตสาหกรรมการดัดแปลงรถยนต์จากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงหรือ EV Conversion เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอีกด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า ในด้านการส่งเสริมเพื่อขับเคลื่อนและยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยกลไก EV Transformation หรือการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. รวมถึงการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และคาร์บอนเครดิต สวทช. ได้พัฒนากลไกสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงของการลงทุน มีการดำเนินงานทั้งกลไกด้านการเงิน ภาษี และมาตรการส่งเสริมภาคธุรกิจ และให้คำปรึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการในกระบวนการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง   “สิ่งสำคัญในการเตรียมรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า คือ การเพิ่มบุคลากรวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม สวทช. มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมพัฒนาและแลกเปลี่ยนบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูง อีกทั้งยังได้พัฒนาส่งเสริมเพิ่มทักษะที่จำเป็นสำหรับบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมด้วยการจัดหลักสูตรการอบรมและการสอบมาตรฐาน เพื่อสร้างกำลังคนที่ช่วยเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กรมโรงงานฯ ผนึก สวทช. หนุน 500 โรงงาน ประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ Thailand i4.0 Checkup
(วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวง อว.ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า ถ.พระรามที่ 6 : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโรงงานไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยมี ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. และผู้บริหารทั้งสองหน่วยงานร่วมแถลงข่าว ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการวิจัยพัฒนาและใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ของภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ให้ตอบโจทย์สำคัญของประเทศ โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรม สวทช. ต้องทำงานร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่ง ที่จะร่วมกันสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมไทยให้เกิดการประยุกต์ใช้ วทน. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น ร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันงานต่างๆ ให้เกิดการถ่ายทอดและขยายผลงานวิจัยที่สร้างผลกระทบกับคนในวงกว้างระดับล้านคน “ในปีที่ผ่านมา สวทช. มีความมุ่งมั่นตอบโจทย์การสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ตามนโยบายที่ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบไว้คือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน”  จึงได้จัดตั้ง NSTDA Core Business - Industry 4.0 ขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาใช้บริการด้านต่างๆ ยกระดับสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยในปี 2566 มีการประเมิน Thailand i4.0 Index แล้วกว่า 200 โรงงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ภาคอุตสาหกรรม 140 โรงงาน และฝึกอบรมบุคคลากร 600 คน และในปีนี้ได้มีการพัฒนารูปแบบการประเมินแบบออนไลน์และทำได้ด้วยตนเอง (Online Self-Assessment) ซึ่งจะทำให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสามารถรู้ผลได้ทันทีเพื่อนำไปปรับปรุงยกระดับสถานประกอบการ อีกทั้งเชื่อมกลไกสนับสนุน และสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เกิดการลงมือปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม” ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ. รับมอบนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ภายใต้แนวคิดอุตสาหกรรมดีอยู่คู่ชุมชนอย่างยั่งยืน มุ่งเน้น 4 มิติ ได้แก่ ความสำเร็จทางธุรกิจ ความอยู่ดีกับสังคมโดยรวม ความลงตัวกับกติกาสากล และการกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว Green Industry (GI) ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับ เพื่อส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ตอบโจทย์ประเทศไทยและประชาคมโลก นอกจากนี้ กรอ. ยังสนับสนุนให้มีการนำกากของเสียอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ ผ่านการวิจัยและพัฒนาสู่การเพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเป็นวัตถุดิบในอีกอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสิ้นสุดของการเป็นของเสีย (End of Waste) รวมถึงการพัฒนามาตรฐานสำหรับวัตถุดิบทุติยภูมิเพื่อให้เกิดการเลือกใช้วัสดุทดแทน (Circular Supplies) เพื่อรักษาต้นทุนของธรรมชาติ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร และลดการเกิดของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ในมิติของความสำเร็จทางธุรกิจ กรอ. ผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมมีการปรับธุรกิจให้เหมาะสมกับโลกอนาคต โดยมีการยกระดับภาคอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ ให้สามารถแข่งขันด้านประสิทธิภาพและต้นทุน รวมถึงการใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและค่าแรงที่สูงขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ทาง กรอ. มองว่า Thailand i4.0 Index สามารถเข้ามาตอบโจทย์ได้ ซึ่งปี 2567 นี้ กรอ.