หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย ไร้กลิ่นสารเคมี ไร้สารก่อมะเร็ง
  ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยางพารามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เม็ดเงินที่ไหลกลับเข้าประเทศกลับไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นวัตถุดิบในขั้นปฐมภูมิ อาทิ น้ำยางข้น ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน นักวิจัยไทยจึงคิดค้นกระบวนการแปรรูปยางพาราให้มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้นด้วยเทคนิคการวัลคาไนซ์โดยไม่ใช้สารเคมี เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่การใช้งานด้านสุขภาพและการแพทย์ รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงวัยในอนาคต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคนิคการวัลคาไนซ์ผลิตภัณฑ์ยางด้วยการฉายลำอิเล็กตรอน พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งเพื่อสุขภาพ และเดินหน้าต่อยอดสู่อุปกรณ์ด้านสุขภาพและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ   [caption id="attachment_54783" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต, ดร.ธงศักดิ์ แก้วประกอบ และ ดร.กรรณิกา หัตถะปะนิตย์ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต นักวิจัย ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางรูปแบบใหม่ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการขึ้นรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะใช้กระบวนการวัลคาไนเซชัน (vulcanization) ซึ่งเป็นการสร้างพันธะเชื่อมขวางระหว่างโมเลกุลของยาง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความแข็งแรงและทนทานสูงขึ้น อย่างไรก็ตามในขั้นตอนการผลิตมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ ทำให้มักมีสารเคมีตกค้างก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้สารบางชนิดยังเป็นสารก่อมะเร็งและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดเท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดด้านสุขภาพและการแพทย์ “เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้ประยุกต์การใช้ลำอิเล็กตรอนในการวัลคาไนเซชัน ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากผลิตภัณฑ์จะมีความแข็งแรงและคงทนในระดับทัดเทียมกับวิธีการที่ใช้อยู่เดิมแล้ว ยังไม่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงไม่มีกลิ่นสารเคมีรบกวน และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูงขึ้น โดยหลังจากการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปใหม่สำเร็จ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาสูตรการผลิต ‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ซึ่งมีความต้องการในตลาดสูงต่อทันที จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาได้ คือ มีความสามารถในการกระจายแรงสูง ลดแรงกดทับได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณก้นกบและหลังส่วนล่างจากการนั่งเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แผ่นเจลรองนั่งที่พัฒนาขึ้นยังมีคุณลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้นั่งรู้สึกเย็นสบายแม้จะผ่านการนั่งทับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมงอีกด้วย”   [caption id="attachment_54777" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption] [caption id="attachment_54778" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแผ่นเจลรองนั่งจากยางพาราแล้ว โดยผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางและกลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านการฆ่าเชื้อด้วยลำอิเล็กตรอน โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถร่วมวิจัยต่อยอดการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์เป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับการดูแลสรีระตามหลักการยศาสตร์ (ergonomics) ที่ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะทางมากขึ้นได้ ดร.ปณิธิ เล่าต่อว่า ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังจะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่อุปกรณ์การแพทย์สำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้นทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก รวมถึงเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบของประเทศไทย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในแผนการพัฒนาแล้ว เช่น แผ่นเจลรองนั่งและรองนอนสำหรับบรรเทาการเกิดแผลกดทับ โดยปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนของการสรรหางบประมาณสนับสนุนในการทำวิจัยรูปทรงของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและการทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) โดยอาสาสมัคร ส่วนอีกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง คือ แผ่นรองยืนฝึกการทรงตัวสำหรับการออกกำลังหรือกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อขาให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยร่วมกับกรมการแพทย์ “ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปยางด้วยวิธีการที่เป็นมิตรต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราของประเทศได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ รวมถึงมีส่วนช่วยเปิดตลาดและฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราด้วย เพราะหากทำได้สำเร็จจะส่งผลย้อนกลับมาสร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมยางพาราไทยได้เป็นอย่างดี” ดร.ปณิธิ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณเนตรชนก ปิยฤทธิพงศ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สวทช. อีเมล netchanp@mtec.or.th หรือ 0 2564 6500 ต่อ 4301       เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
3 โครงการวิจัย สวทช. ทุนล้านช้าง-แม่โขง เปิดตัวผลงานสู่สาธารณะ มุ่งงานวิจัยเห็ด มันสำปะหลัง และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระบบราง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตในประเทศกลุ่มลุ่มน้ำโขง
3 เมษายน 2567 กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวเปิดโครงการที่ได้รับทุนจากกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (LMCSF Funded Project) โดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อประชาสัมพันธ์แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และขยายเครือข่ายต่อยอดการสร้างผลกระทบของโครงการ จำนวน 3 โครงการของ สวทช. ประกอบด้วยเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเพิ่มมูลค่าเห็ดบริโภค การผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืน และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยมี ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และนายหม่า มิงเกิง ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยนักวิจัยในโครงการ และผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้าร่วมงาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ในปี 2566 สวทช. ได้รับทุนจากกองทุนความร่วมมือพิเศษล้านช้าง-แม่โขง หรือ LMCSF จำนวน 3 โครงการ โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง และโครงการส่งเสริมการผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืนโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภูมิภาคแม่น้ำโขง และโดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในประเทศและการจัดเตรียมร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ตามข้อกำหนดของโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยทั้ง 3 โครงการได้รับสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพิเศษล้านช้าง-แม่โขง (Lancang-Mekong Cooperation Special Fund) ประจำปี 2566 จากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 734,092 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 25,830,423 บาท) ซึ่งกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อการพัฒนาแก่ประเทศลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม และจีน โดยจะสนับสนุนแก่โครงการขนาดกลางและขนาดเล็กที่ส่งเสริมการพัฒนาในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีนปรากฏชัดเจนในความร่วมมือเหล่านี้ โดยไทยเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังประเทศลุ่มน้ำโขง ขณะเดียวกันได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีและกิจกรรมความร่วมมืออื่น ๆ จากประเทศจีนเช่นกัน นายหม่า มิงเกิง (Mr. Ma Minggeng) ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ขอแสดงความยินดีกับ สวทช. ที่ได้รับทุนวิจัยใน 3 โครงการ ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ลงนามข้อตกลงระดับรัฐบาลว่าด้วยความร่วมมือสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งแรกในปี ค.ศ. 1978 จนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมสนับสนุนโครงการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า 1,000 โครงการ นับตั้งแต่การเปิดตัวความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาคครั้งแรก โดยมีเป้าหมายในการสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีนกับประเทศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งประเทศเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการเร่งการพัฒนาและตระหนักถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังการพัฒนากำลังการผลิตใหม่ ๆ ระดับภูมิภาค เพื่อส่งเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขันของอุตสาหกรรม กว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ถือเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของประเทศ เห็นได้ชัดเจนจากแผนพัฒนาประเทศไทย 4.0 โมเดล BCG และเป้าหมายการหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยการพึ่งพานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ด้านนักวิจัยในโครงการ ในโครงการแรก ดร.อัมพวา ปินเรือน หัวหน้าโครงการและนักวิจัยทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (Technology transfer and knowledge exchange on edible mushrooms for economic and agriculture sustainable development among countries in the Mekong region) จำนวน 258,059 ดอลลาร์สหรัฐ (9,072,323 บาท โดยประมาณ) เป็นระยะเวลา 3 ปี (2567 - 2570) โครงการมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขี้นให้แก่ประชาชนไทยและประชาชนในกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงผ่านทรัพยากรเห็ด รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง กิจกรรมภายใต้โครงการประกอบด้วย การศึกษา พัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรเห็ดป่าและคอร์ไดเซบ (กลุ่มถั่งเช่า) ที่ใช้บริโภคได้ในแต่ละพื้นที่ การค้นหาหรือพัฒนาสายพันธุ์เห็ดเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์นำเข้า รวมทั้งเปิดโอกาสทางการตลาด ส่งเสริมการบริหารจัดการและควบคุมกระบวนการเพาะเห็ดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยการใช้น้ำและพลังงานการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดหรือจัดการของเสียจากกระบวนการผลิตเห็ด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากเห็ดและคอร์ไดเซบ รวมถึงการเพาะเห็ดร่วมกับไม้ป่าซึ่งจะเป็นการเพิ่มผลผลิตของเห็ดป่าในธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งอาหารและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชนบท สร้างโอกาสการอยู่ร่วมกับป่าได้โดยไม่ทำลายป่าและลดความเสี่ยงต่อการเก็บเห็ดพิษมาบริโภค ซึ่งการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้นี้จะช่วยเพิ่มความสามารถและความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมการผลิตเห็ดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเห็ดและคอร์ไดเซบ ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ หัวหน้าโครงการและนักวิจัยทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการการส่งเสริมการผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืนโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภูมิภาคแม่น้ำโขง (Promotion of Sustainable Cassava Production in the Mekong Region through Dissemination of Cassava Mosaic Disease Diagnostic and Clean Cassava Seed Production Technologies) จำนวน 288,846 ดอลลาร์สหรัฐ (10,161,603 บาท โดยประมาณ) เป็นระยะเวลา 3 ปี (2567 - 2570) มันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องเผชิญวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดการระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้ผลผลิตลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดเพื่อนำมาปลูกต่อไป เพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคและการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาด ไบโอเทคได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตท่อนพันธุ์สะอาดที่มีคุณภาพ ทำให้สามารถผลิตต้นพันธุ์ได้ปริมาณมากภายในเวลารวดเร็ว ได้แก่ เทคนิค tissue culture และเทคนิค mini stem cutting นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง สำหรับใช้ตรวจคัดกรองโรคในกระบวนการผลิตต้นพันธุ์สะอาดและการติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคในแปลงปลูก ได้แก่ เทคนิค ELISA และเทคนิค immunochromatographic strip test โดยไบโอเทคได้เริ่มมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้น ให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยแล้ว ภายใต้โครงการนี้ทีมวิจัยจะนำเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์สะอาดและการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง ไปขยายผลให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างในกลุ่มประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง และโครงการที่ 3 ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในประเทศและการจัดเตรียมร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ตามข้อกำหนดของโครงการรถไฟความเร็วสูง (Technological Capability Enhancement of Local Industries and Product Standardization Initiative in Accordance with High-speed Railway Project Requirements) ได้รับทุนวิจัยจำนวน 187,187 ดอลลาร์สหรัฐ (6,596,497 ล้านบาท โดยประมาณ) เป็นระยะเวลา 2 ปี (2567 - 2569) ปัจจุบันพบว่า บุคลากรในภาคการศึกษา วิจัยและพัฒนา และภาคอุตสาหกรรม ของกลุ่มประเทศล้านช้าง-แม่โขงยังคงขาดทักษะความรู้และความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์มาตรฐานสูงสำหรับใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของโครงการรถไฟความเร็วสูง รวมถึงอุตสาหกรรมในประเทศที่ยังขาดโอกาสการเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานของโครงการรถไฟความเร็วสูง เนื่องจากมีประสบการณ์ไม่เพียงพอในการผลิตผลิตภัณฑ์มาตรฐานสูงป้อนเข้าสู่การใช้งานในโครงการรถไฟความเร็วสูง ทีมวิจัยจึงเล็งเห็นจุดควรปรับปรุงที่จะนำไปใช้การริเริ่มสร้างกรอบการทำงานที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยเริ่มจากการยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่กำลังดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยสร้างความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจ และสังคมระยะยาวให้กับประเทศในกลุ่มล้านช้าง-แม่โขง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการจัดทำร่างมาตรฐานของสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศก่อนเสนอต่อหน่วยงานมาตรฐานระดับประเทศเพื่อใช้อ้างอิงในการประกาศรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับนำไปใช้ในโครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย และจะขยายผลโดยการส่งต่อองค์ความรู้ไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่จะมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอนาคต ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีประสบการณ์ดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง รวมถึงการสร้างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถไฟความเร็วสูงอย่างเป็นระบบตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย จัดกิจกรรมเยาวชนประดิษฐ์หุ่นยนต์จากกระดาษแข็ง และเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีโลกเสมือนกับแชทบอทปัญญาประดิษฐ์
โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย  ร่วมจัดกิจกรรมเยาวชนกิจกรรมเรียนรู้การประดิษฐ์หุ่นยนต์จากกระดาษแข็งและเชื่อมต่อเป็น AR กับ ChatGPT ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  กล่าวว่า โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย โดย สวทช. ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดกิจกรรมเยาวชน ประดิษฐ์หุ่นยนต์จากกระดาษแข็ง ซึ่งเป็นวัสดุที่ประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีเสมือนกับแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ ในวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร โดยเป้าหมายของกิจกรรม เราต้องการให้เด็กได้พัฒนาทักษะสำคัญในโลกอนาคต ตั้งแต่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีโลกเสมือน ทักษะการแก้ไขปัญหา ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการสื่อสาร  ผ่านการลงมือทำของเล่น ภายใต้แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายฮว่าง มินห์ เฟือง จากบริษัท GraphicsMiner Lab กล่าวว่า  เด็กๆ จะได้ทำของเล่นจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษแข็ง ช่วยพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว ทักษะกระบวนการคิด และการทำงานเป็นกลุ่ม หุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและแทบเล็ต ทั้งระบบปฏิบัติการ Android หรือ iOS นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมจะสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ด้วย ChatGPT ผ่าน Augmented Reality (AR) ประกอบด้วย กิจกรรมวิศวกรสร้างจรวด ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และเซอร์โว หุ่นยนต์พร้อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถใช้ระบบ AR พูดคุยกับหุ่นยนต์ กิจกรรมแต่งเติมสีสันตกแต่งหุ่นยนต์ตามจินตนาการ  กิจกรรมวิศวกรปัญญาประดิษฐ์ – ChatGPT กิจกรรมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์น้อยสร้างสรรค์คลิปสั้นโดยใช้เทคโนโลยี AR เชื่อมต่อ ChatGPT สื่อสารหัวข้อที่ตนเองสนใจในโซเชียลมีเดีย เด็กหญิงปุญยารัศม์ เสมะกนิษฐ์ (น้องโบตั๋น) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี เล่าว่า วันนี้ได้มาเข้าค่ายกับ สวทช. รู้สึกดีใจและสนุกมาก เพราะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่หลาย ๆ คน ได้ทำความรู้จักกับหุ่นยนต์ เป็นครั้งแรกที่ได้ลองประกอบหุ่นยนต์หลายรูปแบบด้วยตัวเอง ได้ใช้งานแอปพลิเคชันกับหุ่นยนต์ ได้ฝึกความละเอียดรอบคอบในการประดิษฐ์หุ่นยนต์ ต้องระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาด หากเราพลาดเพียงจุดเล็ก ๆ เพียงจุดเดียว ก็อาจทำให้หุ่นยนต์เสียหายได้เลย สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง อยากพัฒนาต่อยอดเป็นหุ่นยนต์สำรวจและเก็บขยะที่เข้าถึงได้ทุกพื้นที่ ทุกสภาพแวดล้อมทำให้ชุมชนและประเทศมีความสะอาดมากยิ่งขึ้น เด็กชายสดุดี สิทธิชาติ (น้องเจได) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เล่าว่า วันนี้ได้เรียนรู้การประดิษฐ์เยอะมาก ผมมีความฝันและชอบการต่อลังกระดาษมาก รู้สึกสนุก ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนำ Chat GPT มาใช้งาน ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเพิ่มเติมโดยนำไปใช้งานกับอุปกรณ์อื่น เพื่อใช้งานในชีวิตประจำวันได้อีก ในอนาคตอยากพัฒนาเป็นหุ่นยนต์ที่ช่วยมนุษย์เก็บของ สามารถควบคุมการทำงานจากโทรศัพท์มือถือได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันมากขึ้น คุณศศิประภา เจริญธรรมรักษา ผู้ปกครองของเยาวชนที่มาเข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดี  มีความเหมาะสมกับเด็กในยุคสมัยนี้ คือ มีการใช้ Chat GPT ประยุกต์เข้ากับสิ่งประดิษฐ์ เด็กได้เรียนรู้โปรแกรมใหม่ ๆ และด้วยความที่ สวทช. ร่วมมือจัดกิจกรรมผู้เชี่ยวชาญ AI จากเวียดนาม เด็ก ๆ จึงได้ฝึกการฟังภาษาอังกฤษด้วย ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าเด็กได้นำความรู้ด้านภาษามาใช้งานได้จริง และที่สำคัญกิจกรรมจัดในช่วงปิดเทอม เด็ก ๆ สามารถมาเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ ขอบคุณทาง สวทช. ที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2567
ข่าว สวทช. รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) สวทช. ร่วมกับ สกมช. ผนึกกำลังรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยี นักวิจัย สวทช. เจ๋ง รวมทัพรับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2567 สวทช.-อว. ชี้ “น้ำไม่ใช่เชื้อเพลิง” ไม่สามารถใช้แทนน้ำมันในรถยนต์เชื้อเพลิงสันดาปได้ สวทช. ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อเยาวชน เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในงานวันนักประดิษฐ์ 2567 สวทช. โดย ไบโอเทค-เอ็มเทคได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2566 จำนวน 3 โครงการ ด้านรถไฟความเร็วสูง มันสำปะหลังและเห็ด เกษตรกรเฮ ปลูกถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML สร้างรายได้ไม่ธรรมดา  สวทช.-พันธมิตร หนุนปลูกครบวงจร ใช้กลไก ‘ตลาดนำการผลิต’ เอกชนรับซื้อถึงแปลง สวทช. พร้อมพันธมิตร ร่วมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี และแนวทางการใช้ ChatGPT และเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ปี 67 เอ็มเทค สวทช. ผนึกกำลัง ส.อ.ท. จัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มอุตสาหกรรม เหล็ก รองรับมาตรการ CBAM สวทช. ลุยพื้นที่ EECi เสริมสร้างศักยภาพครู รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน สอดคล้องนโยบาย BCG พร้อมต่อยอดในชั้นเรียน 7 เยาวชนตัวแทนประเทศไทยบินลัดฟ้าสู่แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมลุ้นผลการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากไอเดียที่ส่งเข้าประกวด เอ็มเทค สวทช. หนุนอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ปลดล็อก CBAM ช่วยไทยคงมูลค่าส่งออก EU กว่า 4 พันล้านบาท เยาวชนไทยร่วมลุ้นผลการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากไอเดียที่ส่งเข้าประกวด สวทช. รับรางวัลคลิปแอนิเมชันรักษ์โลก ประเภทองค์กร จากคณะอนุกรรมาธิการด้านคุณธรรมและจริยธรรมฯ วุฒิสภา “ศุภมาส” ประกาศเดินหน้าแผนพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ ศุภมาส ร่วมผลักดันไทยเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า กรมโรงงานฯ ผนึก สวทช. หนุน 500 โรงงาน ประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ Thailand i4.0 Checkup สวทช. รับรางวัลทุนหมุนเวียน ประเภทประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น ปี 2566 ไบโอเทค เปิดบ้าน TBRC คลังจุลินทรีย์ชั้นนำระดับอาเซียน เอสซีจี เยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และผลงานวิจัย สวทช. สวทช.-สวก.-กรมส่งเสริมการเกษตร ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ สวทช. -บพข. คิก ออฟ ‘MED Drive’ ยกระดับความสามารถผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ สวทช. ผนึกกำลัง มธ. และ OR ร่วมวิจัยพัฒนา เทคโนโลยีพลังงานทดแทน และพัฒนานวัตกรรมสู่ความยั่งยืน   Download เอกสารฉบับเต็ม (23.4 MB)
จดหมายข่าว สวทช.
 
อว. มอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติแด่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นและคนดีศรี อว. ประจำปี 2566 “ศุภมาส” รมว.อว. ยกย่องเป็นบุคคลต้นแบบของกระทรวง
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2566 โดยมีจำนวน 84 ราย จาก 68 หน่วยงาน และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น “คนดีศรี อว.” ประจำปี 2566 ซึ่งได้ผ่านการคัดเลือกจากหน่วยงานในสังกัด โดยมีจำนวน 16 ราย จาก 12 หน่วยงาน ในโครงการยกย่องเชิดชูเกียรติข้าราชการและบุคลากรของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมี นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ห้องประชุมภูมิบดินทร์ชั้น 6 อาคารสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ในโอกาสนี้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับ นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ (สวทช.) ที่ได้รับคัดเลือกเป็นคนดีศรี อว. ประจำปี พ.ศ. 2566 และได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ในครั้งนี้ นางฤทัย จงสฤษดิ์ ได้รับการยกย่องเป็นคนดีศรี อว. จากผลงานหรือการปฏิบัติงานที่ได้รับการยกย่องว่าดีเด่นและเป็นที่ยอมรับ อาทิ 1. จัดกิจกรรมส่งเสริมทางวิทยาศาสตร์สำหรับผู้ด้อยโอกาสและพิการ เด็กทั่วไป ตลอดจนผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มากกว่า 100 กิจกรรม  เช่น เทศกาลเยาวชนนานาชาติเอเปค  ประชุมสุดยอดนักวิวัฒนาการรุ่นเยาว์  ค่ายส่งเสริมเด็กอัจฉริยภาพที่ได้เหรียญทองจากการสอบแข่งขันของ สสวท.   ค่ายวิทยาศาสตร์การอาหาร ค่ายนักวิจัยด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ  ค่ายเปิดโลกวิทยาศาสตร์กับสี่เทคโนโลยี ค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับผู้พิการทางสายตาและบกพร่องทางการได้ยิน 2. วิทยากรหลักอาวุโสโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย วิทยากรโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก วิทยากรโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ห้องเรียนพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  วิทยากรอบรมครูสอนเด็กหูหนวกและเด็กตาบอด และพิการทางร่างกาย 3. เผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านงานเขียนรูปแบบต่างๆ มากกว่า 100 ผลงาน เช่น บทความ  ตำราเรียน และหนังสือส่งเสริมทางวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน เช่น  โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉบับเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี   ปรุงโครงงานวิทยาศาสตร์ให้อร่อย  สนุกคิด นักวิทย์น้อย สร้างอัจฉริยะน้อยด้วยรอยยิ้ม และได้รับรางวัลหนังสือดีสำหรับเยาวชนระดับประเทศ 10 รางวัล 4. วิทยากรพิเศษรับเชิญเกี่ยวกับเรื่อง แนวการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนทางวิทยาศาสตร์  การทดลองทางวิทยาศาสตร์  ทำโครงงาน และจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ ให้กับหน่วยงานต่างๆ เช่น  องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ  ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ โรงเรียน และมหาวิทยาลัยต่างๆ  ตลอดจนเป็นวิทยากรและคณะกรรมการรับเชิญในรายการโทรทัศน์ในรายการสนุกคิด กลวิทยาศาสตร์  รายการดิสนีย์คลับ รายการคิดวิทย์  รายการ ป.ปลาตากลม  รายการคิดวิทย์  รายการ Kid Rangers ปฏิบัติการเด็กช่างคิด รายการรักลูกให้ถูกทาง  รายการครอบครัวเดียวกันตอนครอบครัวนักทดลอง และรายการหัวใจใกล้กัน เป็นต้น 5. กรรมการและเลขานุการโครงการด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนและนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ตาม พระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เช่น โครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี โครงการการคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา โครงการ Global Young Scientists Summit โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดสัมมนา “จีโนมิกส์ประเทศไทย: การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย”
