หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
[NAC2023] แนะนำหัวข้อสัมมนาเด่นและน่าสนใจในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18
[NAC2023] แนะนำหัวข้อสัมมนาเด่นและน่าสนใจในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 วันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายในงานพบกับการสัมมนามากกว่า 40 หัวข้อครอบคลุมองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่หลากหลาย.... สามารถลงทะเบียนร่วมงานฟรี www.nstda.or.th/nac หัวข้อสัมมนาวันที่ 28 มีนาคม 2566 พลิกโฉมการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (คลิก) BCG Naga Belt Road...หนทางแห่งความสำเร็จการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก (คลิก) Empowering sciences and technology for sustainable conservation programs (คลิก) ความสำเร็จโครงการ TIME & WiL ยกระดับขีดความสามารถ พัฒนาคนตอบโจทย์อุตสาหกรรม (คลิก) การสร้างการใช้งานเครือข่าย 5G (ที่ไม่ใช่เครือข่ายสาธารณะ) บนคลื่นความถี่ร่วม (คลิก) หัวข้อสัมมนาวันที่ 29 มีนาคม 2566 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ด้วย Synthetic Biology Technology (คลิก) การวิจัยและพัฒนา (พลังงาน-อาหาร-ก่อสร้าง) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (คลิก) การปลูกไม้ไผ่เศรษฐกิจ โดยบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (คลิก) Symposium on Materials Modeling and Artificial Intelligence for Materials Design(คลิก) การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารใหม่ด้วยเทคโนโลยีแพลตฟอร์มการผลิตส่วนผสมฟังก์ชันและอาหารอนาคต (คลิก) การสร้างความเข้าใจข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติตามเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียว (คลิก) Synergy towards sustainability from Thai and UK research collaborations (คลิก) องค์ความรู้พื้นฐานด้าน High throughput phenotyping และการใช้ประโยชน์จาก NSTDA-Plant Phenomics (คลิก) เทคโนโลยีการฟื้นฟูขั้นสูงเพื่อความงามและสุขภาพ (คลิก) บทบาทของจริยธรรมในการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (คลิก) จากโคกอีโด่ยวัลเลย์ สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน(คลิก) นวัตกรรมสู่อนาคตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน (คลิก) พลิกวิกฤติโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกรเป็นโอกาสด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (คลิก) การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อความยั่งยืน (คลิก) หัวข้อสัมมนาวันที่ 30 มีนาคม 2566 อุตสาหกรรม 4.0: การเตรียมความพร้อม หุ้นส่วนความร่วมมือ แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และสิทธิประโยชน์ (คลิก) เทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมระบบราง (คลิก) 3 หัวใจหลัก ของการส่งเสริมชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช เพื่อผลักดันการเกษตรยั่งยืน สู่โมเดลเศรษฐกิจ BCG: ผู้ผลิตชีวภัณฑ์ เกษตรกรผู้ปลูกพืช และตลาดเกษตรปลอดภัย/อินทรีย์ (คลิก) “ราชพฤกษ์อวกาศ” เมล็ดพันธุ์อวกาศสู่ต้นกล้าเพื่อการเรียนรู้ (คลิก) จีโนมิกส์ประเทศไทย: การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย (คลิก) ภูมิปัญญาผ้าทอไทยเพื่อคนรุ่นใหม่สู่การเป็นนักออกแบบดีไซน์เนอร์ (คลิก) การเพิ่มศักยภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล กรณีศึกษา หม้อไอน้ำสำหรับการผลิตไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาล และพืชทางเลือก (คลิก) บทบาทและแนวทางการขับเคลื่อนเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (คลิก) การส่งเสริมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยียานยนต์ขับขี่อัตโนมัติสำหรับเมืองต้นแบบในอนาคต (คลิก) Synergy towards research collaboration between NSTDA and University of Strathclyde, UK (Click) องค์ความรู้พื้นฐานด้าน High throughput phenotyping และการใช้ประโยชน์จาก NSTDA-Plant Phenomics (คลิก) ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นขนาดเล็ก (คลิก) อนาคตเกษตรอินทรีย์ไทย "นวัตกรรม" ช่วยได้อย่างไร (คลิก) ขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนด้วย TRL (คลิก) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ และโอกาสของประเทศไทยในการเป็นผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชระดับโลก (คลิก) ติดอาวุธอุตสาหกรรมไทย ด้วย การออกแบบตามหลักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (คลิก) หัวข้อสัมมนาวันที่ 31 มีนาคม 2566 (ร่าง) การวิจัยพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีในการสนับสนุน BCG (คลิก) การขับเคลื่อน BCG ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ: ผลิตภัณฑ์ไบโอรีไฟเนอรี จากแป้งมันสำปะหลัง (คลิก) เทคโนโลยีชุดบอดี้สูท “เรเชล – นวัตกรรมสำหรับสังคมอายุยืนที่ช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ” เส้นทางสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ (คลิก) การปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยาไทยหลังโควิด (คลิก) พิธีมอบประกาศนียบัตร โครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที (คลิก) Nano-enable sustainable materials for green-economy (Click)
ปฏิทินกิจกรรม
 
‘Magik Color’ แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ชูข้อดีของสีแบบไทยๆ
  ‘แป้งพิมพ์ผ้า’ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่อุตสาหกรรมสิ่งทอทั่วโลกใช้พิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้าเพื่อถ่ายทอดผลงานการออกแบบ แต่แป้งพิมพ์ส่วนใหญ่ที่มีการใช้งานในปัจจุบันเป็น ‘แป้งพิมพ์ที่มีสีเคมีเป็นส่วนผสม’ ซึ่งอาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา 'Magik Color แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ' เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการลดการใช้สารเคมี โดยผลิตภัณฑ์นี้นำจุดแข็งเรื่องความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทยมาใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ‘ให้มีสีสันสดใส หลากหลายเฉดสี’ ด้วย   [caption id="attachment_40752" align="aligncenter" width="450"] ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า สิ่งที่ทีมให้ความสำคัญในการวิจัยมาตลอดคือการพัฒนา ‘ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ที่ผ่านมาจึงมีการวิจัยสีสำหรับย้อมเส้นด้ายและผ้าจากวัตถุดิบธรรมชาติหลายชนิด หนึ่งในผลงานที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว คือ 'แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ 6 เฉดสี' ที่ใช้พิมพ์ได้ทั้งเทคนิค Silk screen printing, Block printing และ Stencil printing พิมพ์ได้ทั้งผ้าเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์ (ผลิตภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถใช้งานกับเทคนิค Rotary screen printing ได้)   [caption id="attachment_40753" align="aligncenter" width="650"] การพิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]   [caption id="attachment_40754" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างลายผ้าที่พิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]   “ผงสีที่ใช้เป็นส่วนประกอบของแป้งพิมพ์สีธรรมชาติสกัดมาจากวัตถุดิบ 4 ชนิด คือ ‘ครั่ง’ ที่ให้สีแดงและชมพู ‘ดอกดาวเรือง’ ให้สีเหลืองและน้ำตาลแดง ‘เปลือกต้นโกงกาง’ ให้สีน้ำตาลเหลือง และ ‘เปลือกผลชาน้ำมัน’ ให้สีเทาดำ ซึ่งวัตถุดิบ 2 อย่างหลังนี้มีจุดเด่นเรื่องการนำขยะจากอุตสาหกรรมอื่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เปลือกโกงกางเป็นขยะจากการผลิตถ่านหุงต้มที่คนจังหวัดสมุทรสงครามผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและส่งออก ส่วนเปลือกผลชาน้ำมันเป็นขยะจากการผลิตน้ำมันประกอบอาหาร ทีมูลนิธิชัยพัฒนาส่งเสริมให้เกษตรกรภาคเหนือปลูกและแปรรูป โดยหลังจากนี้ทีมวิจัยจะพัฒนาเฉดสีอื่นๆ ออกมาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น”   [caption id="attachment_40755" align="aligncenter" width="650"] วัตถุดิบที่ใช้ในการสกัดเพื่อทำผงสี[/caption]   [caption id="attachment_40756" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างเฉดสีที่พิมพ์ลงบนผ้า[/caption]   การสกัดผงสีจากวัตถุดิบธรรมชาติมาใช้ทำผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์ผ้านี้งานทำให้ในภาพรวมผลิตภัณฑ์สามารถช่วยลดสัดส่วนการใช้สารเคมีได้มากกว่าร้อยละ 20 ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เป็นสารเคมีก็ผ่านการทดสอบเพื่อรับรองความปลอดภัยแล้ว ดร.มณฑล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติ นอกจากผงสีแล้วยังมีวัตถุอื่นๆ เป็นส่วนประกอบหลัก อาทิ สารช่วยเพิ่มความหนืด สารเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องการยึดติด สารปรับเฉดสี โดยทีมวิจัยได้นำเบสแป้งพิมพ์ที่ผสมวัตถุดิบตั้งต้นทั้งหมดแต่ยังไม่ได้ใส่ผงสีธรรมชาติไปตรวจสอบตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ผลการตรวจสอบพบว่าเบสแป้งพิมพ์ที่ทีมวิจัยใช้ปราศจาก ‘สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)’ ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ สารชนิดนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก และระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังเป็นสารก่อโรคมะเร็งด้วย “อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจแก่ผู้สนใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ คือ สีจากธรรมชาติไม่คงทนเท่าสีเคมี โดยสูตรที่พัฒนาขึ้นนี้ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบแล้วว่าสามารถซักแบบถนอมเนื้อผ้าด้วยสารซักล้างที่มีความอ่อนโยนต่อเนื้อผ้า เช่น น้ำยาซักผ้าเด็ก ได้มากกว่า 30 ครั้ง ในแต่ละรอบการซักสีจะค่อยๆ อ่อนลงทีละเล็กน้อย”   [caption id="attachment_40757" align="aligncenter" width="450"] การอ่อนลงของสีในแต่ละรอบการซัก[/caption]   ปัจจุบันผลงานแป้งพิมพ์สีธรรมชาติอยู่ในสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ โดยทีมวิจัยได้เริ่มขยายผลสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) แล้ว ดร.มณฑล เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้เรื่องการใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติไปถ่ายทอดให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแล้วหลายจังหวัด อาทิ สมุทรสงคราม น่าน ลำพูน เชียงใหม่ เพราะเป็นกลุ่มที่จำหน่ายผ้าทอจากเส้นใยธรรมชาติที่มักมีการ ‘นำวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่นมาใช้ผลิตสีสำหรับย้อม’ ดังนั้นแล้วการนำเทคนิคการพิมพ์เข้าไปถ่ายทอดจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการสร้างสรรค์ลวดลายบนผืนผ้าหรือผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น แตกต่าง หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการลงพื้นที่ไปถ่ายทอดองค์ความรู้ ทีมวิจัยได้ร่วมกับชุมชนต่างๆ ทดลองผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติจากวัตถุดิบท้องถิ่นเพื่อชูอัตลักษณ์ของชุมชนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าด้วย     “สำหรับในกลุ่ม SMEs ทีมวิจัยได้นำผลิตภัณฑ์ไปเปิดตัวในงานนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ โดยมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองสีละ 80 และ 250 กรัม ให้ผู้ประกอบการได้นำไปทดลองใช้ ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าเป็นกลุ่ม SMEs แล้วทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการผลิตส่วนใหญ่มักเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีลวดลายพิเศษแตกต่างกับผลิตภัณฑ์จากโรงงาน ทำให้สินค้าที่จำหน่ายมีราคาสูงกว่าทั่วไปและมีตลาดเฉพาะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยแป้งพิมพ์สีเคมี นอกจากนี้ทีมวิจัยและทีมประชาสัมพันธ์จากเอ็มเทค สวทช. ยังได้จัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจทดลองใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติสร้างสรรค์ผลงานศิลปะลงบนผืนผ้าในงานมหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย”   [caption id="attachment_40761" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์ Magik Color[/caption]   แป้งพิมพ์สีธรรมชาติเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ที่มุ่งเน้นส่งเสริมผู้ประกอบการให้หันมาลดการใช้สารเคมีและพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นขณะเดียวกันการพัฒนาสีจากธรรมชาติยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย รวมถึงช่วยต่อยอดผ้าทอไทยให้มีสีสันสวยงามหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ มีความทันสมัย และตอบโจทย์กระแสแฟชั่นโลกที่กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมสิ่งทอสู่ความยั่งยืน สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติในระดับอุตสาหกรรม หรือสนใจทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค สวทช. โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรือ อีเมล chanitw@mtec.or.th ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCG Economy Model เพิ่มเติมได้ที่ www.bcg.in.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
วช. สวทช. สกสว. ยกทัพผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยเพื่อ SMEs จัด Innovative House Awards 2023 สร้างสินค้านวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ
(1 มีนาคม 2566) ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ อาคารสยามสแควร์ วัน ชั้น 7 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ ดร.อติชาต พฤฒิกัลป์ ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมพิธีเปิดงาน INNOVATIVE HOUSE WE MAKE IT CHANGE BY NRCT+NSTDA+TSRI ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือของโครงการ “การสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง” ที่มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในด้านการสนับสนุนทุนวิจัยด้วยการสร้างองค์ความรู้ที่เหมาะสม ผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจและการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กได้เข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนำนวัตกรรมที่ได้ไปใช้ในการแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาผลิตภัณฑ์จนสามารถผลักดันสินค้าไปสู่เชิงพาณิชย์ ภายใต้แนวคิด  “วิจัยได้...ขายจริง”  ผ่านกลไกการทำงานของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. และ ชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house วช. โดยการจัดสรรทุนวิจัยจาก สกสว. ให้แก่ นักวิจัย คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอางและเวชสำอาง (กลาง) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. (ซ้าย)นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 วช. (ขวา) ดร.อติชาต พฤฒิกัลป์ ที่ปรึกษา สกสว.  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งขับเคลื่อนการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปก่อให้เกิดประโยชน์ในภาคเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งโครงการนี้สามารถช่วยให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ได้นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้จริง ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้สามารถสร้างสินค้าที่แตกต่างและโดดเด่นตอบโจทย์ความต้องการได้มากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ ส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยต่อไป นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 วช. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงานในการใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการสร้างและพัฒนาสินค้านวัตกรรมสำหรับ SMEs โดยมีกลไกการทำงานที่มีการบริหารจัดการโครงการวิจัยแบบบูรณาการคือใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการวิจัยและพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิต ร่วมกับการจัดการธุรกิจและการตลาดที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ โดยใช้การตลาดเป็นตัวนำเพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์และความต้องการของกลุ่มลูกค้า รวมไปถึงการใช้แนวความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้าและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถบอกเล่าเรื่องราวและสร้างจุดขายของสินค้า นอกจากนี้ยังได้มีการเสริมกิจกรรมในการให้ความรู้ผู้ประกอบการ SMEs ในด้านต่างๆ ให้สามารถผลักดันสินค้านวัตกรรมออกสู่ตลาด โดยผลิตภัณฑ์ในโครงการนี้มีการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้จริงในอุตสาหกรรมและจัดจำหน่ายได้จริงในเชิงพาณิชย์แล้วมากกว่าร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์ทั้งของโครงการ ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดีที่สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างแท้จริง ดร.อติชาต พฤฒิกัลป์ ที่ปรึกษา สกสว.  เผยว่า โครงการนี้มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการสนับสนุนทุนวิจัยด้วยการสร้างองค์ความรู้ ที่เหมาะสมผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจและการใช้แนวความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และผลักดันสินค้าจากผลงานวิจัยไปสู่การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมและจำหน่ายจริงในเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นแนวนโยบายที่ สกสว. มุ่งหวังให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตร สินค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ ภายในงานดังกล่าวมีกิจกรรม Talk Show “ACT LIKE JACK แนวคิดพลิกเกมเพิ่มมูลค่าธุรกิจ อยู่รอดและเติบโต”โดย คุณเพ็ชร ประภากิตติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโคโนมี่ โกลบอล จำกัด และ “Change SME ด้วยนวัตกรรม ทำให้เราก้าวกระโดด” โดย ดร.ชวลิต พากเพรียรถกลผล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย รวมถึงการเสวนาเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปกับนักวิจัยและผู้ประกอบการในหัวข้อ “รวมพลัง สร้างสรรค์งานวิจัย ให้ยอดขายเติบโต” โดย คุณรัชชานนท์ แก้วมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณยงชาติ ชมดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุธัมบดี จำกัด และ ผศ.ดร.นิอร โฉมศรี จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ซึ่งทำให้เห็นการทำงานของนักวิจัยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้ใช้องค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมมาขับเคลื่อนธุรกิจ ที่สร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของสินค้าจนประสบผลสำเร็จ  พร้อมทั้งได้จัดแสดงผลงานนวัตกรรมทางด้านอาหาร เครื่องสำอางและเวชสำอาง ใน “โครงการการสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระยะที่ 3” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย 75โครงการ หรือจำนวน 80 ผลิตภัณฑ์ จาก 8 กลุ่มงานวิจัย ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว อาหารพร้อมรับประทาน อาหารพร้อมปรุง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนประกอบอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขนมหวาน และผลิตภัณฑ์สมุนไพรและเครื่องสำอาง โดยมีผู้ประกอบการและนักวิจัยมาร่วมออกบูธเพื่อทดสอบชิมและใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้มีการจัดโซนผลงานวิจัยพร้อมใช้สำหรับการซื้อสิทธิ์และองค์ความรู้อีกด้วย สำหรับพิธีประกาศรางวัล Innovative house awards 2023 มีจำนวนทั้งสิ้น 12 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลด้านผลิตภัณฑ์  มี 4 รางวัล ประกอบด้วยรางวัลผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ครีมเทียมผงไขมันต่ำจากข้าวหอมมะลิ  โดย  ศ.ดร.ศิริธร ศิริอมรพรรณ และคณะ หน่วยวิจัยนวัตกรรมอาหารไทย ภาควิชาเทคโนโลยีการอาหารและโภชนาศาสตร์ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ ห้างหุ้นส่วนจำกัดวิสาหกิจชุมชนกลุ่มส่งเสริมอาชีพบ้านเหม้า จังหวัดร้อยเอ็ด รางวัลผลิตภัณฑ์แนวคิดสร้างสรรค์ ได้แก่  ยาทาเล็บสมุนไพรสำหรับยับยั้งการดูดนิ้วและการกัดเล็บ  โดย ภญ.รศ.ดร.ชุติมา ลิ้มมัทวาภิรัติ์ และคณะ สาขาเภสัชกรรมอุตสาหการ คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร และ บริษัท เอช เอ พลัส จำกัด รางวัลผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ท็อปปิ้งมะม่วงน้ำดอกไม้  โดย ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ และคณะ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมและบริการทางวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ บริษัท โกลบอล พาร์ทเนอร์ อินเตอร์ฟู้ด จํากัด รางวัลผลิตภัณฑ์ Popular Vote ได้แก่  ผลิตภัณฑ์สปาร์คกลิ้งจากขิง ผศ.ดร.นิอร โฉมศรี นักวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ร่วมกับ บริษัท สุธัมบดี จำกัด รางวัลทีมวิจัยเด่น ได้แก่ ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Serum Booster) จากสารสกัดจากเหง้าสับปะรด โดย ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์ และคณะ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ บริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รางวัลผู้ประกอบการเด่น จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ คุณสุรวิชญ์ ทิพยารมณ์ จากบริษัท โกลบอล พาร์ทเนอร์ อินเตอร์ฟู้ด จำกัด  และ คุณภฤชฎา ศรีเหนี่ยง  จากวิสาหกิจชุมชนวาเบลล์ล่าซ์ รางวัลออกแบบบรรจุภัณฑ์เด่น  ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวออร์แกนิคสำหรับเด็กเล็ก โดย  ภญ.ภาคินี จิวัฒนไพบูลย์ และคณะ บริษัท ซองเดอร์ ไทยออร์กานิคฟูด จำกัด รางวัลผลงานวิจัยด้านการขยายกำลังการผลิตเด่น ได้แก่ ผลงานวิจัยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Serum Booster) จากสารสกัดจากเหง้าสับปะรด โดย ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์ และคณะ  สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ร่วมกับ บริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รางวัล All Star Product (ผลิตภัณฑ์)  ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งมะนาวชนิดเข้มข้น โดย คุณสรัลภัค จิรโรจน์วัฒน บริษัท บี-สไมล์ ฟู้ด แอนด์ เบเวอร์เรจ จำกัด รางวัล All Star Researcher (นักวิจัย) ได้แก่ ผศ.ดร.อรรณพ ทัศนอุดม สาขาอุตสาหกรรมเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก รางวัล All Star Entrepreneur (ผู้ประกอบการ)  ได้แก่  คุณสุเทพ ไชยธานี (บริษัท เซาท์เทอร์น ซีฟูด โปรดักส์ จำกัด) ทั้งนี้ หากนักวิจัยและผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการนี้สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house วช. โทรศัพท์ 034-106238 หรือเว็บไซต์ www.innovativehouse.org และเพจเฟซบุ๊ก Innovative house Shift & Go beyond Boundaries
