น้ำลายยุงอย่างเดียวทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่น่าประหลาดใจ

คณะนักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ได้ศึกษาผลของน้ำลายยุงอย่างเดียวและพบว่าสามารถทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่หลากหลายที่น่าประหลาดใจในสัตว์ทดลองที่มีระบบภูมิคุ้มกันของคน ผลการศึกษานี้ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่มียุงเป็นพาหะ การศึกษาครั้งนี้เผยแพร่ในวารสาร PLOS Neglected Tropical Diseases

ศาสตราจารย์ ดร. Rebecca Rico-Hesse หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า ความสนใจหนึ่งของห้องปฏิบัติการคือการศึกษาการพัฒนาของโรคไข้เลือดออก ซึ่งเกิดจากไวรัสไข้เลือดออก ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะ

Rico-Hesse กล่าวว่า ข้อจำกัดหลักหนึ่งสำหรับการศึกษาโรคไข้เลือดออกคือไวรัสไข้เลือดออกเพียงก่อโรคในคนเท่านั้น ไม่มีสัตว์อื่นสามารถใช้เป็นแบบจำลองในการพัฒนาการป้องกันและการรักษา เพื่อแก้ปัญหานี้ คณะนักวิจัยใช้หนูทดลองที่มีระบบภูมิคุ้มกันของคนในการศึกษา

หนูทดลองที่มีระบบภูมิกันของคนได้รับการพัฒนาโดยคณะนักวิจัยกลุ่มอื่นจากหนูที่เกิดมาไม่มีระบบภูมิคุ้มกันเป็นของตัวเองโดยธรรมชาติ ซึ่งต่อมาได้รับสเต็มเซลล์ของคนซึ่งผลิตส่วนประกอบหลายอย่างของระบบภูมิคุ้มกันของคน

Rico-Hesse กล่าวว่า ในปี 2012 คณะนักวิจัยแสดงในหนูทดลองที่มีระบบภูมิคุ้มกันของคนว่าการส่งแบบยุงกัดและแบบเข็มฉีดของไวรัสไข้เลือดออกทำให้เกิดการพัฒนาของโรคที่แตกต่างกัน โดยการส่งแบบยุงกัดของไวรัสทำให้เกิดโรคเหมือนที่เกิดในคนมากกว่าการส่งแบบเข็มฉีดของไวรัส เมื่อยุงส่งไวรัส หนูทดลองที่มีระบบภูมิคุ้มกันของคนมีไข้มากกว่าและมีลักษณะอื่นๆ ซึ่งเลียนแบบโรคที่เกิดในคน

ผลการทดลองเหล่านี้สนับสนุนความคิดที่ว่ายุงไม่ใช่เพียงทำตัวเหมือนกระบอกฉีดยา (syringes) เพียงฉีดไวรัสเข้าไปในสัตว์ น้ำลายยุงดูเหมือนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับการพัฒนาของโรค ซึ่งทำให้คณะนักวิจัยสนใจศึกษาความสำคัญของน้ำลายยุงนี้ โดยเริ่มจากศึกษาผลของการกัดจากยุงที่ไม่มีไวรัสต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของคนของหนูทดลองที่มีระบบภูมิคุ้มกันของคน

เพื่อทดสอบผลของน้ำลายยุงที่ไม่มีไวรัสต่อหนูทดลองที่มีระบบภูมิคุ้มกันของคน คณะนักวิจัยให้ยุง 4 ตัวกัดฝ่าเท้าทั้งสองของหนู แล้วต่อมาเก็บเลือดและเนื้อเยื่อตัวอย่างอื่นๆ หลายตัวอย่าง 6 ชั่วโมง  24 ชั่วโมง และ 7 วันหลังจากยุงกัดหนู และต่อมาหาระดับของ cytokines (โมเลกุลซึ่งปรับเปลี่ยนการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน) รวมถึงจำนวนและกิจกรรมของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดต่างๆ คณะนักวิจัยเปรียบเทียบผลการศึกษาเหล่านี้กับผลการศึกษาที่ได้จากหนูทดลองที่มีระบบภูมิคุ้มกันของคนซึ่งไม่ถูกกัดโดยยุง

การศึกษานี้ได้ใช้เทคนิคที่มีความไวสูงเพื่อให้ได้รายละเอียดมากเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน เช่น flow cytometry เพื่อวิเคราะห์เซลล์ภูมิคุ้มกันและ multiplex cytokine bead array analysis เพื่อศึกษา cytokines

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. Silke Paust หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า พบว่าน้ำลายยุงทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ซับซ้อนและหลากหลายซึ่งไม่ได้คาดหวัง ตัวอย่างเช่นทั้งการตอบสนองของเซลล์ภูมิคุ้มกันและระดับ cytokine ได้รับผลกระทบ พบการกระตุ้นของเซลล์ T helper 1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันต่อไวรัส และการกระตุ้นของเซลล์ T helper 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อภูมิแพ้

ที่หลายจุดเวลา ระดับและกิจกรรมของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดอื่นยังเพิ่มขึ้นด้วยในขณะที่เซลล์อื่นลดลง โดยสรุปคณะนักวิจัยพบว่าน้ำลายยุงเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่คงอยู่นาน ถึง 7 วันหลังจากถูกกัด ในหลายชนิดของเนื้อเยื่อ ได้แก่ เลือด ผิวหนัง และไขกระดูก

ที่มา: Baylor College of Medicine (2018, May 17). More than a living syringe: Mosquito saliva alone triggers unexpected immune response. ScienceDaily. Retrieved July 6, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/05/180517143621.htm

Food for Future

นโยบายของภาครัฐ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 หรือแผนแม่บทต่างๆ ล้วนให้ความสำคัญและวางทิศทางเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพราะนวัตกรรมสามารถแก้ไขปัญหา สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่าง ตลอดจนเพิ่มมูลค่าและปริมาณผลิตภัณฑ์ได้อีกหลายเท่าตัว

ในแง่ของผู้ประกอบการ นวัตกรรมจะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวการบริหารจัดการวัตถุดิบปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นสร้างผลิตภัณฑ์และประโยชน์อีกมากมาย เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จะพาทุกคนไปสู่โลกของ “อาหารเพื่ออนาคต” ทั้งเทรนด์อาหารที่กำลังมา กระบวนการทำงานของนักวิจัย ความสำเร็จของนักธุรกิจจากการใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และยังได้รู้จักสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือ สวทช.ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรม ตลอดจนหน่วยงานสนับสนุนอื่นๆอย่างครบถ้วน
ถึงเวลาพาอุตสาหกรรมอาหารของเราก้าวสู่อนาคตกันแล้ว

nstda service booklet

ทำให้ CRISPR มีประสิทธิภาพในการค้นหาและแทนที่

คณะนักวิจัยจาก Stanford University และ National Institute of Standards and Technology (NIST) ได้พัฒนา CRISPR ชนิดใหม่ชื่อว่า MAGESTIC (multiplexed accurate genome editing with short, trackable, integrated cellular barcodes) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการค้นหาและแทนที่ นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มขึ้น 7 เท่าการอยู่รอดของเซลล์ระหว่างขบวนการตัดต่อ การศึกษาครั้งนี้เผยแพร่ในวารสาร Nature Biotechnology

คณะนักวิจัยต้องการวิธีที่เชื่อถือได้เพื่อทำให้ CRISPR ตัดที่ตำแหน่งที่ต้องการตลอดทั้งจีโนมและต่อจากนั้นทำให้เซลล์นำเสนอการตัดต่อที่ถูกออกแบบไปยังตำแหน่งที่ตัดของดีเอ็นเอ สามารถทำได้โดยให้ดีเอ็นเอผู้ให้ (donor DNA) กับเซลล์ ซึ่งเครื่องมือการซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์สามารถใช้เป็นแม่แบบเพื่อแทนที่ลำดับต้นฉบับที่ตำแหน่งตัด อย่างไรก็ตามระบบการซ่อมแซมดีเอ็นเอภายในเซลล์ซับซ้อนและไม่ทำหน้าที่เหมือนเครื่องประมวลคำเสมอไป

ขบวนการซึ่งเซลล์ค้นหาดีเอ็นเอผู้ให้ที่เหมาะสมเพื่อซ่อมแซมตำแหน่งที่ตัดเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเซลล์ เนื่องจากเครื่องมือซ่อมแซมดีเอ็นเอต้องค้นหาจากล้านถึงพันล้านคู่เบสของลำดับดีเอ็นเอเพื่อพบดีเอ็นเอผู้ให้ที่ถูกต้อง MAGESTIC ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่สำคัญในเทคโนโลยีการตัดต่อยีน โดยช่วยเซลล์ในการค้นหานี้โดย recruit ดีเอ็นเอผู้ให้ที่ถูกออกแบบโดยตรงไปยังตำแหน่งตัด การ recruit นี้ทำให้เพิ่มขึ้น 7 เท่าของการอยู่รอดของเซลล์

อีกหนึ่งลักษณะที่สำคัญซึ่งแยก MAGESTIC จากวิธีการก่อนหน้านี้ (multiplexed CRISPR editing) คือหนึ่งชนิดใหม่ของ barcode ของเซลล์ ทั่วไปคณะนักวิจัยใช้พลาสมิดเพื่อแสดงออกอาร์เอ็นเอนำทางและเก็บ barcode เพื่อติดตามการกลายพันธุ์ที่ถูกออกแบบในแต่ละเซลล์ พลาสมิดเพิ่มจำนวนในขณะที่เซลล์เจริญและถูกส่งต่อโดยทั้งสองเซลล์หลังจากการแบ่งตัวของเซลล์ ในทางทฤษฎีพลาสมิดควรจะเป็นเหมือน barcode ขาวดำที่ใช้เพื่อติดตามสิ่งของที่จุดจ่ายเงิน แต่ไม่เหมือน barcode เดียวต่อหนึ่งสิ่งของ พลาสมิด barcode สามารถมีจำนวนที่หลากหลายมาก ด้วยที่ไหนก็ตามจาก 10-40 ในแต่ละเซลล์ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการวัดที่ไม่แม่นยำของความมากมายของเซลล์ สำหรับ MAGESTIC barcode รวมเข้าไปในโครโมโซม ทำให้ barcode มั่นคงและง่ายที่จะค้นหาและนับ

MAGESTIC ช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมตามธรรมชาติโดยทำให้แต่ละ genetic variant ถูกตัดต่ออย่างถูกต้องและถูกเปรียบเทียบกับ genetic variants อื่นๆ แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ช่วยทำให้รู้ว่าความแตกต่างทางพันธุกรรมแบบไหนมีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของเซลล์ นอกจากนี้ MAGESTIC ยังทำให้เกิดการตัดต่อทั้งหมดเพียงครั้งเดียวในหลอดทดลองเดียว

ที่มา: National Institute of Standards and Technology (2018, May 8). Taking CRISPR from clipping scissors to word processor. ScienceDaily. Retrieved June 13, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/05/180508102209.htm

แบคทีเรียที่มีประโยชน์อาศัยการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเพื่อทำให้อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารได้

ปกติระบบภูมิกันจะขับไล่เชื้อจุลินทรีย์ แต่ทำไมคนจึงมีแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารได้

คณะนักวิจัยจาก California Institute of Technology อธิบายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ชนิดหนึ่งควบคุมการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างไรเพื่อว่าสามารถอาศัยอยู่ในทางเดินอาหารได้อย่างสบาย การศึกษาครั้งนี้เผยแพร่ออนไลน์ในวารสาร Science

คณะนักวิจัยเลือกที่จะศึกษาแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Bacterioides fragilis ซึ่งพบมากในลำไส้ใหญ่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดรวมถึงคน ก่อนหน้านี้คณะนักวิจัยพบว่าสามารถป้องกันหนูจากการเป็นโรค

อย่างแรกคณะนักวิจัยได้ทดสอบความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันของ B. fragilis กับทางเดินอาหารโดยมองไปที่ตำแหน่งที่แบคทีเรียอาศัยอยู่ โดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนดูภาพสิ่งตัวอย่างลำไส้ของหนู คณะนักวิจัยสามารถเห็นว่า B. fragilis จับกลุ่มกันภายในชั้นหนาของเมือกบุทางเดินอาหาร ชิดกับเซลล์บุผิวซึ่งบุผิวของลำไส้

ถัดไปคณะนักวิจัยแสดงกลไกซึ่งทำให้ B. fragilis อาศัยอยู่ได้ในทางเดินอาหาร คณะนักวิจัยค้นพบว่าแต่ละ B. fragilis ถูกห่อหุ้มด้วยแคปซูลที่หนาซึ่งประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต แบคทีเรียกลายพันธุ์ซึ่งไม่มีแคปซูลไม่สามารถจับกันเป็นกลุ่มและไม่อาศัยอยู่ในชั้นเมือก ดังนั้นคณะนักวิจัยตั้งทฤษฎีว่าแคปซูลคาร์โบไฮเดรตจำเป็นสำหรับ B. fragilis ในการอาศัยอยู่ในทางเดินอาหาร

คณะนักวิจัยพบว่าแอนติบอดีกำลังจับกับแคปซูลของ B. fragilis ในลำไส้ หนึ่งชนิดของแอนติบอดีได้แก่ Immunoglobulin A (IgA เป็นแอนติบอดีที่ผลิตมากที่สุดในคน) ถูกพบตลอดทางเดินอาหาร

โดยปกติการตอบสนองของแอนติบอดีเกี่ยวกับการตายของแบคทีเรียที่ก่อโรค แต่แปลก IgA ไม่มีผลทางลบกับแบคทีเรียซึ่งอาศัยอยู่ในทางเดินอาหาร ในกรณีของ B. fragilis คณะนักวิจัยพบ IgA ช่วยแบคทีเรียติดกับเซลล์บุผิว นอกจากนี้ในหนูซึ่งไม่มี IgA แบคทีเรียประสบผลสำเร็จน้อยกว่าในการรวมตัวกันที่ผิวของลำไส้และการรักษาความมั่นคงระยะยาว คณะนักวิจัยเชื่อว่าการตอบสนองของ IgA ต่อแคปซูลของ B. fragilis ช่วยทำให้แบคทีเรียอยู่ได้กับผิวเซลล์บุผิว

ที่มา:  California Institute of Technology (2018, May 4). A gut bacterium’s guide to building a microbiome. ScienceDaily. Retrieved June 13, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/05/180504133624.htm

สรุปการสัมมนาเรื่อง Knowledge Management in Digital Change

สรุปการสัมมนาเรื่อง “Knowledge Management in Digital Change”


วันที่ 21 มิถุนายน 2561 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

สรุปการบรรยายเรื่อง KM 4.0

โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช

1. KM คืออะไร
KM เป็นเครื่องมือไม่ใช่เป้าหมาย KM ตัวเดียวไม่พอต้องการเครื่องมือทางด้าน management อย่างอื่นด้วย  ความหมายที่สำคัญที่สุดขณะนี้ของ KM คือการจัดการให้ความรู้ออกฤทธิ์ ความรู้ออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับว่าจะออกฤทธิ์อะไร หลายองค์กรไปมองที่จุดย่อยๆ ก็ได้ผลในจุดย่อยๆ ใน KM 4.0 แนะว่าถ้าให้เกิดประโยชน์ยิ่งใหญ่ต้องมองภาพใหญ่ ในระดับองค์กร ถ้าจะให้ KM ออกฤทธิ์อย่างแท้จริงต้องใช้ในระดับองค์กร เป้าหมายใหญ่ที่สุดของ KM 4.0 คือ KM เข้าไปอยู่ในระบบบริหารจัดการองค์กร มองอีกมุมหนึ่งความหมายที่สำคัญของ KM คือเครื่องมือของการเรียนรู้จากการปฏิบัติ

2. KM 1.0 เอาความรู้ใส่คอมพิวเตอร์

  • KM 2.0 ทำเป็นระบบมากขึ้น เป็น human KM ที่ทำให้คนมี skill ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมี culture ในการแชร์ความรู้ มีจุดอ่อนคือไม่เป็นระบบ เน้นที่ individual
  • KM 3.0 คือหนังสือขอบฟ้าใหม่ในการจัดการความรู้ หลักการสำคัญของ KM 3.0 ต้องอยู่ในวิถีชีวิต วิถีการทำงาน ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ใช้ IT มีการจัดการเป้าหมายและระบบสารสนเทศ และมีการจัดการความรู้จากภายนอก
  • KM 4.0 ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
    1. จับเป้า จับภาพใหญ่ให้ได้ เป้าต้องอยู่ในภารกิจหลักขององค์กร จับเป้าความรู้ต้องเป็น critical knowledge (ความรู้ที่ส่งผลต่อกิจการที่สำคัญ)
    2. ทำเป็นระบบ ต้องมี KM Framework
    3. ทำอย่างเป็นขั้นตอน ต้องมียุทธศาสตร์ วางแผน ทดสอบและโครงการนำร่อง ขยายผล บูรณาการกับงานประจำ
    4. มีการวัดและสื่อสาร

3. องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้มี 7 ข้อ ได้แก่ 1. เชื่อมโยงคนเข้าหากัน  2. เรียนจากประสบการณ์  3. เพิ่มโอกาสเข้าถึงเอกสาร (ความรู้)  4. เก็บความรู้ไม่ให้สูญหาย  5. สร้างและใช้วิธีการที่เป็นเลิศ  6. นวัตกรรม  7. การกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของประสิทธิภาพ/ผลิตภาพ เป็นระยะๆ ใน KM 4.0 เน้นบทบาทผู้บริหารมีบทบาทมากในการจัดการความรู้ขององค์กร บทบาทสมาชิกทีม KM ที่สำคัญต้องมีความรับผิดชอบเรื่อง communication ในการออกแบบการประยุกต์ใช้ KM ควรจะทำ resource mapping หลักการสำคัญก็คือ ไม่เริ่มจากศูนย์ บางทีอาจจะมีคนเก่งๆ อยู่แล้วได้ชวนมาเป็นส่วนหนึ่งของทีม KM ด้วย

4. สรุป: KM ต้องไป beyond knowledge แต่ไม่ใช่ knowledge ไม่สำคัญ ทำแล้วได้ผลลัพธ์ พิสูจน์ได้ ในการทำมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีการจัดการอย่างเป็นระบบ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการองค์กร ต้องมีการปรับตัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร มองมุมหนึ่ง KM เป็นเครื่องมือในการทำให้ปฏิสัมพันธ์แนวราบในองค์กรออกฤทธิ์ ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น หรือ KM เป็นเครื่องมือที่ทำให้ทุกคนในองค์กรเป็น knowledge worker

5. อ. ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ถาม: สวทช. ทำอยู่สนใจมี 3 เรื่อง ซึ่ง KM อาจจะเข้ามาช่วยได้ คือ 1.research management  2. peer management  3. customer relationship management สามอย่างนี้อยากจะขอคำแนะนำว่าเราจะดำเนินการอย่างไร คือถ้าเกิดจะมีทีม KM ขึ้นมา แล้วเป็นทีม KM กลางก็จะมีข้อดี แต่มีข้อเสียในแง่ที่ว่า KM กลางก็อาจไม่รู้ลงลึกถึงเรื่อง research ถึงเรื่อง peer ถึงเรื่อง customer ทีนี้จะทำอย่างไรดี หรือว่าเป็น KM ที่ฝั่งรากลึกไม่มีเจ้าหน้าที่เฉพาะ คนที่ทำงานต่างๆ เป็นคนทำ KM
อ. วิจารณ์ ตอบ: ต้องเริ่มที่งานแล้วต้องจับให้ได้ว่างานหลักคืออะไร ที่อ. ยงยุทธพูดเป็นงานหลักของสวทช. ในมุมจากภายนอก มองจากภายนอกเข้ามาซึ่งในสังคมไทยจะขาดเสมอ ไม่ได้ทำเป็นระบบ หลายครั้งพอฝ่ายบริหารทำฝ่ายปฏิบัติการโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานอย่างสวทช. ก็คือระบบบริหารจะสนใจเรื่องข้างนอก แต่ข้างในไม่สนใจ บางทีทำตรงกันข้าม ถ้าจับเรื่องแบบนี้ได้เป็นประโยชน์มหาศาล

สรุปการเสวนาเรื่อง Soft Skills for Knowledge Management in the Digital Age

ทักษะสำหรับ KM มีด้วยกัน 8 ทักษะ ได้แก่
1. story telling เช่นใช้การเล่าด้วยภาพ (visual storytelling) การใช้ภาพคนจะจำได้นานกว่าเป็น text และช่วยประมวลความคิด ต้องหัดเล่าเรื่อง เรื่องที่เล่าเปลี่ยนรูปไปตามเทคโนโลยี annual report ของบริษัทใหญ่ๆ เป็น story telling
2. การอ่าน อ่านให้เยอะจะได้หลายแนวคิด เป็นฐานของ KM อ่านหนังสือได้สัมผัสกับกระดาษได้อะไรมากกว่า tablet โดยเฉพาะหนังสือที่เป็นจินตนาการ ฝึก creativity
3. การคิดให้เป็น คิดแล้วต้องแชร์ มี 2 ทักษะที่เขียนใกล้กันมาก แล้วก็แปลใกล้กันมาก แต่ไม่เหมือนกันและจำเป็นทั้งคู่ อันแรก systematic thinking (คิดเป็นระบบ) อีกอันคือ systems thinking (คิดเชิงระบบ)
4. ได้ยินไหมหัวใจฉัน ฟังหัวใจของคนที่จะใช้งาน เข้าใจความต้องการของผู้ใช้  มีงานวิจัยจาก MIT ออกมาว่าคนเราจะฟังอยู่ 4 ระดับ ระดับแรกคือ พอเพื่อนพูด อยู่ที่หูแล้ว เป็นเรื่องที่รู้แล้ว ระดับที่ 2 อยู่ในหัวแล้ว เรื่องนี้เราไม่เคยได้ยินมาก่อน อยู่ในหัว สิ่งที่คิดก็คือขัดแย้งกับที่เราเคยเชื่ออยู่ แล้วก็พยายามหาเหตุผลไปเถียง นี้คือระดับที่ 2 คือฟังแบบลบล้าง ระดับที่ 3 ไปอยู่ที่ตา ฟังแล้วไม่เถียงแล้วแต่ดูอากัปกิริยา พอมาถึงระดับที่ 4 ฟังเหมือนเราเป็นเขาแล้ว ก็คือไปอยู่ในใจเขา ช่วยในเรื่องเวลาเราออกแบบผลิตภัณฑ์ เราต้องเหมือนคนนั้น อย่างทำเรื่องคนพิการ ถ้าเราไม่รู้สึกว่าคนพิการมีปัญหาอย่างไง เราจะออกแบบเหมือนที่เราอยากออกแบบ แต่ออกแบบเพื่อตอบคนคนนั้น เราต้องเหมือนคนคนนั้นเลย
5. media literacy สำคัญมาก ก่อนจะแชร์อะไรลงไป อย่าลืมว่าแชร์ไปใน facebook แล้วมีกาลเวลาจะอยู่ตลอดกาล skill ที่ควบคู่คือ critical thinking ทำอะไรต้องคิดวิเคราะห์ ทำอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสมอย่าแชร์โดยอารมณ์
6. digital empathy หุ่นยนต์ไม่สามารถคิดอะไรที่เหมือนคน
7. interaction skill สร้างบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดการสนทนา เข้าอกเข้าใจ เปิดใจ สนุกสนาน ผ่อนคลาย มีส่วนร่วม
8. การชม

“นอกจากทั้ง 8 ทักษะ ความใฝ่รู้ เป็นทักษะพื้นฐานของ KM ที่สำคัญมาก”

ความลื่นของน้ำแข็งได้รับการอธิบาย

คณะนักวิจัยนำโดย Max Planck Institute for Polymer Research แสดงว่าการเสียดทานบนน้ำแข็งมีความยุ่งยากกว่าที่ยอมรับจนถึงปัจจุบัน โดยการทดลองการเสียดทานที่มองเห็นด้วยตาเปล่าที่อุณหภูมิจาก 0 ถึง -100 องศาเซลเซียส คณะนักวิจัยแสดงว่าอย่างน่าแปลกใจผิวน้ำแข็งเปลี่ยนจากผิวที่ลื่นอย่างมากที่อุณหภูมิของกีฬาฤดูหนาวเป็นผิวที่มีการเสียดทานสูงที่ -100 องศาเซลเซียส

เพื่อสืบหาจุดกำเนิดของความลื่นที่ขึ้นกับอุณหภูมินี้ คณะนักวิจัยทำการวัดวิเคราะห์สเปกตรัมของสถานะของโมเลกุลน้ำที่อยู่ที่ผิว และเปรียบเทียบกับการจำลองการเคลื่อนที่ระดับโมเลกุล การรวมกันนี้ของการทดลองและทฤษฎีแสดงว่าสองชนิดของโมเลกุลน้ำพบอยู่ที่ผิวน้ำแข็ง (โมเลกุลน้ำที่ติดอยู่กับน้ำแข็งด้านล่าง (จับโดย 3 พันธะไฮโดรเจน) และโมเลกุลน้ำที่เคลื่อนที่ซึ่งจับโดยเพียง 2 พันธะไฮโดรเจน) โมเลกุลน้ำที่เคลื่อนที่เหล่านี้กลิ้งไปบนน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง เหมือนรูปทรงกลมขนาดเล็ก ทำให้เกิดขึ้นโดยการสั่นโดยอาศัยความร้อน

เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น  2 ชนิดของโมเลกุลที่ผิวนั้นถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปมา (จำนวนของโมเลกุลน้ำที่เคลื่อนที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่เกิดการสูญไปของโมเลกุลน้ำที่ยึดติดกับผิวน้ำแข็ง) อย่างสำคัญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยอุณหภูมินี้ในความสามารถในการเคลื่อนที่ของโมเลกุลน้ำที่อยู่สูงสุดที่ผิวน้ำแข็งเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับแรงเสียดทานที่วัดได้ที่ขึ้นกับอุณหภูมิ (ยิ่งมีความสามารถในการเคลื่อนที่ที่ผิวมากขึ้น ยิ่งลดการเสียดทาน) ดังนั้นคณะนักวิจัยสรุปว่าไม่ใช่ชั้นบางของน้ำบนน้ำแข็ง ความสามารถในการเคลื่อนที่สูงของโมเลกุลน้ำที่ผิวทำให้เกิดความลื่นของน้ำแข็ง

ที่มา: Max Planck Institute for Polymer Research (2018, May 9). The slipperiness of ice explained. ScienceDaily. Retrieved June 13, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/05/180509121544.htm

ปรับปรุงเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์แบบโบราณเพื่อทำให้น้ำบริสุทธิ์ด้วยประสิทธิภาพใกล้เคียง 100%

คณะนักวิจัยนำโดย University at Buffalo พัฒนาเทคนิคใหม่ทำให้น้ำบริสุทธิ์ด้วยประสิทธิภาพเกือบ 100%

