หน้าแรก TAIST-Science Tokyo เชื่อมวิจัย การศึกษา อุตสาหกรรมปั้นกำลังคนศักยภาพสูง สร้างอนาคตประเทศ

TAIST-Science Tokyo เชื่อมวิจัย การศึกษา อุตสาหกรรมปั้นกำลังคนศักยภาพสูง สร้างอนาคตประเทศ

8 ก.ย. 2568
0
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมาถึงประเทศไทย ในจังหวะเดียวกันกับที่ประเทศต้องเผชิญโจทย์ใหญ่เชิงโครงสร้าง ทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันที่สั่นคลอน และวิกฤตประชากรที่กำลังคืบคลานเข้ามา ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ทำให้ ‘การพัฒนาบุคลากรศักยภาพสูง’ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศและการแข่งขันบนเวทีโลก

จากประเด็นดังกล่าว เวทีเสวนาภายในงานประชุมวิชาการ ‘TAIST-Science Tokyo: วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนากำลังคนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน’ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1-3 กันยายน 2568 ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่เผยให้เห็นถึงโมเดลความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างสถาบันชั้นนำของไทยและญี่ปุ่น ที่กำลังร่วมกันวางรากฐานการพัฒนาคนระดับชาติและนานานชาติให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศเพื่อพร้อมรับมือกับความท้าทายในยุค Disruption

ถอดรหัสเมกะเทรนด์: เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลก

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชี้ว่าโลกกำลังก้าวสู่การปฏิวัติดิจิทัลครั้งที่ 3 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่ายอย่าง ChatGPT, Grok, Meta AI ไปจนถึง DeepSeek กำลังถูกยกระดับด้วย Agentic AI ซึ่งมีพลังมากกว่า AI ทั่วไป ตรงที่สามารถตั้งเป้าหมาย วางแผน และดำเนินการได้ด้วยตนเอง ขณะที่เทคโนโลยี Retrieval-Augmented Generation (RAG) จะเข้ามาเป็นคำตอบสำหรับองค์กรที่ต้องการใช้ AI กับข้อมูลภายในอย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Hallucination) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้บนโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อ (Connectivity) ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 6G และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมอย่าง Starlink ซึ่งมีดาวเทียมในวงโคจรแล้วมากกว่า 8,000 ดวง และมีผู้ใช้งานราว 4 ล้านคน เทคโนโลยีเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมและระบบสุขภาพ โรงงานหลายแห่งเริ่มใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ร่วมกับเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ และ Digital Twin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่วงการแพทย์ก็เริ่มนำ AI เข้ามาช่วยในการคัดกรองเบื้องต้นให้กับแพทย์

อย่างไรก็ตามการพัฒนาการที่ก้าวกระโดดของเทคโนโลยีก็มาพร้อมกับด้านมืดและความท้าทายใหม่ ๆ ดร.พิเชฐ ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ขณะนี้ LLM ได้ใช้ข้อมูลมหาศาลบนโลกไปจนเกือบหมดแล้ว และอนาคตอาจต้องพึ่งพา Synthetic Data ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องทำให้ไม่เกิดความผิดพลาดในระยะยาว ความท้าทายที่ชัดเจนที่สุด คือ การว่างงานจากการถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งหลายประเทศได้เริ่มออกมาตรการรับมือแล้ว เช่น โปรแกรม SkillsFuture ของสิงคโปร์ ที่ให้เงินสนับสนุนประชาชนสำหรับ Reskill ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อรองรับการ Reskilling และ Upskilling ของกำลังคน หรือกฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป ที่มีบทลงโทษรุนแรงหากบริษัทละเมิดความปลอดภัย โดยอาจถูกปรับสูงถึง 7% ของรายได้บริษัท

จุดยืนวิทยาศาสตร์ไทย กับ ภาพสะท้อนบนแผนที่โลก

ความท้าทายจากเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวนมองย้อนกลับมาที่สถานะของประเทศไทย พร้อมฉายภาพความจริงที่น่ากังวล หากผลงานวิจัย คือ ขนาดของประเทศบนแผนที่โลก ประเทศไทยจะมีลักษณะเป็นเพียงเส้นบาง ๆ เมื่อเทียบกับมหาอำนาจทางวิทยาศาสตร์อย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา

ศ.ดร.ยงยุทธ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยอยู่ในอันดับที่ 39 ของโลก ซึ่งสูงกว่าเวียดนามแต่ต่ำกว่ามาเลเซีย ภาพรวมในระดับภูมิภาคนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมาเลเซียได้พัฒนาอย่างรวดเร็วจนอันดับสูงกว่าไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ศ.ดร.ยงยุทธ เน้นย้ำว่าบทบาทของมหาวิทยาลัยต้องกว้างกว่าการเรียนการสอน แต่ต้องครอบคลุมถึงการวิจัย การพัฒนา และการรับใช้สังคม ในบริบทนี้ ศ.ดร.ยงยุทธ อธิบายว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากำลังคน และโครงการ TAIST-Tokyo Tech ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น TAIST Science Tokyo คือ หนึ่งในผลงานที่ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมผลักดันให้เกิดขึ้นในช่วงที่เป็นผู้อำนวยการ สวทช. โครงการนี้มีลักษณะเป็น Virtual Institution ที่ไม่ได้มีพื้นที่ของตนเอง แต่ใช้ทรัพยากรเดิมของมหาวิทยาลัยพันธมิตร โดยมีกลไกสำคัญ คือ นักวิจัยของ สวทช. จะทำหน้าที่เป็นทั้งนักวิจัยและอาจารย์ ซึ่งเป็นการเชื่อมโลกการวิจัยจริงเข้ากับการศึกษาโดยตรง นอกจากนี้ยังเป็นความร่วมมือแบบพหุภาคีที่มหาวิทยาลัยไทยได้ทำงานร่วมกันเองด้วยไม่ใช่แค่กับญี่ปุ่นเท่านั้น

ถอดรหัสความต้องการอุตสาหกรรม: การสร้างคนเพื่อการแข่งขัน

ในมุมมองจากภาคเอกชน ดร.ฉัตรชัย สงวนวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทู ซิสเตอร์ บิสซิเนส คอนซัลแทนท์ จำกัด และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค สวทช.) ได้นำเสนอโมเดลความร่วมมือที่ชัดเจนระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และศูนย์วิจัยโดยกล่าวว่าเป้าหมายสูงสุดของภาคอุตสาหกรรม คือ การสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ได้ในสนามรบทางธุรกิจ และต้องต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องได้รับกำลังคนที่มีทักษะสูงจากภาคการศึกษาเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดตลอดช่วงชีวิตของการทำงาน

ดร.ฉัตรชัย ได้ใช้กรอบแนวคิด ระดับความพร้อมของเทคโนโลยี (Technology Readiness Level – TRL) มาเป็นแกนในการอธิบาย โดยแบ่งหน้าที่และความคาดหวังของแต่ละฝ่ายไว้อย่างเป็นระบบ ในส่วนของ ภาคการศึกษาภารกิจสำคัญในการสร้างบัณฑิตที่มีพื้นฐานแน่น ตัวอย่างทักษะพื้นฐานที่บัณฑิตควรมีติดตัวสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ คือ ความสามารถด้าน Image Processing  ความเข้าใจในระบบเซนเซอร์ การเขียนโค้ด และที่สำคัญคือต้องสามารถใช้งานอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้จริง

เมื่อบัณฑิตที่มีคุณสมบัติดังกล่าวได้ก้าวเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม บทบาทจะเปลี่ยนเป็นการรับมาต่อยอดและพัฒนาอย่างเข้มข้น ภาคอุตสาหกรรมจะลดความสำคัญของทฤษฎีเชิงลึกลงเหลือประมาณ 60% แต่จะมุ่งพัฒนาทักษะด้านการประยุกต์ใช้ให้สมบูรณ์เต็ม 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ข้ามศาสตร์ (Cross-knowledge Application) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรม ในขณะเดียวกัน ทักษะเชิงการตลาดจะถูกยกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดดสู่ระดับ 80% ซึ่งครอบคลุมถึงความสามารถในการรู้เท่าทัน เทรนด์เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถแข่งขันในตลาดได้ และการออกแบบเทคโนโลยีที่ผู้บริโภคเข้าถึงง่าย

นอกเหนือจากความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและอุตสาหกรรมแล้ว ดร.ฉัตรชัย ยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของ ศูนย์วิจัย (Research Center) เช่น สวทช. ในฐานะผู้สนับสนุนเชิงเทคนิค โดย อธิบายว่าศูนย์วิจัยจะเข้ามามีบทบาทเมื่อภาคอุตสาหกรรมเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนเป็นการเฉพาะ โดยมีหน้าที่ตอบโจทย์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การวิจัยเชิงลึก (Deep Research) การพิสูจน์ฟังก์ชันการทำงาน (Prove Function) และให้ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค (Insight Learning)

ดร.ฉัตรชัย กล่าวสรุปว่า โมเดลความร่วมมือสามประสานระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และศูนย์วิจัยนี้ คือ หัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ องค์กรที่สามารถนำแนวทางนี้ไปใช้จะสามารถพัฒนากำลังคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม และท้ายที่สุดคือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีให้กับประเทศ

ต้นแบบความร่วมมือระดับโลก: วิสัยทัศน์แห่ง Institute of Science Tokyo

Prof. Dr. Jun-ichi Takada รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์แห่ง Institute of Science Tokyo ได้กล่าวถึงการก่อตั้ง Institute of Science Tokyo ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของสองสถาบันชั้นนำอย่าง Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) และ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) โดยชี้ว่าหัวใจหลักของมหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ คือ ปรัชญาที่เรียกว่า ศาสตร์หลอมรวม (Convergent Science) ที่มุ่งเน้นการนำศาสตร์ต่าง ๆ มาบูรณาการเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่สังคม

จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การปรับกระบวนทัศน์การทำงานใหม่ทั้งหมด ไปสู่การวิจัยและการศึกษาที่ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ โดยพลิกมุมมองจากการยึดติดกับกรอบสาขาวิชามาให้ความสำคัญกับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) และใช้โจทย์ปัญหาของสังคมเป็นที่ตั้ง เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถอุทิศตนรับใช้สังคมได้อย่างแท้จริง ดังนั้น สถาบันจึงได้จัดตั้งกลุ่มวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ขึ้นมาเป็นหน่วยงานวิจัยแบบสหวิทยาการโดยเฉพาะ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

Prof. Dr. Takada เน้นย้ำว่า เป้าหมายทั้งหมดนี้จะสำเร็จไม่ได้หากขาดระบบนิเวศที่แข็งแกร่งจากความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และมหาวิทยาลัย และกล่าวว่าประเทศไทยมีสถานะเป็นพันธมิตรที่พิเศษอย่างยิ่งสะท้อนได้จากการมีสำนักงานในไทยถึง 3 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นดูแลโครงการ TAIST-Science Tokyo โดยตรง และเป็นเครื่องยืนยันถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนาน

ท้ายที่สุด TAIST-Science Tokyo จึงไม่ใช่แค่โครงการความร่วมมือ แต่คือต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่าการสร้างบุคลากรศักยภาพสูงนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริงผ่านวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความร่วมมือที่เข้มแข็ง โดยมี สวทช. และพันธมิตรเป็นผู้ขับเคลื่อนแนวทางเชิงกลยุทธ์ และได้รับการสนับสนุนด้านทุนวิจัยและพัฒนากำลังคนที่สำคัญจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จนเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม คือ การผลิตบัณฑิตคุณภาพสูงได้แล้วกว่า 600 คน ในปี 2568 นี้ โครงการยังได้ขยายความร่วมมือ เปิดหลักสูตรใหม่ Biomedical Engineering and AI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สวทช. ทั้งนี้ยังได้จับมือกับพันธมิตรใหม่อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์และระบบรางขั้นสูง (A2TE) เพื่อสร้างกำลังคนให้ตอบโจทย์ประเทศได้อย่างยั่งยืนอิกด้วย

 

 

 

แชร์หน้านี้: