ผลการค้นหา :
วัคซีน ASF สายพันธุ์ไทย สู้โรคระบาดในสุกร
นักวิจัย BIOTEC สวทช. โชว์ความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนสัตว์ โดยเฉพาะวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (African swine fever : ASF) ที่เคยระบาดสร้างความสูญเสียให้กับอุตสาหกรรมสุกรของไทย ซึ่งปัจจุบันนักวิจัยพัฒนาวัคซีนจนได้ต้นแบบวัคซีนนำไปทดสอบในสุกรแล้วพบว่า มีประสิทธิภาพ พร้อมต่อยอดขยายผลเพื่อเร่งนำไปใช้แก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร เป็นความหวังของอุตสาหกรรมสุกรไทย
พบกับนักวิจัยผู้พัฒนาและผลงานต้นแบบวัคซีนได้ที่งาน การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 หรือ NAC2024 วันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมหรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ขยายความร่วมมือ คอสเม่ เกาหลีใต้ ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและ สตาร์ตอัป
(19 มีนาคม 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ให้การต้อนรับนาย คัง ซอ จิน (Kang Seog Jin) ประธานบริหาร คอสเม่ (KOSME : Korea SMEs & Startups Agency) พร้อมร่วมลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและสตาร์ตอัป” โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการต่อยอดและขยายผลจากบันทึกข้อตกลงฉบับแรก ระหว่างปี ค.ศ. 2022-2024 ซึ่งมีผลการดำเนินงานเป็นที่ประจักษ์ว่า ทั้งสองฝ่ายได้สร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีในเครือข่าย สวทช. และประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค (APEC) ที่ KOSME มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดผลกระทบในระดับภูมิภาค
รัฐบาลไทยสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่ง สวทช. ได้มุ่งเน้นสนับสนุน นักวิจัย ผู้ประกอบการและสตาร์ตอัปให้สามารถดำเนินธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต การลงนามในบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ไปอีก 3 ปี (ค.ศ. 2024 – 2027) ครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่าง KOSME และ สวทช. ในระยะยาวแล้ว ยังเกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ ที่สาธารณรัฐเกาหลีมีส่วนสำคัญในการผลักดัน อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัย และกลุ่มอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค อาทิ Asia – Pacific Economic Cooperation (APEC) และ Mekong - Korea Cooperation Fund (MKCF) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการขยายผลการใช้ประโยชน์งานวิจัย BCG Implementation ของ สวทช. และการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันอีกด้วย
นอกจากนั้น KOSME และ สวทช. ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปใช้ประโยชน์กับสตาร์ตอัปและ SME ของทั้งสองประเทศ ส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีซึ่งเป็นนวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของสองประเทศได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเน้นในด้านอุตสาหกรรมสีเขียว พลังงาน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้าน AI ด้วย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ที่จะนำ AI เข้ามาใช้งานในด้านการศึกษา การแพทย์ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เชิญผู้ประกอบการประเมินความพร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ ‘บริการ i4.0 CheckUp’ ประเมินง่าย รู้ผลเร็ว ปรับใช้ได้ทันที
ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรและเซนเซอร์ต่าง ๆ ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิตรวมถึงการบริหารธุรกิจด้วย
อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงเปิดให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service) โดยเปิดให้บริการ 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย
maturity ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทย โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือวัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการดำเนินการยกระดับได้อย่างเป็นระบบ
consulting บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์
training บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (system integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมของโรงงาน
ทั้งนี้ในส่วนของ i4.0 maturity ปัจจุบัน Industry 4.0 Platform เปิดให้บริการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมผ่าน ‘Thailand i4.0 Index’ 2 รูปแบบ แบบแรกคือ การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งจะเข้าไปสัมภาษณ์และประเมินแบบลงลึกภายในสถานประกอบการ เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีความแม่นยำสูง และให้คำแนะนำเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการได้ โดยผู้ประกอบสามารถนำผลการประเมินไปใช้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ด้วย ส่วนรูปแบบที่สองคือ การประเมินด้วยตัวเองผ่านระบบ i4.0 CheckUp ซึ่งเป็นระบบออนไลน์ การประเมินในรูปแบบนี้ผู้ประกอบการจะเป็นผู้ตอบคำถามลงในแบบสำรวจด้วยตัวเอง โดยผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงสถานะของโรงงานในปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0
โดยในปี 2567 นี้ สวทช. ได้ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมผลักดันให้ผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินเพิ่มเติม ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมการประเมินระดับอุตสาหกรรมผ่านระบบ i4.0 CheckUp ภายในปีนี้ไม่น้อยกว่า 500 โรงงาน ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นคือ นอกจากผู้ประกอบการจะได้ทราบถึงสถานะของโรงงานอย่างละเอียดและใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนยกระดับโรงงานได้อย่างเหมาะสมแล้ว ภาครัฐยังสามารถใช้ข้อมูลพิจารณาแผนยกระดับอุตสาหกรรมไทยทั้งด้านการกำกับนโยบายและวางแผนสนับสนุนได้ด้วย
ในการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 มีบันได 4 ขั้นที่ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางในการวางแผนได้ ขั้นแรก ‘online & interactive self-assessment’ คือ การประเมินความพร้อมของโรงงานด้วยตัวเองผ่านระบบ i4.0 CheckUp เพื่อให้ทราบถึงสถานะของโรงงานในปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0
ขั้นที่สอง ‘initiation’ คือ การประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีความแม่นยำสูง พร้อมได้รับคำแนะนำในการยกระดับโรงงานแบบเชิงลึก โดยผู้ประกอบสามารถนำผลการประเมินไปใช้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้
ขั้นที่สาม ‘solutioning’ คือ เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจที่จะเริ่มยกระดับโรงงานแล้ว สามารถเข้ารับคำแนะนำด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ รวมถึงเข้าทดสอบระบบจำลองสถานการณ์ด้วย testbed ต่าง ๆ ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) สวทช. มีให้บริการได้ เช่น เครื่องจักร สายการผลิต และเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการได้วางแผนการปรับเปลี่ยนโรงงานจนมั่นใจ ก่อนการลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
และขั้นสุดท้าย ‘implement & operation’ คือ การลดทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถรับบริการทั้งหมดนี้ได้จาก สวทช. แบบ one-stop service
'Thailand i4.0 Index' ดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0
Thailand i4.0 Index เป็นดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 ที่ สวทช. โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี (ITAP) ร่วมกับสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการช่วยผู้ประกอบการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรม ทั้งนี้การพัฒนาได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม
Thailand i4.0 Index แบ่งการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมออกเป็น 6 ด้านหลัก 17 ด้านย่อย โดย 6 ด้านหลักประกอบด้วย 1) technology 2) smart operation 3) IT system & data transaction 4) human capital 5) market & customers (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนีได้ที่ www.thindex.or.th)
ทั้งนี้ในการประเมินความพร้อม คณะกรรมการจะประเมินโดยแบ่งระดับความพร้อมออกเป็น 6 ระดับ (band) ซึ่งในช่วงอุตสาหกรรม 3.0 และ 4.0 ที่มีการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและการลงทุนที่ค่อนข้างสูง จะมีการแบ่งออกเป็นระดับย่อย เพื่อให้ผู้ประกอบการก้าวขึ้นแต่ละระดับได้ง่ายขึ้น
เมื่อผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรมแล้ว จะได้รับสรุปผลการประเมินโดยแบ่งออกเป็น 2 ตารางหลักดังภาพประกอบ ตารางแรก (ซ้าย) จะแสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบกับโรงงานชั้นนำของประเทศที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (best in class: BIC) ส่วนตารางที่สอง (ขวา) จะแนะนำ 4 มิติที่ผู้ประกอบการควรปรับปรุงก่อน โดยพิจารณาจากระดับปัจจุบัน, โครงสร้างต้นทุน, KPI ของบริษัท และความห่างจาก BIC
ประโยชน์ 4 ต่อที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการประเมินระดับอุตสาหกรรม คือ
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0 และการประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร
รายงานสรุปผลการประเมินระดับความพร้อม (assessment report) สำหรับใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์องค์กรตาม impact value chain
ข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดหา SI ที่เหมาะสมมาร่วมพัฒนา
เอกสารรับรองการประเมินเพื่อใช้ในการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
บันไดขั้นแรกสุดของการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่ผู้ประกอบการทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองทันที คือ การประเมินความพร้อมของโรงงานผ่านระบบ i4.0 CheckUp
ขั้นตอนการประเมินทำได้ง่ายเพียงเข้าไปที่ www.nstda.or.th/i4platform/services/i4-online-self-assessment/ แล้วกดเริ่มการประเมิน ระบบจะให้ลงทะเบียนก่อนเข้าสู่หน้าแบบประเมิน โดยแบบประเมินจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วน (section) แต่ละส่วนผ่านการออกแบบชุดคำถามให้ผู้ประกอบการทำความเข้าใจได้ง่ายและมีคำอธิบายศัพท์เฉพาะ แบบประเมิน 6 ส่วน ประกอบด้วย
คุณลักษณะและเทคโนโลยีที่ใช้ในสายการผลิต
ระบบสาธารณูปโภคที่ใช้ในการผลิต
ระบบบริหารจัดการทรัพยากรภายในบริษัท
การวิเคราะห์ตลาดและการบริหารวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
การจัดการองค์กร กลยุทธ์องค์กร และการบริหารทรัพยากรบุคคล
อุตสาหกรรมสีเขียว
ผลลัพธ์การประเมินที่ผู้ประกอบการจะได้ทราบ คือ ระดับอุตสาหกรรมในภาพรวม ระดับอุตสาหกรรมในแต่ละมิติ (17 มิติย่อย) ระดับอุตสาหกรรมสีเขียว และตัวอย่างเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพในราคาประหยัด
4 ตัวอย่างเทคโนโลยีราคาประหยัดที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อผู้ประกอบการไทย คือ
URCONNECT อุปกรณ์รับส่งสัญญาณแบบ universal เพื่อเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าให้เป็น IoT สามารถสั่งการอุปกรณ์ได้จากทางไกล และรับสัญญาณจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งไว้ตรวจจับการทำงาน รวมถึงการประเมินสุขภาพของอุปกรณ์ มาประมวลผลและจัดเก็บที่ระบบคลาวด์ ช่วยให้ผู้ดูแลตรวจสอบข้อมูลและควบคุมการทำงานได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา
UNAI (อยู่ไหน) ระบบระบุตำแหน่งและเส้นทางการเคลื่อนที่ของอุปกรณ์และสินค้าภายในโรงงาน เช่น การทำ smart warehouse
NETPIE ระบบ cloud computing สัญชาติไทย ที่เปิดให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม
Industrial IoT and Data Analytics Platform (IDA Platform) แพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรและการใช้พลังงานภายในโรงงานผ่านระบบคลาวด์
เมื่อนำชุดอุปกรณ์เหล่านี้มาติดตั้งภายในโรงงาน จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตแบบเรียลไทม์ โดยดูได้ทั้งประสิทธิภาพโดยรวมการผลิตของเครื่องจักร (overall equipment effectiveness: OEE) ประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน (energy monitoring) และแจ้งเตือนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ล่วงหน้า (predictive maintenance: PdM) ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตและการบริหารพลังงานสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อปรับแผนงาน ก่อนส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้
ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจที่จะก้าวสู่ขั้นที่ 2, 3 และ 4 ของการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือตั้งแต่ขั้น initiation ถึง implement & operation สามารถเข้ารับคำปรึกษาและบริการด้านต่าง ๆ แบบครบวงจรได้ที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) โดยศูนย์ตั้งอยู่ภายใน EECi จังหวัดระยอง ตัวอย่างบริการของศูนย์ เช่น
Industry assessment
training
consultant
low-cost platform solutions
custom solution
testbeds
โดย SMC มีระบบ membership สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการที่ศูนย์เป็นประจำ สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบจะได้รับจากการสมัคร คือ
รับส่วนลดในการใช้บริการ
รับคำปรึกษาเชิงลึกด้านเทคนิค และสิทธิประโยชน์
ใช้พื้นที่ห้องทำงาน ห้องประชุม และห้องอบรม
รับข้อมูลข่าวสารและกิจกรรม business matching
จัดแสดงและสาธิตผลิตภัณฑ์ภายในศูนย์
รายละเอียดเพิ่มเติม
Website: www.nstda.or.th/i4Platform
Facebook: Thailand i4.0 Platform
ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ
E-mail: i4Platform@nstda.or.th
Line: @i4Platform
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“อว. For EV” เดินหน้า 23 หน่วยงาน MOU “ศุภมาส” ประกาศขับเคลื่อนประเทศสู่ Go Green นำร่อง ม.พะเยา เปลี่ยนใช้รถ EV ทั้งหมด ก่อนเปลี่ยนสู่ Green Campus ทุกมหาวิทยาลัย ภายใน 5 ปี ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ปีละ 5 แสนตัน
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนนโยบาย อว. For EV ของ 23 หน่วยงานสังกัดกระทรวง อว. เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปเป็น EV HUB ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค โดยมี น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัด อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว. พร้อมผู้บริหาร อว. เข้าร่วม ที่มหาวิทยาลัยพะเยา จ.พะเยา ระหว่างการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของกระทรวง อว. ภายใต้การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน)
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายจะเป็น Hub ของยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบอร์ดอีวีแห่งชาติได้ตั้งเป้าหมายจะผลิตรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษอย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดของประเทศไทยภายในปี พ.ศ.2573 หรือเรียกว่านโยบาย 30@30 ดังนั้น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล อว. จึงได้มีนโยบาย “อว.For EV” ใน 3 เสาหลัก ได้แก่ EV HRD หรือการผลิตกำลังคนให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เป้าหมาย 150,000 คนใน 5 ปี EV Transformation หรือการเปลี่ยนรถ ICE เป็นรถ EV ในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานของ อว. เป้าหมาย 30% ภายในปี 2030 และ EV Innovation เพื่อยกระดับผู้ประกอบการด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ผ่านความร่วมมือจากทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ และ ภาคเอกชน จำนวน 100 ราย โดยการจัดสรรทุนวิจัยจากกองทุน ววน. ประมาณ 3,000 ล้านบาทใน 5 ปี
“ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจและแสดงความพร้อมของหน่วยงานต่างๆ ในการขับเคลื่อนนโยบาย “อว. For EV” จึงได้มีพิธีลงนาม MOU ขึ้นโดยทุกหน่วยงาน ทุกองคาพยพของ อว.จะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย อว. For EV โดยมหาวิทยาลัยพะเยาจะเป็นหน่วยงานแรกที่เปลี่ยนมาใช้รถบัส EV จำนวน 30 คัน คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกปีละ 3,000 ตัน และทุกมหาวิทยาลัยจะร่วมกันเพื่อนำไปสู่การเป็น Green Campus ทั้งประเทศหากมาตรการ EV Transformation บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย 5,000 คัน ภายในปี 2573 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงปีละ 500,000 ตัน” รมว.อว.กล่าว
จากนั้น น.ส.ศุภมาส ได้ตรวจเยี่ยมการดำเนินการ อว.For EV ของมหาวิทยาลัยพะเยาที่เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด พร้อมกับนำผู้บริหาร อว. และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดนั่งยานยนต์ไฟฟ้า โดย น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ขอบคุณทุกหน่วยงานของ อว.ที่ช่วยกันดูแลโลก ดูแลประเทศของเรา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Go Green ของ อว. เพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ สิ่งที่ อว.จะเร่งดำเนินการคือการพัฒนาทักษะกำลังคน เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับการ Upskill กำลังคนในอุตสาหกรรมรถยนต์ควบคู่ไปด้วยกำลังคนที่ต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย กำลังคนด้านการออกแบบ การผลิต การพัฒนาซอฟท์แวร์ และการซ่อมบำรุง สถานีบรรจุและโครงสร้างพื้นฐาน คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีความต้องการกำลังคนอย่างน้อยปีละ 5,000 คน ซึ่ง อว. ได้วางแผนการผลิตกำลังคนเหล่านี้ให้เพียงพอแล้ว
“ที่สำคัญ หลังจากนี้ตนจะให้มีการดำเนินงานโครงการ อว. For AI ด้านการศึกษาและ อว.For PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญและให้สอดคล้องกับ อว. For EV เพราะเรามีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์จากหลายหน่วยงานที่จะมาร่วมกันแก้ปัญหาให้กับประเทศ โดยขณะนี้จิสด้าได้ร่วมกับนาซ่าทำการศึกษาคุณภาพอากาศในประเทศไทย เพื่อนำมาช่วยในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศแล้ว“ น.ส.ศุภมาส ระบุ
ข่าวประชาสัมพันธ์
ชาวทุ่งกุลาฯ ยิ้มได้ เพิ่มรายได้ด้วยนวัตกรรม
‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ คือทุ่งราบกว้างใหญ่ที่เคยถูกขนานนามถึงความแห้งแล้งและทุรกันดาร ยากแก่การประกอบอาชีพหรือทำการเกษตร แต่ทุกวันนี้ชาวทุ่งกุลาฯ ไม่เพียงไม่ร้องไห้ แต่กำลัง ‘ยิ้มได้’ เพราะนอกจากผืนดินที่เคยแตกระแหงจะกลายเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีระดับโลกแล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่ส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อสร้างอาชีพหลังการทำนา ทั้งการปลูกพืชสมุนไพร ถั่วเขียว รวมถึงการเพิ่มมูลค่าผ้าทอ ภายใต้กลไกตลาดนำการผลิต เชื่อมโยงผลผลิตกับเอกชน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริม เพิ่มคุณภาพชีวิต ไม่ต้องทิ้งถิ่นเข้าเมืองเพื่อหางานทำ
ปลูก ‘ขิง-ไพล-ฟ้าทะลายโจร’ ดันพืชสมุนไพรรุกตลาดใหม่แดนอีสาน
ประเทศไทยมีแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาพืชสมุนไพรไทย และยังเตรียมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางสมุนไพรโลก สวทช. ขานรับนโยบายจัดทำโครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืชและยกระดับการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีของเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ นำร่องใน 3 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม เริ่มต้นส่งเสริมการปลูกขิง-ไพล-ฟ้าทะลายโจร เนื่องจากเป็นชนิดพืชที่ สวทช. ดำเนินการวิจัยพัฒนาพันธุ์ และมีศักยภาพสูงเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะบริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทเอกชนที่ สวทช. เชื่อมโยงผ่านกลไกตลาดนำการผลิต พร้อมรับซื้อผลผลิตเพื่อผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม
โดยในปี 2566 สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ได้ดำเนินงานใน 3 ส่วน ได้แก่ 1. การผลิตขิงปลอดโรคด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบไบโอรีแอกเตอร์ จำนวน 60,000 ต้น อยู่ระหว่างการอนุบาลที่ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ 15,000 ต้น และศูนย์ขยายพันธุ์พืชมหาสารคาม 45,000 ต้น ตั้งเป้าส่งมอบให้เกษตรกรปลูกในปี 2568 2. การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีให้ได้มาตรฐาน (GAP) และ 3. การสร้างจุดเรียนรู้การผลิตสมุนไพรคุณภาพดีเชื่อมโยงกับหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันมีเกษตรกรได้รับองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดี จำนวน 337 คน และมีเกษตรกรแกนนำปลูกขิงจำนวน 28 คน พื้นที่รวม 10 ไร่
นางสุปราณี ยาทะเล สมาชิกกลุ่มปลูกสมุนไพรแปลงใหญ่ ต.ปราสาท อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ เล่าว่า ที่ผ่านมาเกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันปลูกสมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจร อัญชัน ขมิ้น ไพล ส่งโรงพยาบาลห้วยทับทัน เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและยาแผนโบราณ กระทั่งเมื่อปี 2566 สวทช. เข้ามาส่งเสริมการปลูกขิงพันธุ์ราชบุรี ซึ่งยังไม่เคยปลูกมาก่อน แต่มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้ามาช่วยอบรมให้ความรู้วิธีการปลูกและการดูแลที่เหมาะสม รวมทั้งยังคอยติดตามให้คำแนะนำแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
“ปีที่ผ่านมาทดลองปลูกขิง 2 งาน ได้ผลผลิตรวม 300 กิโลกรัม แต่ด้วยเพิ่งทดลองปลูกเป็นปีแรกทำให้มีปัญหาอุปสรรคอยู่บ้าง โดยเฉพาะสภาพอากาศที่ร้อนจัด เนื่องจากขิงชอบอยู่ในพื้นที่ร่ม มีแดดส่องรำไร เราพยายามนำฟางไปกลบ และปลูกต้นกล้วยรอบ ๆ เพื่อสร้างร่มเงา ทำให้ขิงเติบโตได้ดี หัวมีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ในการปลูกจะฉีดพ่นแต่น้ำหมักชีวภาพที่ทำขึ้นเอง เพื่อให้ได้ขิงอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ตอนเก็บผลผลิต พบว่าขิงมีหัวขนาดใหญ่มาก เห็นแล้วชื่นใจ ซึ่งผลผลิตที่ได้ทางบริษัทโอสถสภาฯ จะรับซื้อไปใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ดีใจว่าปลูกแล้วมีตลาดพร้อมรองรับ ทำให้มีกำลังใจในการปลูกปีต่อ ๆ ไป และช่วยให้เรามีรายได้เสริมเพิ่มเติมหลังจากการทำนา”
ปั้น ‘ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KMUL’ พืชหลังนาสร้างรายได้
‘ถั่วเขียว’ เป็นอีกกลุ่มพืชหลังนาที่เกษตรกรทุ่งกุลาฯ ให้ความสนใจ เพราะเป็นพืชใช้น้ำน้อย แต่ที่ผ่านมาการปลูกถั่วเขียวยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะขาดแคลนเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ทำให้มีพันธุ์ปนจำนวนมาก อีกทั้งถั่วเขียวทั่วไปในท้องตลาด สุกแก่ไม่พร้อมกัน ทำให้ต้องเก็บเกี่ยวหลายรอบ ต้นทุนสูง
นายไพฑูรย์ ฝางคำ ประธานวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลผักไหม จ.ศรีสะเกษ เล่าว่า สวทช. เข้ามาส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พัฒนาขึ้น ให้ผลผลิตคุณภาพดี เมล็ดโต สุกแก่พร้อมกัน ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่าย ลดต้นทุน และได้ผลผลิตต่อไร่เยอะกว่าถั่วเขียวสายพันธุ์เดิมถึงเท่าตัว จากเคยปลูกถั่วเขียวสายพันธุ์ทั่วไปได้ 100 กิโลกรัมต่อไร่ ตอนนี้ปลูกถั่วเขียว KUML ให้ผลผลิตเพิ่มถึง 200 กิโลกรัมต่อไร่ ถ้าเป็นถั่วเขียวทั่วไปราคาขาย 22-25 บาทต่อกิโลกรัม แต่ของกลุ่มฯ เป็นถั่วเขียวอินทรีย์ ขายได้กิโลกรัมละ 45 บาท
“กลุ่มผักไหมนำถั่วเขียว KUML มาปลูกหลายฤดูกาลแล้ว ได้ผลผลิตแตกต่างชัดเจนเลย ทำให้มีรายได้เพิ่ม อย่างรายได้เฉพาะถั่วเขียวอย่างเดียว ปกติถั่วเขียวทั่วไปขายกิโลกรัมละ 25 บาท ผลผลิตเราเฉลี่ยอยู่ที่ 200 กิโลกรัมต่อไร่ จะขายได้ประมาณ 5,000 บาท ต้นทุนปลูกถั่วเขียว 1 ไร่ ประมาณ 1,800 บาท ก็มีรายได้เพิ่มประมาณ 3,000 บาทต่อไร่ แต่ถ้าเราทำถั่วเขียวอินทรีย์จะขายได้ราคาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ก่อนพื้นที่นาแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ทำนาเสร็จก็ปล่อยทิ้งร้างไว้ 7-8 เดือน รอทำนาฤดูกาลหน้า ตอนนี้ปลูกถั่วเขียว พอเก็บเกี่ยวผลผลิตขายแล้วก็ไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน ทำให้ดินดี ส่งผลดีต่อการปลูกข้าวในฤดูกาลถัดไป และช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้เยอะมาก เพราะว่าถั่วช่วยตรึงไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารสำคัญให้แก่ดิน ไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรีย ข้าวก็เขียว ออกรวงงาม มีแต่ผลดี ไม่มีผลเสียเลย”
ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลผักไหม หันมาปลูกถั่วเขียว KUML ในพื้นที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 300 ไร่ และยังได้รับการประสานงานจากหน่วยงานภาครัฐให้เป็นแกนนำในการขยายผลการปลูกถั่วเขียว KUML ให้แก่เกษตรกรประมาณ 2,500 คน ใน 22 อำเภอ ล่าสุดยังได้รับการยกระดับเป็น ‘ศูนย์เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน’ พร้อมตั้งเป้าเป็นแหล่งผลิตถั่วเขียว KUML คุณภาพดีของประเทศ
