ผลการค้นหา :

Pictory AI ผู้ช่วยสร้างวิดีโอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Pictory เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ประโยชน์จากความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการสร้างวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแค่ทำให้คุณสร้างวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีคุณภาพที่น่าประทับใจอีกด้วย แต่ระบบยังไม่รองรับภาษาไทย
ฟีเจอร์หลักที่ Pictory นำเสนอได้แก่การแปลงข้อความเป็นวิดีโออัตโนมัติ ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและสะดวกในการสร้างสื่อเสียงและรูปภาพที่น่าสนใจจากเนื้อหาที่คุณมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสคริปต์, url บล็อก, บทความ หรือข้อความใดๆ ก็ตามที่คุณต้องการที่จะแปลงเป็นวิดีโอ
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติการสร้างไฮไลท์วิดีโอ ที่ช่วยให้คุณสร้างคลิปวิดีโอสั้นๆ จากเนื้อหาที่ยาวนาน เหมาะสำหรับการแชร์บนโซเชียลมีเดียหรือการใช้เป็นตัวอย่างวิดีโอสำหรับงานที่ต่างๆ
ไม่เพียงแค่นั้น Pictory ยังมีคุณสมบัติการเพิ่มคำบรรยายในวิดีโอโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความเข้าถึงและการเข้าใจ และยังมีคุณสมบัติในการสรุปวิดีโอที่ยาวๆ เพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ
ฉบับทดลองฟรีของ Pictory ยังคงมีคุณภาพสูงและสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านคลาวด์ได้ที่ https://pictory.ai/ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกคนที่ต้องการสร้างวิดีโอที่ดูมืออาชีพได้ในเวลาอันสั้นๆ และอยากให้ผลลัพธ์มีคุณภาพสูง
(more…)
นานาสาระน่ารู้

Runway ทำให้ข้อความหรือรูปภาพ เคลื่อนไหวได้
RunwayML เป็นชุดเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการสร้างไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ และไฟล์เสียง อีกทั้งยังสามารถแก้ไของค์ประกอบของรูปภาพและวิดีโอได้
โดยมี AI Magic Tools เป็นเครื่องมือที่ที่ช่วยในการสร้างสรรค์ รวมถึงการสร้างและแก้ไข วิดีโอ รูปภาพ และการฝึกโมเดลประเภทต่าง ๆ ตามความต้องการ มากกว่า 30 รายการ เช่น Motion Brush, Generate Videos, Generate images, Erase Things from Videos
คุณสามารถเขา้ใช้งาน Runway ได้ที่เว็บไซต์ https://runwayml.com/ และ AppStore สำหรับ Smartphone IOS เท่านั้น
(more…)
นานาสาระน่ารู้

‘Lean Manufacturing’ ลดความสูญเปล่า เพิ่มความยั่งยืน
การผลิตแบบลีน (lean manufacturing) มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์โตโยต้า ประเทศญี่ปุ่น ต้องพาโรงงานฝ่าฟันวิกฤตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงขาดแคลนทั้งคน เงิน และพื้นที่ รวมถึงต้องเผชิญกับปัญหากลุ่มเป้าหมายมีความต้องการรถยนต์ลดลงแต่มีความต้องการรูปแบบของยานยนต์ที่มากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดความสูญเปล่าให้ได้มากที่สุด จนเกิดเป็นแนวทาง ‘Toyota Production System (TPS)’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังจากนั้นคณะอาจารย์และนักศึกษาจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) สหรัฐอเมริกา จึงได้ช่วยกันถอดแนวทางความสำเร็จของ TPS โดยขยายแนวคิดและเพิ่มเติมเครื่องมือสำหรับลดความสูญเปล่า ก่อนให้ชื่อแนวทางที่พัฒนาต่อยอดว่า ‘lean manufacturing’ ดังที่มีการใช้งานแพร่หลายในปัจจุบัน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) พัฒนา ‘Digital lean manufacturing coaching program’ สำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในการนำหลักคิด lean manufacturing ไปใช้ปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืน
ความสูญเปล่า 7 ประการ ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งลดความเสียหาย
โดยทั่วไปความสูญเปล่าของโรงงานมักเกิดขึ้นจากการขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบและละเอียด ถี่ถ้วน การขาดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการดำเนินงาน การขาดความเชี่ยวชาญ และการขาดวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งให้ทุกคนมีส่วนในการลดความสูญเปล่า
[caption id="attachment_53855" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธนกร ตันธนวัฒน์ ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ธนกร ตันธนวัฒน์ ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ความสูญเปล่า 7 ด้านที่เป็นปัญหาร่วมของโรงงานส่วนใหญ่ คือ 1) การผลิตมากเกิน 2) การมีสินค้าคงคลัง 3) การขนย้ายวัสดุ 4) การเคลื่อนไหวของคนหรือเครื่องจักร 5) การทำงานซ้ำซ้อน 6) การรอคอย 7) การมีของเสีย (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับความสูญเปล่าทั้ง 7 ด้านได้จากภาพประกอบ) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองทั้งเวลา ค่าแรง ค่าเครื่องจักร ค่าซ่อมบำรุง และค่าพลังงานที่เกินความจำเป็น นอกจากนี้ยังทำให้เสียโอกาสในการรับงานเพิ่ม และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียความน่าเชื่อถือทางธุรกิจได้ด้วย
ทั้งนี้แม้หลักการและแนวคิดการลดความสูญเปล่าจะดูเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่ก็มักถูกมองข้ามหรือมองไม่เห็น เป็นผลมาจากผู้บริหารและพนักงานต่างคุ้นชินกับสภาพการทำงานที่เป็นอยู่ นอกจากนี้หลายครั้งเมื่อมีกระแสของเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง (disrupt) ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็อาจทำให้หลายองค์กรรีบขวนขวายนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้งานจนไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าเหมาะกับบริบทขององค์กรอย่างแท้จริงหรือไม่ ทำให้เกิดความสูญเปล่าโดยไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ดังนั้นแล้วแต่ละองค์กรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบความสูญเปล่าภายในโรงงานอยู่เสมอ เพื่อให้เท่าทันต่อสถานการณ์ และลดความสูญเปล่าให้ได้มากที่สุด
ดร.ธนกร อธิบายว่า จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปถึงขนาดใหญ่ ทำให้ทราบว่าขั้นตอนสำคัญที่สุดของการปรับปรุงกระบวนการผลิตตามหลักการ Lean manufacturing คือ การระบุต้นตอและจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เนคเทค สวทช. จึงร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) จัดทำ ‘Digital lean manufacturing coaching program’ ขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการปรับปรุงกระบวนการผลิตควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรอย่างยั่งยืน กระบวนการนี้ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนหลัก ซึ่งขั้นตอนที่ 1 และ 2 ตัวแทนผู้เข้าร่วมกระบวนการจะต้องมีทั้งบุคลากรระดับปฏิบัติการภายในโรงงาน วิศวกรโรงงาน หัวหน้าฝ่ายผลิตและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับบริหารที่มีข้อมูลภาพรวมของธุรกิจ เพื่อให้ทุกคนสามารถแบ่งปันข้อมูลและปัญหาจากประสบการณ์การทำงานจริงร่วมกันได้ และร่วมเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาองค์กร
“ขั้นตอนแรกของการโคชชิง (coaching) คือ ‘การสำรวจปัญหา’ ขั้นตอนนี้จะให้ทุกคนร่วมกันเขียนปัญหาที่พบจากการทำงานของตัวเองหรือจากข้อมูลเชิงลึกที่ตัวเองทราบ ขั้นตอนที่สอง คือ ‘การจัดลำดับความสำคัญของปัญหา’ โดยนำข้อมูลปัญหาที่สำรวจพบมาจัดกลุ่ม พิจารณาความเชื่อมโยง และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เพราะในความเป็นจริงแล้วแต่ละองค์กรอาจแก้ปัญหาทั้งหมดพร้อมกันไม่ได้ ทั้งด้วยข้อติดขัดด้านงบประมาณและบุคลากร ขั้นตอนที่สาม คือ ‘การฝึกอบรมบุคลากร’ ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่กำลังแก้ไข ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจใช้การจำลองทางคอมพิวเตอร์ (computer simulation) และเทสต์เบด (testbed) ที่ SMC มีให้บริการร่วมด้วย เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้มากที่สุด
“หลังจากบุคลากรมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหานั้น ๆ แล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่สี่ คือ ‘การวิเคราะห์และพัฒนาแนวทางการแก้ปัญหา’ ซึ่งในที่นี้จะเป็นการร่วมกันวิเคราะห์กระบวนการทำงานที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันเพื่อระดมความคิดเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาและร่วมออกแบบกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ รวมถึงพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อการลดความสูญเปล่าให้ได้มากที่สุด ขั้นตอนที่ห้า คือ ‘การวางแผนดำเนินงานแก้ปัญหา’ เพื่อกำหนดขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และงบประมาณให้ชัดเจน ขั้นตอนที่หก คือ ‘การดำเนินงานตามแผนในลักษณะ on the job training (OJT)’ เพื่อเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด และขั้นตอนสุดท้าย คือ ‘การให้คำปรึกษาด้านการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง’ เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนการพัฒนาโรงงานได้อย่างเหมาะสม เท่าทันต่อสถานการณ์ และบุคลากรภายในองค์กรมีความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อม สอดรับกับรูปแบบการทำงานอยู่เสมอ”
Low-cost Solution เทคโนโลยีราคาจับต้องได้โดยนักวิจัยไทย
เมื่อพูดถึงการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีภายในโรงงาน ผู้ประกอบการหลายคนอาจปฏิเสธทันที เพราะมีภาพจำว่าการลงทุนต้องเป็นหลักแสน หลักล้าน หรือหลักสิบล้านบาท เพราะบุคลากรภายในโรงงานไม่สามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีหรือฟังก์ชันของเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้สอดรับกับสถานการณ์การผลิตที่เปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ต้องว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาปรับฟังก์ชัน หรืออาจถึงขั้นต้องลงทุนซื้อเทคโนโลยีใหม่มาใช้แทน ด้วยความตระหนักถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ นักวิจัยจากเนคเทค สวทช. จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีทางเลือกเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการแก้ปัญหาความสูญเปล่าด้วยหลักคิด ‘ลงทุนต่ำ ใช้งานได้จริง’
ดร.ธนกร ยกตัวอย่างถึง 2 เทคโนโลยีที่นักวิจัยเนคเทค สวทช. กำลังพัฒนาและอยู่ระหว่างการทดสอบใช้งานจริง เทคโนโลยีแรก คือ ‘Lean Flow’ ซอฟต์แวร์สำหรับออกแบบและปรับปรุงแผนผังการจัดวางเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในโรงงาน โดยนำโปรแกรม Microsoft Visio มาพัฒนาต่อยอด ซอฟต์แวร์ Lean Flow มีจุดเด่น คือ ใช้สร้างแผนภาพและคำนวณระยะการเดินทางของวัสดุ คน หรืออุปกรณ์ขนย้ายวัสดุได้สะดวก วิเคราะห์ผลกระทบด้านระยะทางอันเกิดจากการปรับเปลี่ยนแผนผังได้อย่างรวดเร็ว ใช้สร้างแผนผังภายในโรงงานได้ครอบคลุมทั้งสายการผลิต ตั้งแต่ตำแหน่งที่นำวัตถุดิบเข้าโรงงาน ตำแหน่งของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตและตรวจสอบคุณภาพสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วไปยังโกดัง ทำให้วิศวกรโรงงานทดลองสร้างแผนผังในรูปแบบต่าง ๆ และเลือกรูปแบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้สะดวกและรวดเร็ว
[caption id="attachment_53826" align="aligncenter" width="650"] Lean Flow[/caption]
[caption id="attachment_53827" align="aligncenter" width="650"] Lean Flow[/caption]
[caption id="attachment_53828" align="aligncenter" width="650"] Lean Flow[/caption]
“เทคโนโลยีที่สอง คือ ‘Smart OEE’ หรือชุดเครื่องมือสำหรับติดตามประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร (overall equipment effectiveness: OEE) ที่ใช้ในการผลิตแบบเรียลไทม์ พร้อมจัดแสดงผลข้อมูลในรูปแบบชุดข้อมูลที่ทำความเข้าใจได้ง่าย โดยเครื่องมือประกอบด้วย ‘IoT (Internet of Things) gateway’ หรืออุปกรณ์สำหรับรับข้อมูลจากเครื่องจักรหรือเซนเซอร์ต่าง ๆ ภายในโรงงาน และ ‘ซอฟต์แวร์ Smart OEE’ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์สำหรับประมวลผลที่นำ Node-RED มาพัฒนาต่อยอด โดยวิศวกรโรงงานสามารถนำระบบ Smart OEE ไปใช้คำนวณค่า OEE ของเครื่องจักรต่าง ๆ ภายในโรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการ และผู้วางแผนการผลิตเห็นถึงตัวเลขประสิทธิผลที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน ทำให้วางแผนการทำงานหรือปรับปรุงกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
[caption id="attachment_53840" align="aligncenter" width="650"] Smart OEE[/caption]
[caption id="attachment_53839" align="aligncenter" width="650"] Smart OEE[/caption]
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการปรับปรุงโรงงานด้วยหลักคิด lean manufacturing ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงเสมอไป สิ่งสำคัญสุดคือการพิจารณาปัญหาและวางแผนการทำงานที่มุ่งเป้าและแม่นยำ เพื่อให้ทุกการลงทุนปรับเปลี่ยนเกิดประโยชน์สูงสุด
ดร.ธนกร อธิบายเพื่อสร้างความตระหนักทิ้งท้ายว่า แม้ lean manufacturing จะมีหลักการที่ตรงไปตรงมา รวมถึงที่ผ่านมานักวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างช่วยกันพัฒนากระบวนการดำเนินงาน (protocol) และเทคโนโลยีสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อให้การปฏิบัติตามหลัก lean manufacturing ทำได้ง่ายขึ้นมาก จนหลายคนอาจหลงคิดว่าการจะปรับเปลี่ยนโรงงานไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมาก ทำไม่นานก็จะเห็นผล แต่ในความเป็นจริงแล้วจนถึงปัจจุบันหากสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตจะพบว่า ‘ในภาพรวมมีตัวเลขที่รายงานถึงความสำเร็จในการปรับปรุงโรงงานอย่างยั่งยืนตามหลัก lean manufacturing น้อยกว่าร้อยละ 50’ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้บริหารขาดความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึงไม่สามารถผลักดันพนักงานภายในองค์กรให้มีส่วนร่วมดำเนินงานจนประสบความสำเร็จได้ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ‘ขาดการทำอย่างต่อเนื่อง’ เพราะในระยะแรกของการนำระบบ lean manufacturing เข้าไปใช้ แต่ละองค์กรอาจปรับเปลี่ยนไม่สำเร็จในทันที หรือทำแล้วยังไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเวลาอันสั้น ทำให้ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน
“สิ่งที่หนึ่งที่ผู้ประกอบการ รวมถึงบุคลากรภายในองค์กรควรต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่ง คือ lean manufacturing เป็นหลักการที่จะเห็นผลได้อย่างชัดเจนและยั่งยืนก็ต่อเมื่อคนภายในองค์กรช่วยกันปรับเปลี่ยนจนมีวัฒนธรรม Lean เป็นหลักคิดพื้นฐาน เปรียบเสมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องคอยดูแลเป็นพิเศษในช่วงเริ่มแรก จนต้นไม้แข็งแรงออกดอกออกผลอย่างยั่งยืนในระยะยาว”
สำหรับผู้ที่สนใจกระบวนการ lean manufacturing และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) สวทช. เว็บไซต์ www.nectec.or.th/smc/ เฟซบุ๊ก SMC อีเมล smc-business@nectec.or.th และ LINE @smceeci
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. เชิญผู้ประกอบการประเมินความพร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ ‘บริการ i4.0 CheckUp’ ประเมินง่าย รู้ผลเร็ว ปรับใช้ได้ทันที
ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรและเซนเซอร์ต่าง ๆ ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิตรวมถึงการบริหารธุรกิจด้วย
อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงเปิดให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service) โดยเปิดให้บริการ 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย
maturity ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทย โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือวัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการดำเนินการยกระดับได้อย่างเป็นระบบ
consulting บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์
training บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (system integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมของโรงงาน
ทั้งนี้ในส่วนของ i4.0 maturity ปัจจุบัน Industry 4.0 Platform เปิดให้บริการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมผ่าน ‘Thailand i4.0 Index’ 2 รูปแบบ แบบแรกคือ การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งจะเข้าไปสัมภาษณ์และประเมินแบบลงลึกภายในสถานประกอบการ เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีความแม่นยำสูง และให้คำแนะนำเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการได้ โดยผู้ประกอบสามารถนำผลการประเมินไปใช้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ด้วย ส่วนรูปแบบที่สองคือ การประเมินด้วยตัวเองผ่านระบบ i4.0 CheckUp ซึ่งเป็นระบบออนไลน์ การประเมินในรูปแบบนี้ผู้ประกอบการจะเป็นผู้ตอบคำถามลงในแบบสำรวจด้วยตัวเอง โดยผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงสถานะของโรงงานในปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0
โดยในปี 2567 นี้ สวทช. ได้ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมผลักดันให้ผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินเพิ่มเติม ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมการประเมินระดับอุตสาหกรรมผ่านระบบ i4.0 CheckUp ภายในปีนี้ไม่น้อยกว่า 500 โรงงาน ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นคือ นอกจากผู้ประกอบการจะได้ทราบถึงสถานะของโรงงานอย่างละเอียดและใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนยกระดับโรงงานได้อย่างเหมาะสมแล้ว ภาครัฐยังสามารถใช้ข้อมูลพิจารณาแผนยกระดับอุตสาหกรรมไทยทั้งด้านการกำกับนโยบายและวางแผนสนับสนุนได้ด้วย
ในการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 มีบันได 4 ขั้นที่ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางในการวางแผนได้ ขั้นแรก ‘online & interactive self-assessment’ คือ การประเมินความพร้อมของโรงงานด้วยตัวเองผ่านระบบ i4.0 CheckUp เพื่อให้ทราบถึงสถานะของโรงงานในปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0
ขั้นที่สอง ‘initiation’ คือ การประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีความแม่นยำสูง พร้อมได้รับคำแนะนำในการยกระดับโรงงานแบบเชิงลึก โดยผู้ประกอบสามารถนำผลการประเมินไปใช้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้
ขั้นที่สาม ‘solutioning’ คือ เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจที่จะเริ่มยกระดับโรงงานแล้ว สามารถเข้ารับคำแนะนำด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ รวมถึงเข้าทดสอบระบบจำลองสถานการณ์ด้วย testbed ต่าง ๆ ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) สวทช. มีให้บริการได้ เช่น เครื่องจักร สายการผลิต และเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการได้วางแผนการปรับเปลี่ยนโรงงานจนมั่นใจ ก่อนการลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
และขั้นสุดท้าย ‘implement & operation’ คือ การลดทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถรับบริการทั้งหมดนี้ได้จาก สวทช. แบบ one-stop service
'Thailand i4.0 Index' ดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0
Thailand i4.0 Index เป็นดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 ที่ สวทช. โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี (ITAP) ร่วมกับสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการช่วยผู้ประกอบการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรม ทั้งนี้การพัฒนาได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม
Thailand i4.0 Index แบ่งการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมออกเป็น 6 ด้านหลัก 17 ด้านย่อย โดย 6 ด้านหลักประกอบด้วย 1) technology 2) smart operation 3) IT system & data transaction 4) human capital 5) market & customers (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนีได้ที่ www.thindex.or.th)
ทั้งนี้ในการประเมินความพร้อม คณะกรรมการจะประเมินโดยแบ่งระดับความพร้อมออกเป็น 6 ระดับ (band) ซึ่งในช่วงอุตสาหกรรม 3.0 และ 4.0 ที่มีการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและการลงทุนที่ค่อนข้างสูง จะมีการแบ่งออกเป็นระดับย่อย เพื่อให้ผู้ประกอบการก้าวขึ้นแต่ละระดับได้ง่ายขึ้น
เมื่อผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรมแล้ว จะได้รับสรุปผลการประเมินโดยแบ่งออกเป็น 2 ตารางหลักดังภาพประกอบ ตารางแรก (ซ้าย) จะแสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบกับโรงงานชั้นนำของประเทศที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (best in class: BIC) ส่วนตารางที่สอง (ขวา) จะแนะนำ 4 มิติที่ผู้ประกอบการควรปรับปรุงก่อน โดยพิจารณาจากระดับปัจจุบัน, โครงสร้างต้นทุน, KPI ของบริษัท และความห่างจาก BIC
ประโยชน์ 4 ต่อที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการประเมินระดับอุตสาหกรรม คือ
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0 และการประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร
รายงานสรุปผลการประเมินระดับความพร้อม (assessment report) สำหรับใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์องค์กรตาม impact value chain
ข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดหา SI ที่เหมาะสมมาร่วมพัฒนา
เอกสารรับรองการประเมินเพื่อใช้ในการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
บันไดขั้นแรกสุดของการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่ผู้ประกอบการทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองทันที คือ การประเมินความพร้อมของโรงงานผ่านระบบ i4.0 CheckUp
ขั้นตอนการประเมินทำได้ง่ายเพียงเข้าไปที่ www.nstda.or.th/i4platform/services/i4-online-self-assessment/ แล้วกดเริ่มการประเมิน ระบบจะให้ลงทะเบียนก่อนเข้าสู่หน้าแบบประเมิน โดยแบบประเมินจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วน (section) แต่ละส่วนผ่านการออกแบบชุดคำถามให้ผู้ประกอบการทำความเข้าใจได้ง่ายและมีคำอธิบายศัพท์เฉพาะ แบบประเมิน 6 ส่วน ประกอบด้วย
คุณลักษณะและเทคโนโลยีที่ใช้ในสายการผลิต
ระบบสาธารณูปโภคที่ใช้ในการผลิต
ระบบบริหารจัดการทรัพยากรภายในบริษัท
การวิเคราะห์ตลาดและการบริหารวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
การจัดการองค์กร กลยุทธ์องค์กร และการบริหารทรัพยากรบุคคล
อุตสาหกรรมสีเขียว
ผลลัพธ์การประเมินที่ผู้ประกอบการจะได้ทราบ คือ ระดับอุตสาหกรรมในภาพรวม ระดับอุตสาหกรรมในแต่ละมิติ (17 มิติย่อย) ระดับอุตสาหกรรมสีเขียว และตัวอย่างเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพในราคาประหยัด
4 ตัวอย่างเทคโนโลยีราคาประหยัดที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อผู้ประกอบการไทย คือ
URCONNECT อุปกรณ์รับส่งสัญญาณแบบ universal เพื่อเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าให้เป็น IoT สามารถสั่งการอุปกรณ์ได้จากทางไกล และรับสัญญาณจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งไว้ตรวจจับการทำงาน รวมถึงการประเมินสุขภาพของอุปกรณ์ มาประมวลผลและจัดเก็บที่ระบบคลาวด์ ช่วยให้ผู้ดูแลตรวจสอบข้อมูลและควบคุมการทำงานได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา
UNAI (อยู่ไหน) ระบบระบุตำแหน่งและเส้นทางการเคลื่อนที่ของอุปกรณ์และสินค้าภายในโรงงาน เช่น การทำ smart warehouse
NETPIE ระบบ cloud computing สัญชาติไทย ที่เปิดให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม
Industrial IoT and Data Analytics Platform (IDA Platform) แพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรและการใช้พลังงานภายในโรงงานผ่านระบบคลาวด์
เมื่อนำชุดอุปกรณ์เหล่านี้มาติดตั้งภายในโรงงาน จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตแบบเรียลไทม์ โดยดูได้ทั้งประสิทธิภาพโดยรวมการผลิตของเครื่องจักร (overall equipment effectiveness: OEE) ประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน (energy monitoring) และแจ้งเตือนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ล่วงหน้า (predictive maintenance: PdM) ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตและการบริหารพลังงานสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อปรับแผนงาน ก่อนส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้
ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจที่จะก้าวสู่ขั้นที่ 2, 3 และ 4 ของการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือตั้งแต่ขั้น initiation ถึง implement & operation สามารถเข้ารับคำปรึกษาและบริการด้านต่าง ๆ แบบครบวงจรได้ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) โดยศูนย์ตั้งอยู่ภายใน EECi จังหวัดระยอง ตัวอย่างบริการของศูนย์ เช่น
Industry assessment
training
consultant
low-cost platform solutions
custom solution
testbeds
โดย SMC มีระบบ membership สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการที่ศูนย์เป็นประจำ สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบจะได้รับจากการสมัคร คือ
รับส่วนลดในการใช้บริการ
รับคำปรึกษาเชิงลึกด้านเทคนิค และสิทธิประโยชน์
ใช้พื้นที่ห้องทำงาน ห้องประชุม และห้องอบรม
รับข้อมูลข่าวสารและกิจกรรม business matching
จัดแสดงและสาธิตผลิตภัณฑ์ภายในศูนย์
รายละเอียดเพิ่มเติม
Website: www.nstda.or.th/i4Platform
Facebook: Thailand i4.0 Platform
ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ
E-mail: i4Platform@nstda.or.th
Line: @i4Platform
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ชาวทุ่งกุลาฯ ยิ้มได้ เพิ่มรายได้ด้วยนวัตกรรม
‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ คือทุ่งราบกว้างใหญ่ที่เคยถูกขนานนามถึงความแห้งแล้งและทุรกันดาร ยากแก่การประกอบอาชีพหรือทำการเกษตร แต่ทุกวันนี้ชาวทุ่งกุลาฯ ไม่เพียงไม่ร้องไห้ แต่กำลัง ‘ยิ้มได้’ เพราะนอกจากผืนดินที่เคยแตกระแหงจะกลายเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีระดับโลกแล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่ส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อสร้างอาชีพหลังการทำนา ทั้งการปลูกพืชสมุนไพร ถั่วเขียว รวมถึงการเพิ่มมูลค่าผ้าทอ ภายใต้กลไกตลาดนำการผลิต เชื่อมโยงผลผลิตกับเอกชน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริม เพิ่มคุณภาพชีวิต ไม่ต้องทิ้งถิ่นเข้าเมืองเพื่อหางานทำ
ปลูก ‘ขิง-ไพล-ฟ้าทะลายโจร’ ดันพืชสมุนไพรรุกตลาดใหม่แดนอีสาน
ประเทศไทยมีแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาพืชสมุนไพรไทย และยังเตรียมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางสมุนไพรโลก สวทช. ขานรับนโยบายจัดทำโครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืชและยกระดับการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีของเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ นำร่องใน 3 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม เริ่มต้นส่งเสริมการปลูกขิง-ไพล-ฟ้าทะลายโจร เนื่องจากเป็นชนิดพืชที่ สวทช. ดำเนินการวิจัยพัฒนาพันธุ์ และมีศักยภาพสูงเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะบริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทเอกชนที่ สวทช. เชื่อมโยงผ่านกลไกตลาดนำการผลิต พร้อมรับซื้อผลผลิตเพื่อผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม
โดยในปี 2566 สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ได้ดำเนินงานใน 3 ส่วน ได้แก่ 1. การผลิตขิงปลอดโรคด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบไบโอรีแอกเตอร์ จำนวน 60,000 ต้น อยู่ระหว่างการอนุบาลที่ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ 15,000 ต้น และศูนย์ขยายพันธุ์พืชมหาสารคาม 45,000 ต้น ตั้งเป้าส่งมอบให้เกษตรกรปลูกในปี 2568 2. การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีให้ได้มาตรฐาน (GAP) และ 3. การสร้างจุดเรียนรู้การผลิตสมุนไพรคุณภาพดีเชื่อมโยงกับหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันมีเกษตรกรได้รับองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดี จำนวน 337 คน และมีเกษตรกรแกนนำปลูกขิงจำนวน 28 คน พื้นที่รวม 10 ไร่
นางสุปราณี ยาทะเล สมาชิกกลุ่มปลูกสมุนไพรแปลงใหญ่ ต.ปราสาท อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ เล่าว่า ที่ผ่านมาเกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันปลูกสมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจร อัญชัน ขมิ้น ไพล ส่งโรงพยาบาลห้วยทับทัน เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและยาแผนโบราณ กระทั่งเมื่อปี 2566 สวทช. เข้ามาส่งเสริมการปลูกขิงพันธุ์ราชบุรี ซึ่งยังไม่เคยปลูกมาก่อน แต่มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้ามาช่วยอบรมให้ความรู้วิธีการปลูกและการดูแลที่เหมาะสม รวมทั้งยังคอยติดตามให้คำแนะนำแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
“ปีที่ผ่านมาทดลองปลูกขิง 2 งาน ได้ผลผลิตรวม 300 กิโลกรัม แต่ด้วยเพิ่งทดลองปลูกเป็นปีแรกทำให้มีปัญหาอุปสรรคอยู่บ้าง โดยเฉพาะสภาพอากาศที่ร้อนจัด เนื่องจากขิงชอบอยู่ในพื้นที่ร่ม มีแดดส่องรำไร เราพยายามนำฟางไปกลบ และปลูกต้นกล้วยรอบ ๆ เพื่อสร้างร่มเงา ทำให้ขิงเติบโตได้ดี หัวมีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ในการปลูกจะฉีดพ่นแต่น้ำหมักชีวภาพที่ทำขึ้นเอง เพื่อให้ได้ขิงอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ตอนเก็บผลผลิต พบว่าขิงมีหัวขนาดใหญ่มาก เห็นแล้วชื่นใจ ซึ่งผลผลิตที่ได้ทางบริษัทโอสถสภาฯ จะรับซื้อไปใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ดีใจว่าปลูกแล้วมีตลาดพร้อมรองรับ ทำให้มีกำลังใจในการปลูกปีต่อ ๆ ไป และช่วยให้เรามีรายได้เสริมเพิ่มเติมหลังจากการทำนา”
ปั้น ‘ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KMUL’ พืชหลังนาสร้างรายได้
‘ถั่วเขียว’ เป็นอีกกลุ่มพืชหลังนาที่เกษตรกรทุ่งกุลาฯ ให้ความสนใจ เพราะเป็นพืชใช้น้ำน้อย แต่ที่ผ่านมาการปลูกถั่วเขียวยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะขาดแคลนเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ทำให้มีพันธุ์ปนจำนวนมาก อีกทั้งถั่วเขียวทั่วไปในท้องตลาด สุกแก่ไม่พร้อมกัน ทำให้ต้องเก็บเกี่ยวหลายรอบ ต้นทุนสูง
นายไพฑูรย์ ฝางคำ ประธานวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลผักไหม จ.ศรีสะเกษ เล่าว่า สวทช. เข้ามาส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พัฒนาขึ้น ให้ผลผลิตคุณภาพดี เมล็ดโต สุกแก่พร้อมกัน ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่าย ลดต้นทุน และได้ผลผลิตต่อไร่เยอะกว่าถั่วเขียวสายพันธุ์เดิมถึงเท่าตัว จากเคยปลูกถั่วเขียวสายพันธุ์ทั่วไปได้ 100 กิโลกรัมต่อไร่ ตอนนี้ปลูกถั่วเขียว KUML ให้ผลผลิตเพิ่มถึง 200 กิโลกรัมต่อไร่ ถ้าเป็นถั่วเขียวทั่วไปราคาขาย 22-25 บาทต่อกิโลกรัม แต่ของกลุ่มฯ เป็นถั่วเขียวอินทรีย์ ขายได้กิโลกรัมละ 45 บาท
“กลุ่มผักไหมนำถั่วเขียว KUML มาปลูกหลายฤดูกาลแล้ว ได้ผลผลิตแตกต่างชัดเจนเลย ทำให้มีรายได้เพิ่ม อย่างรายได้เฉพาะถั่วเขียวอย่างเดียว ปกติถั่วเขียวทั่วไปขายกิโลกรัมละ 25 บาท ผลผลิตเราเฉลี่ยอยู่ที่ 200 กิโลกรัมต่อไร่ จะขายได้ประมาณ 5,000 บาท ต้นทุนปลูกถั่วเขียว 1 ไร่ ประมาณ 1,800 บาท ก็มีรายได้เพิ่มประมาณ 3,000 บาทต่อไร่ แต่ถ้าเราทำถั่วเขียวอินทรีย์จะขายได้ราคาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ก่อนพื้นที่นาแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ทำนาเสร็จก็ปล่อยทิ้งร้างไว้ 7-8 เดือน รอทำนาฤดูกาลหน้า ตอนนี้ปลูกถั่วเขียว พอเก็บเกี่ยวผลผลิตขายแล้วก็ไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน ทำให้ดินดี ส่งผลดีต่อการปลูกข้าวในฤดูกาลถัดไป และช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้เยอะมาก เพราะว่าถั่วช่วยตรึงไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารสำคัญให้แก่ดิน ไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรีย ข้าวก็เขียว ออกรวงงาม มีแต่ผลดี ไม่มีผลเสียเลย”
ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลผักไหม หันมาปลูกถั่วเขียว KUML ในพื้นที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 300 ไร่ และยังได้รับการประสานงานจากหน่วยงานภาครัฐให้เป็นแกนนำในการขยายผลการปลูกถั่วเขียว KUML ให้แก่เกษตรกรประมาณ 2,500 คน ใน 22 อำเภอ ล่าสุดยังได้รับการยกระดับเป็น ‘ศูนย์เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน’ พร้อมตั้งเป้าเป็นแหล่งผลิตถั่วเขียว KUML คุณภาพดีของประเทศ
นายไพฑูรย์ เล่าว่า ข้อดีของถั่วเขียว KUML คือสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ปลูกต่อได้ ซื้อเมล็ดพันธุ์แค่ปีแรก จากนั้นก็ผลิตเมล็ดพันธุ์ใช้เองได้ตลอด ตอนนี้ทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์สำหรับแจกจ่ายในกลุ่มฯ และขยายเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรรายอื่นที่สนใจ ทำให้นอกจากมีเมล็ดพันธุ์ดีไว้ใช้เองแล้ว ยังขายเมล็ดพันธุ์ได้ด้วย ซึ่งได้ราคาดีกว่า เพราะถ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวอินทรีย์ขายได้กิโลกรัมละ 60 บาท การปลูกเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว (seed) ต่างจากการปลูกเมล็ดถั่วเขียว (grain) สำหรับบริโภค คือถ้าเป็นเมล็ดถั่วเขียวทั่วไปจะไม่ได้ดูแลใส่ใจมากนัก แต่ถ้าเป็นแปลงเมล็ดพันธุ์ต้องหมั่นตรวจคัดพันธุ์ปน และพอเก็บเกี่ยวถั่วเสร็จแล้วต้องส่งตัวอย่างเมล็ดพันธุ์เพื่อตรวจรับรองมาตรฐานแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์
“แต่ก่อนทุ่งกุลาร้องไห้พอเข้าหน้าแล้งแทบเป็นหมู่บ้านร้างเลย คนวัยแรงงานจะอพยพเข้าเมืองไปทำงานก่อสร้าง รับจ้างตัดอ้อย เหลือแค่เด็กกับผู้สูงอายุ พอมีหน่วยงานรัฐและเอกชนเข้ามาหนุนเสริมเราแบบนี้ ทำให้เรามีอาชีพเสริมหลังการทำนา พอมีรายได้ ไม่ต้องทิ้งบ้านไปไหน ได้อยู่กับครอบครัว มีความสุขตามสภาพในชนบท ลูกก็ไม่ว้าเหว่ ไม่ไปเกเรเหมือนสมัยก่อน เพราะว่าอย่างน้อยมีพ่อแม่อยู่”
ปรับ ‘ผ้าทอย้อมมะเกลือ’ ให้ติดสีสวยด้วยนวัตกรรม ENZease
ทุ่งกุลาร้องไห้ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องข้าวหอมมะลิ แต่ยังโดดเด่นเรื่องของผ้าทอที่มีความวิจิตรงดงามและมีลวดลายการทอผ้าที่แตกต่างหลากหลายตามภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน กลุ่มเสื้อเย็บมือผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมมะเกลืออบสมุนไพรบ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ คือแหล่งผลิตผ้าไหมลายลูกแก้ว ซึ่งโดดเด่นด้วยผ้าทอย้อมสีดำธรรมชาติจาก ‘มะเกลือ’ แต่กว่าผ้าจะมีสีดำสนิทต้องใช้เวลามากกว่า 2 เดือน สวทช. โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้เข้ามาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผ้าทอด้วยนวัตกรรม ‘เอนไซม์เอนอีซ (ENZease)’ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย้อมสีธรรมชาติให้ติดสีดีขึ้น
นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง จังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่า หลังการทำนา แม่บ้านจะรวมตัวกันทอผ้าย้อมมะเกลือ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน แต่กว่าจะได้ผ้าทอแต่ละผืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลานาน เพราะกว่าจะย้อมผ้าไหมจนได้สีดำสนิท ต้องจุ่มผ้าไหมกับน้ำมะเกลือแล้วนำไปตากแดด ทำแบบนี้สลับวนไปถึง 300 จุ่ม 60 แดด หรือประมาณ 2-3 เดือน
“สวทช. เข้ามาส่งเสริมการใช้ ‘เอนไซม์เอนอีซ’ นับว่าโชคดีที่เราได้นวัตกรรมมาเสริมกับภูมิปัญญา เราใช้เอนไซม์เอนอีซทำความสะอาดผ้าไหมก่อนการย้อม ช่วยให้การย้อมติดสีไวดีขึ้น จากเดิมย้อมผ้าไหมด้วยมะเกลือต้องตาก 60 แดด ก็เหลือแค่ 30 แดด หรือประมาณ 1 เดือน ช่วยลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ที่สำคัญผ้าที่ได้ยังติดสีสม่ำเสมอ สีผ้ามีความเข้ม สวยเงางาม และมีความนุ่ม เพิ่มโอกาสในการขายผ้าทอได้มากขึ้น”
การทำงานแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนในการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และกลไกการตลาดเข้าไปต่อยอดสร้างอาชีพเกษตรกรบนพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ให้มั่นคง จะช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวทุ่งกุลาฯ เปลี่ยนน้ำตาเป็นความม่วนชื่นอย่างยั่งยืน
หน่วยงานความร่วมมือ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ
บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน)
บริษัทกุยลิ้มฮึ้ง จำกัด (Supplier ของบริษัทโอสถสภา)
สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ
สำนักงานเกษตรจังหวัดมหาสารคาม
สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด
สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม
โรงพยาบาลห้วยทับทัน
โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

เอ็มเทค สวทช. พัฒนา ‘XOMoCap’ แพลตฟอร์ม Motion Capture Analysis เพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหว มุ่งตอบโจทย์วิจัยและออกแบบ ‘ชุดเสริมแรง-ลดบาดเจ็บ’ ผู้สูงอายุและผู้ดูแล (XOMoCap – a numerical platform for motion capture analysis, a key tool in exoskeleton research, developed by MTEC, NSTDA.)
หนึ่งในเทคโนโลยีที่หลายประเทศทั่วโลกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การช่วยเหลือด้านการเคลื่อนไหวและลดการบาดเจ็บจากการออกแรงรูปแบบต่าง ๆ ให้แก่ผู้สวมใส่ คือ ‘ชุดเสริมแรง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดประเภท exoskeleton ที่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เพราะ ‘การเสริมแรงที่พอดี’ นอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้งานเคลื่อนไหวมั่นคงขึ้นและลดการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘XOMoCap (เอ็กโซโมแคป หรือ Exo-Motion-Capture-Analysis)’ Motion Capture Analysis Platform เพื่อใช้วิจัยและพัฒนานวัตกรรมชุดเสริมแรง-ลดบาดเจ็บให้กับผู้สวมใส่ และใช้สนับสนุนการวิจัยนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทย
[caption id="attachment_53821" align="aligncenter" width="637"] ASCII-Graphic of XOMoCap[/caption]
The utilization of exoskeletons is gaining increasing traction due to the technology’s ability to reduce risk of injury to the musculoskeletal system in the workforce or daily activities. The main objective of these body-supporting suits is to assist the user with support for efficient and safe body movements, reducing the risk of short-term injuries and chronic musculoskeletal disorders.
The Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, by means of the National Metal and Materials Technology Center (MTEC), NSTDA, has developed XOMoCap – a numerical platform for motion capture analysis for advanced investigation of body movements. It is utilized as a toolbox to aide in the research and development of exoskeletons, as well as relevant medical research studies.
‘XOMoCap’ เทคโนโลยีหนุนวิจัย Exoskeleton
‘XOMoCap’ เป็นชื่อของแพลตฟอร์มที่เดิมมีเป้าหมายในการพัฒนาเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวสำหรับออกแบบ ‘exoskeleton’ หรือชุดโครงสร้างภายนอกร่างกายซึ่งทำหน้าที่ช่วยพยุงเพื่อให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคง ต่อมาจึงมีการพัฒนาต่อยอดให้แพลตฟอร์มนี้วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวของมนุษย์ได้หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการประยุกต์ใช้กับงานประเภทอื่น ๆ
ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ XOMoCap เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำประสบการณ์จากการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ ซึ่งเคยพัฒนาให้กับภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศเยอรมนี มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์การเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ โดยแพลตฟอร์ม XOMoCap มีจุดเด่นแตกต่างจากซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ทั่วไป คือ วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวจากอุปกรณ์ motion capture ควบคู่ไปกับค่าสัญญาณไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (electromyography: EMG) ซึ่งบ่งชี้ถึงการออกแรงในการเคลื่อนไหวในคราวเดียวกันได้ ทำให้การประมวลผลแต่ละครั้งได้ข้อมูลที่ละเอียดครบถ้วน โค้ดของโปรแกรมสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานได้ จึงช่วยลดระยะเวลาและความซับซ้อนในการประมวลผลชุดข้อมูลจากกลุ่มทดสอบซึ่งมีปริมาณมากได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ซอฟต์แวร์ยังประกอบไปด้วยไลบรารีย่อยที่ทำหน้าที่เฉพาะตัว เช่น ไลบรารี Math Kernel ซึ่งมีฟังก์ชันและอัลกอริทึมด้านการคำนวณและวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ อาทิ การวิเคราะห์กระบวนการ pre-treatment สัญญาณต่าง ๆ โดยไลบลารีนี้ส่งออกข้อมูลการวิเคราะห์ได้ทั้งในรูปแบบตัวอักษรและรูปภาพ
“นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ต่อยอดการทำงานโดยการนำซอฟต์แวร์สำเร็จรูปด้าน ‘musculoskeletal modeling’ ซึ่งเป็นแบบจำลองแรงที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ โครงกระดูก และข้อต่อของมนุษย์มาใช้ในการออกแบบแรงและชุด เพื่อการเชื่อมต่อผลวิเคราะห์ระหว่างโปรแกรมแบบไร้รอยต่อ ทำให้ปัจจุบันทีมวิจัยสามารถทดสอบประสิทธิภาพ exoskeleton ว่ามีการทำหน้าที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ได้ด้วย เพราะกรณีชุดเสริมแรงมากเกินไปอาจส่งผลให้ผู้สวมใส่ต้องออกแรงต้านจนเกิดการบาดเจ็บ หรือหากมีการเสริมแรงน้อยเกินไปก็อาจไม่เกิดประโยชน์ด้านการเสริมความมั่นคงในการเคลื่อนไหวให้แก่ผู้สวมใส่”
[caption id="attachment_53820" align="aligncenter" width="650"] Evaluation of an EMG-Signal with identification of motion phases from the elbow flexion[/caption]
[caption id="attachment_53819" align="aligncenter" width="500"] Estimation of dynamic Base of Support (BoS) during a gait analysis from a Motion Capture using XSens[/caption]
XOMoCap as a tool for exoskeleton development
XOMoCap was originally developed as a tool for human motion analysis in exoskeleton-related projects. These projects at MTEC encompassed a wide spectrum of targeted utilities, for example, a soft-shell exoskeleton assisting body movements for the active elderly (Rachel) and a hard-shell exoskeleton to support weightlifting, carrying, and holding tasks in industrial applications (Ross). XOMoCap, developed as part of these projects, has increased in complexity and ability over the years, and is currently ready for expansion to a wider range of applications.
Dr.-Ing. Thanak Utakapan – A researcher in the Well-living Design Research Team (WLDT) and the main developer of the software, has extensive experience in engineering software development both in academia and industry during his time in Germany. He stated that the software has distinct advantages by means of its flexibility. Various signal types, i.e. motion data and EMG can be analyzed mutually for a complete understanding of motion sequences. Thanks to the open-source code, the system can also be extended/expanded to meet specific requirements for each research topic to enable custom evaluations. This results in extreme time-saving and complexity reduction in analysis workflow. The software also contains several modular libraries to ensure perfect integration. The software has its own Math Kernel Library for some specific signal processing algorithms, for example, in signal pre-conditioning process. There is also a library for exporting data, which is responsible for graphics and report generation. The software is bilingual, in German and English.
In the design process of exoskeletons at MTEC, a leading musculoskeletal modeling software is also used as another tool for investigation and prediction of interactions between the human body (i.e. muscle or joint forces and moments) and the environment, including the exoskeletons. The software can be used to identify optimal construction parameters of exoskeletons. XOMoCap consists of an interface which enables seamless analysis of the numerical results from this software for further investigations.
‘Rachel’ และ ‘Ross’ สองนวัตกรรมเด่นเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล
จากการสั่งสมความเชี่ยวชาญในการพัฒนาซอฟต์แวร์มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทีมวิจัยได้นำ ‘XOMoCap’ เข้าสนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม exoskeleton เพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแลรวมถึงการพัฒนาชุดเพื่อการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ แล้ว สองตัวอย่างผลงานเด่นจากเอ็มเทค สวทช. คือ ‘Rachel’ และ ‘Ross’
ดร.ธนรรค เล่าว่า ตัวอย่างผลงานวิจัยเด่นแรก คือ ‘Rachel (เรเชล)’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวได้คล่องตัว ชุดบอดีสูทนี้ทำหน้าที่ในลักษณะเป็นกล้ามเนื้อจำลองช่วยออกแรงกดไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของผู้สวมใส่ เพื่อกระตุ้นการทำงานและเสริมแรงให้แก่กล้ามเนื้อในระดับเหมาะสมตามการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างมั่นคง ทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้อย่างมั่นใจ เหมาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุในกลุ่มพฤฒพลัง (active aging)
“ส่วนตัวอย่างผลงานเด่นที่สอง คือ ‘Ross (รอส)’ บอดีสูทพยุงหลังสำหรับผู้ที่ต้องพยุงคนหรือยกสิ่งของน้ำหนักมากเป็นประจำ เช่น พยาบาลที่ต้องพยุงหรืออุ้มผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย พนักงานขนส่งที่จำเป็นต้องยกสิ่งของน้ำหนักมาก โดยชุดนี้จะทำหน้าที่ควบคุมให้ผู้ใช้งานออกแรงยกด้วยท่าสควอต (squat) ซึ่งเป็นท่าทางที่เหมาะสม พร้อมกับสะสมพลังงานไว้ในกลไกของชุดเพื่อใช้เป็นแรงผลักร่างกายตอนเปลี่ยนท่าจากย่อตัวลงยกของกลับสู่ท่ายืนตรง ช่วยทุ่นแรงให้แก่กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ และช่วยลดความเสี่ยงการบาดเจ็บให้แก่ผู้สวมใส่”
นอกจากการพัฒนาความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลงานวิจัยให้แก่นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. แล้ว ปัจจุบันทีมวิจัยยังพร้อมนำเทคโนโลยี XOMoCap และ musculoskeletal modeling เข้าสนับสนุนการวิจัยนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยด้วย
ดร.ธนรรค กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า เทคโนโลยี XOMoCap และ musculoskeletal modeling ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้หลากหลาย เช่น การออกแบบวิธีการรักษาผู้ป่วยด้วยกระบวนการกายภาพบำบัด การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยพาร์กินสันเพื่อวางแผนการรักษา การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การออกแบบอุปกรณ์ด้านสุขภาพและการแพทย์ โดยทีมวิจัยพร้อมนำความเชี่ยวชาญทั้งด้าน motion capture analysis และการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีเข้าสนับสนุน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นเมดิคัลฮับ (medical hub) ระดับโลก
[caption id="attachment_53669" align="aligncenter" width="650"] Rachel (เรเชล)[/caption]
[caption id="attachment_53670" align="aligncenter" width="650"] Rachel (เรเชล)[/caption]
[caption id="attachment_53665" align="aligncenter" width="650"] Ross (รอส)[/caption]
[caption id="attachment_53663" align="aligncenter" width="650"] Ross (รอส)[/caption]
[caption id="attachment_53664" align="aligncenter" width="650"] Ross (รอส)[/caption]
Rachel and Ross as 2 exemplary innovations for active elders and caretakers
With the enhanced capabilities of XOMoCap, it has been a vital tool in the design of Rachel, an exosuit for active elders, and Ross, an exoskeleton designed for industrial applications. Both exoskeletons were chosen as outstanding technologies by MTEC.
Dr. Utakapan described that Rachel is designed to be a soft-shell body suit to help assist daily movements for older people. The assistive force is provided by textile-based elements, which is meticulously integrated into the exosuit. The target user group is the active elderly, who may be experiencing early stages of physical decline.
Meanwhile, Ross is designed for industrial applications to support workers by means of external-load-relevant tasks as lifting, carrying, and holding objects. Therefore, Ross is suitable for several target user groups ranging from medical caretakers to factory workers. In the current research phase, the force assisting of the exoskeleton is passive: a specific amount of energy is stored during defined motion phases and subsequently released to assist and support a targeted motion. For example, during a squat-lifting task, the energy is stored into the exoskeletons while the user is descending, while preparing for weight-lifting. This energy is then released to support the body during the ascending motion. Furthermore, the force transfer within the exoskeleton is designed to help minimize injuries, especially in the lower back area.
