ผลการค้นหา :

สวทช. ใช้ จุลินทรีย์ ดีๆ เพื่อประโยชน์รอบด้าน
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 4.7 MB (4724 x 3406) | 2.6 MB (2953 x 2129) | 1.3 MB (1772 x 1277)
NSTDA Infographic

สวทช. พัฒนานวัตกรรมเพิ่มกำไรยาง
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 5 MB (3543 x 7696) | 3 MB (2362 x 5313) | 1 MB (1181 x 2657)
NSTDA Infographic

เมื่อข้าวคือหัวใจ… สวทช. ช่วยอะไรได้บ้าง?
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 5 MB (3543 x 3443) | 2.8 MB (2362 x 2296) | 1 MB (1181 x 1148) | 244 KB (800 x 777)
NSTDA Infographic

เมื่อข้าวคือหัวใจ สวทช.ช่วยอะไรได้บ้าง?
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 5 MB (2230 x 6136) | 2 MB (1181 x 3250) | 1 MB (787 x 2167) | 200 KB (800 x 2201)
NSTDA Infographic

สวทช. พัฒนา “อีแต๋นรุ่นใหม่ ไฉไลกว่าเดิม”
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 2.6 MB (4266 x 3200) | 958 KB (1969 x 1476) | 886 KB (1800 x 1350)
NSTDA Infographic

ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปี 2549 -2556
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีพันธกิจหลักในด้านการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีที่มีความสำคัญเพื่อมุ่งให้เกิดผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ และยังมีพันธกิจด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี พัฒนากำลังคน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยการดำเนินงานเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในภาครัฐสถาบันการศึกษา และเอกชน เพื่อสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและความสามารถในพึ่งพาตนเองในภาคการผลิตและบริการ และส่งเสริมให้เกิดการนำวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในการสร้างความเข็มแข็งแก่ภาคอุตสาหกรรม SMEs และชุมชน ดังนั้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผลิตผลงานวิจัยที่ตอบสนองโจทย์ความต้องการของประเทศอย่างแท้จริง สวทช. จึงให้ความสำคัญกับการรับโจทย์วิจัยจากภาคเอกชน ชุมชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเครือข่ายพันธมิตรของอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งมีสำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (Technology licensing Office:TLO) เป็นกลไกผลักดันการถ่ายทอด ผลงานวิจัยออสู่เชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง (more…)
เอกสารเผยแพร่

องค์กรของรัฐต้องทำ KM หรือไม่
องค์กรของรัฐจำเป็นต้องมีกระบวนการจัดการความรู้ หรือทำ KM หรือไม่ ... บอกไม่ยากเลยครับ เริ่มจากการไปหาข้อมูลกฎหมายต่างๆ ก่อนครับว่ามีระบุเรื่องนี้ไว้หรือครับ ในที่สุดก็พบว่าในมาตรา 11 ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้ระบุไว้ว่า
ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้ อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้ง ต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากร ที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ ในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้สอดคล้องกับการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามพระราชกฤษฎีกานี้
นอกจากนี้ในเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ปี 2554 โดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ก็ได้กำหนดรายละเอียดในส่วนนี้ไว้ดังนี้
การจัดการความรู้
ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการจัดการความรู้เพื่อให้เรื่องต่อไปนี้บรรลุผล
การรวบรวม และการถ่ายทอดความรู้ของบุคลากรในส่วนราชการ
การรับการถ่ายทอดความรู้ที่มีประโยชน์จากผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และองค์กรอื่น
การแสวงหาและแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรเพื่อให้ความรู้ขององค์กรมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้
ความครอบคลุม
ความรวดเร็ว
ความถูกต้อง
ความทันสมัย
ความเชื่อมโยง
ความน่าเชื่อถือ
ความสามารถในการเข้าถึง
ความสามารถในการตรวจสอบ
การมีส่วนร่วมในกระบวนการข้อมูล
ความปลอดภัย
การักษาความลับ
ความพร้อมใช้งานของข้อมูลและสารสนเทศ
ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการทำให้ข้อมูลและสารสนเทศที่ต้องการ มีความพร้อมใช้งาน และทำให้บุคลากร ผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และองค์กรอื่นๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกันสามารถเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศดังกล่าว
ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการทำให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสารสนเทศ (ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) ที่ใช้ในส่วนราชการมีความเชื่อถือได้ ปลอดภัยและใช้งานง่าย
ส่วนราชการมีวิธีการอย่างไรในการทำให้ระบบการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศดังกล่าวเหมาะสม และทันสมัยอยู่เสมอ
การจัดการความรู้ (KM)

สวทช. กับเทคโนโลยีป้องกันภัยในหน้าฝน
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 5 MB (5389 x 3934) | 3 MB (3937 x 2874) | 1 MB (1969 x 1437) | 93 KB (800 x 584)
NSTDA Infographic

โอ๊ยปวดฟัน สวทช. ช่วยที
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 5 MB (4724 x 4480) | 2 MB (2362 x 2240) | 850 KB (1181 x 1120) | 198 KB (800 x 759)
NSTDA Infographic

ต้นวิจัย ใบเศรษฐกิจ ผลิตผลสังคม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ของประเทศ สวทช. เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. ไม่ได้เป็นองค์กรแสวงหากำไร ทำหน้าที่ด้านวิจัย พัฒนา ถ่ายทอดความรู้สู่ภาคเอกชน/ชุมชน พัฒนาคน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวทน. สวทช. มีห้องปฏิบัติการวิจัย เป็นจำนวนกว่า 50 ห้อง โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่อิงความรู้ รวมทั้งให้การสนับสนุนภาคเอกชนทางการเงิน การลงทุน ด้วยกลไกทางภาษีร่วมกับ BOI และกรมสรรพากร และการสร้างเครือข่ายการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ หนังสือเล่มนี้ ตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อให้บุคคลทั่วไป ได้รับทราบถึงผลงานของสวทช. ในเรื่องสำคัญๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป้าหมายที่อยากเห็นคือ ประชาชนทั่วไป ที่อาจจะไม่เข้าใจบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับการพัฒนาชาติไทยมากนัก สามารถรับรู้ได้ว่า คนไทย สังคมไทย ได้ประโยชน์อะไรบ้างจากงานของ สวทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ทำหน้าที่พัฒนาและขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และมีนักเรียนทุนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาโทและเอกจากสถาบันชั้นนำในต่างประเทศปฏิบัติงานอยู่เป็นจำนวนมาก ผลงานต่างๆ เหล่านี้ เกิดจากการทำงานร่วมกับพันธมิตรจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา จำนวนมาก เพื่อให้งานที่ออกจากห้องปฏิบัติการวิจัย สามารถส่งมอบสู่สังคมหรือผู้ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สวทช. พร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชน ที่ตั้งใจจะนำ วทน. ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของตนเองอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของประเทศไทยในเวทีโลก เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกท่าน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยมีกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างสรรค์มากขึ้น และภาคเอกชนและสังคมไทย ได้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์จนเป็นที่ประจักษ์ ดาวน์โหลดเอกสาร PDF [Size : 7 MB]
เอกสารเผยแพร่

เมื่อคุณป่วย สวทช. ช่วยอะไร
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 5 MB (3822 x 4125) | 3 MB (2657 x 2868) | 1 MB (1181 x 1275) | 211 KB (800 x 863)
NSTDA Infographic

อุปนิสัยการสร้างสรรค์และรู้จักเลือก
คำว่า Be Proactive เป็นคำที่ปรากฏในหนังสือชื่อ "The 7 Habits of Highly Effective People" ซึ่งเขียนโดยนักเขียนชื่อดังอย่าง สตีเวน อาร์โควีย์ ( Stephen R. Covey) นับเป็นผู้ให้แนวคิดเรื่องนี้โดยตรง ทั้งนี้หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี และถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่ม
เนื้อหาในหนังสือได้กล่าวถึงนิสัย 7 ประการของผู้ที่ประสบความสำเร็จ อันประกอบด้วยเนื้อหาย่อยเกี่ยวกับแผนที่ในการดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่ความสำเร็จ วิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ เนื่องจากผู้เขียนได้ให้แง่คิดว่ามนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอยู่ 3 อย่างคือ
มีสามัญสำนึกรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
มีพลังจิต
ดังนั้นการเอาใจใส่และหมั่นฝึกฝนคุณลักษณะดังกล่าว จนกลายเป็นนิสัย จะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ผู้เขียนได้กล่าวว่า กรอบในการมองโลก (paradigm) หรือนิสัยของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของคนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วยความเคยชินทำให้คนเรานั้นไม่เคยฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู่นั้นถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะเอาความคิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน
ดังนั้น ผู้แต่งจึงแนะนำให้หยุดทบทวนแนวความคิด มุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือตลอดมาว่า สิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริง สิ่งไหนคิดผิดให้คิดใหม่แก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ นอกจากนั้นผู้เขียนยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการมีสมองข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถควบคุมการทำงานของสมองด้านซ้ายได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ และการมีอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นการพัฒนาการทำงานของสมองด้านขวาได้เป็นอย่างดี
จากเหตุผลข้างต้น องค์กรต่างๆ จึงเลือกนำเนื้อหานี้มาเป็นหลักสูตรฝึกอบรมให้กับบุคลากร โดยเฉพาะบุคลากรในกลุ่ม “ผู้นำ หรือผู้บริหาร” เพราะคําว่า “ ผู้นํา หรือผู้บริหาร” เป็นมากกว่าคําเรียกตําแหน่ง เพราะองค์กรจะประสบความสำเร็จ ย่อมต้องอาศัย “ความเป็นผู้นำ” จาก “บุคลากรทุกคน” โดยการบ่มเพาะอุปนิสัยที่เหมาะสมให้เกิดขึ้นกับบุคลากรทุกคน อันจะนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
ลักษณะนิสัยแรกจาก 7 ประการที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง คือ อุปนิสัยการสร้างสรรค์และรู้จักเลือก (Be Proactive)
อุปนิสัยการสร้างสรรค์และรู้จักเลือก (Be Proactive) คือการมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และผลที่เกิดจากการกระทำนี้คืออะไร รู้ว่าขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด สถานการณ์ปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยสิ่งต่างๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไรต่อตัวเราบ้าง และเรามีการตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอย่างไร ตอบสนองด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน
บุคลที่มีอุปนิสัยที่ 1 นี้คือคนที่เลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำ คือคนที่ "รู้ตัวว่าเลือกได้" คนที่มีนิสัยแบบนี้ จะมีความกระตือรือล้น เป็นคนที่ Active เป็นคนที่รู้ว่า ตัวเองต้องการอะไร คนที่ Proactive จะไม่รอให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา แต่เขาจะเป็น คนทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ด้วยตัวเขาเอง เพราะเมื่อเขาเลือกที่จะเป็น เมื่อเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เขาก็จะมีความริเริ่มที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในทันที สรุป Be Proactive คือ อะไรไม่เคยทำ ต้องเรียนรู้ ทำให้ได้ ทำให้เกิดความชำนาญ
อุปนิสัยที่ 1 จะเป็นพื้นฐานของของอุปนิสัยที่ 2 – 7 ถ้าไม่สามารถสร้างอุปนิสัยที่ 1 ได้ก็จะไม่สามารถสร้างอุปนิสัยที่ 2 – 7 ได้
การจัดการความรู้ (KM)