นายไพฑูรย์ เล่าว่า ข้อดีของถั่วเขียว KUML คือสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ปลูกต่อได้ ซื้อเมล็ดพันธุ์แค่ปีแรก จากนั้นก็ผลิตเมล็ดพันธุ์ใช้เองได้ตลอด ตอนนี้ทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์สำหรับแจกจ่ายในกลุ่มฯ และขยายเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรรายอื่นที่สนใจ ทำให้นอกจากมีเมล็ดพันธุ์ดีไว้ใช้เองแล้ว ยังขายเมล็ดพันธุ์ได้ด้วย ซึ่งได้ราคาดีกว่า เพราะถ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวอินทรีย์ขายได้กิโลกรัมละ 60 บาท การปลูกเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว (seed) ต่างจากการปลูกเมล็ดถั่วเขียว (grain) สำหรับบริโภค คือถ้าเป็นเมล็ดถั่วเขียวทั่วไปจะไม่ได้ดูแลใส่ใจมากนัก แต่ถ้าเป็นแปลงเมล็ดพันธุ์ต้องหมั่นตรวจคัดพันธุ์ปน และพอเก็บเกี่ยวถั่วเสร็จแล้วต้องส่งตัวอย่างเมล็ดพันธุ์เพื่อตรวจรับรองมาตรฐานแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์
“แต่ก่อนทุ่งกุลาร้องไห้พอเข้าหน้าแล้งแทบเป็นหมู่บ้านร้างเลย คนวัยแรงงานจะอพยพเข้าเมืองไปทำงานก่อสร้าง รับจ้างตัดอ้อย เหลือแค่เด็กกับผู้สูงอายุ พอมีหน่วยงานรัฐและเอกชนเข้ามาหนุนเสริมเราแบบนี้ ทำให้เรามีอาชีพเสริมหลังการทำนา พอมีรายได้ ไม่ต้องทิ้งบ้านไปไหน ได้อยู่กับครอบครัว มีความสุขตามสภาพในชนบท ลูกก็ไม่ว้าเหว่ ไม่ไปเกเรเหมือนสมัยก่อน เพราะว่าอย่างน้อยมีพ่อแม่อยู่”
ปรับ ‘ผ้าทอย้อมมะเกลือ’ ให้ติดสีสวยด้วยนวัตกรรม ENZease
ทุ่งกุลาร้องไห้ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องข้าวหอมมะลิ แต่ยังโดดเด่นเรื่องของผ้าทอที่มีความวิจิตรงดงามและมีลวดลายการทอผ้าที่แตกต่างหลากหลายตามภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน กลุ่มเสื้อเย็บมือผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมมะเกลืออบสมุนไพรบ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ คือแหล่งผลิตผ้าไหมลายลูกแก้ว ซึ่งโดดเด่นด้วยผ้าทอย้อมสีดำธรรมชาติจาก ‘มะเกลือ’ แต่กว่าผ้าจะมีสีดำสนิทต้องใช้เวลามากกว่า 2 เดือน สวทช. โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้เข้ามาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผ้าทอด้วยนวัตกรรม ‘เอนไซม์เอนอีซ (ENZease)’ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย้อมสีธรรมชาติให้ติดสีดีขึ้น
นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง จังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่า หลังการทำนา แม่บ้านจะรวมตัวกันทอผ้าย้อมมะเกลือ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน แต่กว่าจะได้ผ้าทอแต่ละผืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลานาน เพราะกว่าจะย้อมผ้าไหมจนได้สีดำสนิท ต้องจุ่มผ้าไหมกับน้ำมะเกลือแล้วนำไปตากแดด ทำแบบนี้สลับวนไปถึง 300 จุ่ม 60 แดด หรือประมาณ 2-3 เดือน
“สวทช. เข้ามาส่งเสริมการใช้ ‘เอนไซม์เอนอีซ’ นับว่าโชคดีที่เราได้นวัตกรรมมาเสริมกับภูมิปัญญา เราใช้เอนไซม์เอนอีซทำความสะอาดผ้าไหมก่อนการย้อม ช่วยให้การย้อมติดสีไวดีขึ้น จากเดิมย้อมผ้าไหมด้วยมะเกลือต้องตาก 60 แดด ก็เหลือแค่ 30 แดด หรือประมาณ 1 เดือน ช่วยลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ที่สำคัญผ้าที่ได้ยังติดสีสม่ำเสมอ สีผ้ามีความเข้ม สวยเงางาม และมีความนุ่ม เพิ่มโอกาสในการขายผ้าทอได้มากขึ้น”
การทำงานแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนในการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และกลไกการตลาดเข้าไปต่อยอดสร้างอาชีพเกษตรกรบนพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ให้มั่นคง จะช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวทุ่งกุลาฯ เปลี่ยนน้ำตาเป็นความม่วนชื่นอย่างยั่งยืน
หน่วยงานความร่วมมือ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ
บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน)
บริษัทกุยลิ้มฮึ้ง จำกัด (Supplier ของบริษัทโอสถสภา)
สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ
สำนักงานเกษตรจังหวัดมหาสารคาม
สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด
สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม
โรงพยาบาลห้วยทับทัน
โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“ศุภมาส” ชื่นชม “DentiiScan” เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติกะโหลกศีรษะและช่องปาก ผลงานวิจัยแนวหน้าของไทย ผู้ป่วยจะได้รับรังสีต่ำกว่าเครื่องเอกซเรย์ทางการแพทย์ทั่วไป
เมื่อวันที่ 15 มี.ค.67 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เยี่ยมชมผลงานวิจัยโครงการ “เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบลำรังสีทรงกรวย : DentiiScan” ของ A-MED/NECTEC สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผอ.สวทช. ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส และผู้อำนวยการโครงการ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กสว.) และ ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ให้การต้อนรับ ณ อาคารต้นแบบของเนคเทค (NECTEC Pilot Plant) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
โดยเมื่อ รมว.อว. เดินทางไปถึง ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส และผู้อำนวยการโครงการและ ดร.เสาวภาคย์ ธงวิจิตรมณี หัวหน้าคณะนักวิจัย ร่วมกันนำเสนอข้อมูลว่า DentiiScan (เดนตีสแกน) เป็นผลงานการคิดค้นและผลิตขึ้นมาโดยนักวิจัยไทย ใช้ประโยชน์ในการถ่ายภาพ 3 มิติของกะโหลกศีรษะและช่องปาก เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมและสุขภาพช่องปาก รวมทั้งการผ่าตัดแก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โดยในการทำงานนั้น ผู้ป่วยจะยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อให้ศีรษะของตนอยู่ที่ตำแหน่งกลางระหว่างแหล่งกำเนิดและหน่วยตรวจรับรังสีเอกซ์ ซึ่งจะหมุนรอบศีรษะผู้ป่วย 1 รอบ จากนั้น อัลกอริทึมในคอมพิวเตอร์จะนำภาพที่บันทึกไว้ทุกองศาไปคำนวณเพื่อแสดงภาพ 3 มิติของผู้ป่วย เนื่องจากรังสีเอกซ์ซึ่งออกจากแหล่งกำเนิดจะพุ่งเป็นกรวย (Cone Beam) ครอบคลุมศีรษะไปยังหน่วยรับรังสี เทคโนโลยีนี้จึงได้ชื่อว่าลำรังสีทรงกรวย ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับรังสีน้อยมาก ต่ำกว่าเครื่องเอกซเรย์ทางการแพทย์ทั่วไปถึง 10 เท่า
ศ.ดร.ไพรัช กล่าวต่อว่า ในปี 2566 ได้มีการผลิตรุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ DentiiScan Trio (เดนตีสแกน รุ่นทรีโอ) ซึ่งสามารถทำงานได้ 3 หน้าที่ โดยนอกเหนือจากทำหน้าที่ถ่ายภาพ 3 มิติและ 2 มิติแล้ว ยังให้ภาพเซฟฟาโลเมตริก (Cephalometric Image) ซึ่งเป็นภาพถ่ายรังสีกะโหลกศีรษะใช้ประโยชน์ในการวินิจฉัยและวางแผนการจัดฟันได้อีกด้วย
“นอกจากเครื่อง DentiiScan แล้วคณะนักวิจัยยังได้คิดค้นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติแบบเคลื่อนย้ายได้เรียกว่า MobiiScan (โมบีสแกน) และเครื่องขนาดเล็กไว้ตรวจหาตำแหน่งหินปูนจากก้อนเนื้อที่ตัดออกมาจากเต้านมเรียกว่า MiniiScan (มินีสแกน) ในยุคดิจิทัลและคลาวด์เป็นที่นิยมแพร่หลายนั้นก็ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ช่วยวางแผนการฝังรากฟันเทียมชื่อ DentiPlan (เดนตีแพลน) และซอฟต์แวร์แสดงภาพชื่อ RadiiView (เรดีวิว) ผ่านระบบคลาวด์บนมือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ให้ทันตแพทย์และแพทย์ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งหากต้องการก็สามารถปรึกษาทางไกลระหว่างผู้เชี่ยวชาญได้อีกด้วย” ศ.ดร.ไพรัช กล่าว
จากนั้น น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ขอชื่นชมคณะนักวิจัยไทยที่ได้คิดค้นและผลิต DentiiScan นี้ขึ้นมาเพื่อคนไทย ซึ่งปัจจุบัน DentiiScan และห้องประกอบ DentiiScan ได้รับรองมาตรฐานต่าง ๆ และขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ ที่สำคัญได้ถูกนำใช้งานในโรงพยาบาลทั่วประเทศกว่า 70 แห่ง โดยมีผู้ป่วยที่ได้รับประโยชน์มากกว่า 35,000 คน ทั้งหมดนี้ยืนยันได้ว่า นักวิจัยของไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก และสอดรับกับนโยบาย “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” ของกระทรวง อว. ตนพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเพื่อให้วงการวิทยาศาสตร์และวิจัยของไทยก้าวไปสู่ระดับโลก เพื่อการพึ่งพาตนเองซึ่งเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สุด
ข่าวประชาสัมพันธ์
“รมว.ศุภมาส” หารือผู้บริหารเอกชนด้านเทคโนโลยีแนวหน้าของเกาหลีใต้ ดึงร่วมพัฒนา AI เพื่อการศึกษาไทย หนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2567 นาย Kevin Im ผู้บริหาร SiliconCube Co ., Ltd และ นาย Dongwoo Lee ผู้บริหาร AST Co.,Ltd สาธารณรัฐเกาหลี เข้าพบ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อร่วมหารือหัวข้อ AI เพื่อการศึกษา (AI for Education) โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผอ.กองขับเคลื่อน และพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กขค.) เข้าร่วม ที่ห้องประชุมรัฐมนตรี อว. ชั้น 2 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว.
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า การหารือดังกล่าวมีการนำเสนอการใช้งาน AI ในจัดการเรียนการสอนในสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 5,000,000 ราย ใน 12 เขตพื้นที่การศึกษา มุ่งเน้นในการเรียนการสอนและการเรียนรู้แบบวัดตัวตัดโดยใช้ AI การสร้างระบบนิเวศของเนื้อหาการเรียนรู้ การพัฒนาหนังสือเรียนแบบดิจิทัล และสามารถใช้งานในรูปแบบออฟไลน์ได้ รวมถึงหารือการร่วมวิจัยและพัฒนาการใช้งาน AI ในการพัฒนาระบบการเรียนรู้ของประเทศไทย โดย AI เพื่อการศึกษาหรือ AI for Education นี้จะเป็นกลไกหนึ่งในการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถสะสมหน่วยกิตในระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank) ตามแนวทางการศึกษาแห่งอนาคต
“กระทรวง อว. ในฐานะหน่วยงานที่ร่วมขับเคลื่อนคณะกรรมการ AI แห่งชาติ โดยมี สวทช. ร่วมเป็นฝ่ายเลขานุการ มีความสนใจในประเด็นที่นำเสนอ โดยจะมีการหารือร่วมกันเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดสำหรับการใช้งานในประเทศไทย พร้อมทั้งขอให้ทางสาธารณรัฐเกาหลีอนุญาตให้สิทธิ์การเข้าใช้งานระบบ AI เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา อาจารย์ ได้ทดลองใช้ รวมถึงจะมีการศึกษาวิจัยและพัฒนาระบบการใช้งานร่วมกันต่อไป” น.ส.ศุภมาส กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘รู้ให้ไว ไตไม่วาย’ ด้วยนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคไต อว. โดย สวทช. จับมือพันธมิตรนำร่องขยายผลใช้จริงในภาคอีสาน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับโครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (CKDNET) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 7 ขอนแก่น จัดงานมหกรรมป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรัง เนื่องใน “วันไตโลก” ประจำปี 2567
พร้อมส่งมอบชุดตรวจคัดกรองโรคไต นวัตกรรมภายใต้ BCG Implementation จำนวน 3,500 ชุด พร้อมด้วยชุดตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ จำนวน 10,000 ชุด ขยายผลการใช้ประโยชน์นวัตกรรมให้กลุ่มผู้ใช้จริง นำร่องขอนแก่น ก่อนขยายครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับเกียรติจากนายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานเปิดงาน ณ หอประชุมอำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
สมาคมโรคไตนานาชาติ (International Society of Nephrology, ISN) กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมีนาคมในทุกปีเป็น “วันไตโลก” (World Kidney Day) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงภัยอันตรายจากโรคไต ปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2567 ซึ่งข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า ในประเทศไทย มีผู้ป่วยไตเรื้อรัง จำนวน 11.6 ล้านคน และมีจำนวนมากกว่า 1 แสนคนที่ต้องล้างไต ในขณะที่รายงานของ The United States Renal Data System (USRDS) พบว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงที่สุด
ผศ. ดร.ธนากร โอสถจันทร์ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ผู้แทนสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า อว. โดย สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนา “ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม” ให้เข้มแข็ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยความเชี่ยวชาญและความสามารถของ สวทช. ผ่านแผนงาน BCG Implementation ที่จะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้าง บรรลุตามเป้าหมาย 4 มิติ ประกอบด้วย การเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การสร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการพึ่งพาตนเอง
โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน เป็นหนึ่งในแผนงานหลักภายใต้การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ผ่านกลไก BCG Implementation ของ สวทช. เพื่อเป้าหมายการพึ่งตนเอง ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางด้านการแพทย์ของประเทศ ช่วยเพิ่มการเข้าถึงการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขของประชาชน ด้วยกลยุทธ์การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากการนำผลงานวิจัยนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ฯ มาสู่การใช้งานจริง ภายในงานมหกรรมป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรัง เนื่องใน “วันไตโลก” ประจำปี 2567 ที่จัดขึ้น ณ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่นด้วย
"เราส่งมอบชุดตรวจคัดกรองโรคไต นวัตกรรมภายใต้ BCG Implementation จำนวน 3,500 ชุด พร้อมด้วยชุดตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ จำนวน 10,000 ชุด ทั้งในงานนี้ และอีกหลายกิจกรรมก่อนหน้า เพื่อขยายผลการใช้ประโยชน์นวัตกรรมให้กลุ่มผู้ใช้จริง ซึ่ง สวทช. และพันธมิตร ต่างคาดหวังให้งานมหกรรมป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรัง เนื่องในวันไตโลกในวันนี้ เป็นการ Kick Off หรือเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลการใช้งานนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองและติดตามโรคไตในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ ด้วยความร่วมมือกันของพันธมิตรที่ขับเคลื่อนอย่างเข้มแข็ง เพื่อช่วยเหลือประชาชน ลดภาระและเพิ่มการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยโรคไต และยังเป็นการสนับสนุนระบบสาธารณสุขและการแพทย์ของประเทศต่อไป" ผู้บริหาร สวทช. ย้ำ
โรคไตภัยเงียบ ที่ผู้ป่วยเพียง 1.9% ที่รู้ตัวว่า ตนเองป่วยเป็นโรคไตแล้ว (ข้อมูลจาก กรมการแพทย์ 2566) ด้วยระยะต้นมักไม่แสดงอาการ แต่การทำงานของไตจะเสื่อมลง จนเข้าสู่ระยะสุดท้าย ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับการฟอกเลือด ล้างไต โดยข้อมูลจาก สปสช. ปีงบประมาณ 2564 ชี้ว่า งบประมาณค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย 9,720.28 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ข้อมูลจาก สปสช. 2563 ชี้ว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคไต 200,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งการจะรับมือได้ นอกเหนือจากการป้องกันไม่ให้เกิดโรค เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย จำเป็นต้องรู้ให้เร็ว ชะลอความรุนแรงของโรค และลดค่าใช้จ่าย ที่ยิ่งระยะท้ายๆ จะมีค่ารักษาพยาบาลที่มากขึ้น
ดร. เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน เป็นตัวช่วยลด “ช่องโหว่” ให้ประชาชนที่เดิมไม่สามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตได้ตั้งแต่ระยะต้น จากค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ค่อนข้างสูง รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขที่ให้บริการตรวจยังมีไม่เพียงพอ เพราะต้องเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ และด้านเทคนิคการแพทย์ดำเนินการตรวจในห้องปฏิบัติการ
ทีมวิจัย นาโนเทค สวทช. พัฒนา 2 เทคโนโลยีที่ตอบความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน เทคโนโลยีแรกคือ ‘AL-Strip’ เป็นชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนทั่วไปใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง ทราบผลการตรวจได้ภายใน 5 นาที เพียงหยดปัสสาวะที่เก็บใหม่ลงบนแถบตรวจ แล้วอ่านผลจากแถบสีที่ปรากฏ (คล้ายกับการใช้ชุดตรวจคัดกรองโรคโควิด-19) ก็จะทราบผลการคัดกรองได้ทันที โดยหากมีปริมาณอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นสารประกอบหลักของเลือดเจือปนอยู่ในปัสสาวะเกิน 20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ชุดตรวจจะขึ้นแถบสี 1 ขีด หมายถึง ‘มีความเสี่ยงเป็นโรคไตสูง’ ผู้ตรวจควรเข้ารับการตรวจโดยละเอียดที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยความผิดปกติของร่างกาย และเข้ารับการรักษาตามระยะของความผิดปกติ หากผู้ป่วยตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มต้น ก็จะมีโอกาสหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อชะลอความเสื่อมของไต ซึ่งอาจทำให้ไตกลับมาทำงานเป็นปกติได้
เทคโนโลยีที่สอง คือ GO-Sensor Albumin Test ชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ เพื่อการวิเคราะห์ผลทางการแพทย์ ที่ทีมวิจัยได้พัฒนาใน 2 ส่วนหลัก คือ เครื่องตรวจปริมาณอัลบูมินที่เจือปนอยู่ในปัสสาวะ ที่ใช้เวลาในการประมวลผลเพียง 10-30 นาที ขึ้นอยู่กับความละเอียดของข้อมูลที่ต้องการ หลังประมวลผลจะสามารถดูข้อมูลได้ผ่านทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน เพื่อให้แพทย์นำผลการตรวจไปใช้งานต่อได้สะดวก ส่วนที่สองคือน้ำยาตรวจที่มีความจำเพาะกับอัลบูมินของมนุษย์ มีความไวในการตรวจมากกว่าชุดตรวจทั่วไปประมาณ 100 เท่า ช่วยลดปริมาณน้ำยาที่ใช้ในการตรวจได้เป็นอย่างดี
"นอกเหนือจากความท้าทายเรื่องเทคโนโลยี เรายังให้ความสำคัญกับเรื่องราคาที่ต้องจับต้องได้ เพื่อให้ชุดตรวจ AL-Strip นี้เข้าถึงได้ง่าย เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญด้านการคัดกรองโรคไตแบบเชิงรุกเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย ในขณะที่ GO-Sensor Albumin Test จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ทุกสถานพยาบาลเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจเชิงปริมาณเพื่อการดูแลรักษาคนไข้ในพื้นที่ โดยไม่ต้องส่งตัวคนไข้หรือส่งปัสสาวะ (ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมและนำเข้ากระบวนการตรวจภายใน 24 ชั่วโมง) ไปตรวจยังสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมสูง" นักวิจัย สวทช. เผย พร้อมชี้ว่า ปัจจุบัน นวัตกรรมนี้ มีเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยี พร้อมขยายสู่เชิงพาณิชย์ให้ผู้ที่สนใจใช้งานได้ในอนาคตอันใกล้