Besides supporting the research at MTEC, the research team stated that this tool can be utilized in several motion analysis applications to support researchers in medical applications as well as SMEs.
Dr. Utakapan encourage the utilization of XOMoCap and numerical simulation of musculoskeletal modeling in further research projects, for example, in physical rehabilitation, sports medicine, and designing sport or medical machines. Also possible is the analysis of abnormal movements like those due to Parkinson’s disease.
The research team is now intensifying their expertise in motion capture analysis and developing equipment to support well-living. This is another contribution from Thailand, empowering the country as one of the world's major medical hubs.
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ อีเมล thanaku@mtec.or.th เบอร์โทรศัพท์ 025646500 ต่อ 4381
In case of interest, please contact Dr.-Ing. Thanak Utakapan, E-mail: thanaku@mtec.or.th, Tel. (+66) 2564 6500 ext. 4381
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. (เวอร์ชันภาษาไทย) และ ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. (เวอร์ชันภาษาอังกฤษ)
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ เอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

มาตรการ CBAM ใครพร้อม…ได้ไปต่อ ชวน ‘ทำความเข้าใจ’ และ ‘เตรียมความพร้อม’ เรื่องการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน EU
'CBAM' ย่อมาจาก 'Carbon Border Adjustment Mechanism' หรือ 'มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน' เป็นมาตรการที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนดขึ้นเพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่ประเทศคู่ค้านอกสหภาพยุโรป 'ผ่านการใช้มาตรการด้านคาร์บอน' โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง (carbon intensive products)
ปัจจุบันมาตรการ CBAM มีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้วโดยอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ก่อนเริ่มเก็บค่า CBAM certification หรือเอกสารรับรองการจ่ายค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจากผู้นำเข้าสินค้าในปี 2569 เป็นต้นไป
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาของสินค้าเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงและเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สินค้ามีราคาที่แข่งขันในตลาด EU ได้
ปัจจุบัน CBAM เริ่มนำร่องมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนจากสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูงแล้ว โดยสินค้า 6 ประเภทแรกที่มีผลบังคับใช้ คือ 1) ซีเมนต์ 2) พลังงานไฟฟ้า 3) ปุ๋ย 4) ไฮโดรเจน 5) เหล็กและเหล็กกล้า 6) อะลูมิเนียม โดยมาตรการ CBAM มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566
ทั้งนี้ EU ได้กำหนดระยะเวลาบังคับใช้เป็น 3 ช่วงหลัก ดังนี้
ปี พ.ศ. 2566-2568 (ค.ศ. 2023-2035) เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือ 'transitional period' ผู้นำเข้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำหนด โดยยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน
ปี พ.ศ. 2569-2577 (ค.ศ. 2026-2034) เป็นช่วงบังคับใช้ หรือ 'definitive period' ผู้นำเข้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้านำเข้า และต้องซื้อ CBAM certificates ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของกลุ่มประเภทสินค้านั้น ๆ ซึ่งในระยะนี้ EU จะทยอยลดสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (free allowances) ลง
ปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) เป็นต้นไป เป็นช่วงที่ EU บังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบหรือ ‘full implementation’ โดย EU จะยกเลิกสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (free allowances) ของทุกภาคอุตสาหกรรม
ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ระยะเปลี่ยนผ่าน (พ.ศ. 2566-2568) แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศจึงควรเร่งจัดทำฐานข้อมูลด้านการปล่อยคาร์บอนตลอดกระบวนการผลิต เพื่อให้เมื่อถึงปี พ.ศ. 2569 ผู้ประกอบการไทยจะมีข้อมูลพร้อมแสดงต่อ EU ทำให้ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีอุปสรรคมาทำให้การดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงัก โดยข้อมูลที่ละเอียดและชัดเจนจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันอีกด้วย
ตัวอย่างการนำฐานข้อมูลด้านการปล่อยคาร์บอนของแต่ละอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ เช่น 'ภาครัฐ' ใช้วางนโยบายและกฎเกณฑ์สีเขียวสำหรับสินค้าส่งออกและนำเข้า 'ภาคเอกชน' ใช้วางแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน 'ภาคการวิจัยและภาคการศึกษา' ใช้พัฒนาเทคโนโลยีให้สอดรับกับความต้องการของประเทศ
หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวผ่านมาตรการ CBAM ได้อย่างยั่งยืน คือ การนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประเทศไทยเองก็มีการตั้งเป้าหมายไว้เช่นกันว่า 'ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) หรือก่อนหน้า'
แนวทางสู่ Net Zero' ประกอบไปด้วย
จัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจ
พัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานหรือบริษัท
ปรับโครงสร้างพลังงาน เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน
บริหารกระบวนการผลิตให้ลดการปล่อยคาร์บอน และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (circular design)
เพิ่มสัดส่วนการหมุนเวียนวัสดุ
ใช้เทคโนโลยีกักเก็บและใช้ประโยชน์คาร์บอน (CCUS) และใช้การกักเก็บคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ (nature based solution)
การนำแนวทางเหล่านี้ไปใช้จะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก้าวผ่านมาตรการ CBAM รวมถึงเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาวด้วย ทั้งนี้แต่ละภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ต่างมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันพัฒนากลไกสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยน เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้
ที่ผ่านมากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ก้าวผ่านมาตรการ CBAM ได้อย่างราบรื่นด้วยแล้วเช่นกัน โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำความพร้อมและความเชี่ยวชาญเข้าดำเนินงานดังนี้
TIIS จัดทำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตเพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของสินค้าขั้นพื้นฐานและพลังงานของประเทศไทยมาโดยตลอดกว่า 15 ปี ทำให้พร้อมนำฐานข้อมูลสนับสนุนแต่ละภาคส่วนก้าวผ่าน CBAM ทั้งด้านการประเมินคาร์บอนของกระบวนการผลิตและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้วางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในปี พ.ศ. 2566 TIIS ดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เพื่อใช้ในการจัดทำรายงาน CBAM รวมถึงเป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ
ปัจจุบัน TIIS กำลังขยายการสนับสนุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการกับกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนการบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดำเนินงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้หลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของ TIIS และศูนย์แห่งชาติภายใต้ สวทช. ซึ่งหลังจากนี้ สวทช. จะยังคงดำเนินงานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เว็บไซต์ www.nstda-tiis.or.th หรืออีเมล admin-tiis@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ChatGPT – AI Chatbot
ChatGPT เป็นเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ประเภท AI Chatbot ซึ่งมีลักษณะเป็นการป้อนคำสั่งให้ AI ทำงานด้วยวิธีการพูดคุย สนทนา โต้ตอบกับ AI โดยใช้ภาษาปกติของมนุษย์ โดยเป็นการพัฒนา Machine Learning ให้ AI เรียนรู้และเลียนแบบโครงสร้างภาษาของมนุษย์ (Natural Language Processing) โดยการ Training ป้อนด้วยข้อมูลจากคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่จัดเก็บไว้แบบ Offline (GPT : Generative Pre-trained Transformers are a type of large language model; LLMs)
ความสามารถที่มี อาทิ สั่งให้ช่วยค้นหาข้อมูล ช่วยแต่งประโยคแบบมนุษย์ได้ เช่น เขียนเนื้อหาอีเมล ช่วยในการเขียนเนื้อหาของบทความ เรียงความ ที่มีความถูกต้องของไวยากรณ์ Grammar ได้ เขียน Resume แต่งบทกวี บทเพลง ช่วยให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ เช่น วางแผนโปรแกรมการท่องเที่ยว เป็นต้น ช่วยสรุปเนื้อหา ซี่งสามารถปรับแต่งรายละเอียดเนื้อหาคำถาม เพื่อให้ AI ปรับปรุงข้อมูลคำตอบที่เฉพาะเจาะจงหรือตรงกับคำถามได้
ฟังก์ชันความสามารถ:
Natural Language Understanding: เข้าใจและสามารถสร้างข้อความเลียนแบบภาษามนุษย์ได้ ตอบสนองข้อความที่ป้อนข้อมูลให้ไป
Contextual Understanding: การสร้างข้อความสื่อสารโต้ตอบ สามารถเข้าใจและอ้างอิงเนื้อหาคำถามคำตอบที่อยู่ในบทสนทนาได้ เช่น ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนคำถามแบบเฉพาะเจาะจงหรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม และมีการอ้างอิงถึงคำถามก่อนหน้า สามารถปรับคำตอบให้สอดคล้องกับคำถามได้
Content Creation: ช่วยสร้างสรรค์เนื้อหา อาทิ การเขียนบทความ การแต่งเนื้อหาสำหรับส่งอีเมลการสร้างสรรค์แต่งประโยคเนื้อหา ตามเงื่อนไขที่ผู้ใช้กำหนดให้ได้
Language Translation: ความสามารถในการแปลภาษา เปลี่ยนจากภาษาหนี่งไปเป็นอีกภาษาได้
Text Summarization: ความสามารถในการสรุปเนื้อหาสาระสำคัญหลัก จากเนื้อหาที่กำหนดให้ได้
General Knowledge a wide range of topics up and not real-time information, Question Answering: ความสามารถในการค้นหาและตอบคำถาม ครอบคลุมเนื้อหาความรู้ทั่วไป แต่ไม่ได้เป็นแบบ real-time โดยมีข้อจำกัดคือข้อมูลอัพเดทถึง January 2022
Programming Assistance: ช่วยสร้างโค้ดภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้
Conversation and Chat: ออกแบบมาให้สามารถโต้ตอบ พูดคุย สนทนาได้
Personal experiences or opinions : การโต้ตอบสนองถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งของข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงเกิดจากการเรียนรู้ขึ้นในระหว่างที่ AI ถูกได้รับการเทรนนิ่ง ผลลัพธ์จึงไม่อาจรับประกันความถูกต้องได้ทั้งหมด และข้อมูลอาจไม่เป็นปัจจุบัน
Requirements:
อุปกรณ์/platform : เครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Linux สมาร์ทโฟน/Tablets
เว็บเบราว์เซอร์: Google Chrome, Mozilla Firefox, Safari, or Microsoft
การเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต: เนื่องจากต้องส่งคำสั่งไปประมวลผลแบบออนไลน์.
คีย์บอร์ดหรือส่วนป้อนข้อมูล: สำหรับพิมพ์ป้อนคำสั่ง prompt
บัญชีสำหรับเข้าใช้งาน สำหรับบางระบบปฏิบัติการ แต่โดยทั่วไปเปิดให้เข้าใช้แบบไม่ต้องมีบัญชี
นานาสาระน่ารู้

เกษตรกรอำนาจเจริญ ปลูกถั่วเขียว KUML ช่วยบำรุงดิน มีรายได้เสริม เพิ่มความยั่งยืน แถมผลผลิตข้าวอินทรีย์เพิ่มเท่าตัว !
“แทนที่จะปล่อยนาร้างให้ว่างเปล่า เราเอาถั่วเขียว KUML ไปปลูก ช่วยปรับสภาพดินได้ พอดินดี ผลผลิตก็เยอะ ปีที่แล้วนาผม 1 ไร่ เกี่ยวข้าวได้ 500-600 กิโลกรัม เดิมได้แค่ 200-300 กิโลกรัม เมล็ดข้าวก็อ้วนขึ้น แถมถั่วเขียวที่ได้คุณภาพดี มีเอกชนรับซื้อถึงแปลง” คำบอกเล่าของ นายประมวล ขันธ์เพชร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ แหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ขึ้นชื่อแห่งแดนอีสานที่การันตีว่า ถั่วเขียว KUML ช่วยปรุงดินทำให้ข้าวงอกงาม เพิ่มผลผลิต และมีรายได้เสริม
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ คือกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตข้าวอินทรีย์มากว่า 20 ปี เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2546 และดำเนินการจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจในปี 2548 เริ่มต้นมีสมาชิกเป็นเกษตรกรชุมชนบ้านโนนค้อทุ่งแค่ 10 คน ที่รวมใจกันปฏิเสธการใช้สารเคมี หันมาปลูกข้าววิถีอินทรีย์อย่างจริงจัง จนได้การรับรองมาตรฐาน International Federation of Organic Agriculture Movements (IFOAM), มาตรฐานข้าวอินทรีย์ของสหภาพยุโรป (EU) และมาตรฐานระบบอินทรีย์แคนาดา หรือ Canada Organic Regime (COR) ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มมากกว่า 40 ราย และด้วยความเข้มแข็งของกลุ่ม ประกอบกับใจของเกษตรกรที่มีความมุ่งมั่นและรักความก้าวหน้า ทำให้พวกเขาสามารถขยายตลาด ผันตัวจากผู้ปลูกสู่ผู้ค้า ยกระดับเป็นเจ้าของกิจการที่ส่งข้าวอินทรีย์ขายให้ร้านอาหารชั้นนำทั่วประเทศ
ล่าสุดกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่งรับ ‘ถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML’ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาปลูกเป็น ‘พืชหลังนา’ ปุ๋ยพืชสดชั้นดีที่ช่วยให้ผลผลิตข้าวอินทรีย์ของกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ! ที่สำคัญยังได้รับการยกระดับเป็น ‘ศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML อินทรีย์ระดับชุมชน’ โดยกลุ่มสามารถเป็นนวัตกรในการให้ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการให้แก่ผู้ที่สนใจได้
ถั่วเขียว KUML เมล็ดใหญ่ สุกแก่พร้อมกัน ต้านทานโรค
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. สนับสนุนทุนวิจัยให้ ศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ศรีนิเวศน์ และ รศ. ดร.ประกิจ สมท่า จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิจัยและพัฒนาพันธุ์ถั่วเขียวจนได้สายพันธุ์ KUML#1-5 และ 8 ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ เมล็ดขนาดใหญ่ ทนแล้ง สุกแก่เร็ว ให้ผลผลิตได้สูงถึง 300 กิโลกรัมต่อไร่ ที่สำคัญต้านทานโรคราแป้งและใบจุดได้ดี จากนั้นสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML เป็นพืชหลังนาด้วยกลไกตลาดนำการผลิต ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เพื่อขยายผลการผลิตถั่วเขียว KUML ให้แก่เกษตรกร
“พืชตระกูลถั่วเป็นพืชที่มีความสำคัญ เพราะเป็นพืชอายุสั้น ใช้น้ำน้อย ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน และช่วยตัดวงจรชีวิตโรคและแมลงศัตรูพืชในพื้นที่นาข้าว เพราะถั่วเขียวเป็นพืชใบกว้าง ข้าวเป็นพืชใบแคบ มีศัตรูพืชคนละชนิดกัน เมื่อปลูกถั่วเขียวสลับกับปลูกข้าว ศัตรูข้าวจะค่อย ๆ หมดไป แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรยังไม่ค่อยนิยมปลูกถั่วเขียว สาเหตุเพราะ 1.ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดี ทุกวันนี้ประเทศไทยต้องนำเข้าถั่วเขียว เพราะการผลิตไม่เพียงพอกับการบริโภค ส่วนใหญ่เกษตรกรซื้อเมล็ดพันธุ์จากตลาดมาปลูก เกิดปัญหามีพันธุ์ปน ให้ผลผลิตน้อย เมล็ดเล็ก และไม่ต้านทานโรค 2. เกษตรกรขาดความรู้ในการปลูกถั่วเขียว คิดว่าหว่านแล้วไม่ต้องดูแล ผลผลิตที่ได้จึงน้อย 3. เก็บเกี่ยวยาก เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในท้องตลาดปลูกแล้วสุกแก่ไม่พร้อมกัน เปลืองแรงงานในการจ้างเก็บหลายรอบ และ 4. ปลูกแล้วไม่รู้จะขายใคร
“สวทช. ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์ เร่งวิจัยพัฒนาพันธุ์ถั่วเขียว KUML และเดินหน้าขยายผลส่งเสริมการปลูกให้แก่เกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร โดยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการทั้งการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวคุณภาพดีไว้ใช้เอง ลดปัญหาพันธุ์ปนและปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์คุณภาพ (SEED) และให้ความรู้เทคนิคการปลูกถั่วเขียวที่ให้ผลผลิตสูง ฝึกลงมือปฏิบัติจริงในแปลง พร้อมดูแลให้คำปรึกษาติดตามอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือโครงการยังใช้กลไก ‘ตลาดนำการผลิต’ ดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน บริษัทกิตติทัต จำกัด และบริษัทข้าวดินดี จำกัด รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกร”
‘ถั่วเขียว KUML’ ปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน เพิ่มผลผลิตข้าวเท่าตัว
นายประมวล ขันธ์เพชร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ เล่าว่า ที่ผ่านมากลุ่มมีการปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นพืชหลังนา แต่พันธุ์ถั่วเขียวที่ใช้ปลูกไม่ค่อยดี เมล็ดเล็ก บางปีปลูกแทบไม่ได้ผลผลิต ก็จะไถกลบไปเลย ถั่วเขียวที่ปลูกส่วนใหญ่มีปัญหาสุกแก่ไม่พร้อมกัน ทำให้เก็บเกี่ยวยาก โดยมากเกษตรกรจะหันไปปลูกปอเทืองหรือพืชชนิดอื่นแทน
“สวทช. นำเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML มาส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชหลังนา เราสนใจเพราะจะได้เป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน แทนที่เราจะปล่อยนาให้ว่างเปล่า เราปลูกถั่วเขียว KUML พบว่าดินดีขึ้น และช่วยให้ผลผลิตข้าวอินทรีย์ดีขึ้นมาก อย่างนาผม 1 ไร่ เกี่ยวข้าวได้ถึง 500-600 กิโลกรัม เดิมเกี่ยวได้แค่ 200-300 กิโลกรัม ที่สำคัญแทบไม่ต้องใส่ปุ๋ยอะไรเพิ่มในนาข้าวเลย ช่วยลดต้นทุน และอาจารย์ที่ ม.เกษตรฯ ยังลองนำเมล็ดข้าวที่ปลูกได้ไปตรวจ พบว่าเมล็ดข้าวที่ได้มีลักษณะอ้วนขึ้นด้วย
เราปลูกข้าวอินทรีย์ปีละครั้ง ปลูกถั่วเขียวปีละครั้ง พอทำนาเสร็จก็ไถกลบตอซัง แล้วก็ปลูกถั่วเขียว พอเอารถไปเกี่ยว บางเมล็ดก็หล่นลงดิน ถั่วเขียวก็ขึ้นมาใหม่ ถ้าช่วงนั้นน้ำยังไม่มา ฝนยังไม่ตก เราก็เก็บผลผลิตได้อีกรอบ ถ้าต้นโตออกดอกหรือว่าฝนมา เราก็ไถกลบลงไปเลย ช่วยเพิ่มปุ๋ยเกิดประโยชน์กับเราอีก มีแต่ได้กับได้”
อบรมความรู้ปลูกถั่วเขียว ผลผลิตสูง มีรายได้เสริม
นายอดุลย์ โคลนพันธ์ เกษตรกรแกนนำ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ เล่าว่า เดิมปลูกถั่วเขียว รู้แค่ว่าหว่านเมล็ดลงแปลง แล้วก็รอเก็บผลผลิต แต่ไม่มีความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวที่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าต้องคัดพันธุ์อย่างไร ต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นถั่วเขียวที่ดี ไม่มีถั่วหินปน จนกระทั่ง สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาช่วยอบรมให้ความรู้ว่าปลูกถั่วเขียวต้องทำอย่างไร ถ้าความชื้นไม่พอต้องให้น้ำ หรือว่าช่วงไหนที่โรคแมลงมาลงก็ให้เอาชีวภัณฑ์เข้าไปช่วย และยังมีการติดตามเก็บข้อมูลให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
“ที่ผ่านมามีภาครัฐมาสนับสนุนพันธุ์ถั่วเขียวให้ปลูกบ้าง แต่เราไม่มีความรู้ในการปลูก แต่ สวทช. และ ม.เกษตรฯ เข้ามาส่งเสริมการผลิตถั่วเขียว KUML แบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การดูแล และการเก็บเกี่ยว ทำให้ปลูกถั่วเขียวได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว เดิมปลูกถั่วเขียวพันธุ์ทั่วไปเหลือขายเล็กน้อย มีรายได้เฉลี่ยต่อไร่เพียง 1,500 บาท พอปลูกถั่วเขียว KUML มีรายได้เฉลี่ย 3,000 บาทต่อไร่”
“แต่ก่อนปลูกถั่วพร้าได้แค่ปุ๋ย ขายไม่ได้” นายประมวล กล่าวเสริมและเล่าว่า แทนที่จะเอาเงินขายข้าวไปซื้อปุ๋ยมาลงนาเพิ่ม ก็ปลูกถั่วเขียว KUML แทน ได้ทั้งปุ๋ยพืชสดบำรุงดินและยังขายได้ด้วย บริษัทข้าวดินดี จำกัด รอรับซื้ออยู่แล้ว ทำให้มีรายได้เสริมระหว่างพักนา บางคนปลูกเยอะก็มีรายได้เพิ่ม 10,000-20,000 บาท ปีนี้ผมปลูกถั่วเขียว KUML เยอะกว่าทุกปี ปีที่แล้วปลูก 4-5 ไร่ แต่ปีนี้ปลูก 10 กว่าไร่ ข้อดีของถั่วเขียวคือเป็นพืชอายุสั้นและใช้น้ำน้อย เพราะว่าที่นี่ไม่มีชลประทาน วันไหนกลางคืนลมไม่มี น้ำค้างลงเยอะ ถั่วจะได้กินเยอะ อย่างปีนี้น้ำค้างเยอะ เพราะลมหนาวน้อย ถั่วเขียวจะเจริญเติบโตดี คิดว่าปีนี้น่าจะได้ผลผลิตถั่วเพิ่มมากขึ้น”
ยกระดับเกษตรกรผู้ปลูก สู่ ‘ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์’
การทำเกษตรอินทรีย์ไม่ว่าถั่วเขียวหรือข้าว หัวใจสำคัญคือ ‘เมล็ดพันธุ์’ เพราะต้องมั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดที่หว่านลงแปลงนั้นต้อง ‘ไม่มีการคลุกสารเคมี’
นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. กล่าวว่า นอกจากอบรมความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวแล้ว สวทช. ยังส่งเสริมเรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง เพราะว่าถั่วเขียว KUML เป็นพันธุ์ผสมเปิด (open pollinated variety หรือ OP) คือเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้หากมีการเก็บถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจร่วมใจโนนค้อทุ่งเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเมล็ดพันธุ์มาก ต้องมั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์ต้องไม่คลุกสารเคมี และมีผู้ตรวจมารับรอง
“จุดเด่นของโครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML สวทช. คือ เรามุ่งเน้นพัฒนาเกษตรกรให้มีทักษะการผลิตเมล็ดพันธุ์ และผลักดันให้มีการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ของกลุ่มเพื่อให้เกิดความยั่งยืน เราจะไม่แจกเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ให้ฟรี แต่ปลูกฝังกลไกที่เรียกว่า การยืม-คืน โดยเริ่มต้น สวทช. สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ให้แก่เกษตรกร จากนั้นกลุ่มเกษตรกรจะนำไปแจกจ่ายโดยใช้วิธียืม-คืน เช่น ยืมไป 5 กิโลกรัม สำหรับหว่าน 1 ไร่ แต่เวลาคืนต้องคืน 8 กิโลกรัม เพราะฉะนั้นเมล็ดพันธุ์จะไม่สูญหาย และยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นสำหรับใช้หมุนเวียนในกลุ่มด้วย”
สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ ไม่ได้แค่นำกลไกการยืน-คืนเมล็ดพันธุ์ไปใช้ภายในกลุ่ม แต่พวกเขายังทำ ‘แปลงเมล็ดพันธุ์ส่วนกลาง’ เพื่อเป็น ‘ธนาคารเมล็ดพันธุ์’ ของกลุ่มด้วย
นายอดุลย์ เล่าว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไว้ปลูกเอง มีการจัดทำแปลงกลางของกลุ่มสำหรับผลิตเมล็ดพันธุ์ เพื่อเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ มีเครื่องมือตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ มีการถอนพันธุ์ปน สมาชิกคนไหนไม่มีเมล็ดพันธุ์ก็มายืมไปใช้ได้ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้องเก็บเมล็ดพันธุ์มาคืน ซึ่งจะทำให้กลุ่มมีเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไว้ใช้ ช่วยลดต้นทุนการซื้อเมล็ดพันธุ์ในการปลูกฤดูกาลถัดไป ทำให้เกิดความยั่งยืน