จะสนับสนุนให้โรงงานในกำกับเข้ามาใช้ Thailand i4.0 Checkup ซึ่งเป็นแบบประเมินออนไลน์ด้วยตนเอง เพื่อทำให้ผู้ประกอบการทราบระดับอุตสาหกรรมของตนและสามารถรับคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อพัฒนาโรงงานของตนให้ไปสู่ระดับอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น โดยในปีนี้ตั้งเป้าการประเมินอุตสาหกรรม 4.0 ไว้ไม่น้อยกว่า 500 โรงงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองหน่วยงาน และสามารถใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และนำไปถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบการ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆระหว่างกัน เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ อีกทั้ง ความร่วมมือนี้ยังนำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มที่เก็บรวมรวมข้อมูลเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. กล่าวเสริมว่า การประเมินระดับความพร้อมด้วย Thailand i4.0 Checkup ถือเป็นบันไดขั้นแรกในการก้าวไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 หลังจากประเมินแล้ว ยังสามารถเข้าใช้บริการด้านอื่นๆ จาก สวทช. ได้ เช่น การให้คำปรึกษา การฝึกอบรม ถ่ายทอดเทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา ที่จะสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมในการปรับตัวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างยั่งยืน ปัจจุบันระบบ “Thailand i4.0 Checkup” ได้เปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว สามารถเข้าถึงได้ง่ายบนเว็บไซต์ www.nstda.or.th/i4platform ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสามารถประเมินสายการผลิตได้ด้วยตนเอง โดยระบบดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับผลการประเมินเบื้องต้น พร้อมทั้งมีการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อวางแผนการขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่พร้อมสนับสนุนการยกระดับองค์กรไปสู่อุตสาหกรรม 4.0
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ศุภมาส” ประกาศเดินหน้าแผนพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศทันที หลังนายกฯ มีคำสั่งแต่งตั้ง รมว.อว. เป็น ‘บอร์ดอีวี’ เร่งดำเนินการ 3 แผนงาน ‘พัฒนากำลังคน เพิ่มสัดส่วนการใช้รถ EV และหนุนงบวิจัย EV ทั้งระบบ’ มั่นใจนำไทยสู่ EV HUB ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมุ่งสู่เป้าหมายการผลิตยานยนต์ไม่ปล่อยมลพิษร้อยละ 30 ภายใน 5 ปี ตามนโยบายรัฐบาล
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในงานแถลงข่าวเปิดตัวนโยบาย อว. For EV โดยมี พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผอ.สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ รอง ผอ.สวทช. ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รอง ผอ.สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ รอง ผอ.สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) รศ.ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. หน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมออดิทอเรียมชั้น 3 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี นางสาวศุภมาส กล่าวว่า ตามที่ รมว.อว. ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น เนื่องจาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และประธานบอร์ดอีวี เล็งเห็นว่ากระทรวง อว. เป็นกระทรวงสำคัญที่จะมาร่วมขับเคลื่อนโยบาย ในการผลักดันให้ประเทศเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญอันดับหนึ่งของภูมิภาค และ 10 อันดับแรกของโลก โดยมีเป้าหมายการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 คิดเป็นกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 725,000 คัน และรถจักรยานยนต์ประมาณ 675,000 คัน เพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แก้ไขความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รมว.อว.กล่าวต่อว่า ในวันนี้ อว.พร้อมเดินหน้าทำงานทันที โดยการประกาศนโยบาย “อว. For EV” เพื่อผลักดันแผนงานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้กระทรวง อว. 3 แผนงาน คือ EV-HRD การพัฒนาทักษะกำลังคน เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อาทิ การออกแบบ การผลิต การพัฒนาซอฟแวร์ และการซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า สถานีบรรจุไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน มีเป้าหมายในการผลิตกำลังคน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 150,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยปี 2567 จะผลิตกำลังคนให้ได้ 5,000 คน มอบหมายให้ สภานโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เป็นหน่วยงานขับเคลื่อน EV-Transformation การส่งเสริมให้หน่วยงานภายใต้ อว. ปรับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยมีเป้าหมายให้หน่วยงานในสังกัด อว. เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย ร้อยละ 30 ของยานยนต์ที่ใช้งานของหน่วยงานภายในระยะเวลา 5 ปี และจัดทำระบบต้นแบบการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของกระทรวง อว. เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของ Green campus โดยมอบหมายให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยและหน่วยงานอื่นของกระทรวง อว. EV-Innovation การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยปรับปรุงแผนด้าน ววน. ให้มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ให้เป็น Flagships ที่สำคัญของกองทุนส่งเสริม ววน. และเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ โดยมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) มาร่วมดำเนินการขับเคลื่อนงานวิจัย “อว. For EV ถือเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานในกระทรวง อว. เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรม EV ยกระดับคุณภาพชีวิตในหลายมิติ และเรามั่นใจว่าแผนงานทั้ง 3 นี้ จะเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเป็น EV HUB ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และก้าวไปสู่เป้าหมายการผลิตยานยนต์ไม่ปล่อยมลพิษร้อยละ 30 ภายใน 5 ปี ตามที่รัฐบาลต้องการได้อย่างแน่นอน” นางสาวศุภมาส กล่าว   ดาวน์โหลดไฟล์ "นโยบาย อว. for EV" โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว.  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. พัฒนา ‘Nano Cool Paint’ สีลดอุณหภูมิภายในอาคาร ลดค่าไฟได้มาก 10-15%
  โลกเดือด ร้อนระอุ จนคนเริ่มทนไม่ไหว ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสก็เปลืองไฟ แถมยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหนักกว่าเดิม จากปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้คนเริ่มมองหาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หนึ่งในนั้นคือ ‘สีทาบ้านที่มีคุณสมบัติช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคารได้’ อย่างไรก็ตามแม้ผลิตภัณฑ์สีเหล่านี้จะช่วยลดอุณหภูมิได้ดี แต่ก็ยังลดได้ไม่เต็มที่นักเนื่องด้วยคุณสมบัติบางประการของสารประกอบที่เป็นข้อจำกัด นักวิจัยไทยที่เล็งเห็นถึงปัญหานี้จึงเร่งนำความเชี่ยวชาญเฉพาะทางพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนานวัตกรรม ‘Nano Cool Paint’ สีทาภายนอกอาคารที่ช่วยลดอุณหภูมิได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป 3-4 องศาเซลเซียส และ ‘สารออกฤทธิ์ (active ingredient)’ สำหรับประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์สีทาวัสดุต่าง ๆ ที่ต้องการลดอุณหภูมิ เช่น สีสำหรับพ่นตู้บรรจุสินค้ารถขนส่งควบคุมอุณหภูมิ สีสำหรับทาตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าทางเรือ   [caption id="attachment_52810" align="aligncenter" width="750"] ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ นักวิจัย นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน (INC) นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า โดยทั่วไปส่วนประกอบหลักในสีทาภายนอกที่ทำหน้าที่ลดอุณหภูมิ คือ สาร TiO2 (ไทเทเนียมไดออกไซด์) ที่มีลักษณะอนุภาคสะท้อนแสงได้ดี แต่มีจุดอ่อนด้านการดูดแสง UV และแผ่รังสีความร้อนได้ไม่ดีนัก ส่วนสารประกอบอีกอย่างหนึ่งที่มีการใช้งานมาก คือ อนุภาคเซรามิกส์ขนาดประมาณ 10 ไมครอน ที่มีจุดเด่นด้านการแผ่รังสีความร้อนได้ดี แต่มีจุดอ่อนด้านการสะท้อนแสง ทำให้ในภาพรวมสารทั้งสองชนิดนี้ยังช่วยลดอุณหภูมิได้ไม่มากเท่าที่ควร     เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอนุภาคนาโนมาใช้ในการออกแบบกระบวนการผลิตสารประกอบเพื่อลดข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ ดร.ศรัณย์ อธิบายว่า สารประกอบที่ทีมวิจัยเลือกใช้แก้ปัญหามี 2 ชนิด คือ BaSO4 (แบเรียมซัลเฟต) และ SiO2 (ซิลิกอนไดออกไซด์) ที่มีคุณสมบัติเด่นตามธรรมชาติ คือ ‘ไม่ดูดแสง UV’ จึงช่วยลดอุณหภูมิให้แก่อาคารได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามในภาพรวมสารทั้งสองชนิดนี้ยังมีจุดอ่อนด้านการสะท้อนแสงและแผ่รังสีความร้อนได้ไม่ดีเท่าสารอีก 2 ชนิดที่ใช้งานอยู่ทั่วไป ทีมวิจัยจึงได้ปรับลักษณะทางกายภาพของ BaSO4  และ SiO2 ด้วยเทคโนโลยีนาโนจนมีจุดแข็งที่เทียบเท่า ทำให้ในภาพรวมสารประกอบ BaSO4 และ SiO2 ที่พัฒนาขึ้น มีคุณสมบัติด้านการช่วยลดอุณหภูมิที่เหนือกว่า โดยภายหลังการพัฒนาสารประกอบเสร็จสิ้น ทีมวิจัยได้เดินหน้าวิจัย ‘สูตรการผลิตสีสำหรับทาภายนอกอาคารในชื่อ Nano Cool Paint’ ต่อทันที ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาจนสำเร็จแล้วเช่นกัน จากการทดสอบพบว่าผลิตภัณฑ์ Nano Cool Paint ช่วยลดอุณหภูมิในช่วงร้อนสุดของวันได้มากกว่าสีประเภทเดียวกันที่จำหน่ายทั่วไป 3-4 องศาเซลเซียส โดยหากเปรียบเทียบกับอาคารที่ไม่ได้ใช้สีทาภายนอกประเภทลดอุณหภูมิ ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ร้อยละ 10-15 (กรณีที่เปิดเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส)   [caption id="attachment_52809" align="aligncenter" width="750"] ภาพเปรียบเทียบความสามารถในการลดอุณหภูมิเมื่อเทียบกับสีทั่วไป[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้วทั้ง ‘ผลิตภัณฑ์ Nano Cool Paint’ และ ‘เทคโนโลยีการผลิต BaSO4 และ SiO2 ชนิดปรับอนุภาคในระดับนาโน’ ดร.ศรัณย์ อธิบายเสริมว่า ผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต BaSO4 และ SiO2 ชนิดปรับอนุภาคเพื่อนำไปใช้กับสูตรการผลิตเดิมไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการใช้งานยาก เพราะผลิตภัณฑ์ที่ทีมพัฒนาขึ้นมีลักษณะเป็นสารสีขาวซึ่งเป็นสีพื้นฐานของผลิตภัณฑ์สีทาบ้านอยู่แล้วจึงใช้ทดแทนสารชนิดเดิมได้เลย ส่วนด้านการปรับสูตรให้ลงตัว คงคุณสมบัติเด่นต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ หากผู้ประกอบการต้องการความช่วยเหลือทีมก็พร้อมให้บริการด้านการวิจัย “ทั้งนี้นอกจากการพัฒนาสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์สีทาภายนอกอาคารแล้ว ปัจจุบันทีมวิจัยยังสนใจที่จะร่วมงานกับภาคเอกชนพัฒนาสีสำหรับใช้งานกับวัสดุชนิดอื่น ๆ เช่น สีพ่นตู้บรรจุสินค้ารถขนส่งควบคุมอุณหภูมิ สีทาตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าทางเรือ หรือหากผู้ประกอบการท่านใดสนใจพัฒนาสีเพื่อการใช้งานในวัตถุประสงค์อื่น ๆ ทีมวิจัยก็พร้อมให้บริการเช่นกัน” ผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยกับทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ติดต่อได้ที่ ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ เบอร์โทรศัพท์ 06 2540 8047 หรืออีเมล sarun.ati@nanotec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, นาโนเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
7 เยาวชนไทยเข้าเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ตัวแทนเยาวชนไทย 7 คน ผู้เข้าร่วมกิจกรรมใน “โครงการ Asian Try Zero-G 2023” ขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าเยี่ยมชม มหาวิทยาลัยสึกุบะ (University of Tsukuba) มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มุ่งเน้นด้านการวิจัยพัฒนา โดยมี Dr.Nakao P. Nomura เป็นผู้บรรยายและนำชม นับเป็นโอกาสดีของเยาวชนไทย ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF สำหรับภารกิจที่นักบินอวกาศได้นำไอเดียของน้อง ๆ ขึ้นไปทำการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แต่เนื่องจากไม่สามารถถ่ายภาพระหว่างการทดลองได้ ดังนั้นผลการทดลองจะเป็นอย่างไร มีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น ทางน้อง ๆ จะมาถ่ายทอดการเปิดประสบการณ์ที่ได้รับให้ทุกท่านได้ทราบต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับรางวัลคลิปแอนิเมชันรักษ์โลก ประเภทองค์กร จากคณะอนุกรรมาธิการด้านคุณธรรมและจริยธรรมฯ วุฒิสภา
