รายงานข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 5 เดือนพฤษภาคม 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2562

การจัดการกับการดื้อยาต้านจุลชีพด้วยเทคโนโลยี Whole genome sequencing (WGS)          

การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance, AMR)

การค้นพบยาปฏิชีวนะถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษยชาติ เพราะสามารถช่วยชีวิตคนนับล้านที่ป่วยจากการติดเชื้อแบคทีเรียให้หายได้ แต่ปัจจุบันประสิทธิภาพของยาได้ลดลงเนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคมีการปรับตัวให้ดื้อต่อยา ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลงและอาจไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาอีกต่อไปในอนาคต จึงเป็นที่มาของคำว่า “การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance, AMR)” ซึ่งถูกนิยามไว้ว่า “ความสามารถของจุลินทรีย์ (เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และรา) โดยจุลินทรีย์ที่พบว่ามีอัตราการดื้อยาต้านจุลชีพสูง คือ เชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลานขนาน ส่งผลให้ตลาดยาปฏิชีวนะมีอายุสั้น จึงเป็นการลงทุนที่ไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในกลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ที่สามารถขายและขยายตลาดได้เรื่อยๆ          

สถานการณ์การดื้อยาต้านจุลชีพในยุโรป

ผลการศึกษาจากหน่วยงานความปลอดภัยทางอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรป (ECDC) ได้เน้นว่าภาวะการดื้อยาต้านจุลชีพสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ กรรมาธิการยุโรปด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยอาหาร ได้กล่าวว่า ในทุกๆ ปี การติดเชื้อในยุโรปที่เกิดจากภาวะการดื้อยาต้านจุลชีพส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 25,000 ราย ถือว่าเป็นปัญหาระดับโลก          

การจัดการกับการดื้อยาต้านจุลชีพ

ในปัจจุบัน มีการเรียกร้องให้จัดการกับปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพของแบคทีเรีย การดำเนินงานนี้จำเป็นต้องมีรายละเอียดและได้รับความสนใจจากภาคส่วนต่างๆ โดยที่ผ่านมามีแนวคิดทึ่จะนำระบบการติดตามและประเมินผลการรักษามาใช้จัดการกับปัญหานี้ การป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพของแบคทีเรียนั้นกระทำได้หลายช่องทาง ได้แก่ ใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อมีข้อบ่งใช้ที่เหมาะสม ให้พิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะชนิดออกฤทธิ์แคบ (Narrow-spectrum antibiotics) จะมีความจำเพาะต่อเชื้อสาเหตุและมีประสิทธิภาพมากกว่า จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดการดื้อยาต้านจุลชีพได้ นอกจากนี้วารสารทางการแพทย์ เช่น Lancet ได้นำเสนอกลยุทธ์สำคัญ 5 ประการที่จำเป็นสำหรับการลดอัตราการดื้อยาต้านจุลชีพของเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้

– การเฝ้าระวังการใช้ยาปฏิชีวนะ

– มีการกำหนดกรอบเวลาที่จำเป็นต้องมีการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพและเจาะจงกับเชื้อ

– พัฒนาและรับรองยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ให้ได้ 10 ชนิดภายในปี ค.ศ. 2020

– พัฒนาวิธีการศึกษาพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุลเพื่อตรวจหายีนของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการดื้อยาต้านจุลชีพ          

การลำดับเบสของสารพันธุกรรมทั้งหมด (Whole genome sequencing, WGS)

สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) และกองทุนเวลคัมแห่งกรุงลอนดอนได้ร่วมมือกันค้นหาลำดับเบสของสารพันธุกรรมในมนุษย์ทั้ง 3 พันล้านเบส เมื่อปี ค.ศ.2003 ต่อมาได้ศึกษาหาลำดับเบสของสารพันธุกรรมทั้งหมดในสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น

– หนู มีจีโนมขนาดเล็กกว่ามนุษย์เล็กน้อย ขนาดจีโนมประมาณ 3 พันล้านคู่เบส บรรจุอยู่ในโครโมโซม 20 คู่

– แมลงหวี่ Drosophila มีจีโนมขนาดประมาณ 160 ล้านคู่เบส และมีโครโมโซม 4 คู่

– หนอนตัวกลม C.elegans มีจีโนมขนาดประมาณ 100 ล้านคู่เบส

– ยีสต์ S.cerevisiae มีจีโนมขนาดประมาณ 12,5 ล้านคู่เบส

– แบคทีเรีย E. coli มีโครโมโซมเดี่ยว และมีจีโนมขนาดเล็กเพียง 5 ล้านคู่

กรรมวิธีในการถอดลำดับเบสของสารพันธุกรรมประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ

1. หาการเรียงตัวของคู่เบส (sequencing) ทำโดยตัดเส้น DNA เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนเข้าไปให้เครื่องอ่านอัตโนมัติอ่านเหมือนการแกะตัวอักษรทีละตัว เพื่อให้ได้ลำดับเบสของ DNA ชิ้นนั้น ๆ

2. จากนั้นนำตัวลำดับเบสที่ถอดแล้วในแต่ละชิ้นของเส้น DNA มาประกอบเรียงกันใหม่จนกระทั่งได้ลำดับคู่เบสของ DNA ทั้งหมด

3. เมื่อทราบการเรียงลำดับของ DNA ทั้งหมดแล้ว จึงค้นหาตำแหน่งของยีน ซึ่งมีอยู่เพียงประมาณร้อยละ ในข้อมูลจีโนมทั้งหมด ทั้งนี้อาจทำโดยการค้นหา รหัสบ่งชี้การเริ่มต้นและสิ้นสุดของยีน หรือโดยการเปรียบเทียบกับยีนที่รู้จักแล้ว          

การใช้เทคนิคการหาลำดับเบสของสารพันธุกรรมทั้งหมด (Whole genome sequencing, WGS) ในการตรวจสอบการดื้อยาต้านจุลชีพ

หน่วยงานความปลอดภัยทางอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) ได้ระบุว่าเทคนิคนี้ดีกว่าวิธีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นอกจากจะระบุหาการดื้อยาต้านจุลชีพของเชื้อแบคทีเรียได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ยังสามารถสร้างข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งนำไปต่อยอดในการศึกษาและการวิเคราะห์ทางระบาดวิทยาอื่น ๆได้อีกด้วย

การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคม (STS Forum 2019)          

ความเป็นมา Science and Technology in Society (STS) Forum ก่อตั้งขึ้นโดย นาย Koji Omi ในปีพ.ศ.2547 ซึ่งมีการจัดประชุมประจำปี หรือ STS Forum Annual Meeting ในเดือนตุลาคมของทุกปี ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นเวทีในการพบปะระหว่างผู้กำหนดนโยบายนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และผู้นำในวงการธุรกิจจากทั่วโลก เพื่อหารือเรื่องการนำความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาจัดการกับความท้าทายทางสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษยชาติ          

แถลงการณ์ของผู้เข้าร่วมประชุม การประชุม STS Forum มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรวบรวมผู้คนจากหลากหลายสาขาและภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ บริษัทเอกชน ภาคอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักกำหนดนโยบาย จากประเทศทั่วโลก มาทำงานร่วมกันเพื่อจัดการความท้าทายทางสังคม นำไปสู่การจัดทำนโยบายและข้อเสนอแนะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ในอนาคตของมนุษยชาติ ผ่านการร่วมมือระหว่างองค์กรทั่วโลก และบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่น ๆ จากผู้เข้าร่วมประชุม สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

– หลักสำคัญของการดำเนินงานของ STS Forum คือ ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ บริษัทเอกชน ภาคอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักกำหนดนโยบาย ควรเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาของมนุษยชาติ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย

– ในการจัดประชุมประจำปีของ STS Forum นอกจากประเด็นด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ นวัตกรรม ควรมีหัวข้อหารือในประเด็นด้านสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจด้วย เช่น ผลกระทบทางสังคมต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

– สมาชิกให้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ และนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยรุ่นเยาว์ให้มากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องผลักดันให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเอามาใช้จัดการกับความท้าทายทางสังคม

– ควรมีปรับรูปแบบของการประชุม โดยให้มีการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้ฟังให้มากยิ่งขึ้น โดยปรับให้อยู่ในรูปแบบการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่าง ผู้บรรยาย ผู้ร่วมอภิปราย ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นภาพในการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาทางสังคมได้ชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

– ประเด็นที่ท้าทายระดับโลก คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ซึ่งจำเป็นต้องมีการจัดประชุมระดับนานาชาติเพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน และมีข้อเสนอแนะให้มีการนำข้อเสนอแนะจากการประชุม G7 ด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก

– การจัดการข้อมูลบนโลกออนไลน์ เทคโนโลยีที่อาศัยข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้เชิงลึก ว่ามีผลต่อการพัฒนาและการดำเนินงานในภาคการผลิตสาธารณสุข เศรษฐกิจ และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยข้อมูลขนาดใหญ่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคส่วนเหล่านี้แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความเสี่ยงต่างๆ ตามมา

– ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วโลกยังได้รับประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ไม่มากเท่าที่ควร เหตุนี้การพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำเป็นต้องกระจายให้อย่างเท่าเทียมกันทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศทั่วโลก เพื่อลดช่องว่างของการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี          

การประชุม STS Forum Council Meeting

การประชุม STS Forum Annul Meeting 2019 มีการประชุมเต็มคณะทั้งหมดจำนวน 8 การประชุม หัวข้อ

Science and Technology for the Future of Humankind

Sustainable Society

Lights and Shadows of Energy and Environment

Science and Technology Education for Society

Science and Technology in Business

AI and Society

Delivering Healthcare to the World

Basic Science Innovation and Policy           

การประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ

STS Forum

การประชุม Regional Action on Climate Change (RACC11) :

เพื่อหามาตรการจัดการกับปัญหาและความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ จัดโดยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศญี่ปุ่น

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/20191112-newsletter-brussels-no5-may62.pdf

ทำไมวารสารใน SCI ไม่มีค่า IF

กำลังมองหาวารสารใน Science Citation Index (SCI) เพื่อตีพิมพ์บทความวิชาการ แต่พบว่าวารสารบางชื่อไม่มีค่า Impact factor (IF) … เป็นไปได้หรือไม่ว่าวารสารที่มีรายชื่ออยู่ใน SCI จะไม่มีค่า IF?

วารสารบางชื่อใน Science Citation Index (SCI) รวมถึง Social Sciences Citation Index (SSCI) อาจไม่ปรากฎค่า IF ใน Journal Citation Reports (JCR) หรือ ฐานข้อมูลซึ่งใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยประกอบการพิจารณาประเมินคุณภาพและจัดอันดับวารสารวิชาการ แต่แสดงข้อความว่า Journal Impact “Not Available” เนื่องจาก เป็นวารสารใหม่ที่พึ่งตั้งขึ้นและตีพิมพ์บทความ ทำให้ยังสามารถคำนวณค่า IF ได้ โดยการคำนวนณค่า IF คือ วัดความถี่ของการอ้างอิงบทความวารสารในแต่ละปี โดยเปรียบเทียบกับจำนวนบทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวในรอบ 2 ปี ที่ผ่านมา 

ยกตัวอย่างเช่น วารสาร Current Medical Science ไม่มีค่า IF ใน JCR ปี 2018 เนื่องจาก วารสารนี้เป็นวารสารใหม่ พึ่งเริ่มตั้งในปี 2018 จึงยังไม่เข้าเกณฑ์การคำนวณและให้ค่า IF แต่หากวารสารดังกล่าว เป็นวารสารที่ตีพิมพ์มามากกว่า 2 ปี แล้ว แต่ไม่ปรากฎค่า IF อาจจำเป็นต้องติดต่อไปยังฐานข้อมูลหรือบริษัทที่จัดทำค่า IF เพื่อตรวจสอบสาเหตุ

นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ Citation cartel หรือ การตกลงกันไว้ก่อนระหว่างวารสารในการอ้างอิงกันและกัน เพื่อให้ค่า IF ของวารสารเหล่านั้นเพิ่มขึ้น โดย Citation cartel กรณีแรกเกิดขึ้นในปี 2012 ซึ่ง Thomson Reuters ประกาศระงับการให้ค่า IF ของวารสาร 3 ใน 4 ชื่อทางด้านชีวการแพทย์ เนื่องจากมีพฤติกรรมการตกลงระหว่างวารสารในการอ้างอิงกันและกัน ต่อมาในปี 2014 ก็มีวารสารทางด้านธุรกิจอีก 6 ชื่อ ที่มีพฤติกรรมในทำนองเดียวกัน ซึ่ง Thomson Reuters ก็ดำเนินการเช่นเดียวกัน และในปี 2016 Thomson Reuters ก็ระงับการให้ค่า IF ของวารสาร 2 ชื่อ โดยวารสารทั้งสองจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เดียวกัน ในประเทศเยอรมนี ตามข้อมูลพบว่า 39% ของการอ้างอิงถึงวารสารชื่อที่ 1 ในปี 2015 มาจากวารสารชื่อที่ 2 ที่ถูกระงับการให้ค่า IF ทั้งนี้ในบางรายอาจถึงขั้นถอนรายชื่อวารสาร (อ้างอิงข้อมูลจาก Oransky, I and Marcus, A. (2017, February 22). The science world is plagued by ‘citation cartels’. Retrieved from https://theweek.com/articles/676146/science-world-plagued-by-citation-cartels

รายงานข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 4 เดือน เมษายน 2562

การสร้างความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่าง มหาวิทยาลัย Ghent และ ไบโอเทค

สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้นำคณะจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เข้าลงนาม MOU ด้านการวิจัยการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ร่วมกับศูนย์เก็บรวบรวมสายพันธุ์จุลินทรีย์ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 150 ปี ความสัมพันธ์ไทย-เบลเยียมในเดือนธันวาคม 2561 โดยในเดือนเมษายน 2562 ดร.มาณพ สิทธิเดช อัครราชทูตที่ปรีกษา ได้ประสานนำคณะผู้แทนจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และสวทช. เข้าร่วมการประชุมและประสานความร่วมมือด้านการวิจัยการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agricultural Research and Biotechnology) ร่วมกับมหาวิทยาลัย Ghent ณ ประเทศเบลเยียม โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ สัตวแพทย์ รวมถึงการผลิต start-ups และ spin-off company ห้องปฏิบัติการจุลินทรีย์วิทยาเป็นส่วนหนึ่งของภาคชีวเคมีและจุลินทรีย์วิทยา (Department of Biochemistry and Microbiology) และมีทีมงานมาจากหลายสาชาวิชา เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ชีวเคมี คณิตศาสตร์ และชีวสารสนเทศ สำหรับการเก็บรวบรวมสายพันธุ์แบคทีเรีย โดยการหารือในโอกาสนี้นำไปสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ด้านการวิจัยการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ในเดือนพฤษภาคม 2562 ระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และ Department of Biochemistry and Microbiology มหาวิทยาลัย Ghent ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการวิจัยสองประเทศด้าน Bacterium’s Genome Sequencing และ Long-term Preservation of Bacteria ต่อไป

กฎหมาย GDPR กับ การพัฒนาเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล

ประเทศไทยมีการใช้สังคมออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook LINE Twitter Instagram มากกว่าในประเทศอื่นๆ จนติดอันดับประเทศที่มีการใช้สังคมออนไลน์ที่สูงที่สุดในโลก โดยการใช้ แอพพลิเคชันต่างๆ ผ่านสังคมออนไลน์หรือการหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสืบค้นข้อมูล เช่น Google Yahoo Bing หรือ search engine อื่นๆ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกบันทึกด้วยผู้ให้บริการ โดยเฉพาะข้อมูลในส่วนของการใช้จ่ายหรือเลือกซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต อีกทั้งข้อมุลเหล่านั้นยังถูกนำไปใช้ประมวลผลโดยผู้เก็บข้อมูลและผู้ที่ซื้อข้อมูลจากผู้จัดเก็บข้อมูล เพื่อนำไปวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคและการเลือกซื้อสินค้า ข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ Big Data ซึ่งถูกนำเอาไปทำการตลาดสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของส่วนบุคคลเหล่านี้ให้สนใจซื้อสินค้าและบริการ   

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เรียกว่า General Data Protection Regulation หรือ GDPR เพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค ไม่ให้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างง่ายดายเหมือนแต่ก่อน สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ก็คือ

– หน่วยงานควบคุมข้อมูลที่เจ้าของข้อมูลได้เข้ารับบริการ จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลในการจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งต้องกำหนดขอบเขต วัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลที่ชัดเจน นอกจากนี้มีการกำหนดว่ารายละเอียดเงื่อนไขการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลต้องเข้าใจง่าย โดยกฎหมาย GDPR ระบุว่า คำขอความยินยอมอ่านแล้วเข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่รวบรัด ชัดเจน อีกทั้งกำหนดว่าต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลว่าข้อมูลถูกใช้เอาไปทำอะไร วัตถุประสงค์ใด และ ต้องจำทำสำเนาให้กับเจ้าของข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยห้ามเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

– แต่ละประเทศในสหภาพยุโรปต้องให้การคุ้มครองอย่างเคร่งครัดต่อข้อมูลที่อ่อนไหวเป็นพิเศษ เช่น ความคิดทางการเมือง ศาสนา ลัทธิ พฤติกรรม สุขภาพ พฤติกรรมทางเพศ การเป็นสมาชิกสหพันธ์ประวัตอาชญากรรม เป็นต้น

– การส่งข้อมูลไปต่างประเทศหรือบริษัทที่อยู่ต่างประเทศ ผู้รับข้อมูลต้องมีการคุ้มครองข้อมูลโดยใช้มาตรฐานเดียวกันกับบริษัทในยุโรป

– หน่วยงานควบคุมข้อมูลต้องกำหนดขอบเขตระยะเวลาในการประมวลผล และมีมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลอย่างรัดกุม

– หากพบว่าข้อมูลมีการรั่วไหล หน่วยงานควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลต้องแจ้งให้หน่วยงานกำกับดูแลและประชาชนทราบภายใน 72 ชั่วโมง

– หากพบว่าบริษัทหรือองค์ทำผิดกฎหมาย GDPR องค์กรนั้นๆ ต้องจ่ายค่าปรับร้อยละ 4 ของผลประกอบการรายได้ทั่วโลกทั้งหมด หรือกว่า 20 ล้านยูโร ตัวอย่างความผิดเช่น การได้ข้อมูลมาโดยเจ้าของข้อมูลไม่ได้ให้การยินยอม ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว กรณีของ Facebook โดยบทลงโทษนี้จะถูกบังคุบใช้กับหน่วยงานควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูล   

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกับการพัฒนาเทคโนโลยี

การปรับกระบวนการทำงานเข้าสู่ระบบดิจิทัล (Digitalization) การใช้อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoT) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ การรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล โดยกฎหมาย GDPR ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการวางรากฐาน การเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล และก้าวสู่โลกที่ต้องเชื่อมต่อกันบนสังคมออนไลน์ตลอดเวลา ซึ่งจำเป็นต้องทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มครองจากการโจรกรรมข้อมูล และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่องค์กรต่างๆ ต้องทำ เพื่อ สร้างความมั่นใจว่าระบบและเทคโนโลยีขององค์กรถูกนำไปใช้งานได้อย่างปลอดภัย   

กรณีตัวอย่างของเทคโนโลยีการจดจำใบหน้ากับกฎหมาย GDPR

การใช้ภายใต้กฎหมาย GDPR เช่น กรณีบริษัท Google จะต้องจ่ายค่าปรับถึง 50 ล้านยูโร สำหรับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ผู้ควบคุมศูนย์ข้อมูลของฝรั่งเศส (The National Commission for Informatics and Liberties, CNIL) ได้กล่าวหาว่าบริษัท Google ขาดความโปร่งใส ข้อมูลไม่เพียงพอและขาดความยินยอมที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโฆษณา อีกตัวอย่างคือ กรณีพิพาทว่าด้วยเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Face Recognition Technology, FRT) ที่ถูกใช้โดย Facebook หลังจากที่ Facebook ถูกฟ้องว่าใช้ข้อมูลใบหน้าของผู้ใช้ Facebook โดยไม่ได้ขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อน โดยการที่ Facebook ได้ใช้ facetemplates ในการแนะนำให้แท็กบุคคลในรูป โดยไม่ต้องแจ้งให้ใครทราบ เทคโนโลยีจดจำใบหน้าจะเก็บข้อมูลลักษณะใบหน้าของคน อยู่ภายใต้ข้อมูลไบโอเมตริก จัดเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว” (sensitive personal data) ตามคำนิยามของข้อมูลไบโอเมตริกใน กฎหมาย GDPR ซึ่งหมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดจากการประมวลผลทางเทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับลักษณะทางกายภาพ สรีรวิทยา และพฤติกรรมของคนตามธรรมชาติ เช่น ภาพใบหน้า หรือลายนิ้วมือ ตามข้อกำหนดของกฎหมาย GDPR ได้แบ่งข้อมูลไบโอเมตริก ออกเป็น 2 ประเภท คือ

– ลักษณะทางกายภาพ : ลักษณะใบหน้า ลายนิ้วมือ ม่านตา น้ำหนัก ฯลฯ

– ลักษณะพฤติกรรม : นิสัย การกระทำ ลักษณะบุคลิก ท่าทางประหลาดๆ การเสพติด ฯลฯ   

การเปรียบเทียบระหว่างกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรปและกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย

หากพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย กับกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป แม้กฎหมายทั้ง 2 จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกัน ในหลายเรื่องเช่น

1.การยกเลิกความยินยอมและการร้องขอโดยเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ลบ ทำลาย ระงับการใช้ หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.กระทำได้ยากหรือมีเงื่อนไขมากกว่าของกฎหมาย GDPR

2. ในส่วนของข้อบังคับเกี่ยวกับข้อมูลสำคัญนั้นกฎหมาย GDPR มีการกำหนดเพิ่มเติมไว้ว่าข้อมูลประเภทนี้จะจัดเก็บได้หากข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวนี้เป็นข้อมูลที่เจ้าของข้อมูลได้ทำให้เป็นข้อมูลสาธารณะด้วยตนเอง หรือเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยการนำไปใช้ในงานวิจัยหรือจัดทำสถิติโดยไม่มีการระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูล

3. ในส่วนของโทษทางแพ่งและทางอาญาเมื่อเกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือกระทำผิดตามพ.ร.บ. พบว่า พ.ร.บ. ของไทย มีการกำหนดโทษจำคุกและค่าปรับ ไว้ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับค่าปรับที่กำหนดไว้ในกฎหมาย GDPR

4. ขอบเขตของการบังคับใช้กฎหมาย สำหรับร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ บังคับใช้แก่การเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ไม่ว่าผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลนั้นอยู่ในหรือนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทำเกิดหรือเล็งเห็นว่าจะมีผลเกิดในประเทศไทยเท่านั้น ในขณะที่กฎหมาย GDPR มีผลบังคับใช้กับการเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่อาศัยในทุกประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ไม่สนใจว่าเจ้าของข้อมูลนั้นจะเป็นพลเมืองของประเทศใด ดังนั้น ธุรกิจดิจิทัลที่ทำธุรกรรมออนไลน์กับลูกค้าหรือหุ้นส่วนในไทยและยุโรป หรือสถาบันวิจัย ที่มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ ผู้รวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนตัวของคนที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยและในสหภาพยุโรป จำเป็นต้องเรียนรู้กฎหมายทั้ง 2 นี้และปฏิบัติตามเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีการกำหนการรับผิดทางแพ่งและกำหนดโทษทางอาญาและทางปกครอง

การจัดการกับปัญหาการลักลอบซื้อขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างผิดกฎหมาย   

ปัญหา

การลักลอบซื้อขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างผิดกฎหมายได้ทำลายความน่าเชื่อถือของระบบการจดทะเบียนขึ้นสินค้าของภาครัฐ รวมไปถึงก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจในความสามารถของภาครัฐในการป้องกันผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จากการได้รับอันตรายจากสินค้าที่ผิดกฎหมายและไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนหรือรับรองจากภาครัฐ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อตลาดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพราะสินค้าที่ถูกกฎหมายได้ถูกทดแทนด้วยสินค้าอันตรายที่มีราคาถูก นอกจากนี้ การลักลอบซื้อขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างผิดกฎหมายยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้สินค้าความปลอดภัยในห่วงโซ่การผลิตอาหาร และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งเห็นได้จากปัญหาทางสุขภาพและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการสัมผัสกับสารตกค้างอันตราย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร และทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลงเป็นผลต่อเนื่องกันมา   

แนวทางแก้ปัญหา

ในการจัดการปัญหาการลักลอบซื้อขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างผิดกฎหมาย องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ โออีซีดี (Organisation for Economic Co-operation and Development, OECD) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้จัดทำข้อเสนอแนะและแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อส่งเสริมการร่วมมือกันระหว่างประเทศ และระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในการตรวจจับและป้องกันการลักลอบซื้อขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งรายละเอียดของข้อเสนอแนะสำหรับแต่ละภาคส่วนสามารถสรุปได้ดังนี้

โรงงานผลิตและโรงจัดเก็บสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

– หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศควรจะต้องมีการจัดทำและอัพเดทรายการโรงงานผลิตและโรงจัดเก็บสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้เข้าไปตรวจสอบโรงงานเหล่านี้ได้

– สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกผลิตเพื่อซื้อขายและใช้ภายในประเทศจำเป็นต้องมีการขึ้นทะเบียนกับภาครัฐและมีการแปะฉลากที่ถูกกฎหมายบนผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน

– โรงงานที่ผลิตสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต้องมีการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลการผลิตและการจัดเก็บของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับการจัดเก็บ ได้แก่ ชื่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ประเทศปลายทางที่สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะถูกใช้ วันที่ในการผลิต ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตสารออกฤทธิ์ที่ใช้ในสารเคมีกำจัดศัตรูพืช วันที่ที่ได้รับสารออกฤทธิ์เข้าสู่โรงงาน หมายเลขชุดการผลิต ประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ และวันที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

ผู้ตรวจสอบ

– ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบต้องมีความรู้ในเรื่องข้อกำหนดในการจัดเก็บและการบรรจุสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

– ควรมีการจัดสร้างความร่วมมือของผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบระหว่างประเทศ เพื่อเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญ

ผู้ส่งออก

– หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศควรจะต้องมีการจัดทำและอัพเดทรายชื่อผู้ส่งออกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศนั้นๆ

– ผู้ส่งออกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชจำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลอย่างละเอียดของผลิตภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกส่งออกเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ได้แก่ ชื่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสารออกฤทธิ์ ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออก ชื่อและที่อยู่ของผู้รับสินค้า วันที่ส่งออก วันที่รับมอบสินค้า และจำนวนสินค้าที่ถูกส่งออก

– ในการตรวจสอบการส่งออกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ผิดกฎหมาย หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศนั้นๆ ควรมีการจัดทำระบบตรวจสอบของสินค้า เช่น การตรวจสอบใบอนุญาตการส่งออก เมื่อสินค้าเดินทางสู่ประเทศปลายทาง

การขนส่ง

– เจ้าหน้าที่ ณ ประเทศปลายทางต้องตรวจสอบข้อมูลสินค้าก่อนสินค้าจะเดินทางมาถึงปลายทาง หากพบว่าสินค้าที่กำลังถูกนำเข้ามีความน่าสงสัย เจ้าหน้าที่จะต้องทำการควบคุมและดำเนินการตรวจสอบเมื่อสินค้าเข้ามายังประเทศปลายทางทันที โดยผู้ส่งออกต้องแจ้งข้อมูลให้แก่ประเทศที่นำเข้าสินค้าทราบล่วงหน้า ใบเสร็จ ใบอนุญาตในการส่งออก เอกสารที่แสดงข้อมูลของสารเคมี รายการบรรจุภัณฑ์ และข้อมูลสินค้าที่ส่งออก

ผู้นำเข้า

– หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศจะต้องมีการจัดทำและอัพเดทรายชื่อผู้นำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศนั้นๆ เพื่อที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้สามารถระบุชนิดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่นำเข้าในแต่ละช่วงเวลา และเข้าไปตรวจสอบผู้นำเข้าได้ รวมไปถึงการตรวจสอบสินค้าที่ถูกนำเข้าในแต่ละชุดได้ด้วย

– ผู้นำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต้องจัดเก็บข้อมูลอย่างละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 5 ปี ได้แก่ ชื่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสารออกฤทธิ์ ชื่อและที่อยู่ของผู้นำเข้า ชื่อและที่อยู่ของผู้ที่จดส่งสินค้า วันที่นำเข้า วันรับมอบสินค้า และจำนวนสินค้าที่นำเข้า

– ในการตรวจสอบการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ผิดกฎหมาย หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศนั้นๆ ควรมีการจัดทำระบบตรวจสอบของสินค้า เช่น การตรวจสอบใบอนุญาตการส่งนำเข้า

ผู้จัดจำหน่าย หรือกระจายสินค้า (ผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก)

– หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศจะต้องมีการจัดทำอัพเดทรายชื่อผู้จัดจำหน่ายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศนั้นๆ เพื่อที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้สามารถระบุชนิดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกจัดจำหน่ายในแต่ละช่วงเวลา และเข้าไปตรวจสอบผู้จัดจำหน่ายเหล่านี้ได้

– ผู้จัดจำหน่ายต้องจัดเก็บข้อมูลอย่างละเอียดของสารเคมีระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ได้แก่ ชื่อสารเคมี สารออกฤทธิ์ ชื่อและที่อยู่ของผู้จัดจำหน่ายและผู้ซื้อ วันที่ซื้อ วันที่รับมอบสินค้า

– ในการตรวจสอบการจัดจำหน่ายสารเคมีผิดกฎหมาย ควรมีการจัดทำระบบการขึ้นทะเบียนและตรวจสอบของสินค้า เช่น ตรวจสอบใบอนุญาตของการจัดจำหน่าย

บรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืช

– หลังการใช้สารเคมีแล้วควรจะต้องล้างบรรจุภัณฑ์ด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 3 ครั้ง และทำการเจาะรูบรรจุภัณฑ์เพื่อป้องกันการนำไปใช้อย่างผิดกฎหมาย   

การจัดการกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ผิดกฎหมาย

เมื่อตรวจพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ผิดกฎหมายหรือหมดอายุต้องมีการกำจัดทิ้งอย่างทันที โดยมีการจัดเตรียมสถานที่ อุปกรณ์ ที่กำจัดที่เหมาะสม   

การจัดการกับปัญหาการลักลอบซื้อขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยที่ผ่านมา มีการลักลอบนำเข้าสารเคมีข้ามชายแดนมาขาย รวมทั้งการนำสารที่ถูกระงับการใช้แล้วมาวางขายในท้องตลาดอย่างผิดกฎหมาย โดยระบุว่าสารเคมีเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ใช้เอง และทำให้ดินได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างไม่สามารถเพาะปลูกได้ ปัจจุบันประเทศไทยมีแผนป้องกันการลักลอบซื้อขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างผิดกฎหมายโดยออกกฎให้มีการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีการนำเข้า ส่งออกและจัดจำหน่ายในประเทศ

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/20191112-newsletter-brussels-no4-april62.pdf

แนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลก ปี 2030 (ตอนที่ 1)

มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จะมีประชากรทั่วโลกสูงถึง 8.5 หมื่นล้านคน โดยจะเป็นผู้สูงอายุ (ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป) ประมาณ 1 พันล้านคน หรือคิดเป็น 12% ของประชากรทั้งหมด 

Gabrielle Lieberman, Director of Trends and Social Media Research บริษัท Mintel ได้เสนอ 7 ปัจจัยขับเคลื่อนพฤติกรรมผู้บริโภคในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อนำไปสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดย 7 ปัจจัยที่ว่า ได้แก่

  1. คุณภาพชีวิต
  2. สิ่งแวดล้อม
  3. เทคโนโลยี
  4. สิทธิ
  5. เอกลักษณ์
  6. คุณค่า และ
  7. ประสบการณ์

โดยบทความในตอนนี้จะขอนำเสนอ 3 ปัจจัยแรกก่อน ได้แก่ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และ เทคโนโลยี

คุณภาพชีวิต

แม้ว่าการดูดีจะมีความสำคัญต่อผู้บริโภคจำนวนมาก แต่การพิจารณาถึงประโยชน์ทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์ในระยะยาวกำลังได้รับความสำคัญเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค ผู้บริโภคจำนวนมากกำลังมองหาวิธีการแก้ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตแบบองค์รวม โดยคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า ระบบอัตโนมัติจะมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นและสร้างโอกาสสำหรับรูปแบบการทำงานที่ดีต่อสุขภาพ อากาศและน้ำจะกลายเป็นจุดขาย มีการเติบโตของระบบกรองมลพิษภายในบ้านเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวอย่างมีสติและการทำสมาธิจะมีความสำคัญเท่ากับสมรรถภาพทางกาย

สิ่งที่คาดหวังในปี 2030 ได้แก่

  • การพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามในร่างกาย
  • อากาศสะอาดเป็นจุดขายสำหรับผู้ค้าปลีก บนถนน สถานที่ และอาคารสาธารณะ
  • การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ จะทำให้เกิดวิธีการใหม่ๆ ในชุมชน ด้วยการแบ่งปันสิ่งอำนวยความสะดวก และทรัพยากรกลายเป็นสิ่งจำเป็น
  • การเป็นเจ้าของยานพาหนะลดลงเนื่องจากพื้นที่ทางกายภาพและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของมลพิษทางอากาศกลายเป็นสิ่งสำคัญ

กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030

  • การทำความเข้าใจกับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคลคือสิ่งสำคัญเนื่องจากผู้คนต่างต้องการหาวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะ
  • การทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญ แบรนด์ที่ทำหน้าที่เป็นพันธมิตรกับผู้บริโภคจะประสบความสำเร็จ โดยทำให้ผู้บริโภคมีพลังในการตัดสินใจ แบรนด์ต้องเสนอข้อมูลที่ผู้บริโภคต้องการในเวลาที่ต้องการ และการให้คำแนะนำ
  • การใช้ประโยชน์พื้นที่ออนไลน์และออฟไลน์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้บริโภค

สภาพแวดล้อม

ปัจจุบันผู้คนกำลังทบทวนเกี่ยวกับชุมชน การออกแบบและใช้สอยพื้นที่ในเมือง และการใช้ทรัพยากรร่วมกัน นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ทำให้ผู้คนมองถึงการสร้างพื้นที่สีเขียวมากขึ้น การแบ่งปันพื้นที่นั่งเล่น ทำงาน เรียนรู้ และพักผ่อนกำลังสร้าง องค์กรชุมชนแกนหลัก (Community-based Organization) และ เทคโนโลยีการสื่อสารที่ดีขึ้นและราคาไม่แพงมากช่วยให้สภาพการทำงานของผู้คนมีความยืดหยุ่น โดยคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า หากผู้คนไม่ลดปริมาณการบริโภค ขยะและการใช้พลังงาน พื้นที่ในเมืองก็จะกลายเป็นมลพิษมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ด้วยผู้คนจำนวนมากที่อัดแน่นในพื้นที่ที่ลดน้อยลง ความตึงเครียดทางสังคมจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการแข่งขันเพื่อเพิ่มทรัพยากร เกิดการแบ่งชนชั้นทางสังคมมากขึ้นและความล้มเหลวในการจัดการกับความจำเป็นในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการวางผังเมืองที่ดี

สิ่งที่คาดหวังในปี 2030 ได้แก่

  • ผู้ประกอบการจะสร้างความมั่งคั่งใหม่ในระดับรากหญ้าในท้องถิ่น
  • จริยธรรมทางการเมือง สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจ เป็นตัวขับเคลื่อนทิศทางของนวัตกรรม ขณะที่ผู้คนเรียนรู้ที่จะรับมือกับสภาพภูมิอากาศแบบใหม่
  • บ้านสำเร็จรูป ที่เคลื่อนที่ได้ และมีขนาดเล็ก สามารถซื้อหรือเช่า เพื่อการอยู่อาศัยที่มีความยืดหยุ่น
  • พื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้นเนื่องจากถนนมีขนาดเล็กผู้คนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
  • พื้นที่ในท้องถิ่น พื้นที่ธุรกิจขนาดเล็ก พื้นที่ทางการเกษตรแบบแบ่งปัน จะถูกส่งเสริม
  • กลุ่มผลประโยชน์ที่มีใจเดียวกันก่อตัวขึ้นทั่วโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ต
  • การปรับปรุงพื้นที่ทั้งในชนบทและในเมืองยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030

  • แบรนด์ที่เติบโตขึ้นในปี 2030 จะเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้เกิดนวัตกรรมการทำงานร่วมกันในผลิตภัณฑ์และบริการที่นำเสนอโซลูชั่นเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนท้องถิ่น
  • ผู้บริโภคจะต้องการสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตในท้องถิ่นที่ดีขึ้นและโอกาสในการพัฒนาทักษะและความคิด แบรนด์ที่จะเติบโตในปี 2030 จะลงทุนในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวมากกว่าผลกำไรในระยะสั้น โดยเชื่อมต่อกับชุมชนและทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีประสิทธิภาพที่พวกเขาต้องการ
  • ผู้คนจะต้องการสร้างสมดุลระหว่างการทำงาน การเรียนรู้ การเลี้ยงดูครอบครัว และพักผ่อนอย่างยืดหยุ่น แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปี 2030 จะเป็นแบรนด์ที่สร้างวิธีการทำงานและการขายใหม่ๆ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกัน สร้างสรรค์ และสื่อสารกับชุมชนที่พวกเขาให้บริการ

เทคโนโลยี

ภายในปี 2030 คาดการณ์ว่าเทคโนโลยี 5G จะเชื่อมโยงอุปกรณ์ 125 พันล้านเครื่อง เทคโนโลยีมือถือจะทำให้เส้นแบ่งระหว่างเวลา การเดินทาง และสถานที่สำหรับการทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนจางลง สิ่งนี้จะรวมองค์ประกอบต่างๆ ของความเป็นจริงเสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR) และ ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality หรือ AR) เข้ากับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นการท่องเที่ยวและความบันเทิง นอกจากนี้ virtual e-sports จะเป็นคู่ต่อสู้ของ physical sports

การออกแบบในเมืองจะถูกขับเคลื่อนโดยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยใช้ยานพาหนะอัตโนมัติสำหรับการเชื่อมต่อระยะทางไกล มีการพัฒนา App เพื่อการตั้งค่าการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน และเฟอร์นิเจอร์อัจฉริยะจะช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างการตั้งที่ชื่นชอบได้ทุกที่เพื่อให้เหมาะกับอารมณ์ ความสะดวกสบาย และนิสัยการบริโภคสื่อของแต่ละบุคคล

บริการที่ผสานกันระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงเข้าด้วยกันจะเหนือกว่าการค้าปลีกปกติ เนื่องจากธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์และร้านค้าที่ไม่มีคนควบคุมเต็มรูปแบบ มีการเรียกร้องข้อมูลส่วนบุคคล และมองหาการปฏิสัมพัธ์ระหว่างมนุษย์มากขึ้น

ปัจจุบัน หากแนวทางการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศได้ผล จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมในด้านอื่นๆ ที่น่าสนใจร่วมกันทั่วโลก โดยได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีการสื่อสารที่รวดเร็วมากขึ้น สิ่งนี้จะขยายไปสู่การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดช่องว่างระหว่างผู้บริโภคและแบรนด์ ช่วยกระจายความคิดและนวัตกรรม และทำให้เศรษฐกิจมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้คนจะได้รับความสนใจน้อยลงจากการจ้างงานแบบตายตัวและต้องการโอกาสการทำงานที่เป็นอิสระและที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานลักษณะดังกล่าว

โดยคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือกิจกรรมหรือแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้รับแรงกระตุ้นเพียงพอ ส่งผลให้ผู้คนต้องการเทคโนโลยีใหม่เพื่อลดผลกระทบและช่วยให้ตนมีชีวิตอยู่กับผลที่ตามมาได้ ทั้งนี้หนึ่งในผลที่ตามมาคือการลี้ภัยจากสภาพภูมิอากาศซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไม่เท่าเทียมกันมากขึ้น คาดว่าจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบของการย้ายถิ่นและการพลัดถิ่น 

สิ่งที่คาดหวังในปี 2030 ได้แก่

  • เมืองที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการขนส่งแบบอิสระพร้อมด้วยคุณสมบัติ AR ในตัว
  • Media-stream brands
  • Nanobots ทางหลอดเลือดดำ ที่ตรวจสอบการทำงานของร่างกายและความแข็งแรงอย่างต่อเนื่อง
  • App การตั้งค่าภายในบ้าน 
  • เทคโนโลยี 5G ทำให้เส้นแบ่งระหว่างการทำงาน การเรียนรู้ การพักผ่อน และเวลาเดินทางจางลง
  • เทคโนโลยี VR และ AR เป็นบรรทัดฐานสำหรับการท่องเที่ยวและความบันเทิง
  • บริการค้าปลีกออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) ที่ไร้รอยต่อ ซึ่ง O2O คือ การตลาดดิจิทัลเพื่ออธิบายระบบที่ชักจูงผู้บริโภคในสภาพแวดล้อมดิจิทัลเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจทางกายภาพหรือออฟไลน์ 
  • เทคโนโลยี 5G ทำให้ virtual esports แซงหน้า physical sports ในความนิยม

กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030

  • แบรนด์ที่เติบโตขึ้นในปี 2030 จะเป็นแบรนด์ที่คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความคาดหวังและพฤติกรรมของผู้บริโภค
  • ความคาดหวังและพฤติกรรมของผู้บริโภคจะได้รับการแจ้งที่ดีขึ้นและเรียกร้องมากขึ้น แบรนด์ที่จะเฟื่องฟูในปี 2030 จะไม่รอให้ผู้บริโภคเรียกร้องมากขึ้น แต่แบรนด์ดังกล่าวจะคิดค้นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า
  • การเปลี่ยนแปลงจะถูกนำไปใช้กับวิธีการทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนของผู้บริโภค โดยแบรนด์ที่เติบโตขึ้นในปี 2030 จะเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีความยืดหยุ่นในการผสมผสานระหว่างแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ยังมีอีก 4 ปัจจัยขับเคลื่อนพฤติกรรมผู้บริโภคในอีก 10 ปีข้างหน้า ติดตามอ่านได้ในบทความตอนที่ 2

อ้างอิง

Lieberman, G. (2019). 2030 Global Consumer Trends : Seven core drivers of consumer behaviour that will shape global markets over the next 10 years [presentation].

ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัล ประจำปี 2562 โดย IMD (2019 IMD World Digital Competitiveness Ranking)

ในปี 2562 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ไว้ที่ IMD WORLD DIGITAL COMPETITIVENESS RANKING 2019 โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้

ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2561-2562 โดย IMD

ประเทศ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ ไทย
ปี 2562 2561 2562 2561 2562 2561 2562 2561 2562 2561 2562 2561
อันดับรวม 1 1 2 2 3 3 4 4 5 5 40 39
1. ความรู้ 1 4 3 1 4 7 6 8 2 6 43 44
1.1 ความสามารถพิเศษ 14 11 1 1 8 10 6 6 2 2 40 42
1.2 การฝึกอบรมและการศึกษา 25 21 4 1 2 5 6 3 15 15 50 44
1.3 ความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 1 1 22 19 3 3 17 14 7 6 35 45
2. เทคโนโลยี 5 3 1 1 7 5 11 10 10 9 27 28
2.1 โครงสร้างการควบคุม 19 16 2 2 5 12 10 8 14 15 33 34
2.2 เงินทุน 1 1 8 8 4 10 27 22 16 15 21 28
2.3 โครงสร้างเทคโนโลยี 11 9 1 1 12 7 8 5 9 8 29 23
3. ความพร้อมในอนาคต 1 2 11 15 6 5 2 1 10 10 50 49
3.1 ทัศนคติที่ปรับตัวได้ 2 1 19 20 8 9 1 5 11 12 58 55
3.2 ความคล่องตัวทางธุรกิจ 2 9 6 18 13 10 10 6 14 7 30 34
3.3 การรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ 5 8 4 3 12 11 1 5 7 16 51 55

สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์, สวีเดน, เดนมาร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ ยังคงครองอันดับรวมที่ 1 ถึง 5 ไว้เหมือนกับปีที่แล้ว (2561)  ตามลำดับ ซึ่งตรงข้ามกับไทยที่ในปีนี้ (2562) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 40 ซึ่งเลื่อนลงมา 1 อันดับจากปีที่แล้ว

ปัจจัยที่ทำให้สหรัฐอเมริกายังคงรักษาอันดับ 1 ได้อย่างเดิม มาจากการพัฒนาด้านความรู้ที่ได้อันดับ 1 ในปีนี้เลื่อนขึ้นมาถึง 3 อันดับ และด้านความพร้อมในอนาคตที่ได้อันดับ 1 ในปีนี้ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 2 ส่วนด้านเทคโนโลยีมีอันดับเลื่อนลง 2 อันดับ ได้อันดับ 5 ในปีนี้ การพัฒนาด้านความรู้ของสหรัฐอเมริกาที่ดีขึ้นเกิดจากปัจจัยย่อยคือ การยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้ของความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา และความสามารถพิเศษจะมีอันดับเลื่อนลงกว่าปีก่อน 4 อันดับ และ 3 อันดับ ตามลำดับ ปีนี้ได้อันดับ 25 และ 14 ตามลำดับ ตัวชี้วัดที่ส่งผลให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับ 1 ได้คือ รายจ่ายทั้งหมดในการวิจัยและพัฒนา ผลิตผลทางการวิจัยและพัฒนาในรูปของสิ่งพิมพ์เผยแพร่ การจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การให้ทุนสิทธิบัตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการศึกษาวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่เพิ่งมีในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาคือ การฝึกหัดพนักงาน ตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ และทักษะทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ส่งผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ ส่วนการพัฒนาด้านความพร้อมในอนาคตที่เลื่อนขึ้นมา 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ เกิดจากปัจจัยย่อยคือ ความคล่องตัวทางธุรกิจ และการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 7 และ 3 อันดับ ตามลำดับ เป็นอันดับ 2 และ 5 ตามลำดับในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของความคล่องตัวทางธุรกิจคือ โอกาสและอุปสรรค และการกระจายทั่วโลกของหุ่นยนต์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่เพิ่งมีในปีนี้ ส่วนตัวชี้วัดที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศคือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ส่วนปัจจัยด้านเทคโนโลยีที่มีอันดับเลื่อนลงเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และโครงสร้างเทคโนโลยีจากอันดับ 16 และ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 19 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดที่มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของโครงสร้างการควบคุมคือ กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดทั้งในปีนี้และปีที่แล้วคือ ได้อันดับ 60 ในปีนี้ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 54 และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ในขณะที่ตัวชี้วัดที่มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของโครงสร้างเทคโนโลยีคือ ผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ และการส่งออกสินค้าไฮเทค

การเลื่อนอันดับลง 2 อันดับจากอันดับ 1 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 3 ในปีนี้ของปัจจัยความรู้ และการเลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ ในปีนี้มีอันดับ 11 ของปัจจัยความพร้อมในอนาคต ในขณะที่ปัจจัยเทคโนโลยียังคงรักษาอันดับ 1 ไว้เหมือนเดิม ทำให้สิงคโปร์สามารถรักษาอันดับรวมไว้ที่อันดับ 2 เหมือนปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา และปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ จากอันดับ 1 และ 19 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 4 และ 22 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาคือ การฝึกหัดพนักงาน และจำนวนเฉลี่ยของนักศึกษาต่ออาจารย์ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ตัวชี้วัดรายจ่ายทั้งหมดในการวิจัยและพัฒนา และการศึกษาวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความพร้อมในอนาคตโดยหลักเกิดจากปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจที่มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 12 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับขึ้นมากของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจคือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรคที่มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 13 อันดับ จากอันดับ 22 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัทที่มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 19 อันดับ จากอันดับ 26 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 7 ในปีนี้ และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 6 อันดับ ได้อันดับ 15 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม เงินทุน และโครงสร้างเทคโนโลยียังคงรักษาอันดับไว้เหมือนเดิมที่อันดับ 2, 8 และ 1 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยเทคโนโลยียังคงอยู่ที่อันดับ 1 เท่าเดิม

การยังคงอันดับรวมที่อันดับ 3 ในปีนี้เหมือนปีที่แล้วของสวีเดน เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้ที่เลื่อนจากอันดับ 7 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 4 ในปีนี้ และการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต 2 และ 1 อันดับ มีอันดับ 7 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยความรู้เลื่อนอันดับขึ้นคือ ความสามารถพิเศษ และการฝึกอบรมและการศึกษาที่เลื่อนขึ้น 2 และ 3 อันดับ เป็นอันดับ 8 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศและตัวชี้วัดทักษะทางด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัลมีผลทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ ส่วนตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาคือ ผู้สำเร็จการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยหลักที่ส่งผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยเทคโนโลยีคือ โครงสร้างเทคโนโลยีที่เลื่อนลง 5 อันดับ มีอันดับ 7 ในปีที่แล้ว ส่วนในปีนี้มีอันดับ 12 ตัวชี้วัดที่มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีคือ ผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 10 อันดับ ได้อันดับ 32 ในปีนี้ ในขณะที่การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความพร้อมในอนาคตเนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของ 2 ปัจจัยย่อยได้แก่ ความคล่องตัวทางธุรกิจ และการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ได้อันดับ 10 และ 11 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 13 และ 12 ตามลำดับ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเลื่อนอันดับลงคือ ความคล่องตัวของบริษัท ส่วนตัวชี้วัดที่สำคัญที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศได้แก่ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 10 อันดับ จากอันดับ 26 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 36 ในปีนี้

เดนมาร์กมีอันดับรวมจัดอยู่ในอันดับ 4 เหมือนปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้จากอันดับ 8 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 6 ในปีนี้ และการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยเทคโนโลยีและความพร้อมในอนาคตจากอันดับ 10 และ 1 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 11 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการปรับอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้คือ ความสามารถพิเศษที่ยังคงรักษาอันดับ 6 ไว้เหมือนเดิม ถึงแม้อีก 2 ปัจจัยย่อยได้แก่ การฝึกอบรมและการศึกษา และความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ มีการเลื่อนอันดับลงจากอันดับ 3 และ 14 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 6 และ 17 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษยังคงรักษาอันดับไว้เหมือนเดิมคือ การประเมินนักเรียนนานาชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) วิชาคณิตศาสตร์ และตัวชี้วัดการไหลสุทธิของนักเรียนระหว่างประเทศที่ยังคงรักษาอันดับ 11 และ 6 ไว้เหมือนเดิม ตามลำดับ ส่วนการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยเทคโนโลยีเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของทั้ง 3 ปัจจัยย่อยได้แก่ โครงสร้างการควบคุม เงินทุน และโครงสร้างเทคโนโลยี เลื่อนอันดับลง 2, 5 และ 3 อันดับ ได้อันดับ 10, 27 และ 8 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดที่มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมคือ การเริ่มต้นธุรกิจ และตัวชี้วัดการพัฒนาและโปรแกรมใช้งานของเทคโนโลยี ส่วนตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยเงินทุนได้แก่ การให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี และการบริการทางการเงินและธนาคาร ในขณะที่การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีส่งผลอย่างมากมาจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทคถึง 13 อันดับ มีอันดับ 33 ในปีนี้ ปัจจัยความพร้อมในอนาคตเลื่อนอันดับลงเนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเป็นหลัก โดยเลื่อนอันดับลง 4 อันดับ จัดอยู่ในอันดับ 10 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจได้แก่ การใช้ big data และ analytics ที่เลื่อนอันดับลงถึง 10 อันดับ มีอันดับ 17 ในปีนี้

สวิตเซอร์แลนด์มีอันดับรวมจัดอยู่ในอันดับ 5 ในปีนี้ ซึ่งรักษาอันดับไว้เหมือนเดิมกับปีที่แล้ว เนื่องจากการยังคงรักษาอันดับ 10 ไว้เหมือนเดิมของปัจจัยความพร้อมในอนาคต และการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้ 4 อันดับ จัดอยู่ในอันดับ 2 ในปีนี้ ในขณะที่ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับลง 1 อันดับ มีอันดับ 10 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการยังคงรักษาอันดับเดิมไว้ได้ของปัจจัยความพร้อมในอนาคตคือ ทัศนคติที่ปรับตัวได้ และการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เลื่อนอันดับขึ้น 1 และ 9 อันดับ เป็นอันดับ 11 และ 7 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเลื่อนอันดับลง 7 อันดับ มีอันดับ 14 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลมากต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้คือ การมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ เลื่อนอันดับขึ้นถึง 14 อันดับ จากอันดับ 51 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 37 ในปีนี้ ส่วนตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศได้แก่ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่เลื่อนอันดับขึ้นถึง 12 อันดับ จากอันดับ 27 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 15 ในปีนี้ ในขณะที่ตัวชี้วัดทำให้เกิดการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจคือ การใช้ big data และ analytics เลื่อนอันดับลง 5 อันดับ จัดอยู่ในอันดับ 29 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้เกิดจากการยังคงรักษาอันดับ 2 และ 15 ไว้ได้อย่างเดิมของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ และปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ตามลำดับ ถึงแม้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์จะเลื่อนอันดับลง 1 อันดับ มีอันดับ 7 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลต่อการยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนเดิมของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษคือ การยังคงรักษาอันดับเดิมไว้ได้ของตัวชี้วัดการประเมินนักเรียนนานาชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) วิชาคณิตศาสตร์  ตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ ตัวชี้วัดบุคลากรที่มีทักษะสูงเรื่องต่างประเทศ ตัวชี้วัดการจัดการเมือง และตัวชี้วัดการไหลสุทธิของนักเรียนระหว่างประเทศ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อการยังคงรักษาอันดับเดิมได้ของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาได้แก่ ความสำเร็จของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับลงเนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยเงินทุน และโครงสร้างเทคโนโลยีจากอันดับ 15 และ 8 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 16 และ 9 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดที่สำคัญทำให้เกิดการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีได้แก่ ผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ และบรอดแบนด์ไร้สาย

ปีนี้ไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ปีที่แล้วได้อันดับ 39 เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความพร้อมในอนาคต 1 อันดับ จากปีที่แล้วมีอันดับ 49 เป็นอันดับ 50 ในปีนี้ ส่วนอีก 2 ปัจจัยคือ ความรู้ และเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 44 และ 28 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 43 และ 27 ในปีนี้ ตามลำดับ ดังนั้นประเทศยังคงต้องพัฒนาด้านความพร้อมในอนาคตและด้านความรู้เนื่องจากยังคงมีอันดับที่ต่ำมากในปีนี้ และทั้งสองปัจจัยเป็นเหตุดึงรั้งให้ไทยจัดอยู่ในอันดับ 40 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากซึ่งมีทั้งอันดับต่ำในปีนี้และมีการเลื่อนอันดับลงคือ การฝึกอบรมและการศึกษา อยู่ภายใต้ปัจจัยความรู้ และทัศนคติที่ปรับตัวได้ อยู่ภายใต้ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลงจากอันดับ 44 และ 55 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 50 และ 58 ปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้มีอันดับต่ำสุดในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมดในปีนี้  ตัวชี้วัดที่มีผลต่อปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาคือ รายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษามีอันดับ 45 ในปีที่แล้ว ส่วนในปีนี้มีอันดับ 51 และตัวชี้วัดจำนวนเฉลี่ยของนักศึกษาต่ออาจารย์ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเลื่อนอันดับลงจากอันดับ 51 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 57 ในปีนี้ ส่วนตัวชี้วัดที่มีผลต่อปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้คือ การมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ การค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต และการเป็นเจ้าของแท็บเล็ต ที่เลื่อนอันดับลง 8, 3 และ 1 อันดับ จากอันดับ 48, 51 และ 58 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 56, 54 และ 59 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตมีอันดับต่ำสุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ ถึงแม้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับเลื่อนขึ้นและจัดอยู่ในอันดับ 27 ในปีนี้ แต่มีตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาอย่างมากคือ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ยังคงรักษาอันดับ 54 ไว้เหมือนปีที่แล้ว ส่วนตัวชี้วัดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมากพบอยู่ในทั้ง 3 ปัจจัยได้แก่ 1. รายจ่ายทั้งหมดในการวิจัยและพัฒนาเลื่อนขึ้น 8 อันดับจากอันดับ 45 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 37 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้  2. เทคโนโลยีการสื่อสารเลื่อนขึ้น 14 อันดับจากอันดับ 37 ในปีที่แล้วส่วนปีนี้ได้อันดับ 23 ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ปัจจัยเทคโนโลยี 3. ภายใต้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต ตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์เลื่อนขึ้น 8 อันดับจากอันดับ 38 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 30 ในปีนี้ ในขณะที่ตัวชี้วัดที่มีอันดับที่ดีมากในปีนี้ได้แก่ 1. นักวิจัยผู้หญิงที่ยังคงครองอันดับที่ดีที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดโดยได้อันดับ 3 ในปีนี้ อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้  2. ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้มีอันดับ 4 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ปัจจัยเทคโนโลยี  3. การบริการทางการเงินและธนาคารจัดอยู่ในอันดับ 7 ในปีนี้ อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน ปัจจัยเทคโนโลยี  4. ตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทคได้อันดับ 9 ในปีนี้ อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ปัจจัยเทคโนโลยี  5. ตัวชี้วัดการกระจายทั่วโลกของหุ่นยนต์มีอันดับ 10 ในปีนี้ อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต

คงเป็นข่าวดีของสหรัฐอเมริกาที่ยังคงรักษาอันดับรวมที่อันดับ 1 ไว้ได้ แต่สำหรับไทยคงต้องหันมาสนใจพัฒนาหลายตัวชี้วัดดังที่กล่าวมาแล้วให้มาก เนื่องจากในปีนี้ไทยมีอันดับลดลง 1 อันดับเป็นอันดับ 40 ซึ่งเป็นอันดับที่ค่อนไปทางไม่ดี เพื่อให้ในปีหน้าไทยจะมีอันดับเลื่อนขึ้นมาก

กรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) (DGA)

ข้อมูลจัดเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญในการดำเนินงานของหน่วยงาน ภาครัฐจึงได้ให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลมาใช้สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้กับทุกภาคส่วน แต่ในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐยังประสบกับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเชิงนโยบายและปฏิบัติ ทั้งในเรื่อง ความซ้ำซ้อนของข้อมูล ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้หน่วยงานมีมาตรการและแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการและกำกับดูแลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

กรอบการกำกับดูแลข้อมูลจะเป็นแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐ ทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่ นำไปปรับใช้ให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้สามารถปรับตัวตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.dga.or.th/th/profile/2108/

ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ DGA Contact Center โทร : 0 2612 6060 หรือ อีเมล : contact@dga.or.th

ทำความเข้าใจ Data Governance Framework กันได้ง่ายๆ ใน 6 หน้า
https://www.dga.or.th/th/content/920/12692/

Continue reading “กรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) (DGA)”

10 ช่องเรียนรู้สุด Wow กับผู้สร้างสรรค์ยูทูปเพื่อการศึกษาอย่างไม่รู้จบ สำหรับเด็กและทุกเพศทุกวัย

การอยากรู้ อยากถาม  เป็นหนึ่งของทักษะพื้นฐานสำหรับ เด็กที่มีพรสวรรค์หรือมีความฉลาด แต่การถามเหล่านั้นบางครั้งผู้ใหญ่อย่างเราก็หมดความรู้ที่จะตอบ  หากคุณมีลูก ๆ หลาน ๆ ที่มีความสนใจในเรื่องรอบตัวแล้วเจอปัญหาหมดความรู้ตอบเด็กๆ เหมือนที่กล่าว  เรามีตัวช่วยครับ วันนี้มีบทความจากเว็บไซต์  https://www.notsoformulaic.com  เขียนโดยคุณ Ginny Kochis เธอได้สรุป 100 Educational YouTube Channels for Curious, Creative, Gifted Kids โดยเธอได้รวบรวมเว็บไซต์ของผู้สร้างสรรค์ใน youtube ที่แปลงเอาเรื่องราวรอบตัว มาเป็นเรื่องนำเสนอสั้นๆ ในแต่ละช่องแตกต่างกันไป บางช่องเป็นการ์ตูน, ร้องเพลง, ทำสไลด์ง่าย ๆ ไปจนถึงยากจนน่าทึ่ง บางช่องมีผู้ดำเนินรายการ ที่สำคัญ เธอยังแบ่งการเรียนรู้เป็น category ไว้ให้ได้ศึกษาค้นคว้าและเข้าไปเรียนรู้  (แต่เป็นภาษาอังกฤษนะครับ)  category เหล่านั้น ได้แก่

  1. For Kids Who Love Science ช่องสำหรับเด็กที่รักวิทยาศาสตร์  มีหลากหลายการอธิบายชิงวิทยาศาสตร์เป็นการ์ตูนและสิ่งที่น่าสนใจอย่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีสมาชิกมากกว่า 4 ล้านราย ได้แก่ ช่อง minutephysics ที่มีการนำเสนอข้อมูลแบบการ์ตูนน่ารัก เข้าใจง่าย มีสาระที่น่าสนใจสำหรับเด็ก
  2. For Kids Who Love History ช่องสำหรับเด็กที่รักเรื่องราวประวัติศาสตร์ มีเว็บไซต์ตัวอย่างมากมาย ที่น่าสนใจคือ Simple History ที่นำเสนอเป็นการ์ตูนอีกเช่นกัน
  3. For Kids Who Love Math ช่องสำหรับเด็กที่รักการคำนวณ นี่เป็นเรื่องท้าทายของผู้โดนถามทุกคน ช่องเหล่านี้จะมีผู้เชี่ยวชาญสอนเป็นเรื่องแยกกัน เช่น Fraction , Calculus เป็นต้น น่าสนใจมากครับ
  4. For Kids Who Love Theater and Performing Arts  ช่องสำหรับเด็กที่ชอบการศิลปะการแสดง การละคร เช่น บัลเล่ต์  โอเปรา เป็นต้น
  5. For Kids Who Love the Visual Arts  ช่องสำหรับเด็กที่ชอบศิลปะการวาดภาพ สีน้ำ สีเทียน หรือ ศิลปะสื่อผสมในรูปแบบต่าง ๆ  น่าสนใจมากครับ มีคลิปสอนแบบเริ่มจาก  0 จนถึงทำงานเป็นกันเลยครับ
  6. For Kids Who Love Reading and Writing ช่องสำหรับเด็กที่ชอบการเขียน อ่าน นวนิยาย หรือความคิดสร้างสรรค์ด้านวรรณกรรม
  7. For Kids Who Love Nature and Animals ช่องสำหรับเด็กที่ชอบด้านธรรมชาติ สัตว์ป่า หรือการผจญภัย นอนแคมป์ เป็นอะไรที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ได้ดีมากครับ ปลูกฝังการรักษ์โลกไปในตัวกับส่วนนี้
  8. For Kids Who are Makers, Inventors, and Such ช่องที่เหมาะกับเด็กนักคิดนักประดิษฐ์หรือคิดค้นอะไรใหม่ ๆ นอกกรอบ ให้แนวทางพื้นฐานคล้าย ๆ กับ STEM แล้วมาต่อยอดเป็นชิ้นงาน
  9. For Kids Who Love Space and Astronomy ช่องสำหรับเด็กที่เหมาะสำหรับเด็กที่สนใจด้านอวกาศ ดาราศาสตร์ หรือ เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่อง เฉพาะช่องนี้ก็ค้นหาข้อมูลได้เป็นวันๆ ในเรื่องอวกาศ
  10. For Kids Who Love to Code ช่องสำหรับเด็กที่สนใจการ coding เขียนโปรแกรม ซึ่งถึงแม้จะไกลตัวและดูยากสำหรับเด็ก แต่ในช่องต่าง ๆ จะนำเสนอความเข้าใจ และเครื่องมือในการเขียนโค้ดได้อย่างน่าสนใจ  ยกตัวอย่างเช่น ช่อง The Coding Train ที่มีการนำเสนอและช่องที่น่าสนใจครับ

    โดยสรุป บทความดังกล่าวถือเป็นบทความที่น่าสนใจในการแบ่งหมวดหมู่การเรียนรู้สำหรับเด็กไว้อย่างเป็นระเบียบ ง่ายต่อการนำไปเรียนรู้   เมื่อไปดูผู้สร้างสรรค์ของต่างประเทศดังกล่าว พบว่า มีความสดใหม่ เรียบเรียงเข้าใจใหม่ได้ง่าย และสร้างสื่อให้ดูมีเสน่ห์ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย  น่าเสียดายที่ผู้ติดตามและผู้สนใจยังมีน้อยกว่าพวกช่องที่ไม่ได้เน้นเนื้อหาสาระความรู้ที่เป็นประโยชน์แบบช่องเหล่านี้ ย้อนกลับมาที่เมืองไทย ยังมีผู้สร้างสรรค์ผลงานดังกล่าวไม่มากนัก  ถ้ามองเป็นผลดีก็คงเหมาะกับ creator ที่สนใจจะเข้ามาจัดทำสื่อให้น่าสนใจตามบริบทกฏหมายการศึกษาที่ควร หากมองผลเสีย เราพบว่า สื่อเหล่านี้มีน้อย และยอดวิวน้อยกว่าข่าวไร้สาระมากถึงมากที่สุด จึงควรที่จะส่งเสริมให้ทุกคนมาสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ตามความถนัด ผ่าน youtube หรือถ้าจะให้ดี ผ่านโครงการ OER , MOOC ของ สวทช. ก็จะเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยสำหรับสังคมอุดมปัญญาของไทยครับ

ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยความสำเร็จการทำบทเรียน STEM ระดับประถมศึกษา

ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยความสำเร็จการทำบทเรียน STEM ระดับประถมศึกษา

Science Technology Engineering and Mathematics หรือ “STEM” เป็นหลักสูตรที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดในการให้ความรู้แก่นักเรียนใน 4 สาขาวิชาเฉพาะได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ โดยรวมเอากระบวนทัศน์การเรียนรู้ทั้งสี่วิชานี้เข้าด้วยกันผ่านการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตจริง และต่อยอดสู่การประกอบอาชีพในอนาคต  

แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเคยเป็นผู้นำด้านนี้มาก่อน แต่ปัจจุบันกลับพบว่านักเรียนจำนวนน้อยที่ให้ความสนใจ จากรายงานของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐได้ชี้ให้เห็นว่า มีนักเรียนมัธยมเพียง 16% เท่านั้นที่ให้ความสนใจกับอาชีพ STEM และได้พิสูจน์ความสามารถทางคณิตศาสตร์แล้ว นอกจากนี้พบว่าเกือบ 28% ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีความสนใจในสาขาที่เกี่ยวข้องกับ STEM โดย 57% ของนักเรียนระบุว่าจะหมดความสนใจเมื่อพวกเขาจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม เป็นผลให้ในปี 2009 รัฐบาลโอบามาประกาศแคมเปญ “ความรู้เพื่อนวัตกรรม” เพื่อกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนที่มีความรู้ความสามารถทางด้าน STEM โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้นักเรียนชาวอเมริกันขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ในเวทีโลก นอกจากนี้แคมเปญนี้สะท้อนถึงปัญหาการมีจำนวนครูที่มีทักษะไม่เพียงพอที่จะให้ความรู้ในวิชาเหล่านี้

ในปี 2014 รัฐบาลโอบามาได้ทุ่มงบว่า 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับโครงการของรัฐบาลกลางด้านการศึกษา STEM เพิ่มขึ้น 6.7% จากปี 2012 เพื่อรับสมัครและสนับสนุนอาจารย์สอนทางด้าน STEM รวมถึงสนับสนุนโรงเรียนมัธยมที่เน้นไปที่ STEM ด้วย STEM Innovation Networks ผ่านการสนับสนุนงบประมาณในโครงการวิจัยขั้นสูงเพื่อการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเทคโนโลยีการเรียนรู้สู่รุ่นต่อไปให้ดียิ่งขึ้น

ความสำคัญของการศึกษาเรื่อง STEM          

ตามรายงานจากเว็บไซต์ STEMconnector.org ได้เผยว่าภายในปี 2018 ความต้องการแรงงานที่เกี่ยวข้องกับ STEM จะอยู่ที่ราว 8.65 ล้านคน นอกจากนี้จากการสำรวจสถิติแรงงานของสหรัฐฯ ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาคการผลิตจากการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะที่จำเป็นในกลุ่มสาขาทางด้านคอมพิวเตอร์ วิศวกรรม วิทยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต และคณิตศาสตร์

ปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรมในโรงเรียน

1.วิสัยทัศน์และพันธกิจ     

วิสัยทัศน์และพันธกิจของโรงเรียน เป็นแนวทางในการทำงาน นักเรียนจะเรียนรู้จากค่านิยมหลักจากการสอบถาม การวิจัย การทำงานร่วมกัน และการนำเสนอในชั้นเรียน

2.หน้าที่และพันธกิจของครูผู้สอน         

ครูผู้สอนต้องทำความเข้าใจถึงโครงการและวิธีการทำงาน พันธกิจไม่ควรมีเงื่อนไขในการปิดบังเนื้อหาการสอนและการเรียนรู้

3. การดำเนินงาน         

ครูผู้สอนควรเป็นผู้นำด้านวิชาการ วินัยหรือความปลอดภัยของโรงเรียน เช่นเดียวกับครูประจำชั้นในห้องเรียนที่ควรฝึกฝนวัฒนธรรมการดูแลเอาใจใส่นักเรียน ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการดูแลเอาใจใส่กัน

4.วัฒนธรรมและการเรียนการสอน         

โรงเรียนที่ประสบความสำเร็จทุกแห่งมีวัฒนธรรมของโรงเรียนที่แข็งแกร่ง รวมถึงครูผู้สอนมีความสามารถและโปรแกรมการสอนที่ออกแบบที่ดี

5.การพัฒนาที่ยั่งยืน         

โรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านมีการวางแผน และพยายามที่จะเปลี่ยนเป็นโรงเรียนที่มีชีวิต

ความสำเร็จ STEM โรงเรียนประถม กับกลยุทธ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน         

เป้าหมายที่สำคัญคือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงเรียนในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์ (STEM) และเพื่อเพิ่มทักษะทางภาษาวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบูรณาการความต้องการของภาษาพี้นที่ STEM ลงในหลักสูตร ผ่านการพัฒนาภาษาอย่างเข้มแข็ง โปรแกรมการเรียนการสอนเนื้อหาถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มการป้อนข้อมูลที่เข้าใจของภาษาวิชาการในทุกกลุ่มนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อความสนใจในอาชีพ STEM         

ปัจจัยที่มีผลต่อความสนใจในอาชีพ STEM คือ กิจกรรมในห้องเรียน กิจกรรมนอกห้องเรียน อิทธิพลทางสังคม และอิทธิพลของสื่อ

กิจกรรมในห้องเรียน

นักเรียนจะได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมและหลักสูตรของโรงเรียนที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น สภาพแวดล้อมของโรงเรียน กลยุทธ์การสอนและการเรียนรู้จึงมีความสำคัญต่อการ พัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับสาขาของ STEM จากการศึกษากลยุทธ์การแก้ปัญหากิจกรรมพบว่า การปรับเนื้อให้วิทยาศาสตร์ให้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และการเรียนรู้ผ่านความร่วมมือในการทำกิจกรรม รวมถึงการทำงานกลุ่มเป็นสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ได้

กิจกรรมนอกห้องเรียน

การศึกษา STEM นอกห้องเรียนเปรียบเสมือนส่วนเติมเต็มการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้นักเรียนเข้าร่วม ซึ่งมีผลกระทบในเชิงบวกต่อนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งในแง่ของความรู้ และทัศนคติ ตลอดจนความปรารถนาในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ STEM กิจกรรมนอกห้องเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ค่ายวิทยาศาสตร์การเรียนรู้ในศูนย์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์สวนสัตว์ การแข่งขันหุ่นยนต์ และการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ สำหรับประโยชน์ของ STEM นอกจากจะเป็นการเรียนรู้ที่สนุกสนาน จากการประยุกต์คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ ยังมีส่วนในการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าร่วมและสร้างความสนิทสนมระหว่างผู้เข้าร่วม

อิทธิพลทางสังคม         

การสนับสนุนของบุคคลใกล้ ได้แก่ พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง สมาชิกในครอบครัว และครูอาจารย์ มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกอาชีพและมีส่วนช่วยในการรับรู้เชิงบวก โดยผู้ปกครองมีอิทธิพลต่อนักเรียนมากที่สุด ด้านตัวนักเรียนทัศนคติมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจเนื่องจากการมีทัศนคติในเชิงบวกและลบจะส่งผลต่อมุมมองและความเข้าใจต่ออาชีพ

อิทธิพลของสื่อ         

อิทธิพลของสื่อมีทั้งในรูปสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ นิตยสารวิทยาศาสตร์ยอดนิยม หนังสือ ภาพยนตร์ และรายการที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ล้วนมีอิทธิพลต่อความสนใจในอาชีพ STEM และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสนใจในการศึกษา STEM รวมถึงอาชีพ STEM เนื่องจากมีวิธีการนำเสนอที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจทำให้สามารถดึงดูดและเข้านักเรียนได้

ปัจจัยความสำเร็จทำไมต้องมี STEM ในโรงเรียนประถมศึกษา         

ครูผู้สอนที่มีประสิทธิภาพมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก จากวิธีที่ครูผู้สอนระดับประถมศึกษาเลือกใช้

1.การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากครูเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนเป็นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง         

การเรียนการสอนมีนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ในห้องเรียน ครูและนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์อย่างเท่าเทียมกัน เปิดโอกาสให้สร้างความเข้าใจจากการกระทำของพวกเขา การศึกษาในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ผ่านการสร้างแบบจำลองในห้องเรียน การมีส่วนร่วมของนักเรียน กลยุทธ์การวิจัยและการโต้ตอบการมีส่วนร่วม โดยครูผู้สอนสร้างสภาพแวดล้อมที่ STEM เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและเป็นจริงของหลักสูตร

2.เพิ่มขีดความสามารถ         

ครูเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นและลงมือปฏิบัติอย่างอิสระ เด็กได้เลือกใช้อุปกรณ์ที่ครูจัดให้ตามความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก

3.สร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่น         

ครูได้ถ่ายทอดบทเรียนการพัฒนาที่ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมการปลูกฝังการแก้ปัญหาและการคิดเชิงตรรกะ โดยการบูรณาการกิจกรรม STEM ในบทเรียนที่มีครูที่มีประสบการณ์และการมีส่วนร่วมของนักเรียนในการเรียนรู้ ผลที่ได้รับคือความไว้วางใจและกลายเป็นความมั่นใจ เปิดโอกาสนักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ ฝึกคิดตั้งคำถามในการเรียนรู้ต่างๆ

4.การสร้างการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม         

ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนบทบาทของ STEM ในหลักสูตรและวิธีการสอน เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมใหม่ได้นำไปสู่การส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมและมีแรงจูงใจ มีความพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทางทางเศรษฐกิจโลก โรงเรียนที่ได้รับการฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ครูและนักเรียนได้เรียนรู้วิธีการเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์และนักคณิตศาสตร์เรียนรู้จะทำให้เป็นคนที่มีทักษะสูงในอนาคต

แหล่งที่มา :

https://www.livescience.com/43296-what-is-stem-education.html

https://www.kqed.org/mindshift/47587/five-guidelines-to-make-school-innovation-successful https://www.idra.org/resource-center/an-elementary-schools-stem-success-story/

https://www.eduhk.hk/apfslt/v19_issue2/rahman/page3.htm

วารสารใดเหมาะกับงานวิจัยของคุณ

งานวิจัยแต่ละชิ้นใช้ระยะเวลาตั้งแต่ตกผลึกไอเดียวิจัย วางแผน จนถึงลงมือวิจัยหรือจนเสร็จสิ้นวงจรชีวิตวิจัย (Research lifecycle) เป็นเวลานาน ย่อมเป็นธรรมดาที่นักวิจัยหรือทีมวิจัย
จะรักผลงานของตนหรือทีม เพราะเบื้องหลังเป็นยิ่งกว่างานวิจัยเพียงหนึ่งชิ้น เมื่อเสร็จสิ้นออกมาเป็นผลงานแล้วย่อมต้องการเผยแพร่องค์ความรู้นั้นสู่วงการเดียวกัน หรือแม้แต่คนที่สนใจทั่วไป ช่องทางหนึ่งของการเผยแพร่องค์ความรู้คือการส่งเข้ารับการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารทางวิชาการ (
Scholarly communication) แน่นอนว่าในกระบวนการดังกล่าวย่อมมีเรื่องของตัวชี้วัด การประเมินผลงานหรือคุณภาพงานเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่แก่นแท้แล้วคือ การได้เผยแพร่ผลงานออกสู่โลกภายนอกเพื่อประโยชน์ต่อสังคมหรือเศรษฐกิจและประเทศชาติต่อไป

ปัจจุบัน แพลตฟอร์มในการเผยแพร่ผลงานวิจัยมีหลากหลาย เช่น วารสารวิชาการ (Academic journals) โซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มเครือข่ายทางสังคมต่างๆ เป็นต้น บทความนี้กล่าวถึงแนวทางกว้างๆ ในการเลือกวารสารวิชาการที่เหมาะกับงานวิจัยของท่านซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสที่ผลงานของท่านจะได้รับการคัดเลือกตีพิมพ์

  1. รวบรวมวารสารที่เหมาะสม
    1. ประเมินว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในวารสารนั้นๆ สำหรับท่านคืออะไร เช่น journal metrics กลุ่มผู้อ่าน/ผู้ติดตามเฉพาะกลุ่มหรือสาขาวิชา หรือวงกว้าง ดัชนีวัดผลกระทบหรือคุณภาพระดับวารสารมีหลายตัวให้ท่านเลือกพิจารณา เช่น Impact Factor โดย Clarivate SCImago Journal Rank (SJR) โดย SCImago Lab หรือ Source Normalized Impact per Paper (SNIP) โดย Elsevier เป็นต้น
    2. สอบถามบรรณารักษ์ที่ห้องสมุดที่ท่านทำงานอยู่หรือศึกษาอยู่ หรือไล่เรียงดูจากเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ โดยอาจเริ่มจากสาขาวิชาเพื่อดูว่าในสาขาวิชาที่ท่านสนใจมีจำนวนวารสารในแต่ละสาขาวิชากี่ชื่อ เป็นต้น ท่านสามารถสอบถามหรือขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่ STKS (stks@nstda.or.th) หรือสืบค้นได้จากฐานข้อมูลที่ สวทช.บอกรับ เช่น Scopus หรือ แหล่งสารสนเทศอื่นๆ เช่น scimago (https://www.scimagojr.com) ที่มีการจัดอันดับวารสารตามสาขาวิชาและดัชนี SJR (SCImago Journal Rank)
    3. พิจารณาวารสารที่ท่านติดตามอ่านอยู่เป็นประจำ (ที่สัมพันธ์กับสาขาวิชาของงานวิจัยของท่าน) ว่ามีชื่อใดหรือไม่ที่เหมาะกับผลงานของท่าน
    4. สอบถามหัวหน้างาน/ผู้บังคับบัญชา/เพื่อนร่วมงาน ว่ามีวารสารใดที่เหมาะจะเผยแพร่งานวิจัยของท่าน
  2. เมื่อรวบรวมรายชื่อวารสารที่เข้าข่ายได้แล้ว ท่านอาจศึกษาดูแต่ละวารสารถึงวัตถุประสงค์และขอบเขต แม้ว่าท่านจะคุ้นเคยกับวารสารนั้นๆ เป็นอย่างดีก็ตาม หน้าวัตถุประสงค์และขอบเขตบอกอะไร? ท่านสามารถหาประเภทของเนื้อหาหรืองานวิจัยที่วารสารนั้นเผยแพร่ รวมถึงขั้นตอนของ peer-review ทางเลือกในการเข้าถึงซึ่งเขียนโดยบรรณาธิการ
  3. เมื่อคัดเลือกวารสารชื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมที่กับผลงานของท่านแล้ว ศึกษาแนวปฏิบัติสำหรับผู้แต่ง โดยเฉพาะข้อกำหนดในเรื่องของการโอนย้ายสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้กับสำนักพิมพ์ แนวทางการเขียน การจัดหน้า แม่แบบ และข้อแนะนำอื่นๆ สำหรับเทคนิคและข้อแนะนำการจัดหน้าและแนวทางการใช้เครื่องมือต่างๆ ของ word processing เช่น MS Word เป็นต้น STKS มีบริการแนะนำไว้ใน คู่มือการเตรียมสื่อดิจิทัลที่มีคุณภาพ ท่านสามารถดาวน์โหลดตัวเล่ม ได้ที่ https://oer.learn.in.th/search_detail/result/879

รายการอ้างอิง

Bamicon. (2017). Education [Image]. Retrieved from https://www.iconfinder.com/iconsets/education-209

Eassom, Helen. (2016). 6 steps to choosing the right journal for your research [Infographic]. Retrieved from https://www.wiley.com/network/researchers/preparing-your-article/6-steps-to-choosing-the-right-journal-for-your-research-infographic

ปาฐกถาพิเศษ “SOCIAL INNOVATION 4 ALL” โดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

ปาฐกถาพิเศษ SOCIAL INNOVATION 4 ALL
โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์)

“ประเทศไทยเคยทำ Made in Thailand ปัจจุบันเราอาจจะต้องลุกขึ้นมาทำ Innovation in Thailand” ประเทศไทยในปัจจุบันนี้มีกระแสต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย

  • กระแสที่ 1 : Globalization หรือกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่คนในเมืองมีความหลากหลาย เมืองหลายๆ เมืองกลายเป็นที่มีความหลากหลายของผู้คนที่ต่างเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน เมืองที่มีความหลากหลายนี้จะเสน่ห์ถ้าสามารถมีนวัตกรรมดีๆ ออกมา แต่เมืองอาจจะไม่มีก็ได้หากความหลากหลายที่อยู่ร่วมกันแต่ไม่สามารถที่จะมีความฝันร่วมกันได้
  • กระแสที่ 2 : Digitization การเป็นเมืองสมัยใหม่นั้นจะทำอย่างไรให้อยู่บน diital platform ส่วนนึงแน่นอนว่าจะต้องเป็นเรื่องของเทคโนโลยี แต่เรื่องของคนกับเทคโนโลยีจะปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรในสังคมเมือง นวัตกรรมทางสังคมจะต้องมาตอบโจทย์เรื่องนี้ได้อย่างไร
  • กระแสที่ 3 : Urbanization กระแสของสังคมเมือง ที่เราจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้วคนมากกว่า 50% ของโลกอาศัยอยู่ในเมืองแล้ว แสดงว่าเมืองต่อไปจะมีความสำคัญมากขึ้น แต่กระแสของสังคมเมืองที่มีคนอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมากมายและหลากหลาย หากปราศจากการบริหารจัดการที่ดีเมืองจะกลายเป็น “เมกะสลัม” แต่ถ้าหากมีการบริหารจัดการที่ดีจะกลายเป็นเมืองที่น่าอยู่
  • กระแสที่ 4 : Individualization ความเป็นปัจเจกของคน เมื่อกระแสทั้ง 3 ในข้างต้นเริ่มก่อตัวมากขึ้น คนมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น ความเป็นปัจเจกของคนคือต่างคนต่างอยู่ ถ้าต่างคนต่างอยู่แล้วจะทำให้เมืองนั้นมีความน่าอยู่ได้อย่างไร

จากกระแสของเมืองที่เติบโตขึ้นทั้ง 4 กระแสข้างต้นนั้นเป็นโจทย์ที่น่าสนใจ แต่ทั้งหมดนี้โลกของความเชื่อมโยงอย่างที่ไม่เคยมีในอดีตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมือง มันทำให้เรียกว่า Commonization คือทุกอย่างอยู่ใน Common สุขก็สุขอยู่ด้วยกัน ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน เพราะฉะนั้นคำถามคือแล้วเราจะมีคำตอบให้สามารถมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขในสังคมเมืองนี้ได้อย่างไร

การที่จะทำให้เมืองนั้นน่าอยู่เมืองจะต้ององค์ประกอบดังนี้

  • Economic well เมืองต้องมีพลวัฒน์ทางด้านเศรษฐกิจ
  • Social well being เมืองต้องเป็นสังคมที่น่าอยู่
  • Environmental wellness เมืองจะต้องมีสิ่งแวดล้อที่มีความสุข

ความเป็นเมืองนั้นประกอบไปด้วยผู้คนดังนี้เราต้องการให้ผู้คนมารังสรรค์นวัตกรรมร่วมกัน เพราะแะนั้นเรื่องของ Human Wisdom มีความสำคัญ ดังนั้นจึงได้มีกรอบแนวคิดในการที่จะตอบโจทย์ Innovation in the City ออกเป็น Value Chain 3 อันด้วยกัน

  1. จะทำให้เกิดได้จะต้องจุดกระแสของการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของผู้คนเรียกว่า Civic movement นวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้นั้นไม่ใช่เกิดจากความคิดของคนบางคนเท่านั้น แต่มันต้องเกิดจากความคิดของผู้คนที่ทุกคนมีส่วนที่จะมาช่วยกันรังสรรค์ขึ้นมา
  2. การที่จะทำให้เกิดกระแสของการรังสรรค์นวัตกรรมร่วมกันนั้นจะต้อง empower people จะต้องเติมพลังให้คนในเมือง ในสังคม
  3. Engage ให้คนมีส่วนร่วมในการรังสรรค์นวัตกรรม

ทั้ง 3 Value Chain คือโจทย์ที่ว่าจากนี้ไปหากอยากให้เมืองน่าอยู่เราจะทำให้เกิด Civic Movement เราจะทำอย่างไร เราจำเป็นที่จะต้องมี 2 สิ่งคือ People empowerment กับ People engagement หลังจากนั้นเมื่อมี Civic Movement การเคลื่อนไหวต่างๆ จะนำมาสู่เรื่องของนวัตกรรมในเมืองที่เราเรียกว่า Civic Innovation เพราะฉะนั้นคำถามคือ เราจะให้ประชาชนในเมือง Co-Create ด้วยกัน รังสรรค์นวัตกรรมของเมืองขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้การมีชีวิตอยู่ในสังคมยุคศตวรรษที่ 21 เป็นไปได้อย่างไร เป็นโจทย์ที่น่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

จุดสุดท้ายที่อยากจะทำนวัตกรรมภายในเมือง หรือมี Social innovation ในเมืองเพื่ออะไรก็เพื่อคนสามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน เราอาจจะต้องเปลี่ยนโจทย์ใหม่ เมืองแต่เดิมนั้นจังหวัดต่างๆ เหมือนกับประเทศวัดกันที่ GDP แต่เมืองวัดกันที่ GPP หรือ Gross Provincial Product ฉะนั้นมิติทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ เมืองต้องวัดกันที่ความสุข นวัตกรรมต้องนำไปสู่ความสุขของเมือง เพราะฉะนั้นจะต้องวัดกันที่ GPH หรือ Gross Provincial Happiness หมายถึงความสุขของคนในเมือง แต่เมืองจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจะต้องดูต่อไปว่าเรื่องของ Gross district happiness คือแต่ละตำบล แต่ละเขต แต่ละอำเภอนั้นประชาชนมีความสุขมากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดนี้เรียกว่า Value Creation ในการรังสรรค์นวัตกรรมเพื่สร้างความเป็นเมือง เริ่มตั้งแต่เรื่องของ Civic Movement ไปสู่ Civic Innovation เพื่อไปตอบโจทย์ Civic Sustainability

นวัตกรรมในเมืองน่าจะมีอะไรบ้าง เพื่อตอบโจทย์ของคนในเมืองอย่างยั่งยืนมี 4 มิติ หรือเรียกว่า 4C

C1 : Connected City เรื่องของการเชื่อมโยง
เชื่อมโยงทางกายภาพผ่าน Mobility ยกตัวอย่างการจราจรในเมืองที่แย่ มันกลายเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ เราจะมีนวัตกรรมทางสังคมอย่างไรที่จะไปตอบโจทย์ที่จะทำให้ Mobility กับ Connectivity เกิดขึ้นในเมืองเพื่อให้ทุกคนได้รับความสะดวก ยกตัวอย่างประเทศสิงค์โปร์ เรื่องของ Smarter traffic system สามารถที่จะทำให้ประชาชนรู้ว่าการจราจรจะติดขัดในช่วงใด ระบบของประเทศสิงค์โปร์มีความแม่นยำในการแจ้งการจราจรถึง 90% ฉะนั้นเรื่องนี้เราจะสามารถนำนวัตกรรม นำเรื่องของความเป็น Smarter มาใช้ได้อย่างไร ในอนาคตเรากำลังจะพูดถึง 5G เพราะฉะนั้นนวัตกรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นใน 5G อีกมากมายที่จะตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินทาง การศึกษา การพยาบาล สิ่งต่างๆ ที่จะตอบโจทย์ในเรื่องของความสะดวก เพราะฉะนั้นวัตกรรมสิ่งแรกที่จะต้องช่วยกันคิดคือนวัตกรรมบน Connected City จะมีอะไรบ้าง

C2: Clean City เมืองสะอาด
เราอยู่ในเมืองที่น่าอยู่ แต่ ณ วันนี้ในกรุงเทพมหานคร กำลังเผชิญกับ PM2.5 เพราะฉะนั้นเรื่องของ Clean City เรื่องของเมืองสะอาดเราจะไม่พูดแค่ว่า Clean Air เพียงอย่างเดียวแต่มันเป็นเรื่องของ Zero waste คือเมืองที่มีการบริหารจัดการในเรื่องของขยะได้เป็นอย่างดี เมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ในส่วนนี้นวัตกรรมต่างๆ จะตอบโจทย์ได้อย่างไร ซึ่งไม่ใช่นวัตกรรมจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวแล้ว มันจะต้องเป็นนวัตกรรม Co-Creation ที่เป็นการร่วมมือรังสรรค์นวัตกรรมร่วมกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Startup โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชน และภาคชุมชน

C3: Collaborative City เมืองที่ประชาชนมีปฏิสัมพันธ์กัน
เมืองที่น่าอยู่จะต้องเป็นเมืองที่ประชาชนมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดั้งนั้นนวัตกรรมจะต้องออกมาในแนวที่ทำให้ผู้คนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน Socializebility เมืองที่น่าอยู่คือเมืองที่มีสังคม ทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงเมื่อก่อนและตอนนี้เรากำลังพูดถึง Co-Working Space ซึ่งมันมีมากขึ้น แต่ในอนาคตไม่น่าจะมีแค่ Co-Working Space น่าจะมี Co-Learning Space และมี Co-Living Space ที่จะอยู่ในเมืองเพราะฉะนั้นเป็นโอกาสของ Startup ในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะไปตอบโจทย์ Co-Working Space ตอบโจทย์ Co-Living Space ของคนในเมืองอย่างไร ในอนาคตเมืองทุกคนมีโอกาส Share กัน มันจะได้เกิดการ sharing and caring metropolis เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ต้องอาศัยแนวคิดที่มีอยู่แล้วในบางส่วนที่เรียกว่า Open Source เรามี Open Source Software เรามี Open Source มากมาย แต่ตอนนี้เราอาจจะต้องมีเรื่องของ Open Source metropolis คือเมืองที่มันสามารถที่จะใช้ Facility ต่างๆ ที่เป็นของกลาง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ Share

C4: Creative City เมืองทุกเมืองเมื่อมีอัตลักษณ์ มีเอกลักษณ์ จะต้องมีอัตลักษณ์ในระดับของเมือง อัตลักษณ์ในระดับของชุมชน ที่จะบ่งบอกตัวตนของเมือง มีจุดขายและสามารถที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในเมืองได้

ทั้ง 4C เป็นโอกาสที่จะสร้างเมืองในการที่ว่า C1 เป็น Connected City สามารถอำนวยความสะดวกของคนในเมืองตอบโจทย์คนในเมือง และเมื่อเชื่อมโยงกันแล้วจะต้องเกิด Collaborative คือทำอย่างไรให้คนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันบนทิศทางที่อยู่บน Clean City เป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่เป็นเมืองที่มีสีสัน สามารถทำรายได้แปลงออกมาเป็นเรื่องรายได้ต่างๆ ผ่านสิ่งต่างๆ ที่เรา Creatative City

เฮิร์บ เคน นักสื่อสารมวลชนชาวอเมริกัน ได้กล่าวไว้ว่า “เมืองนั้นไม่ได้วัดกันที่ความกว้างหรือความยาวของพื้นที่ แต่วัดกันที่ความกว้างของวิสัยทัศน์ และความสูงของความใฝ่ฝัน” เพราะฉะนั้นจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยถ้าไม่ร่วมกันรังสรรค์นวัตกรรมให้เกิดขึ้นร่วมกันในเมือง


อ้างอิง : ปาฐกถาพิเศษ “SOCIAL INNOVATION 4 ALL” ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ [ออนไลน์]. 2019, แหล่งที่มา : ปาฐกถาพิเศษ “SOCIAL INNOVATION 4 ALL” [4 ตุลาคม 2562].