“นอกจากการผลิตเมล็ดพันธุ์แล้ว กลุ่มของเรายังมีกระบวนการจัดเก็บเมล็ดถั่วเขียวที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องจักร ตะแกรงร่อน มีเครื่องอบ เพราะการเก็บเมล็ดถั่วเขียว ความชื้นจะต้องต่ำที่สุด ไม่เช่นนั้นมอดจะขึ้น ในช่วงแรกเราใช้วิธีนำเมล็ดถั่วเขียวมาตากแดดให้แห้ง ซึ่งยังได้ผล เพราะปริมาณถั่วเขียวมีน้อย แต่พอระยะหลังที่ปลูกในปริมาณมาก การตากแดดเริ่มไม่ได้ผลเท่าที่ควร ช่วงแรกเสียหายเยอะมาก เก็บได้ 1 เดือน มอดขึ้น ยังไม่ทันได้ส่งโรงงาน ปีนี้จึงมีการพัฒนาเครื่องมือ มีการวัดความชื้น เพื่อให้เก็บรักษาได้นานและได้มาตรฐาน”
ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ พัฒนาเป็น ‘ศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML อินทรีย์ระดับชุมชน’ ปลูกและส่งขายถั่วเขียว KUML ให้แก่บริษัทข้าวดินดี จำกัด ซึ่ง สวทช. ได้ใช้กลไกตลาดนำการผลิต ประสานงานภาคเอกชนรับซื้อผลผลิตถั่วเขียวจากเกษตรกร ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท เพื่อไปผลิตและแปรรูปเป็นพาสตาออร์แกนิกส่งขายทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถขายเมล็ดถั่วเขียวให้แก่ผู้บริโภคภายใต้บริษัทบ้านต้นข้าว จำกัด ของกลุ่มในราคากิโลกรัมละ 80 บาท
นายประมวล เล่าว่า คนทำเกษตรอินทรีย์ต้องใจรักจริง ๆ อย่างกลุ่มเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีอะไรเลย ก่อตั้งกลุ่มมาคือรวมตัวกัน 10-20 คน เวลาเกิดปัญหาอะไรก็ร่วมกันทำเป็นกลุ่ม ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร มีรายได้เพิ่ม ตอนนี้มีพื้นที่ 5-6 ไร่ มีเครื่องจักร มีทรัพย์สินเป็นของกลุ่ม มีเงินออมอยู่ประมาณ 10 ล้านบาท แล้วก็เป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน เพราะว่าทุกคนมีใจรัก แต่ก่อนนี้ทำไร่ทำนาเสร็จ ก็ต้องลงไปหางานที่กรุงเทพฯ แต่เดี๋ยวนี้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทิ้งบ้านไปไหนแล้ว
“กลุ่มเราทำเกษตรอินทรีย์มา 20 ปี เราพยายามปรับเปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นคนที่ลุกขึ้นมาพึ่งพาตนเอง อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นมาช่วย เพราะว่าถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน คนอื่นก็ช่วยเหลือเรายาก”
ทีมวิทยากรให้ความรู้และติดตามให้คำปรึกษาถั่วเขียว KUML
รศ. ดร.ประกิจ สมท่า ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผศ. ดร.กนกวรรณ เที่ยงธรรม ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
นายชนะชัย แสนทวีสุข ผู้ช่วยปฏิบัติงานวิจัย ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

‘แพลตฟอร์มเต้านมจำลอง’ แบบจำลองเพื่อฝึกเก็บชิ้นเนื้อคัดกรองมะเร็งเต้านม
‘มะเร็งเต้านม’ เป็นมะเร็งชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิงไทยและทั่วโลก โดยปี 2565 เฉพาะประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมากกว่า 38,500 ราย ทางการแพทย์จึงออกประกาศแนะนำให้สุภาพสตรีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองผ่านการคลำหาก้อนเนื้ออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ทุก 3 ปี ส่วนผู้มีอายุในช่วง 35 ปีขึ้นไปควรตรวจด้วยเทคนิคแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวด์ร่วมด้วย ทั้งนี้หากพบก้อนเนื้อที่มีความผิดปกติ แพทย์จะให้ทำอัลตราซาวด์หาตำแหน่งเจาะเต้านมเพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ แล้วนำผลที่ได้มาใช้วางแผนการรักษาคนไข้อย่างเหมาะสมต่อไป
อย่างไรก็ดีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมในประเทศไทยยังพบปัญหาว่ามีอาจารย์แพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ทำหัตถการด้านนี้ได้ไม่มากนัก เนื่องด้วยอุปสรรคด้านการเข้าถึงอุปกรณ์การเรียนรู้เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ร่วมกับ ศ. พญ.ชลทิพย์ วิรัตกพันธ์ และ ดร.จารุวรรณ อ่อนวรรธนะ จากภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัทเช็ค เซอร์วิส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด พัฒนา ‘แพลตฟอร์มเต้านมจำลอง’ สำหรับใช้ฝึกความแม่นยำในการทำอัลตราซาวด์และเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากเต้านม
[caption id="attachment_53162" align="aligncenter" width="750"] ดร.บริพัตร เมธาจารย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.บริพัตร เมธาจารย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า ด้วยปัญหาขาดแคลนแบบจำลองสำหรับให้แพทย์ใช้ศึกษาและฝึกฝนการทำหัตถการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม ทำให้ที่ผ่านมาอาจารย์แพทย์ต้องสร้างแบบจำลองขึ้นจากอกไก่ที่มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อคล้ายกับหน้าอกคน และใส่องุ่นหรือมะกอกเข้าไปเพื่อจำลองเป็นก้อนเนื้อผิดปกติ สำหรับให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางใช้ฝึกอัลตราซาวด์และแทงเข็มเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ ซึ่งโดยทั่วไปแต่ละคนต้องฝึกอย่างน้อย 20-30 ครั้ง จึงจะลงมือทำหัตถการกับคนไข้จริงได้
“เพื่อลดอุปสรรคในการเรียนรู้ เอ็มเทคร่วมกับอาจารย์จากคณะแพทยศาสตร์ฯ และบริษัทเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์พัฒนาแพลตฟอร์มเต้านมจำลองที่อัลตราซาวด์เห็นก้อนเนื้อชัดเจน และมีก้อนเนื้อบรรจุภายในเต้านมสำหรับฝึกทำหัตถการ 2 ประเภท ประเภทแรกผลิตจาก hypoechoic material เมื่ออัลตราซาวด์แล้วจะให้ภาพที่มีลักษณะเหมือนกับก้อนเนื้อร้าย (malignant) หรือก้อนเนื้องอกทั่วไป (benign) ส่วนอีกประเภทคือ hyperechoic material เมื่ออัลตราซาวด์แล้วจะให้ภาพที่มีลักษณะเหมือนก้อนเนื้องอกหรือซีสต์ โดยแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นนี้นอกจากจะเห็นภาพก้อนเนื้อได้อย่างชัดเจนด้วยอัลตราซาวด์ในการฝึกทำหัตถการแล้ว ยังปรับขนาดและตำแหน่งของก้อนเนื้อตามโจทย์ที่อาจารย์แพทย์ต้องการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางฝึกฝนได้ด้วย โดยเต้านมจำลอง 1 ชิ้น บรรจุก้อนเนื้อได้ประมาณ 10-12 ก้อน ใช้ฝึกฝนได้ประมาณ 10-30 ครั้ง ทั้งนี้จากการนำอุปกรณ์ให้อาจารย์แพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทดสอบใช้งานจริงได้ผลตอบรับที่ดีมาก เพราะนอกจากใช้ฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังใช้งานได้สะดวกและถูกสุขลักษณะด้วย”
ผลจากการร่วมกันทำวิจัยครั้งนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการฝึกทำหัตถการเพื่อคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมเท่านั้น ยังต่อยอดไปสู่การผลิตอุปกรณ์ฝึกฝนการทำหัตถการในแขนงอื่น ๆ ด้วย
ดร.บริพัตร อธิบายว่า ทีมอาจารย์แพทย์ไม่ได้ขาดแคลนแค่อุปกรณ์ฝึกฝนตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม แต่ยังมีอีกหลายสาขาวิชาที่ต้องการแบบจำลองอวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อใช้ในการสอนและติดต่อเข้ามาแล้ว เช่น ‘หัวไหล่จำลอง’ สำหรับฝึกฉีดสารเข้าตำแหน่งที่ทำหัตถการได้ยาก ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อฉีดสารบรรเทาอาการปวดหรือบาดเจ็บให้แก่ผู้สูงอายุและนักกีฬา ‘กระดูกสันหลังจำลอง’ สำหรับใช้ฝึกฉีดสารไปยังบริเวณกระดูกสันหลังอย่างแม่นยำ เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ หรือบรรเทาอาการเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วย ‘ช่วงท้องน้อยของสตรีจำลอง’ สำหรับใช้ฝึกเก็บรกหรือน้ำคร่ำเพื่อตรวจสอบความผิดปกติของทารกขณะตั้งครรภ์
“จากความต้องการชุดอุปกรณ์สำหรับฝึกทำหัตถการทั้งในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทีมวิจัยดำเนินการพัฒนาคลังวัสดุสำหรับใช้ในการผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้สามารถเลือกใช้วัสดุได้อย่างเหมาะสม ผลิตตามโจทย์ได้รวดเร็ว เป็นประโยชน์ต่อทั้งการใช้งานภายในประเทศไทยและการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในตลาดโลก ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เลือกใช้วัสดุทางการเกษตรที่เป็นพืชเศรษฐกิจของไทยมาเป็นส่วนประกอบในการพัฒนาวัสดุต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย”
ปัจจุบันทีมวิจัยอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มเต้านมจำลองให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด และคาดว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทผู้ร่วมวิจัยได้ในอนาคตอันใกล้ โดยน่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ทีมแพทย์ไทยได้ใช้งานได้ภายใน 1-2 ปีนี้
ดร.บริพัตร กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัย อาจารย์แพทย์ และบริษัทเอกชนผู้ร่วมวิจัยมีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลสำเร็จจากการทำวิจัยครั้งนี้จะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมด้านอุปกรณ์การเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาฝีมือและความเชี่ยวชาญให้แก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างทั่วถึง จนเกิดความมั่นคงด้านสาธารณสุข และตอบโจทย์การเป็นเมดิคัลฮับ (medical hub) ของประเทศ
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ ดร.บริพัตร เมธาจารย์ อีเมล boripham@mtec.or.th, คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค อีเมล soontaree.kos@mtec.or.th หรือคุณวีรวุฒิ จิรนันทศักดิ์ บริษัทเซ็ค เซอร์วิส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด อีเมล weerawuthj@gmail.com
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

PM2.5 พุ่งสูง ชวนมาสูดอากาศสะอาดที่ ‘MagikFresh’
ฝุ่น PM2.5 เป็นหนึ่งในปัญหามลพิษทางอากาศที่อยู่คู่กับคนไทยมาเกือบทศวรรษแล้ว สาเหตุหลักของการเกิดฝุ่นมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งกิจกรรมในครัวเรือน การปล่อยไอเสียจากยานพาหนะ การก่อสร้าง การปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการเผาในที่โล่งแจ้ง ซึ่งการจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนต้องอาศัยทั้งการพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยฝุ่น PM2.5 และความร่วมมือในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตจากทุกภาคส่วน
อย่างไรตามปัญหาฝุ่น PM2.5 อาจไม่สามารถคลี่คลายได้ในเร็ววัน การป้องกันที่ดีที่สุด คือการรู้เท่าทันถึงอันตราย และหลีกเลี่ยงการสูดฝุ่นพิษ PM2.5
PM2.5 อันตราย เล็กทะลุปอดเข้าสู่กระแสเลือด
ฝุ่น PM2.5 คือฝุ่นที่มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือเล็กมากพอที่มนุษย์จะหายใจเข้าสู่ปอดและซึมผ่านผนังปอดเข้าสู่กระแสเลือดได้ ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายจึงมีทั้งแบบ ‘เฉียบพลัน’ เห็นผลใน 1-2 วัน และแบบ ‘เรื้อรัง’ ค่อย ๆ สะสม แล้วแสดงผลในระยะยาว
[caption id="attachment_53003" align="aligncenter" width="1000"] ที่มาภาพจากบทความเรื่อง ‘ฝุ่น PM 2.5 : เล็กทะลุปอดเข้ากระแสเลือด ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายจุดทั่วร่าง’ โดย Research Café สกสว.[/caption]
ศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ วิวรรธนะเดช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพไว้ในบทความเรื่อง ‘ฝุ่น PM 2.5 : เล็กทะลุปอดเข้ากระแสเลือด ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายจุดทั่วร่าง’ ว่า อาการแบบเฉียบพลันที่พบเห็นได้ทั่วไปมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจแล้วมีเสียงฟืดฟาด เลือดกำเดาไหล ซึ่งหากเลือดไหลลงคอก็จะทำให้เสมหะมีเลือดเจือปนได้ ส่วนหากเข้าตาก็จะทำให้เคืองตา ตาแดง และหากโดนผิวหนังก็จะทำให้เกิดผื่นคันและเป็นตุ่ม ส่วนผลที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมฝุ่น PM2.5 ไว้ในร่างกายเป็นระยะเวลานาน เช่น ‘เส้นเลือดหัวใจตีบตัน’ ทำให้หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดปกติ ‘เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบ’ ทำให้เกิดภาวะอัมพาตหรือเสียชีวิต ‘เป็นมะเร็งปอด’ เพราะฝุ่นขนาดเล็กจะมีสารก่อมะเร็ง Polycyclic Aromatic Hydrocarbon (PAH) นอกจากนี้ฝุ่น PM2.5 ยัง ‘เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์’ ได้ โดยฝุ่นจะไหลเข้าไปทางรกส่งผลให้เด็กคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อย ติดเชื้อง่าย ทุพโภชนาการ และอาจเป็นโรคออทิสซึม ซึ่งผลกระทบทั้งหมดนี้มีการยืนยันที่ตรงกันจากงานวิจัยทั่วโลกแล้ว
นอกจากอาการเจ็บป่วยข้างต้นยังมีอีกหนึ่งความอันตรายต่อสุขภาพที่ควรตระหนักเป็นอย่างยิ่ง คือ ปริมาณฝุ่น PM2.5 ที่มหาศาลนี้ทำให้คนที่ต้องสูดฝุ่นเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำเสี่ยงต่อการเป็น ‘โรคถุงลมโป่งพอง’ ได้เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ โดยจากข้อมูลสถิติของ Rocket Media Lab ระบุว่าการสูดฝุ่นของผู้คนในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2564-2565 มีความอันตรายเท่ากับการสูบบุหรี่ 1,200 มวน
MagikFresh พื้นที่อากาศสะอาดกลางเมืองกรุง
ด้วยแต่ละวันในกรุงเทพฯ มีปริมาณฝุ่น PM2.5 มากน้อยไม่เท่ากันแปรผันไปตามการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของคนเมืองและสภาพอากาศ ดังนั้นทุกคนจึงควรเช็คค่าฝุ่นเป็นประจำ และสวมใส่หน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ โดยเฉพาะในวันที่มีปริมาณฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ 37.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป เพราะเป็นปริมาณฝุ่นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย
ทั้งนี้หากวันไหนมีโอกาสได้เดินทางมายังละแวกสวนจตุจักรและอยากหาที่นั่งพักผ่อนหย่อนในใจบรรยากาศสวนอันร่มรื่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ขอนำเสนอ 'ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่’ หรือ ‘MagikFresh (เมจิกเฟรช)’ ที่เปิดให้บริการแก่ผู้ใช้บริการสวนจตุจักรตลอดหน้าร้อนนี้ (ถึงพฤษภาคม 2567) โดย MagikFresh ตั้งอยู่ภายในสวนฝั่งติดถนนพหลโยธิน บริเวณใกล้ประตูทางเข้าออกสวนที่ตรงกับ MRT สถานีสวนจตุจักร (MRT ทางออกประตู 3)
MagikFresh เป็นอาคารลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาด 100 ตารางเมตร ที่มีเครื่องกรองอากาศทำหน้าที่ดึงอากาศจากภายนอกมากรองฝุ่น PM2.5 ก่อนปล่อยให้อากาศไหลเวียนเข้ามาภายในอาคาร แล้วระบายออกสู่ภายนอกผ่านช่องช่องระบายด้านบนหลังคา ทำให้ MagikFresh สร้างอากาศสะอาดที่มีค่า PM2.5 ต่ำกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ระดับที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ) ได้มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้ผู้ใช้บริการหายใจได้สะดวกและรู้สึกสบายตัว โดยเมื่อผู้ใช้บริการเดินเข้ามาภายในอาคารจะได้พบกับสวนขนาดย่อมเป็นพื้นที่สีเขียวสดชื่น บริเวณผนังทั้ง 4 ด้านมีนิทรรศการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ PM2.5 และ MagikFresh และที่ทั้ง 4 มุมของอาคารมีเก้าอี้ให้ผู้ใช้บริการได้นั่งพักผ่อนหรือทำกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ด้วยลักษณะอาคารที่เป็นแบบโปร่งใสผู้ใช้บริการจึงสามารถมองออกไปชมวิวภายนอกซึ่งเป็นบรรยากาศอันงดงามของสวนจตุจักรได้ด้วย
ปลูกต้นไม้ช่วยกรองฝุ่น PM2.5
นอกจากเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศฝีมือนักวิจัยไทยที่ช่วยสร้างอากาศสะอาดให้เราสูดเข้าปอดได้อย่างสบายใจแล้ว การปลูก ‘ต้นไม้’ ยังเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มเครื่องกรองอากาศตามธรรมชาติ เพราะต้นไม้มีส่วนช่วยกรองฝุ่น PM2.5 ได้ 10-50%
สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ว่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลว่า ต้นไม้สามารถดูดซับกลิ่น มลพิษ และฝุ่นละออง ผ่านทางใบและเปลือก โดยฝุ่น PM2.5 จะเกาะแน่นกับผิวของใบไม้ที่เป็นชั้นคิวติเคิล (cuticle) หรือเยื่อบุผิวนอก เนื่องจากมีสารคล้ายขี้ผึ้งและมีเส้นขนปกคลุมอยู่บนผิวใบ ฝุ่น PM2.5 ที่เกาะค้างอยู่บนใบและเปลือกจะถูกชะล้างด้วยน้ำหรือน้ำฝนลงสู่พื้นดิน
สำหรับตัวอย่างต้นไม้ที่ช่วยดักจับฝุ่นได้ดี ผลการศึกษาวิจัยเรื่อง การใช้พืชยืนต้นบำบัดฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พบว่า ต้นไม้ที่มีขนาดใบเล็ก มีใบจำนวนมาก ลักษณะใบขรุขระ และมีเส้นขนบนใบมากจะช่วยดักจับฝุ่นได้ดี เช่น ต้นโมก กัลปพฤกษ์ พะยูง นีออน จามจุรี หมากเหลือง ทรงบาดาล แก้ว และอินทนิล
อย่างไรก็ดี การปลูกต้นไม้ไม่ได้มีประโยชน์เพียงดักจับฝุ่นอนุภาคจิ๋วที่ลอยฟุ้งสร้างมลพิษในอากาศ แต่ยังมีส่วนช่วยลดอุณหภูมิได้ 0.4-3 องศาเซลเซียส สร้างความร่มรื่นและเย็นสบายให้กับเมืองของเรา
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. พัฒนา ‘Nano Cool Paint’ สีลดอุณหภูมิภายในอาคาร ลดค่าไฟได้มาก 10-15%
โลกเดือด ร้อนระอุ จนคนเริ่มทนไม่ไหว ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสก็เปลืองไฟ แถมยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหนักกว่าเดิม จากปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้คนเริ่มมองหาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หนึ่งในนั้นคือ ‘สีทาบ้านที่มีคุณสมบัติช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคารได้’ อย่างไรก็ตามแม้ผลิตภัณฑ์สีเหล่านี้จะช่วยลดอุณหภูมิได้ดี แต่ก็ยังลดได้ไม่เต็มที่นักเนื่องด้วยคุณสมบัติบางประการของสารประกอบที่เป็นข้อจำกัด นักวิจัยไทยที่เล็งเห็นถึงปัญหานี้จึงเร่งนำความเชี่ยวชาญเฉพาะทางพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนานวัตกรรม ‘Nano Cool Paint’ สีทาภายนอกอาคารที่ช่วยลดอุณหภูมิได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป 3-4 องศาเซลเซียส และ ‘สารออกฤทธิ์ (active ingredient)’ สำหรับประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์สีทาวัสดุต่าง ๆ ที่ต้องการลดอุณหภูมิ เช่น สีสำหรับพ่นตู้บรรจุสินค้ารถขนส่งควบคุมอุณหภูมิ สีสำหรับทาตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าทางเรือ
[caption id="attachment_52810" align="aligncenter" width="750"] ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ นักวิจัย นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน (INC) นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า โดยทั่วไปส่วนประกอบหลักในสีทาภายนอกที่ทำหน้าที่ลดอุณหภูมิ คือ สาร TiO2 (ไทเทเนียมไดออกไซด์) ที่มีลักษณะอนุภาคสะท้อนแสงได้ดี แต่มีจุดอ่อนด้านการดูดแสง UV และแผ่รังสีความร้อนได้ไม่ดีนัก ส่วนสารประกอบอีกอย่างหนึ่งที่มีการใช้งานมาก คือ อนุภาคเซรามิกส์ขนาดประมาณ 10 ไมครอน ที่มีจุดเด่นด้านการแผ่รังสีความร้อนได้ดี แต่มีจุดอ่อนด้านการสะท้อนแสง ทำให้ในภาพรวมสารทั้งสองชนิดนี้ยังช่วยลดอุณหภูมิได้ไม่มากเท่าที่ควร
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอนุภาคนาโนมาใช้ในการออกแบบกระบวนการผลิตสารประกอบเพื่อลดข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้
ดร.ศรัณย์ อธิบายว่า สารประกอบที่ทีมวิจัยเลือกใช้แก้ปัญหามี 2 ชนิด คือ BaSO4 (แบเรียมซัลเฟต) และ SiO2 (ซิลิกอนไดออกไซด์) ที่มีคุณสมบัติเด่นตามธรรมชาติ คือ ‘ไม่ดูดแสง UV’ จึงช่วยลดอุณหภูมิให้แก่อาคารได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามในภาพรวมสารทั้งสองชนิดนี้ยังมีจุดอ่อนด้านการสะท้อนแสงและแผ่รังสีความร้อนได้ไม่ดีเท่าสารอีก 2 ชนิดที่ใช้งานอยู่ทั่วไป ทีมวิจัยจึงได้ปรับลักษณะทางกายภาพของ BaSO4 และ SiO2 ด้วยเทคโนโลยีนาโนจนมีจุดแข็งที่เทียบเท่า ทำให้ในภาพรวมสารประกอบ BaSO4 และ SiO2 ที่พัฒนาขึ้น มีคุณสมบัติด้านการช่วยลดอุณหภูมิที่เหนือกว่า โดยภายหลังการพัฒนาสารประกอบเสร็จสิ้น ทีมวิจัยได้เดินหน้าวิจัย ‘สูตรการผลิตสีสำหรับทาภายนอกอาคารในชื่อ Nano Cool Paint’ ต่อทันที ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาจนสำเร็จแล้วเช่นกัน จากการทดสอบพบว่าผลิตภัณฑ์ Nano Cool Paint ช่วยลดอุณหภูมิในช่วงร้อนสุดของวันได้มากกว่าสีประเภทเดียวกันที่จำหน่ายทั่วไป 3-4 องศาเซลเซียส โดยหากเปรียบเทียบกับอาคารที่ไม่ได้ใช้สีทาภายนอกประเภทลดอุณหภูมิ ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ร้อยละ 10-15 (กรณีที่เปิดเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส)
[caption id="attachment_52809" align="aligncenter" width="750"] ภาพเปรียบเทียบความสามารถในการลดอุณหภูมิเมื่อเทียบกับสีทั่วไป[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้วทั้ง ‘ผลิตภัณฑ์ Nano Cool Paint’ และ ‘เทคโนโลยีการผลิต BaSO4 และ SiO2 ชนิดปรับอนุภาคในระดับนาโน’
ดร.ศรัณย์ อธิบายเสริมว่า ผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต BaSO4 และ SiO2 ชนิดปรับอนุภาคเพื่อนำไปใช้กับสูตรการผลิตเดิมไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการใช้งานยาก เพราะผลิตภัณฑ์ที่ทีมพัฒนาขึ้นมีลักษณะเป็นสารสีขาวซึ่งเป็นสีพื้นฐานของผลิตภัณฑ์สีทาบ้านอยู่แล้วจึงใช้ทดแทนสารชนิดเดิมได้เลย ส่วนด้านการปรับสูตรให้ลงตัว คงคุณสมบัติเด่นต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ หากผู้ประกอบการต้องการความช่วยเหลือทีมก็พร้อมให้บริการด้านการวิจัย
“ทั้งนี้นอกจากการพัฒนาสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์สีทาภายนอกอาคารแล้ว ปัจจุบันทีมวิจัยยังสนใจที่จะร่วมงานกับภาคเอกชนพัฒนาสีสำหรับใช้งานกับวัสดุชนิดอื่น ๆ เช่น สีพ่นตู้บรรจุสินค้ารถขนส่งควบคุมอุณหภูมิ สีทาตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าทางเรือ หรือหากผู้ประกอบการท่านใดสนใจพัฒนาสีเพื่อการใช้งานในวัตถุประสงค์อื่น ๆ ทีมวิจัยก็พร้อมให้บริการเช่นกัน”
ผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยกับทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ติดต่อได้ที่ ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ เบอร์โทรศัพท์ 06 2540 8047 หรืออีเมล sarun.ati@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, นาโนเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น