(28 มี.ค. 2567) ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สายงานบริหารการวิจัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดสัมมนาหัวข้อ "จีโนมิกส์ประเทศไทย: การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย (Genomics Thailand: Genomic Medicine Improves Quality of Life for Thais)" ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NAC2024) นำเสนอสถานภาพการดำเนินงานและทิศทางไปข้างหน้าของโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย ตลอดจนผลกระทบที่สำคัญทางด้านการวิจัยและการบริการทางการแพทย์ที่ช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษามีความแม่นยำและคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สัมมนาในครั้งนี้ สวทช. ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน ร่วมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 9 ท่าน [caption id="attachment_54699" align="aligncenter" width="1313"] ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์[/caption] โดยมี ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เข้าร่วมฟังสัมมนา และ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมรับฟังสัมมนา กล่าวขอบคุณผู้ร่วมงานและกล่าวปิดงานสัมมนา [caption id="attachment_54702" align="aligncenter" width="396"] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์[/caption] [caption id="attachment_54703" align="aligncenter" width="400"] ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ[/caption] งานสัมมนาเริ่มต้นด้วยการบรรยายโดย คุณบุญยวีร์ เอื้อศิริวรรณ ผู้แทนสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กรุณามานำเสนอสถานภาพการถอดลำดับพันธุกรรมคนไทยปัจจุบันดำเนินการถอดลำดับพันธุกรรมไปแล้วกว่า 45,000 ราย โดยคุณบุญยวีร์ให้ข้อมูลว่า สวรส. พยายามที่จะขับเคลื่อนการแพทย์จีโนมิกส์จากระยะของการวิจัยไปสู่บริการและต่อเนื่องไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการแพทย์จีโนมิกส์ในประเทศไทย โดย สวรส. มีแผนจะนำแผนปฏิบัติการจีโนมิกส์ประเทศไทยระยะที่ 2 เสนอเข้าคณะรัฐมนตรีในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 นี้ [caption id="attachment_54706" align="aligncenter" width="1317"] คุณบุญยวีร์ เอื้อศิริวรรณ[/caption] ต่อด้วย ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช.ที่กรุณามาบรรยายเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลพันธุกรรมคนไทยในโครงการฯ รวมถึงระบบสารสนเทศที่ สวทช. พัฒนาขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างมาตรฐานของระบบสนับสนุนการวินิจฉัยของประเทศ ขยายการเข้าถึงสำหรับแพทย์ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพิ่มโอกาสในการรับการรักษาผู้ป่วย และเป็นตัวกลางให้เกิดความร่วมมือระหว่างสถานพยาบาลผ่านระบบ Tele consultation ตลอดจนแสดงภูมิทัศน์จีโนมในคนไทย ซึ่งจะเป็นองค์ความรู้สำคัญในการพัฒนาการวินิจฉัยและการรักษาที่จำเพาะกับคนไทย รวมถึงนโยบายการให้สิทธิประโยชน์ในการรักษาที่เหมาะสมกับคนไทย [caption id="attachment_54707" align="aligncenter" width="1317"] ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา[/caption] จากนั้น ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลผลิตการพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหิดล กรุณามาเล่าข้อค้นพบสำคัญของการนำเทคโนโลยีจีโนมิกส์มาประยุกต์ใช้ ทั้งในส่วนของการวินิจฉัยเชื้อก่อโรค การศึกษาทางระบาดวิทยาและการวิจัย ที่ช่วยสร้างองค์ความรู้ใหม่ในการป้องกันและรับมือกับโรคระบาด รวมถึงการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ [caption id="attachment_54708" align="aligncenter" width="1317"] ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลผลิตการพิมพ์[/caption] ปิดท้ายงานสัมมนาด้วยเสวนา ในหัวข้อ “การแพทย์จีโนมิกส์สู่การวินิจฉัยและการรักษาที่แม่นยำ” โดย สวทช. ได้รับเกียรติจากแพทย์จากโรงพยาบาลส่วนกลางและภูมิภาค ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนงานบริการการแพทย์จีโนมิกส์ไปสู่ผู้ป่วยทั่วประเทศ มาร่วมพูดคุยกันถึงจุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจและประสบการณ์การให้บริการการแพทย์จีโนมิกส์ วิทยากรในช่วงเสวนาประกอบด้วย ศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ สังขทัต ณ อยุธยา จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รศ.พญ.กิติวรรณ โรจนเนืองนิตย์ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.นพ.กุณฑล วิชาจารย์ จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พญ.ภณีตา พันจรรยา จากศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงและกุมารเวชพันธุศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และ นพ.ภาสกร วันชัยจิระบุญ จากศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี โดยมี ศ.นพ.วรศักดิ์ โชติเลอศักดิ์ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ และรองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เกียรติมาเป็น modulator ในช่วงเสวนา เสวนาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยี จีโนมิกส์ทางด้านการแพทย์ ประโยชน์ที่เกิดกับทุกคนตลอดช่วงชีวิต ทุกเพศ ทุกช่วงอายุ และเกิดได้กับทุกพื้นที่ในประเทศไทย ศ.นพ.วรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับจากการเข้าร่วมโครงการฯ ถือเป็นโบนัสของโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยระยะที่ 1 ซึ่งถือเป็นต้นแบบที่จะต้องขยายผลไปสู่ระยะถัดไป จาก 50,000 คน ไปเป็นหลักสิบล้านคน และจากเฟสของการวิจัยไปสู่ระบบบริการสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นประเด็นท้าทายสำหรับการดำเนินงานในระยะที่ 2 แต่เชื่อมั่นว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนด้วยการสนับสนุนของภาครัฐและความทุ่มเทของบุคลากรทางการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย สัมมนาในครั้งนี้มีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานกว่า 363 ท่าน จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานศึกษา และบุคคลทั่วไป โดยมีผู้เข้าร่วมงานแบบ onsite กว่า 200 ท่าน และรับชมผ่าน Facebook live สวทช. กว่า 2.5 พัน views   ดูรายละเอียดการสัมมนาได้ที่ : https://www.nstda.or.th/nac/2024/seminar/nac-05/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รับสมัครนักเรียนระดับ ม.ต้นที่สนใจเปิดประสบการณ์เรียนรู้ในค่ายเยาวชน “The APCG2024 Youth Summit” ณ ประเทศญี่ปุ่น
โอกาสดี ไม่ได้มีมาบ่อย ✈️✈️✈️ บินลัดฟ้าไปร่วมกิจกรรมค่ายเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษ ร่วมกับเยาวชนในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก ประเทศไทยได้รับโควต้ามาเพียง 8 คนเท่านั้นค่ะ รับสมัครนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่สนใจเปิดประสบการณ์เรียนรู้ในค่ายเยาวชน “The APCG2024 Youth Summit” ณ ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 15-21 สิงหาคม 2567 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 10 เมษายน 2567 (หรือปิดรับเมื่อมีผู้สมัครครบตามจำนวน) ผู้สนใจโปรด Scan QR Code เพื่ออ่านกำหนดการและสมัครเข้าร่วมโครงการ หมายเหตุ ผู้สมัครต้องมีอายุมากกว่า 13 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 15 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2567 สอบถามได้ที่คุณอรมนต์ ศันติวิชยะ ประดิษฐ์ผล (โบ) ☎️ 025647000 ต่อ 1430, 0816204201 📩 oramon.san@nstda.or.th การตัดสินของกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด
ปฏิทินกิจกรรม
 
“เรื่องเล่าชาวชะนี” วรรณกรรมเล่มล่าสุดของ สวทช. ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น ปี 67 ประเภทบันเทิงคดี โดย สพฐ.
