กระทรวง อว. สนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 รพ.ค่ายสุรนารี พัฒนาสายรัดห้ามเลือด–เฝือกอ่อน เสริมสมรรถนะแพทย์ทหาร ป้องกันการเสียชีวิตกำลังพลชายแดน สร้างความมั่นคงของชาติ

สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประยุกต์องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมขั้นสูง สู่งานความมั่นคงของประเทศ สนับสนุนภารกิจแพทย์ทหาร โดยร่วมมือกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลค่ายสุรนารี พัฒนาสายรัดห้ามเลือดแบบก้านหมุน และเฝือกอ่อนเพื่อใช้งานในราชการสนาม ผลทดสอบเทียบเท่ามาตรฐานสากล มีต้นทุนถูกกว่านำเข้า สร้างโอกาสพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

(วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว.: นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีมอบสายรัดห้ามเลือด 1,000 ชุด และเฝือกอ่อนจำนวน 500 ชุด ที่ร่วมพัฒนาโดยความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนและโรงพยาบาลค่ายสุรนารี เพื่อใช้ในราชการสนามแก่ กองทัพภาคที่ 2 โดยมี พลโทวีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้รับมอบ
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ทั้งนี้ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ได้ร่วมพัฒนา 2 อุปกรณ์ ได้แก่ 1. สายรัดห้ามเลือดแบบก้านหมุน หรือ “ทูนิเก้” (Combat Application Tourniquet: CAT) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ที่ใช้เพื่อควบคุมภาวะเลือดออกรุนแรงจากบาดแผลที่แขนหรือขา ซึ่งไม่สามารถหยุดเลือดได้ด้วยวิธีกดแผลโดยตรง และ 2. เฝือกอ่อน (Splint) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลสำเร็จรูปสำหรับตรึงกระดูกหรือข้อเคลื่อนชั่วคราว
หลักการทำงานของสายรัดห้ามเลือดคือการสร้างแรงกดที่เพียงพอให้มากกว่าความดันโลหิตซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure) ของผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งความดันดังกล่าวเป็นค่าความดันสูงสุดในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยปกติมีค่าอยู่ประมาณ 50–150 มิลลิเมตรปรอท เมื่อสายรัดห้ามเลือดสร้างแรงกดเพียงพอจะปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดจากหลอดเลือดแดง และแถบที่กว้างของสายรัดจะกระจายแรงกดและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเฉพาะจุด จึงมีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่าวัสดุชั่วคราว อาทิ เชือก หรือผ้าแคบ และในการใช้งานจำเป็นต้องบันทึกเวลาเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบ เนื่องจากระยะเวลาที่เกิน 2 ชั่วโมง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดที่นำไปสู่เนื้อตาย และภาวะความดันในช่องกล้ามเนื้อสูง
ส่วนเฝือกอ่อนเป็นวัสดุที่ผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์บางที่ประกบด้านบนและด้านล่างด้วยชั้นโฟมโพลีเอทิลีน มีสมบัติทางกลศาสตร์ที่สำคัญ คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดวัตถุอย่างถาวรโดยไม่กลับคืนรูปร่างเดิม จึงสามารถดัดโค้งให้เข้ากับสรีระได้คงรูปถาวร และมีเสถียรภาพในการตรึงกระดูกหัก ที่สำคัญ คือเป็นวัสดุที่โปร่งแสงรังสี (Radiolucent) ทำให้สามารถถ่ายภาพรังสีเอกซ์ (X-ray) เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บได้โดยไม่ต้องถอดเฝือกออก วัสดุนี้จึงเหมาะสำหรับการปฐมพยาบาลภาคสนามและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
อุปกรณ์สำหรับราชการสนามทั้ง 2 ชนิดนี้ สถาบันฯ ผลิตขึ้นโดยได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมของสถาบันฯ โดยวัสดุในการผลิตสายรัดห้ามเลือดและเฝือกอ่อนนั้น เป็นอะลูมิเนียมที่สถาบันฯ นำมาอบอ่อน (Annealing) เพื่อลดความแข็งและเพิ่มความเหนียวให้กับวัสดุด้วยเครื่องมือของห้องปฏิบัติการทางเทคนิคและวิศวกรรม ซึ่งปกติใช้งานในการพัฒนาและซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนและระบบลำเลียงแสง
อะลูมิเนียมที่ปรับปรุงคุณสมบัติแล้วสามารถประยุกต์ใช้กับเฝือกอ่อนเพื่อดัดโค้งให้เข้ากับสรีระของผู้บาดเจ็บได้ตามความต้องการ และเมื่อนำอะลูมิเนียมดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับสายรัดห้ามเลือดจะยืดหยุ่นรับกับอวัยวะ แต่ไม่คลายตัว จึงห้ามเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลการทดสอบสายรัดห้ามเลือดที่สถาบันฯ พัฒนาขึ้นนี้ สามารถรัดห้ามเลือดได้นานต่อเนื่อง 5–6 ชั่วโมงโดยไม่คลายตัว มีประสิทธิภาพเทียบเท่าสายรัดห้ามเลือดมาตรฐานที่นำเข้าจากต่างประเทศแต่มีต้นทุนต่ำกว่าครึ่ง
รศ.ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “การพัฒนาสายรัดห้ามเลือดและเฝือกอ่อนเพื่อใช้งานในราชการภาคสนามนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้ความเชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนเพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหลังจากนี้จะได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ในการผลิตให้แก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และสถาบันฯ ยังคงมุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์แสงซินโครตรอนและเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา เพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป”
• ก่อนหน้านี้ สวทช. กระทรวง อว. มอบ รถต้นแบบทำลายทุ่นระเบิดฯ ให้กองทัพบก นำร่องใช้งานแล้ว ใน พท. ชายแดน

![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำเสนอนิทรรศการผลงาน “ต้นแบบรถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 สำหรับภูมิประเทศซับซ้อนสูงในพื้นที่ชายแดน” โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาคณะนักศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 67 หรือ วปอ.67 ได้ทำการส่งมอบ ต้นแบบรถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 ให้แก่ พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง กองทัพบก เพื่อนำไปใช้ในภารกิจการป้องกันประเทศ

สำหรับต้นแบบรถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 ที่พัฒนาขึ้นนั้น สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ภายใต้การสนับสนุนจากนักศึกษา วปอ. 67 ได้พัฒนาต้นแบบเครื่องมือทำลายทุ่นระเบิดฯ โดยมี ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (RMT) เป็นหัวหน้าทีมในการออกแบบกระบวนการทางวิศวกรรมขั้นสูงและเทคโนโลยีวัสดุ สำหรับใช้ในการทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 การพัฒนานวัตกรรมเริ่มต้นจากแนวคิดการประยุกต์ใช้รถขุดดินขนาดเล็ก (ขนาดประมาณ 3.5 ตัน) ที่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนในภูมิประเทศลาดชันและทุรกันดาร ใช้ทักษะในการขับขี่พื้นฐาน และมีความแข็งแรงทนทานเพียงพอ มาติดตั้งอุปกรณ์ทำลายทุ่นระเบิด พร้อมติดตั้งชุดเกราะเสริมความปลอดภัยให้ห้องคนขับ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ปฏิบัติงานควบคุมไม่ได้รับอันตราย การออกแบบทางวิศวกรรมขั้นสูงที่ผนวกรวมการออกแบบ 3 มิติ (3D Design) และการจำลองบนคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) ถูกใช้ในขั้นตอนการออกแบบชิ้นส่วนทางวิศวกรรม เพื่อให้มั่นใจถึงความแม่นยำในขนาดมิติในการผลิตและใช้งาน แข็งแรงเพียงพอจากแรงดันระเบิด
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
นอกจากนี้ได้มีการเรียนรู้ถึงพฤติกรรมแรงดันจากการระเบิดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับมนุษย์ด้วยการจำลองทางคอมพิวเตอร์ การเลือกใช้วัสดุความแข็งแรงเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่คณะวิจัยของเอ็มเทค สวทช. มีประสบการณ์และคลุกคลีกับวัสดุกลุ่มนี้ยาวนาน การพัฒนาชุดเกราะเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานควบคุม จึงได้เลือกเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงที่มีค่าความเค้น ณ จุดคราก ไม่ต่ำกว่า 700 MPa (S700 Structural Steel) ความหนา 12 มม. ชุดหัวกดทำลายทุ่นระเบิด (Landmine Punching Destroyer) ได้ออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาวะการณ์ในการทำลายทุ่นระเบิด โดย “ก้านกด” ถูกติดตั้งให้มีระยะความสูงห่างจากพื้นดินที่เหมาะสมเพื่อช่วยการระบายของแรงดันจากการระเบิดอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะลดโอกาสการเกิดความเสียหายของชิ้นส่วน วัสดุของก้านกดเป็นเหล็กกล้าปานกลางผ่านกระบวนการอบชุบทางความร้อนเพื่อให้มีความแข็งแรงเพียงพอ (Yield Strength 720 MPa) ทำเป็นแท่งเกลียว (Stud Bolt) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 28.5 มม. ทำให้สะดวกต่อการถอดเปลี่ยนหรือปรับปรุงแก้ไขหากเกิดการชำรุดในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน
นวัตกรรมนี้แสดงให้เห็นว่า สวทช. ไม่ได้ทำงานอยู่แค่ในห้องทดลอง แต่ยังนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมของประเทศ การพัฒนาเครื่องมือที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อความมั่นคงของชาตินับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และเป็นการคืนความปลอดภัยให้กับชีวิตและผืนดินของประชาชนตามแนวชายแดน
