(13 กุมภาพันธ์ 2567 ) ที่อาคารรัฐสภา : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ) ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ และทีมงาน เข้ารับโล่รางวัลเชิดชูเกียรติจากนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา จากการประกวดคลิปวิดีโอ ประเภทองค์กร ในโครงการนวัตกรรมรักษ์โลก ปี 2567 จัดโดย คณะอนุกรรมาธิการด้านคุณธรรมและจริยธรรม ในคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ร่วมกับ สมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย และ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ผลงานที่ได้รับรางวัล คือ คลิปวิดีโอแอนิเมชัน เรื่อง “มุ่งสู่ Net Zero ด้วยแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” ผลงานวิจัยของ ดร. พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช. ซึ่งผลิตโดยฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย นอกจากนี้คณะกรรมการคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้เชิญ สวทช. เข้าร่วมจัดนิทรรศการแสดงผลงานรักษ์โลกในกิจกรรม คนดี รักษ์โลก ซึ่งเป็น 1 ใน 16 ผลงาน จาก 19 องค์กรที่เข้าร่วมจัดแสดง ทั้งนี้ สวทช. นำผลงานวิจัย “Magik Color แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ” ที่ได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีการเตรียมสูตรแป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ ของทีมวิจัยสิ่งทอกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ประกอบด้วย 6 เฉดสี ได้แก่ สีแดงและสีชมพูจากคลั่ง สีเหลืองและสีน้ำตาลแดงจากดอกดาวเรือง เฉดสีน้ำตาลเหลืองจากเปลือกต้นโกงกาง และเฉดสีเทาดำจากเปลือกผลชาน้ำมัน ร่วมจัดกิจกรรมเวิร์กชอปเพ้นท์กระเป๋าผ้าจากสีธรรมชาติ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานทุกเพศทุกวัย หมุนเวียนกันเข้าร่วมกิจกรรมในบูธนิทรรศการ สวทช. ตลอดทั้งวัน  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เยาวชนไทยร่วมลุ้นผลการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากไอเดียที่ส่งเข้าประกวด
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ณ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ตัวแทนเยาวชนไทย 7 คน เข้าร่วมกิจกรรมใน “โครงการ Asian Try Zero-G 2023” กับเยาวชนจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ ไต้หวัน รวม 39 คน ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ในช่วงเช้าเยาวชนไทยได้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อวกาศ JAXA Tsukuba Space Center เพื่อติดตามเทคโนโลยีและความก้าวหน้าการพัฒนาด้านอวกาศของประเทศญี่ปุ่น จากนั้นในช่วงบ่ายจะเริ่มกิจกรรมการถ่ายทอดสด โดยนายซาโตชิ ฟุรุคาวะ (Satoshi Furukawa) นักบินอวกาศญี่ปุ่น นำแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทยจำนวน 3 เรื่อง ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติแบบ real-time ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ แจ็กซา ซึ่งเด็กๆ จะได้รับชมผลการทดลองที่เกิดขึ้นในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีโอกาสได้พูดคุยสื่อสารกับนักบินอวกาศญี่ปุ่นโดยตรง สำหรับแนวคิดการทดลอง 3 เรื่อง ได้แก่ 1. เรื่อง “ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้า” โดย นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 2. เรื่อง “การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ” โดย นายณัฐภูมิ กูลเรือน, นายจิรทีปต์ มะจันทร์, นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล และนายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย 3. เรื่อง “การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ” โดย นางสาววรรณวลี จันทร์งาม และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนระยองวิทยาคม
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ลุยพื้นที่ EECi เสริมสร้างศักยภาพครู รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน สอดคล้องนโยบาย BCG พร้อมต่อยอดในชั้นเรียน  
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ผนึกกำลังกับคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา ร่วมกันจัดกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 7 - 9 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์ประชุม บางแสนเฮอริเทจ ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ผู้เข้าร่วมอบรมประกอบด้วยครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) จำนวน 80 โรงเรียน รวม 160 คน เพื่อพัฒนาศักยภาพ เพิ่มพูนความรู้และเสริมสร้างสมรรถนะด้านต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก (EEC)  ให้แก่ “คุณครู” ผู้ถ่ายทอดความรู้ ให้สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดสู่หลักสูตรในสถานศึกษาต่อไป การอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน ได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร.ณยศ คุรุกิจโกศล รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวต้อนรับ และ คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย คุณวรพจน์ สิงหราช ผู้อำนวยการสำนักบริหารการมัธยมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวรายงาน จากนั้น ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุญยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวเปิดการอบรม เริ่มการอบรมเชิงปฏิบัติการด้วย การบรรยายพิเศษ แนวทางการจัดการเรียนการสอน ด้านการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Education for Sustainable Development : ESD) โดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการบรรยายและฝึกปฏิบัติการ หัวข้อ การจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดย ผศ.ดร.กฤษฏิพัทธ์ พิชญะเดชอนันต์ และ ดร.กฤตอร จิววะสังข์ สาขาวิชาการจัดการการบริการการท่องเที่ยวและไมซ์ (หลักสูตรนานาชาติ) วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมีลักษณะและสอดคล้องกับ BCG Economy ความสำคัญของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วิธีการวิเคราะห์การท่องเที่ยวกับผลกระทบต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และนำเสนอกรณีศึกษาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน การออกแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้ฟังได้เห็นภาพมากขึ้น กิจกรรมในช่วงบ่าย เป็นการบรรยายใน หัวข้อ การประยุกต์ความรู้ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล (Data Science) คือ ศาสตร์การนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ผ่านวิธีการต่างๆ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดเก็บ จัดการ และวิเคราะห์ ไปจนถึงการนำเสนอข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ออกมาในรูปแบบของข้อมูลเชิงลึก (Insight) เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านธุรกิจและด้านอื่นๆ พร้อมยกตัวอย่างการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ ด้านการศึกษา ธุรกิจอาหาร และ  การท่องเที่ยว โดย ดร.