รศ.ดร. Qiaoqiang Gan ผู้นำคณะนักวิจัยอธิบายว่า โดยปกติเมื่อพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เพื่อทำให้น้ำระเหย บางพลังงานจะสูญเสียเป็นความร้อนซึ่งจะสูญเสียไปกับสภาพแวดล้อม ซึ่งทำให้ขบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพน้อยกว่า 100% ระบบของพวกเรามีการดึงความร้อนจากสิ่งแวดล้อมทำให้พวกเราประสบผลสำเร็จด้วยประสิทธิภาพเกือบ 100%

เทคโนโลยีราคาถูกนี้สามารถจัดให้มีน้ำดื่มในภูมิภาคที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากรหรือในที่มีภัยพิบัติ การพัฒนาครั้งนี้ถูกเผยแพร่ในวารสาร Advanced Science

คณะนักวิจัยได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ชื่อ Sunny Clean Water เพื่อนำสิ่งประดิษฐ์นี้ไปสู่ประชาชนที่ต้องการใช้ ด้วยการสนับสนุนจาก NSF (National Science Foundation) Small Business Innovation Research program บริษัทกำลังรวมระบบการทำให้ระเหยใหม่นี้เข้ากับเครื่องทำให้น้ำบริสุทธิ์พลังงานแสงอาทิตย์

เครื่องทำให้น้ำบริสุทธิ์พลังงานแสงอาทิตย์มีให้ใช้มาเป็นเวลานาน โดยใช้ความร้อนของแสงอาทิตย์เพื่อทำให้น้ำระเหยเหลือเกลือ แบคทีเรียและสิ่งสกปรกทิ้งไว้ ต่อมาน้ำที่ระเหยเย็นลงและกลับไปสู่สภาพของเหลวและถูกรวบรวมในภาชนะที่สะอาด ซึ่งเทคนิคนี้มีข้อดีหลายอย่างคือ ง่าย แสงอาทิตย์มีให้ในทุกหนแห่ง แต่มีข้อเสียคือแม้แต่ในรูปแบบเครื่องทำให้น้ำบริสุทธิ์พลังงานแสงอาทิตย์ล่าสุด ไม่มีประสิทธิภาพในการทำให้น้ำระเหย

คณะนักวิจัยจึงได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการทำให้ระเหยโดยทำให้ระบบเย็นลง

ส่วนสำคัญของเทคโนโลยีนี้คือแผ่นของกระดาษที่จุ่มในคาร์บอนซึ่งคดอยู่ในรูปตัววีคว่ำ ซึ่งเหมือนกับหลังคาของบ้านนก ด้านล่างสุดของกระดาษแขวนในน้ำ จุ่มในของเหลวเหมือนผ้าเช็ดหน้า ในเวลาเดียวกัน คาร์บอนที่เคลือบอยู่ดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์และเปลี่ยนแปลงพลังงานเป็นความร้อนเพื่อการระเหย

Gan อธิบายว่า รูปร่างที่โค้งชันของกระดาษทำให้กระดาษเย็นโดยทำให้ความเข้มของแสงอาทิตย์ที่ส่องไปยังกระดาษลดลง (พื้นผิวที่แบนราบจะสัมผัสโดยตรงกับแสงอาทิตย์) เพราะว่าส่วนใหญ่ของกระดาษที่เคลือบด้วยคาร์บอนอยู่ในอุณหภูมิห้อง จึงสามารถดึงความร้อนจากสภาพแวดล้อม ทดแทนการสูญเสียตามปกติของพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างขบวนการระเหย

โดยใช้การจัดเตรียมนี้ คณะนักวิจัยทำให้น้ำ 2.2 ลิตร ระเหยต่อชั่วโมงสำหรับทุกๆ ตารางเมตรของพื้นที่ที่ถูกส่องโดยแสงอาทิตย์ปกติ สูงกว่า 1.68 ลิตรซึ่งเป็นค่าสูงสุดทางทฤษฎี

ที่มา: University at Buffalo (2018, May 3). Engineers upgrade ancient, sun-powered tech to purify water with near-perfect efficiency. ScienceDaily. Retrieved June 5, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/05/180503142639.htm

ตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่เปลี่ยนแอมโมเนียเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด

แอมโมเนียได้รับความสนใจเมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่ปราศจากคาร์บอน แอมโมเนียเป็นก๊าซซึ่งติดไฟง่ายซึ่งสามารถใช้อย่างกว้างขวางในการทำให้เกิดพลังงานความร้อนและเตาเผาอุตสาหกรรมเป็นทางเลือกของน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตามยากที่จะเผาไหม้ (การเผาไหม้ที่อุณหภูมิสูง) และทำให้เกิดไนโตรเจนออกไซด์ (nitrogen oxide, NOx) ที่เป็นอันตรายระหว่างการเผาไหม้

คณะนักวิจัยจาก the International Research Organization for Advanced Science and Technology (IROAST) ของ Kumamoto University ทำการศึกษาวิธีการเผาไหม้เพื่อแก้ปัญหาเชื้อเพลิงแอมโมเนีย วิธีนี้เติมสารซึ่งทำให้เกิดหรือไม่เกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างการเผาไหม้เชื้อเพลิง เมื่อเร็วๆ นี้คณะนักวิจัยประสบผลสำเร็จในการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาตัวใหม่ซึ่งทำให้ความสามารถในการเผาไหม้แอมโมเนียดีขึ้นและทำให้ไม่เกิด NOx ตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่คือ CuOx/3A2S ซึ่ง 3A2S คือ 3Al2O3.2SiO2 เมื่อแอมโมเนียถูกเผากับตัวเร่งปฏิกิริยานี้ คณะนักวิจัยพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดอย่างมากการผลิตไนโตรเจน (N2) หมายความว่าตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้ไม่เกิด NOx และตัวเร่งปฏิกิริยาเองไม่เปลี่ยนแปลงแม้ที่อุณหภูมิสูง

เนื่องจาก 3A2S เป็นวัสดุที่มีวางจำหน่ายและ CuOx สามารถผลิตโดยวิธีการที่ใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม ตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่นี้สามารถผลิตได้อย่างง่ายและด้วยค่าใช้จ่ายน้อย

ที่มา: Kumamoto University (2018, April 27). New catalyst turns ammonia into an innovative clean fuel. ScienceDaily. Retrieved May 8, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/04/180427100256.htm

ค้นพบดีเอ็นเอรูปแบบใหม่ในเซลล์คน

เป็นครั้งแรก คณะนักวิจัยจาก Garvan Institute of Medical Research ค้นพบโครงสร้างดีเอ็นเอใหม่ที่เรียกว่า i-motif ภายในเซลล์ ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวไม่เคยพบในเซลล์มีชีวิตมาก่อน การค้นพบนี้ถูกเผยแพร่ในวารสาร Nature Chemistry

โครงสร้างใหม่นี้ดูแตกต่างอย่างมากจากโครงสร้างดีเอ็นเอ 2 สาย double helix ซึ่งในโครงสร้างดีเอ็นเอใหม่นี้ประกอบด้วยดีเอ็นเอ 4 สาย โดยเบส C (cytosine, ไซโตซีน) ในสายเดียวกันจับกัน ซึ่งต่างจากดีเอ็นเอ double helix ซึ่งเบสในสายตรงข้ามจับกัน โดยเบส C จับกับเบส G (guanine, กวานีน)

ถึงแม้คณะนักวิจัยเคยพบ i-motif มาก่อนและได้ศึกษารายละเอียด แต่เป็นเพียงเกิดขึ้นในหลอดทดลอง (in vitro) ไม่ใช่ในเซลล์

เพื่อค้นหา i-motif ภายในเซลล์ คณะนักวิจัยพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่แม่นยำคือ ชิ้นของโมเลกุลแอนติบอดีซึ่งสามารถจำได้อย่างจำเพาะเจาะจงและจับกับ i-motif ด้วยความสามารถในการจับสูง

ที่สำคัญชิ้นแอนติบอดีไม่สามารถตรวจจับดีเอ็นเอในรูปแบบ helical และไม่จำโครงสร้าง G-quadruplex (เป็นโครงสร้างซึ่งคล้ายการเรียงตัวของดีเอ็นเอแบบ 4 สาย)

ด้วยเครื่องมือใหม่นี้ คณะนักวิจัยพบตำแหน่งของ i-motif ในเซลล์เพาะเลี้ยงของคน โดยใช้เทคนิค fluorescence เพื่อหาตำแหน่งที่ i-motif อยู่ คณะนักวิจัยค้นพบจุดสีเขียวจำนวนมากในนิวเคลียส ซึ่งบ่งชี้ตำแหน่งของ i-motif

คณะนักวิจัยแสดงว่า i-motif ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระยะ late G1 ของวงจรชีวิตของเซลล์ (เป็นระยะที่ดีเอ็นเอกำลังถูกอ่าน) นอกจากนี้คณะนักวิจัยยังแสดงอีกว่า i-motif พบได้ในบางส่วน promoter (ส่วนของดีเอ็นเอซึ่งควบคุมการเปิดปิดยีน) และใน telomere (ส่วนปลายของโครโมโซมซึ่งสำคัญในขบวนการความชรา (aging process))

ที่มา: Garvan Institute of Medical Research (2018, April 23). Found: A new form of DNA in our cells. ScienceDaily. Retrieved May 8, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/04/180423135054.htm