MOOCs : นวัตกรรมการศึกษา/เทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อการศึกษาแบบก้าวกระโดด

MOOCs  ย่อมาจาก   Massive Open Online Course  หมายถึง   หลักสูตรการเรียนการสอนแบบออนไลน์ แบบเปิดเสรีสำหรับทุกๆคนในโลก สามารถสมัครเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดจำนวน เน้นในระดับการศึกษารขั้นสูงที่ในระบบการศึกษาแบบเดิมที่มีข้อจำกัด อยู่แต่เฉพาะในห้องเรียน และรองรับผู้เรียนในจำนวนน้อย

ความหมายของ MOOCs มาจากคำเต็ม คือ  Massive Open Online Course

  • Massive จำนวนผู้เรียนลงทะเบียนได้มากกว่า 10,000 คน
  • Open    เรียนแบบเสรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ทุกๆ คนสามารถลงทะเบียนเรียนได้
  • Online    เรียนออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต
  • Course    ชุดวิชาที่เปิดสอนแบบ 7X24 เข้าเรียนได้ตามที่ต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องขอรับประกาศนียบัตรผลการเรียน

เป็นระบบเปิดที่เรียนได้แบบเสรี โดยที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนเป็นนักเรียนหรือ เสียค่าใช้จ่ายใดๆ  ระบบรองรับผู้เรียนได้อย่างกว้างไกลและรองรับจำนวนผู้เรียนได้มาก  ซึ่งแตกต่างกับการเรียนแบบเดิม  ที่รองรับผู้เรียนได้จำนวนน้อยและต้องใช้มีผู้สอน ซึ่งทำให้มีข้อจำกัดเรื่องอัตราส่วนของผู้สอนกับผู้เรียน ซึ่ง MOOCs ไม่มีข้อจำกัดเหล่านี้ เพราะสามารถรองรับผู้เรียนได้แบบมหาศาล และมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่โดดเด่นเช่น เนื้อหาที่นำมาให้เรียนเป็นเนื้อหาแบบเปิดที่อนุญาต  (open licensing of content) เป็นต้น

ตัวอย่างระบบการเรียนการสอน MOOCS ที่มีชื่อเสียง ในต่างประเทศ เช่น

  • edX (edx.org) – มหาวิทยาลัย Harvard และ MIT
  • KHAN ACADEMY (Khanacademy.org) – ก่อตั้งโดย Salman  Khan
  • COURSERA (Coursera.org) –   ก่อตั้งโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย Standford
  • UDACITY (Udacity.com) – หลักสูตรวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยStandford

ประเทศไทย

โครงการ มหาวิทยาลัยไซเบอรืไทย Thailand Cyber University (TCU : thaicyberu.go.th)  เป็นโครงการภายใต้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาของรัฐ (สกอ.)  กระทรวงศึกษาธิการ

สำหรับผลงานงานวิจัยและพัฒนาเรื่องระบบ MOOCs มีเผยแพร่ในระดับสากลต่อเนื่องมา ตั้งแต่ปี 2010 โดยมีบทความวิจัยตีพิมพ์ สื่อสาร ในแหล่งสารสนเทศวิชาการออนไลน์ จำนวนหนึ่ง  โดยเฉพาะในฐานข้อมูลที่มีชื่อเสียง Web of Science ซึ่งสามารถทำการวิเคราะห์บทความวิจัย แบบเบื้องต้น จากความสามารถของฐานข้อมูลโดยตรง สรุปได้ดังนี้

ฐานข้อมูล  Web of Science, WOS  มีเนื้อหาครอบคลุมสาขาวิชาหลัก คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลิตและบริการโดยบริษัท Thomson Reuters เป็นชุดฐานข้อมูลบรรณานุกรมและสาระสังเขป จากวารสารวิชาการระดับคุณภาพ ที่มีค่า Impact Factor, IF ทุกบทความ   และที่สำคัญเป็นฐานข้อมูล ที่ให้ข้อมูลจำนวนการได้รับอ้างอิง Time Cited of Citations แห่งแรกของโลก จึงเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญใน การประเมินคุณภาพ ผลงานวิจัยวิชาการของนักวิจัยรายบุคคล หน่วยงาน/สถาบัน/มหาวิทยาลัย ประเทศ  ที่ใช้หน่วยวัดจาก จำนวนบทความวิจัย  และจำนวนการได้รับการอ้างอิง

โจทย์การสืบค้น ใช้คำค้นดังนี้

Query : mooc  OR moocs or “massive open online course” not optic*

Search  Results : 250  เรื่อง (As 28  August 2015)

ตัวอย่าง รายชื่อบทความวิจัยตีพิมพ์   10  เรื่องล่าสุด คือ

  1. Relational event models for social learning in MOOCs.
  2. Language MOOCS: Providing Learning,Transcending Boundaries.
  3. South Asian Intellectual Property Knowledge Network – promoting intellectual property rights education in India and other countries.
  4. Discover Dentistry: encouraging wider participation in dentistry using a massive open online course (MOOC).
  5. Massive Open Online Course Completion Rates Revisited: Assessment, Length and Attrition.
  6. University of Toronto Instructors’ Experiences with Developing MOOCs.
  7. Roles of Course Facilitators, Learners, and Technology in the Flow of Information of a CMOOC.
  8. Who Studies MOOCs? Interdisciplinarity in MOOC Research and its Changes over Time.
  9. Going to College on My iPhone
  10. Equine Nutrition: A Survey of Perceptions and Practices of Horse Owners Undertaking a Massive Open Online Course in Equine Nutrition

บทความวิจัยที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุด  Highest times cited = 33

Article Ttitle : MOOCs: A Systematic Study of  the Published Literature 2008-2012

Author  : Liyanagunawardena, TR  (Liyanagunawardena, Tharindu Rekha)[ 1 ] ;  Adams, AA (Adams, Andrew Alexandar)[ 2 ] ; Williams, SA (Williams, Shirley Ann)[ 1 ]

Sources : INTERNATIONAL REVIEW OF RESEARCH IN OPEN AND DISTANCE LEARNING Volume: 14 Issue: 3 Pages: 202-227

Published: 2013

Abstract

Massive open online courses (MOOCs) are a recent addition to the range of online learning options. Since 2008, MOOCs have been run by a variety of public and elite universities, especially in North America. Many academics have taken interest in MOOCs recognising the potential to deliver education around the globe on an unprecedented scale; some of these academics are taking a research-oriented perspective and academic papers describing their research are starting to appear in the traditional media of peer reviewed publications. This paper presents a systematic review of the published MOOC literature (2008-2012): Forty-five peer reviewed papers are identified through journals, database searches, searching the Web, and chaining from known sources to form the base for this review. We believe this is the first effort to systematically review literature relating to MOOCs, a fairly recent but massively popular phenomenon with a global reach. The review categorises the literature into eight different areas of interest, introductory, concept, case studies, educational theory, technology, participant focussed, provider focussed, and other, while also providing quantitative analysis of publications according to publication type, year of publication, and contributors. Future research directions guided by gaps in the literature are explored.

Keywords

Author Keywords:MOOC; massive open online course; massively open online course; systematic review; connectivism

KeyWords Plus:OPEN ONLINE COURSES; EDUCATION

Author Information :  Liyanagunawardena, TR (reprint author) Univ Reading, Reading RG6 2AH, Berks, England.

การวิเคราะห์บทความวิจัยเรื่อง MOOCs จากฐานข้อมูล WOS

เมื่อทำการวิเคราะห์  บทความวิจัยจำนวน 245 เรื่องที่สืบค้นได้  ตามความสามารถของฐานข้อมูล  ได้ผลการวิเคราะห์ดังนี้

วิเคราะห์ตามหมวดหมู่สาขาวิชาของ WOS : Subject Category จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
EDUCATION EDUCATIONAL RESEARCH 115
COMPUTER SCIENCE SOFTWARE ENGINEERING 13
COMMUNICATION 13
INFORMATION SCIENCE LIBRARY SCIENCE 11
COMPUTER SCIENCE THEORY METHODS 11

สรุปเป็นงานวิจัยสาขาการศึกษาสูงสุด จำนวน 115 เรื่อง  ตามอันดับที่ 2 คือสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์

วิเคราะห์ ตามประเภทเอกสารวิจัยตีพิมพ์   WOS: Document Types

วิเคราะห์ตามประเภทเอกสาร จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
ARTICLE 168
EDITORIAL MATERIAL 43
LETTER 16
MEETING ABSTRACT 6
REVIEW 5

สรุปเป็นประเภทเอกสารแบบ งานวิจัยตีพิมพ์ อันอับที่ หนึ่ง จำนวน 168  เรื่อง

วิเคราะห์ ตามสาขางานวิจัย   WOS: Research Areas

วิเคราะห์ตามสาขางานวิจัย จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
EDUCATION EDUCATIONAL RESEARCH 120
COMPUTER SCIENCE 28
ENGINEERING 15
COMMUNICATION 13
SCIENCE TECHNOLOGY OTHER TOPICS 11

สรุปเป็น งานวิจัยสาขา การศึกษา อันดับที่ หนึ่ง จำนวน 120  เรื่อง

วิเคราะห์ ตามชื่อผู้แต่งบทความ 5 อันดับแรก   WOS: Top 5  Authors

ชื่อผู้แต่งบทความ 5 อันดับแรก จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
WILLIAMS SA 3
PEREZ-SANAGUSTIN M 3
LIYANAGUNAWARDENA TR 3
KOVANOVIC V 3
GASEVIC D 3

สรุปผู้แต่งบทความ  อันดับที่หนึ่ง  3 ชื่อ คือ

WILLIAMS SA –  Univ Reading, Open Online Content, Reading RG6 6AY, Berks, England

PEREZ-SANAGUSTIN M – Pontificia Univ Catolica Chile, Santiago, Chile

LIYANAGUNAWARDENA TR – Univ Reading, Sch Syst Engn, Reading RG6 6AY, Berks, England.

วิเคราะห์ตามรายชื่อสิ่งพิมพ์  WOS: Source Titles

วิเคราะห์ตามรายชื่อสิ่งพิมพ์ จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
INTERNATIONAL REVIEW OF RESEARCH IN OPEN AND DISTANCE LEARNING 38
DISTANCE  EDUCATION 16
COMUNICAR 12
BRITISH JOURNAL OF EDUCATIONAL TECHNOLOGY 11
EDUCACION XX1 7

วิเคราะห์ตามปีที่ตีพิมพ์  WOS: Publication Years

วิเคราะห์ตามปีที่ตีพิมพ์  จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
2014 104
2015 68
2013 57
2011 4
2010 3

วิเคราะห์ตามที่อยู่แต่งบทความ  WOS: Organizations-Enhanced

วิเคราะห์ตามที่อยู่ผู้แต่งบทความ  จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
MASSACHUSETTS INSTITUTE OF TECHNOLOGY 8
HARVARD UNIVERSITY 8
ATHABASCA UNIVERSITY 8
UNIVERSITY OF CALIFORNIA SYSTEM 6
UNIVERSITY OF TORONTO 5

วิเคราะห์ตามประเทศของผู้แต่งบทความ  WOS: Countries/Territories

วิเคราะห์ตามประเทศของผู้แต่งบทความ  จำนวนบทความที่สืบค้นพบ (เรื่อง)
USA 89
CANADA 26
AUSTRALIA 22
SPAIN 20
ENGLAND 17

 

Thomson Reuters ทำนาย 10 นวัตกรรมของโลก ในปี 2025

ในอีก 10 ปีข้างหน้า  จะมีนวัตกรรมอะไร ที่โดดเด่นจนมีผลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์บ้าง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2014 บริษัท Thomson Reuters โดยแผนก IP & Science Business ได้เผยแพร่รายงานเรื่องข้างต้น  ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากบทความวิจัยวิชาการ และเอกสารสิทธิบัตร ที่สามารถสรุปให้เห็นแนวโน้ม บอกเป็นนัยๆ ว่าจะมีการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในทศวรรษหน้า

วิธีการศึกษา

นักวิจัยผู้ศึกษาทำนาย นวัตกรรมแนวหน้า 10 เรื่อง นี้ใช้หลักการวิเคราะห์  citation ranking / most cited papers ของบทความตีพิมพ์งานวิจัยวิทยาศาสตร์  จากฐานข้อมูล Web of Science และ วิเคราะห์เอกสารสิทธิบัตรจากฐานข้อมูลสิทธิบัตร Derwent World Patent Index ที่มีการยืนขอในปี 2012 เป็นต้นมา

ผลการศึกษานี้ สามารถสรุป แนวโน้มของนวัตกรรม ที่ถือว่าเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากชุมชนวิจัยวิทยาศาสตร์ทั่วโลก และภาคอุตสาหกรรม บริษัทเทคโนโลยีที่มีการยื่นขอความคุ้มครองสิทธิบัตร ในเรื่องเหล่านี้

  1. Dementia declined. โรคจิต/สมองเสื่อม จะลดลง
  2. Solar is largest source of enegy on the Planet.  ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของโลก
  3. Type 1 Diabetes is preventable.  โรคเบาหวานชนิดที่หนึ่ง จะสามารถรักษาได้
  4. Food shortage and food price flutuation are things of the past.  จะไม่มีการขาดแคลนอาหารและความผันผวนในราคาอาหารดังเช่นในอดีต
  5. Electric air Transportation takes off.  ยานขนส่งไฟฟ้าทางอากาศ
  6. Digital Everything …..Everywhere.  สิ่งของทุกสิ่งและทุกสถานที่ จะอยู่ในโลกดิจิทัล
  7. Petroleum-Based packaging is history ; cekllulose-Derived Packaging rules. จะเกิดวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่มาจากเซลลูโลส (เซลล์จากพืช) ส่วนวัสดุที่มาจากแหล่งปิโตรเลียมกลายเป็นเรื่องอดีต
  8. Cancer treatments have very few toxic side effects. การรักษาโรคมะเร็งจะมีผลข้างเคียงจากสารพิษเล็กน้อย
  9. DNA mapping at birth is the norm to avoid disease risk. การทำแผนที่ ดีเอ็นเอ ก่อนการเกิดของทารก จะเป็นเรื่องปกติ เพื่อเป็นมาตรฐานจัดการความเสี่ยงของการเกิดโรค
  10. Teleportation testing is common.  การทดสอบ การเคลื่อนย้ายสสาร

รายละเอียด 10 นวัตกรรมที่จะเกิดใหม่ในปี 2025 มีดังต่อไปนี้

1. โรคจิต/สมองเสื่อมลดลง (Dementia Declines) หมวด Medicine, Genetics
จากความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นในเรื่องจีโนมของมนุษย์และการกลายพันธ์ทางพันธุกรรมของนักวิทยาศาสตร์นำไปสู่ การปรับปรุงวิธีการตรวจหาวิธีการป้องกัน การโจมตีบุกรุกจากโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาท เช่น โรคจิต/สมองเสื่อม และ โรคอัลไซเมอร์

ปัจจุบันงานวิจัยในโรคสมองเสื่อมเซลล์ประสาท (Neurodegenerative disease)  ที่มุ่งเน้นระบุหาโครโมโซมที่ก่อให้เกิด ซึ่งงานวิจัยนี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึง Human genetic variation  และจะช่วยให้สามารถซ่อมแม/แก้ไขพันธุกรรมที่ผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเสื่อม

ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ สามารถแยกโครโมโซมเฉพาะที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคเซลล์สมอง เช่น Autosomal dominant frontotemporal dementia (FTD) และ Amyotrophic lateral sclerosis (ALS)

งานวิจัยรากฐานของเรื่องนี้ยังไม่มีการยื่นขอสิทธิบัตร เหตุผลเพราะว่าขณะนี้งานวิจัยทางการแพทย์อาจไม่สามารถขอยื่นจดสิทธิบัตรได้ แต่เทคนิคต่างๆและการพัฒนาเทคโนโลยีต่อไป อาจจะเห็นได้ในเอกสารสิทธิบัตรในอนาคต

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีการศึกษาวิจัยเรื่อง Gene identification ในความผิดปกติของ Frontotemporal lobar degeneration เป็นบทความวิจัยตีพิมพ์ที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุด (Highly-cited) ในระยะเวลา 2 ปี ในสาขานี้
  • การวิจัยเรื่อง โครโมโซม 9P  ที่เชื่อมโยงไปสู่ FTD กับ ALS เป็นบทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุด ตั้งแต่ปี 2011

2.ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของโลก (Solar is the largest source of  energy on the planet) หมวด Material Sciences, Chemistry, Energy & fuel, Environment/Ecology

งานวิจัยเรื่องวิธีการเก็บเกี่ยว การรักษาและการแปลงผันให้เป็นพลังงานแสงอาทิตย์เป็นวิธีการที่ก้าวหน้ามากและมีประสิทธิภาพที่จะทำให้แสงอาทิตย์ลายเป็นแหล่งพลังงานขั้นแรกในโลกของเรา   ต้องขอบคุณในความก้าวหน้าของงานวิจัยในการปรับปรุงเทคโนโลยีหลายๆส่วนทั้ง Photovoltaic, Chemical bonding, Photocatalysts และ 3-Dimensional  nanoscale heterojunctions

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • บทความวิจัยเรื่อง “Fabrication of novel heterostructure of CO304- Modified TIO2 nanorod arrays and enhanced photoelectrochemical property”  ได้รับการอ้างอิงสูงสุด
  • บทความวิจัยเรื่อง “design rules for donors in bulk-heterojunction solar cell – towards 10- energy-conversion efficiency” ได้รับการอ้างอิงมากกว่า 1600 ครั้ง

3.โรคเบาหวานชนิดที่หนึ่ง สามารถรักษาได้ (Type I Diabetes is preventable) หมวด Medicine, Biology genetics

จากความก้าวหน้าของการค้นพบแพลทฟอร์มด้านวิศวกรรมจีโนมมนุษย์ที่เป็นจริงแล้วนั้นนำไปสู่หนทางในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขยีนที่ก่อให้เกิดโรคและยังช่วยให้ป้องกันสภาวะเมตาบอลิคได้อีกด้วย   โรคเบาหวานชนิดหนึ่งจะสามารถป้องกันได้ในปี 2025 แต่ไม่ใช้ด้วยวิธีการลดอาหารหรือออกกำลังกาย แต่เป็นจากความก้าวหน้าในเรื่อง Ribonucleic acid guided (RNA-guided) engineering ที่ใช้ใน specialist sequence  synthesis

ต่อไปจะมีการยื่นขอจดสิทธิบัตรในจุลินทรีย์และบางส่วนของท่อน DNA ดังนั้นความซับซ้อนในฉากนี้ใครจะเป็นเจ้าของสิทธิในเทคโนโลยีนี้ อะไรและจุดไหนที่จะเป็นเส้นกั้นแบ่งระหว่างธรรมชาติกับการพาณิชย์

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีบทความวิจัยเรื่อง RNA-Guided Human Genome Engineering
  • เทคโนโลยี Recombinant DNA  จะนำไปสู่การยื่นขอจดสิทธิบัตร Genetic-engineering

4. ไม่มีการขาดแคลนอาหารและความผันผวนในราคาอาหารดังในอดีต ( Food shortages and Food price fluctuations are things of the past) หมวด Agricultural Sciences, Genetics, Chemistry

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Lighting และ Imaging ที่เชื่อมโยงเข้ากับพืชชนิด genetic crop modification จะช่วยให้เกิดการเจริญเติบโต สุกของพืชที่ปลูกในร่ม รวมทั้งมีความสามารถตรวจจับโรคพืชต่างๆได้ด้วย   จากวิวัฒนาการของเทคนิค 2 ด้าน คือ Lighting กับ Imaging ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันจะส่งผลให้มีผลกระทบในทศวรรษหน้า แสงประเภท Organic Light Emitting Diodes , LCD และ plasma คู่ขนานไปกับ 3 D Displays ที่เชื่อมโยงกับ Hyperspectral imaging จะช่วยปรับปรุงระยะเวลาการเติบโตของพืชได้ ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบฟาร์มแบบดั้งเดิม

ในปี 2025 พืช GMO จะเติบโตได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยในที่ร่มด้วยแสงที่ฉายส่องได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ด้วย LEDs  แบบแบตเตอร์รี่ต่ำ แผ่แสงในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะที่กระตุ้นการเติบโตของพืช รวมทั้งเป็นพืชที่ผสมพันธุ์ให้มีความต้านทานโรค ส่วนเทคนิค ภาพ เช่น จอแสดง 3 D เชื่อมโยงกับภาพแบบ hyperspectral จะสามารถช่วยให้ตรวจจับความผิดปกติในการเจริญเติบโตของพืชและโรคได้

โดยขบวนการนี้ช่วยลดความเสี่ยงในความล้มเหลวของการปลูกพืชได้ ฉนั้นจึงจะไม่เกิดการขาดแคลนอาหารและความผันผวนในราคาอาหาร เช่นดังอดีต

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีงานวิจัยชั้นแนวหน้าในเรื่อง Validating a method for the simutaneous determination of toxins and masked metabolities in differente cereals  and cereal-derived  foods.
  • มีเอกสารสิทธิบัตรในเรื่อง GM Food จำนวนหนึ่งรวมทั้งพืช Spinach ชนิดใหม่ที่มีการพัฒนาให้เป็นลูกผสมและเป็นสายพันธุ์ตามคุณลักษณะที่ต้องการ

5. ยานขนส่งไฟฟ้าทางอากาศ (Electric Air Transportation takes off)
หมวด Material sciences, Energy & Fuel

วิศวกรรมยานอวกาศแบบน้ำหนักเบาที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบใหม่ ในปี 2025 การเคลื่อนย้ายจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ตำแหน่ง A ไปยังอีกแห่งหนึ่งที่ B จะมีความแตกต่างจากปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง โดยที่รถยนต์ เครื่องบิน ยังคงมีอยู่ แต่จะล้าหน้าทันสมัยมากขึ้นจะมีการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แบบน้ำหนักเบาเป็นหลักที่จะช่วยให้การเดินทางได้ยาวไกลมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลจากความก้าวหน้างานวิจัยหลายเรื่องคือ

  • เชื้อเพลิง ประเภท ไม่ใช่คาร์บอน
  • แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion
  • การเก็บกักพลังงานแบบ Reversible hydrogen storage
  • Fuel cells ที่เป็น Nanomaterials
  • Thin-film Batteries

จากทั้ง 5 เทคโนโลยีรวมกันจะช่วยให้การชาร์จพลังงานได้มากขึ้นเป็น 10 เท่าของปัจจุบันและช่วยจัดเก็บพลังงานได้มากขึ้นอีกด้วย

เครื่องบินน้ำหนักเบาและรถยนต์จะมีการใช้แหล่งพลังงานใหม่ คือ Lithium-ion batteries รวมทั้งวัสดุที่มีน้ำหนักเบา และใช้มอเตอร์ที่เป็น Superconducting จากคุณลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้เครื่องบินสามารถขึ้นลงได้พื้นที่ขนาดเล็ก และสามารถเป็นธุรกิจการบินขนาดเล็กที่เดินทางในระยะสั้นๆ ได้

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีบทความวิจัยหลักเรื่อง Ultrafast charging and discharging energy system
  • ในวารสาร Nature Nanotechnology มีบทความที่ได้รับการอ้างอิงมากกว่า 1,300 ครั้ง คือบทความเรื่อง High Performance lithium battery anodes using silicon nanowires

6. สิ่งของทุกสิ่งและทุกสถานที่ อยู่ในโลกดิจิทัล  (Digital Everything Everywhere)
หมวด Material Sciences, Chemistry, Economics & Business

จากของใช้ส่วนบุคคลที่เล็กที่สุดจนถึงทวีปที่ใหญ่ที่สุดสิ่งของทุกอย่างในทุกสถานที่จะเชื่อมโยงกันด้วยระบบดิจิทัล และจะมีการโต้ตอบตามความต้องการ ตามความชอบของแต่ละบุคคล    โลกดิจิทัลในปัจจุบันจะเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นขั้นพื้นฐานสำหรับปี 2025 ต้องขอบคุณในความแพร่หลายของงานวิจัยที่ปรับปรุงเรื่อง Semiconductors /  Graphene-carbon nanotube capacitors / Cell-free Networks of Service Antenna และ 5 G Technology

การสื่อสารแบบไร้สายจะเป็นเรื่องที่มีอิทธิพลในทุกสิ่ง ทุกสถานที่ ตั้งแต่ในรถยนต์ถึงบ้านพัก และจะมีการตอบสนองตามความประสงค์ ตามความต้องการรวมทั้งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงสภาพภูมิศาสตร์ ให้ลองจินตนาการว่าในทวีปแอฟริกาทั้งทวีปจะเกิดการเชื่อมโยงกันแบบดิจิทัลในปี 2025 อย่างแน่นอน

การเปลี่ยนแปลงนี้มีเบื้องหลังมาจากแรงผลักดันในงานวิจัยเรื่อง Carbon Nano Structures และ Carbon-based Nanocomposites

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีงานวิจัยเกิดใหม่หลักในชื่อเรื่อง Toward  successful user interaction with systems : Focusing on user-derived gestures for smart home system
  • ส่วนกิจกรรมสิทธิบัตร มีสิทธิบัตรในสาขา Mobile communication device with controller modules that instruct wireless modules to monitor a physical downlink control channel for a downlink assignment reception from a cellular station  มีเพิ่มมากขึ้น

7. จะเกิดวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่มาจากเซลลูโลส (เซลล์ของพืชทุกชนิด) ส่วนวัสดุที่มาจากแหล่งปิโตรเลียมกลายเป็นเรื่องอดีต (Petroleum – based packaging is history, Cellulose – derived packaging rules)
หมวด Material  Sciences, Chemistry, Environment / Ecology

ขณะนี้มีงานวิจัยเกิดใหม่ ที่โฟกัสเรื่อง การใช้ Bio – Nanocomposites และ Nanocellulose สำหรับให้เป็นวัสดุบรรจุภัณฑ์ ในปี 2025 โดยวัสดุนี้จะเป็นวัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์   วัสดุ Nanocellulose ประกอบด้วยเส้นใยเซลลูโลส ที่มีขนาดนาโนมีความยาว ความกว้างมาก ซึ่งมีคุณลักษณะเป็นพลาสติกเทียม (Pseudo – plastic) ส่วน Bio – Nanocomposites เกิดมาจากวัสดุที่มาจากสิ่งมีชีวิต ในปี 2025 วัสดุบรรจุภัณฑ์ จะเป็นแบบย่อยสลายได้ตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์

บรรจุภัณฑ์ที่มีพิษที่เป็นพลาสติก มาจากปิโตรเลียมนั้น ก่อให้เกิดมลภาวะ ขยะในเมือง ท้องทุ่ง ชายหาดทะเล ใต้ทะเล วัสดุเหล่านี้จะกลายเป็นประวัติศาสตร์  บรรจุภัณฑ์ชนิดใหม่นี้จะเหมาะสมใช้ได้ทั้งที่เป็นอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์ เส้นใย และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึง Cellulose Packaging จะมีบทบาทในภาคเภสัชกรรม ที่ใช้บรรจุยาที่ใช้รับประทาน ต่อไป

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีบทความวิจัย เรื่อง “Integrated  conversion of hemicellulose and cellulose from lingocellulosic biomass”
  • มีงานวิจัย เรื่อง  Biocomposite cellulose – alginate films for packaging มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น  (May 2014)

8.การรักษาโรคมะเร็งจะมีผลข้างเคียงจากสารพิษเล็กน้อย ( Cancer treatments have very few toxic side effects)
หมวด Medicine, Cancer, Immunolog

ด้วยจากการวิจัยพัฒนายารักษาโรค จะมีความแม่นยำเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น โดยให้มีการจับตัวรวมกันของโปรตีนเฉพาะ และการใช้แอนตี้บอดี้ในการกำหนดกลไกการกระทำที่แน่นอน ช่วยให้ผลข้างเคียงจากสารเคมีที่เป็นพิษ ในผู้ป่วยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  นีเป็นผลจากการวิจัยในเรื่อง Big Data ที่ทำให้บริษัทยา สามารถผลิตยาแบบส่วนบุคคลได้ จากเดิมที่ผลิตยาแบบทั่วไป (Broad – brush drugs) มาเป็นแบบถูกต้องแม่นยำ และเป็นการรักษาแบบ target treatment ซึ่งทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีคุณภาพ การรักษาโรคแบบส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องใหม่ บริษัทยาได้มีการดำเนินการเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ด้วยการกำหนดการรักษาแบบเป้าหมายที่เฉพาะระดับโมเลกุล

ความรู้ที่เกียวกับยีนเฉพาะที่มีการกลายพันธ์ (gene mutation) จะมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ที่นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์จะสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้ ตัวอย่างเช่น ยีน HER2 (โรคมะเร็งเต้านม) ยีน BRAF V600 (โรคมะเร็งผิวหนัง melanoma และยีน ROS1 (มะเร็งปอด) และอื่น ๆ  จากเหตุผลในความก้าวหน้าข้างต้น จะทำให้ผู้ป่วยมียารักษาเฉพาะตำแหน่ง ที่มีผลให้ผลข้างเคียงลดลงมาก

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีบทความวิจัยเรื่อง “Intratumor heterogeneity and branched evolution are revealed by multiregion sequencing”  ที่ได้รับการอ้างอิง 600 ครั้ง ในช่วงระยะเวลาตีพิมพ์น้อยกว่า 2 ปี
  • มีบทความวิจัยเรื่อง “Safety, Activity, and Immune correlales of anti – PD – 1 antibody in cancer” ได้รับการอ้างอิงมากกว่า 400 ครั้งในเวลา 2 ปี

9. การทำแผนที่ ดีเอ็นเอ ก่อนการเกิดของทารก จะเป็นเรื่องปกติ เพื่อเป็นมาตรฐานจัดการความเสี่ยงของการเกิดโรค  (DNA Mapping at birth is the norm to manage disease risk.)
หมวด Genetics, Biology, Medicine, Immunology

จากวิวัฒนาการของงานวิจัยเรื่องระบบ Micro – Total Analysis Systems (single – cell analysis) และความก้าวหน้าของนาโนเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยี Big Data จะช่วยให้เรื่อง DNA – Mapping ในทารกแรกเกิดกลายเป็นเรื่องปกติ   การตรวจเลือดจะกลายเป็นเรื่องอดีต ด้วยจะเกิดเครื่องมือที่สอดใส่ขนาดเล็กระดับนาโนเพื่อตรวจผู้ป่วยที่สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ได้ในระยะยาว และมีความแม่นยำสูง ด้วยเทคนิค 2 ส่วน คือ Micro – total analysis และ Single – cell analysis ที่กำลังวิจัยพัฒนาอยู่ในขณะนี้ จะเป็นแนวโน้มที่สำคัญในเรื่อง Immunology Testing ในอนาคตแน่นอน

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • เกิดงานวิจัยหลัก เมื่อปี 2012 ในเรื่อง “An Integrated Encyclopedia of  DNA elements in the Human Genome” ที่ได้รับการอ้างมากกว่า 800 ครั้ง
    “The accessible chromatin landscape of the Human Genome” ได้รับการอ้างอิง 200 ครั้ง
    “มีบทความตีพิมพ์ เมื่อ มกราคม 2014 เรื่อง “Genome – scale CRISPR – CAS9 knockout screening in human cells” ได้รับการอ้างอิง 4 ครั้ง

10.การทดสอบ การเคลื่อนย้ายสสาร (Teleportation is tested)
หมวด Physics, Theoretical Physics, Higgs Boson)

อนุภาค Higgs Boson ที่เกิดจาก Large Hadron Collider ทำให้เกิดจากความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเทคนิค Kinematical techniques ที่จะมีผลต่อเรื่อง Quantum teleportation  กลายเป็นเรื่องที่จะเห็นได้ทั่วไปในปี 2025

จากความสำเร็จขององค์กร CERN เมื่อปี 2013 ในโครงการวิจัย Large Hadron Collider (LHC) ที่ทำให้เกิดอนุภาค Higg s Boson ในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น และจะมีบทความวิจัย สาขาฟิสิกส์พื้นฐาน ในปี 2014 ในเรื่องนี้มากมายเกิดขึ้น ซึ่งจะนำทางไปสู่การทดสอบเรื่อง Quantum teleportation ในปี 2025

Fast Fact  เอกสารสนับสนุน ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

  • มีบทความที่ตีพิมพ์ในปี 2012 เรื่อง “Observing the electron – antineutrino disappearance at Daya Bay in China” ได้รับการอ้างอิงมากกว่า 400 ครั้ง
  • มีการยื่นขอสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับ Higgs Boron 2 เรื่อง คือ
    1. Higgs Boson cover protons pursuing the state of an elementary particle and aggregating the elementary particle with a high – energy photon.
    2. The energy of a material in a body accelerating at the speed of light and growing into the square of the speed of light.

บทส่งท้าย
ในการสรุปรายงานเรื่องนี้ บริษัท Thomson Reuters ได้ใช้ข้อมูลดิบจากแหล่ง / ฐานข้อมูลของบริษัท 4 ฐานข้อมูล/บริการ คือ

  • Derwent World Patents Index
  • Thomson Innovation
  • Thomson Reuters Incites
  • Web of Sciences

เอกสารอ้างอิง

Thomson Reuters (June 2014) “The World in 2025 : 10 Predictions of Innovation”. Available at :

  1. http://sciencewatch.com/sites/sw/files/m/pdf/World-2025.pdf
  2. http://sciencewatch.com/tags/2025

จาก Bibliometrics สู่ Altmetrics

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกิดเครื่องมือในเรื่องเครือข่ายสังคมออนไลน์ มากมาย เช่น Twitter / Youtube / Facebook / Blog ที่ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างเรียลไทม์ และโต้ตอบกันใน 2 ทางได้ทันที วงการนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เริ่มมีการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อการสื่อสารทางวิชาการ (Scholarly communication) จึงเกิดแนวคิดในการใช้เป็นหน่วยวัดเพื่อประเมินผลงานวิจัยทางเลือก (Alternative Metrics) ที่เรียกเป็นคำย่อว่า (Altmetrics)

Altmetrics คือ หน่วยวัดคุณภาพงานวิจัยชุดใหม่ ได้แก่ จำนวนการได้รับ ฟีดแบ็ค (Feedback) จากผู้อ่านด้วยวิธีการต่างๆ เช่น Article Views / No. of Download / Tweet / Blog post / Likes / Shares /Discussed / New media / Saved / Cited เป็นต้น

alt

รูปที่ 1 เว็บไซต์ Altmetrics.com – Source : http://www.altmetric.com/

คำจำกัดความ

Altmetrics คือหน่วยวัดใหม่ที่เสนอให้เป็นทางเลือก เพิ่มขึ้นจากหน่วยวัดชุดเดิมที่ได้แก่ ข้อมูล citation / ค่า h-index ค่า Impact Factor , IF ของวารสารวิชาการ ที่มีการเสนอในปลายปี 2010 เพื่อประเมินงานวิจัย ค่า Altmetrics มุ่งเน้นประเมินในระดับบทความวิจัย (Article level) แต่อย่างไรสามารถประยุกต์ได้ถึง นักวิทยาศาสตร์ (people) วารสาร (Journal) หนังสือ (Book) ชุดข้อมูล (Data set) เอกสารนำเสนอ (Presentation) วีดีโอ (Video) Source Code Repositories เว็บเพจ (Web Page) ฯลฯ

Altmetrics เติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเทคโนโลยีดิจิทัล และสื่อสังคมออนไลน์ ที่เป็นความก้าวหน้าในศตวรรษที่ 21

การนำมาใช้

มีบริการค่า Altmetrics ทั้งในรูป เว็บไซต์ / ฐานข้อมูล / เครื่องมือ / แอพพลิเคชั่น หลากหลายมากมาย ที่ทำการคำนวณหาค่า Altmetrics ตัวอย่างเช่น ImpactStory, Altmetrics.org , Plum Analytics ส่วนสำนักพิมพ์ มีหลายหน่วยที่ให้บริการค่า Altmetrics ได้แก่ BioMed Central , Public Library of Science (PLOS) , Frontiers / Nature Publishing Group , Elsevier

ตัวอย่าง สำนักพิมพ์ PLOS เริ่มให้บริการเมื่อ มีนาคม 2009 โดยแสดงหน่วยวัด Altmetrics ในทุกๆบทความ ทำให้หน่วยงานผู้ใช้ทุนวิจัยเริ่มให้ความสนใจ เช่น UK Medical Research Council

alt

รูปที่ 2 สำนักพิมพ์ PLOS แสดงค่า Altmetrics ของบทความเรื่อง The Altmetrics collection
Source : http://www.ploscollections.org/article/info%3Adoi%2F10.1371%2Fjournal.pone.0048753

นักวิจัยเริ่มมีการใช้ ค่า Altmetrics แสดงในแบบคำขอทุนวิจัย รวมทั้ง Univ. Pittsburgh เริ่มทดลองหาค่า Altmetrics ในระดับองค์กร

ตัวอย่าง เว็บไซต์ที่บริการ ค่า Altmetrics มีการจัดเก็บจำนวนบทความวิจัยทางวิทยาศาสตร์

  • Altmetrics.com 2,007.115 บทความ
  • ImpactStory 364.000 บทความ

การจำแนกประเภท Altmetrics

Altmetrics ประกอบด้วยหน่วยวัดที่กว้างมาก บริการ ImpactStory ได้ เสนอ ให้จัดหมวดหมู่ / จำแนกหน่วยวัด Altmetrics เมื่อ กันยายน 2012 ออกเป็นดังนี้

  • Viewed คือ การเข้าดูบทความแบบ HTML และ Download PDF จากผู้อ่าน
  • Discussed คือ Journal Comment /Science blog / Wikipedia / Twitter / Facebook และ Social Media อื่นๆ
  • Saved คือ Mendeley, CiteYLike และ Social bookmarks
  • Cited คือ หน่วยวัดการอ้างอิงค่าดั้งเดิม ที่มีบริการที่ Web of Science / Scopus/ Google Scholar / CrossRef / Pubmed Central
  • Recommended คือ F1000 Prime

ข้อโต้เถียงในเรื่องหน่วยวัด Altmetrics

ยังมีข้อถกเถียง ถึงความเป็นประโยชน์ ของ Altmetrics อยู่ ซึ่งผู้สนับสนุนให้เหตุผลว่า ผู้ให้ทุนวิจัย ต้องการ ทราบผลกระทบในการให้ทุนวิจัยที่สามารถวัดได้ ส่วนกลุ่มที่ยังไม่เห็นด้วยเห็นว่า Altmetrics ยังมีข้อคล้ายคลึงกับหน่วยวัดเดิมที่อาจมีการ Self citation มีการเล่นเกมส์หรือใช้กลไกอื่นๆเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเพิ่มยอดได้เช่นกัน

ตัวอย่าง เครื่องมือ / บริการ Altmetrics

  • ImpactStory คือ แอพพลิเคชั่น เว็บเบส ที่ช่วยให้ติดตาม ตามรอย ผลกระทบที่มีต่อ วัตถุวิจัย (Research artifacts) อันได้แก่ บทความ dataset สไลด์ รหัสวิจัย ฯลฯ ระบบนี้ทำการรวบรวม ค่า มาจากหลายแห่ง เช่น Mendeley ถึง GitHub ถึง ทวิตเตอร์และแสดงผล เป็น Permalinked report ในหน้าเดียว

alt

รูปที่ 3 บริการ ImpactStory
Source : http://altmetrics.org/tools/

  • Reader Meter คือ บริการที่แสดงค่า Altmetrics เป็นรูปภาพแบบ Mashup Visualizing ในระดับชื่อผู้แต่งบทความ (Author Level ) และระดับบทความ (Article Level)

alt

รูปที่ 4 หน้าจอบริการ ReaderMeter
Source : http://altmetrics.org/tools/

  • Science Card เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมหน่วยวัด ค่าต่างๆ เช่น Citation , Download counts ให้แก่นักวิจัยชื่อหนึ่งๆ โดยที่นักวิจัยต้องนำข้อมูล Author identifier ให้แก่ระบบ เช่น AuthorClaim หรือ Microsoft Academic Search ID

alt

รูปที่ 5 หน้าจอบริการ ScienceCard
Source : http://altmetrics.org/tools/

  • PLoS Impact Explorer เป็นบริการที่ช่วยให้นักวิจัยตรวจสอบติดตามข้อความการสนทนา

alt

รูปที่ 6 หน้าจอ PloS Impact Explorer
Source : http://altmetrics.org/tools/

  • Crowdometer บริการเว็บ ที่แสดงข้อมูล Tweet ที่ลิงค์มายังบทความวิจัย แบบเรียลไทม์

alt

รูปที่ 7 หน้าจอบริการ Crowdometer
Source : http://altmetrics.org/tools/

หน่วยวัดคุณภาพงานวิจัยชุดดั้งเดิม

การประเมินคุณภาพงานวิจัยแบบดั้งเดิมในช่วงที่ผ่านมาอย่างยาวนานนั้น มีตัวชี้วัดที่สำคัญอยู่ 3 หน่วย มีบางกลุ่มวิจัยจากทั่วโลก ถือว่ามีความล้มเหลว จำเป็นต้องหาหน่วยวัดชุดใหม่เพิ่มเติม

alt

รูปที่ 8 แสดงหน่วยวัดคุณภาพงานวิจัย ประเภทต่างๆ
Source : http://altmetrics.org/manifesto/

  • Peer – review คือ การตรวจสอบคุณภาพเนื้อหาบทความจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาแต่ด้วยข้อจำกัดที่บทความวิจัยมีปริมาณเพิ่มขึ้นตลอดมา จำเป็นต้องใช้เวลามาก ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบจำนวนมาก ทำให้ไม่ทันต่อจำนวน
  • Citation counting ได้แก่ h-index , No. Citation
  • JIF หน่วยวัดคุณภาพวารสาร Journal Impact Factor

จากข้อจำกัดข้างต้น นำมาสู่การหาวิธีหน่วยวัดค่าใหม่ ปัจจุบันกลุ่มงานวิจัยทั่วโลกมีการเคลื่อนที่ในการทำงานประจำวันบนเว็บ เครื่องมือประเภท Reference Manager เช่น Zotero และ Mendeley ได้ประกาศว่าระบบตนเองมีการจัดเก็บบทความวิจัยไว้มากกว่า 40 ล้านเรื่อง (ถือว่ามีจำนวนมากกว่าฐานข้อมูล Pub Med) ส่วนแหล่งเก็บข้อมูลที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 คือ Twitter, Blog และ Social Networks ต่างๆ

การหาค่าหน่วยวัด Altmetrics ทำได้รวดเร็วเพียงแค่ใช้โปรแกรม Public APIs (Applications Programming Interfaces) แบบเปิด รวบรวมข้อมูลแบบรายวัน / รายสัปดาห์ ได้

Altmetrics สามารถปรับปรุงหน่วยวัดชุดเดิมที่มีอยู่ได้

การหาค่า / ความสำคัญ ผลกระทบต่อบทความวิจัย อาจจะประเมินได้จากการทำ Bookmarks หรือการสนทนา / ความคิดเห็น ใน Social Media ต่างๆ ที่มีจำนวนหลักพัน ครั้งภายในแค่หนึ่งสัปดาห์ ถือได้ว่าเป็นการเพียร์รีวิว แบบหนึ่งในระยะเวลาอันสั้นสามารถใช้เป็นส่วนเสริมการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญแบบเดิมได้

ค่า Altmetrics แตกต่างจากค่า JIF ที่มุ่งประเมินที่ชื่อวารสาร ส่วน Altmetrics ประเมินที่ตัวบทความวิจัยโดยตรง รวมถึง Altmetrics แตกต่างกับ Citation metric ด้วย คือ เป็นการติดตามตรวจสอบในสิ่งแวดล้อมที่นอกขอบเขตวงการวิชาการ ความรวดเร็วของค่า Altmetrics ช่วยให้เกิดความร่วมมือ ข้อแนะนำแบบเรียลไทม์ นักวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่บทความ ประเภท Alt-Publication สามารถได้รับ Feedback จากผู้สนใจได้อย่างรวดเร็ว

ประวัติของหน่วยวัด Altmetrics

คำว่า Altmetrics เป็นคำที่เสนอขึ้นมาเมื่อปลายปี 2010 โดย Jason Priem ที่ต่อมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริการที่ชื่อ ImpactStory เขาได้ให้จำกัดความไว้ว่า เป็นรูปแบบ ของการวัดถึง คุณภาพ/ความสำคัญ / ผลกระทบงานวิจัย ที่เหนือไปกว่าการวัดด้วยการอ้างอิง Altmetrics ได้เสนอวิธีให้แก่นักวิทยาศาสตร์เพื่อให้มีพื้นที่แสดงผลงานอันมีจุดเด่นของตนเอง (Showcase) รวมถึงแสดงถึงความผูกพัน ความคิดเห็นกับสาธารณชนอีกด้วย

สำนักพิมพ์กับ Altmetrics

มีวารสารจากสำนักพิมพ์จำนวนมาก เริ่มให้บริการแสดงค่า Altmetrics ในทุกๆบทความอย่างอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น สำนักพิมพ์ วารสารแบบเปิด PLOS มีการแสดงว่าหน่วยวัดต่างๆเช่น View / Downloads และความคิดเห็นจาก Social media ต่างๆ สามารถสืบค้นได้ทั้ง ชื่อผู้แต่งบทความ หรือ ความสำคัญของเรื่อง ผลลัพธ์จะแสดงค่า Altmetrics ให้ทั้งชุด

  • สำนักพิมพ์ Nature Publishing Group (London) เริ่มมีการแสดงค่า Altmetrics
  • สำนักพิมพ์ John Wiley & Son รัฐ New jersey เริ่มทดลองให้บริการ ค่า Altmetrics เมื่อเดือน พฤษภาคม 2013
  • สำนักพิมพ์ High Wire Press เมือง Polo Alto รัฐ California เริ่มร่วมมือ กับ บริการ ImpactStory ให้เพิ่ม ค่า Altmetrics ในเว็บไซต์วารสารของ สำนักพิมพ์

ข้อควรระวังในการวัดด้วยค่า Altmetrics

แม้ว่า Altmetrics มีประโยชน์ แต่นักวิทยาศาสตร์และผู้ประเมิน ต้องตีความค่า Altmetrics อย่างระมัดระวัง ด้วยข้อมูลชุด Altmetrics อาจไม่สมบูรณ์ครบถ้วน
เพื่อช่วยให้มีการใช้ตีความได้อย่างถูกต้อง บริการ ImpactStory ได้ทำข้อมูลให้เป็นมาตรฐาน (normalize) โดยแบ่งบทความตามรายปีและคิดเป้นจำนวนร้อยละ

  • บริการ Altmetrics แสดงผลลัพธ์มาตรฐานตามรายชื่อวารสารที่ช่วยให้เปรียบเทียบกับวารสารในสายอื่นๆได้
  • สำนักพิมพ์ PLOS ให้ค่า Relative Metrics ที่ช่วยให้เปรียบเทียบรายบทความวิจัยในสาขาวิชาเดียวกันได้ โดยแสดงเป็นกราฟ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

องค์กรประเมินงานวิจัย Research Excellence Framework (REF) ของสหราชอาณาจักร อนุญาตให้นักวิทยาศาสตร์ รายงานผลการประเมินผลงานวิจัยตนเอง ด้วยค่า Altmetrics ได้และสามารถใช้ในการเสนอเพื่อพิจารณาขอทุนวิจัย

มหาวิทยาลัย Pittsburgh รัฐเพนซิลวาเนีย ได้ร่วมมือกับบริการชื่อ Plum Analytics (ส่วนหนึ่งของ EBSCO) เพื่อให้จัดทำโปรไฟล์ Altmetrics สำหรับนักวิจัยในแต่ละภาควิชา และมีแผนจะขยายต่อเป็นทั้งองค์กร (Plum Analytics ได้รับโครงการเช่นนี้จาก 10 สถาบัน)

นักวิจัยสามารถแสดงค่า Altmetrics ในประวัติทางวิชาการ CV. ของตนเองได้และมีการคาดการณ์ว่าต่อไปค่า Altmetrics จะกลายเป็นข้อมูลมาตรฐานในส่วนหนึ่งของ CV. ของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก

เมื่อ มกราคม 2013 หน่วยงานผู้ให้ทุน US. National Science Foundation (NSF) ได้แถลงนโยบาย ให้นักวิจัยแสดง Research Product มากกว่าแสดงค่า Publication ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คุณค่า คุณภาพของนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ Publication อย่างเดียวเท่านั้น ผลผลิตอื่นๆ เช่น Data Set , Software สามารถนำมานับจำนวนได้ด้วย ฝ่ายนโยบายของ NSF พบว่า 1 ใน 40 ของการสื่อสารวิชาการ ใช้ Twitter มากกว่า 2 ล้านคน โดยใช้เครื่องมือ Reference-Sharing tool เช่น Mendeley

หน่วยงานผู้กำหนดมาตรฐาน สหรัฐอเมริกา National Information Standard Organization (NISO) เริ่มดำเนินเรื่องการกำหนดค่า Altmetrics ให้เป็นมาตรฐานต่อไป

alt

รูปที่ 9 บริการ ImpactStory (https://impactstory.org/) แสดงโปรไฟล์ของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ Carl Boettiger ที่มีผลงานวิชาการในรูป Article แสดงค่า Altmetrics (นอกจากนี้ Carl ยังมีผลงานวิชาการรูปแบบต่างๆ คือ Dataset / Figure / Poster / Slides / Software)
Source : https://impactstory.org/CarlBoettiger

บทบาทของห้องสมุด

บรรณารักษ์ในสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องในทุกระดับคือเรื่องที่ทับซ้อนกัน คือ Open Access / Research Practices และ Collection Development เช่น ห้องสมุดได้ชักชวนให้นักวิจัยนำผลงานวิจัยเข้าคลังความรู้ขององค์กร (Institutional Repository) ในขณะที่สามารถทำการวัดค่า Altmetrics ออกมาได้ด้วย

  • จัดฟอรัม สัมมนา แนะนำให้นักวิจัยรู้เรื่อง Altmetrics

เป็นเรื่องจำเป็นที่บรรณารักษ์ต้องติดตามความก้าวหน้าเรื่อง Altmetrics นี้ให้เท่าทัน เพื่อสนับสนุนให้แก่นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์ ผู้บริหาร อย่างถูกต้องต่อไป

เอกสารอ้างอิง

  1. Altmetrics : Wikipedia The Free Encyclopedia – Available at : http://www.wikipedia.org/ Accessed 4 June 2014
  2. Robin Chin Raemer (2014). Keeping up with … Altmetrics. ALA (American Library Association) ACRL – Available at : http://www.ala.org/acrl/publications/keeping_up_with/altmetrics Accessed 10 June 2014
  3. Altmetrics : A Manifesto – Available at : http://altmetrics.org/manifesto/ Accessed 11 June 2014

งานวิจัยแนวหน้าปี 2013 : 100 หัวข้อวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์

บริษัท Thomson Reuter ได้เผยแพร่รายงาน เรื่อง Research Fronts 2013 : 100 Top-Ranked Specialties in the Science and Social Sciences เมื่อเดือนเมษายน 2013 ความยาว 32 หน้า  ที่เว็บไซต์ของบริษัท Thomson Reuters เป็นการสรุปภาพรวมของหัวข้อวิจัยที่โดดเด่น 10 สาขาวิชาหลัก ระดับโลก แตกเป็นสาขาย่อย 100 หัวข้อวิจัย

บทนำ

รายงานนี้เป็นการนำเสนอภูมิทัศน์ (landscape) ของหัวข้องานวิจัยวิทยาศาสตร์ทั่วโลกในปี 2013  ที่มีการแผ่กิ่งก้านสาขา เพื่อทำการตรวจสอบหาหัวข้องานวิจัยที่เกิดขึ้นใหม่ (emerging) และเพื่อให้ผู้บริหาร ผู้กำหนดนโยบายวิทยาศาสตร์ที่ต้องการตรวจสอบ สนับสนุน  บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่มีข้อจำกัดในทรัพยากรด้านต่างๆ  Thomson Reuters ได้ทำการตรวจสอบหาบทความวิจัยวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดของโลก (World’s most significant scientific literature) ใน 10 สาขาวิชา ผลลัพธ์จากการศึกษานี้ยังได้เปิดเผยให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างนักวิทยาศาสตร์อีกด้วย

วิธีการ

ใช้แหล่งข้อมูลชุด Essential Science Indicator  (ESI) ของบริษัท Thomson Reuters ด้วยการเลือกบทความที่เข้าข่ายเป็น research fronts จากจำนวนการได้รับการอ้างอิงมากที่สุด และจัดลำดับจากบทความที่มีอายุน้อยที่สุด

รายงานนี้นำเสนอ 100 หัวข้อวิจัยที่ได้รับความสนใจและมีการวิจัยค้นคว้าอย่างเข้มข้นในปัจจุบันนี้ แบ่งเป็น 10 สาขาวิชาหลัก ดังต่อไปนี้

สาขาที่ 1 : เกษตรกรรม พืช และ สัตวศาสตร์ (Agricultural, Plant and Animal Sciences)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Impact of climate change on food crops 32 1,537 2010.0
2 Comprehensive classification of fungi based on molecular evolutionary analysis 18 1,374 2010.0
3 Arabidopsis chloroplast RNA editing 46 2,578 2009.9
4
Jasmonate biosynthesis and signaling
33
2,548
2009.9
5 Oomycete RXLR effectors and suppression of plant immunity 47 2,340 2009.7
6 Angiosperm phylogeny group classification 34 2,259 2009.7
7 Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) in livestock 17 1,071 2009.7
8 Genomic selection and estimated breeding values 39 2,281 2009.6
9 Honey bee colony collapse and Nosema ceranae 30 1,718 2009.6
10 Insect resistance to transgenic crops producing Bt
(Bacilus thuringiensis) toxins for pest control
22 1,134 2009.6

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้คือเรื่อง Jasmonate biosynthesis and signaling ที่กำลังทำการวิจัย  สาร Jasmonates เป็นสารในการรักษา anti-cancer
  • ประเทศที่เป็นผู้นำผลิตงานวิจัยในสาขานี้ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สเปน ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม เยอรมนี เกาหลีใต้ และ สวิสเซอร์แลนด์
  • สถาบันวิจัย ผู้ผลิตงานวิจัยในสาขานี้ได้แก่
    • Michigan State University
    • Washington State University
    • Tsinghua University
    • Chinese Academy of Science

สาขาที่ 2 : นิเวศวิทยา และ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Ecology and Environmental Sciences)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Ocean acidification and marine ecosystems
45 3,653 2009.6
2 Biodiversity and functional ecosystems 43 3,139 2009.5
3 Mangrove forests and climate change 16 1,121 2009.5
4 Models and impacts of land-use change 18 2,318 2009.4
5 Biochar amendment techniques and effects 41 2,300 2009.4
6 Adaptive evolution in invasive species and approximate Bayesian computation 19 1,255 2009.4
7 Chytridiomycosis and large-scale amphibian population extinctions 13 1,003 2009.3
8 Pharmaceutical residues in environmental water and wastewater 50 3,815 2009.1
9 Community ecology and phylogenetic comparative biology 20 1,799 2009.1
10 Climate warming, altered thermal niches, and species impact 14 1,244 2009.1

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้ได้แก่ หัวข้อ Ocean acidification and marine  ecosystems คือการที่ระดับคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในอากาศเพิ่มปริมาณมากขึ้นในน้ำทะเล ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาของทะเลโดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตในทะเล ที่พึ่งพาการเกาะของแคลเซียม
  • ประเทศผู้นำงานวิจัยในสาขานี้ได้แก่ ออสเตรเลีย ในเรื่องระบบ Coral Reef
  • สถาบันวิจัยของประเทศออสเตรเลีย เช่น University of Queensland, Australian Institute of Marine Science, Townsville, James Cook University

สาขาที่ 3 : สาขาธรณีวิทยา (Geosciences)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Tectonic evolution of the southern central Asian orogenic belt 24 1,176 2010.1
2 Global terrestrial isoprene emissions and climate 25 1,300 2009.8
3 U-Pb zircon ages and geochronology of southern Tibet 45 2,521 2009.7
4 Greenland ice core chronology and the Middle to Upper Paleolithic transition 28 2,490 2009.6
5 Nucleation and growth of nanoparticles in the atmosphere 33 1,835 2009.6
6 Climate change and precipitation extremes 30 2,098 2009.5
7 Greenland ice sheet mass, melt, and motion 25 1,627 2009.4
8 Studies of the 2008 Wenchuan earthquake
38
2,326
2009.1
9 Black carbon emissions and Arctic air pollution 17 1,090 2009.1
10 Ground motion prediction equations and the 2009 L’Aquila earthquake in central Italy 31 2,196 2009.0

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้คือ จากเหตุการแผ่นดินไหวที่เสฉวน (Sichuan) ประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2008 ขนาดความรุนแรง 7.9 ริกเตอร์ มีผู้คนเสียชีวิตราว 9 หมื่นคน และไม่มีบ้านเรือนอีกราว 4 ล้านคน เป็นภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุด ของประเทศจีน รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในภูมิภาคต่างๆ ของโลกต่อมาคือ ปี 2009 เกิดที่ L’Aquila อิตาลี เมื่อปี 2010 เกิดที่ Maule ชิลี และในปี 2011 เกิดที่ Tohoku ประเทศญี่ปุ่น
  • ประเทศผู้นำวิจัยในสาขานี้ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี ฝรั่งเศส
  • สถาบันวิจัยผู้นำที่ผลิตผลงานวิจัยเรื่องนี้ได้แก่ University of Tokyo, Kyoto University, Tohoku University, Caltec และ Japan Atomic Energy Agency

สาขาที่ 4 : สาขาการแพทย์ (Clinical Medicine)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Transcatheter aortic valve implantation 50 2,818 2010.1
2 Atypical hemolytic uremic syndrome and complement activation 36 1,939 2009.8
3 Acquired BRAF inhibitor resistance in metastatic melanoma 36 4,777 2009.7
4 Idiopathic pulmonary fibrosis and randomized placebo-controlled drug trial 38 2,269 2009.6
5 Pathology and treatment of nonalcoholic fatty liver disease 34 1,978 2009.6
6 Chemotherapy with and without bevacizumab for HER2-negative breast cancer 14 1,909 2009.5
7 Brentuximab vedotic for refractory and relapsed Hodgkin’s lymphoma 23 2,001 2009.4
8 IL28B polymorphisms and treatment response in hepatitis C patients 47 5,172 2009.1
9 Anaplastic lymphoma kinase (ALK) inhibition in non-small cell lung cancer 46 3,716 2009.1
10 Global, national, and regional assessments of maternal, newborn, and child health 42 2,640 2009.0

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้อวิจัยที่น่าสนใจคือ Acquized BRAF-inhibitor resistance โดยครึ่งหนึ่งของมะเร็งผิวหนัง (melanomas) เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ที่เป็นเอนไซม์ชื่อ BRAF โดยที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จได้ค้นพบสารยับยั้งยีนส์ BRAF ชนิดใหม่
  • ประเทศผู้นำวิจัยสาขานี้ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร
  • หน่วยงานวิจัยนับรวมถึงบริษัทยายักษ์ใหญ่ต่างๆ เช่น Bristol Myers Squibb, Novartis, GlaxoSmithkine เป็นต้น

สาขาที่ 5 : วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Sciences)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 DNA methylation analysis and missing heritability 25 3153 2011.0
2 Toxicity of amyloid beta (A beta) oligomers in Alzheimer’s disease 45 2588 2010.6
3 Differentiation and function of follicular helper CD4 T cell (TFH) 38 2760 2010.5
4
Human beta(2) adrenergic G-protein-coupled receptors (GPCRs)
44
6261
2010.4
5 Linear ubiquitin chain assembly complex and activation of nuclear factor-kB (NF-kB) 43 3749 2010.4
6 Lgr5 receptor-expressing intestinal stem cells 23 2699 2010.3
7 TET mutations, reduction of 5-hydroxymethylcytosine (5hmC), and malignacy 45 6112 2010.2
8 Inhibition of TOR (Target Of Rapamycin) signaling, increased lifespan, and diseases of aging 30 3152 2010.1
9 HIV-1 Vpu and Vpx proteins and restriction factors SAMHD1 and BST-2/Tetherin 48 3760 2009.9
10 Mitochondrial sirtuins and regulation of metabolism 32 3395 2009.9

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้คือ เรื่อง Beta(2) Adrenergic GPCRS คือ โปรตีนชุด G ที่มีหน้าที่ในการทำงานชีวเคมี เรื่องความรู้สึก เช่น รสชาติ กลิ่น การมองเห็น อุตสาหกรรมบริษัทยา สนใจในการนำเข้าสู่ Drug Design & Targets และงานวิจัยนี้ยังได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบลปี 2012 สาขาเคมีแก่นักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน คือ Brian K. Kobilka, Stanford Univ. และ Robert J. Lefkowitz, Duke Univ. ในการศึกษา G-protein-coupled receptors

สาขาที่ 6 : เคมีและวัสดุศาสตร์ (Chemistry and Materials Science)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Enhanced visible-light photocatalytic hybrogen production 43 1620 2011.2
2 Ruthenium- or rhodium-catalyzed oxidative C-H bond activation 46 1900 2011.0
3 Aggregation-induced emission characteristics and compunds 47 1989 2010.9
4 Photoredox catalysis in organic synthesis 32 1945 2010.5
5 Enantioselective phosphine organocatalysis 35 1927 2010.5
6 Nanopore DNA sequencing 33 1914 2010.5
7 Small-molecule solution-processed bulk heterojunction solar cells 31 1841 2010.5
8 Nitrogen-doped graphene 26 2364 2010.4
9 Roll-to-roll processed polymer solar cells
35
3969
2010.3
10 Silicon nanowires for lithium-ion battery anodes 50 2896 2010.3

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้คือ เรื่อง polymer solar cell processing คือการวิจัยพัฒนาแผงโซล่าร์เซลล์ที่ทำจาก organic polymers silicon ด้วยมีคุณสมบัติที่ดี ราคาถูก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความทนทาน เป็นต้น งานวิจัย roll-to roll processing เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจยิ่ง เพื่อผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถผลิตได้แบบจำนวนมากมีน้ำหนักเบา
  • นักวิทยาศาสตร์ คนสำคัญในการวิจัยเรื่องนี้คือ Krebs, F.C. แห่ง Technical University of Denmark ผลิตบทความวิจัยหลักในเรื่องนี้ 5 บทความ ได้รับการอ้างอิงสูงถึง 4,525 ครั้ง โดยเมื่อ เมษายน 2011 บริษัท Thomson Reuters ได้สัมภาษณ์ Krebs ที่บริการ Science Watch

สาขาที่ 7 : ฟิสิกส์ (Physics)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Alkali-doped iron selenide superconductors
49
2,000
2011.2
2 Spin-orbit coupled Bose-Einstein condensates 48 1,752 2011.1
3 Dark matter direct detection experiments 48 3,285 2010.6
4 Evidence of majorana fermions 44 2,887 2010.6
5 Top quark forward-backward asymmetry 48 2,213 2010.6
6 Quantum simulations with trapped ions 36 2,017 2010.5
7 Nodal gap structure in iron-based superconductors 36 1,863 2010.4
8 Holographic Fermi surfaces and entanglement entropy 37 2,643 2010.1
9 Interpreting quantum discord 41 3,650 2010.0
10 Topological insulators 45 8,957 2009.9

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขาฟิสิกส์ คือ เรื่อง Alkali-doped iron selenide superconductors ด้วยมีการวิจัยเรื่องนี้มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1986 ในการค้นพบ high-temperature superconductivity in cuprates โดยนักวิทยาศาสตร์ J.Georg Bednorz และ K.Alex Muller ซึ่งทั้ง 2 ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ปี 1987 ตัวอย่าง แอพพลิเคชั่นจาก Electromagnet คือ การใช้ในงาน MRI และ NMR ส่วนแอพพลิเคชั่นที่คาดการณ์ในอนาคต คือ การวิจัย Transmission lines ที่สามารถนำพากระแสไฟฟ้าในระยะทางไกล ที่มีการสูญเสียพลังงานน้อย ตัวอย่างที่เห็นได้บ้าง คือ maglev ในรถไฟฟ้าความเร็วสูง (magnetic elevation trains)

สถาบันวิจัยและประเทศ ที่เป็นแถวหน้าในสาขาฟิสิกส์นี้คือประเทศจีน จากสถิติการผลิตบทความวิจัยของจีนในปี 1983 มีจำนวนร้อยละ 6 จากฐานข้อมูล Web of Science  ปัจจุบันผลิตได้ร้อยละ 13 เป็นที่สองรองจากสหรัฐอเมริกา  จีนมีความโดดเด่นในสาขา Condensed matter physics และมีการคาดการณ์ว่า นักวิทยาศาสตร์จีนอาจได้รับรางวัลโนเบลต่อจากนี้ไป สถาบันวิจัยจีนที่สำคัญคือ  Chinese Academy of Sciences

ส่วนการวิจัยด้านอนุภาค Higgs Boson ก็เป็นหัวข้องานวิจัยที่ร้อนแรงที่สุดเช่นกัน พบมีบทความหลักตีพิมพ์ 38 เรื่อง ในปี 2012 ได้รับการอ้างอิงร้อยละ 78 ในสาขาฟิสิกส์

สาขาที่ 8 : ดาราศาสตร์ และ ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ (Astronomy and Astrophysics)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Galileon cosmology 34 1,584 2010.7
2 Probing extreme redshift galaxies in the Hubble Ultra Deep Field 31 2,415 2010.3
3 Sterile neutrinos at the eV scale 41 2,472 2010.2
4 Herschel Space Observatory and initial performance 9 1,456 2010.2
5 Kepler Mission and the search for extra-solar planets
47
4,211
2010.0
6 Neutron star observations and nuclear symmetry energy 18 1,536 2009.9
7 Evolution of massive early-type galaxies 18 1,724 2009.6
8 Gamma-ray sources detected by the Fermi Large Area Telescope 8 1,531 2009.5
9 Data from Hiode (Solar-B) Solar Optical Telescope and Solar Dynamics Observatory (SDO) 24 3,023 2009.4
10 Supernova Type la light curves and dark energy 19 5,920 2009.2

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้คือ โครงการวิจัยขององค์การนาซาที่ชื่อ Kepler Mission ที่เริ่มในปี 2009 ที่ตั้งชื่อตามชื่อนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 17 คือ Johannes Kepler มีพันธกิจเพื่อค้นหาดวงดาวที่มีลักษณะคล้ายโลกเรา และที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ยานอวกาศ Kepler ได้ค้นพบดวงดาวใหม่ที่คล้ายโลก มากกว่า 1,200 ดวง มีบทความวิจัย เรื่องนี้ 47 เรื่อง

พบว่ามีการตีพิมพ์บทความในเรื่องเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2007 รวมทั้งมีการอ้างอิงถึงบทความที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านั้นเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน และยังมีการอ้างอิงต่อในรุ่นที่2 อีกด้วย (second generation citing papers)

สาขาที่ 9 : คณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และ วิศวกรรมศาสตร์ (Mathematics, Computer Science and Engineering)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 High-energy rechargeable lithium-air batteries 49 2,006 2010.8
2 Boundary value problems of nonlinear fractional differential equations 47 1,172 2010.2
3 Chemical kinetic reaction mechansim for combustion of biodiesel fuels 49 1,555 2010.0
4 Nonlocal Timoshenko beam theory and carbon nanotubes 39 1,480 2009.8
5 Constrained total-variation image de-noising and restoration
49
2,741
2009.7
6 Graphene transistor 16 2,270 2009.7
7 Analyzing next-generation DNA sequencing data 6 2,025 2009.6
8 Heat transfer in nanofluids 40 1,928 2009.6
9 Calcium looping process for carbon dioxide capture 36 1,562 2009.6
10 Differential evolution algorighm and memetic computation 30 1,351 2009.6

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้อวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้คือ เรื่อง Constrained total-variation image de-noising and restoration ซึ่งบทความวิจัยในเรื่องนี้นำเสนอวิธีการ และการออกแบบอัลกอริธีมหลายๆ วิธี สำหรับการกู้ (recovery) หรือการบูรณะ (restoration) สำหรับสัญญาณ (signal) ภาพ (image) และวิดีโอ นำไปใช้ในแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น ภาพถ่ายทางการแพทย์ (medical imaging) เสียงในวิดีโอ การระบุวัตถุในภาคพื้นดินจากดาวเทียมสำรวจ การกำหนดทิศทางของพาหนะทางอากาศที่ไม่มีคนควบคุมและการแผ่รังสีจาก CT สแกน
  • งานวิจัย 3 สาขานี้ เป็นการรวมกันเป็นสหสาขาวิชา มีพื้นฐานมาจากสาขาคณิตศาสตร์ ผู้นำในสาขานี้มาจากสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ได้แก่ University of California Los Angeles, University of Iowa, Stanford University และ จากสิงคโปร์ National University of Singapore

สาขาที่ 10 : เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และ สังคมศาสตร์ (Economics, Psychology and other Social Sciences)

Rank Research Fronts Core
Papers
Citations Mean year of
Core Papers
1 Urban policy mobilities and global governance issues 42 898 2010.4
2 Entrepreneurism and performance of family firms 30 1,051 2009.9
3 Training and plasticity of working memory 21 1,177 2009.8
4 Accrual-based earnings management and accounting irregularities 17 1,148 2009.8
5 Patient-centered medicine, primary care, and accountability measures 32 1,240 2009.7
6 Social learning strategies and decision making 39 3,642 2009.6
7 Input-output analysis of carbon dioxide emissions 49 1,630 2009.6
8 Recognition heuristic research 28 1,280 2009.6
9 Online consumer reviews, social networks, and online display advertising 37 1,609 2009.5
10 Financial crisis, liquidity, and corporate governance
37
1,595
2009.4

Source : Thomson Reuters Essential Science Indicators

  • หัวข้องานวิจัยที่น่าสนใจในสาขานี้ได้แก่ Subprime mortgage crisis, liquidity and credit, and corporate governance จากเหตุการณ์วิกฤติทางการเงินเมื่อปี 2008 ที่มีการปล่อยกู้เงินให้แก่ลูกค้าที่มีความสามารถชำระหนี้ด้อยกว่ามาตรฐาน ในสหรัฐอเมริกาจนกลายเป็นความตกต่ำทางเศรษฐกิจของโลกต่อมา มีบทความตีพิมพ์หลักในเรื่องนี้ 37 เรื่อง ตีพิมพ์ตั้งแต่ 2009 เป็นต้นมา
  • ประเทศผู้นำการวิจัยเรื่องนี้ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน เยอรมนี สถาบันวิจัยผู้นำได้แก่ National Bureau of Economic Research, Harvard University, New York University เป็นต้น

เอกสารอ้างอิง

Christopher King, David A. Pedlebury (April, 2013). Web of Knowledge Research Fronts 2013 : 100 Top-Ranked Specialties in the Science and Social Science. Thomson Reuters: available at : http://sciencewatch.com/sites/sw/files/sw-article/media/research-fronts-2013.pdf

รายงานงานวิจัยโลก สาขาวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยี

รายงานงานวิจัยโลก สาขาวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นรายงานของ Thomson Reuters Global Research Report ที่ให้ความสำคัญในหัวเรื่องมากขึ้นกว่ารายงานฉบับก่อนๆ ที่เคยจัดทำที่เน้นรายงานเฉพาะรายชื่อผู้นำประเทศต่างๆ เท่านั้น  บทความนี้เป็นการวิเคราะห์บทความวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์เป็นหลัก ด้วยงานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์มีความสนิทแน่นแฟ้นกับระบบเศรษฐกิจอย่างยิ่ง   เหตุผลเพราะว่ามีศัยกภาพที่สามารถส่งต่อให้แก่กระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมการผลิตและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่างๆ

ปี 2011 เป็นปีสากลแห่งเคมีขององค์การยูเนสโก (UNESCO International Year of Chemistry) ซึ่งวัสดุศาสตร์มีความเชื่อมต่อประสานอย่างใกล้ชิดและเมื่อกลางปี 2011 นี้มีการจัดประชุมนานาชาติในเรื่องวัสดุศาสตร์ครั้งที่ 6  ที่ประเทศสิงคโปร์  มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเป็นผู้บรรยาย  ยิ่งยืนยันถึงอิทธิพลในความสำคัญและการเติบโตของสาขานี้มากยิ่งขึ้น  สถานที่จัดงานประชุมก็มีความสำคัญด้วย  โดยในรายงานนี้ได้สรุปว่าผลงานวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์ในขณะนี้มีกำเนิดมาจากทวีปเอเชียมากที่สุดของโลก  โดยมีหลักฐานที่สนับสนุนเรื่องนี้มาจาก World Science Map

การค้นพบในเรื่องรากฐานของฟิสิกส์  โดดเด่นในช่วงปีแรกๆ ของศตวรรษที่ 20 ในขณะที่ต่อมามีการค้นพบในสาขาชีววิทยาโมเลกุลเช่นโครงสร้างดีเอ็นเอในช่วงศตวรรษที่ 21 ส่วนยุคใหม่ที่ 4 นี้อาจเป็นการปฏิวัติในการค้นพบงานวิจัยด้านวัสดุ สิ่งของ สสารต่างๆ ก็เป็นได้

รายงานชุด Global Research Report ในฉบับนี้ต้องการรายงานแจ้งให้ผู้จัดทำนโยบายทราบถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของงานวิจัยโลก  โดยทำการตรวจสอบถึงการเติบโตในระดับโลกและระบุถึงผู้ที่มีบทบาทสำคัญเป็นผู้นำและนำเสนอหัวข้อที่ร้อนแรง 3 เรื่องคือ  กราฟีน (Graphene) / Metal-Organic Frameworks, MOFs  /  Electrospun Nanofibrous Scaffolds  used  for Tissue Engineering, ENS

งานวิจัยวัสดุศาสตร์  คืออะไร

สาขาเดิมของวัสดุศาสตร์  คือ  โลหะ  เซรามิก  วิศวกรรม  ซึ่งอยู่ในภาควิชาต่างๆ ของ มหาวิทยาลัย เช่น สาขาฟิสิกส์  เคมี  ชีวเคมี  เป็นต้น ฐานข้อมูล Web of Science, WOS ของบริษัท Thomson Reuters รวบรวมวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 11,500 ชื่อ  แบ่งสาขาวิชาออกเป็น 250 หมวดหมู่และแสดงข้อมูลการอ้างอิงที่สัมพันธ์กันไปมา  เนื้อหางานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์จัดอยู่ใน 8-12  หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงและเชื่อมโยงกัน

ภูมิภาคประเทศที่มีการผลิตงานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์

พบว่าผลงานวิจัยมีการเติบโตเป็นที่น่าตื่นเต้นในทวีปเอเชียมากที่สุด  จีนเป็นผู้นำจากที่ในปี 1981 มีบทความวิจัยสาขานี้น้อยกว่า 50 บทความ  กลายมาเป็นประเทศที่มีผลงานบทความตีพิมพ์สาขานี้จำนวนมากที่สุด  ไล่แซงไม่เพียงญี่ปุ่น  ยังรวมถึงสหรัฐอเมริกา ด้วย  สหรัฐอเมริกาเคยเป็นผู้นำในสาขานี้เมื่อปี 1980 จนถึงกลางปี 1990 จากนั้นลดจำนวนลง  ส่วนกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเคยมีส่วนแบ่งในสัดส่วนของโลกสูง  ในช่วงปี 1990 แต่จากนั้นก็ลดจำนวนลง ปัจจุบันกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก  มีการผลิตจำนวนบทความวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์นี้  เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งโลก  โดยจีนเป็นประเทศเดียวที่มีถึงครึ่งหนึ่งในกลุ่มเอเชีย

ตารางที่ 1 แสดงรายชื่อประเทศผู้นำที่มีผลผลิตบทความวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์  (นับจากประเทศที่มีจำนวนบทความวิจัยมากกว่า 1, 000 เรื่อง ในช่วง 5 ปีล่าสุด)

Country Papers Country Papers Country Papers
China 55,003 Italy 5,990 Portugal  2,503
USA 38,189 Poland 5,168 Belgium  2,299
Japan 25,473 Australia 4,642 Czech Republic 2,217
Germany 16,832 Turkey  4,142 Austria 2,044
South Korea 15,261 Romania 3,958 Mexico 1,961
India 12,693 Brazil 3,891 Greece 1,663
France 12,344 Ukraine 3,714 Egypt 1,628
UK. 11,611 Sweden  3,176 Finland 1,408
Russia 7,927 Singapore 2,958 Israel 1,323
Taiwan 7,410 Iran  2,942 Slovenia  1,099
Canada 6,593 Switzerland 2,807 Malaysia  1,006
Spain 6,429 The Netherlands 2,785

ตารางที่ 2   แสดงการจัดอันดับประเทศผู้ผลิตงานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์ตามค่าผลกระทบ  ( Impact ) ของการได้รับการอ้างอิง ในช่วงปี 2005-2009

Country Papers Citations  Impact
USA.  38,189 222,552 5.83
EU-15 53,283 216,712 4.07
Japan 25,473   85,866 3.37
Taiwan 7,410   23,303 3.14
South Korea 15,261   47,334 3.10
China 55,003 143,665 2.61
India 12,693   32,411 2.55

เมื่อวิเคราะห์ลงถึงรายชื่อสถาบัน  มหาวิทยาลัย  ที่เป็นผู้นำการวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์  โดยวิเคราะห์ในช่วง 10 ปี (2001-2010) แสดงรายชื่อสถาบัน 10 อันดับ  ที่มีผลผลิตจำนวนบทความแสดงการได้รับการอ้างอิงดังแสดงในตารางที่ 3

ตารางที่ 3   จัดลำดับชื่อสถาบัน มหาวิทยาลัย 10 อันดับ ตามจำนวนบทความวิจัย การได้รับการอ้างอิง  ผลกระทบจากการอ้างอิง จากฐานข้อมูล Web of  Science, WOS ในช่วงปี 2001-2011

Institution Papers Rank Institution Citations Rank Institution Impact
Chinese Academy of Sciences 14,019   1 Chinese Academy of Sciences  104,104   1 University of Washington 30.41
Russian Academy of Science   6,769   2 Max Planck Society, Germany   56,720   2 University of California Santa Barbara 27.41
Tohoku University   5,511   3 Tohoku University   40,135   3 University of California Berkeley 26.58
Tsinghua University   5,129   4 NIMS, Japan   36,578   4 University of Groningen 25.07
Indian Institute of Technology   4,522   5 MIT, USA   35,329   5 Harvard University 24.46
Harbin Institute of Technology   4,059   6 AIST, Japan    33,868   6 MIT 21.61
AIST, Japan   4,052   7 University of California Berkeley   33,460   7 University of Southern California 21.11
NIMS, Japan   3,952   8 National University of Singapore   31,740   8 University of California Los Angeles 19.23
Osaka University   3,618   9 Tsinghua University   31,698   9 Stanford University 18.34
Central South University   3,464  10 University of Cambridge   27,909  10 University of Minnesota 17.35

งานวิจัยแนวหน้าในสาขาวัสดุศาสตร์

การวิเคราะห์บรรณานุกรม (Bibliometric analysis) สามารถอธิบายได้มากกว่าการแสดงเพียงศักยภาพด้านการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์  องค์กร  ประเทศ  ยังสามารถเปิดเผยแสดงถึงโครงสร้างและความสัมพันธ์ของสาขาวิจัยด้วย  ดังในรูปภาพ 1

ตารางที่ 4 แสดงงานวิจัยแนวหน้า 20 อันดับแรกในสาขาวัสดุศาสตร์  ในช่วงปี 2006 – 2010 เรียงลำดับตามจำนวนรวมการได้รับการอ้างอิงคัดเลือกมาจากงานวิจัยใน 438 หัวข้อ คิดเป็นร้อยละ 6.6 ของงานวิจัยแนวหน้าทั้งหมด 6,641 หัวเรื่อง

Rank Field description  within materials science Core  papers Citations Citation  impact  Average year of core
  1 Electronic properties of graphene   6 9,524 1587.3 2005
  2 Polymer solar cells  15 6,656 443.7 2007
  3 Multiferroic and magnetoelectric materials  31 6,509 210.0 2006
  4 Titanium dioxide nanotube arrays in dye-sensitized solar cells  47 5,645 120.1 2007
  5 ATRP and click chemistry in polymer synthesis  34 5,129 150.85 2006
  6 Graphene oxide sheets  16 4,815 300.9 2007
  7 Superhydrophobic surfaces  47 4,732 100.7 2007
  8 High-Tc ferromagnetism in zinc oxide diluted magnetic semiconductors  48 4,667 97.2 2006
  9 Highly selective fluorescent chemosensor  46 4,581 99.6 2007
 10 Electrospun nanofibrous scaffolds for tissue engineering  45 4,577 101.7 2006
 11 Ductile bulk metallic glasses  41 4,267 104.1 2006
 12  Single-molecule magnet  47 4,013 85.4 2007
 13 Self-assembling supramolecular nanostructured gel-phase materials  33 3,810 115.4 2007
 14 Mesoporous silica nanoparticles for drug delivery and biosensing  applications  34 3,693 108.6 2007
 15 Mechanical properties of nanocrystalline metals  45 3,682 81.8 2007
 16 Discotic liquid crystals for organic semiconductors  30 3,637 121.2 2006
 17 Gold nanorods for imaging and plasmonic photothermal therapy of tumor cells  21 3,506 166.9 2006
 18 Highly ordered mesoporous polymer and carbon frameworks  25 3,362 134.5 2006
 19 Upconversion fluorescent rare-earth nanocrystals  49 3,351 68.4 2007
 20 Molecular logic circuits  47 3,315 70.5 2008

หัวข้องานวิจัยที่พิเศษ (Special topics)

Thomson Reuters ได้วิเคราะห์มุ่งเน้นหา 3 สาขาย่อยภายใต้สาขาหลัก วัสดุศาสตร์ ที่มีพลังและสำคัญ พบว่าคือ Graphene, Metal Organic Frameworks, MOFs และ Electrospun Nonfibrous Scaffolds for Tissue Engineering, ENS เป็น  3 สาขานี้มีศักยภาพที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติในเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) และวิศวกรรมที่เกี่ยวกับชีวการแพทย์ (Biomedical engineering) โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

หัวข้อที่ 1 วัสดุกราฟีน (Grapheme)

คือ วัสดุที่มีโครงสร้างจากการเรียงตัวของคาร์บอนอะตอมแบบหกเหลี่ยมในแนวระนาบ 2 มิติ  เรียงหลายๆ วงต่อกัน  คล้ายตาข่ายกรงไก่  มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า  ใช้ได้ดีกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  แผ่นเก็บข้อมูล  มีการค้นพบเมื่อปี 2004 โดยนักวิทยาศาสตร์ Andre K. Geim กับ Koustantin S. Novosalor แห่ง มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ ปี 2010

ตารางที่ 5  แสดงลำดับของจำนวนบทความวิจัยตามหมวดหมู่วิชาย่อยในสาขาวัสดุศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัสดุกราฟีน ตีพิมพ์ในช่วงปี 2004 – May 2011 (แบ่งหมวดหมู่บนพื้นฐานตามชื่อวารสาร)

Rank Fields Papers
  1 Physics, Condensed Matter 3,405
  2 Materials Science, Multidisciplinary 3,144
  3 Physics, Applied 2,577
  4 Chemistry, Physical 2,528
  5 Nanoscience & Nanotechnology 2,134
  6 Chemistry, Multidisciplinary 1,644
  7 Physics, Multidisciplinary 1,294
  8 Physics, Atomic, Molecular & Chemical 464
  9 Engineering, Electrical and Electronic 357
 10 Electrochemistry 268

จากฐานข้อมูล WOS พบคำว่า grapheme ครั้งแรกในปี 2004 ในจำนวน 164 บทความ  ต่อมาในปี 2010 พบมีบทความ 3,671 เรื่อง  และยอดรวมสะสมตั้งแต่ปี 2004-ปัจจุบัน  มีบทความรวม 10,527 เรื่อง  (โดยคาดว่าในปี 2011 มีจำนวน 4,800 เรื่อง โดยที่ 2 บทความของนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านที่ได้รับรางวัลโนเบลในเรื่องกราฟีนนี้และได้รับการอ้างอิงเป็นจำนวนมากกว่า 4,300 และ 3,000 ครั้งตามลำดับ

เนื่องจากวัสดุกราฟีนมีคุณสมบัติพิเศษใช้ประโยชน์ได้มาก  จึงมีนักวิทยาศาสตร์ในหลากหลายสาขาคิดค้น  มุ่งเน้นในวัสดุใหม่นี้  คือทั้งในสาขาฟิสิกส์  เคมี  วัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์นาโน  และอาจรวมถึงวิศวกรรมศาสตร์ด้วย

ในตารางที่ 5 แสดงผลผลิตบทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกราฟีนหากวิเคราะห์ตามประเทศและสถาบันวิจัยพบว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำ  แต่ว่าผลผลิตบทความวิจัยกราฟีนจากประเทศแถบเอเชียเป็นเรื่องสำคัญมีความหมายนำโดยประเทศจีน (ลำดับที่ 2)  ญี่ปุ่น (ลำดับที่ 3) เกาหลีใต้ (ลำดับที่ 6) และสิงคโปร์ (เป็นลำดับที่ 9) สถาบันวิจัยผู้นำได้แก่ CAS จีน, CSIC สเปน, Russian Academy of Science และ CNRS ฝรั่งเศส ส่วนมหาวิทยาลัยพบว่าผู้นำได้แก่ Univ. California Berkeley, MIT, Univ. Texas Austin  ของอเมริกา ส่วนมหาวิทยาลัยในจีน  ได้แก่ Tsiughua Univ. และ สิงคโปร์ คือ NUS และ NTU   ยังไม่มีสัญญาณใดๆ บอกว่างานวิจัยเรื่องกราฟีนจะมีจำนวนลดลง  จำนวนรวมการอ้างอิงตั้งแต่ปี 2004 มาถึงขณะนี้มากกว่า 163,000 ครั้ง  และ  ยังมีการอ้างอิงต่อเนื่องอีกด้วย

หัวข้อที่ 2 สาร Metal – Organic Frameworks (MOFs)

งานวิจัยในเรื่อง MOFs นี้  แสดงถึงความเชื่อมโยงที่เข้มแข็งกับสาขาเคมีโดยเฉพาะเคมีระดับโมเลกุล  นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล Sir Harry Kroto ได้อธิบายถึงสาร MOFs ว่าเป็นโมเลกุลที่มีความซับซ้อนที่มีการทำงานในระดับนาโนและเป็นความก้าวหน้าของเคมีในยุคศตวรรษที่ 21 ที่เรียบง่าย  MOFs เป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างเป็นรูพรุน  ประกอบด้วยโลหะและสารประกอบอินทรีย์  มีการคิดค้นสังเคราะห์มาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 โดย Omar Yaghi นำไปใช้ประโยชน์สำหรับการดูดซับก๊าซต่างๆ  เช่น   ไฮโดรเจน  มีเทนและอื่นๆ

บทความวิจัยในเรื่อง MOFs เริ่มปรากฏในปี 2000 ในจำนวนเพียง 12 บทความ  ต่อมาในปี 2011 มีจำนวนบทความ 1,900 บทความ   คิดจำนวนการได้รับการอ้างอิงรวมมากกว่า 147,000 ครั้งเมื่อดูในสาขาย่อยของการวิจัย MOFs พบว่าเป็นเคมีทั่วไปเป็นสาขา หลักตามด้วย Inorganic & Nuclear chemistry, Crystallography และ Physical chemistry ประเทศผู้นำการวิจัยเรื่อง MOFs ได้แก่ จีน ดังในตารางที่ 6 ที่มีจำนวนบทความเป็น 2 เท่าของประเทศผู้นำที่ 2 คือสหรัฐอเมริกา ส่วนสถาบันวิจัยไม่เป็นที่น่าประหลาดใจ  สถาบันที่โดดเด่นในเรื่อง MOFs ได้แก่สถาบันวิจัย  มหาวิทยาลัยของจีน  ที่มีจำนวนมาก ถึง 5 แห่ง  ถือว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญเป็นหัวข้องานวิจัยนี้เป็นลำดับต้นๆ

ตารางที่ 6  จัดอันดับบทความวิจัยเรื่อง MOFs ตามรายชื่อประเทศและสถาบันวิจัย 10 อันดับแรกของโลก  ที่ตีพิมพ์ในช่วงปี 1995 – May 2011

Papers Country Rank Institution Papers
2,584 China   1 Chinese Academy of Sciences 450
1,398 USA   2 Nanjing University 314
  477 Germany   3 Nankai University 189
  393 Japan   4 Northeast Normal University 156
  388 UK   5 Jilin University 130
  355 France   6 Sun Yat-sen University 120
  292 India   7 Kyoto University 118
  250 South Korea   8 University of Michigan 101
  240 Spain   9 Northwestern University  96
  160 Australia  10 Northwest University, Xian  86

หัวข้อที่ 3 Electrospun Nanofibrous Scaffolds, ENS (โครงแกนแผ่นเส้นใบนาโน อิเล็กโตรสปัน)

หัวข้อวิจัยชั้นนำเรื่อง ENs สำหรับงานวิศวกรรมเนื้อเยื่อ (tissue enginering) ถูกจัดอันดับเป็นลำดับที่ 10 ในการได้รับการอ้างอิงในหมวดสาขาวัสดุศาสตร์ทุกสาขาย่อย  ดังในตารางที่ 7 เทคนิคในการทำ electrospinning ไม่ใช่เทคนิคใหม่เมื่อถูกนำไปสร้าง เส้นใยนาโนเพื่อให้เกิด scaffolds ประโยชน์ในทางการแพทย์คือ release drugs ยาประเภท antibiotics หรือ anticancer และยังมีศักยภาพในการช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมเนื้อเยื่ออวัยวะอีกด้วย

จากฐานข้อมูล WOS สืบค้นด้วยคำว่า (electrospum or electrospin) and (scaffold or tissue) จำกัดให้ปรากฏเฉพาะ tittle, abstracts หรือ keyword พบ 1,899  เรื่องเป็นบทความที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2000 ถึง May 2011 โดยมีจำนวนการอ้างอิงมากกว่า 31,000 ครั้ง  การเติบโตของบทความวิจัยในหัวเรื่องนี้   เริ่มมีบทบาทเกิดขึ้นในปี 2000-2002 และในปี 2011 คาดว่าจะมีบทความเรื่องนี้ในปี 2011 นี้จำนวน 550 เรื่อง

กลุ่มประเทศผู้นำ  ได้แก่  สหรัฐอเมริกา  แต่ 3 อันดับตามมาเป็น 3 ประเทศในเอเชีย  ได้แก่  จีน  เกาหลีใต้  สิงคโปร์  ซึ่งทั้ง 3 ประเทศมีจำนวนรวมของบทความเรื่องนี้มีมากกว่าของสหรัฐอเมริกา  โดยประเทศสิงคโปร์เป็นที่น่าจับตามอง  ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ดังรายละเอียดในตารางที่ 7

ตารางที่ 7  จัดลำดับบทความวิจัยเรื่อง ENs ตามรายชื่อประเทศและสถาบันวิจัย 10 อันดับแรกของโลก  ที่ตีพิมพ์ในช่วงปี 1995 – May 2011

Papers Country Rank Institution Papers
  657 USA   1 National University of Singapore   144
  448 China   2 Songhua University   120
  438 South Korea   3 SUNY Stony Brook    58
  161 Singapore   4 Virginia Commonwealth University    56
   92 UK   5 Seoul National University    53
   80 Italy   6 Chinese Academy of Sciences    42
   70 Germany   7 Hungnam National University    35
   66 Japan   8 Chulalongkorn University    34
   49 Australia   9 Ohio State University    28
   39 Thailand  10 University of Pennsylvania    27

เอกสารอ้างอิง

Jonathan Adams ; David Pendlebury. (June 2011). Global Research Report Materials Science and Technology. Leeds : Thomson Reuters. Available at : http://researchanalytics.thomsonreuters.com/grr/grr-matscience/

ภาคีห้องสมุดเพื่อการบริหารจัดการ National Site License

บทนำ

การเปลี่ยนแปลงสารสนเทศวิชาการจากกระดาษสู่อิเล็กทรอนิกส์ มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการในห้องสมุดวิชาการเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 มี e-Journal เกิดขึ้นอย่างมากมายและต่อเนื่อง ความแตกต่างที่สำคัญของวารสารฉบับพิมพ์กับฉบับออนไลน์ คือ ห้องสมุดไม่ได้เป็นเจ้าของอีกต่อไป ไม่สามารถควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาได้ แต่การควบคุมการเข้าถึงขึ้นอยู่กับข้อตกลงในสัญญาการบอกรับเป็นสำคัญ

มหาวิทยาลัยต่างๆ จัดซื้อวารสารจากสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ในรูปแบบ bundled site license ในราคาที่ขึ้นกับประวัติค่าบอกรับที่จ่ายในรูปแบบฉบับพิมพ์ ซึ่งมีการตั้งชื่อรูปแบบนี้ว่า Big Deal มีการเจรจาต่อรองกับสำนักพิมพ์และเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์แก่ห้องสมุด จึงได้มีการรวมตัวของห้องสมุดเพื่อให้มีความสามารถในการต่อรองกับสำนักพิมพ์  โดยทำหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ การต่อรองกับสำนักพิมพ์ (Negotiation) การบริหารจัดการการเข้าใช้ (Access) และการจัดซื้อ (Purchase) โดยบางกลุ่มเป็นถึงระดับประเทศ  (National Scale) เช่นThe National Electronic Site License Initiative, NESLI (สหราชอาณาจักร) Canadian National Site Licensing Project, CNSLP (แคนาดา) South Africa Site License Initiative, SASLI (แอฟริกาใต้) และ CAPES (บราซิล)

บทความนี้ขอนำเสนอ ภาคีห้องสมุดเพื่อการบริหารจัดการ  National Site License ของห้องสมุดในต่างประเทศ 3 ประเทศได้แก่ ประเทศสหราชอาณาจักร  ประเทศอิหร่าน และประเทศเกาหลีใต้ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ประเทศสหราชอาณาจักร : UK. National Electronic Site License Initiative, NESLI

UK. National Electronic Site License Initiative, NESLI  เป็นโครงการย่อยหนึ่งของ Joint Information Systems Committee, JISC  จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนในการจัดการ (Managing Agent) เกี่ยวข้องกับ3 กลุ่ม คือ ผู้ใช้บริการ บรรณารักษ์ และ สำนักพิมพ์

NESLI เริ่มดำเนินการในระยะที่ 2 ในปี ค.ศ. 1999  มีระยะเวลา 3 ปี  มีเครือข่ายที่เป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงของสหราชอาณาจักร เข้าร่วมจำนวน 180 แห่ง หน้าที่หลักในการเป็นหน่วยตัวแทน (Managing Agent) โดยการแต่งตั้งผู้ทำงานจาก JISC  (JISC มีสำนักงาน 2 แห่ง ที่ลอนดอนและอ๊อกซ์ฟอร์ด) หน่วยตัวแทนนี้ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างสำนักพิมพ์กับบรรณารักษ์

บทบาทของหน่วยตัวแทน (Managing Agent)  คือ

  1. จัดบริการจุดเข้าถึงจุดเดียว (single access point) สำหรับ e-Journal ให้แก่ห้องสมุดและผู้ใช้บริการ
  2. เป็นหน่วยงานเดียวในการต่อรองและบริหารจัดการในการขออนุญาตจากสำนักพิมพ์
  3. ต่อรองกับสำนักพิมพ์เรื่องการขอส่วนลดและสถิติการเข้าใช้สำหรับเครือข่ายทั้งหมด
  4. จัดเก็บรายได้ให้แก่สำนักพิมพ์
  5. จัดการเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม และ เรื่องการเพิ่มราคาค่าบอกรับ
  6. เฝ้าดู สังเกต การเข้าใช้และความมั่นคง
  7. รวบรวมสถิติการเข้าใช้ที่ถูกต้อง ครบถ้วน ให้แก่ห้องสมุดเครือข่ายและ JISC
  8. ส่งเสริมการดำเนินการของ NESLI กับสถาบันการศึกษาขั้นสูงของประเทศกับสำนักพิมพ์

ประโยชน์ของโครงการ NESLI ในมุมมองของผู้ใช้บริการ

  1. มีหน้าจอเดียว และมีจุดเข้าถึงจุดเดียว สำหรับรายการชื่อฐานข้อมูลที่จัดเตรียมไว้ให้
  2. มีรายการชื่อวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ หลากหลายจากสำนักพิมพ์ต่างๆ
  3. จัดเรียงรายชื่อวารสารอิเล็กทรอนิกส์ตามหมวดหมู่สาขาวิชาแบบกว้าง
  4. สามารถสืบค้นรายชื่อวารสาร ตามหมวดหมู่สาขาวิชา และคำสำคัญ
  5. สามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอให้เป็นไปตามภารกิจหลักของหน่วยงานได

ประโยชน์ของโครงการ NESLI ในมุมมองของห้องสมุด

  1. หน่วยตัวแทนจัดทำระบบให้ มีหน้าจอเดียว มีจุดเข้าถึงจุดเดียว มีชุดมาตรฐานทางเทคนิคชุดเดียว
  2. หน่วยตัวแทนจัดโซลูชั่นชุดเดียว สำหรับการตกลงการซื้อขายสำหรับสำนักพิมพ์หลายๆแห่ง การอนุญาต การเข้าถึง และระบบความปลอดภัย
  3. ข้อความในการอนุญาต  (Licensing terms) เป็นมาตรฐาน
  4. หน่วยตัวแทน จะต่อรองขอส่วนลดราคา และสถิติการใช้ ในนามของเครือข่ายขนาดใหญ่ระดับประเทศ หน่วยตัวแทนจัดบริการข้อมูลสถิติการเข้าใช้ให้แก่สมาชิกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  5. การจัดบริการวารสารอิเล็กทรอนิกส์ อาจช่วยลดพื้นที่ในการให้บริการและการจัดเก็บ
  6. โครงการนี้อาจช่วยลดบริการการยืมระหว่างห้องสมุด (Inter library loan)

ประโยชน์ของโครงการ NESLI ในมุมมองของสำนักพิมพ์

  1. มีโซลูชั่นเดียวในการตกลงการซื้อขายกับมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งทั่วประเทศ
  2. การจัดทำวารสารอิเล็กทรอนิกส์อย่างเดียวของสำนักพิมพ์ จะค่อยๆแทนที่การผลิตวารสารในรูปกระดาษ ซึ่งอาจช่วยสำนักพิมพ์ประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคต
  3. ผลจากการจัดให้เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางด้วยการที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นนั้น เป็นประโยชน์แก่ผู้แต่งบทความ บรรณาธิการวารสาร และ สังคมแห่งการเรียนรู้ต่อไป ฯลฯ

ขณะนี้ โครงการ NESLI อยู่ในระยะที่สอง จึงเรียกชื่อว่า NESLi2 เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2004 เป็นโครงการต่อเนื่องมาจากระยะที่ 1 ที่ประสบความสำเร็จ เนื้อหาข้อมูลที่ NESLi2 รวบรวมจัดเตรียมให้มาจากสำนักพิมพ์ชั้นนำ 17 แห่ง เป็นจำนวนวารสารราว 7,000 ชื่อ NESLi2 ได้ใช้จ่ายงบประมาณในปี ค.ศ. 2010ประมาณ 13.5ล้านปอนด์ ประมาณว่าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ  40 ล้านปอนด์ตั้งแต่เริ่มโครงการในปี ค.ศ. 2004มีจัดบริการ Subscriptions Help desk เพื่อคอยตอบคำถามหน่วยงานที่เข้าเกณฑ์จะสมัครเป็นสมาชิก

NESLi2 – จัดแสดงรายการชื่อแหล่งข้อมูลออนไลน์ (catalogue) ไว้ที่เว็บไซต์ โดยเสนอให้สมาชิกเลือกสมัครบอกรับ ประมาณ 40 ชื่อแหล่งข้อมูล  (ในทุกประเภทของสารสนเทศวิชาการ เช่น archive, database, digital film, digital image, e-books, magazine, map data เป็นต้น) ในการบริหารจัดการมีคณะผู้บริหารหลายชุด คือ Board of management / Advisory groups ประกอบด้วย Stakeholder group, Journal working group, Library advisory forum

รูปแบบของ NESLi2  คือ ใช้สัญญาข้อตกลงชุดเดียวระหว่าง NESLI กับสำนักพิมพ์ต่างๆ (single contract signed) โดยสัญญาข้อตกลงมีการแก้ไขใหม่เสมอผ่านการเห็นชอบจากคณะทำงานวารสาร ล่าสุดในปี 2009 มีการแก้ไขเตรียมไว้สำหรับปี 2010ที่หน้าเว็บไซต์มีการแสดงสัญญาข้อตกลงระหว่าง NESLi กับสำนักพิมพ์ต่างๆ ในชุดของปีต่างๆ ตั้งแต่ปี 2004 -2009 รวมทั้งหมด 5 ปี มีแสดงข้อมูลการประชุมสัมมนาที่เกี่ยวข้อง มีแสดงเครื่องมือในชื่อต่างๆ คือ Academic Database Assessment Tool, Interactive copyright tool, Identity management toolkit, Guide to the model license

ประเทศอิหร่าน

อิหร่านประกอบด้วยมหาวิทยาลัยที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สายการแพทย์ ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยที่ขึ้นกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ วิจัยและเทคโนโลยี (Ministry of Science, Research and Technology -MSRT) โดยในปี ค.ศ. 2008 มีจำนวนนักศึกษาประมาณ 3.5 ล้านคน

มหาวิทยาลัยในกลุ่มสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  มีเครือข่ายจำนวน 58 แห่ง โดยมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เริ่มรวมตัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 จัดซื้อวารสารเป็นชุดในชื่อ  buying club ต่อมาทำความตกลงกับสำนักพิมพ์ Elsevier  ในช่วง 3 ปีแรก (2004-2006) เปิดให้เข้าถึงวารสารจำนวน 1,396 ชื่อ โดยเสนอให้ราคาส่วนลดร้อยละ 70 ในปี ค.ศ. 2004 ลดให้ร้อยละ 50 ในปี ค.ศ.  2005 และ ร้อยละ 30 ในปี ค.ศ. 2006 และเมื่อมีการวางแผนในการบอกรับใน 3 ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 2007-2009) พบปัญหา คือ

  1. ห้องสมุดอื่นๆ ร้องขอเพื่อเข้าร่วมเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น
  2. สำนักพิมพ์ Elsevier แจ้งว่า จะไม่มีส่วนลดให้ในปี ค.ศ. 2007-2009
  3. เครือข่ายชุดเดิม MSRT ไม่มีข้อมูลสนับสนุนในแง่การใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูลที่บอกรับ หรือสถิติการใช้

สำนักพิมพ์ Elsevier ได้เสนอ model ในการบอกรับ คือ

  1. ให้สมาชิกเข้าถึงเนื้อหาชุดใหญ่ทั้งหมด (Whole Collection)
  2. ให้เข้าถึงเนื้อหาชุดเฉพาะ (Specific Collection)
  3. ให้เข้าถึงวารสารในชุดคงที่ ชุดหนึ่ง (certain number of Journal) หรือเรียกว่า unique title list, UTL

โดยทั้ง 3 รูปแบบ สำนักพิมพ์ เสนอสิทธิ์ในการเข้าถึงเป็นแบบตลอดกาล (Perpetual rights)

การพิจารณาข้อตกลงในการจัดซื้อวารสารชุดใหม่ จำเป็นต้องมีข้อมูลสถิติการใช้และค่าบอกรับอย่างละเอียดเพื่อต่อรองกับสำนักพิมพ์  และข้อมูลสถิติการใช้ควรเป็นระบบมาตรฐาน เช่น ระบบ COUNTER ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์สถิติการใช้ของผู้ใช้บริการ ข้อมูลสถิติการใช้ควรมีมาตรฐานของข้อมูล (standardization of the usage report)  สภาพความพร้อมใช้ของข้อมูล  ตัวอย่าง สถิติการใช้ของเครือข่ายประเทศอิหร่านในช่วงปี ค.ศ.  2005-2006 มี 5.6 ล้านเรื่อง และในปี ค.ศ. 2007-2008 มี 11.7 ล้านเรื่อง

ข้อมูลสถิติส่วนใหญ่ได้จากสำนักพิมพ์ ซึ่งมักมีปัญหา คือ มีการดาวน์โหลดแบบเป็นระบบต่อเนื่อง (systematic download) โดยนักศึกษาที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลจริง หรือ การดาวน์โหลดของ vendorประเทศอิหร่าน กำลังกำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาการบอกรับจากหลัก cost-benefit analysis  ซึ่งถือว่าเรื่องการวัดหรือประเมินในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ยากเสมอมา

ประเทศเกาหลีใต้

Korean Electronic Site License Initiative (KESLI)  ที่จัดตั้งภายใต้โครงการใหญ่ระดับประเทศชื่อ National Digital Science Library ที่มีการจัดทำระบบสถาปัตยกรรมการคัดเลือกวารสารเพื่อจัดเป็นคลังถาวร การกำหนดเมทาดาทา และงานส่วนอื่นๆ โครงการนี้เริ่มในปี ค.ศ. 2007

National Assembly Library, NAL ได้เห็นความสำคัญของความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้มีความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศในภาควิชาการ ทั้งภาครัฐและอุตสาหกรรม  รัฐบาลจึงกำหนดให้จัดสร้างแหล่งความรู้สำหรับภาควิชาการในระดับประเทศ  โดยถือว่าวารสารวิชาการเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง โดยหน่วยงาน The Korea Institute of Science and Technology  เป็นเจ้าภาพหลัก เริ่มต้นด้วย 2 โครงการหลัก คือ Consortial license purchase และ Journal archiving

โครงการ KESLI, Korean Electronic Site License Initiative

ในปี ค.ศ. 1999 ได้จัดตั้งโครงการนี้ในระดับชาติโดยมีการกำหนด business model ให้ KESLI ทำหน้าที่เป็นประตูเข้าออก(gateway)  ด้วยการเริ่มติดต่อและต่อรองกับสำนักพิมพ์แต่ละแห่ง เพื่อสรุปข้อตกลง  โดยมี 3 กลุ่มเข้าร่วม คือ สำนักพิมพ์ ห้องสมุด และ KESLI  จากนั้นมีการสร้าง subconsortia เช่น

  1. KESLI-Elsevier consortium
  2. KESLI-Blackwell consortium
  3. KESLI- Springer consortium

จากนั้นให้ห้องสมุดสมาชิกคัดเลือกสมัครในชุดตามที่ต้องการ ที่ผ่านมามี 40 สถาบันที่สมัครKESLI- Springer consortium อาจมีสัญญารวม 50ชุด ในปี ค.ศ. 2005 มีห้องสมุดสมาชิก 324 แห่ง ได้ทำข้อตกลงกับสำนักพิมพ์รวม 1,976 ชุด เฉลี่ย 1 สถาบัน มีสัญญาข้อตกลงกับสำนักพิมพ์เท่ากับ 6.19 ชุด

KESLI ดำเนินการได้สำเร็จ โดยวัดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนสมาชิกห้องสมุด จำนวนเครือข่าย จำนวนวารสาร จำนวนข้อตกลง และค่าเฉลี่ยข้อตกลง ในช่วงปี 2000-2006 ดังตารางที่ 1, 2 และ 3 จำนวนเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นตามปี

ตารางที่ 1 จำนวนเครือข่าย

Description ปี 2000 ปี  2003 ปี 2006
Participating institutions 160 176 317
No. Consortia 6 31 90
No. of E-Journal 2120 5877 9780
No. of contracts 383 1515 1976
Average contract/institution 2.39 5.48 6.1

ตารางที่ 2 ประเภทของหน่วยงานเครือข่ายที่เข้าร่วม

Type ปี 2000 ปี 2003 ปี 2006
Academic Library 101(63%) 142(51%) 144(45%)
Research Institution 29(18%) 43(16%) 62(20%)
Corporate Library 13(8%) 43(16%) 52(16%)
Medical Library 12(8%) 39(14%) 47(15%)
Public Library 5(3%) 9(3%) 12(4%)
Total 160 276 317

ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ยสิ่งพิมพ์และวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่บอกรับโดยสมาชิก

Type Print Journals E-Journals Difference % difference
Academic Library 382 3520 3138 921
Research Institution 158 2972 2814 1881
Corporate Library 101 1986 1885 1966
Medical Library 257 2473 2216 962
Public Library 141 1731 1590 1227

เกณฑ์ในการคัดเลือกวารสารเพื่อจัดหา

ในปี ค.ศ. 2005 มีการคัดเลือกวารสารไว้ 7,766 ชื่อ คิดเป็นบทความจำนวน 210, 000 บทความ ถูกจัดเก็บไว้ในระบบ มี 4 ปัจจัย ในการพิจารณาคัดเลือก คือ

  1. การเข้าใช้ได้แบบตลอดกาล แม้ยกเลิกการบอกรับแล้ว (Perpetuity of use)
  2. ค่าผลกระทบในการอ้างอิง หรือค่า IF  (Impact factor)
  3. จำนวนผู้ใช้บริการ (No. of users)
  4. ค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่อหน่วย(Invested unit cost)

ประเด็นที่สำคัญที่นำมาพิจารณา กำหนดไว้ 4 ข้อ

  1. เนื้อหา (Content collection)
  2. คุณภาพการบริการ (Service Quality)
  3. การสงวนรักษา (Preservation)
  4. เงินทุน (Funding)

เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้ คือ มีการเข้าใช้วารสารอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืนและเพื่อให้มีความมั่นใจว่ามีการสงวนรักษาในระยะยาว

โครงการในระยะที่ 2 กำหนด จัดทำ delivery system module มีแผนให้บริการสูงสุด ถึง 8 แสนบทความ ภายในสิ้นปี ค.ศ. 2006  โครงการระยะที่ 3 เริ่มในปี ค.ศ. 2007 กำหนดทบทวนระบบต่างๆและทดสอบการเข้าใช้ประโยชน์  กำหนดให้มีการจัดเก็บจำนวนบทความได้เท่ากับ 12 ล้านบทความ

บรรณานุกรม

  1. NESLI2. [Online] Available: http://www.jisc-collections.ac.uk
  2. Emrani, Ebrahim, Moradi-Salari, Amin and Jamali, Hamid R. 2010 “Usage Data, E-Journal Section, and     Negotiations : An Iranian Consortium experience : Serials Review Volume 36, number 2,  p. 86-92.
  3. Ho Nam Choi and Eun G. Park. 2007 “Preserving Perpetual Access to Electronic Journals : A Korean     Consortial Approach. : Library Collections , Acquisitions & Technical Services 31 p. 1-11.

แปลและเรียบเรียงโดย   รังสิมา เพชรเม็ดใหญ่

ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

วันที่  28 กุมภาพันธ์ 2554

เทคโนโลยี 3-D ในทุกๆ สิ่งกำลังจะมาเร็วๆ นี้

รายงาน IP Market Report ของบริษัท Thomson Reuters ที่เผยแพร่เมื่อปลายปี 2009 ที่มีคำโปรยหลักว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลสิทธิบัตรสามารถแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมในอุตสาหกรรมความบันเทิงแบบ 3D มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น (Patent data shows rise in 3-D entertainment innovations) แม้ว่าเป็นรายงานนี้เป็นฉบับเก่าแต่ก็น่าสนใจด้วยเป็นเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตมากยิ่งขึ้นในขณะนี้

ความนำ

ในปี 2009 เป็นปีที่ฮอลลีวูดบันทึกว่าเป็นปีแห่งการผลิตภาพยนต์ 3D ด้วยมีการออกฉายของภาพยนต์แบบ 3D หลายเรื่อง เช่น Avatar, Bolt, Beowulf, Harry Potter ฯลฯ โดยมีการประมาณการว่าจะมีการดำเนินการสร้างหนังแบบ 3-D ราว 7,000 เรื่องทั่วโลก ภายในสิ้นปี 2009 อะไรคือเหตุผลที่มีผลกระทบให้เกิดความสนใจขึ้นมาใหม่ในธุรกิจด้านความบันเทิงแบบ 3D ขึ้นมาอีก

เพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ แผนก IP Solution Business ของ บริษัท Thomson Reuters จึงได้ติดตามแกะรอยหากิจกรรมสิทธิบัตรเรื่อง 3D ตั้งแต่ปี 2003 ถึง 2009 ด้วยการวิเคราะห์จำนวนของสิ่งประดิษฐ์ที่เผยแพร่ให้คำขอสิทธิบัตรและสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติระหว่างช่วงปี 2003-2009 ซึ่งทำให้สามารถระบุถึงการพัฒนาการของเทคโนโลยี 3D ว่ามีการเติบโตเร็วมากที่สุดที่ไม่ได้หยุดแค่ที่ฮอลลีวูดเท่านั้นและพบว่ามีการพัฒนาเทคโนโลยี 3 D ใน 3 กลุ่มหลักอื่นๆอีก คือ 3-D Cinema, 3-D Television และ 3-D Photography  รายงานนี้ได้สรุปถึงผลการค้นพบของการวิจัยในเอกสารสิทธิบัตรโดยแสดงผลเป็นรายชื่อบริษัทที่มีกิจกรรมสิทธิบัตร 3-D สูงสุด และภูมิภาคใดของโลกที่มีการปกป้องขอความคุ้มครองเทคโนโลยี 3-D นี้

วิธีการ

ทำการรวบรวมข้อมูลสิทธิบัตรจากฐานข้อมูล Thomson Reuters, Derwent World Patents Index (DWPI) เพื่อระบุหากิจกรรมนวัตกรรมโลกที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี 3-D ด้วยนับจำนวนรวมของสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นเอกสารสิทธิบัตรที่เผยแพร่ในคำขอสิทธิบัตรและได้รับอนุมัติปี 2003 กับปี 2008 และ 6 เดือนแรกของ 2009 แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันเพื่อหาการเติบโตในเทคโนโลยีนี้  เอกสารสิทธิบัตรทั้ง 2 แบบ (การยื่นขอได้รับอนุมัติ) เมื่อนำมาวิเคราะห์รวมกันเพื่อหาช่วงเวลาที่รอคอยในการได้รับอนุมัติ ซึ่งปกติมีช่วงเวลาราว 4-5 ปี

ผลการศึกษา จากการค้นหา 3-D Technology ในเรื่องใดที่มีการเติบโตสูงสุด พบว่า ในธุรกิจบันเทิง เช่น บริษัท Blockbuster บริษัท Pixar บริษัท Dream works ได้ให้ความสนใจในเทคโนโลยี 3D มาก ผลการศึกษาพบว่านวัตกรรมที่ร้อนแรงที่สุดคือ ใน โทรทัศน์ การถ่ายภาพและภาพยนต์ ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 แสดงจำนวนเอกสารสิทธิบัตรในเทคโนโลยี 3-D หลัก 3 ด้าน และการจัดลำดับ

Technology 2003 2008 2009

(Q1 & Q2)

% increase 2003-2008 Ranking
3-D Television 612 1034 486 69% 1
3-D Photography 460 720 368 57% 2
3-D Cinema 103 149 61 45% 3

เทคโนโลยี 3-D Television

ธุรกิจที่เกิดจากนวัตกรรมของเทคโนโลยี 3-D มีจุดกำเนิดที่มาจากโทรทัศน์ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นผลักดันให้เกิดนวัตกรรมการประดิษฐ์ 3-D ของภาพยนต์ จากความนิยมอย่างแพร่หลายของโฮมเธียเตอร์และคุณภาพของฟิลม์ DVD ก่อให้เกิดการจุดไฟขึ้นมาอีกรอบสำหรับภาพยนต์แบบ 3D

ในช่วงระหว่างปี 2003 กับ 2008 กิจกรรมสิทธิบัตรเรื่องโทรทัศน์ 3-D เติบโตขึ้นร้อยละ 69 ด้วยจำนวนที่ยื่นขอความคุ้มครองในปี 2008 ที่เมื่อวิเคราะห์หาชื่อบริษัทผู้ขอความคุ้มครองได้แก่ บริษัทซัมซุง ร้อยละ 4 บริษัทพานาโซนิคและบริษัทโตชิบาร้อยละ 2 ดังรายละเอียดในตารางที่ 2 รวม 1,034 เรื่อง

ตารางที่ 2    แสดงรายชื่อบริษัทผู้นำที่มีการยื่นขอสิทธิบัตรในเทคโนโลยี 3-D Television ในสิบอันดับแรก

Patent Assignees % of all patents in this technology
Samsung 4.15%
Panasonic 2.22%
Toshiba 1.74%
Seiko Epson 1.54%
Electronics & Telecom Res. Inst. 1.35%
Intel Corp. 1.35%
Juji Film Co.LTD. 1.25%
Phillips Electronics 1.25%
Sharp 1.25%
Univ. Zhejiang 1.16%

ท่ามกลางการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีใหม่นี้พบว่าในปี 2008 ที่มีการยื่นขอความคุ้มครองมี 30 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ เลนส์ ชนิด Leuticulas lenses ที่ช่วยสร้างภาพ 3-D ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้แว่นตาพิเศษสวมใส่ในเวลาชมภาพต่างๆ นี้เป็นการพัฒนาที่สำคัญยิ่งนำให้เทคโนโลยีโทรทัศน์ 3-D กลายเป็นกระแสหลักของตลาดผู้บริโภค

ส่วนในการค้นหาว่าภูมิภาคใดของโลกที่มีการปกป้องขอความคุ้มครองพบว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำตามด้วยญี่ปุ่นและจีน ดังตารางที่ 3 แสดงประเทศลำดับแรกที่มีการยื่นขอ (priority country) ของปี 2008 แสดง 10 ลำดับ คือ

ตารางที่ 3   แสดงรายชื่อประเทศที่มีการยื่นจดสิทธิบัตรในเทคโนโลยี 3-D Televisionเป็นครั้งแรก

Priority Country % of all patents in this technolgy Number of patents
US 34% 347
JP 24% 246
CN 15% 159
KR 14% 140
DE 2.2% 23
GB 1.9% 20
WO* 1.9% 20
TW 1.7% 18
EP 1.6% 17
FR 1.5% 16

เทคโนโลยี ภาพถ่าย 3-D (3-D Photography)

มีการคาดการณ์ว่าการส่งออกของกล้องดิจิทัลจะมีการลดลงราว 6% ในจำนวน 129 ล้านหน่วย ในปี 2009 ด้วยมีสัญญาณว่าถึงจุดอิ่มตัวของตลาดแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมนี้ยังคงค้นหานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค 3-D ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของพรมแดนใหม่ในภาพถ่ายดิจิทัล บริษัท Fuji Film เป็นที่หนึ่งในการนำเทคโนโลยีนี้ทดลองนำเข้าตลาดในรุ่น Fine Pix Real 3D W1 ด้วยการถ่ายภาพดิจิทัล 3-D แบบความละเอียด 10 เมกาพิกเซล และแสดงออกมาเป็น 3-D บนจอ Camera’s lenticular screen

ในระหว่างปี 2003 กับปี 2008 กิจกรรมสิทธิบัตร 3-D Photography เติบโตขึ้นร้อยละ 57 ด้วยจำนวนสิทธิบัตร 720 เรื่องที่ยื่นในปี 2008 โดยเป็นร้อยละ 8 ที่ยื่นขอความคุ้มครองโดยบริษัท Fuji Film ตามด้วยร้อยละ 3 โดยบริษัทโซนี 368 เรื่อง และซัมซุง โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2009 มีการยื่นขอความคุ้มครอง

ตารางที่ 4   แสดงรายชื่อบริษัทผู้ยื่นขอสิทธิบัตรในเรื่อง 3-D Photography

Patent Assignees % of all patents in this technology
Fuji Film 8.0
Sony 2.9
Samsung 2.6
Seiko Epson 2.5
Nikon 2.2
Panasonic 2.0
Toshiba 1.7
Canon 1.1
Hitachi 1.1
victor Co. 1.1

ท่ามกลางความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญยิ่งนี้มีการแสดงถึงรายชื่อบริษัทต่างๆ ที่กำลังพัฒนาเรื่อง display screens ได้แก่บริษัท Seiko Epson และ NEC และบริษัทที่พัฒนาเรื่อง Image Capture และ Display Systems ได้แก่ Hitachi, Nippon Hoso Kyokai, Sanyo, Toshiba และ Victon

ส่วนภูมิภาคที่มีการปกป้องสิทธิบัตรเรื่องนี้พบว่าญี่ปุ่นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งตามด้วยสหรัฐอเมริกาและจีน (เป็นประเทศแรกที่มีการยืจด priority country) ดังรายละเอียดในตารางที่ 5

ตารางที่ 5    ประเทศผู้นำในการยื่นขอสิทธิบัตรเรื่อง เทคโนโลยี 3-D Photography

Priority Country % of all patents in this technology No. of Patents
JP 49% 356
US 19% 138
CN 8.8% 64
KR 8.0% 58
DE 4.3% 31
TW 3.5% 25
WO* 1.7% 12
FR 1.5% 11
GB 1.4% 10
EP 0.8% 6

เทคโนโลยีภาพยนต์ 3-D  (3-D Cinema)

เมื่อช่วงที่ผ่านมา บริษัท Dream Works ได้ให้คำมั่นว่าจะผลิตฟิล์มในรูป 3-D ในขณะที่เป็นการยากสำหรับผู้ชมภาพยนต์จะหลีกหนีการเกิดขึ้นของ 3-D ที่กำลังจะมาเร็วๆนี้ในโรงภาพยนต์ โดยที่ระหว่างปี 2003-2008 กิจกรรมสิทธิบัตรเรื่อง 3-D Cinema เติบโตขึ้นร้อยละ 45 ในจำนวนสิทธิบัตร 149 เรื่อง ที่ยื่นขอในปี 2008 คิดเป็นของบริษัทต่างๆ คือบริษัท Seiko Epson ร้อยละ 10 บริษัท Sony ร้อยละ 6 บริษัท Real D ร้อยละ 5 และใน 6 เดือนแรกของปี 2009 มีการยื่นขอ 61 เรื่อง

ตารางที่ 6  แสดงรายชื่อบริษัทผู้ยื่นขอสิทธิบัตรในเรื่อง 3-D Cinema

Patent Assignees % of all patents in this technology
Seiko Epson 10
Sony Corp 6.0
RealD 5.4
Thomson Licensing 2.7
Panasonic 2.0
Phillip Electronic 2.0
Light Blue Optics LTD 1.3
Samsung 1.3
Alsin AW Co.LTD 0.7
Bluvis Inc. 0.7

 

โดยที่ 3 บริษัทคือ Seiko, Epson Sony และ Philips พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ Projection ส่วนเทคโนโลยี Anti-Piracy system พัฒนาโดยบริษัท Thomson Licensing และเทคโนโลยี 3-D Editing apparatus พัฒนาโดย บริษัท Bluvis ส่วนบริษัท Real D มีความสามารถในหลายเรื่องคือ projection systems, specialist glasses, cleaning & glass registration system และ polarization for projection
ภูมิภาคที่มีการขอปกป้องนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เป็นประเทศแรกได้แก่ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำอันดับ 1 ตามด้วยญี่ปุ่นและเกาหลี ดังในตารางที่ 7 แสดง 10 อันดับแรกประเทศแรกที่มีการยื่นจด

ตารางที่ 7  ประเทศผู้นำในการยื่นขอสิทธิบัตรเรื่อง เทคโนโลยี 3-D Cinema

Priority Country % of all patents in this technology No.of Patents
US 46% 69
JP 29% 43
KR 6.0% 9
WO 5.4% 8
CN 4.7% 7
FR 4.0% 6
EP 2.0% 3
GB 1.3% 2
TW 1.3% 2
DE 0.7% 0

สรุป

ในช่วงปีที่ผ่านมาในโรงภาพยนต์ ประเภท Cineplex เริ่มมีการแสดงภาพเคลื่อนไหวในลักษณะ 3 มิติ ซึ่งต่อไปในเวลาอันใกล้นี้ผู้บริโภคอาจได้ชมภาพ 3 มิติ บนจอของโทรทัศน์และภาพ 3 มิติ ในอัลบั้มภาพถ่าย ลักษณะการพัฒนาเทคโนโลยี 3 มิติในต่อไปเป็นเส้นโค้ง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ทีมงานวิจัยของมหาวิทยาลัยโตเกียวได้พัฒนาระบบการแสดงเทคนิคที่เหมือนมีชีวิต 3 มิติ โฮโลแกรม (Hologram) ด้วยการสัมผัสจากมนุษย์ ด้วยการใช้เทคนิค airbone ultrasound ที่ทำการตรวจจับการเคลื่อนที่ขยับไปมา และ การเป่าลมไปยังมือผู้เล่นเพื่อให้เสมือนสัมผัสกับวัตถุนั้น (blows air jets onto the user’s hand to mimic the feel of the object) ซึ่งระบบนี้ยังไม่ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตร แต่ว่าใช้สิทธิบัตรในเทคโนโลยีเรื่องรีโมทเซ็นเซอร์ (remote sensor) ที่คล้ายคลึงกับที่ใช้ในระบบเกมส์ Ninteudo Wii และภาพแสดงโฮโลแกรมที่ได้รับสิทธิบัตรใหม่ในเดือนสิงหาคม 2009 โดยบริษัทในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Provision Interactive Technologies ซึ่งกำลังพัฒนาเทคโนโลยีแรกเริ่มสำหรับสาขาการแพทย์ที่อาจเป็นการนำเสนอขอบเขตใหม่ของเทคโนโลยีวินิจฉัยโรคด้วยภาพ รวมถึงอาจมีบทบาทเป็นผู้นำในการเช่าภาพยนต์ Blockbuster ต่อไป
ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เราคงต้องเฝ้ามองดูต่อไปของการพัฒนานวัตกรรมที่ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยแผนก IP ของบริษัท Thomson Reuters จะติดตามและรายงานในอนาคตต่อไป

อ้างอิง

Thomson Reuters – IP Market Report  Dec.2009 : Coming Soon in 3-D …… Everything !  Patent data shows rise in 3-D entertainment innovations. Available at : http://img.en25.com/Web/ThomsonReutersScience/3DTechnology.pdf

แผนที่สิทธิบัตร อุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง

Thomson Reuters ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ในชื่อเรื่อง Investing in Intelligence to stay successful through Innovation :  The Role of patents in the Petro-Chemical Intermediates industry มีเนื้อหาสรุปได้ดังนี้

สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันสำคัญ อยู่รอบๆ ตัวเรา (Daily essentials : All around us)

อุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แป้นคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ขวดน้ำดื่ม  เสื้อเชิตจากไนลอน เป็นต้น ล้วนมาจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่มนุษย์ใช้เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมและเป็นของมีค่าสำหรับธุรกิจตามน้ำของการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง (Petro-Chemical Intermediates application)

บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเหล่านี้ยังคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เข้มข้น และ รวดเร็ว  เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันสำหรับธุรกิจของบริษัทตนเอง โดยในขณะนี้มีจำนวนบริษัทมากขึ้นที่ตระหนัก เข้าใจถึงความสำคัญ ของระบบสิทธิบัตร โดยที่สิทธิบัตรเป็นรูปแบบหนึ่งของทรัพย์สินทางปัญญาที่สำคัญและยังเป็นตัวชี้วัดถึงระดับนวัตกรรมขององค์กรอีกด้วย

เศรษฐกิจของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ ถือว่าความรู้เป็นเสาหลักที่สำคัญสำหรับการเติบโต  เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท DuPont Zytel  Plus Nylon  ได้คิดค้นนวัตกรรมที่สำคัญยิ่ง คือวัสดุที่ทนทาน แข็งแรง ถูกนำไปใช้ในบริษัท General Motors, GM เป็นที่คลุมเครื่องยนต์ของรถยนต์ Car-engine hood cover) ซึ่งได้รับรางวัล SPE most innovative use of plastic awards 2010  บริษัท Yokohama ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลก  ได้ผลิตยางรถยนต์สีเขียว ( Green performance tyres)  ที่ส่วนประกอบเป็นสารปลอดปิโตรเลียม ร้อยละ 80

ผลกระทบทางตรงของนวัตกรรมต่อบริษัทและเศรษฐกิจ  (Innovation directly impacts the company and economy)

นวัตกรรมช่วยสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงขึ้นและมีผลโดยตรงต่อบริษัทและประเทศ ในทศวรรตที่ผ่านมาประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก นวัตกรรมเป็นเรื่องที่มีบทบาทเพิ่มขึ้น ถูกนำไปเป็นแรงดึงดูดอย่างมากในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เดิมได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตสิ่งของราคาถูกของโลก  มาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี 1990s เป็นต้นมา ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนการเคลื่อนที่ เป็นรูปร่างตัวยู  เน้นในเรื่องนวัตกรรม และเพิ่มคุณค่าด้วยการผลิตสิ่งของส่งออกแบบไฮเทคมากยิ่งขึ้น พบว่ามีการโคลงเคลงถึงร้อยละ 300 ในช่วงปี 1995 – 2005

ส่วนประเทศสิงคโปร์ก็ให้ความสำคัญและเชื่อมั่นในการส่งออกสินค้าไฮเทค คิดเป็นร้อยละสูงสุด และยังเป็นสถานที่ดึงดูดแก่บริษัทเทคโนโลยี เช่นบริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำของโลก  ที่เข้ามาจัดตั้งโรงงานผลิตและมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการวิจัยและพัฒนาที่เกาะแห่งนี้ สำหรับประเทศไทย พบว่ามีการเบี่ยงเบน หันเหจากปกติไม่มากนัก โดยตั้งแต่ปี 1990 คิดเป็นร้อยละ 28  ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ  ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นจากประวัติเดิมในความสามารถของโรงงานผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์  ที่ได้ช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมมากขึ้น ในการขับเคลื่อนและสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น  หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือน มีนาคม 2011 ยิ่งก่อให้เกิดการสร้างโอกาสให้แก่ ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ที่อาจเกิดการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม  และงานด้านวิจัยและพัฒนายิ่งขึ้น  ซึ่งเป็นไปตามการคาดหมายของ BOI ประเทศไทย (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีท้องถิ่นของประเทศไทยมีความเกี่ยวข้องกันเป็นกลุ่มก้อน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด บริษัทเอสซีจี  จำกัด เริ่มมีการเฝ้ามอง เพ่งพินิจเรื่องนวัตกรรมใหม่อย่างเข้มข้น  และได้ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น เช่น มีการยื่นขอจดสิทธิบัตร ดำเนินการหาโอกาสในการเป็นพันธมิตรกับนานาชาติ  เพื่อที่จะรักษาไว้ในความยั่งยืนของธุรกิจ ไว้ จากแนวคิดเดิมธุรกิจเทคโนโลยีไม่สามารถยั่งยืนอยู่ได้ด้วยการลดราคาและจัดการประสิทธิภาพในต้นทุนได้อีกต่อไป

รูปภาพที่ 1 แสดงสินค้าเทคโนโลยีส่งออก เป็นร้อยละของประเทศต่างๆ
alt
Source : Thomson Reuters : Investing in Intelligence to stay successful through Innovation

นวัตกรรมคือกุญแจสำคัญในการทำให้เกิดความแตกต่างของเทคโนโลยี (Innovation is key to Technology Differentiation)

นวัตกรรมคือทักษะ ความสามารถในการนำสิ่งประดิษฐ์ออกสู่ตลาดได้สำเร็จ ในยุคนี้บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยี ต่อสู้กันด้วยการลงทุนด้านวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม

รูปภาพที่ 2 แสดงขั้นตอนห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
alt

Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation.

ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางดังแผนภาพที่แสดง  แสดงถึงขั้นตอนห่วงโซ่ทั้งหมดตั้งแต่ปิโตรเลียมดิบ ถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค  ที่ได้แก่ สี พลาสติก ยาง ผงซักฟอก สีย้อม ปุ๋ย สิ่งทอ และตัวทำละลายต่างๆ พบว่ามีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการเติบโตแบบอัตราเพิ่มแบบยกกำลัง เมื่อมองดูคุณค่าของทั้งห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พบว่ามีการเติบโตรวดเร็ว มากกว่า จีดีพี  ของประเทศส่วนใหญ่  นี้เป็นเพราะผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ได้เข้าแทนที่ สับเปลี่ยน ในวัสดุที่ใช้ในชีวิตประจำวันปัจจุบันอย่างกว้างขวาง และเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง

สำหรับสาร Polyester เป็นเทคโนโลยีที่ยกเว้นในการถูกแทนที่  นำไปใช้ประโยชน์แทน ผ้าฝ้าย และ ขนสัตว์ ในขณะที่พลาสติกถูกนำไปใช้แทนที่  แก้ว โลหะ กระดาษสำหรับห่อ และวัสดุประกอบรถยนต์ พลาสติกและ สาร Polyester เป็นวัสดุหลักสำคัญที่สามารถทำการนวัตกรรมเห็นผลได้ชัดเจน เป็นการปรับปรุงเทคนิคของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง

วิธีการสืบค้นหาเทคโนโลยีจากเอกสารสิทธิบัตรอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Technology Searching through Patents)

ในรายงานฉบับนี้ มีการวิเคราะห์สิทธิบัตรในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ด้วยวัตถุประสงค์แสดงจุดสำคัญในทิศทางแนวโน้มของอุตสาหกรรม และเพื่อเข้าใจถึงสถานภาพการแข่งขัน นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูล ในเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ ที่ทำให้ทราบถึงสาขาวิชาหลักในการวิจัยพัฒนาของโลก ภูมิทัศน์ของสิทธิบัตร คือ รูปภาพแสดงที่เป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลสิทธิบัตรที่ได้จากการสืบค้นและประมวลผลด้วยเทคนิค text mining  จากฐานข้อมูล Thomson Innovation, TI
ถือเป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยม ดีเลิศในขณะนี้ ได้เปิดให้บริการแก่ภาคธุรกิจ เพื่อให้ได้ข้อมูลช่วยในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในชุดฐานข้อมูล Thomson Innovation ยังให้บริการฐานข้อมูลสิทธิบัตรที่สำคัญยิ่งอีกชื่อหนึ่ง คือ Derwent World Patent Index, DWPI  เป็นชุดฐานข้อมูลที่มีบริการมายาวนานกว่า 50 ปี ที่เป็นที่ยอมรับแก่ชุมชนวิจัยสิทธิบัตรทั่วโลก
ด้วยคุณลักษณะพิเศษของ DWPI ที่มีการเขียนขึ้นใหม่ (rewritten) ในส่วนของชื่อเรื่อง บทคัดย่อ ของเอกสารสิทธิบัตรในแต่ละฉบับ ที่สามารถช่วยให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นด้วยการใช้หลักการเขียนใหม่ ด้วย ชัดเจน สม่ำเสมอ
ใช้คำศัพท์เฉพาะทางอุตสาหกรรม ( clear, consistent, industry-specific term)

DWPI แหล่งข้อมูลสิทธิบัตรที่สำคัญ ช่วยให้เกิดความฉลาดในเรื่องเทคโนโลยี (Derwent Worldwide Patents Index The Essential Patent Source for Technology Intelligence) จากแผนผังที่ 3 แสดงจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรในหัวเรื่องของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มของแข็ง และกลุ่มสารละลายและส่วนประกอบของเหลว

แผนผังที่ 3  แสดงครอบครัวสิทธิบัตรในสารขั้นกลางหลายๆ ชนิด
alt

Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation.

ความสำคัญของเนื้อหาสิทธิบัตรในฐานข้อมูล DWPI  ดังแสดงในแผนผังที่ 3 นั้น แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากเอกสารสิทธิบัตรต้นฉบับ กราฟแท่งสีฟ้าแสดงจำนวนครอบครัวสิทธิบัตร (Patent family)  ที่สืบค้นได้จากที่ฐาน DWPI แห่งเดียว ไม่สามารถหาได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ได้เลย ตัวอย่าง สืบค้นด้วยคำศัพท์ plastic OR resin OR polymer ผลการสืบค้นพบเอกสารสิทธิบัตรเป็นหลักพันเรื่อง โดยตัวอย่างในแผนผังที่ 4 เป็นเอกสารสิทธิบัตรการยื่นขอของประเทศสหรัฐอเมริกา เลขที่ US20080103278A1  โดยฐานข้อมูล DWPI ได้เขียนขึ้นใหม่ ในส่วนที่เป็นชื่อเรื่อง (title) พบว่ามีคำใหม่เกิดขึ้นมาคือ polystyrene ที่ในเอกสารต้นฉบับไม่มี สะท้อนให้เห็นว่ามีการซ่อน ปิดบัง ไว้ (hidden) ซึ่งหากไม่มีฐานข้อมูล DWPI จะไม่พบเอกสารฉบับนี้  ซึ่งในเรื่อง polystyrene จะไม่พบถึง 7 ใน 10 เรื่องทีเดียว ที่คิดเป็นร้อยละ 70

รูปภาพที่ 4
alt

Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation.

รวมทั้งยังแสดงให้เห็นความชัดเจนด้วยการพรรณาให้เป็นภาพในแผนผังที่ 3 ที่คำว่า Styrene / Polystyrene เป็นชุดคำศัพท์ที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของนวัตกรรมใหม่นี้ และยังแสดงว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรที่เป็นผลิตภัณฑ์ของแข็ง (Solid products) โดดเด่นกว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารละลายของเหลว (liquid solvent)

แผนผังที่ 5   แสดงการยื่นขอจดสิทธิบัตรแบบ Compound annual Growth Rate (CAGR)  ของสารต่างๆ ที่ได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง
alt

Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation

ในแผนผังที่ 5 ความสำคัญของนวัตกรรมจากสาร Styrene / Polystyrene  ยังสามารถยืนยันได้ในแผนผังที่ 4 ที่แสดงให้เห็นว่า เป็นสารที่มีอัตราการเติบโตต่อปีสูงที่สุด Compound annual Growth Rate (CAGR)  ที่ร้อยละ 3.5  ของสิทธิบัตรที่มีการขอยื่นจดในระหว่างปี 2005 ถึง 2009 โดยในเส้นข้างๆ ของข้อมูล CAGR ยังแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของสาร Acetone  และ Ethyl acetate  รวมถึงสารละลายและสารประกอบอีกหลายๆ ชนิดด้วย

การเอาชนะในความท้าทายในการวิเคราะห์สิทธิบัตรเรื่อง Styrene / Polystyrene  ในจำนวนหลักหมื่น
(Overcoming the challenge of having to analyze more than 16,000 Styrene / Polystyrene Patents)

การวิเคราะห์สิทธิบัตรด้วยแผนที่ ที่ชื่อว่า Themescape Map ของฐานข้อมูล Thomson Innovation เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถแสดงออกมาเป็นภาพแบบแผนที่ แบบระยะห่างของพื้นที่ภูมิประเทศ (Topographic space) ที่สามารถแสดงภาพสิ่งที่เกี่ยวข้องออกมาเป็นภาพได้ ที่ช่วยให้เห็นเรื่องสำคัญในการเปิดเผยออกมาในเรื่องเทคโนโลยีรองได้ ที่บริษัทอุตสาหกรรมผู้เล่นเกมส์ในเรื่องนี้สามารถใช้เป็นความสามารถในการแข่งขันได้ (Competitive Intelligence) ในขณะที่พื้นที่สีขาวช่วยให้เห็นแนวโน้มทิศทาง ที่จะช่วยให้เรามุ่งเป้าในการตัดสินใจได้

หากเราทำการวิเคราะห์แบบวิธีปกติอาจใช้เวลาอย่างน้อย 8 วัน ในขณะที่แผนที่ Themescape สามารถสั่งให้ทำได้ในเวลาเพียง 8 วินาที  รวมถึงสามารถจัดหมวดหมู่เทคโนโลยีหลัก เทคโนโลยีรอง ของสิทธิบัตรเรื่อง Styrene / Polystyrene  แสดงได้ในรูปภาพที่ 5

รูปภาพที่ 6 แสดงแผนที่ Themescape Map ที่แสดงถึงกิจกรรมสิทธิบัตรด้วยภาพ เปรียบเทียบระหว่างบริษัทอุตสาหกรรมคู่แข่ง ที่สามารถช่วยพัฒนากลยุทธ์ด้านธุรกิจได้
alt

Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation.

จากรูปภาพที่ 6  ในแต่ละจุด แสดงถึงเอกสารสิทธิบัตร 1 ฉบับ ความสำคัญอยู่ที่ตำเหน่งของแต่ละจุด ที่แสดงความสัมพันธ์กัน  เช่นหากมีจุดจำนวนมากอยู่ในตำเหน่งใกล้กัน แสดงนัยได้ว่ามีความคล้ายคลึงของเทคโนโลยี (Technologically Similar) สูง  แผนที่ Themescape แสดงภาพออกมาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่วนในประเด็นเรื่องเทคโนโลยีรองที่เกิดใหม่ล่าสุด ในการขอยื่นจดสิทธิบัตรเรื่อง Styrene / Polystyrene  ได้แก่ หมวดพันธุศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และวัสดุนาโน เป็นต้น

จากแผนที่ เห็นได้ว่า บริษัท BASF ถือครองแฟ้มข้อมูลสิทธิบัตรจำนวนมากในเรื่อง Thermoplastics (ดังในพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า) ในขณะที่เป็นคำขอยื่นสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับ LCD  (ดังในพื้นที่รูปสามเหลี่ยม) ด้วย

Themescape Map กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญของภาคธุรกิจ ที่สามารถช่วยให้ค้นพบแนวโน้มของสิทธิบัตร  ช่วยในการวางกลยุทธ์เทคโนโลยี ผู้ใช้บริการจากประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า การแสดงข้อมูลที่เป็นข้อความออกมาให้เป็นรูปภาพเชิงกราฟ ช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าใจได้ง่ายขึ้นช่วยวิเคราะห์สรุปถึงสิทธิบัตรที่มีหลักพันฉบับ ขณะนี้สิทธิบัตรของประเทศออสเตรเลีย 17 ล้านเรื่อง ก็มีการจัดทำแผนที่ลักษณะนี้เช่นกัน

หนทางข้างหน้า (The way forward)

ความรู้เรื่องนวัตกรรม สามารถหาได้จากสารสนเทศสิทธิบัตร  ซึ่งระบบสืทธิบัตรเป็นเรื่องสำคัญในการขอความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง  ที่ช่วยให้เข้าใจในความก้าวหน้าและทันสมัยของเทคโนโลยี แต่ด้วยจำนวนสิทธิบัตรที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา มนุษย์ไม่สามารถอ่านชุดสิทธิบัตรขนาดใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ฐานข้อมูล DWPI มีการใช้งานในจำนวนมากๆ จากสำนักงานสิทธิบัตรประเทศต่างๆทั่วโลก รวมถึงบริษัทและองค์กรวิจัยชั้นนำของโลก ได้ประโยชน์ในเรื่อง Technology Intelligence องค์กรใดที่จะประสบความสำเร็จในการใช้ฐานข้อมูลสิทธิบัตร DWPI  จากรายชื่อบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก  500 อันดับแรก จาก Fortune รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกต่างใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล DWPI เทคนิคที่ทำให้มองเห็นเป็นภาพ เช่นแผนที่ Themescape เป็นเครื่องมือจำเป็นที่ช่วยตีความ ให้ความหมาย (Interpret) ชุดเอกสารสิทธิบัตรจำนวนมากได้ ช่วยให้เห็นแนวโน้มของอุตสาหกรรมได้ และยังช่วยในการตัดสินใจ ในการลงทุนวิจัย พัฒนา ด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ มีสิทธิบัตรครอบครัวมากกว่า 1.5 แสนเรื่อง (1ชุดครอบครัวมีหลายฉบับที่ยื่นจดในหลายๆ ประเทศ)  ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง สารจำพวก Polystyrene / Styrene / Polyester / Polyurethane และ  Synthetic Rubber เป็นสิทธิบัตรที่มีการยื่นขอจดในอันดับต้นๆ  รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นในทศวรรษหน้า และจะมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่องด้วย

อ้างอิง

Allen Yeo , June 2011.  Thomson Reuters Report – Investing in Intelligence to stay successful through Innovation – The role of  Patents in The Petro-Chemical Intermediates Industry. Available at http://science.thomsonreuters.sg/

กิจกรรมสิทธิบัตรของจีน

Thomson Reuters World IP today ได้จัดทำรายงานเรื่อง Patented in China: The present and future state of innovation in china เมื่อเดือนตุลาคม 2010 เป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงขอถ่ายทอดและสรุปสาระสำคัญคือ เศรษฐกิจของประเทศจีนได้เคลื่อนย้ายจุดสำคัญจากภาคการเกษตรแบบดั้งเดิม และอุตสาหกรรมการผลิตไปในทิศทางที่ไปสู่กิจกรรมนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น

บทนำ

เมื่อปี 2008 กรุงปักกิ่ง ได้จัดกีฬาระดับโลกโอลิมปิกเกมส์ได้อย่างยอดเยี่ยมที่ผ่านมาประเทศจีนมีการเจริญเติบโตที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมาก ทั่วโลกต่างจับตามองอย่างอยากรู้อยากเห็น

การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน เริ่มในปี 1987 ต่อมาได้เห็นผลปรากฎออกมาจากประเทศที่ยากจนกำลังพัฒนากลายมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา ทั้งในแง่ความเท่าเทียมกันในกำลังซื้อและในแง่ GDP และเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กระตุ้นส่งเสริมให้ประเทศนำระบบนวัตกรรมมาใช้ด้วยหลายๆ มาตรการ เช่น

  • การเพิ่มงบประมาณการวิจัยพัฒนาของประเทศ (increased overall R&D budget)
  • ใช้ระบบหักลดภาษี (introduced tax breaks)
  • ระบบแรงจูงใจทางการเงินเพื่อเพิ่มนวัตกรรมท้องถิ่น (Monetary incentives to increase indigenous innovation)
  • ลงทุนสถาบันวิชาการของประเทศ (Investing in the nation’s academic institutions)

ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนเบื้องหลังกิจกรรมสิทธิบัตรของจีน ขณะนี้ระบบกฎหมายสิทธิบัตรของจีนมีอายุได้ 25 ปี หลังจากเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อปี 1985 ขณะนี้ สำนักงานสิทธิตรจีนได้กลายเป็น สำนักงานใหญ่อันดับที่ 3 ของโลกที่มีการรับการยื่นขอจดสิทธิบัตรรองจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

ในช่วงปี 2003 ถึง 2007 จีนมีค่า GDP เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.75/ปี ในขณะที่จำนวนการยื่นขอจดสิทธิบัตรเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 28.4 ต่อปี หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จีนจะกลายเป็นผู้นำในกิจกรรมสิทธิบัตรของโลกในอนาคตอันใกล้นี้     รายงานนี้เป็นการนำเสนอแนวโน้มกิจกรรมสิทธิบัตรของจีน และจินตนาการถึงว่าสารสนเทศสิทธิบัตรของโลกจะมีภาพเป็นอย่างๆรในช่วง 5 ปีต่อไปนี้

สมรรถภาพในอดีต

สำนักงานสิทธิบัตร 5 แห่งที่สำคัญของโลกได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป เกาหลีใต้ และ จีน คิดรวมแล้วมีการยื่นจำนวนสิทธิบัตรราวร้อยละ 75 ของโลก และมีการอนุมัติสิทธิบัตรราวร้อยละ 74 ของทั่วโลก

การวิเคราะห์จำนวนสิทธิบัตรช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาจาก 5 สำนักงานข้างต้นนั้นพบว่าจีนมีการเติบโตในอัตราที่เร็วมากที่สุด

หน่วยนับที่ใช้วัด (attributes) ในการศึกษาครั้งนี้ของ Thomson Reuters ได้แก่

  • ค่า Total volume of patents

หมายถึงจำนวนรวมของสิทธิบัตรที่มีการยื่นที่ประเทศตนเองก่อน และต่อมามีการยื่นในประเทศอื่นๆ อีกเพื่อป้องกันการผลิต ที่เรียกว่า equivalent

  • ค่า Basic patent volume

หมายถึงจำนวนสิทธิบัตรที่ประดิษฐ์คิดค้นด้วยพลเมืองของประเทศนั้น และมีการยื่นจดครั้งแรกในประเทศ

  • Ratio of basic of total volume

สัดส่วนระหว่างจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นในประเทศครั้งแรกกับจำนวนที่ไปยื่นในประเทศอื่นๆ ต่อ
ในการศึกษานี้ใช้ข้อมูลดิบจำนวนสิทธิบัตร เปรียบเทียบ 5ประเทศหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และ จีน จากฐานข้อมูล Thomson Reuters : Derwent World Patent Index

Total Patent Volume 2003-2009

JP มีจำนวนสูงสุด 4.6 ล้านเรื่อง ร้อยละ 35
US มีจำนวน 3.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 27
CN มีจำนวน 1.8 ล้านเรื่อง ร้อยละ 14
EP มีจำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12
KR มีจำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12

Basic Patent Volume 2003-2009

JP มีจำนวนสูงสุด 4.6 ล้านเรื่อง ร้อยละ 35
US มี จำนวน 3.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 27
CN มีจำนวน 1.8 ล้านเรื่อง ร้อยละ 14
EP มีจำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12
KR มี จำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12

Basic/Total Patent Volume Ratios

Ratio of Basic/Total 2003 2004 2005 2006 2007 2008 2009 Average

JP

59.4% 58.2% 55.9% 54.2% 49.6% 46.4% 43.6% 52.5%

US

47.8% 43.0% 48.6% 46.1% 47.0% 45.8% 41.9% 45.8%

EP

19.2% 20.3% 20.2% 18.1% 18.0% 14.5% 15.7% 18.0%

KR

46.5% 45.6% 44.1% 41.2% 42.7% 47.0% 54.4% 45.9%

CN

32.7% 30.2% 36.3% 37.7% 40.6% 44.2% 43.3% 37.9%

นโยบายของรัฐบาลและบทบาทในเรื่องนวัตกรรม

  • งบประมาณวิจัยและพัฒนา (R&D Budget)

รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนวางแผนที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์และพัฒนาให้เพิ่มอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายให้เป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP ในปี 2020 โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 1996 ลงทุนเพียงร้อยละ 0.6 ของ GDP และในปี 2006 ลงทุนร้อยละ 1.4 ของ GDP

ในเวลาเดียวกันจีนมีแผนนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่มีเป้าหมายให้มีการเติบโตของ GDP ในอัตราที่
มากกว่าร้อยละ 7.5 ในทุกๆ ปี จนถึงปี 2010 และเป็นร้อยละ 7.0 จนถึงปี 2020 นี้เป็นผลให้เกิดความสัมพันธ์ในทางบวกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ระหว่างจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรกับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา

การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการส่งเสริมค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นอิสระจะเป็นเชื้อเพลิงที่กระตุ้นระบบนวัตกรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง

  • ระบบการเงินและภาษี (Tax and Financing)

รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการขอหักลบภาษี (tax deduction) สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนารวมถึงมีการให้เพิ่มการขอกู้เงินจากรัฐบาล (lending) และ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (discounted interest rates) ซึ่งแน่นอนทั้ง 3 มาตรการนี้มีส่วนผลักดันให้จีนมีสถิติในสิทธิบัตรอย่างน่าทึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วและจะเพิ่มมากขึ้นต่อไปอีกในปีต่อๆ ไป

  • นวัตกรรมของท้องถิ่นและมาตรฐานเทคโนโลยี (Indigenous innovation and Technology Standard)

นายกรัฐมนตรีจีน นาย Weu Jiabao ได้กล่าวว่า “เทคโนโนโลยีหลักไม่สามารถซื้อขายกันได้ มีวิธีเดียวคือต้องมีความสามารถอย่างเข้มแข็งในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้วยการได้มาในสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง ซึ่งเราสามารถส่งเสริมความสามารถการแข่งขันและได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมนานาชาติได้”

นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน กระตุ้นส่งเสริมนวัตกรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น (indigenous innovation) เพื่อปรับปรุงความสามารถในการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศเอง และเพื่อลดความเชื่อถือในเทคโนโลยีต่างประเทศที่มีมากมายในปัจจุบัน  การคิดสร้างสรรค์เทคโนโลยีนวัตกรรมภายในประเทศเองช่วยให้เกิดการจ่ายค่าสิทธิแก่ผู้ประดิษฐ์ภายในประเทศโดยตรง

ขณะนี้รัฐบาลได้เริ่มมีการเข้าจัดการในอุตสาหกรรมต่างๆ คือ โทรคมนาคม อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึง โทรศัพท์เซลลูล่าห์ โทรศัพท์ดิจิทัล ชิปคอมพิวเตอร์ วิดีโอดิสก์ กล้องถ่ายรูปดิจิทัลและเครือข่ายในยุคใหม่

บทบาทของรัฐบาลในภาคส่วนวิชาการและวิสาหกิจ (Government role in Academia and Enterprise)

เกือบทั้งหมดของภาคส่วนวิชาการที่สำคัญของประเทศอันได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ ขึ้นโดยตรงกับรัฐบาล จากการศึกษาของ Thomson พบว่า ภาคส่วนวิชาการของจีนเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่มีสัดส่วนจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรสูงมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 16 ในขณะที่เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ คือ ญี่ปุ่น มีเพียงร้อยละ 1 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 4 เกาหลีใต้ ร้อยละ 2 ส่วนประเทศที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนในประเด็นนี้คือ ประเทศรัสเซีย โดยทั้ง 2 ประเทศปกครองแบบมีศูนย์รวมอำนาจตรงกลาง ซึ่งในการคัดเลือกโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการให้ทุน เป็นอำนาจและการควบคุมจากรัฐบาลกลางโดยตรง

นอกจากนี้รัฐบาลยังมีบทบาทสำคัญและชี้นำรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในปี 2007 รัฐบาลลงทุนให้แก่วิสาหกิจส่วนกลางที่เป็นของรัฐจำนวน 150 แห่ง เป็นจำนวนเกือบ 100 พันล้านหยวน (14.27 พันล้าน USD) คิดเป็นร้อยละ 27 ของงบประมาณการวิจัยและพัฒนาของประเทศร้อยละ 27

แรงจูงใจทางการเงิน (Menetary Incentive)

รัฐบาลให้เงินอุดหนุนแก่นักประดิษฐ์นิติบุคคลภายในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน หน่วยงานของรัฐในส่วนจังหวัดหรือเมืองใหญ่ๆ ส่วนใหญ่กระตือรือร้นที่จะบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลส่วนกลางที่มักจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้บ่อยๆ และคืนเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ กลับให้เพื่อการกระตุ้นการยื่นสิทธิบัตรในขณะที่รัฐบาลส่วนท้องถิ่นอาจจะอนุมัติทุนอุดหนุนให้อีกร้อยละ 50 ถือว่าเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ

มองไปข้างหน้า (Looking forward)

Thomson ทำนายเรื่องภูมิทัศน์สิทธิบัตรของจีนด้วยการใช้ข้อมูลค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของจีนแบบรายปีของปี 2003-2009 และฉายภาพแบบเส้นตรงเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ โดยจีนได้กำหนดให้ล้ำหน้ากับสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นในปี 2011

Average Annual Patent Growth Rates

Region Average total
Volume Annual Growth Rate (2003-2009)
Average basic
Volume Annual Growth Rate (2003-2009)
JP 1.0% -3.7%
US 5.5% 4.0%
EP 4.0% -2.1%
KR 4.8% 7.5%
CN 26.1% 31.6%

แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังของการเพิ่มขึ้นของสิทธิบัตรของจีน

การยื่นขอสิทธิบัตรในประเทศ และ ต่างประเทศ

สำนักงานสิทธิบัตรของจีน (State Intellectual Property Office, SIPO) ได้รายงานว่าจีนมีสิทธิบัตรทั้ง 2 ประเภท ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยที่สิทธิบัตรในประเทศมีอัตราเพิ่มมากกว่า โดยที่มีค่าแตกต่างระหว่าง 2 ประเภท กว้างมากขึ้นทุกปีและในปี 2003 เริ่มมีความแตกต่างกัน

ในปี 2006 สาธารณรัฐประชาชนจีน กำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งเป็นแผนที่ 11 รัฐบาลจีนเน้นความสนใจในเรื่องของนวัตกรรมร่วมกับความปรองดองของสังคม สิ่งแวดล้อม ความสมดุลของเศรษฐกิจระดับมหภาค การควบคุมการตลาด

ส่วนแผนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เชื่อมต่อกับเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่จะให้จีนเป็นสังคมที่มีตำแหน่งด้านนวัตกรรม (innovation – oriented society) ในปี 2020 จีนได้ขยายจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรในต่างประเทศแสดงข้อมูลในตาราง

Patent
Oversea Invention Application by China 2008
Increase from 2007 by China
Increase from 2007 by all Application
WIPO 6,126 12.1% 2.1%
US 4,455 14.1% 5.1%
EP 1,503 33.5% 17.7%
JP 772 15.9% 2.3%

ในปี 2008 จีนทำการขอยื่นจดสิทธิบัตรที่สำนักงาน WIPO เป็นจำนวนสุงสุด WIPO บริหารจัดการด้วยระบบ PCT ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถขอยื่นจดในประเทศที่เป็นสมาชิกได้พร้อมๆ กันในหลายๆ ประเทศ โดยบริษัทของจีนที่ชื่อ Huawel Technologies เป็นบริษัทที่ทำการยื่นจดที่ WIPO เป็นจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ยังถือว่าเป็นจำนวนน้อย คือ อเมริกาทำการยื่นต่อ WIPO ในปี 2008 มากถึง 51,673 คำขอ ส่วนจีนมีจำนวนเพียง 6,126 คำขอ

จีนเคลื่อนย้ายเทคโนโลยีที่สำคัญ

อัตราการเพิ่มขึ้นในจำนวนสิทธิบัตรของจีนดูเหมือนไปในทิศทางขนานกับประเทศสำคัญอื่นๆ ในแง่ประเภทเทคโนโลยี จากข้อมูลสถิติของสำนักงาน WIPO ในปี 2007 พบว่าจีนประดิษฐ์เทคโนโลยีหลักอันได้แก่

  จัดอันดับของโลก
Information technology ที่ 5
Audio-visual technology ที่ 4
Electrical devices, Electrical ที่ 4
Consumer goods & equipment ที่ 5
Analysis, Measurement Control ที่ 5
Agriculture & food ที่ 7
Telecom ที่ 5
Chemical engineering ที่ 2

เทคโนโลยี 5 อันดับแรกของจีน

Year
Top 5 Fields
Patent Applications
1998
Natural Products & Polymers

Digital computers

Telephone & data Transmission system

Broadcasting, Radio & Line Transmission system

Audio/Video Recording & System

2,864

2,161

2,067

1,986

1,592

2008
Digital Compute

Telephone & Data transmission system

Broadcasting, Radio & Line Transmission system

Natural Products & Polymers

Electro-(in) organic Materials

44,588

29,510

19,750

17,250

17,107

สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทางเลือกของจีน (Alternative IP rights in China)

อัตราการขอยื่นจดสิทธิบัตรในจีนมีมากขึ้นเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 24 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา เมื่อปี 2009 มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรที่ SIPO มากกว่า 3.1 แสนเรื่อง นั้นยังเป็นเรื่องราวที่ยังไม่จบสมบูรณ์ลง

นยังมีระบบการป้องกันทางเลือก (Alternative Protection) ที่เปิดให้บริการแก่นักประดิษฐ์โดยผ่านช่องทางชื่อ Chinese Utility model patents นี้เป็นการจัดบริการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างยิ่งสำหรับนักประดิษฐ์ท้องถิ่นมีการขอยื่นจดมากเป็นหลัก 3 แสนเรื่อง คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 18 ต่อปี เฉพาะปี 2009 มีอัตราการเพิ่มถึงร้อยละ 37

ระบบสิทธิบัตรในจีนมี 3 ประเภท คือ

Invention patents / Utility model patents / Design patents โดยแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้

  • Invention patents เป็นระบบปกป้องคุ้มครองให้แก่สิ่งประดิษฐ์ที่ยื่นขอที่เป็นลักษณะการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคใหม่ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ / ขบวนการ หรือการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น รัฐให้สิทธิคุ้มครอง 20 ปี ตั้งแต่วันที่ยื่นขอและมีการตรวจสอบความใหม่อย่างเป็นสาระสำคัญ
  • Utility model patents (หรือเป็นระบบ petty patent ของประเทศอื่น) เป็นระบบการให้สิทธิคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ที่มีความใหม่ในเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับรูปร่าง และหรือโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถปฏิบัติตามได้ รัฐให้ความคุ้มครองเป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่ยื่นขอและไม่มีการตรวจสอบความใหม่
  • Design patents เป็นระบบให้ความคุ้มครองการออกแบบในรูปร่าง รูปแบบ การรวมกัน (เช่น ส่วนผสม สี กับ รูปร่าง รูปแบบ) ผลิตภัณฑ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นศิลปะที่สุนทรียศาสตร์ และเหมาะที่จะประยุกต์กับอุตสาหกรรม รัฐให้ความคุ้มครอง 10 ปี

ปริมาณและคุณภาพของสิทธิบัตรจีน (Patent quality VS. quality)

บทความหนึ่งในวารสารชื่อดัง Financial Times กล่าวว่าจำนวนตัวเลขการขอยื่นจดสิทธิบัตรของจีนสะท้อนถึงการณรงค์อย่างมากของรัฐบาล (Concerted government campaign) ที่ชักชวนบริษัทของจีนให้ใช้ระบบปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาด้วยกฎหมาย รวมถึงรัฐบาลได้ช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการยื่นขอนี้เป็นปัจจัยสำคัญ เป็นการขยายตัวแบบปลอมๆ จึงทำให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพย์สินทางปัญญา Chen Naiwei แห่งมหาวิทยาลัย Shanghai Jiaotong ให้ความเห็นว่ามีเหตุผลมาจากหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นได้จัดบริการให้ค่าธรรมเนียมในการยื่นจดแก่วิสาหกิจและสถาบันวิทยาศาสตร์ สิทธิบัตรจีนที่ยื่นขอจดส่วนใหญ่เป็นเรื่องการออกแบบใหม่ (new design appearance or new model) ที่ไม่ได้ใช้ความรู้ทางเทคนิคขั้นสูง Utility model patent เป็นที่ยอดนิยมมากเพราะการจัดเตรียมเอกสารยื่นของ่ายและสะดวกรวดเร็วมากกว่า ดังนั้นสิทธิบัตรประเภทนี้จึงมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน

ที่สำนักงานสิทธิบัตรจีน SIPO มีผู้ตรวจสอบมากกว่า 2,000 คน ที่ผ่านการฝึกอบรมมาจากสำนักงาน EPO โดยจัดฝึกอบรมปีละ 60 คน เมื่อกลางปี 1990s SIPO ได้นำระบบ EPOQUE มาใช้ซึ่งคือฐานข้อมูลสากลที่ช่วยในการยื่นขอแบบอัตโนมัติทางออนไลน์

คุณภาพของสิทธิบัตรการประดิษฐ์สามารถประเมินด้วยค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงจากเอกสารสิทธิบัตรประเภทยื่นขอที่กลายเป็นเอกสารสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติ ด้วยวิธีการวัดนับจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นขอในแต่ละปี (filing year) และนับจำนวนอย่างมีสาระสำคัญ กลายเป็นสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติ (grants) ตัวอย่างในปี 2000 จีนมีการ filing 56,392 เรื่องกลายเป็น application 22,756 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วนเปลี่ยนแปลง = ร้อยละ 40.4

เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อัตราการปรับเปลี่ยนจากการยื่นขอเป็นอนุมัติช้ากว่าอัตราในยุโรป สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม SIPO รายงานว่าคุณภาพของสิทธิบัตรจีนมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างช้าๆ

บทสรุป

สาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นดินแดนที่มีระดับสุดยอด เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2010 จีนได้ล้ำหน้าญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการกลายเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา ด้วยค่า GDP ที่ 1.33 แสนล้านเหรียญอเมริกา และยังแซงหน้าผ่านประเทศเยอรมนี เมื่อปี 2009 กลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก จีนยังเป็นประเทศผู้บริโภคพลังงานสูงสุด ประชาชนจีนซื้อรถยนต์ถึง 1.3 พันล้านคน

ข้อมูลที่แสดงมานี้ได้ให้ความชัดเจนอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของจีน ได้เห็นถึงวิวัฒนาการอย่างเป็นระบบของเศรษฐกิจของจีน บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น General Motor, General Electronic (GE), Siemen ได้เข้าไปจัดตั้งฐานการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ที่มีวัฒนธรรมในการสร้างนวัตกรรมอย่างเข้มข้น ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามเป้าหมายแบบมีเอกภาพ
จากฐานข้อมูลการทำนายด้วยหลักทางคณิตศาสตร์นั้น เป็นที่ชัดเจนว่าจีนจะเป็นผู้นำนวัตกรรมของโลกในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน

เอกสารอ้างอิง

Thomson Reuters. “Patentd in China : The present and future state of innovation in china” By Eve.Y. Zhou and  Bob Stembridge – October 2010. Available at http://thomsonreuters.com/news_ideas/white_papers/?itemId=25763

แปลและเรียบเรียงโดย รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
วันที่ 31 มกราคม 2554

สภาพการณ์นวัตกรรมปี 2010

ฐานข้อมูล Derwent World Patents Index (DWPI) นำเสนอผลการวิเคราะห์กิจกรรมสิทธิบัตรที่แสดงถึง 12 เทคโนโลยีหลักที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมสำคัญของโลกในปี 2010 เป็นรายงานแบบรายปีครั้งที่ 2 ของแผนก IP Solutions business ของบริษัท Thomson Reuters เพื่อเป็นการเปรียบเทียบกับรายงานปีก่อน

ข้อมูลกิจกรรมสิทธิบัตรสามารถใช้เป็นเครื่องวัดการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมด้วยการวัดถึงจำนวนสิทธิบัตร ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์สิทธิบัตรของ บริษัท Thomson Reuters ได้ศึกษาจำนวนสิทธิบัตรประเภทการยื่นขอ (patent applications) และสิทธิบัตรประเภทที่ได้รับอนุมัติ (granted patents) ของปี 2010 นับจำนวนสิทธิบัตรเพียงครั้งเดียวไม่นับซ้ำ นับชื่อประเทศจากประเทศแรกที่มีการยื่นครั้งแรกเท่านั้น ผลการนับหรือวัดนี้สามารถให้ภาพที่น่าเชื่อถือที่สุดของกิจกรรมสิทธิบัตรและนวัตกรรมของโลก

รายงานนี้นำเสนอนวัตกรรมในแต่ละสาขาของเทคโนโลยีหลักมีสาขาย่อยที่เป็นชุดเรียงลำดับลงมา โดยนำเสนอจำนวนสิทธิบัตรในหมวดเทคโนโลยีย่อยพร้อมทั้งเจ้าของสิทธิบัตรผู้ถือครองในแต่ละเทคโนโลยีด้วย

ผลการวิเคราะห์พบบทสรุปที่สำคัญ คือ

  • กิจกรรมสิทธิบัตรเรื่องอวกาศ ยานอวกาศ (Aerospace) มีจำนวนเพิ่มสูงมากขึ้นราวร้อยละ 25 จากปี 2009 ถึง 2010 ด้วยการขับเคลื่อนของเทคโนโลยีย่อย คือ ยานพาหนะในอวกาศและเทคโนโลยีดาวเทียม บริษัทผู้ถือสิทธิ์คุ้มครองจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ชาร์ป ตามด้วยบริษัทเกาหลีชื่อ บริษัท LG กับ Samsung
  • กิจกรรมสิทธิบัตรอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (Semiconductor) ลดลงร้อยละ 9 จากปี 2009 ถึง 2010 ในเทคโนโลยีหมวดย่อย 3 หมวดคือ Integrated circuits, discrete devices และ memories, film and hybrid circuits
  • สิทธิบัตรในเรื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงในปี 2010 ยังคงอยู่ในตำแหน่งชั้นแนวหน้าเช่น นวัตกรรมที่มีจำนวนสูงที่สุดในบรรดาสิทธิบัตรสาขาอื่นๆ คือ จำนวน 212,622 การประดิษฐ์ (ที่เป็นหนึ่งเดียว) ถึงแม้ว่ามีอัตราการลดลงร้อยละ 6 ในจำนวนรวมจากปี 2009
  • สิทธิบัตรในเรื่องยานยนต์ขยับขึ้นมาจากอันดับ 4 ในปี 2009 เป็นลำดับที่ 2 ในปี 2010 ล้ำหน้ากว่าอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกล (Telecommunication) กับอุตสาหกรรมอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (Semiconductors) ดังรายละเอียดของผลการวิเคราะห์นวัตกรรมของเทคโนโลยีต่างๆ ของปี 2010 ดังต่อไปนี้

 

ภาพรวมของ 12 เทคโนโลยีหลักในกิจกรรมสิทธิบัตรปี 2010

2010 2010 % of Total 2009 % Change in
Volume (2010 v 2009)
A Computers & Peripherals 212,622 1 28% 226,293 -6%
B Automotive 88,867 2 12% 89,106 0%
C Telecommunications 87,920 3 11% 90,867 -3%
D Semiconductors 86,479 4 11% 95,106 -9%
E Pharmaceuticals 59,350 5 8% 59,638 0%
F Medical Devices 52,117 6 7% 49,035 6%
G Petroleum & Chemical Engineering 42,304 7 5% 38,729 9%
H Domestic Appliances 36,816 8 5% 34,591 6%
I Food Tobacco & Fermentation 36,048 9 5% 35,375 2%
J Aerospace 32,622 10 4% 26,167 25%
K Agrochemicals & Agriculture 22,726 11 3% 20,503 11%
L Cosmetics 6,438 12 1% 6,612 -3%
  • อันดันที่ 1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ปี 2010 (Computer & Peripherals)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
71% Computers 178,509 193,445 -8%
10% Other Peripherals 26,317 29,800 -12%
10% Printers 25,079 25,108 0%
4% Smart media 9,757 11,602 -16%
3% Screens 6,471 6,684 -3%
2% Scanners 6,372 4,947 -29%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Smart Media

Assignee
Country
2010 Colume
1 Samsung KR 274
2 Matsushita JP 156
3 Toshiba JP 139
4 NEC JP 127
5 Brother JP 111
6 Toppan Forms JP 109
7 Sony JP 91
8 Mitsui Chemical JP 85
9 Electronics & Telecom Res.Inst. KR 82
10 Dainippon Printing JP 76
  • อันดันที่ 2 เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับรถยนต์ ปี 2010 (Automotive)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
16% Alternative Powered Vehicles 15,913 13,118 21%
13% Navigation Systems 12,060 12,414 -3%
12% Transmission 11,577 11,520 0%
11% Safety 10,263 10,589 -3%
9% Pollution Control 8,376 8,567 -2%
8% Seats, Seatbelts and Airbags 7,769 7,657 3%
7% Steering Systems 6,327 6,610 -4%
6% Suspension Systems 5,924 5,975 -1%
6% Security Systems 5,752 5,817 -1%
5% Engine Design and Systems 5,336 5,552 -4%
4% Braking Systems 3,908 4,067 -4%
3% Entertainment Systems 3,052 3,230 -6%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Alternative Powered Vehicles

Assignee
Country
2010 Colume
1 Toyota JP 2179
2 Nissan JP 639
3 Honda JP 467
4 NipponDenso JP 340
5 Matsushita JP 287
6 Hyundai KR 284
7 CM US 243
8 Robert osch DE 217
9 Daimler DE 209
10 Aisin JP 166
  • อันดับ 3 เทคโนโลยีการสื่อสารทางไกล ปี 2010 (Telecommunications)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
26% Mobile Telephony 42,836 44,714 -4%
24% Data Transmission Networks 39,367 32,922 20%
21% Telephone Subscriber Equipment 34,834 34,665 0%
8% Multiplex & Multiple Access Information Transmission Systems 14,031 15,191 -8%
8% Digital Information Transmission Systems 12,504 13,886 -10%
5% Telemetry & Telecontrol 7,638 8,037 -5%
4% Telephone Communications Systems & Installations 6,511 8,549 -24%
4% Telephone Exchange Systems 6,251 9,277 -33%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Mobile Telephony

Assignee Country 2010 Volume
1 Samsung KR 1627
2 LG KR 1251
3 NEC JP 1146
4 Seiko Epson JP 1051
5 Matsuahitqa JP 1035
6 Sony JP 930
7 Sharp JP 857
8 Kyocera JP 851
9 Qualcomm Inc US 824
10 ZTE Corp CN 776
  • อันดับที่ 4 เทคโนโลยีอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ปี 2010 (Semiconductors)
Subsectors 2010 2009 % Change
48% Semiconductor Materials and Processes 50,812 49,255 3%
29% Memories, Film and Hybrid Circuits 30,995 35,287 -12%
18% Discrete Devices 18,709 32,068 -42%
5% Integrated Circuits 5,127 9,148 -44%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Semiconductor Materials and Processes

Assignee Country 2010
Volume
1 Samsung KR 1,566
2 Hynix Semiconductor KR 1,435
3 Toshiba JP 1,429
4 Matsuahita JP 977
5 NEC JP 925
6 Cannon JP 822
7 Seiko Epson JP 717
8 Sony JP 673
9 Sharp JP 663
10 IBM US 591
  • อันดันที่ 5 เทคโนโลยที่เกี่ยวกับเภสัชกรรม ปี 2010 (Pharmaceuticals)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
61% Organics 42,845 43,169 -1%
22% General 15,404 15,585 -1%
14% Heterocyclics 10,013 10,213 -2%
2% Inorganics 986 668 48%
1% Steroids 654 741 -12%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Organics

Assignee Country 2010
Volume
1 Seiko Epson JP 385
2 Hoffman La Roche CH 233
3 Univ California US 189
4 Dokuritsu Gyosei Hojin Sangyo Gijutsu JP 183
5 Olympus Optical JP 178
6 Abbott Labs US 165
7 Nikon JP 142
8 Univ Seoul Nat Ind Found KR 139
9 CNRS FR 136
10 Univ Tokyo JP 127
  • อันดันที่ 6 เทคโนโลยีอุปกรณ์ทางการแพทย์ ปี 2010 (Medical Devices)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
35% Diagnosis, Surgery 20,076 19,249 4%
30% Sterilizing, Syringes, Electrotherapy 17,788 16,315 9%
18% Dentistry, Bandages, Prosthesis 10,746 11,044 -3%
17% Medical Aids, Oral Administration 9714 8,788 11%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Diagnosis, Surgery

Assignee Country 2010
Volume
1 Fujifilm JP 529
2 Olympus Optical JP 456
3 Toshiba JP 453
4 Toshiba Medical JP 396
5 Siemens DE 361
6 Konica Minolta JP 269
7 Philips NL 258
8 Tyco Healthcare Group US 243
9 GE Medical Systems Global Tech. US 197
10 Hitachi Medical JP 175
  • อันดันที่ 7 เทคโนโลยีวิศวกรรมปิโตรเลียม และ วิศวกรรมเคมี ปี 2010 (Petroleum & Chemical Engineering)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
70% Chemical Engineering 32,655 28,642 14%
16% Petroleum & Gas Exploration, Drilling, Production and Processing 7,554 7,724 -2%
12% Petroleum & Gas Fuels and Other Products 5,787 6,086 -5%
1% Petroleum & Gas Transportation and Storage 311 334 -7%
1% Petroleum Refining 194 188 3%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Chemical Engineering

Assignee Country 2010
Volume
1 Toyota JP 515
2 China Petro-Chem Corp CN 267
3 Univ Zhejiang CN 240
4 Matsushita JP 198
5 Univ Nanjing CN 163
6 BASF DE 152
7 NGK Insulators JP 133
8 Nippondenso JP 132
9 Dokuritsu Gyosei Hojin Sangyo Gijutsu JP 128
10 Robert Bosch DE 127
  • อันดันที่ 8 เทคโนโลยีอุปกรณ์ใช้ภายในบ้าน ปี 2010 (Domestic Appliances)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
44% Kitchen 17,235 15,851 9%
30% Healting & Air Conditioning 11,680 11,223 4%
9% Laundry 3,543 3,602 -2%
9% Household Cleaning 3,414 3,081 11%
5% Human Hygiene 3,193 3,228 -1%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Kitchen

Assignee Country 2010
Volume
1 LG KR 728
2 Matsushita JP 685
3 Bosch & Siemens DE 418
4 Mitsubishi Electric JP 370
5 Daikin Kogyo JP 217
6 Sanyo JP 173
7 Hitachi JP 140
8 Sharp JP 136
9 Toshiba JP 129
10 Samsung KR 125
  • อันดันที่ 9 เทคโนโลยีอาหาร ยาสูบ การหมัก ปี 2010 (Food, Tobacco & Fermentation)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
82% Fermentation 30,086 27,433 10%
7% Bakery 2,628 2,675 -2%
6% Meat 2,090 4,323 -52%
4% Tobacco 1,512 1,529 -1%
1% Sugar & Starch 338 307 10%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Fermentation

Assignee Country 2010
Volume
1 Dupont US 238
2 Monsanto Technology US 219
3 Univ Zhejiang CN 186
4 Univ California US 179
5 Hoffmann La Roche CH 133
6 Olympus Optical JP 128
7 Novozymes DN 116
8 Univ Seoul Nat. Ind. Foundation KR 111
9 Univ Nanjing CN 111
10 US Dept. Health & Human Services US 109
  • อันดันที่ 10 เทคโนโลยียานอวกาศ ปี 2010
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
29% Space Vehicles and Satellite Technologies 10,429 5,019 10%
27% Production Techniques 9,726 9,070 7%
16% Advanced Materials 5,937 5,836 2%
10% Structures & Systems 3,612 3,414 6%
10% Propuision Plants 3,566 3,359 6%
8% Instrumentation 2,786 2,570 8%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Space Vehicles and Satellite Technologies

Assignee Country 2010
Volume
1 Sharp JP 166
2 LG KR 156
3 Samsung KR 119
4 Mitsubishi Electric KR 101
5 Sanyo JP 89
6 Kyocera JP 85
7 Applied Materials US 83
8 Dupont US 81
9 Toyota JP 73
10 Fujifilm JP 60
  • อันดันที่ 11 เทคโนโลยีการเกษตร และ เคมีเพื่อการเกษตร ปี 2010 (Agrochemicals & Agriculture)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
67% Agriculture 21,843 19,645 11%
20% Agrochemicals 6,577 5,756 14%
13% Biotechnology in Agriculture 4,161 3,880 7%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Agrochemicals

Assignee Country 2010
Volume
1 Bayer Cropscience DE 149
2 BASF DE 143
3 Sumitomo Chemical JP 109
4 Syngenta CH 68
5 Dow Agrosciences US 51
6 Univ. of S. China Agriculture CN 51
7 Dupont US 24
8 Nippon Soda JP 24
9 Univ. Nanjing CN 33
10 Clariant Ch 22
  • อันดันที่ 12 เทคโนโลยีเครื่องสำอาง ปี 2010 (Cosmetics)
Subsectors
2010
Volume
2009
Volume
% Change
43% Make-up 3,833 3645 5%
32% Skin 2,859 2915 -2%
21% Hair 1,879 2159 -13%
2% Perfume 216 185 17%
2% Antiperspirant 174 199 -12%

2010 Top Ten Assignees/Companies

Make-Up

Assignee Country 2010
Volume
1 L’Oreal FR 323
2 KAO JP 147
3 Amorepacific KR 120
4 Shiseido JP 115
5 Kose JP 62
6 Henkel DE 59
7 Pola Chem Ind JP 56
8 BASF DE 53
9 Procter & Gamble Co. US 33
10 Unilever NL/UK 32

อ้างอิงจาก

  1. Press release : Thomson Reuters Releases Report on the State of Global Innovation -12 January 2011  :  http://thomsonreuters.com/content/press_room/legal/379777
  2. Thomson Reuters 2010 State of Innovation Report : Twelve Key Technology Areas Industries & Their States of Innovation : http://ip.thomsonreuters.com/InnovationReport2010/

 

แปลและเรียบเรียงโดย
รังสิมา เพชรเม็ดใหญ่
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
วันที่ 31  มีนาคม  2554