หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. พัฒนา “อีแต๋นรุ่นใหม่ ไฉไลกว่าเดิม”
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ  size :  2.6 MB  (4266 x 3200)   |  958 KB (1969 x 1476)   |   886 KB (1800 x 1350)
NSTDA Infographic
 
ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปี 2549 -2556
  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีพันธกิจหลักในด้านการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีที่มีความสำคัญเพื่อมุ่งให้เกิดผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ และยังมีพันธกิจด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี พัฒนากำลังคน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยการดำเนินงานเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในภาครัฐสถาบันการศึกษา และเอกชน เพื่อสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและความสามารถในพึ่งพาตนเองในภาคการผลิตและบริการ และส่งเสริมให้เกิดการนำวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในการสร้างความเข็มแข็งแก่ภาคอุตสาหกรรม SMEs และชุมชน ดังนั้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผลิตผลงานวิจัยที่ตอบสนองโจทย์ความต้องการของประเทศอย่างแท้จริง สวทช. จึงให้ความสำคัญกับการรับโจทย์วิจัยจากภาคเอกชน ชุมชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเครือข่ายพันธมิตรของอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งมีสำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (Technology licensing Office:TLO) เป็นกลไกผลักดันการถ่ายทอด ผลงานวิจัยออสู่เชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง   (more…)
เอกสารเผยแพร่
 
องค์กรของรัฐต้องทำ KM หรือไม่
องค์กรของรัฐจำเป็นต้องมีกระบวนการจัดการความรู้ หรือทำ KM หรือไม่ ... บอกไม่ยากเลยครับ เริ่มจากการไปหาข้อมูลกฎหมายต่างๆ ก่อนครับว่ามีระบุเรื่องนี้ไว้หรือครับ ในที่สุดก็พบว่าในมาตรา 11 ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้ระบุไว้ว่า ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้ อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้ง ต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากร ที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ ในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้สอดคล้องกับการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามพระราชกฤษฎีกานี้ นอกจากนี้ในเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ปี 2554  โดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ก็ได้กำหนดรายละเอียดในส่วนนี้ไว้ดังนี้ การจัดการความรู้ ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการจัดการความรู้เพื่อให้เรื่องต่อไปนี้บรรลุผล การรวบรวม และการถ่ายทอดความรู้ของบุคลากรในส่วนราชการ การรับการถ่ายทอดความรู้ที่มีประโยชน์จากผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และองค์กรอื่น การแสวงหาและแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรเพื่อให้ความรู้ขององค์กรมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ ความครอบคลุม ความรวดเร็ว ความถูกต้อง ความทันสมัย ความเชื่อมโยง ความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการเข้าถึง ความสามารถในการตรวจสอบ การมีส่วนร่วมในกระบวนการข้อมูล ความปลอดภัย การักษาความลับ ความพร้อมใช้งานของข้อมูลและสารสนเทศ ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการทำให้ข้อมูลและสารสนเทศที่ต้องการ มีความพร้อมใช้งาน และทำให้บุคลากร ผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และองค์กรอื่นๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกันสามารถเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศดังกล่าว ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการทำให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสารสนเทศ (ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) ที่ใช้ในส่วนราชการมีความเชื่อถือได้ ปลอดภัยและใช้งานง่าย ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการทำให้ระบบการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศดังกล่าวเหมาะสม และทันสมัยอยู่เสมอ
การจัดการความรู้ (KM)
 
สวทช. กับเทคโนโลยีป้องกันภัยในหน้าฝน
  ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ  size :  5 MB  (5389 x 3934)   |  3 MB (3937 x 2874)   |   1 MB (1969 x 1437)  |  93 KB (800 x 584)
NSTDA Infographic
 
โอ๊ยปวดฟัน สวทช. ช่วยที
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ  size :  5 MB  (4724 x 4480)   |  2 MB (2362 x 2240)   |   850 KB (1181 x 1120)  |  198 KB (800 x 759)
NSTDA Infographic
 
ต้นวิจัย ใบเศรษฐกิจ ผลิตผลสังคม
  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม  (วทน.) ของประเทศ สวทช. เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  สวทช. ไม่ได้เป็นองค์กรแสวงหากำไร ทำหน้าที่ด้านวิจัย พัฒนา ถ่ายทอดความรู้สู่ภาคเอกชน/ชุมชน พัฒนาคน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวทน.  สวทช. มีห้องปฏิบัติการวิจัย เป็นจำนวนกว่า 50 ห้อง โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่อิงความรู้  รวมทั้งให้การสนับสนุนภาคเอกชนทางการเงิน การลงทุน ด้วยกลไกทางภาษีร่วมกับ BOI และกรมสรรพากร และการสร้างเครือข่ายการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ หนังสือเล่มนี้ ตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อให้บุคคลทั่วไป ได้รับทราบถึงผลงานของสวทช. ในเรื่องสำคัญๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป้าหมายที่อยากเห็นคือ ประชาชนทั่วไป ที่อาจจะไม่เข้าใจบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับการพัฒนาชาติไทยมากนัก สามารถรับรู้ได้ว่า คนไทย สังคมไทย ได้ประโยชน์อะไรบ้างจากงานของ สวทช.  ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ทำหน้าที่พัฒนาและขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และมีนักเรียนทุนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาโทและเอกจากสถาบันชั้นนำในต่างประเทศปฏิบัติงานอยู่เป็นจำนวนมาก  ผลงานต่างๆ เหล่านี้ เกิดจากการทำงานร่วมกับพันธมิตรจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน  และสถาบันการศึกษา จำนวนมาก เพื่อให้งานที่ออกจากห้องปฏิบัติการวิจัย สามารถส่งมอบสู่สังคมหรือผู้ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สวทช. พร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชน ที่ตั้งใจจะนำ วทน. ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของตนเองอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของประเทศไทยในเวทีโลก เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกท่าน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยมีกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างสรรค์มากขึ้น  และภาคเอกชนและสังคมไทย ได้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์จนเป็นที่ประจักษ์ ดาวน์โหลดเอกสาร PDF    [Size : 7 MB]     
เอกสารเผยแพร่
 
เมื่อคุณป่วย สวทช. ช่วยอะไร
  ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ  size :  5 MB  (3822 x 4125)   |  3 MB (2657 x 2868)   |   1 MB (1181 x 1275)  |  211 KB (800 x 863)
NSTDA Infographic
 
อุปนิสัยการสร้างสรรค์และรู้จักเลือก
คำว่า Be Proactive เป็นคำที่ปรากฏในหนังสือชื่อ "The 7 Habits of Highly Effective People" ซึ่งเขียนโดยนักเขียนชื่อดังอย่าง สตีเวน อาร์โควีย์ ( Stephen R. Covey) นับเป็นผู้ให้แนวคิดเรื่องนี้โดยตรง ทั้งนี้หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี และถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่ม เนื้อหาในหนังสือได้กล่าวถึงนิสัย 7 ประการของผู้ที่ประสบความสำเร็จ อันประกอบด้วยเนื้อหาย่อยเกี่ยวกับแผนที่ในการดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่ความสำเร็จ วิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ เนื่องจากผู้เขียนได้ให้แง่คิดว่ามนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอยู่  3 อย่างคือ มีสามัญสำนึกรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีพลังจิต ดังนั้นการเอาใจใส่และหมั่นฝึกฝนคุณลักษณะดังกล่าว จนกลายเป็นนิสัย จะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ผู้เขียนได้กล่าวว่า กรอบในการมองโลก (paradigm) หรือนิสัยของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของคนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วยความเคยชินทำให้คนเรานั้นไม่เคยฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู่นั้นถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะเอาความคิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน ดังนั้น ผู้แต่งจึงแนะนำให้หยุดทบทวนแนวความคิด มุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือตลอดมาว่า สิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริง สิ่งไหนคิดผิดให้คิดใหม่แก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ นอกจากนั้นผู้เขียนยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการมีสมองข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถควบคุมการทำงานของสมองด้านซ้ายได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ และการมีอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นการพัฒนาการทำงานของสมองด้านขวาได้เป็นอย่างดี จากเหตุผลข้างต้น องค์กรต่างๆ จึงเลือกนำเนื้อหานี้มาเป็นหลักสูตรฝึกอบรมให้กับบุคลากร โดยเฉพาะบุคลากรในกลุ่ม “ผู้นำ หรือผู้บริหาร” เพราะคําว่า “ ผู้นํา หรือผู้บริหาร” เป็นมากกว่าคําเรียกตําแหน่ง เพราะองค์กรจะประสบความสำเร็จ ย่อมต้องอาศัย “ความเป็นผู้นำ” จาก “บุคลากรทุกคน” โดยการบ่มเพาะอุปนิสัยที่เหมาะสมให้เกิดขึ้นกับบุคลากรทุกคน อันจะนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ลักษณะนิสัยแรกจาก 7 ประการที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง คือ อุปนิสัยการสร้างสรรค์และรู้จักเลือก (Be Proactive)  อุปนิสัยการสร้างสรรค์และรู้จักเลือก (Be Proactive)  คือการมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และผลที่เกิดจากการกระทำนี้คืออะไร  รู้ว่าขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด สถานการณ์ปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยสิ่งต่างๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไรต่อตัวเราบ้าง และเรามีการตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอย่างไร ตอบสนองด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน บุคลที่มีอุปนิสัยที่ 1 นี้คือคนที่เลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำ คือคนที่ "รู้ตัวว่าเลือกได้" คนที่มีนิสัยแบบนี้ จะมีความกระตือรือล้น เป็นคนที่ Active เป็นคนที่รู้ว่า ตัวเองต้องการอะไร คนที่ Proactive จะไม่รอให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา แต่เขาจะเป็น คนทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ด้วยตัวเขาเอง เพราะเมื่อเขาเลือกที่จะเป็น เมื่อเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เขาก็จะมีความริเริ่มที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในทันที สรุป Be Proactive คือ อะไรไม่เคยทำ ต้องเรียนรู้ ทำให้ได้ ทำให้เกิดความชำนาญ อุปนิสัยที่ 1 จะเป็นพื้นฐานของของอุปนิสัยที่ 2 – 7 ถ้าไม่สามารถสร้างอุปนิสัยที่ 1 ได้ก็จะไม่สามารถสร้างอุปนิสัยที่ 2 – 7 ได้
การจัดการความรู้ (KM)
 
สรุปผลการศึกษามูลค่าตลาดอุปกรณ์และระบบนำทางของประเทศไทย พ.ศ. 2555 และประมาณการ 2556
สมาคมระบบขนส่งและจราจรอัฉริยะไทย (Thai Intelligent Transport Systems Association: ITS-Thailand) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จัดให้มีการสำรวจมูลค่าตลาดระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ด้านตลาดอุปกรณ์และระบบนำทาง (Navigator) ของประเทศไทย ประจำปี 2555 และประมาณการปี 2556 เพื่อนำผลการศึกษาไปใช้ในประโยชน์การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม ITS ต่อไป   Thai Intelligent Navigation Report from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
เอกสารเผยแพร่
 
รู้จักกับ AEC ในมุมมองด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารประกอบการประชุม วิชาการประจำปี 2556 (NAC2013) ในหัวข้อ รู้จักกับ AEC ในมุมมองด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลในระดับมหภาคที่ สำคัญ คือ - ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งขัอมูลเชิงเปรียบเทียบที่แสดงถึงระดับการพัฒนาและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ข้อมูลทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับกลุ่มประเทศคู่ค้าหลัก รวมถึงข้อมูลการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับสมาชิกอาเซียน - ขีดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศสมาชิกอาเซียนในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านทรัพยากรที่จำเป็นต่อการวิจัยและพัฒนา อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนา หรือผลผลิตในรูปแบบของบทความ ลิขสิทธิ์ การส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง - การขับเคลื่อนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกันของกลุ่มประเทศอาเซียน ภายใต้กลไกของอาเซียนที่นำมาสู่ KrabiInitiative รวมถึงข้อตกลงด้านอื่นๆ ที่มีนัยสำคัญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี   ดาวน์โหลดเอกสารฉบับ  [size : 10.9 MB]   สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารเผยแพร่ฉบับนี้จะเป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยสร้างความตระหนักและประสานความเข้าใจระหว่างภาคเศรษฐกิจ และชุมชนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถึงการทำงานร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่ AEC ในปี 2558 ได้อย่างสง่างาม
เอกสารเผยแพร่
 
การจัดการความรู้
การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการรวบรวม การสงวนรักษา และการถ่ายทอดสารสนเทศไปสู่ความรู้ ที่สามารถเข้าถึงได้เพื่อนำไปปรับปรุงการปฏิบัติงานในองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การนำสินทรัพย์ความรู้ (Knowledge Assets) ไปสร้างคุณค่า (Value Creation) หรือเพิ่มผลิตผล (Productivity) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายหรือตอบสนองการดำเนินการขององค์กร การจัดการความรู้ จึงเป็นกระบวนการในการนำความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ในบุคคลขององค์กร รวมทั้งความรู้ที่อยู่ในรูปของเอกสารสื่อต่างๆ มาจัดการให้เป็นระบบ เพื่อให้สามารถนำความรู้ดังกล่าวที่มีไปใช้ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ข้างต้น ยกตัวอย่าง การจัดการความรู้ของบริษัท Schlumberger ซึ่งดำเนินการโดยมีแนวความคิดที่ว่า ถ้าองค์กรและพนักงาน สามารถรู้ทุกอย่างที่แต่ละคนทั้งหมดในองค์กรรู้ ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิ์ภาพและส่งผลให้เกิดกำไรมากขึ้น เนื่องจากความรู้สำคัญด้านประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ที่เก็บไว้นั้น สามารถทำให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพสํงได้ ถ้ามีการถ่ายทอดความรู้ให้แก่กลุ่มที่มีประสิทธิภาพการทำงานต่ำ และเนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เป็นการดำเนินการที่ไม่เหมือนธุรกิจประเภทอื่น ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานธรรมชาติที่อาจมีอยู่จำกัด แต่ปัญหาผู้เชี่ยวชาญทางเทคนคิก็มีจำกัดเช่นกัน การควบรวมกิจการของบริษัททำให้สูญเสียพนักงาน  ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 20,30 ปี เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว ควรมีช่องทางให้พนักงานได้เรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และความรู้เหล่านั้น ต้องสามารถที่จะจัดเก็บ แลกเปลี่ยน แบ่งปัน ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เหล่านี้นให้กับคนรุ่นใหม่ได้ การจัดการกับองค์ความรู้ที่มีการเขียนหรือเผยแพร่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือที่เรียกว่า เป็นความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) นั้น สามารถติดตามและรวบรวม มาจัดเป็นระบบได้ง่าย แต่ในทางกลับกันการจัดการกับองค์ความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) นั้น จะดำเนินการได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวบุคคล ไม่ได้มีการถอดหรือเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร มักจะเป็นความรู้ที่อยู่ในคนทำงาน และมักจะเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ อาจจะยากในการถ่ายทอด ทั้งนี้ การจะจัดการกับความรู้ประเภทนี้ได้นั้น จะต้องมีกลไกต่างๆ ในการดึงเอาความรู้ ถ่ายทอดความรู้ให้กับคนในองค์กรโดยอยู่บนความไว้วางใจกัน องค์กรจึงมีหลากหลายวิธีในการดึงความรู้จากแต่ละบุคคลออกมา เช่น การสร้างองค์ความรู้ในองค์กร สามารถใช้วิธีการต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ การระดมสมอง (Brainstorming) การมีชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practices-CoP) การใช้โปรแกรม เช่น วิกิ บล็อก ในการให้บุคลากรเขียนสิ่งที่ตนรู้ออกมา หรือการมีระบบพี่เลี้ยง (Mentor) เป็นต้น นอกเหนือจากวิธีการสร้างองค์ความรู้ในองค์กรแล้ว สามารถใช้วิธีการต่างๆ เหล่านี้ในการให้บุคลากรหรือพนักงานในองค์กรได้แลกเปลี่ยน ความรู้ และเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกันได้ เช่น ระบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer assist) การเล่าเรื่อง (Storytelling) การใช้โปรแกรม เช่น วิกิ บล็อก และ Social network อื่นๆ มาเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น หรือแม้แต่การจัดบรรยากาศให้อยู่ในสภาพที่อยากคุย หรือจัดช่วงเวลาที่ให้บุคลากรหรือพนักงานได้แลกเปลี่ยน ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ในการกระตุ้นกิจกรรมการแบ่งปันความรู้ในองค์กร บางแห่งมีการจูงใจพนักงานด้วยการให้รางวัลตอนแทน เช่น บริษัท JTC Corporation มีรางวัล Knowledge Activist Award เพื่อสนับสนุนวัฒนธรรมการแบ่งปันความรู้ เพื่อสร้างความตระหนักให้แก่พนักงานที่มีผลงานโดดเด่นในการเผยแพร่และแบ่งปันความรู้ ในหลายๆ องค์กร เห็นความสำคัญของการรวมกันระหว่างเครือข่ายทางสังคมและกระบวนการในการบ่งหา ผู้เชี่ยวชาญ จึงมีการนำระบบ Expertise Locator Systems หรือ ELS มาบูรณาการความสัมพันธ์ระหว่าง คน กระบวนการ และเทคโนโลยี ดังนี้ เชื่อมคนกับคน เชื่อมโยงคนกับข้อมูลบุคคล บ่งชี้คุณลักษณะของคนกับความเชี่ยวชาญและเชื่อมโยงไปถึงโจทย์ หรือปัญหาหรือคำถาม บ่งชี้ความสามารถหรือศักยภาพของพนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับโครงการที่มอบหมาย ช่วยพัฒนาทางอาชีพ สนับสนุนทีมทำงานและชุมชนนักปฏิบัติ บริษัท Shell เห็นความสำคัญของบุคลากรในองค์กร เช่นเดียวกัน โดย Shell มีกลยุทธ์ Ask-Learn-Share แนะนำให้พนักงานสอบถามผู้ฝึกสอน เพื่อนร่วมงาน หรือผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มทำงาน โดยการถามนั้นไม่ได้เป็นเพียงการใช้เครื่องมือเท่าใดนัก แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์กรด้วยกันเอง สำหรับกลยุทธ์การจัดการความรู้ของ บริษัท Accenture นั้น มุ่งเน้นไปที่ "people to people"  โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความร่วมมือขององค์กรในการสร้างแผนงานอย่างละเอียดจะเป็นตัวจัดการ ที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงคนข้ามองค์กรได้ ผู้นำระดับอาวุโสก็คาดหวังว่าการใช้แผนงานที่ละเอียดนี้จะถูกสนับสนุนไปทั่ว ทั้งองค์กร เช่นเดียวกับบริษัท Schlumberger ถือว่า Focal point ของการจัดการความรู้ในบริษัท คือ คนและความสัมพันธ์ของคนกับปัจจัยอื่นๆ ดังนี้ ความเชื่อมโยงคนกับคน บริษัทให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และมีความเชื่อมั่นว่า การสร้างชุมชนความรู้ สิ่งที่มาเป็นอันดับแรก คือ คนและการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จึงมี 2 ระบบที่ทำให้พนักงานรู้จักพนักงานคนอื่นๆ ด้วย ชื่อ ตำแหน่ง ความเชี่ยวชาญ ความสนใจ ประสบการณ์ การทำงานในอดีต ตำแหน่งหน้าที่ในองค์กร การเชื่อมโยงคนกับสารสนเทศ เป็นก้าวที่สองของการจัดการความรู้ เป็นการเชื่อมโยงคนกับสารสนเทศ ถ้าการตัดสินใจต้องเกิดขึ้นในปัจจุบันทันด่วน ข้อมูลต้องถูกจัดการเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะต้องการในเวลาใดก็ตาม การเชื่อมโยงคนกับชุมชนนักปฏิบัติ ก้าวที่สามของการจัดการความรู้ คือ การสร้างและสนับสนุนให้เกิดชุมชนนักปฏิบัคิ แนวความคิดของชุมชนนักปฏิบัติเชื่อมโยงกับคนที่มีความสนใจในเรื่องที่คล้ายกันและมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเดียวกัน การเชื่อมโยงคนกับความรู้ ก้าวที่สี่ของการจัดการความรู้ คือ การเชื่อมโยงคนกับความรู้ ความรู้ที่สำคัญขององค์กรต้องสามารถให้ได้ไม่ว่ากับใครในบริษัท ไม่ว่าเวลาใด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม การเชื่อมโยงคนกับการเรียนรู้ ก้าวที่ห้าของการจัดการความรู้ คือ การเชื่อมโยงคนกับการเรียนรู้ พนักงานของบริษัท เป็นที่ถูกคาดหวังว่าไม่เคยหยุดการเรียนรู้ พนักงานแต่ละคนต้องเข้ารับการเรียนหลักสูตรการพัฒนาทางวิชาชีพหลายหลักสูตรในแต่ละปี และอยู่กับผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขากับหลายหลักสูตรในแต่ละปีเช่นกัน ทั้งนี้ องค์ความรู้ที่รวบรวม จัดเก็บได้นั้น จะต้องมีเครื่องมีอในการจัดหมวดหมู่และการทำดัชนี การจัดหมวดหมู่เป็นพื้นฐานในการจัดเนื้อหาให้เป็นระบบ  การทำดัชนีช่วยในการจัดเอกสารและลงรายการเอกสาร  ด้วยการรวมทั้งหัวเรื่องและแหล่งที่อยู่ของเอกสารเข้าด้วยกัน ถ้าการทำดัชนีมีประสิทธิภาพ จะต้องทำให้ผู้ใช้รู้ว่าต้องใช้คำสำคัญคำใดเพื่อที่จะหาสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกันได้ ด้วยการใช้คำศัพท์ควบคุม โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ taxonomy หรือศัพท์สัมพันธ์เข้ามาช่วย องค์กรใดที่มีการจัดการความรู้ ควรมีการสื่อสารเรื่องดังกล่าวให้มีความชัดเจนกับบุคลากรหรือพนักงานในองค์กร เพราะอาจมีคำถามเกิดขึ้น เมื่อเริ่มการจัดการความรู้ในองค์กร คือ How is relevant to me? What am I specifically expected to do? What is it for me (Benefit) จากคำถามทั้ง 3 คำถามดังกล่าว องค์กรต้องเตรียมคำตอบเพื่อให้พนักงานเข้าใจ เห็นด้วย และคล้อยตามกับการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นในองค์กร นอกจากนี้ ต้องเน้นให้กลุ่มผู้บริหารตั้งแต่ระดับสูง ระดับกลางที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ เข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองในการจัดการความรู้ ซึ่งประกอบด้วย 4C คือ เก็บ (Capyure) ประมวลผล (Codify) ร่วมมือ (Collaborate) และ จัดหมวดหมู่ (Classify) โดยความรู้เหล่านั้น ต้องเป็นความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขององค์กร เป็นความรู้ที่ต้องการใช้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายขององค์กร ควรมีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายใน เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร และคณะกรรมการผู้บริหารเพื่อให้เกิดความสนับสนุนในการจัดการความรู้จากระดับสูงลงมา มีการกำหนดทีม KM รวมถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดซึ่งกันและกัน บรรณานุกรม: Asian Productivity Organization. Knowledge Management Tools and Tecniques Manual. Japan : Asian Productivity Organization, 2010 Etkind, Josh et al. 2003. Knowledge Portals Support Widely Distributed Oilfield Projects. Professional Communication Conference, 2003. IPCC 2003. Proceedings. IEEE International. 21-24 Sept 2003. : 189- 200. O'Dell, Carla. 2008. Web 2.0 and Knowledge Management : Themes from an APQC Consortium Benchmarking Study. [Online] :http://wiki.sla.org/download/attachments/11371006/APQC+2008+Web+2+and+KM.pdf?version=1 Accessed: 15 Apr 2013
การจัดการความรู้ (KM)
 
กรณีศึกษาความสำเร็จและความล้มเหลวในการแบ่งปันความรู้ของ Xerox และ NASA (ตอนจบ)
ตอนที่ 2 ของกรณีศึกษาความสำเร็จและความล้มเหลวในการแบ่งปันความรู้ของ Xerox และ NASA เน้นนำเสนออุปสรรคของการแบ่งปันความรู้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากองค์กร และเทคโนโลยี รวมถึงชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) (more…)
การจัดการความรู้ (KM)