ปัฐมา กระต่ายทอง นักวิจัย ทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ต่อด้วย กิจกรรมการแนะนำการทำงานและการต่อยอดการใช้งาน “นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม” การจัดเก็บข้อมูลวัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์และท่องเที่ยวในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งนวนุรักษ์เป็นแพลตฟอร์มสำหรับบริหารจัดการข้อมูล เพื่อให้ชุมชนหรือหน่วยงานสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ด้วยตัวเอง ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านการศึกษา การท่องเที่ยว การสร้างนวัตกรรม การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และบริการในท้องถิ่นให้ยังสามารถคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน โดย คุณวัชชิรา บูรณสิงห์ และทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมการอบรมได้ลงมือฝึกปฏิบัติการใช้งานแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ เรียนรู้การใช้เครื่องมือต่างๆ บนแพลตฟอร์ม เช่น การใช้งานระบบบริหารจัดการ การสร้างเส้นทางการท่องเที่ยว/ระบบนำชม, การทำอุปกรณ์ Hologram และการทำ content สำหรับงาน Hologram เป็นต้น สำหรับวันที่ 2 ของการอบรม เริ่มด้วย กิจกรรม Design Thinking Workshop การสร้างสตอรี่ข้อมูลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น ให้สามารถจับต้องได้ มีเรื่องราว และเกิดการพัฒนาเป็น Story of Product ที่สัมผัสได้ รวมถึงเทคนิคต่างๆ สำหรับ Vlogger เพื่อสร้าง Content Creator เตรียมพร้อมก่อนลงพื้นที่จริง กับ กิจกรรม “งานสื่อที่สร้างสรรค์ กับเครื่องมือที่สร้างเสริม” โดย อาจารย์ชัยวุฒิ รื่นเริง รองคณบดีฝ่ายบริหาร และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์สื่อสารสร้างสรรค์ คณะนิเทศศาสตร์ และทีมวิทยากรจากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ในช่วงบ่ายวันที่ 2 ของการอบรม คณะครูผู้เข้าร่วมการอบรมได้เดินทางลงสถานที่ฝึกปฏิบัติการกรณีศึกษา เพื่อเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อสร้างนวัตกรรมท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ๆ ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล และ ศูนย์เรียนรู้โลกใต้ทะเลบางแสน สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา ได้รับเกียรติจาก  ดร.บัลลังก์ เนื่องแสง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล พร้อมด้วย ดร.พัชรี ทองอำไพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและสื่อสารองค์กร และ คุณจิรศักดิ์ แช่มชื่น หัวหน้าฝ่ายบริการวิชาการ ให้การต้อนรับ และแนะนำภาพรวมของพิพิธภัณฑ์ฯ นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมการอบรมร่วมกันทำงานเป็นกลุ่ม ลงมือฝึกปฏิบัติการนำข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ มาเชื่อมโยงกับ นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม สำหรับบริหารจัดการข้อมูลนวัตกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยวันสุดท้ายของการอบรม เป็นการนำความรู้ที่ได้รับตลอดการอบรมมาออกแบบงานสื่อสร้างสรรค์ และนำเสนอผลงานการนำข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ มาเชื่อมโยงกับ นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม สำหรับบริหารจัดการข้อมูลนวัตกรรม การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมรับฟังคำแนะนำจากคณะวิทยากร และช่วงสุดท้ายเป็นการออกแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาต่อยอดไปสู่การเรียนการสอนในสถานศึกษาต่อไป โดย อาจารย์บุญลือ คำถวาย ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง  ตัวอย่างผลงานการนำเสนอผ่านแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ตัวอย่างผลงานแนวทางการออกแบบการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม ครูสิทธิพร ธิมาชัย ครูผู้สอนวิชาสังคม โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า จากการเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการพัฒนาที่ยั่งยืน  สามารถนำไปถ่ายทอดให้กับนักเรียนและผู้อื่น ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ EEC (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) ว่าสามารถนำไปพัฒนาเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และยั่งยืนได้ในอนาคต การนำไปต่อยอดในด้าน การสอน จะแนะนำนักเรียน ในการเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยว โดยการสร้างคลิป สื่อ ต่างๆ ที่จะถ่ายทอดแหล่งท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้ทราบ ผ่านแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook , TikTok , YouTube เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ แก่ตนเอง ชุมชน ตามการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน นอกจากนี้ครูสิทธิพรฯ ได้กล่าวถึง แพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ถือเป็นสื่ออย่างนึงที่คุณครูสามารถสร้างขึ้นมาแล้วให้นักเรียนเข้ามาเรียนรู้ได้ หรือ แนะนำให้นักเรียนสร้างสื่อในการนำเสนอข้อมูลของตัวเอง เช่น อาชีพของพ่อแม่ แหล่งท่องเที่ยวของชุมชนตนเอง เพื่อให้เกิดคลังข้อมูลให้ผู้อื่นเข้ามาเรียนรู้ได้ การใช้งานไม่ยาก สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้ที่เข้ามาชมสามารถใช้งานและเรียนรู้ได้ง่าย ครบจบในที่เดียว ครูประภากร ทองนอก ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนระยองวิทยาคม นิคมอุตสาหกรรม จ.ระยอง กล่าวว่า การได้เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ได้เรียนรู้ในด้านแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับใช้จัดทำ เรียบเรียง และเผยแพร่ข้อมูล และการทำคอนเทนต์รูปแบบต่างๆให้น่าสนใจ วิธีการนำเสนอให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ที่สนใจจะมาศึกษาข้อมูลเหล่านี้ ความรู้ที่ได้รับเหล่านี้ถือเป็นเทคนิคที่นำไปประยุกต์ใช้สอนในชั้นเรียนได้หมด เช่น แพลตฟอร์มนวนุรักษ์ สามารถใช้นำเสนอข้อมูลของนักเรียน หรือการบูรณาการในการเรียนการสอน โดยให้นักเรียนได้ออกแบบ การสร้างคอนเทนต์  นำเสนอข้อมูลตามบริบทของชุมชนที่อยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ข้อมูลของโรงงานอุตสาหกรรม ข้อมูลบริษัทที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงกิจกรรมของชุมชนด้าน Zero Waste  นำเสนอผ่านแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ คุณครูอาภาพร ห่วงมาก ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา โรงเรียนโพธิสัมพันธ์พิทยา จ.ชลบุรี กล่าวว่า จากการที่ได้มาอบรมหลักสูตรการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน ทำให้ได้ทราบประเภทเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เรียนรู้  การสร้างคอนเทนต์ อย่างที่ทราบว่าการสร้างคอนเทนต์ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายที่อยู่ ๆ เราจะสามารถสร้างขึ้นมา ได้เรียนรู้กระบวนการ สร้างสตอรี่ การวางแผน การดึงดูดให้น่าสนใจอย่างไรบ้าง รวมถึงการได้สร้างผลงาน สนุกและได้ความรู้ นอกจากนี้สามารถนำไปต่อยอดในการเรียนการสอน ชี้แนะให้กับนักเรียนในการสร้างคอนเทนต์ หรือว่าแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ให้เป็นที่รวบรวมข้อมูล สามารถให้นักเรียนค้นคว้า ข้อมูลและนำมาใส่ไว้ในแฟตฟอร์ม ซึ่งจะเป็นการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล นำไปใช้ในวิชาที่สอนคือวิชาประวัติศาสตร์ ให้นักเรียนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภูมิภาคของเราและนำไปใส่ไว้ในแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ เพื่อเป็นคลังข้อมูลของนักเรียนได้  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนา MPE Seminar Series: Energy Efficiency Evaluation for Plastics and Rubber Manufacturing Processes
เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนา MPE Seminar Series: Energy Efficiency Evaluation for Plastics and Rubber Manufacturing Processes ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 The methodology to evalvale the Energy Efficiency and Energy Saving of plastic and rubber production processes Hosted by STRI KMUTNB https://kmutnb4.webex.com/kmutnb4/j.php?MTID=mc6a8ee05319033f9a9f26a48a154ebac Friday, February 23, 2024 8:00 AM | 5 hours | (UTC+07:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta Meeting number: 2514 760 1766 Password: 3d54BJacegK (33542522 from video systems) Join by video system Dial 25147601766@kmutnb4.webex.com You can also dial 210.4.202.4 and enter your meeting number. Join by phone +65-6703-6949 Singapore Toll Access code: 251 476 01766 อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://tggs.kmutnb.ac.th/methodology-energy-saving-2024
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนา MPE Seminar Series: Battery – Recovery of Critical Metals from a Dynamic Waste Stream
เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนา MPE Seminar Series: Battery – Recovery of Critical Metals from a Dynamic Waste Stream ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567   Battery - Recovery of critical metals from a dynamic waste stream Hosted by STRI KMUTNB https://kmutnb4.webex.com/kmutnb4/j.php?MTID=m5fe48ade495130e70ca4eb4ccbf3bfc8 Wednesday, February 14, 2024 8:00 AM | 5 hours | (UTC+07:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta Meeting number: 2513 056 0414 Password: VkGc6efSy37 (85426337 from video systems) Join by video system Dial 25130560414@kmutnb4.webex.com You can also dial 210.4.202.4 and enter your meeting number. Join by phone +65-6703-6949 Singapore Toll Access code: 251 305 60414 อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://tggs.kmutnb.ac.th/battery-recovery-2024
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
7 เยาวชนตัวแทนประเทศไทยบินลัดฟ้าสู่แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมลุ้นผลการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากไอเดียที่ส่งเข้าประกวด
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 23.55 น. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ส่งตัวแทน 7 เยาวชนไทยบินลัดฟ้าเข้าร่วมกิจกรรม “โครงการ Asian Try Zero-G 2023” เพื่อรับชมการถ่ายทอดสดนักบินอวกาศญี่ปุ่นนำแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทยจำนวน 3 เรื่อง ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติแบบ ​real-time ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ ขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับเยาวชนจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ ไต้หวัน  โดยจะเริ่มทำการทดลองในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 08.00-18.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) สำหรับแนวคิดการทดลอง 3 เรื่อง ได้แก่ 1. เรื่อง “ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้า” โดย นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 2. เรื่อง “การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ” โดย นายณัฐภูมิ กูลเรือน, นายจิรทีปต์ มะจันทร์, นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล และนายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย 3. เรื่อง “การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ” โดย นางสาววรรณวลี จันทร์งาม และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนระยองวิทยาคม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. โดย เอ็มเทค สวทช. หนุนอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ปลดล็อก CBAM ช่วยไทยคงมูลค่าส่งออก EU กว่า 4 พันล้านบาท
