หน้าแรก กระทรวง อว. โดย สวทช. ยืนยันพันธุ์ข้าว “หอมสยาม” มีความปลอดภัย ใช้กระบวนการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ ได้การรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน (ร.พ.2) จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้วในปี 2565 และอยู่ระหว่างขอรับรองพันธุ์จากกรมการข้าว เพื่อเป็น “ข้าวทางเลือก” ให้เกษตรกร

กระทรวง อว. โดย สวทช. ยืนยันพันธุ์ข้าว “หอมสยาม” มีความปลอดภัย ใช้กระบวนการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ ได้การรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน (ร.พ.2) จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้วในปี 2565 และอยู่ระหว่างขอรับรองพันธุ์จากกรมการข้าว เพื่อเป็น “ข้าวทางเลือก” ให้เกษตรกร

20 พ.ย. 2568
0
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

จากกรณีมีข่าวเรื่อง “ข้าวหอมสยาม” ไม่ใช่ “ข้าวหอมมะลิ” เตือนเกษตรกรระวังการขยายผลการเพาะปลูก หวั่นไม่มีตลาดรองรับชัดเจน จนอาจเกิดข้อกังวลด้านมาตรฐานและความปลอดภัยนั้น  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยืนยันว่าข้าวหอมสยามไม่ได้มาแทนที่ข้าวหอมมะลิ แต่ข้าวหอมสยามเป็น “ข้าวเจ้าหอม” ที่มีการพัฒนาพันธุ์ผ่านการผสมพันธุ์แบบธรรมชาติที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก มีความปลอดภัย และได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์ถูกต้องจากกรมวิชาการเกษตร

  • ข้าวหอมสยามไม่ใช่ GMO เป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ตามธรรมชาติด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ได้มุ่งมั่นวิจัยสร้างองค์ความรู้และนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หน่วยงานพันธมิตร และกรมการข้าวมากว่า 30 ปี เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นแก่เกษตรกรไทย ทั้งให้ผลผลิตสูง ความสามารถในการต้านทานโรค แมลง ทนต่อสภาพแวดล้อม เช่น ทนน้ำท่วม ทนแล้ง รวมถึงการพัฒนาในเรื่องกลิ่นและความหอมในพันธุ์ต่าง ๆ โดยที่ผ่านมามีพันธุ์ข้าวจาก สวทช. ที่ได้รับรองพันธุ์จากกรมการข้าวด้วยแล้วหลายพันธุ์ เช่น กข18 (ข้าวเหนียวต้านทานโรคไหม้ ลำต้นแข็งไม่ล้ม), กข51 (ปรับปรุงจากพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 ให้มีลักษณะทนน้ำท่วมฉับพลัน), กข73  (ข้าวเจ้าทนเค็ม) และ กข75 (ปรับปรุงจากพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 ให้มีลักษณะต้านทานโรคไหม้)

ข้าวหอมสยามเป็นข้าวเจ้าหอม นุ่ม ไวต่อแสง ให้ผลผลิตสูง คุณภาพการหุงต้มดี ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย ซึ่งได้ปรับปรุงพันธุ์ตั้งแต่ปี 2553 โดยมีการพัฒนาจากการผสมพันธุ์แบบธรรมชาติ ระหว่างข้าวสายพันธุ์แม่ “RGD03068-2-9-1-B (RGD03068)” ที่มีลักษณะทนแล้ง กับข้าวสายพันธุ์พ่อ “แก้วเกษตร” ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานต่อโรคไหม้ ทรงกอตั้ง ต้นเตี้ย ไม่ได้มีการใส่ยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าไป ข้าวหอมสยามจึงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ทั้งนี้ในขั้นตอนการคัดเลือกลักษณะทนแล้ง ต้านทานโรค และคุณภาพหุงต้มจะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่มีความแม่นยำ คือการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการคัดเลือก ซึ่งเป็นเทคนิคมาตรฐานของศูนย์วิจัยข้าวทั่วโลก