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึก สพฐ. จัดค่าย EEC Innovation Youth Camp ด้านการแพทย์และสุขภาพ สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ร่วมจัดกิจกรรมค่าย EEC Innovation Youth Camp การแพทย์และสุขภาพ  สำหรับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 13 -  15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี  มีโรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 18 โรงเรียน นักเรียน 142 คน และ ครู 18 คน รวม 160 คน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเสริมประสบการณ์นอกห้องเรียนให้กับนักเรียน และครูผู้สอน ได้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยปูความรู้พื้นฐานให้มีความรู้ความเข้าใจด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STEAM) และเตรียมกำลังคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor : EEC นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สวทช. นางสาวอังคณา จบศรี นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ  สพฐ. , นายอมร สุดแสวง ศึกษานิเทศก์สพม.ชลบุรี ระยอง นายกิจจา ตรีสาม และ นายรัชพล บูรณสรรพสิทธิ ศึกษานิเทศก์สพม.ฉะเชิงเทรา ถ่ายภาพร่วมกับคณะครูและนักเรียน   นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับ คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนในเขตพื้นที่EEC          ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช  รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่ากิจกรรมในครั้งนี้ช่วยสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมสมรรถนะและการพัฒนากำลังคนให้สอดรับกับอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ EEC ในเรื่องเทคโนโลยีการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ เทคโนโลยีทางการแพทย์แห่งอนาคต ไวรัสวิทยาและการพัฒนาวัคซีน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ ไปสู่งานวิจัยที่ใช้ได้จริง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการวางพื้นฐานให้นักเรียนได้รู้ถึงความสนใจและความถนัดของตนเอง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขาอาชีพด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ นับเป็นกระบวนการสำคัญในการต่อยอดศักยภาพของนักเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC  โดยมีครูผู้สอนซึ่งเป็น keyman สำคัญในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนในสถานศึกษา ที่จะได้รับความรู้ไปพร้อมกับนักเรียน เป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่จะทำให้เกิดการจัดการเรียนการสอนที่ผลักดันการเติบโตของประเทศในหลากหลายมิติต่อไปในอนาคต จนสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นจากการได้ลงมือปฏิบัติจริงและนำไปต่อยอดในกระบวนการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาของโรงเรียนในเขตพื้นที่ EEC ได้ต่อไป ในส่วนของกิจกรรม  ประกอบด้วยการบรรยายเรื่อง เทคโนโลยีทางการแพทย์แห่งโลกอนาคต  โดย แพทย์หญิงณัฐชญา สุคนธ์ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ประจำปี 2566 มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจบนเส้นทางกว่าจะมาเป็นแพทย์ทางด้านจักษุวิทยา และการนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในยุคที่เกิดโรคอุบัติใหม่ เช่น HealthCare Cybersecurity , Bioprinting Technology , Telemedicine เป็นต้น           กิจกรรมเทคโนโลยีหุ่นยนต์การแพทย์   โดย ดร. ปิติวุฒญ์ ธีรกิตติกุล และทีม จากสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่มุ่งเน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับ การพัฒนาของเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกลที่มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ทดลองพัฒนาระบบ Flex sensor ที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาระบบหุ่นยนต์ผ่าตัดทางไกล พร้อมนำ sensor ที่พัฒนามาควบคุมหุ่นยนต์ (นาโนบอท) ให้ทำภารกิจเข้าไปในร่างกายจำลองเพื่อขนคอเลสเตอรอล หรือ ก้อนไขมันที่มีอยู่มากเกินไปจนอาจก่อโรค ออกจากร่างกายของมนุษย์ให้ได้มากที่สุด   นอกจากนี้ครูและนักเรียน ยังได้ทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการตลอดสามวัน อาทิ การวิจัยไวรัสวิทยาและการพัฒนาวัคซีน โดย ดร.ทิพย์รำไพ ธรรมมงกุฎ จากทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี (AVCT)  ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) กิจกรรม Science & Medicine นวัตกรรมทางการแพทย์ โดย ดร.ทวีศักดิ์ เชี่ยวชาญศิลป์ จากศูนย์ความเลิศทางด้านภูมิคุ้มกันบำบัดโรคมะเร็ง  คณะแพทยศาสตร์  ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล  กิจกรรมคณิตศาสตร์กับการแพทย์ โดย อาจารย์อรรถวุฒิ วงศ์ประดิษฐ์    จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการเรียนรู้การนำหลักการคณิตศาสตร์มาใช้อธิบายทางการแพทย์ ฝึกปฏิบัติการสร้างแบบจำลองจากโครงสร้างแรงดึง เชื่อมโยงสู่การนำคณิตศาสตร์ มาช่วยในการออกแบบสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ กิจกรรม Brain-Computer Interface (BCI) เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ โดย ดร.อาภา สุวรรณรัตน์  จากทีมวิจัยการประมวลสัญญาณประสาท (NSP) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นางสาวสุภารัตน์ กรมแสง ครูจากโรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง กล่าวว่า เป็นการจัดกิจกรรมที่ดีมาก มีความประทับใจในหลายส่วน ทำให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กได้ดี ไม่ได้เจาะจงเฉพาะแพทย์อย่างเดียว แต่มีสายอาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เรียนรู้การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ การจัดการค่ายลงตัวมาก วิทยากรแต่ละท่านมีความเชี่ยวชาญ มีความเหมาะสม ที่พักดีเหมาะสำหรับการเรียนรู้และทีมงานมืออาชีพสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว   ด้าน นายชิด วงค์ใหญ่  ครูจากโรงเรียนพนมสารคราม “พนมอดุลวิทยา” จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้กล่าวว่า เป็นการจัดกิจกรรมที่ดี เปิดโอกาสให้นักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ได้มาเข้าร่วมกิจกรรม กระจายโอกาสให้นักเรียนพื้นที่ EEC ได้ทั่วถึง เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมและแสดงความสามารถด้านต่าง ๆ เช่น ฝึกทักษะการนำเสนอ ฝึกให้มีความกล้าแสดงออก ซึ่งเด็ก ๆ หลายคนได้ค้นพบเส้นทางของตัวเอง ได้ค้นพบความชอบผ่านกิจกรรมที่ได้ทดลองทำ นางสาวไอริณ อินทรทัต นักเรียนโรงเรียนชลราษฎรอำรุง จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หลายด้าน ตั้งแต่เรื่องหุ่นยนต์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทางด้านชีวภาพ โดยปกติชอบการเขียนโปรแกรมอยู่แล้ว ซึ่งค่ายนี้ทำให้เห็นประโยชน์ของการเขียนโปรแกรมและการนำไปใช้งานจริงมากขึ้น มีโอกาสใกล้ชิดและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักวิจัยตัวจริง ทำให้เห็นแนวทางในการพัฒนาโครงงานต่อ ได้เจอเพื่อนใหม่ ที่มีมุมมองแตกต่างกัน ทำให้ได้เรียนรู้ร่วมกัน นอกจากนี้ยังได้ช่องทางการติดต่อกับเพื่อน ๆ และนักวิจัย ซึ่งมีประโยชน์ในการทำงานร่วมกันในอนาคต   นางสาวมณีรัตน์ ชินศรี นักเรียนโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โดยปกติไม่ชอบคณิตศาสตร์ แต่ค่ายนี้ทำให้เปลี่ยนความคิดมาก เพราะได้รู้จักคณิตศาสตร์ในมุมมองที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้สนใจคณิตศาสตร์มากขึ้น และได้รู้จักเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย ประทับใจมิตรภาพในค่าย พี่ ๆ ทีมงานเป็นกันเอง ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนต่างโรงเรียน เพื่อน ๆ มีความเป็นกันเอง วิทยากรพร้อมอธิบายทุกข้อสงสัย อาหารอร่อย ได้รับอาหารครบทุกหมู่ ที่พักดี มีความร่มรื่น มีสวนและสนามกีฬาให้ผ่อนคลาย   นายวินทกร คำภีระ นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า โดยปกติมีความสนใจเทคโนโลยีและชีววิทยาอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้มีการศึกษาเบื้องต้นมาในระดับหนึ่ง เมื่อมาเข้าค่ายทำให้ได้เรียนรู้มากขึ้นผ่านนักวิจัยตัวจริง ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์โดยตรงกับวิทยากร นอกจากนี้มีความประทับใจกับการได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ต่างโรงเรียน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับเพื่อน ๆ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดงาน NAC2023 โชว์ขุมพลังวิจัย เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จัดยิ่งใหญ่ 28-31 มี.ค.นี้ อุทยานวิทย์ฯ จ.ปทุมธานี
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news-media/announcements/announcements-news-all/nstda-to-host-annual-conference-on-site-this-march.html (1 มีนาคม 2566) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. นำทีมนักวิจัย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร โดยมี ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าวการจัดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้แนวคิด “สวทช. : ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน” (NSTDA: STI powerhouse to drive BCG economy for Thailand's sustainable development) โดยจัดออนไซต์เต็มรูปแบบที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคมนี้ [caption id="attachment_40803" align="aligncenter" width="2500"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.[/caption] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. แถลงว่า ปีนี้ สวทช. จัดงาน NAC2023 ขึ้นเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ต่อสาธารณชน เพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพของนักวิจัยไทยที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วย วทน. ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวทันต่อสถานการณ์โลกอยู่เสมอ โดยในปี 2566 นี้ สถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลายแล้ว ดังนั้นปีนี้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ถือเป็นการกลับมาจัดแบบออนไซต์เต็มรูปแบบอีกครั้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้สัมผัสขุมพลังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ สวทช. และพันธมิตร ร่วมกันจัดแสดงให้ชมตลอด 4 วันเต็ม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัย ได้เข้าไปหาความรู้ อัปเดตเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมไปถึงการนำผลงานวิจัยของ สวทช. ไปต่อยอดในเชิงธุรกิจ “ที่สำคัญในพิธีเปิดงาน NAC2023 วันที่ 28 มีนาคม 2566 สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง NBT ตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกาเป็นต้นไป” ศาสตราจารย์ดร.ชูกิจ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามด้วยธีมการจัดงานปีนี้ คือ สวทช. ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน ดังนั้นในปีนี้ สวทช. และพันธมิตร มีตัวอย่างความสำเร็จจากการขับเคลื่อน BCG ในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในเชิงงานวิจัย อาทิ การพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่ช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการเพาะเลี้ยงและการผลิตสัตว์น้ำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าและศักยภาพการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่นำแนวคิด BCG Economy Model ไปปรับใช้ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจาก “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” “สำหรับตัวอย่างผลงานเด่นที่ สวทช. ขับเคลื่อนนโยบาย BCG ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และตอบโจทย์ BCG สาขาต่าง ๆ และนำผลงานวิจัยเด่น มาโชว์วันนี้ เช่น ด้านเกษตรและอาหาร เช่น นวัตกรรมสเปรย์เติมความ “สด” ให้พืช ตอบโจทย์ธุรกิจส่งออกพืชเมืองหนาว ด้านสุขภาพและการแพทย์ เช่น เทคโนโลยีชุด Exosuit ช่วยในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บสำหรับผู้สูงอายุ ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ เช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคม สีเขียว และ ด้านท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น Sontana สนทนา (AI Chatbot) เหล่านี้ล้วนเป็นผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากการนำงานวิจัยไปขับเคลื่อนโมเดล BCG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศแล้ว เรื่องของการขับเคลื่อนงานวิจัย NSTDA Core Business ตรงนี้ ก็จะเป็น 1 ในไฮไลต์ของงาน NAC2023 ด้วย โดย สวทช.เปิดกลยุทธ์ NSTDA Core Business นำพลังวิจัย รับใช้สังคมและได้คัดเลือกงานวิจัยที่เป็นความเชี่ยวชาญและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมี 4 เรื่องหลัก คือ 1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง 2.Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ 3. FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) ในรูปแบบ One stop service และ 4.Thailand i4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร   [caption id="attachment_40805" align="aligncenter" width="2500"] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ[/caption] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า การจัดงาน NAC2023 ในปีนี้จัดออนไซต์เต็มรูปแบบหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสเต็มอิ่มกับเนื้อหาสาระที่ สวทช. เตรียมมานำเสนอ โดยเฉพาะหัวข้อการสัมมนาที่มีมากถึง 40 หัวข้อ ตัวอย่าง เช่น พลิกโฉมการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCGการปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยาไทยหลังโควิด นอกจากนี้ที่สำคัญคือนิทรรศการกว่า 70 ผลงาน ประกอบด้วยโซน 6 โซน ได้แก่ 1. เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ 2. NSTDA Core business 3. BCG Economy Model แบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 4. วทน.ยกระดับคุณภาพชีวิต 5. ระบบบริการโดย สวทช. และ 6. เทคโนโลยีพร้อมถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์ โดยในนิทรรศการแต่ละเรื่องจะมีนักวิจัยเจ้าของผลงานมานำเสนองานวิจัยเพื่อตอบทุกข้อคำถามของผู้เข้าร่วมงานที่สนใจช้อปปิ้งงานวิจัย หรือสนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ชมฟรีตลอดงานทั้ง 4 วัน ดร.วรรณพ กล่าวว่า อีกกิจกรรมที่น่าสนใจคือ Open House หรือการเปิดบ้านให้ผู้ประกอบการ และ นักลงทุนได้เยี่ยมชมจากการนําเสนอเทคโนโลยีจากความชำนาญของห้องปฏิบัติการชั้นนำ โดย สวทช. และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมเปิดบ้านต้อนรับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุน ที่มีความสนใจ ได้เข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยีจากศักยภาพของบุคลากรวิจัยและห้องปฏิบัติการ สวทช. ตลอดจนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจจากบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี ที่จะเป็นตัวช่วยให้การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปเพิ่มศักยภาพและกำไรให้กับธุรกิจ “หากท่านคือ นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุนที่มีความสนใจพัฒนาและลงทุนธุรกิจเทคโนโลยี ที่กำลังมองหาโอกาส แรงบันดาลใจ พันธมิตร และโซลูชั่นสำหรับธุรกิจของท่านขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรม Open house ซึ่งกิจกรรมนี้จะจัด เพียง 3 วันคือ 29-31 มีนาคมเท่านั้น ดังนั้นสำรวจตัวเองว่าท่านอยากจะพลิกโฉมธุรกิจของท่านไปในทางไหน กิจกรรมนี้จะเป็นตัวช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ดีขึ้นโดยนักวิจัยที่เชี่ยวชาญเฉพาะมาให้ข้อมูลแบบจัดเต็มนอกจากนี้ สายชอปปิงห้ามพลาด NAC Market 2023 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย สินค้าชุมชน จากเครือข่าย สวทช. รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ในราคาพิเศษสำหรับผู้มาร่วมงานนี้เท่านั้น ซึ่งตลาดนัดสินค้านวัตกรรมจัดเพียง 3 วัน คือ 29-31 มีนาคมเช่นกัน ดร.วรรณพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนกิจกรรม ‘R&D Pitching’ จะจัดใน 2 วันคือ วันที่ 29-30 มีนาคม ซึ่งจะได้พบกับการนำเสนองานวิจัยและแอดวานซ์เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม (Advanced Technology Platform) ที่พร้อมร่วมมือต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมกับภาคอุตสาหกรรมใน 4 กลุ่ม ครอบคลุม Food Technology, Advanced Biotechnology, Digital 4.0 Plus และ Cosmetic Technology อาทิ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพสร้าง value added ให้กับ waste ที่ได้จากกระบวนการผลิตต่าง ๆ และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ การผลิตโรงงานเสมือน (Cell Factory) ที่ใช้จุลินทรีย์ในการผลิตสารชีวภาพมูลค่าสูง เพื่อการใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง เช่น อาหาร ยา เครื่องสำอาง พลังงาน เป็นต้น   การจัดงานครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้าร่วมกิจกรรมการนำเสนอจากนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการจับคู่ธุรกิจ (business matching) ในหัวข้อที่สนใจจะพัฒนาความร่วมมือ ดังนั้นนอกจากได้เติมความรู้แล้วยังได้สัมผัสงานวิจัยของจริง พร้อมกับแลกเปลี่ยนมุมมองกับนักวิจัยเจ้าของผลงานอย่างใกล้ชิดด้วย 28-31 มีนาคมนี้ NAC2023 ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18(18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้แนวคิด “สวทช. : ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน” ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ดูไฮไลต์ที่น่าสนใจและลงทะเบียนร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ www.nstda.or.th/nac หรือโทรศัพท์ 02564 8000  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จบปัญหามะนาวแพง ! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวแช่แข็งเกรดพรีเมียมในราคาจับต้องได้
  “มะนาวราคาผันผวน” คือ ปัญหาที่เกษตรกร ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคต้องเผชิญกันเป็นประจำเกือบทุกปี เพราะประเทศไทยไม่ได้ปลูกมะนาวได้ดีทุกฤดูกาล ตรงข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ตลอด ช่วงมะนาวติดดอกออกผลมากจนล้นตลาดราคาก็ตกต่ำ ช่วงนอกฤดูกาลก็ต้องพึ่งพาสารเคมีให้ออกผล จนต้นทุนการผลิตพุ่งสูงลิ่ว จะดีกว่าไหม ถ้ามีทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ราคาดีในช่วงฤดูกาล และมีผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคุณภาพเยี่ยมให้ผู้บริโภคได้รับประทานแบบปลอดภัยในราคาที่จับต้องได้ตลอดทั้งปี   ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์ “มะนีมะนาว” ให้เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 2 ปี และเก็บในช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน โดยคงกลิ่นและรสชาติที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงน้ำมะนาวสำเร็จรูปคุณภาพสูงที่มีราคาใกล้เคียงกับการใช้มะนาวผลสดในช่วงราคาปกติ   [caption id="attachment_30755" align="aligncenter" width="750"] ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อจำหน่ายแบบ B2B ให้แก่ร้านอาหารเชนใหญ่ที่มีห้องแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่บริษัทติดปัญหาว่าไม่สามารถขยายการจำหน่ายไปยังผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป เพราะแม้ผลิตภัณฑ์จะมีกลิ่นและรสชาติดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องอายุการใช้งานหลังนำออกจากห้องแช่แข็งสั้น ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดภายใน 1-2 วัน ทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับทีมวิจัยในการคิดค้นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์ “โดยทั่วไปน้ำมะนาวคั้นสดที่มีการจำหน่ายในตลาดจะผ่านกระบวนการการพาสเจอไรซ์หรือใช้ความร้อนในการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้น้ำมะนาวเสียสภาพ เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่วิธีการนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือทำให้น้ำมะนาวมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนกับน้ำมะนาวคั้นสด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”   [caption id="attachment_30756" align="aligncenter" width="750"] วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด[/caption]   วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อธิบายเสริมข้อมูลว่า มะนาวที่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ เป็นมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติคงที่ น้ำเยอะ ไร้เมล็ด อีกทั้งต้นมะนาวยังแข็งแรงทนทานต่อโรค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการดูแล ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกร และผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ค่อยนิยมปลูกมะนาวพันธุ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการผลผลิตอย่างชัดเจน และยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดในแต่ละปี “ทางบริษัทจึงได้ทำสัญญารับซื้อกับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกรเครือข่ายหลายร้อยครัวเรือนในภาคเหนือช่วยดำเนินการผลิตมะนาวสายพันธุ์นี้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วจัดส่งให้แก่บริษัทเพื่อนำผลผลิตมะนาวคุณภาพดีมาใช้ผลิตสินค้ามาตรฐาน GMP และ HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งออกระดับสากล”   [caption id="attachment_30753" align="aligncenter" width="750"] มะนาวพันธุ์ตาฮิติ[/caption]   วิริยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากร่วมทำวิจัยกับนาโนเทค สวทช. จนสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว บริษัทจึงได้วางจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศในราคาที่จับต้องได้ และล่าสุดบริษัทได้ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานการนำเข้าสินค้าสูงมากสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวได้รับการยอมรับจากเชฟอาหารไทยในญี่ปุ่นทั้งด้านความคงที่ของรสชาติและความสะดวกในการใช้งาน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีร้านอาหารไทยต่อไป “การยกระดับผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจให้เติบโต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายน้ำมะนาวคุณภาพดีมาใช้ประกอบอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวอาจเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่สามารถตีตลาดอาหารโลกก็เป็นได้”   [caption id="attachment_30751" align="aligncenter" width="750"] มะนีมะนาว[/caption] สนใจซื้อ "มะนีมะนาว" ได้ที่ Makro / Foodland / CP fresh mart / Gourmet market / Home fresh mart / Tops Supermarket หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.maneemanao.com/wheretobuy
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. เปิดเวทีต่อยอดผลงาน โครงการ SUCCESS 2022 เชื่อมโยงการใช้ระบบนิเวศวิจัย ด้าน วทน.
(22 กุมภาพันธ์ 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดกิจกรรม “NSTDA Connect: A Network of Success ต่อยอดรวยด้วยเทคโนโลยีและงานวิจัยกับ สวทช.” เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างงานบริการและงานวิจัยซึ่งเป็นหน่วยงานภายในของ สวทช. กับผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมโครงการ SUCCESS 2022 ให้เกิดการต่อยอดความร่วมมือการเชื่อมโยงสตาร์ตอัปให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและกลไกของ สวทช. หรือระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ได้เข้าถึงกลุ่มผู้ที่สนใจในการนำเทคโนโลยีในการเข้าไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจและได้นำไปใช้ประโยชน์ออกสู่เชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ แนะนำถึงเทคนิคและการต่อยอดธุรกิจ ซึ่งในงานดังกล่าว ฯ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในโครงการ SUCCESS 2022 มากกว่า 50 คน นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า BIC เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการจนสามารถดำเนินกิจการของตนได้อย่างประสบความสำเร็จ ซึ่งดำเนินกิจกรรมแบบมีแนวทางที่หลากหลายตามความเหมาะสมทำให้ผู้ประกอบการสามารถมีแนวคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีโอกาสนำผลงานของตนออกสู่เชิงพานิชย์อย่างจริงจัง พร้อมกับการประสานแหล่งทุน รวมทั้งสามารถวางแผนธุรกิจที่นำไปดำเนินการได้จริงสามารถไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งจะเกิดการพัฒนาธุรกิจอันก่อให้เกิดรายได้ นำไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจที่เข้มแข็งเป็นรากฐานที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี (SUCCESS) เป็นโครงการที่ช่วยสนับสนุนและช่วยเหลือในการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจเทคโนโลยี โดยจัดให้มีการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาด้านเทคนิค ธุรกิจ กฎหมาย การตลาด การบริหารจัดการองค์กรและบุคลากรแบบ 1 ต่อ 1 ตลอดถึงการสนับสนุนการออกตลาด หรือหาพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศสำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมโดยโครงการฯ เหมาะสำหรับผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชัดเจน อาทิ Modern Agriculture / Sustainable Food & Ingredients / Biodiversity / Medicine & Biopharmaceuticals / Medical Devices, Digital Health & Assistive Technology / Energy Innovation / Biochemicals & Biobased Materials / Digital Services & Smart Electronics และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ต้องการเตรียมตัวสร้างรากฐานให้องค์กรธุรกิจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และต้องการพันธมิตรเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจต่อยอดความสำเร็จ และเรียนลัดจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว ภายใต้แนวคิดหลัก คือ แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืนแบ่งกันรวยช่วยกันโต และพร้อมกับการรับโอกาสดี ๆในชีวิต ดร.จิรัชญา ดวงบุรงค์ ผู้จัดการศูนย์สนับสนุนและให้บริการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย (TTRD) ได้แนะนำการประเมินศักยภาพในการประกอบธุรกิจบนพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Thailand Technology Rating System: TTRS) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมทราบถึงขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของตนเอง เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งในส่วนของสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือการเข้าถึงกลไกสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ จากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ นางสาวศกุนต์กานต์ ปาลกะวงศ์ นักวิเคราะห์ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) กล่าวถึงโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation and Technology Assistance Program: ITAP) แนะนำกลไกเชื่อมโยงผู้ให้บริการเทคโนโลยี (Technology Service Providers) เข้ากับผู้ใช้เทคโนโลยี (Technology Users) ซึ่งจะมีบริการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเข้าไปให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทำโครงการเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นางสาวสุพินยา อุปลกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี (BITT) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า นาโนเทค สวทช. มีภารกิจหลักในการทำวิจัยเเละพัฒนา เเละออกเเบบทางวิศวกรรมเพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมเเละสังคมอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสากล โดยได้นำเสนอผลงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอดทางเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการ ได้แก่ Nano Processing, Nano Devices & Systems, Nano Materials, Nano Characterization & Standardization ด้าน นายเกียรติรัตน์ ทองผาย ที่ปรึกษาอาวุโสศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC) ได้กล่าวถึงโครงการและเเหล่งทุนเพื่อสนับสนุนและต่อยอดให้แก่ผู้ประกอบการสำหรับปี 2566 นี้ ได้แก่ โครงการBCG Startup, โครงการ SUCCESS2023 , โครงการ Innovation Product for Sustainable Economy เเละ โครงการ Food accelerate 2023 ซึ่งทั้ง 4 โครงการนี้ได้เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว นอกจากนี้ยังได้เปิดคลินิกให้คำเเนะนำผู้ประกอบการที่สนใจบริการต่าง ๆ ของ สวทช. เข้ารับคำปรึกษาเป็นรายบริษัท เพื่อเเนะนำกลไกสนับสนุนจากภาครัฐมาช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเเละสตาร์ตอัป ให้สามารถดำเนินธุรกิจบนฐานเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตด้วยการสนับสนุนจาก สวทช. ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/NstdaBIC/ หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 71746 , 71745 , 81490 , 81492  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘NPV ไวรัสฝ่าวิกฤติหนอนกล้วยไม้ดื้อยา’
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/npv-product-helps-revive-thai-orchid-farms.html   ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยบางรายจำต้องขาดสภาพคล่องหนัก เพราะการหวนกลับมาระบาดของ ‘หนอนกระทู้หอม’ ศัตรูพืชตัวฉกาจในรอบ 10 ปี ซ้ำร้ายสารเคมีปราบศัตรูพืชทุกชนิดที่เคยใช้ได้ผลกลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปด้วยปัญหา ‘การดื้อยา’ ส่งผลให้เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลักล้านบาท ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแก้ปัญหาเคียงข้างผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ จังหวัดนครปฐม นำ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nucleopolyhedro Virus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในแมลงเข้าปราบหนอนกระทู้หอมในพื้นที่จนสำเร็จ   สายด่วนจาก ‘หนุ่มสวนกล้วยไม้’ จุดเริ่มต้นของการใช้ไวรัส NPV ช่วยชาวสวนกล้วยไม้ต่อสู้กับหนอนกระทู้หอม ต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2562 ที่มีโทรศัพท์สายหนึ่งติดต่อมายังกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ (AVIG) ไบโอเทค สวทช. ในตอนนั้นปลายสายสอบถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนักว่า ‘ที่นี่ผลิตไวรัส NPV ใช่หรือไม่ ใช้ปราบหนอนที่กัดกินต้นกล้วยไม้ได้ด้วยหรือเปล่า’   [caption id="attachment_40217" align="aligncenter" width="700"] สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ (กบ) หัวหน้าทีมวิจัย ไบโอเทค สวทช.[/caption]   สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ (กบ) หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีไวรัส เอ็นพีวี เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ (AVIG) ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า ตอนนั้นเจ้าของสวนกล้วยไม้วัยหนุ่มจากจังหวัดนครปฐมโทรศัพท์ติดต่อมาที่แล็บ เพื่อสั่งซื้อไวรัส NPV สำหรับนำไปกำจัดหนอนที่สวนกล้วยไม้ หลังจากพูดคุยกัน 2-3 ครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ชนิดพันธุ์ของหนอนจากภาพถ่าย (ไวรัสมีฤทธิ์จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอน) เจ้าของสวนรายนั้นก็ตัดสินใจขับรถจากนครปฐมตรงมาที่แล็บเพื่อนำตัวอย่างหนอนมาให้ทีมวิจัยจำแนกชนิดถึงที่ด้วยตัวเอง “ความมุ่งมั่นของเขาทำให้ทีมตัดสินใจทันทีว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ โอกาสที่จะได้ทดลองใช้ไวรัส NPV ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งก็ถือว่าตัดสินใจได้ถูก เพราะปัญหาที่เขาเผชิญรุนแรงกว่าที่คิด ตอนนั้นภาพที่ได้ไปเห็น คือ ต้นกล้วยไม้ในแปลงขนาด 60 ไร่ กำลังโดนกัดกินจนใบและดอกแหว่ง มีหนอนกระทู้หอมกระจายอยู่ทั่วสวน หากไม่รีบแก้ไขอาจไปถึงจุดที่ต้องรื้อทิ้งทั้งแปลงได้” สาเหตุความเสียหายหนักครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการบุกเข้าทำลายของ ‘หนอนกระทู้หอม’ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจมาแต่ครั้งเก่าก่อน แต่ยังถูกซ้ำด้วยปัญหา ‘การดื้อยา’ ที่ไม่ว่าสารเคมีชนิดไหนก็ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้   [caption id="attachment_40212" align="aligncenter" width="700"] ศุภิสิทธิ์ ว่องวณิชพันธุ์ (คุ้น) ผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม[/caption]   ศุภิสิทธิ์ ว่องวณิชพันธุ์ (คุ้น) ผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เล่าว่า ตอนนั้นสวนกล้วยไม้โดนหนอนกระทู้หอมบุกเข้าทำลายมาเกินครึ่งปีแล้ว สารเคมีทุกสูตรเอาไม่อยู่ ‘หนอนดื้อยา’ ขณะกำลังพะวงว่าจะต้องรื้อกล้วยไม้ออกทั้งหมดเพื่อพักแปลงหรือไม่ ก็โชคดีมีรุ่นพี่คนหนึ่งในแวดวงไม้ใบแนะนำว่า ‘NPV ใช้ปราบหนอนได้นะ’ จึงรีบหาข้อมูลและติดต่อไปที่แล็บของไบโอเทคเพื่อขอซื้อมาทดลองใช้ทันที ตอนนั้นคิดแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ต้องพักแปลง เพราะไม่ใช่แค่เราที่เสียหายหนัก ลูกน้องจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้   NPV ไวรัสปราบหนอน ‘ปลอดภัย ไม่ดื้อยา’ NPV คือ ไวรัสก่อโรคในแมลงที่มีความจำเพาะกับหนอนของแมลง 3 ชนิด คือ หนอนกระทู้หอม (SpexNPV) หนอนกระทู้ผัก (SpltNPV) และหนอนเจาะสมอฝ้าย (HearNPV) ซึ่งหนอนทั้ง 3 ชนิด เป็นศัตรูพืชหลักของพืชเศรษฐกิจไทย เช่น หอมแดง หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ผักตระกูลสลัด ผักตระกูลกะหล่ำ ส้ม องุ่น ดาวเรือง กุหลาบ รวมถึงกล้วยไม้ สัมฤทธิ์ อธิบายถึงไวรัส NPV ว่า เมื่อหนอนกินไวรัสที่ฉีดพ่นไว้ที่พืชผัก จะเกิดอาการป่วยบริเวณกระเพาะอาหาร (สังเกตได้จากสีตัวที่เปลี่ยนแปลงไป) ทำให้กินอาหารน้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอนจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาไบโอเทคได้ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและพันธมิตรพัฒนากระบวนการผลิต NPV จนพร้อมผลิตในระดับอุตสาหกรรม และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด และบริษัทบีไบโอ จำกัด หลังจากทีมลงพื้นที่เพื่อประเมินวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนการรับมือกับปัญหา พบว่าหนอนกระทู้หอมระบาดหนักมาก จึงได้แนะนำให้ใช้ NPV ในสัดส่วนความเข้มข้นสูง (ความเข้มข้น 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร) เพื่อหยุดการลุกลามของหนอน   [caption id="attachment_40201" align="aligncenter" width="500"] ลักษณะของต้นกล้วยไม้ที่โดนหนอนกระทู้หอมกัดกิน[/caption]   “ช่วงแรกของการใช้งานยอมรับว่าต้องอาศัยความเชื่อใจพอสมควร” ศุภิสิทธิ์ กล่าวเสริม และเล่าว่า การใช้ NPV ความเข้มข้นสูงหมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วย ตอนฉีดพ่น NPV ครั้งแรกตอนนั้นต้องรอ 3-5 วันถึงจะเริ่มเห็นผล แต่หลังจากกำจัดรุ่นต่อรุ่นไปได้ประมาณ 2 เดือน ก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า ‘ปราบอยู่’ ตอนนี้ผ่านมา 3-4 ปีแล้ว บอกได้เลยว่า ‘ไม่กลัว รับมือได้สบายมาก’ ก่อนที่พี่กบเข้ามาช่วยเหลือเคยจ้างลูกน้องจับหนอนตัวละบาท จับกันได้มากกว่า 300 ตัวต่อวัน แต่วันนี้เดินผ่านเข้าไปในแปลงกล้วยไม้ซัก 2 แถว ประมาณ 4,000 ต้น จะเจอหนอนอย่างมากแค่ 10 ตัว อยู่ในจุดที่รับได้ (ยิ้ม) แค่คอยคุมไม่ให้หนอนรุ่นใหม่ที่หลุดเข้ามาขยายพันธุ์จนลุกลามก็พอ”     ศุภิสิทธิ์ ไม่เพียงเป็นชาวสวนที่กล้าเปิดใจรับสารชีวภัณฑ์ แต่เขายังผันตัวเป็น ‘นักทดลอง’ ปรับสัดส่วนการใช้สาร NPV จนพบสูตรที่เหมาะแก่การควบคุมหนอนกระทู้หอมในแปลงกล้วยไม้ “ด้วยความชอบคิดชอบลอง จึงได้ทดลอง ‘ปรับสัดส่วนการใช้สาร NPV’ และ ‘รูปแบบการฉีดพ่นสาร’ หลายครั้ง ตัวอย่างหนึ่งที่ทดลองแล้วสำเร็จและพี่กบได้นำไปใช้เป็นต้นแบบให้สวนอื่นๆ คือ การปรับปริมาณการฉีดพ่นจาก 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร สัปดาห์ละ 1 ครั้งในสถานการณ์ปกติ (สัดส่วนที่เหมาะกับการควบคุมปริมาณหนอนกระทู้หอมในภาพรวมของการปลูกพืชผักทั่วไป) ให้เหลือเพียงฉีดพ่น 5 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เดือนละ 1-2 ครั้ง เพราะจากการทดสอบพบว่าสัดส่วนเท่านี้ดีเพียงพอต่อการดูแลต้นกล้วยไม้ไม่ให้โดนหนอนกัดกินแล้ว ซึ่งผลลัพธ์นี้ก็ช่วยให้พี่น้องในแวดวงกล้วยไม้เปิดใจมาใช้ NPV มากขึ้นด้วย เพราะนอกจากหนอนจะไม่ดื้อยา ค่าใช้จ่ายยังถูกกว่าการใช้สารเคมีในระยะยาวมาก” ศุภิสิทธิ์เล่าด้วยความภูมิใจ       ‘กอบกู้สวน’ ที่กำลังสลาย รายได้เป็นศูนย์ แน่นอนว่าการระบาดของหนอนกระทู้หอมไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้แก่สวนกล้วยไม้ของผู้ประกอบการรายเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสวนกล้วยไม้อีกหลายแห่งในจังหวัดนครปฐม ต้องเผชิญกับวิกฤติไม่แพ้กัน หนึ่งในนั้นคือ บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด ที่ทีมวิจัยถึงขั้นเอ่ยปากว่า ‘สถานการณ์หนักหนานัก’ สัมฤทธิ์ เล่าว่า ภาพสวนกล้วยไม้ที่เห็นชวนหดหู่มาก ต้นกล้วยไม้จำนวนมากเหลือแต่ก้าน สาเหตุมาจากปัญหาเดียวกัน คือ ‘หนอนดื้อยา’ ไม่ว่าจะใช้สารเคมีสูตรไหนปริมาณมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถกำจัดหนอนกระทู้หอมได้แล้ว ตอนนั้นเราจึงรับที่จะช่วยเหลือทันที โดยใช้พื้นที่ 1 แปลง ขนาด 75 ไร่ ในการพิสูจน์ให้เห็นว่า NPV ใช้ได้ผลจริง คำว่า ‘เจ๊ง’ คือคำจำกัดความที่สะท้อนถึงสถานการณ์ธุรกิจกล้วยไม้ในปี 2562 จากผู้ประกอบการรายนี้ และอีกหลายรายในจังหวัดนครปฐมที่ต้องเผชิญปัญหาเดียวกัน   [caption id="attachment_40207" align="aligncenter" width="700"] เจ้าของสวนสุรชัย (คม) บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด[/caption]   เจ้าของสวนสุรชัย (คม) บริษัทเอส.วี. ฟลอร่า ไทย ออร์คิด จำกัด เล่าว่า หลังจากหมดค่าสารเคมีไปหลายแสนต่อเดือนก็ยังรับมือกับหนอนกระทู้หอมไม่สำเร็จ ‘กล้วยไม้โดนกัดกินจนเหลือแต่ก้าน’ จึงตัดสินใจสั่งให้คนงานมัดรวมต้นกล้วยไม้ในแปลงหนึ่งเพื่อชั่งกิโลขายในราคาต่ำกว่าทุน และตัดสินใจใช้อีกแปลงที่โดนหนอนกัดกินหนักเป็น ‘แปลงทดลองใช้ไวรัส NPV ปราบหนอน’ ต้องยอมรับเลยว่าในมุมของผู้ประกอบการ การจะตัดสินใจใช้ NPV เป็นเรื่องที่ต้องชั่งใจหนักมาก เพราะราคาของผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบตามปริมาณกับสารเคมีถือว่าค่อนข้างแพง และอย่างที่ทราบกันการใช้ชีวภัณฑ์ ‘เห็นผลช้า’   [caption id="attachment_40200" align="aligncenter" width="700"] ภาพต้นกล้วยไม้ที่เหลือแต่ก้าน ผู้ประกอบการให้คนงานมัดรวมเพื่อชั่งกิโลขายในราคาต่ำกว่าทุน[/caption]   “ทีมวิจัยใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการใช้ NPV ปราบหนอนกระทู้หอมรุ่นแรก และใช้เวลาอีก 2 เดือนกับการกำจัดหนอนรุ่นหลังที่เพิ่งเกิดใหม่ จนแทบไม่หลงเหลือหนอนในแปลง หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 เดือน ต้นกล้วยไม้ที่เคยเหลือแต่ก้านก็กลับมาออกดอกผลิบานอีกครั้ง จากที่แทบไม่เหลืออะไรกลายเป็นตัดดอกได้วันละหมื่นช่อ และโชคดีมากที่กล้วยไม้กลับมาออกดอกทันช่วงความต้องการในตลาดสูง ตอนนั้นตัดเพื่อส่งออกได้มากถึงวันละหลักแสนช่อ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังโทรไปเล่าให้พี่กบฟังด้วยความสุขทุกครั้งที่ตัดดอกส่งออกได้มาก ตอนนี้ผ่านมา 3 ปีแล้ว อัตราการใช้ NPV ของสวนลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงการฉีดพ่น 1-2 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น เพราะจัดการได้อยู่หมัดแล้ว วันนี้เราอยากขอบคุณทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ที่เข้ามาช่วยให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ ‘ไม่ใช่แค่ไปต่อได้แบบเรื่อยๆ แต่ไปต่อแบบพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก’ ตอนนี้เราเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของ สวทช. มาก หากมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ มาแนะนำ ก็ยินดีให้ใช้พื้นที่การเกษตรของบริษัทในการทดลอง ขอบคุณจริงๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์”       ‘NPV ใช้ดีจริง’ การันตีจากระดับเซียน ความสำเร็จจากการใช้ไวรัส NPV กอบกู้วิกฤติการระบาดของหนอนกระทู้หอมของสวนกล้วยไม้ทั้ง 2 แห่ง เริ่มเกิดกระแสปากต่อปากถึงประสิทธิภาพ NPV ที่ได้ผลจริง และไม่เกิดการดื้อยา ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาวได้ แต่คำบอกเล่าของใครจะดีเท่าจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องการปลูกกล้วยไม้ สัมฤทธิ์ เล่าว่า ‘เฮีย’ หรือ คุณสมลักษณ์ เลิศรุ่งวิทยาชัย เจ้าของบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเพาะปลูกกล้วยไม้ เพราะทำธุรกิจด้านนี้มายาวนานทั้งด้านการเพาะปลูกและการผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในการแพ็กช่อดอกเพื่อส่งออก เป็นที่รู้จักและยอมรับของคนในแวดวงนี้ ดังนั้นถ้าทำให้เฮียยอมรับได้ ก็เหมือนได้รับใบเบิกทางในก้าวเข้าสู่วงการกล้วยไม้   [caption id="attachment_40197" align="aligncenter" width="500"] สมลักษณ์ เลิศรุ่งวิทยาชัย เจ้าของบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด[/caption]   สถานการณ์ปัญหาการระบาดของสวนบริษัทอาร์ วี เอ็น ฟลอร่า ไทยเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด แตกต่างจาก 2 สวนก่อนหน้ามาก เพราะปริมาณหนอนกระทู้หอมที่พบจากการสำรวจไม่มากอย่างที่คิด แต่สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหญ่อย่างเฮียสมลักษณ์การมีหนอนกระทู้หอมหลงเหลืออยู่ในแปลงถือว่า ‘จัดการได้ไม่ดีพอ’ สมลักษณ์ เล่าว่า ที่ผ่านมาการจัดการกับหนอนกระทู้หอมทำได้ยาก ต้องสั่งสารเคมีมาใช้ในปริมาณมาก เสียค่าใช้จ่ายหลักแสนต่อเดือนเพื่อกำจัดหนอนออกจากสวน จนตอนนี้หนอนก็เริ่มดื้อยาแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับตรงๆ ว่าการจะให้ลองเปลี่ยนมาใช้ชีวภัณฑ์กำจัดหนอนแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำใจได้ยาก เพราะเห็นผลช้า จะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่มั่นใจ ที่แน่ๆ ผลผลิตเราเสียหายไปทุกวัน “ตอนนั้นหลังจากคุ้นรุ่นน้องในวงการที่ต้องเผชิญปัญหาการกลับมาของหนอนกระทู้หอมเล่าให้ฟังว่าที่สวนได้รับการช่วยเหลือจากทีมวิจัยไบโอเทคจนสามารถรับมือกับหนอนกระทู้หอมได้สำเร็จ เราจึงตอบรับให้ทีมวิจัยเข้ามาทำการทดสอบที่สวนดูบ้าง ซึ่งผลที่ได้ก็เป็นไปตามคำกล่าวขานนะ ‘คุ้มจริงๆ’ แม้ช่วงแรกต้องลงทุนหนักตามที่อาจารย์สัมฤทธิ์บอก เพื่อลดปริมาณหนอนจนคุมสถานการณ์ได้ ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง แต่หลังจากนั้นเมื่อกลับสู่สถานการณ์ปกติก็ลดปริมาณ NPV ที่ใช้ลงได้กว่าครึ่ง ตอนนี้เราปรับมาใช้เทคนิคฉีดพ่นตามรอบในสัดส่วนที่เราวางไว้เพื่อควบคุมไม่ให้มีหนอนรุ่นใหม่มากัดกินจนเสียหายแล้ว  อาจารย์บอกไว้นะว่าสามารถลดอัตราส่วนและปริมาณการฉีดลงเพื่อลดต้นทุนได้ แต่เราเลือกแล้วว่าจะใส่ตามสูตรที่วางไว้เพื่อให้มั่นใจในผลผลิต ‘เอาให้สบายใจ’ (ยิ้ม) เพราะอย่างไรต้นทุนที่ลงไปอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ถูกกว่าใช้สารเคมี ถ้ามีเพื่อนในแวดวงเดียวกันเจอปัญหาหนอนกระทู้หอมบุกจะแนะนำให้ใช้แน่นอน เพราะใช้แล้วได้ผลจริง” สมลักษณ์ เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสะท้อนถึงความสบายใจระหว่างพาเดินชมสวน   [caption id="attachment_40195" align="aligncenter" width="700"] ปฐมพร ไล่ชะพิษ (เจี๊ยบ) เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. (คนกลาง)[/caption]   “ครั้งแรกที่เจอเฮียแตกต่างจากวันนี้มาก เพราะตอนนั้นเฮียมีแต่สีหน้าที่ตึงเครียดและคำบ่นด้วยความทุกข์ใจ แต่วันนี้นอกจากเฮียจะมีรอยยิ้มให้แล้วยังบอกด้วยว่า ‘ผลประกอบการดี’ ” สัมฤทธิ์ กล่าวเสริมด้วยความภูมิใจ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายถึงปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จว่า “คำที่ทีมวิจัยใช้บอกแก่ผู้ประกอบการหรือเกษตรกรเสมอ คือ ‘ศัตรูพืชชนิดนี้ ยกให้เป็นหน้าที่เรา’ เพราะทีมวิจัยทราบดีว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญที่สุดคือ ‘คุณภาพของผลผลิต’ ดังนั้นหากมีวิธีการใดจะช่วยทำให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้นและลดต้นทุนการผลิตได้ ผู้ประกอบการก็ต่างยินดีเปลี่ยน เพียงแต่เราต้องพิสูจน์ให้เห็นและเชื่อว่า ‘สิ่งที่เราเสนอให้ใช้หรือวิธีการที่เสนอให้ทำนั้นดีจริงๆ’ โดยการให้ความรู้และคำแนะนำในการทำงาน ลงมือทำให้เขาเห็น คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้าง รวมถึงเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดไปด้วยกัน หลังจากนั้นเมื่อคนกลุ่มหนึ่งทำได้สำเร็จแล้ว ก็จะเกิดการบอกต่อองค์ความรู้ สร้างแรงกระเพื่อมในการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่ต่อไป” นอกจากการร่วมเดินเคียงข้างผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ที่จังหวัดนครปฐมแล้ว ทีมวิจัยและนักวิชาการจาก สวทช. รวมถึงหน่วยงานพันธมิตร ยังร่วมกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงกระบวนการการทำงานอีกหลายผลงาน เพื่อช่วยยกระดับการเกษตรของไทยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตามแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ทั้งนี้ติดตามผลงานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่ www.bcg.in.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ ปฏิวัติ อ่อนพุทธา ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. จัดงานสัมมนา “Sustainability in Food Industry” เสริมแกร่งธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-food-acceleration-program-for-sustainability-in-food-industry.html (22 กุมภาพันธ์ 2566) ณ ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดงานสัมมนาหัวข้อ “Sustainability in Food Industry” เพื่อให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์แก่ผู้ประกอบการ ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร อีกทั้งให้แนวคิด เทคนิคต่าง ๆ ในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอาหาร เพื่อรับมือกับความท้าทาย ในสถานการณ์ Covid-19 โดยภายในกิจกรรมสัมมนาได้รับเกียรติจาก ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน [caption id="attachment_40641" align="alignnone" width="2500"] ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption] ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า งานในวันนี้เป็นงานสัมมนาภายใต้โครงการเร่งการเติบโตผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร ให้มีการเพิ่มรายได้ในระดับสูง หรือ Food Acceleration Program โดยเป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างความเข้มแข็งและแรงบันดาลใจไปสู่การดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างสมดุลและยั่งยืน และที่สำคัญคือ การเชื่อมโยงบริการต่าง ๆ ของสวทช. ในการสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี ทิศทางของเศรษฐกิจโลก ถือเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าทั้งในและต่างประเทศ อันจะนำมาสู่การเพิ่มรายได้ระดับสูง ให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารรายใหม่ต่อไป ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ทำให้พบว่ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารเป็นกลุ่มที่สำคัญ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอาหารมีแนวโน้มขยายตัว หลายประเทศนำเข้าอาหารมากขึ้น ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัว มีการเจรจาทางการค้ากับตลาดใหม่ๆ มากขึ้น โดยสำหรับในปี 2566 หอการค้าไทยได้บูรณาการข้อมูลประเมินแนวโน้มคาดการณ์ส่งออกสินค้าอาหารของไทยจะเติบโตที่ 0-2% หรือ มีมูลค่า 1.50-1.53 ล้านล้านบาท จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ สวทช. มุ่งมั่น และเห็นความสำคัญ ในการผลักดัน สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยได้จัดโครงการเร่งการเติบโตผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร ให้มีการเพิ่มรายได้ในระดับสูง หรือ Food Acceleration Program เป็นโครงการที่เสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเทคโนโลยี รายใหม่ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่มีมูลค่าสูง เพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ สร้าง platform เครือข่ายความร่วมมือและการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดและสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ สวทช. ยังได้มีการให้บริการแก่ผู้ประกอบการอีกหลายด้าน จากหลายทีมงานของ สวทช. ได้แก่ ด้านการเงิน : NSTDA Investment Center, NASTDA Holding ด้าน IP Commercialization : สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (TLO) ด้าน Infrastructure : Thailand Science Park , Software Park Thailand ด้านอุตสาหกรรมอาหาร : เมืองนวัตกรรมอาหาร ด้านการพัฒนาบุคลากร : สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต Career for the Future   [caption id="attachment_40643" align="aligncenter" width="2500"] ดร.วรรณพ-วิเศษสงวน-ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ-BIOTEC[/caption] สำหรับงานในวันนี้ มีหัวข้อน่าสนใจ ได้แก่ Deep Tech Trends Shaping the Future of Food Industry, หัวข้อ The Way of Sustainability in Food Products, หัวข้อ FoodSERP เร่งการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารระดับประเทศ “New Engine for Food Sustainability”  และเสวนาพิเศษ : Sustainability in Food Industry   ทั้งนี้ ภายในงานยังได้วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ดร.พัชร์ เอกปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง นักวิจัยอาวุโส (ไบโอเทค) สวทช. พร้อมด้วย น.สพ.ดร.กษิดิ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่นวัตกรรม บริษัท กรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. และ นางเดือนเพ็ญ ธาราธิติคุณ พยาบาลโภชนบำบัด บริษัทเบนส์เวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมเสวนาพิเศษในครั้งนี้ด้วย สำหรับผู้สนใจในบริการทางด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ หรือกิจกรรมต่างๆ สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-564-7000 ต่อ 71746 , 71745 , 81490 , 81492  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
EECi สวทช. เดินหน้าขยายผลนวัตกรรม “ถุงห่อทุเรียน” เพิ่มคุณภาพสู่ ทุเรียนพรีเมี่ยม ด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรรม
17 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi): โดย ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  นำนวัตกรรม “ถุงห่อทุเรียน Magik Growth” ส่งมอบและขยายผลการใช้งานสู่ภาคการเกษตรกรที่ปลูกทุเรียนในจังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียนสู่ทุเรียนระยองพรีเมี่ยม โดยมีนางสาวพจณี อรรถโรจน์ภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) พร้อมด้วย นายประสานต์ พฤกษาชาติ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ร่วมส่งมอบถุงห่อทุเรียนให้กับเกษตรกรจังหวัดระยองเป็นจำนวน 10,000 ถุง เพื่อนำไปใช้งานห่อลูกทุเรียนในฤดูกาลนี้ ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. มีการพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีนวัตกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตทุเรียนคุณภาพดีที่หลากหลาย อาทิ การพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียน การใช้สาร ชีวภัณฑ์ ระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะในการควบคุมการให้น้ำตามสภาพอากาศความต้องการ การจัดการปุ๋ย หลัก-รอง-เสริม และนวัตกรรมถุงห่อทุเรียนเพื่อการลดใช้สารเคมี ฟิล์มบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ปิดผนึกหน้าถาด บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ที่มีสมบัติกันกลิ่น เป็นต้น ทั้งนี้ในส่วนของการร่วมพัฒนา ทุเรียนพรีเมี่ยม เพื่อให้ทันช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตจะออกเป็นจำนวนมากในฤดูกาลนี้ การขยายผลการใช้งานนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งมีผลการวิจัยจากการทดลองต่อเนื่องทั้งในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม ว่ามีผลในการลดใช้สารเคมีและเพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียน น้ำหนักผลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ความหนาของเปลือกมีแนวโน้มบางลง เหมาะกับการส่งออกทุเรียนในอนาคต ที่ต่อไปจะเป็นการส่งออกเนื้อทุเรียนแกะแช่แข็ง ไม่ส่งเป็นลูกทุเรียน นอกจากนั้นแล้วถุงห่อทุเรียน Magik Growth สามารถใช้งานได้ 3-5 ปี จึงทำให้เกษตรกรประหยัดค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป และลดของเสียได้” ทั้งนี้เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EECi ซึ่งกำกับดูแลโดย สวทช. มีนโยบายในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาของชุมชนโดยรอบพื้นที่ผ่านการนำเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร โดยได้เริ่มทำโครงการความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานสมาชิกของ EECi เพื่อกระตุ้นให้มีการจัดทำกิจกรรมที่อิงตามความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก นอกจากนี้เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพทางการศึกษาและทักษะของนักเรียน นักศึกษาในชุมชนโดยรอบ สมาชิกของ EECi ยังได้ให้การสนับสนุนให้มีการจัดให้มีโปรแกรมการเรียนการสอนแบบ STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) โดยได้มีการฝึกอบรมครูผู้สอนในเชิงเทคนิคสมัยใหม่ พร้อมเพิ่มกิจกรรมนอกหลักสูตรเสริมพิเศษให้กับนักเรียน อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนของ EECi หรือ EECi RUNs Academy (Re-skill Up-skill New Skill) เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยผู้เชี่ยวชาญจากในและต่างประเทศ เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อให้กำลังคนมีทักษะสามารถที่จำเป็นนำต่อยอดไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจและสังคม นางพจณี อรรถโรจน์ภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนโยบายและแผน สกพอ. กล่าวว่า กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับ สวทช. และองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ดำเนินการโครงการขยายผลการทดสอบถุงห่อทุเรียน รวมทั้งนวัตกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสมกับบริบทสวนทุเรียน ให้กับเกษตรกรในจังหวัดระยอง ที่เป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ผลจังหวัดระยอง ได้มีโอกาสทดลองใช้ นำตัวอย่างทุเรียนกลับมาทดสอบเปรียบเทียบผลผลิต และทำการประเมินความพึงพอใจจากเกษตรกร ซึ่งนอกจากจะเป็นหนึ่งแนวทางเป็นการเตรียมการแก้ปัญหาเรื่องการส่งออกแล้ว ยังเป็นหุ้นส่วนการร่วมทิศทางในการเป็นผู้ผลิตทุเรียนระยอง-ทุเรียนพรีเมี่ยม ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรรม เพื่อให้การสนับสนุนและเสริมศักยภาพทางเทคโนโลยีการเกษตรในการยกระดับคุณภาพผลผลิตทุเรียนในพื้นที่จังหวัดระยอง ด้วยการเปิดโอกาสให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนเข้าถึงการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสและสนับสนุนการพัฒนาทุเรียน พรีเมี่ยม สำหรับนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth เป็นวัสดุเสริมการเพาะปลูกชนิดสปันบอนด์นอนวูเวน (spunbond nonwoven) ที่กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. คิดค้นสูตรโพลิเมอร์คอมพาวด์จากการเลือกใช้ชนิดของโพลิเมอร์ เม็ดสี และสารเติมแต่งต่างๆ เช่น สารป้องกันยูวี และดัดแปรเนื้อวัสดุให้มีสมบัติพิเศษต่างๆ ได้แก่ มีโครงสร้าง 3 มิติในลักษณะที่เส้นใยสานกันไปมา ทำให้มีรูพรุนและความหนาที่ถ่ายเทน้ำและอากาศได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็แข็งแรงพอที่จะนำกลับมาใช้งานซ้ำได้ คัดเลือกช่วงแสงที่พืชต้องการและใช้สีที่ไม่ดึงดูดแมลง อีกทั้งสามารถออกแบบให้มีลักษณะตามการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น ถุงห่อ ถุงปลูก หรือวัสดุคลุมดิน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมัครเข้าร่วม “โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate)” ประจำปี 2566
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. 🚩ขอเชิญผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมัครเข้าร่วม “โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate)” ประจำปี 2566 🌟สวทช. ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ 1️⃣เงินสนับสนุนรูปแบบ matching fund ไม่เกิน 75% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 800,000 บาท สำหรับการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการตามแผนกิจกรรม 2️⃣ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญแบบ one on one 3️⃣การออกตลาดในรูปแบบการออกบูธนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ 📩ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและรายละเอียดโครงการได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/food-accelerate-2023/ และส่งใบสมัครมาที่อีเมล foodac@nstda.or.th ภายในวันที่ 12 มีนาคม 2566 📍ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการฯ สวทช. โทร 0 2564 7000 ต่อ 71746, 81490, 81492 และ 71745  
ปฏิทินกิจกรรม
 
ยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สวทช. ร่วมกับ กรมการขนส่งทางราง และ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) กระทรวงคมนาคม ลงนามความร่วมมือ การขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรมด้านมาตรฐานและการทดสอบ สำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย   สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. โดย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมในด้านการทดสอบผลิตภัณฑ์ในระบบขนส่งทางรางระดับสากล และได้รับการรับรองคุณภาพ ISO/IEC17025 พร้อมขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการทดสอบมาตรฐานเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ของระบบรางอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย และยกระดับไปสู่การเป็นผู้นำระดับภูมิภาคต่อไปในอนาคต.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์