แนะนำตัวอย่างบริการ Social Search Engine

จากโลกในปัจจุบันที่ข้อมูลต่างๆได้มีการรวมตัวกันจากการใช้งานผ่าน Social Media ทำให้เกิดการบริการที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เกิดขึ้น วันนี้ทางฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) ขอนำเสนอบริการ Social Search Engine ที่ชื่อว่า “Zanroo social search”

“Zanroo social search” เป็น Social Search Engine โดยใช้งานผ่านเว็บไซต์ชื่อว่า Zanroo.com พัฒนาขึ้นโดย Zanroo (แสนรู้) สตาร์ทอัพคนไทย
โดย Zanroo.com ใช้การจับข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์ และบทสนทนาที่เกิดขึ้นบน Social Media เช่น Facebook, Twitter, Instagram ได้แบบ Real-Time Data เพื่อนำมาทำ Real-time Analytics ที่ช่วยให้ ความสามารถขององค์กรในการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดในองค์กรได้แบบ Real-time ทันทีที่องค์กรต้องการ ดังนั้นองค์กรจะต้องทำการเตรียมจัดการ Flow ของการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดเอาไว้แบบ Real-time ให้เรียบร้อยพร้อมให้ทำการวิเคราะห์ได้ตลอดเวลา

Zanroo.com ขณะนี้มีสาขาอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้ทั้งแบบ Free และแบบ Premium Package

แบบ Free มี 3 ฟีเจอร์หลักคือ
1. “กดติดตาม” (Follow) ให้ผู้ใช้งานกดติดตามสิ่งที่ตัวเองสนใจ

2. “Daily Summary” หลังจากกด Follow แล้ว จะมีสรุปข่าวสิ่งที่ผู้ใช้งานกดติดตาม ส่งเข้าอีเมล์มาให้อ่านในแต่ละวัน โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะให้ส่งเข้าอีเมล์ไหน

3. “Advance Search” เป็นการค้นหาข้อมูลได้จากหลายแหล่ง เช่น Twitter, Facebook ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานเห็น “บทสนทนา” ที่เกิดขึ้นบน Social Media

สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.zanroo.com/

แบบ Premium Package
มีไว้ให้สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก และเชิงวิเคราะห์ สามารถเจาะผู้ประกอบการธุรกิจ SME และเอเยนซี ที่ต้องการนำข้อมูลวิเคราะห์ไปประกอบการทำธุรกิจ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://enterprise.zanroo.com/

แนะนำการอัด vdo clip บน Windows 10

วันนี้ ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS)  ขอนำเสนอ วิธีการบันทึก vdo clip บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows 10 ที่มาพร้อมกับโปรแกรม built-in video capture tool ที่ใช้ความสามารถของ Application Xbox

ขั้นตอน

1. ผู้ใช้งานต้องทำการอนุญาต stream Xbox One games ก่อน

2. เปิดโปรแกรม หรือหน้าจอที่เราต้องการอัด vdo clip

3. กด ปุ่ม Windows + G บนคีย์บอร์ด

4. จะเกิดหน้าจอที่ สอบถามว่า Do you want to open Game bar?” ให้กดปุ่มเพื่อยอมรับ “Yes, this is a game”

5. หลังจากนั้นแผงควบคุมการเปิดปิดเพื่อ อัด vdo clip จะปรากฎขึ้นเป็น popup บนหน้าจอ เรียกว่า Game Bar

6. ทำการกดอัด vdo clip


กดปุ่มกล้องถ่ายรูป หรือทางลัด Win + Alt + PrtScn สำหรับการถ่ายภาพเหน้าจอ
กดปุ่มวงกลมสีแดง หรือปุ่มทางลัด Win + Alt + R สำหรับการบันทึกหน้าจอเป็นวีดีโอ และสามารถกด Win + Alt + R เพื่อหยุดการบันทึก

7. ไฟล์ที่บันทึกเป็น vdo clip แล้ว สามารถไปดูได้ในโฟลเดอร์ Videos > Captures

อ้างอิงจากภาพและบทความจาก

แนวโน้ม 10 อันดับแรกที่เป็นตัวกำหนด KM ในปี 2019

APQC (American Productivity & Quality Center) ได้สอบถามไปยังผู้เชี่ยวชาญด้าน KM จำนวน 400 คน เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2561 เกี่ยวกับแนวโน้มทีจะมีผลต่อ KM ในปี 2019 ผลออกมาได้ดังรูปแผนภูมิด้านล่าง แสดงเปอร์เซ็นต์ของผู้เชี่ยวชาญที่คิดว่าแนวโน้มนั้นจะมีผลต่อ KM ในปี 2019


ที่มา: Lauren Trees (2019, January 25). Agile and Design Thinking Top List of 2019 Knowledge Management Trends. APQC. Retrieved March 14, 2019, from https://www.apqc.org/blog/agile-and-design-thinking-top-list-2019-knowledge-management-trends

ถ่ายภาพสถานที่เพื่อการขาย อาจเสี่ยงติดคุกได้ ถ้าไม่รู้จัก Property Release

 

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบถ่ายรูป ย่อมไม่แปลกหากคุณจะถ่ายรูปที่ไหนก็ได้จนคุณพอใจหากงานของคุณเป็นที่ถูกใจคุณและคนทั่วไปโดยคุณเองไม่ได้หารายได้จากสิ่งนั้น แต่หากงานคุณเป็นที่โด่งดัง หรือคุณพัฒนามาเป็นนักถ่ายภาพที่เราเรียกกันว่า photo stocker ที่หารายได้ออนไลน์ทั่วโลกจากภาพของคุณ หรือแม้แต่ขายภาพในประเทศของคุณเองก็ตาม  ในที่นี้ยกตัวอย่างเป็นงานถ่ายภาพสถานที่ก่อนครับ (Property, Building)  วันดีคืนดีงานของคุณสามารถทำรายได้ หรือโดนแชร์ไปเป็นหลักหมื่นหลักแสน คุณอาจจะเจออีเมล์หรือประกาศด้านกฏหมายในการเรียกค่าใช้จ่ายหรือข้อหาทางกฏหมายจากหน่วยงานหรือเจ้าของสถานที่ในการถ่ายภาพสถานที่นั้น ๆ เพื่อการค้า  ฟังไม่ผิดครับ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นข้อกำหนด กฏสากล และ เป็นสิ่งที่ควรศึกษาก่อนการถ่ายภาพสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณต้องการ ถือเป็นสิ่งพึงระวัง เป็นข้อกำกับการยินยอมให้ใช้ภาพถ่ายของสถานที่ในแต่ละที่ ที่เราต้องศึกษาก่อนถ่ายภาพ  แล้วการแก้ปัญหาทำอย่างไร ? ในหลักการของนักถ่ายภาพขาย เราจะต้องมีใบยินยอมการถ่ายภาพเพื่อใช้ในการพาณิชย์ ซึ่งเรียกกันว่า Property Release  โดยเว็บไซต์ขายภาพดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็น shutter stock หรือ istock photo ต่างก็จะต้องให้คุณมี  Property Release ในการถ่ายภาพนั้น ๆ  หลักการคือ พิมพ์เอกสารดังกล่าว แล้วเอาไปให้เจ้าของสถานที่ หรือองค์กรเจ้าของดูแลสถานที่นั้น เซ็นต์ เพื่อการยินยอม  หากไม่มีเอกสารดังกล่าว ภาพของคุณจะไม่ถูกนำไปขายบนเว็บไซต์ (ไม่ว่าคุณจะถ่ายสวยแค่ไหน) 

ตัวอย่างเอกสาร property Releas ของ shutter Stock

ตัวอย่างสถานที่สำคัญ ๆ ที่คุณไม่สามารถถ่ายเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ได้แก่  Sydney Opera House , The Louvre , Las Vegas Hotels  เป็นต้น หรือในไทย ก็มีห้างบางห้าง หรือตึกบางตึก ที่หากจะมีการใช้พื้นที่หรือถ่ายทำภาพต่าง ๆ ก็ต้องมีการประสานเพื่อขอถ่ายขอใช้งาน โดยไม่สามารถถ่ายเจาะจงให้เห็นตึกหรือโลโก้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่ได้ขอใช้มาก่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดที่ประกาศเป็นสาธารณะหรือเป็นรายกรณีไปครับ   ดังนั้น หากคุณจะถ่ายรูปสถานที่ ควรศึกษาก่อนการนำไปใช้เพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ แต่หากคุณต้องการเก็บไว้เพียงความทรงจำกับตัวเองและคนรอบข้าง เอกสาร Property Release คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ถึงกระนั้น ผู้เขียนขอแนะนำว่า ไม่ว่าคุณจะถ่ายแบบไหน ก็ควรศึกษาก่อนการแชร์ครับ เพื่อปัองกันปัญหาระยะยาวที่จะตามมาในอนาคตในด้านการละเมิดสิทธิ์การถ่ายภาพครับ
  * ภาพบุคคลฟรีจาก pixabay

Electronic Lab Notebook Matrix

Electronic Lab Notebook หรือ สมุดบันทึกการวิจัยอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสมุดบันทึกที่นักวิจัยสามารถบันทึกกิจกรรมการวิจัย ทั้งข้อความ ภาพประกอบ สมการ หรือกราฟ ตั้งแต่ช่วงวางแผน (เช่น แนวคิด วัตถุประสงค์ และแผนการดำเนินงาน) ช่วงดำเนินงาน คือ รายละเอียดการทดลองวิจัย (เช่น ใครทำ ทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ ทำไมจึงทำ ทำอย่างไร ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และวัตถุดิบอะไรและอย่างไร) และ ช่วงวิเคราะห์ผล คือ ผลที่ได้จากการการทดลองวิจัย (เช่น สิ่งที่พบ ข้อสังเกต ข้อสรุป และขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไป) โดยใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือมือถือของนักวิจัยในการบันทึกดังกล่าว

ปัจจุบันนี้ มี Electronic Lab Notebook เกิดขึ้นหลายตัว แต่ละตัวก็มีฟีเจอร์การทำงานทั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน บางฟีเจอร์ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น Harvard Medical School Data Management Working Group ของ Harvard Medical School ในสหรัฐอเมริกา จึงทำการสำรวจและเปรียบเทียบจุดเด่นและข้อจำกัดของ Electronic Lab Notebook แต่ละตัวในท้องตลาด และสรุปเป็น Electronic Lab Notebook Matrix เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมิน Electronic Lab Notebook ให้แก่หน่วยงานที่สนใจ

Electronic Lab Notebook Matrix ดังกล่าว ได้เปรียบเทียบซอฟต์แวร์ Electronic Lab Notebook จำนวน 31 ตัว พร้อมฟีเจอร์การทำงาน โดยแบ่งเป็น 8 หมวดหลัก ได้แก่

  • การติดต่อสื่อสารและทำงานร่วมกัน (Interactivity) 
  • การรองรับเอกสารนักวิจัย (Support for Researcher Documentation)
  • ความสามารถในการปรับใช้กับกระแสงานของ Lab (Adaptability to Lab workflows)
  • หน่วยเก็บข้อมูล (Storage)
  • โฮสติง (Hosting)
  • ความช่วยเหลือและบริการดูแล (Support)
  • ความปลอดภัย (Security)
  • อื่นๆ

จากการอัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือน สิงหาคม 2561

สนใจสามารถเข้าถึง Electronic Lab Notebook Matrix โดย Harvard Medical School คลิกที่นี่

บทบาทของ Open Access ต่อ SDGs

เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals – MDGs) เพื่อเสริมสร้างมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สุดลงในปี 2015 องค์การสหประชาชาติ (United Nation – UN) จึงกำหนดวาระการพัฒนาภายหลังปี 2015 (post-2015 development agenda) ตามกระบวนทัศน์ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยประเด็นสำคัญของวาระการพัฒนาภายหลังปี 2015 คือ การจัดทำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) มุ่งหวังจะช่วยแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม สภาวะโลกร้อน และสันติสุข เพื่อเสริมแนวคิด “ไม่เป็นการทิ้งใครไว้ข้างหลัง” คาดว่าจะทำสำเร็จได้ภายในปี 2030

SDGs ประกอบด้วยเป้าหมาย 17 ข้อ ดังนี้

  1. No Poverty ขจัดความยากจนทุกรูปแบบทุกสถานที่
  2. Zero Hunger ขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
  3. Good Health and well-being รับรองการมีสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนทุกช่วงอายุ
  4. Quality Education รับรองการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ทุกคน
  5. Gender Equality บรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง
  6. Clean Water and Sanitation รับรองการมีน้ำใช้ การจัดการน้ำและสุขาภิบาลที่ยั่งยืน
  7. Affordable and Clean Energy รับรองการมีพลังงาน ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ยั่งยืน ทันสมัย
  8. Decent Work and Economic Growth ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องครอบคลุมและยั่งยืนการจ้างงานที่มีคุณค่า
  9. Industry Innovation and Infrastructure พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการปรับตัวให้เป็นอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนทั่งถึง และสนับสนุนนวัตกรรม
  10. Reduced Inequalities ลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ
  11. Sustainable Cities and Communities ทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความปลอดภัยทั่วถึง พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  12. Responsible Consumption and Production รับรองแผนการบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน
  13. Climate Action ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ
  14. Life Below Water อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  15. Life on Land ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน
  16. Peace and Justice Strong Institutions ส่งเสริมสังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
  17. Partnerships for the Goals สร้างพลังแห่งการเป็นหุ้นส่วน ความร่วมมือระดับสากลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

Jayshree Mamtora และ Prashant Pandey จาก Office of Library Services มหาวิทยาลัย Charles Darwin ประเทศออสเตรเลีย เสนอบทบาทของ Open Access (OA) หรือการเข้าถึงแบบเปิด ที่มีต่อ SDGs ทั้ง 17 ข้อ โดยเสนอว่า

  1. No Poverty ขจัดความยากจนทุกรูปแบบทุกสถานที่
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และ
    2. ด้วยการอำนวยความสะดวกการเรียนรู้
  2. Zero Hunger ขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
    2. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศทางเทคนิคล่าสุด และ
    3. ด้วยการอำนวยความสะดวกการเรียนรู้
  3. Good Health and well-being รับรองการมีสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนทุกช่วงอายุ
    1. ด้วยการเข้าถึงผลการวิจัยล่าสุดในวารสารทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ทั้งสำหรับสารสนเทศทางเทคนิครวมถึงการสนับสนุนในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่เหมาะสมเกี่ยวกับสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนทุกช่วงอายุ
  4. Quality Education รับรองการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ทุกคน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และ
    2. ด้วยการอำนวยความสะดวกการเรียนรู้
  5. Gender Equality บรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง
    1. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศเพื่อขยายขอบเขตและความลึกซึ้งของการอภิปรายเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง และ
    2. ด้วยสารสนเทศเพื่อการพัฒนานโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเพศ
  6. Clean Water and Sanitation รับรองการมีน้ำใช้ การจัดการน้ำและสุขาภิบาลที่ยั่งยืน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนานโยบายและการกำหนดโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและสุขาภิบาลที่ยั่งยืน
  7. Affordable and Clean Energy รับรองการมีพลังงาน ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ยั่งยืน ทันสมัย
    1. ด้วยการการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนานโยบายและการกำหนดโครงการเกี่ยวกับพลังงานที่ยั่นยืน
  8. Decent Work and Economic Growth ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องครอบคลุมและยั่งยืนการจ้างงานที่มีคุณค่า
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเชิงพาณิชย์
    2. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้องสำหรับนโยบายของรัฐบาล
    3. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ และ
    4. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  9. Industry Innovation and Infrastructure พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการปรับตัวให้เป็นอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนทั่งถึง และสนับสนุนนวัตกรรม
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ และ
    2. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศทางเทคนิคล่าสุด
  10. Reduced Inequalities ลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ
    1. การเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลโดยไม่คำนึงถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และสถานะทางการเงินสำหรับการเข้าถึงที่เท่าเทียม
  11. Sustainable Cities and Communities ทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความปลอดภัยทั่วถึง พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อความตระหนักหรือการรับรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม
  12. Responsible Consumption and Production รับรองแผนการบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักหรือการรับรู้ปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน
    2. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
    3. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
  13. Climate Action ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ
    2. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
    3. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
  14. Life Below Water อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    2. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
    3. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
  15. Life on Land ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน
    2. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
    3. ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
  16. Peace and Justice Strong Institutions ส่งเสริมสังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
    1. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อการตระหนักและการอภิปรายเกี่ยวกับการส่งเสริมสังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก เพื่อการรายงานความโปร่งใสในโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และ
    2. ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สำหรับการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะ
  17. Partnerships for the Goals สร้างพลังแห่งการเป็นหุ้นส่วน ความร่วมมือระดับสากลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
    1. คลัง Open Access ในการสนับสนุนการริเริ่มในท้องถิ่น และ
    2. ด้วยการแบ่งปันการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ที่สะท้อนการทำงานร่วมกันและความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ

Jayshree Mamtora และ Prashant Pandey ยังได้แนะนำบางประเด็นสำหรับห้องสมุดและสถาบันอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย เกี่ยวกับการริเริ่ม OA กับเป้าหมายระยะยาวในการสนับสนุน SDGs ประกอบด้วย

  1. การพัฒนาคลังความรู้ดิจิทัล (digital repository) เพื่อเก็บการวิจัยและข้อมูลแบบเปิด
  2. การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่และการทำให้ ICTs พร้อมใช้งาน เพื่อเผยแพร่การวิจัยและข้อมูลแบบเปิดทางออนไลน์
  3. การสร้างนโยบาย OA เพื่อสั่งการการทำให้ผลการวิจัยพร้อมที่จะให้บริการ และ เพื่อบังคับใช้การปฏิบัติเกี่ยวกับ OA
  4. การส่งเสริมสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์สำหรับการเผยแพร่ผลงาน
  5. การโน้มน้าวทางการบริหารเกี่ยวกับความต้องการ คุณค่า และประโยชน์ของ OA เพื่อการได้รับการสนับสนุน
  6. การจ้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะที่จำเป็นในการทำงานกับคลังข้อมูลสถาบัน (institutional repository)
  7. การทำให้คลังข้อมูลสถาบันเป็นเรื่องง่ายสำหรับบุคลากรในองค์กรในการลงทะเบียนและเก็บผลงาน
  8. การทำงานร่วมกับสถาบัน ห้องสมุด ผู้ให้ทุนวิจัย และสำนักพิมพ์อื่นๆ ในระดับภูมิภาค ระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนาความคิดริเริ่ม นโยบาย และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับ OA

 

อ้างอิง

  • สหประชาชาติในประเทศไทย. เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน. เข้าถึงจาก http://www.un.or.th/th/sdgs/
  • it24hrs. (2561, พฤศจิกายน 3). SDGn 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย UN เพื่อให้โลกดีขึ้น. เข้าถึงจาก https://www.it24hrs.com/2018/sdgs-sustainable-development-goals-un/
  • Mamtora, J., & Pandey, P. (2018). Identifying the role of open access information in attaining the UN SDGs:
    perspectives from the Asia-Oceania region. http://library.ifla.org/2110/1/205-mamtora-en.pdf
  • United Nation. Retrieved from https://www.un.org/sustainabledevelopment/sustainable-development-goals/

รีวิว Microsoft AI School เรียน AI ออนไลน์ฟรี

นับเป็นข่าวดีของใครก็ตามที่อยากจะเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี Artificial Intelegence แบบฟรี ๆ  เมื่อ Microsoft ได้ประกาศเปิดสอน AI ฟรี ผ่าน AI School  ที่ https://aischool.microsoft.com  บทความนี้จึงขอพาทุกคนไปลองสัมผัสภาพรวมของ AI School ดังกล่าว สิ่งสำคัญในการเรียนในโรงเรียนนี้ คุณต้องมี account ของ microsoft เสียก่อน โดยเป็น accountของ hotmail หรือ outlook ก็ได้  เมื่อเข้าในเว็บไซต์ดังกล่าว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีความใหม่และไม่เข้าใจในเทคโนโลยีนี้ รวมทั้งมีคำถามว่า จะเริ่มอย่างไร?  แล้วจะเรียนอะไร ?  ข้อนี้ถือเป็นจุดเด่นของเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ได้ลงตัว เนื่องจากมีระบบ path builder เพื่อใช้ในการตรวจสอบว่า เราจะเลือกเรียนอะไร มีความเชี่ยวชาญด้านไหน และต้องการเรียนด้วยสื่อแบบใด เช่น วีดีโอ บทความ หรือลงมือทำจริง  เป็นการเลือกคำตอบไม่กี่ข้อ  โดยผู้เขียนได้ลองตอบคำถามที่สนใจในการเรียน ว่าสนใจเรียนด้าน Data Science ถนัดโปรแกรมภาษา PHP และต้องการเรียนรู้เชิงลึกด้าน Deep Learning โดยเน้นการปฏิบัติแบบ Hands on  ทางระบบก็ส่ง Playlist มาให้เลือก ดังภาพ

ในแต่ละ Playlist จะพบว่ามี module ย่อย ๆ ที่เราสามารถเลือก save module ที่สนใจ เพื่อทำการเรียนรู้ตามจำนวนชั่วโมงและบทเรียนไว้ได้ด้วย ดังภาพ

ผู้เขียนลองทดสอบเลือกเข้าไปในแต่ละโมดูล ก็พบว่า ในแต่ละโมดูลยังมีบทเรียนย่อย ที่ให้รายละเอียดแนวทางการเรียน รวมถึงเวลาที่จะต้องใช้เรียน และอื่น ๆ อีกมาก  ซึ่งผู้เรียนสามารถ Mark ว่าเรียนจบได้ หากต้องการ

ในขณะที่ทำการเขียนนี้ ผู้เขียนยังไม่พบว่า หากเรียนจบแล้ว สามารถทำการสอบ Certification ได้เลยหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ  https://academy.microsoft.com/en-us/tracks/artificial-intelligence  ซึ่งเป็นคอร์สการเรียน AI ที่มีขั้นตอนเรียนในคอร์สชัดเจน จะพบว่าหากเรียนจบสามารถได้รับ Achievement เป็น certification ที่ออกโดย microsoft ได้เลยครับ โดยภาพข้างล่างนี้จะแสดงในส่วนของการเรียน Data Science AI ของ academy.microsoft.com

โดยสรุป
          Microsoft AI School เจาะกลุ่มผู้เรียนรู้ในหลายกลุ่มอายุ หลายประเภทธุรกิจ  มีข้อดีคือสามารถใช้ PATH BUILDER สร้างคอร์สการเรียนรู้เป็น Playlist ได้หลากหลาย ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนหรือไม่เรียนคอร์สใด ๆ ก็ได้ อีกทั้งยังสามารถนำความรู้ในโดเมนที่เรียนมาประยุกต์ใช้กับ tools หรือเครื่องมือที่ microsoft เตรียมไว้ให้ใช้ได้ฟรี เช่น Azure Machine Learning service หรืออื่น ๆ เป็นต้น  โดยจะมีข้อกำหนดเงื่อนไขแตกต่างกันไปตามหัวข้อเรียนต่าง ๆ  ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ด้าน AI ที่ดีและฟรีครับ  ส่วนใครที่อยากเน้นเชิงลึก ได้ Certificate จาก Microsoft ให้ลงเรียนออนไลน์ฟรีที่ academy.microsoft.com ก็จะเข้มข้นกว่า แต่ก็แลกมากับคอร์สที่ต้องผ่านตามกำหนดครับ

ผลสำรวจเกี่ยวกับ Open Science: Open Access และ Data sharing ของนักวิจัย

ตุลาคม ปี 2016 สำนักพิมพ์ Wiley สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับ Open Science จากนักวิจัยผู้เขียนบทความวิชาการ จำนวน 4,680 คน ใน 112 ประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เข้าใจว่านักวิจัยปฏิบัติต่อการร้องขอหรือข้อกำหนดเกี่ยวกับ Open Access (OA) หรือ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการข้อมูล และการมีส่วนร่วมในการแชร์ข้อมูลและผลงานวิจัยของตนเองอย่างไร การสำรวจนี้สร้างขึ้นจากการสำรวจก่อนหน้าของ สำนักพิมพ์ Wiley เกี่ยวกับ OA และ Open Data ในปี 2013 เพื่อค้นหาแนวโน้มในการวิจัย

Open Access (OA)

  • การเผยแพร่ผลงานในรูปแบบ OA เพิ่มมากขึ้น เกือบ 2 ใน 3 ของผู้เขียนระบุว่าได้ตีพิมพ์บทความใน Hybrid journal หรือ Gold journal (65% ระบุว่าตีพิมพ์ในวารสาร OA และ 35% ระบุว่าไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร OA) โดยเพิ่มขึ้น 8% จากปี 2013
  • ผู้ตอบแบบสำรวจรับรู้ถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ให้ทุน (50%) และสถาบัน (55%) เพื่อให้เผยแพร่บทความสู่สาธารณะ ไม่ว่าจะในรูปแบบ Gold OA หรือ Green OA
  • กลุ่มสาขาที่มีการกำหนดให้เผยแพร่บทความในรูปแบบ OA มากที่สุดคือ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (70%) สาขาวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (70%) สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ (60%) และ สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (54%)
  • 58% ของผู้เขียนในทวีปเอเชียแปซิฟิก ระบุว่า หน่วยงานผู้ให้ทุนกำหนดให้ตีพิมพ์บทความใน OA รองลงมาคือผู้เขียนในทวีปอเมริกา (44%) และในทวีปยุโรป ตะวันอออกลาง และแอฟริกา (47%) แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการกำหนดของสถาบันของผู้เขียน พบว่าตัวเลขสูงกว่า คือ 66% ของผู้เขียนในทวีปเอเชียแปซิฟิกระบุว่าหน่วยงานของตนกำหนดให้ตีพิมพ์บทความใน OA ขณะที่ผู้เขียนในทวีปอเมริการะบุการกำหนดดังกล่าวจากสถาบันเพียง 39%

Article Archiving

  • มีการรายงานเรื่องการเก็บบทความ (ทั้งในคลังความรู้องค์กร คลังความรู้สาธารณะ และเว็บเพจส่วนตัวของผู้เขียนบทความ) มากกว่า 2 เท่า (34% กำหนดให้มีการจัดเก็บโดยสถาบัน และ 17% กำหนดให้มีการจัดเก็บโดยผู้ให้ทุน)
  • 44% ของนักวิจัยเก็บบทความของตนในคลังความรู้ขององค์กร 34% เก็บไว้ในคลังความรู้สาธารณะ และ 22% เก็บไว้ในเว็บเพจส่วนตัว
  • ในทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา และ เอเชียแปซิฟิก พบว่าแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้นักวิจัยเก็บบทความในคลัง คือ การกำหนดของสถาบัน ต่างจากในทวีปอเมริกาที่แรงจูงใจสำคัญคือการต้องการเผยแพร่ผลงานของผู้เขียน

Data Sharing

  • 69% ของนักวิจัย (จากทั้งหมด 4,680 คน) ระบุว่าได้แบ่งปันข้อมูลการวิจัยของตนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเพิ่มขึ้น 17% จากการศึกษาก่อนหน้าในปี 2014 ที่ 52%
  • วิธีที่พบบ่อยที่สุดที่นักวิจัยใช้ในการแบ่งปันข้อมูล คือ ในการประชุม (48%) เป็นข้อมูลเสริมในวารสาร (40%) หรือ ไม่เป็นทางการ/เมื่อถูกร้องขอ (33%) โดย 41% ระบุว่ามีการแชร์ข้อมูลอย่างเป็นทางการผ่านรูปแบบต่างๆ ของคลังข้อมูล (29% ในเว็บเพจโครงการ สถาบันหรือส่วนตัว 25% ในคลังข้อมูลสถาบัน มหาวิทยาลัยหรือองค์กรสนับสนุน 10% ในคลังข้อมูลเฉพาะสาขา และ 6% ในคลังข้อมูลทั่วไป)
  • นอกเหนือจากการกำหนดของสถาบันหรือหน่วยงานผู้ให้ทุนที่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้นักวิจัยแชร์ข้อมูล เหตุผลอื่นๆ คือ
    • เพื่อเพิ่มผลกระทบและการมองเห็นของงานวิจัย (39%)
    • เพื่อประโยชน์สาธารณะ (35%)
    • เพื่อความโปร่งใสและการนำข้อมูลมาใช้ซ้ำ (31%)
    • ข้อกำหนดของวารสาร (29%)
  • ในทางตรงกันข้าม เหตุผลอันดับต้นๆ ที่นักวิจัยไม่ต้องการแชร์ข้อมูล คือ
    • ประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและความลับ (50%)
    • ความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรม (31%)
    • การตีความที่ผิดหรือการใช้ในทางที่ผิด (23%)

ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่สอดคล้องกับการสำรวจก่อนหน้า แต่ที่น่าสนใจ คือ ความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรม ขยับขึ้นมาเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้เขียนอ้างว่าไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลของตนเองแก่ผู้อื่น

ข้อมูลเพิ่มเติม

Hybrid journal คือ วารสารแบบดั้งเดิม ที่ห้องสมุดยังต้องจ่ายค่าบอกรับเพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านบทความในวารสารได้ และ ยังมีบทความที่เป็น OA ซึ่งผู้เขียนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มให้แก่วารสาร หากต้องการสิทธิ์ในการนำบทความเฉพาะของตนไปจัดเก็บหรือเผยแพร่ในเว็บไซต์ส่วนตัวหรือคลังความรู้องค์กร ผู้อ่านสามารถอ่านบทความในวารสารได้โดยไม่ต้องเสียค่าดาวน์โหลดบทความ

Gold journal คือ วารสาร OA ที่ผู้อ่านสามารถอ่านบทความในวารสารได้ทันทีที่บทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ โดยผู้อ่านไม่เสียค่าใช้จ่ายในการดาวน์โหลดบทความ แต่ผู้เขียนบทความต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่วารสาร

Gold OA หมายถึง บทความได้รับการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตทันทีที่บทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์

Green OA หมายถึง บทความไม่ได้รับการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตทันทีที่บทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ แต่สามารถอ่านบทความฉบับย้อนหลังได้ ซึ่งบางวารสารอาจกำหนดให้มีการทิ้งช่วงเวลา 6–24 เดือน หลังบทความนั้นได้รับการตีพิมพ์ ผู้เขียนสามารถนำบทความของตนไปจัดเก็บหรือเผยแพร่ในเว็บไซต์ส่วนตัวหรือคลังความรู้องค์กร

ที่มาข้อมูล

Vocile, B. (2017, April 20). Open science trends you need to know about [Blog post]. Retrieved from https://www.wiley.com/network/researchers/licensing-and-open-access/open-science-trends-you-need-to-know-about

What does Google know about me?

Google รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับฉัน?

คุณทราบหรือไม่ว่าทำไมไม่ชอบหาข้อมูลบน DuckDuckGo นั่นหมายถึงเมื่อคุณสืบค้นข้อมูลบน Google จะถูกเก็บข้อมูลทุกๆการสืบค้นอย่างลึกที่สุด เขาพยายามเก็บข้อมูลจากผู้ใช้ให้มากที่สุด คนจำนวนมากไม่ใช้อย่างอื่นถ้าคุณไม่ใช้ Google โดยที่ Google ได้เก็บข้อมูล 75% จากล้านเว็บไซต์ นั่นหมายถึงพยายามเก็บข้อมูลจากประวัติการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต

ผู้ใช้มักไม่ทราบว่า Google แฝงไปด้วยโฆษณาและคุณมักจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปในอินเทอร์เน็ตและในแอปพลิเคชั่น คุณทราบหรือไม่ว่าโฆษณาแฝงนี้ติดตามคุณไปทุกแห่ง นี่คือ Google พวกเขาไม่ได้สืบค้นข้อมูลเพียงบริษัทเท่านั้น แต่เขาติดตามบริษัทเหล่านั้นไปด้วย โดยที่ Google จะติดตามนับรอบการสืบค้นให้มากที่สุดทุกๆ ครั้งที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลนั้นๆ

ถ้าคุณใช้ Google

ถ้าคุณใช้ Google พวกเขาพยายามติดตามอย่างมากเพื่อเก็บข้อมูลให้มากรวมทั้งข้อมูล วิดีโอ ที่ดูบนยูทูบ ผู้ใช้จำนวนมากไม่ทราบว่า Google เป็นเจ้าของ YouTube ด้วย แม้แต่ Android ที่คุณใช้อยู่นั้นGoogle ก็เป็นเจ้าของเช่นกัน ทุกๆแห่งที่มี Google บริการ กรณีคุณใช้แอพพลิเคชั่นเป็นประจำ ก็จะติดตามคุณไปทุกที่ที่คุณใช้สืบค้น แม้กระทั่งรูปภาพของคุณด้วย ทุกข้อความที่ไม่ใช่ IOS จะไม่มีการเข้ารหัสติดตาม ถ้าคุณใช้ Gmail มั่นใจได้ว่าคุณได้รับข้อความแน่นอน ถ้าคุณใช้ปฎิธินของ Google พวกเขาจะทราบเวลานัดหมายตามแพลนของคุณทั้งหมด

Google สามารถติดตามคุณที่บ้าน หรือทุกแห่งที่คุณเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบการเข้าถึงได้ ตามหลักการแล้วพวกเขาติดตามคุณไปทุกแห่ง ทั้งนี้ดูได้จากประวัติการเข้าถึง

คุณคือสินค้า

ทำไม Google ต้องการข้อมูลมากมาย เพราะ Google ไม่ได้ค้นหาข้อมูลบริษัทแต่ติดตามบริษัทมากกว่า ข้อมูลทั้งหมดจะถูกสร้างอย่างแข็งแกร่งโดยนำมาจากโปรไฟล์ของคุณซึ่งบางครั้งรู้เรื่องส่วนตัวมากกว่าตัวคุณเองเสียอีก Google ใช้ข้อมูลไปทำโฆษณาไม่เฉพาะสืบค้นข้อมูลต่างๆ แต่มากกว่าสามล้านเว็บไซต์ ทุกๆ ครั้งที่คุณเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน Google จะติดตามเพื่อเก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย Google แสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูลจากร้อยเป็นพันในการโฆษณาโดยใช้คุณเป็นตัวสินค้า เมื่อไม่มีทางเลือกมีความเป็นไปได้ที่จะมี web-based เริ่มจากเมื่อปี 2014 ชื่อว่า DuckDuckGo สร้างขึ้นโดยปราศจากข้อแม้ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ

การไม่มีอะไรแอบซ่อน

แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงว่าไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้น พวกเขายังคงไม่ตระหนักถึงข้อมูลที่ Google เก็บไว้ แต่นั่นยังเป็นเพียงข้อโต้แย้งอันลึกซึ้งหลากหลายเหตุผล

ทุกคนมีข้อมูลส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครล่วงรู้ เปรียบเสมือนคุณปิดประตูห้องน้ำเวลาคุณอาบน้ำใช่หรือไม่? ความเป็นส่วนตัวคือการควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเอง คุณคงไม่อยากให้ทุกคนทราบและเข้าถึงข้อมูลลึกๆ ของคุณ ทั้งนี้ความเป็นส่วนตัวเป็นความสำคัญของประชาธิปไตยคล้ายกับการโหวตที่นั่ง ดังเช่นการรักษาพยาบาล การเบิกเงิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ

คุณสามารถใช้ Google ฟรี

เบื้องต้น Google พยายามดึงข้อมูลสืบค้นข้อมูลมากเกินไปจนน่ากลัวและง่ายดายจากแหล่งหนึ่งไปสู่ทุกคน เป็นหนทางที่ดีที่จะลดทอนอำนาจของ Google ปิดให้เป็นศูนย์ ถ้าคุณพร้อมที่จะอยู่โดยไม่มี Google เรามีข้อเสนอสำหรับบริการแหล่งใหม่ของผลิตภัณฑ์ สำหรับการบริการของสินค้าคือต้องเคลียร์ Google ออกจากประวัติการสืบค้นเดิม เปรียบเสมือนติดกับดักการใช้ของฟรี

เริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีสืบค้นที่คุ้นชินมายาวนาน มาใช้ DuckDuckGo.com คุณจะปิดกั้นการรุกรานข้อมูลติดตามคุณไปในเว็บต่างๆ อีกด้วย

ถ้าคุณยังไม่คุ้นเคยกับ DuckDuckGo.com พวกเราคือทางเลือกใหม่ที่คุ้มครองข้อมูลส่วนตัวคุณบนออนไลน์ เราสร้างระบบสืบค้นเหมือนกับ Google ที่ http://duckduckgo.com และนำเสนอบนโมบาย แอพลิเคชัน และ เดสทอป บราวเซอร์ สำหรับปกป้องคุณจาก Google การเข้าถึง Facebook และอื่นๆ ไม่เป็นปัญหาคุณสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ๆ มีอินเทอร์เน็ต พวกเราพยายามให้ความรู้กับผู้ใช้เกี่ยวกับบล๊อกของเรา โซเชียลมีเดีย หลักสูตร และจดหมายข่าว

แหล่งที่มา : https://www.quora.com/What-does-Google-know-about-me/answer/Gabriel-Weinberg

รายงานข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากวอชิงตัน ฉบับที่12 เดือนธันวาคม 2561

แผนงานร่วมภารกิจทีมประเทศไทยตามแนวทางของนายเอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา
แคนาดาได้เปิดประเทศนอกภูมิภาค โดยเฉพาะการที่แคนาดาเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีความพร้อมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทย โดยได้ให้แนวทางกับประเทศไทยไว้ดังนี้
1. การแบ่งกรอบการเจรจาและการพัฒนาความร่วมมือมุ่งเน้นกระชับความสัมพันธ์กับแคนาดาใน 3 ระดับ ทั้งระดับรัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ซึ่งบทบาทในมิติด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเกี่ยวข้องยึดโยงได้ทั้ง 3 ระดับ และสามารถผลักดันให้เกิดรูปธรรมที่ข้ามระดับได้ เช่นระดับรัฐกับเอกชน หรือรัฐกับประชาชน ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
2. การดำเนินงานใน 3 มิติ ประกอบด้วย การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สำหรับแคนาดา ในด้าน วทน. จะเน้นในภาคเศรษฐกิจ และสังคม ประสงค์เพื่อมุ่งเน้นเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
3. ลักษณะโครงการความร่วมมือที่น่าสนใจกับแคนาดา อาทิ
 3.1 นวัตกรรมด้านอาหารและการเกษตร แคนาดามีความสนใจและมึความเชี่ยวชาญในหลายสาขา เช่น การทำฟาร์มสัตว์ให้นม (Dairy Farming) การพัฒนาโปรตีนจากแมลงและจากพืช (Insect and Plant based Protein) และการผลิตอาหารในแบบ Functional Food
 3.2 ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้าน Creative Economies & Industries ผลักดันการประกอบธุรกิจร่วมทุนไทยแคนาดา เชิง Start-up ที่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความรู้เทคนิคด้านวทน. (Knowledge Based Activities)
 3.3 ผลักดันร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการนำแนวทางพัฒนา Big Data และ Internet of Things โดยเฉพาะกับระบบภาคการเกษตร รวมทั้งช่วยพัฒนา platform ที่จะสร้าง value chain และดึงภาคธุรกิจรุ่นใหม่ ที่มีนวัตกรรม ให้สนใจหาช่องทางประกอบธุรกิจกับแคนาดามากขึ้น
 3.4 ในภาคการศึกษาและการวิจันเพื่อพัฒนา สถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงออตตาวา ได้ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลักดันให้เกิดการลงนามในความตกลงกับ National Research Council (NRC) แคนาดา ได้สำเร็จแล้วเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2561 และจะใช้เป็นกรอบความร่วมมือในด้านส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยของสองประเทศ

แคนาดากับยุคผู้นำคนรุ่นใหม่ที่ไปไกลกว่า 4.0
นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด (Justin Pierre James Trudeau) หัวหน้าพรรคเสรีนิยม ให้ความสนใจอย่างมากในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากแคนาดาเอง เป็นแหล่งของนักวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานด้านงานวิจัย วทน. จำนวนมาก ที่ยังกล่าวได้ว่า ไม่ได้รับการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร หรือนำไปร่วมพัฒนาโลก เนื่องจากระบบราชการของแคนาดา เน้นการมองภายใน สมถะ จึงไม่ค่อยมีความกระตือรือล้นในการแสดงบทบาทเป็นผู้นำโลก แต่เนื่องจากนโยบายของสหรัฐอเมริกา มีการเปลี่ยนแปลงแบบแปลกๆ แคนาดาจึงขยายความร่วมมือกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในมิติด้าน วทน. รัฐบาลได้มีการแต่งตั้งหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์  Chief Science Advisor ประจำนายกรัฐมนตรี ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สตรีชื่อ ดร.โมนา นีเมอร์ (Mona Nemer) เพื่อให้การผลักดันด้านวิทยาศาสตร์กับการตัดสินใจทางการเมืองของแคนาดา แคนาดาได้เพิ่มการใช้สื่อของรัฐบาลในด้านวิทยาศาสตร์ เช่น FACETS – วารสารวิทยาศาสตร์ของแคนาดา สามารถให้ข้อมูลด้านวทน. เช่น กระทรวงสิ่งแวดล้อม สำนักงานอวกาศแคนาดา ประมงและมหาสมุทรแคนาดา กระทรวงสาธารณสุข

สภาวิจัยแห่งชาติแคนาดา (National Research Council – NRC)
สภาวิจัยแห่งชาติแคนาดา (National Research Council – NRC) เป็นองค์กรวิจัยที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาล ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และการพัฒนาเศรษฐกิจ มีหน้าที่หลักในการสนับสนุนนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมความก้าวหน้าของการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยี NRC สามารถช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลดำเนิการตามภารกิจลำดับความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ระดับประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ผ่านการวิจัยเชิงภารกิจและการพัฒนาเทคโนโลยี โครงการของ NRC มุ่งเน้นไปที่วิทยาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ต่อแคนาดาและเป็นสาขาที่แคนาดามีความโดดเด่น
NRC ประกอบด้วยหน่วยงานวิจัยและพัฒนาแบบบูราการ 4 สาขา ได้แก่ 1) การขนส่งและการผลิต 2) วิศวกรรม 3) ชีววิทยาศาสตร์ และ 4) เทคโนโลยีอุบัติใหม่ พัฒนา มีศูนย์วิจัยเฉพาะด้านรวม 14 แห่งมุ่งเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรมหลักหรือสาขา R&D  แต่ละแห่งที่ได้รับคำแนะนำจากหน่วยงานซึ่งประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรม ภายใต้แผนกการวิจัยที่มีอยู่
สภาวิจัยแห่งชาติแคนาดา (National Research Council – NRC)
ศูนย์วิจัยทั้ง 14 แห่งของ NRC ประกอบด้วย
1. Advanced Electronics and Photonics Research Centre
เน้นความเชี่ยวชาญและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์สารกึ่งตัวนำและการออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (คล้ายกับ NECTEC ของไทย)
2. Aerospace Research Centre
เน้นการวิจัยพัฒนาในการออกแบบการผลิตการปฏิบัติงานและการบำรุงรักษายานพาหนะทางอากาศและอวกาศ
3. Aquatic and Crop Resource Development Research Centre
เน้นงานวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับพืชอาหารและสัตว์น้ำ ที่เป็นแหล่งอาหารและภาคผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นๆ
4. Automotive and Surface Transportation Research Centre
เน้นการส่งเสริมทักษะการผลิตขั้นสูงเพื่อช่วยในการพัฒนายานพาหนะที่เบาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดมากขึ้น
5. Construction Research Centre
ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการผลิตวัสดุก่อสร้างและข้อบังคับความปลอดภัยจากอัคคีภัยโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ
6. Digital Technologies Research Centre
ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล ที่เน้นปัญญาประดิษฐ์ ชีวสารสนเทศศาสตร์ blockchain ความปลอดภัยทางไซเบอร์ การวิเคราะห์ข้อูมูล การประมวลผลภาษา
7. Energy, Mining and Environment Research Centre
ศูนย์ที่ส่งเสริมงานวิจัยด้านการลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลกในภาคพลังงานและเหมือง
8. Herzberg Astronomy and Astrophysics Research Centre
ศูนย์วิจัยด้านดาราศาสตร์และดาราศาสตร์ฟิสิกส์ (คล้ายกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย สดร. ของไทย)
9. Human Health Therapeutics Research Centre
ศูนย์ที่ทำการการพัฒนาและผลิตวัคซีนสำหรับการบำบัดขั้นสูง และเทคโนโลยีการวินิจฉัย
10. Medical Devices Research Centre
ศูนย์วิจัยอุปกรณ์ทางการแพทย์ โครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเทคโนโลยีการวินิจฉัยทางการแพทย์
11. Metrology Research Centre
ศูนย์วิจัยด้านมาตรวิทยา ดำเนินการวิจัยการวัดและให้บริการด้านมาตรวิทยาเพื่อให้บริการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (คล้ายกับกรมวิทยาศาสตร์บริการ วศ)
12. Nanotechnology Research Centre
ศูนย์วิจัยนาโนเทคโนโลยี ที่ออกแบบโครงสร้างพื้นฐานในการวิจัยนาโนวิทยาศาสตร์ที่ใช้ข้ามสาขาวิทยาศาสตร์ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ (คล้ายกับ NANOTEC ของไทย)
13. Ocean, Coastal and River Engineering Research Centre
ศูนย์ติดตามและพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาด้านวิศวกรรม ในมหาสมุทร ชายฝั่งทะเลและแม่น้ำ
14. Security and Disruptive Technologies Research Centre
ศูนย์ที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยด้านเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกวัสดุขั้นสูงโฟโตนิกส์ และเทคโนโลยีควอนตัม

การลงนามความตกลงด้าน วทน. ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กับสภาวิจัยแห่งชาติแคนาดา
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับสภาวิจัยแห่งชาติแคนาดา (The National Research Council of Canada – NRC) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กับสภาวิจัยแห่งชาติแคนาดา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2562
ซึ่งทั้งสองประเทศจะมีความร่วมมือด้านวทน. โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ และเกษตรกรรมสมัยใหม่

Canadian Super Clusters ซุปเปอร์คลัสเตอร์บนผืนดินที่กว้างใหญ่ไพศาล
กระทรวงนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และการพัฒนาเศรษฐกิจ (Ministry of Innovation, Science and Economic Development) ได้แบ่งเขตผลิตภัณฑ์วทน. เฉพาะทางไว้ 5 ด้าน โดยแบ่งออกได้ดังนี้
1. Digital Technology ในเขตมณฑล British Columbia) ที่มีนครแวนคูเวอร์เป็นศูนย์กลางอยู่ติดฝั่งทะเลมหาสมุทรแปซิฟิก มุ่นเน้นด้าน Augmented Reality, การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล การคำนวนแบบควอนตัม และพันธุกรรม
2. AI-Powered Supply Chains (ในมณฑล Quebec) ที่มีนครมอนทรีออลเป็นศูนย์กลางและใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก มุ่งเน้นด้าน Artificial intelligence และเทคโนโลยีเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)
3. Protein Industries มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาพันธุกรรม กระบวนการและ IT ใน Agri-food เนื่องจากเป็นแหล่งเกษตรกรรมบนทุ่งหญ้าแพรรี่
4. Ocean มุ่งเน้นด้านการพัฒนาอุปกรณ์วัดและสำรวจทางทะเล การสร้างพลังงานทางน้ำ รวมถึง Marine Biotechnology
5. Advanced Manufacturing มุ่งเน้นด้าน Internet of Things machine Learning Cybersecurity และ 3D Printing สำหรับรองรับภาคการพัฒนาเมือง

Canada’s Science Vision วิสัยทัศน์ วทน. ของแคนาดา
ประธานาธิบดี ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านวทน. มีการลงทุนที่สำคัญดังนี้
การวิจัยขั้นพื้นฐาน ค่าใช้จ่ายทางอ้อมของการศึกษาวิจัย สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน วทน. การวิจัยแบบสหวิทยาและการวิจัยที่มีความเสี่ยงสูง สนับสนุนโครงการ Canada Research Chairs เพื่อดึงดูดนักวิจัยรุ่นใหม่ การจัดทำสำรวจเก็บข้อมูบเกี่ยวกับนักวิจัยและโครงการวิจัยต่างๆ เพื่อพัฒนาความเท่าเทียมและความหลากหลายในการศึกษา เพื่อสนับสนุนองค์กร Canada Foundation for Innovation ในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือล้ำสมัยด้านการวิจัย เพื่อสนับสนุนการวิจัยประยุกต์และผลักดันความร่วมมือวิจัย เพื่อพัฒนากลยุทธด้านโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยดิจิตอลเพื่อเพิ่มการเข้าถึงทรัพยากรด้าน Big Data เพื่อสนับสนุนงานวิจัยของ National Research Council Canada (NRC) และสร้างบทบาทของ NRC เป็นหน่วยงานพันธมิตรด้านการวิจัยและพัฒนาที่น่าเชื่อถือ

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/20190312-newsletter-washington-vol12-61.pdf