  • ข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างกระบวนการรับรองพันธุ์ตามมาตรฐานกรมการข้าว

ผอ.สวทช. กล่าวอีกว่า ปัจจุบันข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างกระบวนการทดสอบและขยายพันธุ์ เพื่อประกอบการพิจารณารับรองพันธุ์โดยกรมการข้าว ซึ่งต้องดำเนินการในหลายพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อพิสูจน์ว่า พันธุ์มีสเถียรภาพการให้ผลผลิตสม่ำเสมอในหลายสภาพแวดล้อม และต้องมีการทดสอบการตอบสนองต่อปุ๋ย โดยกระบวนการนี้ต้องทำโดยสถานีทดลองและแปลงเกษตรกรในหลายจังหวัด จึงเป็นเรื่องปกติที่พันธุ์ใหม่ทุกพันธุ์จะต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินงาน ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่า ข้าวหอมสยามเป็นพันธุ์ที่ไม่ได้มาตรฐานแต่ประการใด

ผอ.สวทช. กล่าวต่อว่า ข้าวหอมสยามพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ในปี 2553 ต่อมาในปี 2563 เริ่มมีการนำข้าวไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี  อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 530 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อมาในปี 2564 ได้มีการขยายการปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.ศรีสะเกษ จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม และ จ.บุรีรัมย์ รวมพื้นที่ 21 ไร่ ซึ่งเกษตรกรให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้ลดการสูญเสียผลผลิตจากการหักล้ม และลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยว คุณสมบัติเด่นอีกประการของข้าวหอมสยามคือมีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดี ล่าสุดในปี 2567 ได้มีการขยายการปลูกทดสอบในจังหวัดพิจิตร พบว่าข้าวหอมสยามสามารถให้ผลผลิตสูงกว่า 800 กิโลกรัมต่อไร่

“ปัจจุบันข้าวหอมสยามได้การรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน (ร.พ.2) จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้วในปี 2565 ซึ่งเป็นด่านแรกในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือทางวิชาการ เป็นการยืนยันว่าพันธุ์ข้าวหอมสยามมีตัวตน ถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้ง สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยังได้รับใบอนุญาตรวบรวม ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งเมล็ดพันธุ์ควบคุมเพื่อการค้า (พ..1) ที่สำคัญขณะนี้ข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองพันธุ์ข้าวจากกรมการข้าว ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบผลผลิต ทดสอบคุณภาพเมล็ดทางเคมีและกายภาพ การประเมินศักยภาพการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน รวมทั้งทดสอบความต้านทานโรคและแมลงศัตรูข้าวในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ โดยขณะนี้ได้ดำเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เกือบครบถ้วนแล้ว” ผอ.สวทช. กล่าว

  • สวทช. มุ่งมั่นพัฒนาพันธุ์ข้าว สร้างโอกาสแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลก

“กระทรวง อว. โดย สวทช. มีความตั้งใจในการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ รักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในระยะยาว ที่ผ่านมา สวทช. เป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งในเชิงสังคมและพื้นที่ และเห็นความสำคัญของการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย จึงมีความตั้งใจในการพัฒนา “นวัตกรรมพันธุ์ข้าวหอมสยาม” ที่มีคุณสมบัติตรงต่อความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป็นพันธุ์ข้าวที่เมล็ดมีกลิ่นหอม ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคและปรับตัวได้ดีในสภาวะน้ำน้อย และมีคุณภาพของข้าวขัดขาวตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์เกษตรกรและตลาดที่มีความต้องการข้าวคุณภาพสูงที่หลากหลาย เป็นการยกระดับคุณภาพข้าวไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก” ศ.ชูกิจ กล่าว

ข้าวหอมสยามเป็นพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านผลผลิตและทนทานต่อสภาพแวดล้อม ตอบโจทย์ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยให้ข้าวหอมสยามเป็นทางเลือกให้เกษตรกรสามารถเป็นผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม

 

แชร์หน้านี้: