สรุปการบรรยายหัวข้อ การเดินทางด้วยพลังงาน 4.0 โดย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยวัสดุสำหรับพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
บางส่วนของงานวิจัยในหน่วยมีดังนี้ 1. งานวิจัยไบโอดีเซล โดยเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น มาใช้เพื่อจะได้ผสมไบโอดีเซลเข้าไปได้ปริมาณมากขึ้น เป้าหมายแรก 10 % กระทรวงพลังงานให้การสนับสนุนเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลให้สูงขึ้น ได้ทดสอบ 10% และ 20% ไบโอดีเซลกับรถปิคอัพอีซูซูระยะทาง 50000 กิโลเมตร พบว่าให้ผลไม่ต่างจากน้ำมันดีเซลที่เป็น fossil 2. งานวิจัย diesohol คือ การนำเอาดีเซลผสมกับ ethanol และไบโอดีเซล ทำให้เสถียรภาพของ diesohol ดีขึ้น ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกตัวหนึ่ง กำลังอยู่ในระหว่างวิจัย ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงาน 3. งานวิจัย compressed biogas เป็นสารดูดซับที่ได้รับการพัฒนาให้ดูดซับ CO2 จำเป็นที่จะทำให้ biogas มีคุณสมบัติเข้าไปแทนที่ NGV 4. งานวิจัยเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกหนึ่งของรถในอนาคต โดยพัฒนา catalyst และ reactor สำหรับผลิตไฮโดรเจนจาก ethanol และ biogas 5. งานวิจัย battery เช่น Lithium ion battery และการออกแบบต้นแบบของ battery ในรถโดยสารไฟฟ้า 6. งานวิจัยด้าน supercapacitor โดยทำการทดสอบ การพัฒนาวัสดุ และการประยุกต์ใช้ 7. งานวิจัยพัฒนากังหันลม 8. ศึกษาและออกแบบขนาดและศึกษาระบบกักเก็บพลังงานทั้งทางด้านเทคนิคและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/2/
สรุปการบรรยายหัวข้อ วัสดุนาโนและวิศวกรรมระบบนาโนเพื่อเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรชีวภาพ โดย ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยวัสดุนาโนและวิศวกรรมระบบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
งานหลักของหน่วยซึ่งมี 3 ห้องปฏิบัติการคือ การแปรรูปวัสดุชีวภาพ ชีวมวล วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นของที่มีมูลค่ามากขึ้น ห้องปฏิบัติการที่ 1 ใช้ computer ในการทำงานซึ่งมี 3 areas ได้แก่ 1. การใช้ขบวนการ catalysis สำหรับการผลิตพลังงานและสารเคมีสะอาด เช่น การเปลี่ยน biomass เป็น biochemical การทำ fuel improvement เช่น การกำจัด sulfur ออกซิเจนจากเชื้อเพลิง การเปลี่ยน carbondioxide เป็นสารที่เพิ่มมูลค่า 2. ออกแบบ catalyst หรือออกแบบตัวดูดซับไปใช้ในการกำจัดสารพิษ 3. การพัฒนาวัสดุสำหรับใช้งานในอุปกรณ์ด้านพลังงาน เช่น lithium ion battery ห้องปฏิบัติการที่ 2 ทำงานเกี่ยวกับการเอาตัวเร่งปฏิกิริยาหรือตัวดูดซับไปใช้ในงานด้าน green biorefinery เช่น การผลิต biofuel biochemical หรือพวก advanced material ต่างๆ ห้องปฏิบัติการที่ 3 มีความเชี่ยวชาญในการทำ nanofabrication และทำ intregration ของวัสดุ nano ที่มี function ต่างๆ ให้กลายเป็นของที่ใช้งานได้ งานโดดเด่นของหน่วยที่ได้รับการตีพิมพ์ เช่น 1. การออกแบบตัวเร่งปฏิกิริยาในการกำจัดตัว hydrogen sulfide 2. การพัฒนาตัว catalyst ในการเปลี่ยนน้ำมันปาล์มเป็น diesel สังเคราะห์ 3. การเอา Lactic หรือ succinic acid ไปทำ polymerization เมื่อทำเสร็จจะได้วัสดุที่มีมูลค่าสูงขึ้นเป็นวัสดุที่ใช้ในการแพทย์ 4. การศึกษาพัฒนาสาร organic ที่ใช้ใน organic light emitting diode (OLED)
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/2/
สรุปการบรรยายหัวข้อ ยุทธศาสตร์งานออกแบบ และวิศวกรรม จากวิทยาการ สู่การนำไปประยุกต์ใช้ โดย ดร.นิรุตต์ นาคสุข ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยการออกแบบและวิศวกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
งานของหน่วยวิจัยออกแบบและวิศวกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ มุ่งไปที่ 3 business sectors คือ
1. transportation and auto part มีความสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัย ชีวิต และทรัพย์สิน เพราะพวกเราต้องเดินทางตลอด ใช้รถตลอด งานของหน่วยวิจัยออกแบบและวิศวกรรมหนึ่งในนั้นคือ การพัฒนารถพยาบาลร่วมกับบริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น ออกมาเป็นรถพยาบาลที่มีมาตรฐาน โดยอาศัยองค์ความรู้ทางด้านการออกแบบและวิศวกรรม ได้มีการสร้างแบบจำลองของห้องผู้โดยสารที่ได้ออกแบบมาทำการทดลองความสามารถในการรับแรงกด ทำการจำลองการพลิกคว่ำ ทดสอบการพลิกคว่ำของต้นแบบของห้องโดยสารที่ออกแบบขึ้นมา อีกจุดหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าความแข็งแรงของโครงสร้างของรถพยาบาลก็คือ การจับยึดการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ ภายในห้องโดยสารของรถพยาบาล ซึ่งได้พัฒนาตรงจุดนี้เหมือนกัน ได้ทำการออกแบบอุปกรณ์ในการจับยึดสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในห้องโดยสารของรถพยาบาลฉุกเฉิน โดยโครงการรถพยาบาลโครงการนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดย ดร. ศราวุธ เลิศพลังสันติ ปัจจุบันเป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติการออกแบบและการแก้ปัญหาทางอุตสาหกรรม งานวิจัยอื่นใน business sector นี้ คือ รถบัสไฟฟ้าขนาด 20 ที่นั่ง รถบรรทุกอเนกประสงค์ทางการเกษตร การวิเคราะห์ความแข็งแรงของล้อแม็กซ์ การพัฒนาขบวนการการปั้มขึ้นรูปของชิ้นส่วน ในที่นี้คือ ชิ้นส่วนคานด้านหน้าของรถยนต์
2. power generator มีความสำคัญต่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ตัวอย่างงานวิจัยใน business sector นี้คือ การใช้ CAE ในการวิเคราะห์ความแข็งแรงของโครงสร้างในระบบของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ อีกงานหนึ่งคือ การใช้ CAE ในการวิเคราะห์ระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ อีกอันหนึ่ง ก็คือ ความปลอดภัยในส่วนของ stability หรือว่าเสถียรภาพของโรงไฟฟ้า ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือ ความสามารถของโรงไฟฟ้าในการที่จะซ่อมบำรุงชิ้นส่วนต่างๆ หรืออะไหล่ต่างๆ ของโรงไฟฟ้าเอง สิ่งที่ทำคือ การพัฒนาระบบเชื่อมอัตโนมัติที่จะช่วยในการเชื่อมซ่อมชิ้นส่วนต่างๆ ของโรงไฟฟ้า แล้วก็ช่วยลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานของบุคลากรของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในการที่จะซ่อมชิ้นส่วนต่างๆ ของโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบและซอฟต์แวร์ในการที่จะช่วยในการพ่นเคลือบของโรงไฟฟ้าที่เป็นระบบ gas turbine
3. machinery and automation มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ตัวอย่างงานคือ งานที่ทำร่วมกับบริษัทในเครือ SCG ซึ่งเป็นขบวนการหนึ่งในการผลิตข้อต่อ PVC ปกติแล้วข้อต่อ PVC จะใส่กล่องมา ระบบที่พัฒนาและ sign off ทางบริษัทในเครือ SCG sign off ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คือระบบแบบนี้ ข้างในจะประกอบด้วยกล้องที่เป็น machine mission ซึ่งเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่ run อยู่ ซึ่งซอฟต์แวร์เชื่อมต่อกับ database การผลิตของโรงงาน กล้องจะดูสินค้าภายในกล่อง ข้อต่อภายในกล่องว่าเป็น model อะไร แล้วก็จะใช้ printer ภายใน print ข้างกล่องโดยอัตโนมัติ เครื่องนี้ยังปิดปากกล่องโดยอัตโนมัติ แล้วส่งกล่องนี้ออกมาข้างนอก เนื่องจากว่าบริษัทในเครือ SCG จะมีโรงงานหลายโรงงานทำข้อต่อเหมือนๆ กันสามารถที่จะ copy ระบบที่ทำนี้ไปตั้งในโรงงานอื่นๆ ในเครือ SCG ที่จะต้องใช้ระบบนี้ได้ อีกส่วนที่คุยกับคนที่ติดต่อในบริษัท SCG ก็คือว่าตรงนี้เป็นการสร้างช่องทางทางธุรกิจใหม่ของบริษัท SCG เหมือนกัน นอกจากที่จะแค่ผลิตตัวข้อต่อขายแล้วยังสามารถขาย solution ให้โรงงานอื่นๆ ที่มีความต้องการคล้ายกันได้
Global trend ในปัจจุบันคือ Light weight รถก็คือ รถ Light weight เป็นรถที่มีน้ำหนักเบา ตัวอย่างเช่น รถ BMW i3 มีโครงสร้างที่ขึ้นรูปจากคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิท ซึ่งมีน้ำหนักเบามากๆ นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์หรือว่าโครงสร้างของรถจะสามารถ Light weight ด้วยกระบวนการผลิตใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น การใช้ Laser ในการเชื่อมชิ้นส่วนที่เป็นโลหะเข้าด้วยกัน แต่ถ้าจะสรุปขบวนการผลิตสมัยใหม่ในอนาคตอันแรกคือ Light weight structure ส่วนที่สองก็คือ คาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิท ส่วนที่สามคือ Laser processing and joining ส่วนสุดท้ายคือ non contract non destructive หรือคือ NDT หรือ non destructive testing NDT คือการทดสอบคุณสมบัติโดยไม่ทำลาย sample นั้น เป็นการประหยัดทั้งเงินและเวลา ในการที่ต้องเสียชิ้นส่วนนั้นไป แต่ NDT มีปัญหาที่ไม่สามารถที่จะทำ realtime หรือ online ได้
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/2/
สรุปการบรรยายหัวข้อ ไขรหัส เซนเซอร์อัจฉริยะ ตอบโจทย์ประเทศไทยยุค 4.0 โดย ดร.อัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
งานของศูนย์คือพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะแล้วนำไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร ได้แก่ 1. smart farm นำเซนเซอร์ไปใช้กับการปลูกมะเขือเทศให้ได้ผลผลิตตามต้องการ 2. smart energy นำเซนเซอร์ไปปรับอุณหภูมิภายในบ้าน 3. Industry 4.0 นำเซนเซอร์ไปช่วยให้โรงงานประหยัดไฟ ทางศูนย์เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยทำ R&D ระดับโลก สร้างกำลังคนระดับแนวหน้า วิเคราะห์ทดสอบเพื่ออุตสาหกรรม Smart solution เพื่อคนไทย มีความพร้อมด้านมาตรฐาน
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/2/
สรุปการบรรยายหัวข้อ Innovation Inspired by Microbes โดย ดร.สุภาวดี อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพและชีววัสดุ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
ทางหน่วยเกี่ยวข้องกับ TBRC (Thailand bioresource center) ซึ่งตั้งอยู่ที่ตึก INC2 มีจุลินทรีย์เก็บอยู่ 80,000 กว่าสายพันธุ์ และมีเครือข่ายทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ร่วมกับศูนย์จุลินทรีย์ในอาเซียน เอเชีย และยุโรป และทำงานร่วมกับศูนย์จุลินทรีย์โลก งานวิจัยของหน่วยมีดังนี้ 1. ศึกษาหาสารที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ซึ่งสามารถขัดขวางการติดต่อระหว่างกันของจุลินทรีย์ก่อโรคในกุ้ง ทำให้จุลินทรีย์นั้นไม่สามารถก่อโรคได้ แล้วเอาสารนั้นผสมในอาหารให้กุ้งกินทำให้กุ้งไม่เกิดโรค 2. ศึกษากลไกของจุลินทรีย์กลุ่มหนึ่งที่ชอบทำลายแมลงแล้วมีลักษณะพิเศษ แล้วก็จะได้สารซึ่งไปทำ biocontrol ในอนาคต 3. เอาตัว pathway และยีนที่ได้รับการศึกษาว่าสามารถผลิตสารที่มีประโยชน์ที่เราต้องการใส่ในจุลินทรีย์บางตัวที่ควบคุมได้เพื่อให้ทำงานเป็นโรงงานเรียกว่า cell factory หรือโรงงานจิ๋ว สุดท้ายสิ่งที่หน่วยทำเน้นไปที่จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ มีคลังของจุลินทรีย์ทั้งสายพันธุ์ธรรมชาติและสายพันธุ์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ โลกที่น่าอยู่ก็คือมีอาหารที่มีประโยชน์จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารมีประโยชน์ก็ได้รับความสนใจ ทำอย่างไรให้จุลินทรีย์รักษาสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นผ่านไปอีก 100 ปี จุลินทรีย์ก็ยังเป็นแหล่งนวัตกรรมที่ช่วยสร้างนวัตกรรมต่อไป
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/2/
สรุปการบรรยายหัวข้อ ชุดตรวจช่วยชาติ โดย ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทางชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
งานที่หน่วยวิจัยทำ คือการสร้างชุดตรวจเพื่อไปตรวจ vibrio ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร สิ่งที่ต้องทำคือ ไปดูว่าในเชื้อนี้มีดีเอ็นเอตรงไหนมีเฉพาะใน vibrio แต่ไม่มีในเชื้ออื่น แล้ว design ดีเอ็นเอนั้นออกมาเป็น probe แล้วใช้เทคนิค LAMP ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร ถ้า probe specific กับ vibrio และอาหารของเราปนเปื้อนกับ vibrio มันจะสามารถปั้มดีเอ็นเอมากขึ้น ถ้าในอาหารของเราไม่มี vibrio ปนเปื้อน probe ที่ specific กับ vibrio ก็ไม่สามารถไปจับได้ และไม่ว่าเครื่องถ่ายเอกสารจะดีอย่างไรก็ไม่สามารถจะเพิ่มจำนวนดีเอ็นเอได้ การดูว่ามีและไม่มีดีเอ็นเอดูด้วยตาเปล่ายากมาก เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไงให้เราสามารถอ่านดีเอ็นเอออกมาในรูปของไฟฟ้าหรือดิจิทัลหรือตัวเลข ทางหน่วยวิจัยได้รับความร่วมมือจาก nectec สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือจะเอาขั้วกราฟีนมาเป็นตัวอิเล็กโทรด แล้วก็ report signal นั้นขึ้นมา ให้เราสามารถไม่ต้องไปนั่งเพ่งว่าดีเอ็นเอมันเกิดขึ้นหรือยัง แต่สามารถอ่านออกมาเป็นตัวเลขได้ ชุดตรวจนี้ผู้ใช้สามารถจะเอาไปใช้งานอย่างจริง อีกตัวอย่างงานที่ทำคือการสร้างชุดตรวจที่ตรวจเชื้อก่อโรคในอาหารได้ทีละหลายๆ เชื้อ ตรวจง่าย สะดวกและราคาถูก ทำเป็นไมโครอะเรย์ strip งานนี้ได้รับความร่วมมือจากทั้ง nectec และ mtec งานนี้เพิ่งเดินมาถึงการสร้างเทคโนโลยีฐาน ตอนนี้จะมาประกอบเป็น set และทางหน่วยก็หวังไว้ว่าอีกปีหรือสองปีคงจะได้เห็น strip อะเรย์ในเร็ววัน นอกจากนี้งานที่ทางหน่วยทำพยายามตอบโจทย์หลายๆ อย่าง ยกตัวอย่างเช่น ชุดตรวจที่สามารถตรวจเชื้อก่อโรคในเมล็ดพันธุ์ได้หลายๆ เชื้อพร้อมๆ กัน ชุดตรวจโดยใช้เทคโนโลยี LAMP เพื่อตรวจเชื้อก่อโรคในกุ้ง ในปลานิล ในปลาทับทิม ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศ ชุดตรวจที่ตรวจไม่ว่าจะเป็น alphatoxin ทางหน่วยหวังว่าทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดผู้บริโภคที่มีสุขภาพดีมีความสุข สุดท้ายสิ่งที่ทางหน่วยต้องการทำคือต้องการทำชุดตรวจที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกษตรหรืออาหาร ถ้าเรามีอาหารที่มีคุณภาพ ที่ปลอดเชื้อที่มีสุขลักษณะที่ดี อุตสาหกรรมอาหารของเราจะเจริญรุ่งเรือง นอกจากนั้นแล้วทางหน่วยจะเอาเทคโนโลยีต่างๆ ไปตอบโจทย์ของการแพทย์ เพราะหลายๆ ครั้งชุดตรวจที่ซื้อมาจากต่างประเทศไม่ได้ตอบโจทย์คนไทย ทั้งหมดนี้ทางหน่วยหวังไว้ว่าชุดตรวจจะไปช่วยชาติให้ประเทศไทยมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/2/
สรุปการบรรยายในหัวข้อ พัฒนาพันธุ์สัตว์ทะเล เพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดย ดร.ศิราวุธ กลิ่นบุหงา ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสัตว์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
ทีมทำ genetic diversity และ population marker แรกเริ่มทำกุ้งกุลาดำ ในการเพาะเลี้ยงต้องใช้สายพันธุ์ที่ดีต้องมีการบริหารจัดการที่ดี มีโอกาสได้ศึกษา genetic diversity ของกุ้งกุลาดำใน southeast asia แล้วพบว่ามีขาวมีดำ พวกดำอยู่ที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ พวกขาวอยู่ทางแอฟริกา ประเทศไทยเป็น source ของ diversity จุดบรรจบของขาวและดำมาเจอกัน ได้ทุนครั้งแรกจากสวทช. เป็นเวลา 2 ปี ด้วยงบประมาณ 2 แสนบาท ในการที่จะ survey ทำ genetic diversity ของกุ้งในประเทศ โดย PCR งานอีกชิ้นทำหอยนางลม ขอทุนเพื่อมาทำ taxonomy เพื่อแก้ปัญหาแล้วจะได้แก้ทำพวก marker ต่อไปเพื่อรองรับอุตสาหกรรม รวมทั้งการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อมี 3 species งานชิ้นต่อมาทำปู ปลา กั้ง จุดเริ่มแรกที่ทำร่วมกับเอกชนทำ specices-specific marker เพราะกุ้งกุลาดำซบเซาและเกิดกุ้งขาวขึ้นมาเอาเข้ามาในประเทศและเกิดปลอมปนกุ้ง อีกงานคือโปรเจ็กรับจ้างวิจัย 3 ปี เพื่อปรับปรุงพันธุ์กุ้งขาว ทำ high genetic diversity ของ FPF stock และพัฒนา growth marker ปัจจุบันอยู่ปีที่ 3 จะต่อออกไปอีก 3 ปี ตอนนี้ได้ growth marker ต่างๆ อีกงานคือ ใช้ single nucleotide polymorphism คัดสายพันธุ์กุ้งที่โตเร็ว นอกจากนี้กรมประมงชวนทำปลากัด
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/3/
สรุปการบรรยายหัวข้อ งานวิจัยด้านวัคซีนสัตว์: จากองค์ความรู้สู่การปฏิบัติจริง โดย ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยไวรัสวิทยาและเทคโนโลยีแอนติบอดี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
ทางหน่วยได้พัฒนาวัคซีนต่อ PEDV ซึ่งจัดเป็น corona virus ชนิดหนึ่ง เป็นไวรัสที่ติดต่อรุนแรงมากในสุกร ติดต่อเข้าไปในลูกสุกรแรกคลอด 100% ตาย ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างรุนแรงมากในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของไทย โดยเริ่มทดลอง ศึกษา จนกระทั่งปี 2015 เป็นกลุ่มแรกที่สร้าง infectious clone ของ PEDV เป็นผลสำเร็จ และได้แสดงให้เห็นว่าตัว molecular clone ที่สร้างขึ้นเมื่อใส่ไปในเซลล์เจ้าบ้านไวรัสที่สร้างออกมามีหน้าตาเหมือนไวรัสในธรรมชาติทุกอย่าง ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ทำให้งานวิจัยวัคซีน PEDV เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย ต่อมาได้ลองใส่ยีนเรืองแสงสีแดงเข้าไป หมายความว่าเมื่อไวรัสตัวนี้เข้าไปในเซลล์เจ้าบ้านจะสร้างโปรตีนเรืองแสงสีแดงขึ้นมาได้ ได้นำองค์ความรู้นี้มาประยุกต์โดยแทรกยีนที่เป็นแอนติเจนของ PEDV ที่อยู่ในฟาร์มทั่วประเทศเข้าไปแทนตัวสารสีแดง ก็พบว่าพอให้หมูกินจะสร้างแอนติเจนที่จำเพาะเจาะจงกับ PEDV ที่ระบาดอยู่ในฟาร์มได้ นอกจากนี้ทางหน่วยยังพัฒนาวัคซีนต่อ PRSV เป็นไวรัสอีกตัวที่ก่อโรคในสุกร วัคซีนต่อ influenza virus และวัคซีนต่อ newcastle disease virus ซึ่งก่อโรคในไก่ ทางหน่วยได้ร่วมกับหลายๆ ภาคส่วน ไม่ว่าเป็นภาคอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร กรมปศุสัตว์ มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อผลักดันให้วัคซีนต้นแบบที่ทำใน Lab เล็กๆ ของตึกออกไปสู่การใช้จริงและการขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยา ทางหน่วยมีความหวังเล็กๆ ว่า สิ่งที่ทำขึ้นมาวันนี้จะออกไปใช้จริงและน่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกรไทย
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/3/
สรุปการบรรยายหัวข้อ นาโนเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดย ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยเกษตรนาโนและสิ่งแวดล้อม ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
หน่วยวิจัยได้นำเทคโนโลยีระบบนำส่งซึ่งเป็นนาโนเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้กับไก่ เพื่อนำส่งสารสมุนไพรหรือสารสกัดจากธรรมชาติให้ออกฤทธิ์ได้ดีในไก่ทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยทำให้สารสกัดโหระพาซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อบิดในลำไส้ไก่และสารสกัดออริกาโน่ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ ต้านอนูมูลอิสระ และกระตุ้นให้สัตว์อยากทานอาหารเยอะๆ ซึ่งปกติสารทั้งสองละลายได้ในไขมันพัฒนาให้ละลายได้ในน้ำ ทำให้ไก่สามารถกินได้ แล้วออกแบบระบบนำส่งเพื่อให้เหมาะสมกับสรีระของไก่ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลำไส้สั้น หลังจากได้ผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจในห้องปฏิบัติการแล้ว มีการต่อยอดศึกษาต่อในไก่โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วติดตามพฤติกรรมการกินของไก่ น้ำหนักตัว สุขภาพของไก่ รวมทั้งผลผลิตของไก่คือไข่ด้วย จากผลการศึกษาพบว่าไก่ทานอาหารได้มากขึ้น ส่งผลให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรง ไข่มีคุณภาพดีขึ้น และไก่ออกไข่ได้เยอะขึ้น และมีผลการศึกษาที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งจากการติดตามผลผลิตของไก่ พบว่าสามารถที่จะเพิ่มธาตุอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของคนลงไปในไข่ได้ด้วยจากการใช้เทคโนโลยีระบบนำส่งที่พัฒนาขึ้น ซ่ึ่งจากการศึกษานี้ได้มีการต่อยอดงานวิจัยด้วยความร่วมมือกับเอกชนพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ที่มีชื่อว่า ไข่ออกแบบได้ ซึ่งสามารถออกแบบไข่ให้มีสมบัติตามต้องการได้ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ปลอดเชื้อโรค ไข่ไก่ออร์แกนิค ไข่ไก่พร่องคอเลสเตอรอล ไข่ไก่สมุนไพร ไข่ไก่อุดมสารอาหาร ผลงานนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศทางด้านเศรษฐกิจประจำปี 2559 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สิ่งที่ในอนาคตทางหน่วยจะทำอะไรต่อไปคือจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบนำส่งเพื่อทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะกับสัตว์อื่น นอกจากไก่ ยกตัวอย่างเช่นหมู นอกจากอาหารสัตว์แล้วยังพบว่าเทคโนโลยีระบบนำส่งสามารถพัฒนาอาหารพืชได้ ก็คือปุ๋ย สามารถพัฒนาปุ๋ยที่ตั้งเวลาควบคุมการปลดปล่อยให้ปลดปล่อยธาตุอาหารตามที่พืชต้องการได้ อาหารคนก็สามารถนำเทคโนโยีนี้ไปใช้ได้เหมือนกัน สามารถใช้เทคโนโลยีระบบนำส่งเพิ่มสารอาหารที่จำเป็นต่อคนทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเป็นคนสูงอายุ เด็กอ่อนและวัยทำงานให้ได้รับสารอาหารที่เต็มที่ เป้าหมายการทำงานของหน่วยคือตั้งใจที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำก็คือในเรื่องของเกษตรสมัยใหม่ไปจนถึงปลายน้ำคืออาหารเพื่ออนาคตควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้ประเทศไทย
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/3/
สรุปการบรรยายหัวข้อ ส่งมอบอาหารสดใหม่และดีต่อสุขภาพ ด้วยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง โดย ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยโพลิเมอร์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ในงาน R&D Sharing 2017 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ดังนี้
หน่วยวิจัยมุ่งทำงานเพื่อแก้ปัญหาด้านเกษตรและอาหารโดยมีงานวิจัยดังนี้ตัวอย่างเช่น พัฒนา film คลุมโรงเรือน film เพื่อทำเป็น packaging ไม่ว่าจะเป็น film หลายชั้น หลายทิศทาง packaging เพื่อยืดอายุผักผลไม้สด ผลงานที่ผ่านมาของหน่วยได้แก่ สร้างต้นแบบโรงเรือนเกษตรแบบครบวงจร สร้างโรงเรือนเพื่อปลูกผักอินทรีย์ เทคโนโลยีการเพาะปลูกแนวใหม่ ฟิล์ม activepak เพื่อบรรจุผักและสามารถวางบน shelf แล้วทำให้ผู้บริโภคเห็นแล้วอยากซื้อ ผลิตภัณฑ์อาหารไขมันต่ำที่เมื่อรับประทานแล้วยังรู้สึกว่ามีไขมันอยู่ งานในอนาคตของหน่วยคือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผักและผลไม้ อีกส่วนคือการเพิ่มคุณภาพชีวิตของสังคมผู้สูงวัยด้วยอาหาร โดยมองเรื่อง packaging ที่เปิดง่าย ที่ฉีกง่าย และอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุ สิ่งที่ตั้งหวังไว้คือ อยากให้ชาวสวนมีความสุขและผู้บริโภคมีความสุขด้วย
ติดตามการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ http://ffwtube.nstda.or.th/category/seminar/rd-sharing/rd-sharing-2017/page/3/