หน้าแรก สวทช. เปิดเวทีรับฟังมาตรการภาษีส่งเสริมบริจาคอาหาร พร้อม 3 แพลตฟอร์ม Tech หนุนตั้ง “ธนาคารอาหารแห่งชาติ”

สวทช. เปิดเวทีรับฟังมาตรการภาษีส่งเสริมบริจาคอาหาร พร้อม 3 แพลตฟอร์ม Tech หนุนตั้ง “ธนาคารอาหารแห่งชาติ”

18 พ.ย. 2568
0
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ภาพการเสวนาบนเวที ขณะผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมากกำลังรับฟังและบันทึกข้อมูล

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมกับมูลนิธิ Scholars of Sustenance (SOS) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อมาตรการสนับสนุนทางภาษีเพื่อส่งเสริมการบริจาคอาหารส่วนเกิน มุ่งลดขยะอาหาร เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร และนำร่องสู่การจัดตั้ง “ธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)”

ภาพ ดร.นวลวรรณ สงวนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์องค์กร สวทช. กล่าวเปิดงาน

สวทช. นำ วทน. แก้โจทย์ขยะอาหารเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงอาหาร

ดร.นวลวรรณ สงวนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์องค์กร สวทช. ได้กล่าวเปิดงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับโอกาสในการเข้าถึงอาหารของชุมชนและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างเป็นรูปธรรม สวทช. เล็งเห็นว่าปัญหาขยะอาหารที่สูงถึง 10 ล้านตันต่อปี ในประเทศไทย อาหารส่วนเกินที่สามารถบริจาคได้ 4 ล้านตันต่อปี แต่ปัจจุบันมีการบริจาคเพียง 2,000 ตันต่อปี (คิดเป็น 0.05%) เป็นโจทย์เร่งด่วนที่ต้องอาศัยกลไกเชิงนโยบายควบคู่กับฐานความรู้ทางเทคนิคเข้ามาจัดการ

ภาพผู้ร่วมเสวนาสี่คนบนเวทีนั่งสนทนาระหว่างงานประชุม

ภาพผู้ร่วมเสวนาสี่คนบนเวที โดยมีสไลด์นำเสนอขนาดใหญ่ด้านหลัง และผู้เข้าร่วมประชุมนั่งรับฟังอยู่ด้านหน้า ภาพผู้ร่วมเสวนาบนเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อหน้าผู้เข้าร่วมประชุม
ภาพวิทยากรหญิงลุกขึ้นยืนถือไมโครโฟนกล่าวแสดงความเห็นระหว่างช่วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในที่ประชุม

เวทีเสวนาในหัวข้อ “สถานการณ์และความท้าทายของมาตรการ กฎระเบียบทางด้านภาษีต่อการบริจาคอาหารส่วนเกินในประเทศไทย” ซึ่งมี ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส และหัวหน้าโครงการ สวทช. เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้รับการสะท้อนประเด็นสำคัญจากผู้แทนภาคเอกชนชั้นนำ

  • ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): คุณมณีสุดา ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า การบริจาคอาหารส่วนเกินที่มี VAT ถือเป็น “การขาย” ในทางภาษี ทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีขาย แม้จะไม่มีรายรับ ส่งผลให้การทำลายอาหารที่ไม่มีภาระ VAT เป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า
  • เพดานการหักค่าใช้จ่าย: คุณอัตถสิทธิ์ เจียมฉวี ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายประสานรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ระบุถึงความท้าทายจากเพดานการหักค่าใช้จ่ายในการบริจาคที่จำกัดเพียง 2% ของกำไรสุทธิ ซึ่งรวมกับกิจกรรมบริจาคอื่น ๆ ทำให้บริษัทที่มีอาหารส่วนเกินปริมาณมาก (เช่น 700-800 กิโลกรัมต่อวันในสาขาใหญ่) สามารถบริจาคได้เพียงหลักสิบกิโลกรัมต่อวัน

ด้าน คุณทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของมูลนิธิ SOS ย้ำว่า ปัจจุบัน 90% ของอาหารที่ได้รับบริจาคเป็นอาหารที่ไม่มี VAT ชัดเจนว่าหากมีการแก้ไขปัญหาภาษี จะสามารถเพิ่มปริมาณการบริจาคได้อย่างก้าวกระโดด

ภาพ คุณทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของมูลนิธิ SOS บรรยาย  

สวทช. ไม่เพียงแค่เสนอนโยบาย แต่พร้อมเครื่องมือ วทน. รองรับ

คุณรชฏ ตันธสุรเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์ สวทช. นำเสนอร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านมาตรการภาษี โดยเสนอให้จัดการบริจาคอาหารส่วนเกินแก่หน่วยงานที่ได้รับการรับรองเทียบเท่ากับการทำลายอาหารในทางภาษี เพื่อปลดล็อกเพดานการหักค่าใช้จ่าย 2% และยกเว้นภาระ VAT

การบูรณาการบทบาทของศูนย์แห่งชาติ สวทช. ในการสนับสนุน Food Bank

นอกจากมิติเชิงนโยบายแล้ว สวทช. ยังพร้อมด้วยนวัตกรรมและเครื่องมือเทคโนโลยีรองรับ ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการวิจัยพัฒนาของศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ โดย ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส และหัวหน้าโครงการ สวทช. ได้นำเสนอ 3 แพลตฟอร์มหลัก ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของธนาคารอาหารแห่งชาติ

  1. Food Safety Guideline: แนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับการบริจาค ครอบคลุมการรับ–เก็บ–ขนส่ง–แจกจ่าย เพื่อให้ผู้บริจาคและผู้รับมั่นใจในความปลอดภัย (พัฒนาโดย BIOTEC)
  2. แพลตฟอร์มดิจิทัลจับคู่ผู้บริจาคและผู้รับ: ระบบบันทึกข้อมูล จับคู่และตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) เพื่อความรวดเร็ว โปร่งใส และการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการบริจาคอาหารเพื่ออ้างอิงกับการขอใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีได้ (พัฒนาโดย NECTEC)
  3. แพลตฟอร์มคำนวณ Carbon Footprint: ระบบประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกจากการนำอาหารส่วนเกินกลับมาใช้ประโยชน์ รองรับการต่อยอดสู่กลไกคาร์บอนเครดิตในอนาคต (ดำเนินการโดย MTEC)

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เพิ่มการบริจาคจาก 2,000 เป็น 20,000 ตันต่อปี

หากข้อเสนอเชิงนโยบายได้รับการผลักดัน คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 การบริจาคอาหารส่วนเกินจะเพิ่มขึ้นจาก 2,000 ตัน/ปี เป็น 20,000 ตัน/ปี ซึ่งจะสามารถนำไปแปลงเป็น 84 ล้านมื้ออาหารต่อปี สำหรับกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกที่วัดค่าได้ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

  • ลดภาระรัฐ: เทียบเท่ากับการลดภาระในการจัดหาอาหารมูลค่า 3,000 ล้านบาทต่อปี
  • ลดก๊าซเรือนกระจก: ประมาณ 50,000 ตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี
  • ประหยัดงบท้องถิ่น: ประหยัดค่ากำจัดขยะ 45 ล้านบาทต่อปี

สวทช. จะเร่งนำผลการหารือและข้อเสนอแนะทั้งหมดไปสังเคราะห์เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายอย่างเป็นทางการ และนำเสนอผ่านกระทรวง อว. ไปยังกระทรวงการคลังภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้มาตรการนี้กลายเป็นกลไกสำคัญในการสร้าง “ธนาคารอาหารแห่งชาติ” และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศอย่างแท้จริง

ผู้สนใจติดตามความคืบหน้าหรือร่วมสนับสนุนโครงการ สามารถติดต่อ สวทช. ได้ที่ โทร. 02 5647000

ภาพหมู่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมากในห้องประชุม หลังจบกิจกรรม

แชร์หน้านี้: