BCG in Action: The New Sustainable Growth Engine โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

bcg book ebookในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3 ต่อปี ด้วยอัตราการเติบโตดังกล่าวไม่เพียงพอในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวข้าม “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” และลดความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยอาศัยฐานความเข้มแข็งของประเทศอันประกอบด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นเจ้าของสินค้าและบริการมูลค่าสูง ที่ ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการ นำเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลสมัยใหม่ที่ช่วยทลายข้อจำกัด ให้เกิดการก้าวกระโดดของการพัฒนาต่อยอด และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน กระจายรายได้ โอกาส และความมั่งคั่งแบบทั่วถึง (Inclusive Growth) ด้วยการใช้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG Model” ซึ่งเป็นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ BCG Model มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และสอดรับกับหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย

alt Download Book

ไวรัสโคโรนา COVID-19

 

ข่าวสาร บทความ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อล่าสุด รู้จัก แก้ปัญหา ป้องกัน การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา Infographic

ข่าวสาร บทความ

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อล่าสุด

สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก

ประกาศรัฐบาล

ประกาศกระทรวงการสารธารณะสุข

ประกาศกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ประกาศกรุงเทพมหานคร

รู้จัก แก้ปัญหา ป้องกัน

“ไวรัสโคโรนา” เป็นไวรัสที่จัดอยู่ในวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาไวรัสทั้งหมด ถูกพบครั้งแรกในช่วงปี 1960 โดยผู้ที่ได้รับเชื้อ ณ เวลานั้นจะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป ไม่ได้มีอาการรุนแรงมาก “โคโรนา” ในภาษาละตินมีความหมายว่ามงกุฎ เนื่องจากเมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนจะเห็นว่าไวรัสชนิดนี้มีลักษณะคล้ายมงกุฎ โดยเปลือกหุ้มด้านนอกประกอบด้วยโปรตีนคลุมด้วยกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเป็นมีลักษณะปุ่ม ๆ ยื่นออกไปจากอนุภาคไวรัส ไวรัสโคโรนาเป็นไวรัสที่สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย เนื่องจากมีสารพันธุกรรมชนิด RNA ดังนั้นเชื้อจึงมีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลาทำให้การรับมืออาจทำได้ยาก ไวรัสโคโลน่ามีหลากหลายชนิดบางชนิดทำให้เกิดอาการไข้หวัดธรรมดา แต่บางชนิดก็มีความรุนแรงและสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 จะมีอาการเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยจะแสดงอาการตั้งแต่ระดับความรุนแรงน้อย ไม่ว่าจะเป็น การคัดจมูก เจ็บคอ ไอ และมีไข้ บางรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการปอดบวมหรือหายใจลำบากร่วมด้วย บางรายก็รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

เชื้อก่อโรค coronavirus สายพันธุ์ใหม่ เชื้อไวรัสนี้มีชื่อเฉพาะว่า 2019-nCoV เป็นไวรัสในลำดับที่ 7 ของไวัสตระกูล coronaviruses lineage B, จีนัส betacoronavirus, เชื้อมีลำดับยีนมากกว่าร้อยละ 85 ที่เหมือนกับยีโนมของเชื้อ SARS-like CoV ในค้างคาว (bat-SL-CoVZC45, MG772933.1) การก่อโรคในมนุษย์จากเชื้อโรคในค้างคาวถือว่าเป็น zoonotic disease ด้วย

เชื้อไวรัสนี้ถือได้ว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่ยังไม่เคยมีการตรวจพบมาก่อน จึงเป็นเหตุให้ทั้งโลกต่างจับตาและมีความวิตกกังวลและหวาดกลัวต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ ไวรัสโคโรนา เดิมมีชื่อที่ใช้ในตอนแรกคือ 2019 nCoV และมีชื่ออย่างเป็นทางการในปัจจุบันคือ SARS-CoV-2 ส่วนชื่อของโรคติดเชื้อชนิดนี้เรียกว่า COVID-19 (ศ.เกียรติคุณนายแพทย์อมร,2563) ย่อมาจาก

  • CO แทน corona
  • VI แทน virus
  • D แทน disease
  • 19 แทน ปี 2019 (โรคติดเชื้อนี้เกิดขึ้นในปี 2019)

แนวทางการแก้ปัญหา

วิธีแก้ปัญหา ป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ขึ้นอยู่กับการควบคุมอำนาจแพร่ระบาด หรือการกระจายของโรค เช่น ประเทศจีนบังคับใช้วิธี ปิดเมือง ห้ามคนในออก คนนอกห้ามเข้า และส่งทีมแพทย์เข้าไปรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้วในพื้นที่ระบาด ใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือน โดยคิดง่ายๆว่า ผู้ป่วย 1 คน กระจายโรคไปได้ 2 คน เมื่อรักษาผู้ป่วยแล้ว ก็จะได้ผู้ที่มีภูมิต้านทานมากขึ้น จนถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย หรือ 50% การระบาดก็จะอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า เริ่มสงบ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสนี้ก็จะกลายเป็นแค่โรคประจำถิ่น (endemic) มีการติดเชื้อเป็นหย่อมๆ จนกว่าจะมีภูมิต้านทานกันหมดทุกคน (มติชนออนไลน์, 2563)

มาตรการป้องกัน

โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ขอแจ้งมาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพรวมถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ตามแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • คัดกรอง และแยกผู้ป่วยที่สงสัยเพื่อตรวจในห้องตรวจเฉพาะ
  • ซักประวัติ และวัดไข้ผู้มารับบริการที่ทุกคลินิก
  • ติดตั้งแอลกอฮอล์เจลที่หน้าลิฟต์ทุกชั้น
  • สำรองเวชภัณฑ์ ยา และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้พอเพียง
  • เตรียมความพร้อม ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ
  • หากท่านมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก และเพิ่งกลับจากประเทศจีน ประเทศสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น ภายใน 14 วัน หรือสัมผัสผู้ป่วยต้องสงสัย กรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที

วิธีป้องกัน

เบื้องต้นทุกคนสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด19สายพันธุ์ใหม่ ได้ดังนี้

  • เลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ
  • เลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่นที่เป็นรังโรคและเมืองอื่นๆ ในประเทศจีนที่มีการระบาด
  • ระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่
  • ควรล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที
  • งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ
  • เลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่างๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน
  • ทานอาหารสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง ไม่ทานอาหารที่ทำจากสัตว์หายาก
  • สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด19สายพันธุ์ใหม่ โดยตรง ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่แว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา
  • มาตรการพื้นฐานในการป้องกันไวรัสโคโรนาชนิดใหม่

MHESI INTERVIEW : ตอบข้อสงสัยหน้ากากอนามัยกับการป้องกันไวรัส COVID-19

5 จุดเสี่ยงบนเครื่องบินที่พบเชื้อโรคมากที่สุด

  1. ถาดพับวางอาหารหลังเบาะโดยสาร เนื่องจากตารางบินที่กระชั้นชิด พนง.ไม่มีเวลามากพอที่จะทำความสะอาดถาดวางอาหารได้ดีเพียงพอ และอาจไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้
  2. ตะแกรงระบายอากาศ และหัวเข็มขัดนิรภัย เพราะเป็นส่วนที่ผู้โดยสารต้องจับอยู่บ่อยๆ
  3. ห้องน้ำ มีคำแนะนำง่ายๆ คือ ใช้กระดาษชำระห่อจับลูกบิด และกลอนประตู ควรพกเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคขวดเล็กๆ ขึ้นเครื่องบิน
  4. ที่ใส่ของหลังเบาะผู้โดยสาร ควรหลีกเลี่ยงการใช้งาน
  5. ที่นั่งริมทางเดิน เพราะเบาะริมทางเดินจะโดนสัมผัสจากมือของคนอื่นๆ

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มีต้นตอมาจากที่ใด เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เป็นไวรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีสารพันธุกรรมเป็นอาร์เอ็นเอ และมีเปลือกหุ้มด้านนอกที่ประกอบด้วยโปรตีนคลุมด้วยกลุ่มคาร์โบไฮเดรทเป็นปุ่มๆ (spikes) ยื่นออกไปจากอนุภาคไวรัส ทำาให้เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จะเห็นเป็นเหมือนมงกุฎ (ภาษาลาติน corona แปลว่า crown หรือมงกุฎ) ล้อมรอบ จึงเป็นที่มาของชื่อเชื้อไวรัสในกลุ่มนี้ที่มีสมาชิกหลากหลาย ติดเชื้อก่อโรคได้ทั้งในคน และสัตว์หลายชนิด เช่น สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (ม้า วัว แมว สุนัข ค้างคาว กระต่าย หนู อูฐ และสัตว์ป่าอื่นๆ) และสัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู ดังนั้น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่ก่อโรคในสัตว์ทั้งระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร อาจแพร่มาสู่คนและก่อโรคในคนได้ (zoonotic infection)

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ 2019-nCoV จากประเทศจีน นับจากที่มีการรายงานครั้งแรกเมื่อ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2019 นั้น พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ไม่รู้สาเหตุในเมืองอู่ฮั่นเพิ่มขึ้นเป็นลำาดับ ต่อมาได้มีการรายงานเป็นทางการเมื่อ 3 มกราคม ค.ศ. 2020 ว่าโรคปอดอักเสบที่ระบาดที่อู่ฮั่น มีสาเหตุจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (novel coronavirus 2019, 2019-nCoV) และพบการแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้

สาเหตุของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่มีการแพร่ระบาดในคนยังไม่แน่ชัดนัก แม้ว่าจะมีการโฟกัสไปที่ตลาดทะเลสดในอู่ฮั่นว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อแห่งแรกก็ตาม เวลาต่อมามีสมมติฐานถึงการแพร่ระบาดที่น่าสนใจถูกตีพิมพ์ในวารสาร Lancet อยู่ 4 สมมติฐาน ดังนี้

  1. ผู้ป่วยรายแรกมีการแสดงผลของเชื้อในวันที่ 1 ธันวาคม แสดงว่าผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน โดยที่เขาไม่เคยไปที่อู่ฮั่นในเวลานั้นมาก่อน จึงสันนิษฐานว่ามีการแพร่ระบาดที่นอกอู่ฮั่นมาสักพักแล้ว แต่การแพร่ระบาดที่อู่ฮั่นโด่งดังกว่า จึงมีการเข้าใจว่าเผยแพร่ครั้งแรกที่นั่น
  2. ในตลาดสดที่อู่ฮั่นมีการค้าขายค้างคาวในลักษณะขังรวมกันหลาย ๆ ตัว ซึ่งเป็นค้างคาวที่มีเชื้ออยู่แล้ว ค้างคาวจึงแพร่กระจายเชื้อไปสู่คน ผ่านทางอุจจาระ ละอองน้ำลายและเลือดจากการถูกเชือดต่อหน้าลูกค้าที่ไปซื้อของ
  3. มีสัตว์ปีกบางชนิดหรือค้างคาว ที่มีเชื้อตัวนี้อยู่แล้วได้บินไปบินมาระหว่างตลาดสดอู่ฮั่น เมื่อปล่อยมูลกลางอากาศจึงเป็นการแพร่เชื้ออีกทางหนึ่ง
  4. มีบ้านหลังหนึ่งในอู่ฮั่นที่ถูกตรวจพบว่า บนกระเบื้องใต้หลังคาบ้านเป็นแหล่งอยู่อาศัยของค้างคาว ที่ถูกสันนิษฐานว่ามีเชื้อ ทำให้เจ้าของบ้านติดเชื้อผ่านทางการสูดอากาศเอาเชื้อที่อยู่เหนือหัวเข้าไป รวมถึงระแวกใกล้เคียงก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

แหล่ง “ต้นเชื้อ” แพร่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สู่คน “ยังไม่ทราบชนิด” (ห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ,2563) ขณะนี้ผลการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัส nCoV บ่งชี้ว่ารหัสจีโจมใกล้เคียงมากกว่า 90% กับไวรัสโคโรนาที่พบในค้างคาวเกือกม้าในเมืองยูนาน ปี 2013 แต่ไวรัสดังกล่าวอาจแพร่สู่สัตว์ตัวกลางก่อนติดในคน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบชนิด สาเหตุของการระบาดอาจไม่ใช่ “งู” นักไวรัสวิทยาไม่ปักใจเชื่อว่าต้นเชื้อไวรัส nCoV มาจากงูเพราะไม่เคยมีการค้นพบไวรัสโคโรนาในสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลื้อคลาน รวมทั้งไม่มีรายงานการพบไวรัสจากสัตว์เลื้อยคลานข้ามมาสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม


คลิปของประเทศบราซิล บอกให้เราทราบว่า เชื้อจะแพร่กระจายสู่บุคคลใกล้เคียงและในที่สาธารณะได้อย่างไร by Pariwat Chanthorn

Infographic

Infographic ความรู้สู้ covid-19 จาก สวทช.

สื่อเผยแพร่องค์ความรู้ วิธีการรับมือ การดูแลตนเอง (สำหรับประชาชน)

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำสื่อเผยแพร่องค์ความรู้ วิธีการรับมือ การดูแลตนเอง (สำหรับประชาชน) วิธีการจัดการให้ปลอดไวรัสโคโรนา โดยสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ โดยตรงได้ที่ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/info.php


 

   

{/tabs}

รายการบรรณานุกรม

  • โคโรนา : มารู้จักไวรัสที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบระบาดในจีน. สืบค้น 1 มีนาคม 2563, จาก https://www.bbc.com/thai/thailand-51089461
  • นพ.ธีระ วรธนารัตน์. (2563). โคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) ตอนนี้เรารู้อะไรบ้าง?. สืบค้น 1 มีนาคม 2563, จาก https://www.hfocus.org/print/18552
  • Novel Coronavirus (COVID-19) advice for the public. สืบค้น 1 มีนาคม 2563, จาก https://www.who.int/thailand/emergencies/novel-coronavirus-2019/advice-for-public
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2563). โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). สืบค้น 29 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/info.php
  • 6 ท้อเท็จจริง โรคอุบัติใหม่ ไวรัสโคโรนา (2019-nCoV). (2563). ห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ. สืบค้น 29 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://oer.learn.in.th/search_detail/result/166770

มาตรการพื้นฐานในการป้องกันไวรัสโคโรนาชนิดใหม่

มาตรการพื้นฐานในการป้องกันไวรัสโคโรนาชนิดใหม่
ข้อมูลจาก WHO (ณ วันที่ 16 ก.พ. 2563)
https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019/advice-for-public
แปลโดย ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ดาวน์โหลดเอกสาร


ให้ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ได้จากเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก และผ่านทางหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขในพื้นที่หรือระดับประเทศของท่าน โดยส่วนใหญ่แล้ว โควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบกับคนในประเทศจีน และมีการระบาดอยู่บ้างในประเทศอื่นๆ คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อมีอาการป่วยไม่รุนแรงและหายป่วย แต่มีบางรายที่ป่วยรุนแรง ดูแลปกป้องสุขภาพของตัวเองและป้องกันผู้อื่น โดยการทำดังต่อไปนี้:

  • ล้างมือบ่อยๆ
    ล้างมืออยู่เรื่อยๆ และทำความสะอาดมืออย่างทั่วถึง ด้วยสารที่มีแอลกอฮอล์ผสม หรือล้างด้วยสบู่และน้ำ
    ทำไม? การล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้สารที่มีแอลกอฮอล์ผสม ช่วยฆ่าไวรัสที่อาจจะมีอยู่บนมือได้
  • รักษาระยะห่างทางสังคม
    พยายามอยู่ห่างจากคนอื่น ที่อาจจะไอหรือจาม อย่างน้อย 1 เมตร (3 ฟุต)
    ทำไม? เมื่อมีใครไอหรือจาม จะมีละอองฝอยของเหลวขนาดเล็กพุ่งกระจายออกจากจมูกหรือปากของผู้นั้น ซึ่งอาจมีไวรัสอยู่ หากคุณอยู่ใกล้ชิดมากเกินไป ก็อาจจะหายใจเอาละอองฝอยเหล่านั้น รวมทั้งไวรัสโควิด-19 เข้าไปได้ หากว่าคนผู้นั้นติดเชื้ออยู่
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา, จมูก หรือปาก
    ทำไม? มือที่สัมผัสพื้นผิวสิ่งต่างๆ มากมาย อาจจะติดเอาไวรัสมาได้ ครั้นเมื่อติดเชื้อมาแล้ว มือนั้นก็อาจจะถ่ายทอดไวรัสต่อไปยังตา, จมูก หรือปาก ต่อไปได้ จากนั้น ไวรัสดังกล่าวก็อาจจะเข้าสู่ร่างกายและทำให้คุณป่วยได้
  • ฝึกฝนการรักษาอนามัยเกี่ยวกับระบบหายใจ
    พยายามรักษาอนามัยเกี่ยวกับระบบหายใจให้ถูกวิธี ทั้งกับตัวคุณเองและผู้คนรอบๆ ตัวคุณ ซึ่งก็รวมทั้งการปิดปากและจมูกด้วยข้อศอกหรือกระดาษทิชชู่ เวลาที่ไอหรือจาม จากนั้น ทิ้งทิชชู่ที่ใช้แล้วในทันที
    ทำไม? ละอองฝอยช่วยกระจายไวรัส การปฏิบัติตามอนามัยเกี่ยวกับระบบหายใจที่ดี ช่วยให้คุณปกป้องผู้คนรอบตัวจากไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ได้
  • หากคุณมีไข้, ไอ และหายใจลำบาก ไปพบแพทย์เพื่อรักษาแต่เนิ่นๆ
    ให้พักอยู่บ้าน หากรู้สึกไม่สบาย หากมีไข้, ไอ และหายใจลำบาก โทรศัพท์ปรึกษาแพทย์ล่วงหน้า และไปพบแพทย์ โดยทำตามแนวทางที่กำหนดโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบสาธารณสุขในพื้นที่ของคุณ
    ทำไม? หน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่และระดับประเทศ จะมีข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ของคุณ การโทรศัพท์ติดต่อไปล่วงหน้าจะช่วยให้ผู้ให้การดูแลรักษาสามารถนำตัวคุณไปยังสถานพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยป้องกันตัวคุณเอง และช่วยป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายของไวรัส และเกิดการติดเชื้ออื่นๆ เพิ่มขึ้น
  • ติดตามข่าวสารและทำตามคำแนะนำของผู้ให้การรักษาพยาบาล
    ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับโควิด-19 ทำตามคำแนะนำของผู้ให้การรักษาพยาบาล, หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขระดับพื้นที่และระดับประเทศหรือนายจ้างของคุณ เกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองและผู้อื่นจากโควิด-19
    ทำไม? หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขระดับพื้นที่และระดับประเทศ จะมีข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการกระจายของโควิด-19 ในพื้นที่ของคุณ พวกเขาจะให้คำแนะนำกับคนในพื้นที่ได้ดีที่สุดว่า ควรจะทำอย่างไรบ้างจึงจะป้องกันตัวเองได้

มาตรการป้องกันสำหรับผู้ที่ไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโควิด-19
เมื่อเร็วๆ นี้ (ใน
14 วันที่ผ่านมา)

  • ทำตามแนวทางที่กล่าวไว้ข้างต้น
  • อยู่กับบ้านหากรู้สึกไม่สบาย, แม้ว่าจะจะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดหัว หรือมีน้ำมูกเล็กน้อย จนกว่าจะหาย ทำไม? เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นและลดผู้ไปยังสถานรักษาพยาบาล เพื่อช่วยให้การดูแลรักษาพยาบาลทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้ตัวคุณเองและผู้อื่นจากโอกาสติดเชื้อโควิด-19 และไวรัสอื่นๆ อีกด้วย
  • หากมีไข้, ไอ หรือหายใจลำบาก ให้ไปพบแพทย์ในทันที เพราะอาจแสดงให้เห็นถึงการติดเชื้อของระบบหายใจ หรือสภาวะความเจ็บป่วยที่ร้ายแรงอื่นๆ, กรุณาโทรศัพท์ไปแจ้งก่อนล่วงหน้า และแจ้งกับสถานพยาบาลด้วยว่า เคยไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหรือสัมผัสกับนักท่องเที่ยวมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้ ทำไม? การโทรศัพท์ล่วงหน้าจะช่วยให้สถานพยาบาลช่วยนำคุณไปรักษาในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะช่วยป้องกันโอกาสที่จะเกิดการแพร่กระจายของโควิด-19 และไวรัสอื่นๆ ได้

แหล่งที่มาของข้อมูล : ข้อมูลจาก WHO (ณ วันที่ 16 ก.พ. 2563) https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019/advice-for-public

Continue reading “มาตรการพื้นฐานในการป้องกันไวรัสโคโรนาชนิดใหม่”

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 9 เดือน กันยายน 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 9 เดือน กันยายน 2562

นโยบายการพัฒนาประเทศจากเยอรมนีสู่ไทย โดย สถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงเบอร์ลิน
ดร.ธิรวัฒน์ ภูมิจิตร เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน กล่าวว่า หากประเทศไทยเติบโตด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนที่จะช่วยให้ประเทศสามารถจัดการกับความท้าทายทางสังคมได้ หากพิจารณาถึงประเทศเยอรมนี จะพบว่ามี 4 จุดเด่นสำคัญด้าน วทน. ที่ประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้ดังนี้
1.การสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม
2.การพัฒนาทักษะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์
3.นวัตกรรมสังคม
4.การสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์


ความก้าวหน้าด้าน วทน. ในยุโรปและโอกาสการสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและยุโรป โดย สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต
ณ กรุงบรัสเซลส์
ภารกิจส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี
คือการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคยุโรปเพื่อสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่สังคมวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ซึ่งจะนำประเทศไปสู่สังคมและเศรษฐกิจบนฐานความรู้โดยเฉพาะการถ่ายองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนนโยบาย
Thailand 4.0

การจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
การปรับบทบาทของอุดมศึกษาเพื่อขับเคลื่อนประเทศภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แนวคิดในการจัดตั้งมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาและการวิจัยของไทย เช่น ปัญหาธรรมาภิบาลของมหาวิทยาลัย การวิจัย นวัตกรรม ไม่มีทิศทาง โจทย์วิจัย ไม่ตอบสนองสังคม เศรษฐกิจ งบประมาณวิจัยไม่เพียงพอ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทาง วทน. ขาดทิศทาง ไม่ต่อเนื่อง อัตราการสร้างนวัตกรรมต่ำ และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยหัวใจหลักของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม คือการดำเนิน 2 ภารกิจหลัก ได้แก่ 1.เตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 และ 2. นำองค์ความรู้และนวัตกรรม ไปพัฒนาประเทศ

การพัฒนาการศึกษาไทย โดย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
สสวท. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งในและนอกสถานศึกษาให้นักเรียนพัฒนาตามศักยภาพเป็นประชากรที่มีความรู้ นักวิชาชีพฐานดี และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำต่อไป
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน วทน.
1. วิทยาการคำนวณ : สสวท. ได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปสู่หลักสูตรวิทยาการคำนวณ ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ มีทักษะการคิดเชิงคำนวณ โดยกำหนดขอบเขตการเรียนการสอนของวิชาวิทยาการคำนวณไว้3องค์ความรู้  ดังนี้ การคิดเชิงคำนวณ (Computational thinking) พื้นฐานความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital technology) และ พื้นฐานการรู้เท่าทันสื่อและข่าวสาร (Media and information literacy)
2. หนังสือเรียนแนวคิดใหม่ : สสวท. ได้ปรับปรุงแบบเรียนในทุกระดับชั้นโดยพิมพ์สีทั้งหมด พร้อม QR Code และ Short url เชื่อมโยงแหล่งความรู้ออนไลน์ที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ  นอกจากนี้ยังได้พัฒนาสื่อวิทยาศาสตร์แบบสื่อดิจิทัลแสดงผลเสมือนจริง หรือสื่อ AR 3 มิติ (Augmented Reality) เพื่อเป็นสื่อประกอบหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์อีกด้วย
3. สะเต็มศึกษา : เป็นแนวทางการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสามารถบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรมและคณิตศาสตร์ ไปใช้ในการเชื่อมโยงและแก้ปัญหาในชีวิตจริง โดยเน้นจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวแล้วค่อยอธิบายเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยทฤษฎีและนำไปสู่การเรียนรู้คำนิยามต่างๆ
4. แผนการจัดตั้งสถาบัน Kosen : สสวท.จะนำระบบ Kosen จากประเทศญี่ปุ่นมาปรับใช้กับระบบอาชีวะในประเทศไทย ซึ่งเป็นหลักสูตรเชี่ยวชาญพิเศษด้านวิศวกรรมศาสตร์ เที่ยบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลายโดยตลอดหลักสูตร 5 ปี ผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบันโคเซ็น ควบอนุปริญญาวิศวกรรมศาสตร์


การสร้างความเป็นสากลให้แก่ระบบอุดมศึกษาของไทย โดย สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.)
การสร้างความเป็นสากลให้แก่ระบบอุดมศึกษาของไทย โดยที่ผ่านมามีการสร้างความเป็นสากลผ่านการสร้างความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างประเทศ การลงนามบันทึกความเข้าใจ
(MoU) การจัดอันดับมหาวิทยาลัย การรวมกลุ่มเป็นประชาคมอาเซียน การเกิดหลักสูตรนานาชาติเพื่อดึงดูดนักศึกษาต่างชาติ ในขณะที่ปัจจุบันเป็นโลกแห่งยุคดิจิทัล ดังนั้นมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายร่วมกัน เชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพของโลกสมัยใหม่ที่มีการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงสูงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้อาจจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยการสร้างการแลกเปลี่ยนเสมือน (virtual mobility) ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อเข้ารับการฝึกอบรมผ่านระบบดิจิทัลเสมือนจริง


เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
นาโนเทค

นาโนเทคเป็นองค์กรที่ดำเนินงานวิจัย พัฒนา ออกแบบและวิศวกรรม และประยุกต์นาโนเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดความเป็นเลิศและสามารถถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์ให้กับภาคการผลิต โดยปัจจุบันนาโนเทคมีหน่วยวิจัย
5 หน่วย การวิจัยด้านการพัฒนาวัสดุนาโนและวิศวกรรมระบบนาโน ซึ่งมุ่งพัฒนาและแบบ วัสดุ โครงสร้างและระบบในระดับนาโนด้วยวิธีการคำนวณทางเคมีคอมพิวเตอร์ ผ่านการสร้างแบบจำลองและการประเมินเชิงวิศวกรรมผ่านการสร้างต้นแบบและระบบนำร่องสำหรับการประยุกต์ใช้งานในด้านพลังงาน การวิจัยด้านนาโนเพื่อชีวิตและสุขภาพ มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการตรวจวินิจฉัย โดยใช้โมเลกุลเป้าหมาย การพัฒนาเทคโนโลยีระบบนำส่งยาชนิดใหม่และเวชสำอางจาการใช้ประโยชน์ด้วยสารจากธรรมชาติและสมุนไพร


เอ็มเทค
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ หรือเอ็มเทค เป็นหน่วยงานที่พัฒนาและสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีวัสดุให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนโดยดำเนินการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศ ตัวอย่างผลงานของเอ็มเทค
: วัสดุชนิดแข็งพิเศษจากยางธรรมชาติสำหรับงานปูพื้นเพื่อการตกแต่งบ้านและสวน เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ น้ำยาง ParaFIT เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหมอนและที่นอน แอพพลิเคชั่นบนมือถือที่มุ่งเน้นตรวจสอบปริมาณของขยะอาหารและบรรจุภัณฑ์อาหารจากการบริโภคในชีวิตประจำ และวัสดุก่อสร้างจีโอโพลิเมอร์ที่ผลิตจากวัสดุเหลือทิ้งอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นวัสดุทดแทนเซรามิกส์


เนคเทค
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทคเป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เปรียบเสมือนเครื่องจักรสำคัญในการสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีให้ประเทศรวมถึงเตรียมความพร้อมงานวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยร่วมกับพันธมิตรผลักดันให้เกิดระบบนิเวศน์ของการใช้เทคโนโลยีที่วิจัยและพัฒนาขึ้นให้เกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ที่ให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้เสมือนกับการเป็นสาธารณูปโภคที่ส่งให้ประชาชนทุกคนในบ้าน  ตัวอย่างผลงานของเนคเทค
: โปรแกรมวัดขนาดอาหารเม็ดสัตว์น้ำ แพลตฟอร์มระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสารสำหรับคนพิการทางการได้ยินและคนพิการทางการพูด เครื่องอ่านปริมาณสารเคมีในแบบอัจฉริยะ ระบบถอดความเสียงพูดเป็นตัวอักษรแบบทันเวลา และระบบอัจฉริยะเพื่อเฝ้าระวังและติดตามการเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น


ไบโอเทค
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาสร้างความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศ สร้างองค์ความรู้สู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ
(excellence) และส่งเสริมต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย ตอบโจทย์ของสังคมและนโยบายประเทศเพื่อให้เกิดผลกระทบสูงสุด

 ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่

https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/20191119-newsletter-brussels-no9-sep62.pdf

Creating A Sustainable Future For Thai Farming Sector And Local Communities With STI

This publicaton illustrates our work in introducing technologies, innovatons along with assistance in a number of areas – such as market access, quality standards and business development – with the ultmate goal of enhancing capacity and compettveness of our farmers, villagers and social enterprises. It is our belief that enhanced capacity of our farming sector and people in the rural communites will become a robust engine to meet Sustainable Development Goals and support the Government’s Bio – Circular – Green (BCG) economic model.

 Download ฺBook

แนวทางการบริหารความเสี่ยงองค์กร กรณีศึกษา สวทช.

ในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง มีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และยากจะคาดเดานั้น “การบริหารจัดการองค์กรไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม” การนำระบบบริหารความเสี่ยงมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องสำคัญ

หนังสือ “แนวทางการบริหารความเสี่ยงองค์กร กรณีศึกษา สวทช.” เล่มนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงของ สวทช. จึงขอนำเสนอเผยแพร่ให้กับองค์กรอื่นๆ นำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการจะพัฒนากระบวนการบริหารความเสี่ยงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับริหารจัดการองค์กร

[ Download หนังสือ] | [View as flip book]

หนังสือ ความเชื่อกับวิทยาศาสตร์ : ไขปริศนา 100 ข่าวสิ่งแปลกที่ชาวบ้านพากันกราบไหว้ขอหวย

สังคมไทยมีวิถีชีวิตในความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ อำนาจเล้นลับ หรือกระทั่งเรื่องออกแนวไปทางไสยศาสตร์มาช้านานซึ่งก็คงไม่ต่างจากชนชาติอื่นๆ ที่ต่างก็มีเรื่องราวทำนองนี้ในท้องถิ่นของตน ส่วนการตอบสนองต่อเรื่องเหล่านี้ ในแต่ละชนชาติอาจมีวิธีการที่คล้ายคลึงหรือแตกต่างกันไปตามบริบทของสังคมแต่ละแห่ง

หนังสือ “ความเชื่อกับวิทยาศาสตร์” เล่มนี้ จัดทำโดย ฝ่ายสื่อวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รวบรวมข่าวแปลกดังกล่าวในรอบสี่ปีที่ผ่านมาเป็นหลัก คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552-2555 แล้วสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ต่อข่าวดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้อง แม้บางเรื่องอาจจะยังมีคำตอบที่ไม่ชัดเจน เพราะต้องอาศัยเวลาและการทดลองเพื่อหาคำตอบ ซึ่งเราไม่มีโอกาสได้ทำ แต่อย่างน้อยนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ให้แนวทางและวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ในเรื่องดังกล่าวได้

ดาวน์โหลดหนังสือ

 

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปี 2562

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง

1. เครื่องข่ายมือถือ 5G/6G (Mobile Network 5G/6G)
2. การคำนวณและวิศวกรรมควอนตัม (Quantum Coumputing and Engineering)
3. เอไอแห่งอนาคต (Future Artificial Intelligence)
4. การเดินทางแบบไร้รอยต่อ (Mobility-as-a-Service, Maas)
5. เซลล์แสดงอาทิตย์เพอรอฟสไกด์ (Perovskite Solar Cell)
6. แบตเตอรี่ลิเทียมยุคหน้า(Next Generation Lithium Ion Batterles)
7. โครงเสริมภายนอกกาย (Exoskeletion)
8. ไฟเบอร์สารพัดประโยชน์จากจุลินทรีย์
(Microbial Multifunctional Fiber)
9. กายจำลองทดสอบยา (Companion Diagnostics)
10. วัคซีนมะเร็งเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Vaccine)

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปี 2562

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปี 2562

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปี 2562