หนังสือ “เรื่องเล่าชาวชะนี” ผลงานวรรณกรรมสองภาษา (ไทย/อังกฤษ) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสือดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2567 ประเภทบันเทิงคดี สำหรับเด็ก อายุ 6–11 ปี โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จากการพิจารณาตัดสินหนังสือที่ได้รับการคัดเลือก 56 เรื่อง เป็นรางวัลดีเด่น 14 เรื่อง รางวัลชมเชย 42 เรื่อง โดยมีการประกาศเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567  ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของ สพฐ. : https://www.obec.go.th/archives/964607 และศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.จริยา บรอคเคลแมน ในฐานะผู้ประพันธ์ เป็นผู้แทนเข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีเปิดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หนังสือ “เรื่องเล่าชาวชะนี” เป็นวรรณกรรมที่นำเสนอเรื่องราวของชะนีมือขาว ซึ่งเป็นชนิดที่มีมากที่สุดของไทย โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.จริยา บรอคเคลแมน และ ดร.จันทร์เพ็ญ ศรลัมพ์ ผู้ประพันธ์ ได้รับแรงบันดาลใจจาก “การศึกษาวิจัยระยะยาวเกี่ยวกับชะนีและนิเวศวิทยาของชะนีในประเทศไทย” ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ ดร.วรเรณ บรอคเคลแมน นักชีววิทยาผู้เฝ้าติดตามพฤติกรรมสัตว์ป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นเวลาถึง 48 ปี ตั้งแต่เริ่มเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (พ.ศ. 2517) กระทั่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิเวศวิทยา สวทช. ในปัจจุบัน ผู้ประพันธ์ได้รวบรวมองค์ความรู้อันทรงคุณค่าจากงานวิจัยมาจัดทำเป็นหนังสือเรื่องเล่าเชิงนิยายเพื่อส่งเสริมการอ่านแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป โดยมุ่งหวังสร้างความเพลิดเพลิน กระตุ้นความสนใจและสร้างความตระหนักในความสำคัญของสัตว์ป่า รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน วรรณกรรม “เรื่องเล่าชาวชะนี” ดำเนินการผลิตโดย สวทช. และเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 โดยมีการส่งมอบแก่โรงเรียนด้อยโอกาสทั่วประเทศ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สวนสัตว์นครราชสีมา และองค์กรกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ไปแล้ว จำนวน 2,000 เล่ม ทั้งนี้ผลงานดังกล่าวมีหน่วยงานร่วมสนับสนุนการผลิต อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี และสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทย นอกจากการนำองค์ความรู้การวิจัยเกี่ยวกับชะนีมาจัดทำเป็นวรรณกรรมแล้ว สวทช. เตรียมจัดกิจกรรม “ตามรอยชะนีในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” แก่เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในเดือนมิถุนายนและตุลาคมนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามและสั่งซื้อหนังสือเรื่องเล่าชาวชะนีได้ที่ https://www.nstdashop.com/product/11000383292000330 ข้อมูลหนังสือเรื่องเล่าชาวชะนี ผู้เขียน : จริยา บรอคเคลแมน และจันทร์เพ็ญ ศรลัมพ์ บรรณาธิการ : รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ และ อนุตตรา ณ ถลาง บรรณาธิการจัดการ : ศศิธร เทศน์อรรถภาคย์ รูปเล่ม : เกิดศิริ ขันติกิตติกุล ภาพประกอบ : เมธิรา เกษมสันต์ ผลิต : ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. จัดจำหน่าย : NSTDA Shop
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ พันธมิตรภาคอุตสาหกรรม เปิดตัว “ค้ำคูณ” ต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า ภายใต้ทุนสนับสนุนจาก บพข.
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยกลุ่มวิจัยระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (RMT) ร่วมกับ บริษัท เทคโนโลยีอีสานเหนือ จำกัด โดย วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ เปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าต้นแบบรุ่นใหม่ “ค้ำคูณ” ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เพื่อยกระดับขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างผลกระทบทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ พร้อมเป็นหนึ่งตัวอย่างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การขนส่งสาธารณะในเมือง ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. กล่าวว่า “การพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งแห่งอนาคตและระบบนิเวศธุรกิจ” การขนส่งแห่งอนาคตนับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่ภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ตลอดจนส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30 และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในด้านการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ ในวันนี้ เราได้รวบรวมผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการขนส่งแห่งอนาคตมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการพัฒนาธุรกิจภายใต้บริบทเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการเปิดตัวต้นแบบ “ค้ำคูณ” ผลงานจากโครงการวิจัยร่วมระหว่างเอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ บริษัท เทคโนโลยีอีสานเหนือ จำกัด โดย วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การขนส่งสาธารณะในเมือง รศ.ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมพิธีเปิดตัวต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า “ค้ำคูณ” ในวันนี้ ตามแผนพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ ตามนโยบาย “อว. For EV” ของ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ท่านศุภมาส อิศรภักดี บพข. ร่วมกับ สกสว. ได้ปรับแผนด้าน ววน. (วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เป็น Flagship สำคัญของกองทุนส่งเสริม ววน. เพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ โดยในปี 2566 บพข. ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ววน. ด้านยานยนต์ไฟฟ้า จำนวน 445.5 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2567 จำนวน 610 ล้านบาท โดยได้สนับสนุนทุนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีเกี่ยวเนื่องในหลายด้านรวมถึงการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟ้ฟ้าและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ซึ่ง ต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า “ค้ำคูน” นี้ ได้ตอบโจทย์การวิจัยในด้านนี้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก บพข.ใน โปรแกรม 10 ยกระดับความสามารถการแข่งขันและวางรากฐานทางเศรษฐกิจ แผนงานย่อยการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบคมนาคมแห่งอนาคต และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ในปีงบประมาณ 2565 และ บพข. พร้อมที่จะสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีเกี่ยวเนื่อง เพื่อยกระดับเทคโนโลยี เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียนต่อไป คุณไพรัตน์ เอื้อชูยศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ส.อ.ท. มุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นไปที่การยกระดับจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่อุตสาหกรรมใหม่ หนึ่งในอุตสาหกรรมใหม่ที่ ส.อ.ท. ให้ความสำคัญคือ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ และเป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งเน้นให้ภาครัฐรักษาและต่อยอดความเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนของโลก สร้างอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนสมัยใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และยกระดับชิ้นส่วนยานยนต์ไทยเพื่อมุ่งการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โครงการต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า “ค้ำคูณ” เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนารถสามล้อไฟฟ้าที่ปลอดภัย สะดวก ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คุณวิกรม วัชระคุปต์ รองประธานสภาธุรกิจไทย-ลาว กล่าวถึงการเปิดตัวในครั้งนนี้ว่า “ตามแผนส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต (Next-gen Automotive) และการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Emission) ในปี 2065 ประกอบกับนโยบาย 30@30 ของภาครัฐที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดเป้าหมายให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2030 การดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านยานยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ “ คุณวิกรม กล่าวต่อว่า “ผมในฐานะตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมการผลิต และสภาธุรกิจไทย-ลาว ปรารถนาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการผลิตระดับภูมิภาค ซึ่งช่วยนำไปสู่การสร้างธุรกิจใหม่ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ศักยภาพสูง เช่น อุดรธานี ในฐานะเมืองศูนย์การคมนาคมขนส่ง และเมืองหน้าด่านสำคัญที่เชื่อมต่อไปยัง สปป. ลาว ได้สะดวก นอกจากนี้ ในฐานะผู้ริเริ่มประสานงานระหว่างตัวแทนภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดอุดรธานี และคณะวิจัยเอ็มเทค สวทช. เพื่อให้เกิดการดำเนินโครงการวิจัยพัฒนารถสามล้อไฟฟ้ารูปแบบใหม่ตอบโจทย์ความท้าทายแห่งอนาคตทั้งในมิติด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ผมจึงมีความยินดี ที่ได้เห็นผลงานการวิจัยและพัฒนาต้นแบบสามล้อไฟฟ้า “ค้ำคูณ” สำเร็จลุล่วงในวันนี้ ภายใต้การสนับสนุนทุนการวิจัยจาก บพข. และมีวิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือร่วมให้การสนับสนุนโครงการวิจัยทั้งในรูปแบบ In-cash และ In-kind อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในวันนี้ว่าถือเป็นจุดเริ่มต้น ก่อนเข้าสู่กระบวนการนำต้นแบบไปต่อยอดขยายผลและพัฒนาเป็นธุรกิจเชิงอุตสาหกรรมและบริการต่อไป ผมขอเป็นกำลังให้กับคณะวิจัย และผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจาก การนำผลงานที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนาเข้าสู่ภาคธุรกิจที่แท้จริงเพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม ยังคงมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้าอีกมากมาย” รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวสัดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวว่า “กลุ่มวิจัยระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ หรือ RMT เอ็มเทค สวทช. มีพันธกิจด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการสร้างนวัตกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างผลกระทบทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ โดยปัจจุบัน RMT ดำเนินกิจกรรมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านที่เกี่ยวข้องกับระบบราง และเทคโนโลยีในด้านยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ ภายใต้นโยบายการวิจัยและพัฒนาด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ road safety ของเอ็มเทค ภายใต้แนวคิด “Smart Mobility” ที่หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อก้าวเข้าสู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-gen Automotive) ของรัฐบาล” รศ.ดร.เติมศักดิ์ กล่าวต่อว่า “ต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า “ค้ำคูณ” นี้ ได้เน้นย้ำถึงความเชี่ยวชาญของคณะวิจัยเอ็มเทค ที่ได้ใช้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่จับต้องได้ โดยการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และหน่วยงานเกี่ยวข้องอื่น ซึ่งในอนาคตจะมีขยายผลสู่การผลิตและใช้งานเชิงพาณิชย์ต่อไป ผมหวังว่านวัตกรรม “ค้ำคูณ” นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม พร้อมยกระดับความรู้เชิงเทคนิคให้กับประเทศ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีตอบโจทย์ความท้าทายในอนาคต อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนพลังงาน และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเชิงเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทั้งในและต่างประเทศต่อไป” ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “ค้ำคูณ” เป็นหนึ่งในแผนงาน EV-Innovation ของ สวทช. ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาจาก บพข. อีกทั้งยังตอบสนองนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในด้านการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะในภูมิภาค และมีแผนขยายผลนวัตกรรมนี้สู่การผลิตเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมีแผนต่อยอดสู่การใช้งานไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยแต่รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ผมขอขอบคุณคณะวิจัย สวทช. ทุกท่าน คณะอาจารย์และนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ บุคลากรจากทุกภาคส่วนต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี ที่ร่วมแรงร่วมใจจนสามารถสร้าง “ค้ำคูณ” ให้เป็นนวัตกรรมตอบสนองและตอบโจทย์ “การขนส่งแห่งอนาคต” และนำมาเปิดตัวให้สาธารณะรับทราบในวันนี้ ต้นแบบรถ “ค้ำคูณ” นี้ เป็นหนึ่งในแผนงาน EV-Innovation ของ สวทช. ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาจาก บพข. อีกทั้งยังตอบสนองนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในด้านการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะในภูมิภาค และมีแผนขยายผลนวัตกรรมนี้สู่การผลิตเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมีแผนต่อยอดสู่การใช้งานไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยแต่รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านต่อไป”
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ กสทช. – สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม – สมาคมคนตาบอด – มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ส่งเสริมการเข้าถึงบริการดิจิทัลโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยเฉพาะให้ “ผู้พิการ-ผู้ด้อยโอกาส” ได้ใช้สิทธิ์การเข้าถึงอย่างเท่าเทียม
(29 มีนาคม 2567) ที่ห้องประชุม BIOTEC Auditorium ชั้น 1 อาคารไบโอเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 (NSTDA Annual Conference: NAC 2024) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)  สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และ มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการสร้างความร่วมมือเกี่ยวกับการเข้าถึงเนื้อหาและบริการดิจิทัลโดยสะดวกถ้วนหน้า ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อผลักดันให้เว็บไซต์และโมบายแอปพลิเคชันเป็นช่องทางสาธารณะที่ทุกคนควรเข้าถึงได้เพื่อความเท่าเทียมทางด้านโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และบริการสาธารณะ โดยจะผลักดันข้อกำหนดการ มาตรฐาน ให้เป็นแนวทางในการสร้างเนื้อหาและบริการดิจิทัลบนเว็บไซต์และโมบายแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลโดยสะดวกถ้วนหน้า เพื่อสร้างความตระหนักและสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการในการพัฒนาเว็บไซต์และโมบายแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น และเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ และเครือข่ายคนพิการ รวมถึงการผลักดันกฎหมายและนโยบายที่เป็นการส่งเสริมการเข้าถึงเนื้อหาและบริการดิจิทัล ในปี 2566 ที่ผ่านมา กสทช. และ สวทช. มีความร่วมมือกันในการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ออกแบบสำหรับทุกคน และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก และร่วมกันจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง วิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 หรือ International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology (i-CREATe 2023) รวมทั้ง กสทช. ได้สนับสนุนงบประมาณแก่ สวทช. และมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ในการจัดให้มี ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย บริการโทรคมนาคมพื้นฐานเพื่อให้คนพิการทางการได้ยินและคนพิการทางการพูดสามารถสื่อสารกับคนทั่วไปผ่านโทรคมนาคมพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และสนับสนุนให้มีระบบ Daisy ให้แก่สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดทั่วประเทศ โดยให้บริการข้อมูลข่าวสารในระบบเดซี่ ผ่านระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ “และในวันนี้เราก็ได้ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะของประชาชน รวมถึงคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมอย่างรู้เท่าทัน และมีสมรรถนะทางดิจิทัล และได้ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มเติมจนเป็นที่มาของการลงนามความร่วมมือในวันนี้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่พวกเราทุกคนจะได้มีความตระหนัก มีความเข้าใจ และร่วมกันทำให้สังคมในยุคดิจิทัลนี้อยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าว ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวปาฐกถาพิเศษ และมีการเสวนา “การขับเคลื่อนให้เว็บไซต์ไทยเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าตามมาตรฐานสากล Driving Web Accessibility for All in Thailand towards International Standards” ซึ่งมีวิทยากรจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองต่าง ๆ ได้แก่ ดร.อุรัชฎา เกตุพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายมาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ม.ร.ว.นงคราญ ชมพูนุท รองประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และประธานพันธกิจด้านการพัฒนาสังคมดิจิทัล นางสาวรัตนา จรูญศักดิ์สิทธิ์ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายมนต์ชัย ชุ่มอินทรจักร์ หัวหน้ากลุ่มเทคโนโลยีการขนส่งและจราจร สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร นายจตุพล หนูท่าทอง หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและสิ่งอำนวยความสะดวก มูลนิธิคนตาบอดไทย นายอภิรักษ์ ปนาทกูล UX Lead บริษัท ODDS จำกัด และ ดร.ชัชวาลย์ หาญสกุลบรรเทิง นักวิจัยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดงานประชุมวิชาการประจำปี ‘NAC2024’ ชูงานวิจัย BCG Implementation พลิกโฉมประเทศ
(29 มีนาคม 2567) ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2567 (NSTDA Annual Conference: NAC2024) จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สานพลัง สร้างงานวิจัย พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วย BCG Implementation” เพื่อตอบเป้าหมายหลักของแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ได้กำหนดไว้ใน 4 มิติ ได้แก่ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม, เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ, เพิ่มการพึ่งพาตนเอง และสร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยสู่ความยั่งยืน ระหว่างวันที่ 28 -30 มีนาคม 2567 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมี นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายไชยรัตน์ บุตรเทพ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี พล.ต.ยอดอาวุธ พึ่งพักตร์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมอดีตผู้บริหาร คณะผู้บริหารและพนักงานกระทรวง อว. และ สวทช. ร่วมรับเสด็จฯ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กราบบังคมทูลรายงานว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินงานตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ.2534 นับจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 33 ปี โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ได้ระดมบุคลากรจากหลายภาคส่วนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ สวทช. ผลักดันผลงานวิจัยเชิงรุก ให้เกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมในวงกว้างซึ่งเป็นที่ประจักษ์ มีการนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปใช้ประโยชน์มากกว่า 400 โครงการ สร้างมูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมมากกว่า 46,000 ล้านบาท และก่อให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตและบริการกว่า 15,000 ล้านบาท ตัวอย่างผลงาน เช่น Traffy Fondue แอปพลิเคชัน รับแจ้งปัญหาสภาพเมืองจากประชาชนส่งตรงถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบ ปัจจุบันรับเรื่องแจ้งแล้วกว่า 500,000 เรื่อง มีหน่วยงานนำไปใช้ประโยชน์ทั่วประเทศ A-MED Care Pharma แพลตฟอร์มที่สนับสนุนการบริหารจัดการระบบสาธารณสุข เชื่อมร้านยาที่เข้าร่วมโครงการกว่า 1,600 ร้าน ดูแล 16 อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน ในรูปแบบ One Stop Service ให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 70 ราย เกิดผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรมแล้ว 18 ผลงาน ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ได้สนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกว่า 689 ราย และให้บริการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์มากกว่า 83,000 รายการ ด้านการพัฒนาศักยภาพเกษตรกร ช่วยยกระดับความสามารถของเกษตรกรไทยกว่า 14,000 คน ใน 29 จังหวัด ด้านการสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ มีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 711 บทความ คำขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 252 คำขอ รางวัลทั้งในระดับชาติและนานาชาติ 84 รางวัล สำหรับการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้สนับสนุนทุนบัณฑิตและนักวิจัยอาชีพรวม 713 คน และส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้แก่เยาวชนกว่า 10,000 คน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กราบบังคมทูลรายงานว่า การประชุมประจำปี สวทช. ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 19 โดยปีนี้มุ่งเน้นการนำเสนอศักยภาพด้าน วทน. ของ สวทช. ผ่านผลงานวิจัยทั้งในรูปแบบการจัดประชุมสัมมนา และการจัดนิทรรศการโดยไฮไลต์ของนิทรรศการปีนี้ นอกจากนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย” ยังมีนิทรรศการความก้าวหน้าของงานวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากนักวิจัย สวทช. ทั้ง 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติ ที่ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน ตลอดจนชุมชนและภาคประชาสังคมทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 57 ผลงาน ซึ่งมีทั้งผลงานวิจัยที่นำไปใช้จนเกิดประโยชน์ในวงกว้างเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และผลงานวิจัยที่พร้อมส่งมอบให้กับภาคสังคมได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ “ตัวอย่างผลงานวิจัยเด่น เช่น การพัฒนาวัคซีนสำหรับสัตว์เศรษฐกิจ โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เป็นต้นแบบวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสุกรจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ท้องถิ่นของประเทศไทย มีความปลอดภัยสูงในสุกร สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อได้ดีกว่าวัคซีนรูปแบบอื่น ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพเบื้องต้นร่วมกับกรมปศุสัตว์ในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีศักยภาพการขยายขนาดเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ ชุดตรวจคัดกรองติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานเชิงคุณภาพ (AL-Strip และ GO-SENSOR) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ซึ่งเป็นชุดตรวจแบบรวดเร็วทั้งแบบตรวจด้วยตนเองและตรวจในระดับห้องปฏิบัติการจำนวนมาก ใช้งานง่าย มีความแม่นยำ และมีราคาถูก ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการตรวจคัดกรองภาวะไตเสื่อมในระยะต้น รวมทั้งสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันโรคไตเรื้อรังในคนไทย นอกจากนี้ยังมี Thai School Lunch for BMA โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นระบบจัดสำรับอาหารเช้า-กลางวัน ในโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อติดตาม ประเมินคุณภาพ และการจัดการอาหารของโรงเรียนได้แบบ real-time ตอบโจทย์เรื่องของโภชนาการและ ค่าใช้จ่าย Lookie Waste: แอปพลิเคชันตรวจสอบปริมาณขยะอาหารและบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ใช้ตรวจสอบปริมาณขยะอาหารและบรรจุภัณฑ์อาหารที่เกิดบริโภคในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลเพื่อสร้างความตระหนักให้แก่ผู้บริโภค และ EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาขึ้น มีคุณสมบัติเด่นที่มีจุดติดไฟสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส สามารถป้องกันอัคคีภัยเมื่อเกิดเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ช่วยสร้างความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กราบบังคมทูลเบิกคณะผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลตามประเภทต่าง ๆ ในกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการวิจัย ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้การสนับสนุนและส่งเสริม เพื่อให้เกิดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ นำทรัพยากรต่าง ๆ มาประยุกต์ให้เกิดนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ โดยมีผู้เข้า เฝ้าทูลละอองพระบาท รับพระราชทานเกียรติบัตร จำนวนรวมทั้งสิ้น 33 ราย ได้แก่ ผู้ชนะเลิศการแข่งขัน Roboinnovator Challenge 2023 แบ่งเป็น รุ่น Junior จำนวน 2 ราย และ รุ่น Major จำนวน 5 ราย รวม 7 ราย ผู้ชนะเลิศการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15 จำนวน 10 ราย ผู้ชนะเลิศการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 25 จำนวน 9 รายและผู้ชนะเลิศการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 26 จำนวน 7 ราย เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2567 และทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “โครงการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี”และนิทรรศการความก้าวหน้างานวิจัยพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. สำหรับนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ อาทิ โครงการความร่วมมือ “เพื่อนสวนพฤกษ์” เพื่อประสานและเป็นกลไกทำงานกับกรมป่าไม้ คือ ผาแดง ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเรื่องมาจากพระราชดำริ จ.ตาก โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการ ผลงานครบรอบความสัมพันธ์ 10 ปี ระหว่าง สวทช. และศูนย์วิจัยจูลิช และการจัดการน้ำอุปโภคของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเทพภูเงิน อำเภอน้ำโสม จ.อุดรธานี เป็นต้น นิทรรศการ BCG Implementation” เพื่อตอบเป้าหมายหลักของแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ประกอบด้วย 1. เป้าหมายหลัก BCG : เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การวิจัยและพัฒนาการผลิตพืชในระบบปิด (Plant factory) เพื่อผลิตสมุนไพร5 ชนิดพืช ได้แก่ บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา แพลตฟอร์มการผลิตอาหารฟังก์ชั่นและ Functional ingredients ในระดับอุตสาหกรรม ร่วมกับหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และดัชนีชี้วัดระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับประเทศไทย (Thailand i4.0 Index) 2. เป้าหมายหลัก BCG : ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ระบบฐานข้อมูลสุขภาพเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ (KidDiary Platform) และระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับเด็ก (Thai School Lunch) ,การพัฒนาเศรษฐกิจด้วย BCG Model พื้นที่นำร่องทุ่งกุลาร้องไห้ สร้างเศรษฐกิจใหม่ จากฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยว (5 จังหวัด 13 อำเภอ) และ ดิจิทัลแอปพลิเคชันสำหรับนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ 3. เป้าหมายหลัก BCG : สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูล ด้าน CO₂ , CE, SDG เพื่อการค้าและความยั่งยืน และผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลโอเคมีเพื่ออุตสาหกรรมพลังงาน : EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากปาล์มน้ำมันไทยเปิดโอกาสสู่เครษฐกิจใหม่ด้วย BCG Implementation 4. เป้าหมายหลัก BCG : การพึ่งพาตัวเอง การพัฒนาวัคซีนสัตว์เศรษฐกิจ, ชุดตรวจนวัตกรรมคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน และแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิ (Digital Healthcare Platform) และ 5. การส่งเสริมและผลักดันการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI เช่น Medical AI Data Platform และ แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand National AI Strategy) เป็นต้น สำหรับงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 จัดระหว่างวันที่ 28 - 30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายในงานประกอบด้วย การสัมมนาและกิจกรรมเยาวชน 48 หัวข้อ นิทรรศการผลงานวิจัยนวัตกรรมของนักวิจัย สวทช. และพันธมิตรกว่า 57 ผลงาน กิจกรรม Open house เปิดบ้านต้อนรับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุน ได้เข้าชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ และ NAC Market 2024 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย สินค้าชุมชนในราคาพิเศษจากเครือข่าย สวทช. ผู้สนใจติดตามข้อมูลได้ที่ https://www.nstda.or.th/nac สอบถามเพิ่มเติมโทรศัพท์ 0 2564 8000
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ประเภทของแบตเตอรี่ เลือกที่ใช่ ใช้ให้เหมาะ
  แบตเตอรี่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีสารพัดแบบ บางชนิดรูปร่างหน้าตาภายนอกละม้ายคล้ายกัน แต่ข้างในบรรจุสารเคมีแตกต่างกัน ทำให้มีคุณสมบัติและประโยชน์การใช้งานต่างกันไปด้วย หากดูที่ลักษณะการใช้งานแบบกว้าง ๆ อาจแบ่งแบตเตอรี่ออกได้เป็น 2 ตระกูล คือ แบตเตอรี่ปฐมภูมิที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (non-rechargeable batteries) และแบตเตอรี่ทุติยภูมิที่ชาร์จไฟใหม่ได้ (rechargeable batteries) ก่อนที่จะไปดูว่าแบตเตอรี่ทั้งสองตระกูลนั้นมีอะไรบ้าง เราไปทบทวนความจำเรื่องหลักการทำงานของแบตเตอรี่แบบคร่าว ๆ กันก่อน น่าจะช่วยให้พอเห็นภาพว่าทำไมพวกนึงถึงใช้ได้แค่ครั้งเดียว ส่วนอีกพวกใช้ซ้ำได้ หลักการทำงานของแบตเตอรี่ คือ การเปลี่ยนพลังงานเคมีที่กักเก็บไว้ในก้อนแบตเตอรี่เป็นพลังงานไฟฟ้า ด้วยการเชื่อมต่อโครงสร้างหลักของแบตเตอรี่ 3 ส่วน คือ ขั้วไฟฟ้าประจุลบ (anode) ที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ขั้วไฟฟ้าประจุบวก (cathode) ที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน และอิเล็กโทรไลต์ (electrolyte) ซึ่งเป็นสารละลายหรือวัสดุที่นำไฟฟ้าได้   ทุกครั้งที่เราใช้แบตเตอรี่เท่ากับเกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้น ซึ่งในแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งนั้นปฏิกิริยาเคมีจะเป็นแบบเกิดแล้วเกิดเลย ไม่สามารถย้อนกลับได้ เมื่อใช้หมดก็ต้องทิ้งไป ต่างกับแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟใหม่ได้ ที่หากจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่แบตเตอรี่ (ที่เราเรียกกันว่า ชาร์จแบต) จะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีย้อนกลับ เป็นการเติมพลังให้แบตเตอรี่ เราจึงใช้งานสลับกับชาร์จวนไปได้จนกว่าแบตเตอรี่จะเสื่อม ตัวอย่างแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่นิยมใช้กัน เช่น แบตเตอรี่สังกะสี-คาร์บอน หรือที่เรารู้จักกันในนามถ่านไฟฉายธรรมดา แบตเตอรี่สังกะสี-คลอไรด์หรือถ่านเฮฟวีดิวตี ที่เหมาะกับอุปกรณ์กินไฟต่ำ พวกนาฬิกาแขวน รีโมต แบตเตอรี่แอลคาไล ที่ให้พลังงานไฟฟ้าสูง ใช้ได้นาน แบตเตอรี่ลิเทียมแมงกานีสไดออกไซด์ ที่เหมาะจะใช้งานกับพวกอุปกรณ์กินไฟสูง แบตเตอรี่ซิลเวอร์ออกไซด์ ที่เราคุ้นเคยกันในรูปของถ่านกระดุม   [caption id="attachment_54433" align="aligncenter" width="750"] แบตเตอรี่ปฐมภูมิที่วางขายในท้องตลาด[/caption]   ส่วนแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟใหม่ได้ที่ใช้กันแพร่หลายก็เช่น แบตเตอรี่ชนิดตะกั่ว-กรด ที่นิยมใช้กับรถยนต์ทั่วไป แบตเตอรี่นิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ ที่เหมาะจะใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดพกพา แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ที่เก็บประจุไฟฟ้าได้มากและนาน ใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางเกือบทุกวงการ อันที่เราคุ้นเคยกันดีคือ พาวเวอร์แบงก์ นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่อีกสองชนิดที่ใช้ต่อเนื่องได้ยาวนานมาก ๆ เหมาะกับระบบสำรองไฟฟ้าและเก็บกักพลังงานหมุนเวียน คือ แบตเตอรี่โซเดียมซัลเฟอร์และแบตเตอรี่ที่มีการไหลของส่วนเก็บพลังงาน   [caption id="attachment_54431" align="aligncenter" width="500"] ตัวอย่างแบตเตอรี่ชาร์จไฟได้[/caption] [caption id="attachment_54432" align="aligncenter" width="500"] ตัวอย่างแบตเตอรี่ชาร์จไฟได้[/caption]   แบตเตอรี่ทั้งสองกลุ่มก็มีจุดดีจุดด้อยต่างกันทั้งในเรื่องคุณสมบัติ การใช้งาน และราคา แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งส่วนใหญ่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูง หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง แกะใช้งานได้ทันที แต่การที่ใช้ซ้ำไม่ได้ก็เท่ากับเพิ่มปริมาณขยะ ส่วนแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟใหม่ได้ แม้จะอึดกว่า ให้พลังงานมากกว่า ใช้ซ้ำได้ แต่ก็มีราคาเริ่มต้นค่อนข้างสูง ต้องคอยชาร์จ และอายุการใช้งานก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน สุดท้ายแล้วก็จบที่การเป็นขยะเช่นกัน ดังนั้นนอกจากการเลือกใช้แบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับชนิดของอุปกรณ์แล้ว ต้องคำนึงถึงการทิ้งแบตเตอรี่เสื่อมสภาพด้วย เพราะแบตเตอรี่ทุกชนิดจัดเป็นขยะอันตราย ควรทิ้งตามจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ปะปนกับขยะอื่น ๆ   แหล่งข้อมูลอ้างอิง เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่ Typical examples and applications of primary batteries. เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่  
นานาสาระน่ารู้
 
บทความ