อว. โดย เอ็มเทค สวทช. หนุนอุตสาหกรรมไทย ให้บริการฐานข้อมูลค่ากลางคาร์บอนแห่งเดียวในประเทศไทย เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิค ช่วยปลดล็อกมาตรการคาร์บอนของสหภาพยุโรป หรือ CBAM ให้กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการไทย ที่กำลังเผชิญกับมาตรการ CBAM ในระยะเปลี่ยนผ่าน (ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2566 - สิ้นปี 2568) ก่อนสหภาพยุโรปบังคับใช้เต็มรูปแบบ 1 ม.ค. 2569  (วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวง อว.ชั้น 1 ถนนพระรามที่ 6 : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.จิตติ มังคละศิริ หัวหน้าทีมวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตและการประยุกต์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการค้า สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายธีรพันธุ์ พิมพ์ทอง ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อมวลชน ในกิจกรรม NSTDA Meets the Press เรื่อง: มาตรการ CBAM ใครพร้อม ได้ไปต่อ ชวนปลดล็อก การปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนสหภาพยุโรป หรือ EU มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรปครั้งแรกที่จะมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง โดยผู้นำเข้าสินค้าเป้าหมาย 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.ซีเมนต์ 2.ไฟฟ้า 3.ปุ๋ย 4.เหล็กและเหล็กกล้า 5.ไฮโดรเจน และ 6.อะลูมิเนียม ไปยังสหภาพยุโรปจะต้องรายงานปริมาณการนำเข้ารวมถึงปริมาณการปล่อยคาร์บอนทางตรงและทางอ้อม (Embedded Emission) ของสินค้า ซึ่งปัจจุบันมาตรการดังกล่าวอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยในวันที่ 1 มกราคม 2569 จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ผู้นำเข้าสินค้าเป้าหมาย 6 กลุ่มจะต้องซื้อ CBAM Certificate ตามปริมาณการนำเข้าและปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้านั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายธีรพันธุ์ พิมพ์ทอง ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และในฐานะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอลูมิเนียม กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแรก 1 ใน 6 อุตสาหกรรม ที่สามารถดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับมาตรการ CBAM ได้สำเร็จ โดยได้ดำเนินการร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในการจัดทำค่ากลางของผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมตามกรอบ CBAM ซึ่งค่ากลางดังกล่าวครอบคลุมผู้ประกอบการจากกลุ่มอุตสาหกรรมหล่อบิลเล็ต, กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมหน้าตัด และกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมแผ่นม้วนภายในประเทศ เพื่อให้ได้ทราบถึงรายการสารขาเข้า และสารขาออกของแต่ละกระบวนการผลิตย่อยของบริษัทตนเอง หรือกระบวนการผลิตรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ที่สำคัญคือทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามกรอบ CBAM สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมในระดับประเทศ ซึ่งค่าปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดังกล่าวสามารถนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลจากทางยุโรป และสามารถนำไปต่อยอดและวิเคราะห์ เพื่อหาจุดที่ต้องปรับปรุงในแต่ละกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตได้อีกด้วย “มาตรการ CBAM กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เรามองว่าเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าเริ่มทำก็จะรู้ว่าเราต้องปรับอะไร และเราไม่ได้มองเฉพาะกลุ่มอลูมิเนียมเองเท่านั้น แต่มองไปถึง Supply Chain อื่น ๆ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ปลายทาง เช่น รถยนต์ ที่ใช้อลูมิเนียมเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ ซึ่งหากต้นน้ำสามารถผ่านมาตรการ CBAM ได้ดี ก็จะช่วยทั้งอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งส่วนประกอบจากอลูมิเนียม ตัวอย่างเช่น การเติบโตของอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า (EV) ที่โตอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าต้องการส่วนประกอบจากอลูมิเนียมมากขึ้น ซึ่งจากเดิมรถยนต์อีวี ใช้อลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ 70 กิโลกรัมต่อคัน จะเพิ่มขึ้นการใช้เป็น 200-300 กิโลกรัมต่อคัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าต่อคัน เป็นต้น” @อุตฯ อะลูมิเนียมพร้อมรับ CBAM คงมูลค่าส่งออก 4 พันล้านบาท-ลุ้นเพิ่มอัตราส่งออกจากคู่แข่งที่ไม่พร้อม  นายธีรพันธุ์ กล่าวต่อว่า การที่กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมปรับตัวได้เร็วก่อน เป็นข้อได้เปรียบ เพราะทางทีมวิจัยสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. ไม่เพียงสนับสนุนเรื่องข้อมูลเท่านั้น ซึ่งขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมมองไปถึงการแก้ไขปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ดีขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลายอุตสาหกรรมยังกังวลและมอง CBAM เป็นอุปสรรค กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมกลับมองเป็นโอกาส เพราะในกรณีที่ประเทศไทยจะส่งออกไปที่สหภาพยุโรปเหมือนประเทศคู่แข่งอื่น ๆ หากประเทศไทยสามารถผ่านมาตรการ CBAM กับผู้ส่งออกในยุโรปได้สำเร็จ จะได้เปรียบกว่าประเทศอื่น ๆ ที่อาจจะสู้ต้นทุนการลดค่าคาร์บอนตามข้อบังคับของ CBAM ไม่ไหว และอาจจะล้มเลิกการส่งออกสินค้าประเภทเดียวกับไทยก็เป็นได้ ซึ่งโอกาสจะกลับมาเป็นของไทยที่จะสามารถขยายอัตราการส่งออกสินค้าอลูมิเนียมได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม “ปี  2566 ไทยมีปริมาณการส่งออกอะลูมิเนียม อยู่ที่ประมาณ 20,000 ตัน มีตลาดส่งออกไปที่ยุโรปประมาณ 4-5 % หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท หากไทยยังปรับตัวไม่ได้กับมาตรการ CBAM นั่นหมายความว่าการส่งออก 5 % หรือมูลค่า 4,000 ล้านบาทจะหายไปในทันที ซึ่งยังไม่รวมกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เข้าสู่สถานการณ์ที่ CBAM เริ่มขยายการบังคับใช้ให้ครบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม” @ แนะ 6 อุตสาหกรรมไทยเข้าข่ายมาตรการ CBAM ปรับตัวด่วน  ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม กล่าวย้ำว่า ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมควรต้องเร่งศึกษามาตรฐานของกลุ่มอุตสาหกรรมของตนเองโดยด่วนตั้งแต่บัดนี้ และต้องเร่งมือหาองค์ความรู้เพื่อรับมือกับมาตรการ CBAM อย่างต่อเนื่องและพร้อมปรับตัวตลอดเวลา เพราะแม้กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมเตรียมตัวมาล่วงหน้าแล้ว ก็เกือบจะตกขบวนการปรับตัวให้เข้ากับมาตรการดังกล่าว โดยในช่วงปี 2567-2568 จะเป็นช่วงที่ CBAM ยังไม่เก็บเงินก็จริง แต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบต้องเตรียมประเมินผลไว้ ซึ่งทางสหภาพยุโรปเคร่งครัดในเรื่องการกรอกข้อมูลให้พร้อมและถูกต้อง และควรมีข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ทั้งนี้จากที่ดำเนินการร่วมกับ เอ็มเทค สวทช. มาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าประเทศไทยตอนนี้ ไม่มีหน่วยงานใดที่มีข้อมูลความพร้อมเท่ากับ เอ็มเทค สวทช. ที่ทำฐานข้อมูลพื้นฐาน (Background data) นี้ไว้รองรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ “ในฐานะผู้ประกอบการที่จะต้องเร่งปรับตัวตอนนี้แบบเร่งด่วน คือ ควรเข้ามาปรึกษาเอ็มเทค สวทช. ซึ่ง หากรัฐบาลสนับสนุน เอ็มเทค สวทช. ให้มีทั้งบุคลากรเพิ่มเติมและงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล จะช่วยให้ทีมวิชาการทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ เข้ามาสนับสนุนการทำงานของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อการส่งออกของประเทศและช่วยรองรับอุตสาหกรรมจำนวนมากได้ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการส่งออกของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเชื่อว่าจากนี้ไปภายในระยะเวลา 2 ปี จะมีหลายอุตสาหกรรมเร่งมือปรับตัวก่อนที่จะถูกเก็บเงินตามมาตรการ CBAM ที่จะทยอยประกาศมาตรการบังคับใช้กับอีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน (Oil refineries) อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว (Glass) และกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ (Acids and bulk organic chemicals) โดยในอนาคตเป็นไปได้ที่ต้องเผชิญมาตรการ CBAM อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” @เอ็มเทค สวทช. หนุนอุตสาหกรรม ให้บริการแหล่งข้อมูลค่ากลางคาร์บอนแห่งเดียวในประเทศไทย ดร.จิตติ มังคละศิริ หัวหน้าทีมวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตและการประยุกต์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการค้า สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย เอ็มเทค สวทช. ได้จัดทำโครงการ "ศูนย์ข้อมูลวัฏจักรชีวิตแห่งชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ประเทศไทยจึงเป็นประเทศลำดับต้น ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่ได้จัดทำข้อมูลค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวคิด CBAM ซึ่งเป็นค่ากลางของประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมทางการค้ากับสหภาพยุโรป โดยกลุ่มอะลูมิเนียม เป็นกลุ่มแรกที่สามารถทำข้อมูลออกมาได้ทันช่วงเปลี่ยนผ่านของมาตรการ CBAM ทั้งนี้ผลจากการประเมินจะช่วยให้อุตสาหกรรมอะลูมิเนียมมีค่า CBAM กลางของประเทศ เพื่อใช้ต่อยอดในการเจรจาทางการค้า และพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันได้ดีขึ้น สำหรับมาตรการ CBAM จะส่งผลให้ราคาวัสดุสินค้าเพิ่มขึ้นมา 15% ตัวอย่างเช่น การซื้อแท่งอลูมิเนียมต่างสถานที่กัน ราคาเฉลี่ยอาจไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ไม่เท่ากันคือ ตัวค่าคาร์บอนของอลูมิเนียมของแต่ละประเทศ ดังนั้นอุตสาหกรรมต้องเร่งปรับตัวเพื่อสู้กับการแข่งขันจากคู่แข่งประเทศอื่นด้วย ประเทศไทยไม่มีโรงถลุงอลูมิเนียมต้นทาง  โดยเป็นการซื้อจากต่างประเทศมาทั้งหมด อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมอลูมิเนียมมีกำไรเพียง 10 % ซึ่งทุกวันนี้ประเทศไทยอยู่ได้เพราะว่าผลิตเป็นจำนวนมากหลักแสนตัน หากในอนาคตกำไรน้อยลงจากมาตรการ CBAM ก็อาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปได้โดยตรงเช่นกัน “สิ่งที่เป็นผลสำเร็จของกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ให้เดินได้ตามมาตรการ CBAM ขณะนี้ คือ ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ให้บริการข้อมูลพื้นฐาน (Background data) ของวัสดุในประเทศไทย ซึ่งมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลขนาดใหญ่ที่เป็นค่ากลางของประเทศ นำไปใช้ประโยชน์อ้างอิงข้อมูลสินค้าตามมาตรการ CBAM ที่สหภาพยุโรปกำหนด โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ให้คำปรึกษาผู้ประกอบการกลุมอุตสาหกรรมอลูมิเนียม ในเรื่องการกรอกข้อมูลตามระบบของสหภาพยุโรป เพื่อรายงานค่าคาร์บอนกลางของสินค้ากลุ่มอลูมิเนียมของผู้ส่งออกไทยก่อนส่งออกสินค้าเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป” นายธีรพันธุ์ กล่าวเสริมว่า ในฐานะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ขอยกตัวอย่างสินค้า ปลายทางที่กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมส่งไปที่ยุโรป เช่น อะลูมิเนียมแผ่น ทั้งแผ่นบางและแผ่นหนา ซึ่งผู้ประกอบการในยุโรปที่ผลิตเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ จะนำเข้าอะลูมิเนียมแผ่นจากประเทศไทยเข้าไปผลิต ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องดำเนินการตามมาตรการ CBAM โดยต้องประเมินตนเองและกรอกข้อมูลเพื่อให้รู้ว่าค่าการปล่อยคาร์บอนของวัสดุอะลูมิเนียมที่ส่งออกเป็นปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งในอนาคตผู้ประกอบการแอร์ที่จะส่งแอร์ไปขายในยุโรปและประเทศต่าง ๆ ต้องทราบว่าจะใช้อะลูมิเนียมกี่กิโลกรัม แล้วจากการคำนวณการใช้กี่กิโลกรัมแล้ว จะใช้วัสดุต้นทางจากที่ใด และแยกออกเป็นเฉพาะวัสดุอะลูมิเนียมจำนวนเท่าใด หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์บริโภคอื่น ๆ เช่น เครื่องดื่มกระป๋อง-น้ำอัดลมกระป๋อง ล้วนเข้าข่ายมาตรการ CBAM ที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมศึกษาข้อมูลเพื่อรับกับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน EU ทั้งสิ้น
ข่าวประชาสัมพันธ์