ที่ผ่านมา สวทช. โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 7 ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อขยายผลการใช้ประโยชน์นวัตกรรมชุดตรวจทางการแพทย์ในหน่วยงานสาธารณสุขในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันขยายผลการใช้ชุดตรวจทางการแพทย์สำหรับการคัดกรองโรคติดเชื้อทางเดินหายใจและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในระบบสาธารณสุขของไทย ระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2569
ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวมีการจัดตั้ง โครงการเพื่อทดสอบการใช้ชุดตรวจอัลบูมินรั่วในปัสสาวะเชิงคุณภาพ (AL-Strip) สำหรับคัดกรองโรคไตเรื้อรังในประชาชน 2,000 ราย ปัจจุบัน นาโนเทคได้ผลิตชุดตรวจติดตามโรคไตเชิงคุณภาพ (AL-Strip) ตามมาตรฐาน ISO 13485 :2016 และผลิตในสถานประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์ (กท. สผ. 53/2563 กท. Diagnostic test kits) ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และมีแผนที่จะนำชุดตรวจดังกล่าวมาขยายผลร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อสร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นในเรื่องประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์
รศ. พญ. ศิริรัตน์ อนุตระกูลชัย ปฏิบัติการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการ CKDNET กับ สวทช. (ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือนาโนเทค) ในปี 2563 ซึ่งโครงการฯ ได้มุ่งเน้นสร้างนวัตกรรมที่คัดกรองโรคไตตั้งแต่ระยะแรกที่ต้นทุนต่ำ ใช้สะดวกและได้ผลคุ้มค่า โดยเป็นการนำนวัตกรรมไปใช้ในชุมชนและเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิก รวมถึงศึกษาวิจัยโรคไตเรื้อรังชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุซึ่งสันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับมลภาวะสิ่งแวดล้อมในดิน แหล่งน้ำและอากาศ
สำหรับงานมหกรรมป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรัง เนื่องใน “วันไตโลก” ประจำปี 2567 นี้ จะขับเคลื่อนและขยายผลการใช้ประโยชน์นวัตกรรมชุดตรวจทางการแพทย์สำหรับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ “ร้อยแก่นสารสินธุ์” ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธุ์ และ จังหวัดร้อยเอ็ด โดย CKDNET จะดำเนินการนำชุดตรวจคัดกรองโรคไต GO-sensor และ AL strip ใช้ตรวจวัดปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะ ซึ่งนาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นและได้รับอนุญาตจาก อย.(สผ.) ให้เป็นสถานที่ผลิต และมีการประเมินผลทางคลินิกแล้วระดับหนึ่ง โดยส่งมอบชุดตรวจทดสอบใช้ในพื้นที่เป้าหมายพร้อมทั้งอบรมวิธีการใช้งาน และจะมีการประเมินผลลัพธ์ของโครงการฯ จากแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้ใช้งาน และบุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาล และประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในการลดค่าใช้จ่ายการนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์จากต่างประเทศ
ดร. ภก.ณรงค์ อาสายุทธ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 7 ขอนแก่น กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความท้าทายต่อการจัดระบบบริการสุขภาพ แม้มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง ขณะเดียวกันสถานการณ์ผู้ป่วยโรคเรื้อรังยิ่งเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานตามนโยบายเพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ประชาชนคนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม มาตั้งแต่ปี 2545 การดำเนินงานตลอด 22 ปี ย่างเข้าปีที่ 23 ของ สปสช. มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ รวมทั้งได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงบริการตามสิทธิประโยชน์ที่มีคุณภาพภายใต้งบประมาณที่จำกัด ซึ่งทุกรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มคุณภาพบริการ การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการกองทุนตลอดมา
“วันไตโลก” นี้ นับเป็นโอกาสดีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้จัดการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงภัยอันตรายจากโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งเป็นโรคที่นำความทุกข์ทรมาน กระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้งของผู้ป่วยและครอบครัว ทั้งยังเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงกระทบต่อเศรษฐานะของครอบครัวและงบประมาณของภาครัฐในการจัดการทรัพยากรเพื่อดูแลรักษาพยาบาล โดยในปีงบประมาณ 2566 บริการ
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายด้วยการบำบัดทดแทนไต ปี 2566 มีจำนวนรับบริการสะสมรวม 92,666 คน (นับซ้ำในรายผู้ป่วยที่ได้รับบริการมากกว่า 1 วิธี ในรอบปี) ของเป้าหมายจำนวน 67,786 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 136.70 แยกเป็นบริการล้างไตผ่านช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (CAPD) สะสมรวมจำนวน 23,445 คน บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) สะสมรวมจำนวน 62,197 คน บริการผ่าตัดปลูกถ่ายไตรายใหม่จำนวน 284 คน และบริการรับยากดภูมิคุ้มกันหลังปลูกถ่ายไต ทั้งรายเก่าและรายใหม่จำนวน 2,852 คน นอกจากนี้ยังมีบริการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) สะสมรวมจำนวน 3,888 คน ใช้จ่ายงบประมาณในการบำบัดทดแทนไตกว่า 12,000 ล้านบาท แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในอนาคต มุ่งไปที่การบำบัดทดไตให้กับผู้ป่วยอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ และมีความพร้อมในการปลูกถ่ายไตที่อาจได้รับบริจาคในอนาคต
"สปสช. มีการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีการเปิดรับข้อเสนอมาตรการสุขภาพจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นประจำทุกปี ซึ่งข้อเสนอที่ได้จะถูกนำมาจัดลำดับความสำคัญ ก่อนที่คณะทำงานจะทำการประเมินและตัดสินใจคัดเลือกเป็นสิทธิประโยชน์ โดยมีการศึกษาผลกระทบทั้งบวกและลบจากการใช้เทคโนโลยี หรือนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจด้านนโยบายของภาครัฐ และให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยในอนาคตต่อไป" ดร. ภก.ณรงค์ย้ำ
“งานมหกรรมป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรัง” เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ณ หอประชุมอำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ได้รับการตอบรับอย่างดี โดยภายในงาน มีกิจกรรมการตรวจคัดกรองโรคไตเบื้องต้น การจัดเวทีให้ความรู้ด้านสุขภาพและกิจกรรมให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคไต การจัดฐานเพื่อสร้างการเรียนรู้ และการจัดบูทเพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ชุดตรวจคัดกรองและติดตามภาวะไตเสื่อม ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1,000 คน
ทั้งนี้่หากหน่วยงานหรือผู้สนใจชุดตรวจฯ ดังกล่าว สามารถติดต่อได้ที่ งานพัฒนาธุรกิจ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 0 2564 7100
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอ็มเทค สวทช. พัฒนา ‘XOMoCap’ แพลตฟอร์ม Motion Capture Analysis เพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหว มุ่งตอบโจทย์วิจัยและออกแบบ ‘ชุดเสริมแรง-ลดบาดเจ็บ’ ผู้สูงอายุและผู้ดูแล (XOMoCap – a numerical platform for motion capture analysis, a key tool in exoskeleton research, developed by MTEC, NSTDA.)
หนึ่งในเทคโนโลยีที่หลายประเทศทั่วโลกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การช่วยเหลือด้านการเคลื่อนไหวและลดการบาดเจ็บจากการออกแรงรูปแบบต่าง ๆ ให้แก่ผู้สวมใส่ คือ ‘ชุดเสริมแรง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดประเภท exoskeleton ที่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เพราะ ‘การเสริมแรงที่พอดี’ นอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้งานเคลื่อนไหวมั่นคงขึ้นและลดการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘XOMoCap (เอ็กโซโมแคป หรือ Exo-Motion-Capture-Analysis)’ Motion Capture Analysis Platform เพื่อใช้วิจัยและพัฒนานวัตกรรมชุดเสริมแรง-ลดบาดเจ็บให้กับผู้สวมใส่ และใช้สนับสนุนการวิจัยนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทย
[caption id="attachment_53821" align="aligncenter" width="637"] ASCII-Graphic of XOMoCap[/caption]
The utilization of exoskeletons is gaining increasing traction due to the technology’s ability to reduce risk of injury to the musculoskeletal system in the workforce or daily activities. The main objective of these body-supporting suits is to assist the user with support for efficient and safe body movements, reducing the risk of short-term injuries and chronic musculoskeletal disorders.
The Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, by means of the National Metal and Materials Technology Center (MTEC), NSTDA, has developed XOMoCap – a numerical platform for motion capture analysis for advanced investigation of body movements. It is utilized as a toolbox to aide in the research and development of exoskeletons, as well as relevant medical research studies.
‘XOMoCap’ เทคโนโลยีหนุนวิจัย Exoskeleton
‘XOMoCap’ เป็นชื่อของแพลตฟอร์มที่เดิมมีเป้าหมายในการพัฒนาเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวสำหรับออกแบบ ‘exoskeleton’ หรือชุดโครงสร้างภายนอกร่างกายซึ่งทำหน้าที่ช่วยพยุงเพื่อให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคง ต่อมาจึงมีการพัฒนาต่อยอดให้แพลตฟอร์มนี้วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวของมนุษย์ได้หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการประยุกต์ใช้กับงานประเภทอื่น ๆ
ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ XOMoCap เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำประสบการณ์จากการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ ซึ่งเคยพัฒนาให้กับภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศเยอรมนี มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์การเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ โดยแพลตฟอร์ม XOMoCap มีจุดเด่นแตกต่างจากซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ทั่วไป คือ วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวจากอุปกรณ์ motion capture ควบคู่ไปกับค่าสัญญาณไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (electromyography: EMG) ซึ่งบ่งชี้ถึงการออกแรงในการเคลื่อนไหวในคราวเดียวกันได้ ทำให้การประมวลผลแต่ละครั้งได้ข้อมูลที่ละเอียดครบถ้วน โค้ดของโปรแกรมสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานได้ จึงช่วยลดระยะเวลาและความซับซ้อนในการประมวลผลชุดข้อมูลจากกลุ่มทดสอบซึ่งมีปริมาณมากได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ซอฟต์แวร์ยังประกอบไปด้วยไลบรารีย่อยที่ทำหน้าที่เฉพาะตัว เช่น ไลบรารี Math Kernel ซึ่งมีฟังก์ชันและอัลกอริทึมด้านการคำนวณและวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ อาทิ การวิเคราะห์กระบวนการ pre-treatment สัญญาณต่าง ๆ โดยไลบลารีนี้ส่งออกข้อมูลการวิเคราะห์ได้ทั้งในรูปแบบตัวอักษรและรูปภาพ
“นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ต่อยอดการทำงานโดยการนำซอฟต์แวร์สำเร็จรูปด้าน ‘musculoskeletal modeling’ ซึ่งเป็นแบบจำลองแรงที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ โครงกระดูก และข้อต่อของมนุษย์มาใช้ในการออกแบบแรงและชุด เพื่อการเชื่อมต่อผลวิเคราะห์ระหว่างโปรแกรมแบบไร้รอยต่อ ทำให้ปัจจุบันทีมวิจัยสามารถทดสอบประสิทธิภาพ exoskeleton ว่ามีการทำหน้าที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ได้ด้วย เพราะกรณีชุดเสริมแรงมากเกินไปอาจส่งผลให้ผู้สวมใส่ต้องออกแรงต้านจนเกิดการบาดเจ็บ หรือหากมีการเสริมแรงน้อยเกินไปก็อาจไม่เกิดประโยชน์ด้านการเสริมความมั่นคงในการเคลื่อนไหวให้แก่ผู้สวมใส่”
[caption id="attachment_53820" align="aligncenter" width="650"] Evaluation of an EMG-Signal with identification of motion phases from the elbow flexion[/caption]
[caption id="attachment_53819" align="aligncenter" width="500"] Estimation of dynamic Base of Support (BoS) during a gait analysis from a Motion Capture using XSens[/caption]
XOMoCap as a tool for exoskeleton development
XOMoCap was originally developed as a tool for human motion analysis in exoskeleton-related projects. These projects at MTEC encompassed a wide spectrum of targeted utilities, for example, a soft-shell exoskeleton assisting body movements for the active elderly (Rachel) and a hard-shell exoskeleton to support weightlifting, carrying, and holding tasks in industrial applications (Ross). XOMoCap, developed as part of these projects, has increased in complexity and ability over the years, and is currently ready for expansion to a wider range of applications.
Dr.-Ing. Thanak Utakapan – A researcher in the Well-living Design Research Team (WLDT) and the main developer of the software, has extensive experience in engineering software development both in academia and industry during his time in Germany. He stated that the software has distinct advantages by means of its flexibility. Various signal types, i.e. motion data and EMG can be analyzed mutually for a complete understanding of motion sequences. Thanks to the open-source code, the system can also be extended/expanded to meet specific requirements for each research topic to enable custom evaluations. This results in extreme time-saving and complexity reduction in analysis workflow. The software also contains several modular libraries to ensure perfect integration. The software has its own Math Kernel Library for some specific signal processing algorithms, for example, in signal pre-conditioning process. There is also a library for exporting data, which is responsible for graphics and report generation. The software is bilingual, in German and English.
In the design process of exoskeletons at MTEC, a leading musculoskeletal modeling software is also used as another tool for investigation and prediction of interactions between the human body (i.e. muscle or joint forces and moments) and the environment, including the exoskeletons. The software can be used to identify optimal construction parameters of exoskeletons. XOMoCap consists of an interface which enables seamless analysis of the numerical results from this software for further investigations.
‘Rachel’ และ ‘Ross’ สองนวัตกรรมเด่นเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล
จากการสั่งสมความเชี่ยวชาญในการพัฒนาซอฟต์แวร์มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทีมวิจัยได้นำ ‘XOMoCap’ เข้าสนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม exoskeleton เพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแลรวมถึงการพัฒนาชุดเพื่อการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ แล้ว สองตัวอย่างผลงานเด่นจากเอ็มเทค สวทช. คือ ‘Rachel’ และ ‘Ross’
ดร.ธนรรค เล่าว่า ตัวอย่างผลงานวิจัยเด่นแรก คือ ‘Rachel (เรเชล)’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวได้คล่องตัว ชุดบอดีสูทนี้ทำหน้าที่ในลักษณะเป็นกล้ามเนื้อจำลองช่วยออกแรงกดไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของผู้สวมใส่ เพื่อกระตุ้นการทำงานและเสริมแรงให้แก่กล้ามเนื้อในระดับเหมาะสมตามการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างมั่นคง ทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้อย่างมั่นใจ เหมาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุในกลุ่มพฤฒพลัง (active aging)
“ส่วนตัวอย่างผลงานเด่นที่สอง คือ ‘Ross (รอส)’ บอดีสูทพยุงหลังสำหรับผู้ที่ต้องพยุงคนหรือยกสิ่งของน้ำหนักมากเป็นประจำ เช่น พยาบาลที่ต้องพยุงหรืออุ้มผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย พนักงานขนส่งที่จำเป็นต้องยกสิ่งของน้ำหนักมาก โดยชุดนี้จะทำหน้าที่ควบคุมให้ผู้ใช้งานออกแรงยกด้วยท่าสควอต (squat) ซึ่งเป็นท่าทางที่เหมาะสม พร้อมกับสะสมพลังงานไว้ในกลไกของชุดเพื่อใช้เป็นแรงผลักร่างกายตอนเปลี่ยนท่าจากย่อตัวลงยกของกลับสู่ท่ายืนตรง ช่วยทุ่นแรงให้แก่กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ และช่วยลดความเสี่ยงการบาดเจ็บให้แก่ผู้สวมใส่”
นอกจากการพัฒนาความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลงานวิจัยให้แก่นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. แล้ว ปัจจุบันทีมวิจัยยังพร้อมนำเทคโนโลยี XOMoCap และ musculoskeletal modeling เข้าสนับสนุนการวิจัยนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยด้วย
ดร.ธนรรค กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า เทคโนโลยี XOMoCap และ musculoskeletal modeling ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้หลากหลาย เช่น การออกแบบวิธีการรักษาผู้ป่วยด้วยกระบวนการกายภาพบำบัด การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยพาร์กินสันเพื่อวางแผนการรักษา การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การออกแบบอุปกรณ์ด้านสุขภาพและการแพทย์ โดยทีมวิจัยพร้อมนำความเชี่ยวชาญทั้งด้าน motion capture analysis และการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีเข้าสนับสนุน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นเมดิคัลฮับ (medical hub) ระดับโลก
[caption id="attachment_53669" align="aligncenter" width="650"] Rachel (เรเชล)[/caption]
[caption id="attachment_53670" align="aligncenter" width="650"] Rachel (เรเชล)[/caption]
[caption id="attachment_53665" align="aligncenter" width="650"] Ross (รอส)[/caption]
[caption id="attachment_53663" align="aligncenter" width="650"] Ross (รอส)[/caption]
[caption id="attachment_53664" align="aligncenter" width="650"] Ross (รอส)[/caption]
Rachel and Ross as 2 exemplary innovations for active elders and caretakers
With the enhanced capabilities of XOMoCap, it has been a vital tool in the design of Rachel, an exosuit for active elders, and Ross, an exoskeleton designed for industrial applications. Both exoskeletons were chosen as outstanding technologies by MTEC.
Dr. Utakapan described that Rachel is designed to be a soft-shell body suit to help assist daily movements for older people. The assistive force is provided by textile-based elements, which is meticulously integrated into the exosuit. The target user group is the active elderly, who may be experiencing early stages of physical decline.
Meanwhile, Ross is designed for industrial applications to support workers by means of external-load-relevant tasks as lifting, carrying, and holding objects. Therefore, Ross is suitable for several target user groups ranging from medical caretakers to factory workers. In the current research phase, the force assisting of the exoskeleton is passive: a specific amount of energy is stored during defined motion phases and subsequently released to assist and support a targeted motion. For example, during a squat-lifting task, the energy is stored into the exoskeletons while the user is descending, while preparing for weight-lifting. This energy is then released to support the body during the ascending motion. Furthermore, the force transfer within the exoskeleton is designed to help minimize injuries, especially in the lower back area.
Besides supporting the research at MTEC, the research team stated that this tool can be utilized in several motion analysis applications to support researchers in medical applications as well as SMEs.
Dr. Utakapan encourage the utilization of XOMoCap and numerical simulation of musculoskeletal modeling in further research projects, for example, in physical rehabilitation, sports medicine, and designing sport or medical machines. Also possible is the analysis of abnormal movements like those due to Parkinson’s disease.
The research team is now intensifying their expertise in motion capture analysis and developing equipment to support well-living. This is another contribution from Thailand, empowering the country as one of the world's major medical hubs.
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ อีเมล thanaku@mtec.or.th เบอร์โทรศัพท์ 025646500 ต่อ 4381
In case of interest, please contact Dr.-Ing. Thanak Utakapan, E-mail: thanaku@mtec.or.th, Tel. (+66) 2564 6500 ext. 4381
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. (เวอร์ชันภาษาไทย) และ ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. (เวอร์ชันภาษาอังกฤษ)
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ เอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ผนึกกำลัง มธ. – OR พัฒนานวัตกรรมสู่ความยั่งยืน
สวทช. ร่วมกับ ม.ธรรมศาสตร์ และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ลงนามความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน
โดยทั้ง 3 หน่วยงานจะร่วมกันผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผ่านโครงการความร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครงการวิจัยการพัฒนาระบบตรวจวัดสำหรับการวิเคราะห์เอทานอลในน้ำมันเชื้อเพลิง และโครงการร่วมวิจัยการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตกาแฟ เป็นการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปส่งเสริมและยกระดับภาคธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG และ SDGs ของประเทศ.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช.จัดโครงการรับนักเรียน ม.ปลาย-ครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัยภาคฤดูร้อนปี 2567
(วันที่ 11 มีนาคม 2567) ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดกิจกรรม “ปฐมนิเทศ: ยินดีต้อนรับสู่ สวทช.” โครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2567 ให้แก่นักเรียนและครูในโครงการฯ เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายไปฝึกทักษะการทำวิจัยในแต่ละห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. โดยมีนักวิจัย สวทช. เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดความรู้และให้คำแนะนำเป็นระยะเวลา 2 เดือน ระหว่างวันที่ 11 มีนาคม จนถึง 9 พฤษภาคม 2567
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเปิดกิจกรรมฯ ว่า สวทช. ได้ริเริ่มโครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ตั้งแต่ปี 2561 เป็นปีแรก จนถึงปัจจุบันนับเป็นปีที่ 7 แล้ว ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยรวมแล้วมากกว่า 350 คน และนับเป็นปีที่ 3 ที่มีครูวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ทักษะวิจัยนักวิจัย สวทช. ซึ่งการได้มาเห็นบรรยากาศของการทำงานในห้องปฏิบัติการวิจัยของนักวิจัยแบบมืออาชีพ ได้ร่วมลงมือปฏิบัติงานจริง ได้ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการวิจัย ซึ่งจะเป็นการช่วยทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการทำวิจัย อีกทั้งจุดประกายให้เห็นเส้นทางอาชีพนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ในอนาคตด้วย
สำหรับในปีนี้มีนักเรียนจากโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายได้รับคัดเลือกและยืนยันเข้าร่วมโครงการ รวมจำนวน 89 คน และมีครูวิทยาศาสตร์ จำนวน 9 คน รวมทั้งหมดมีผู้เข้าร่วมโครงการ 98 คนจาก 58 โรงเรียนทั่วประเทศ นักเรียนและครูจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิจัย สวทช. ซึ่งจะเป็นพี่เลี้ยงหลักดูแลให้คำปรึกษาจำนวน 28 คน และผู้ช่วยวิจัยในทีมอีกจำนวนหนึ่งช่วยดูแลเพิ่มเติม โดยศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช. ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค)
กิจกรรมในวันปฐมนิเทศครั้งนี้มีตัวแทนนักวิจัยมาร่วมต้อนรับและบรรยายหัวข้อ “ใจฟูไปกับงานวิจัย” โดย ดร.อุดม แซ่อึ่ง นักวิจัย ทีมวิจัยการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้สารชีวโมเลกุล กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และยังมีกิจกรรม “ปรับตัว เปิดใจ พบเพื่อนใหม่เส้นทางสายวิทยาศาสตร์” และ “แนะนำสถานที่ กฎระเบียบการเข้าพักบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร” เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนได้ทำความรู้จักและสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกันที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรตลอดระยะเวลา 2 เดือน นอกจากนี้มีนักเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการในปี 2566 ได้มาร่วมแชร์ประสบการณ์การเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยและประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ
ข่าวประชาสัมพันธ์
มาตรการ CBAM ใครพร้อม…ได้ไปต่อ ชวน ‘ทำความเข้าใจ’ และ ‘เตรียมความพร้อม’ เรื่องการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน EU
'CBAM' ย่อมาจาก 'Carbon Border Adjustment Mechanism' หรือ 'มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน' เป็นมาตรการที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนดขึ้นเพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่ประเทศคู่ค้านอกสหภาพยุโรป 'ผ่านการใช้มาตรการด้านคาร์บอน' โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง (carbon intensive products)
ปัจจุบันมาตรการ CBAM มีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้วโดยอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ก่อนเริ่มเก็บค่า CBAM certification หรือเอกสารรับรองการจ่ายค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจากผู้นำเข้าสินค้าในปี 2569 เป็นต้นไป
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาของสินค้าเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงและเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สินค้ามีราคาที่แข่งขันในตลาด EU ได้
ปัจจุบัน CBAM เริ่มนำร่องมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนจากสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูงแล้ว โดยสินค้า 6 ประเภทแรกที่มีผลบังคับใช้ คือ 1) ซีเมนต์ 2) พลังงานไฟฟ้า 3) ปุ๋ย 4) ไฮโดรเจน 5) เหล็กและเหล็กกล้า 6) อะลูมิเนียม โดยมาตรการ CBAM มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566
ทั้งนี้ EU ได้กำหนดระยะเวลาบังคับใช้เป็น 3 ช่วงหลัก ดังนี้
ปี พ.ศ. 2566-2568 (ค.ศ. 2023-2035) เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือ 'transitional period' ผู้นำเข้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำหนด โดยยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน
ปี พ.ศ. 2569-2577 (ค.ศ. 2026-2034) เป็นช่วงบังคับใช้ หรือ 'definitive period' ผู้นำเข้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้านำเข้า และต้องซื้อ CBAM certificates ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของกลุ่มประเภทสินค้านั้น ๆ ซึ่งในระยะนี้ EU จะทยอยลดสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (free allowances) ลง
ปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) เป็นต้นไป เป็นช่วงที่ EU บังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบหรือ ‘full implementation’ โดย EU จะยกเลิกสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (free allowances) ของทุกภาคอุตสาหกรรม
ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ระยะเปลี่ยนผ่าน (พ.ศ. 2566-2568) แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศจึงควรเร่งจัดทำฐานข้อมูลด้านการปล่อยคาร์บอนตลอดกระบวนการผลิต เพื่อให้เมื่อถึงปี พ.ศ. 2569 ผู้ประกอบการไทยจะมีข้อมูลพร้อมแสดงต่อ EU ทำให้ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีอุปสรรคมาทำให้การดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงัก โดยข้อมูลที่ละเอียดและชัดเจนจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันอีกด้วย
ตัวอย่างการนำฐานข้อมูลด้านการปล่อยคาร์บอนของแต่ละอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ เช่น 'ภาครัฐ' ใช้วางนโยบายและกฎเกณฑ์สีเขียวสำหรับสินค้าส่งออกและนำเข้า 'ภาคเอกชน' ใช้วางแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน 'ภาคการวิจัยและภาคการศึกษา' ใช้พัฒนาเทคโนโลยีให้สอดรับกับความต้องการของประเทศ
หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวผ่านมาตรการ CBAM ได้อย่างยั่งยืน คือ การนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประเทศไทยเองก็มีการตั้งเป้าหมายไว้เช่นกันว่า 'ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) หรือก่อนหน้า'
แนวทางสู่ Net Zero' ประกอบไปด้วย
จัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจ
พัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานหรือบริษัท
ปรับโครงสร้างพลังงาน เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน
บริหารกระบวนการผลิตให้ลดการปล่อยคาร์บอน และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (circular design)
เพิ่มสัดส่วนการหมุนเวียนวัสดุ
ใช้เทคโนโลยีกักเก็บและใช้ประโยชน์คาร์บอน (CCUS) และใช้การกักเก็บคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ (nature based solution)
การนำแนวทางเหล่านี้ไปใช้จะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก้าวผ่านมาตรการ CBAM รวมถึงเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาวด้วย ทั้งนี้แต่ละภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ต่างมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันพัฒนากลไกสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยน เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้
ที่ผ่านมากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ก้าวผ่านมาตรการ CBAM ได้อย่างราบรื่นด้วยแล้วเช่นกัน โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำความพร้อมและความเชี่ยวชาญเข้าดำเนินงานดังนี้
TIIS จัดทำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตเพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของสินค้าขั้นพื้นฐานและพลังงานของประเทศไทยมาโดยตลอดกว่า 15 ปี ทำให้พร้อมนำฐานข้อมูลสนับสนุนแต่ละภาคส่วนก้าวผ่าน CBAM ทั้งด้านการประเมินคาร์บอนของกระบวนการผลิตและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้วางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในปี พ.ศ. 2566 TIIS ดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เพื่อใช้ในการจัดทำรายงาน CBAM รวมถึงเป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ
ปัจจุบัน TIIS กำลังขยายการสนับสนุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการกับกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนการบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดำเนินงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้หลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของ TIIS และศูนย์แห่งชาติภายใต้ สวทช. ซึ่งหลังจากนี้ สวทช. จะยังคงดำเนินงานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เว็บไซต์ www.nstda-tiis.or.th หรืออีเมล admin-tiis@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


