ผลการค้นหา :
แกะกล่องงานวิจัย : ReLife กระจกตาชีวภาพ
📌 1) เกี่ยวกับอะไร?
ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้คนมากกว่า 10 ล้านคนกำลังเผชิญความยากลำบากจากการสูญเสียการมองเห็น เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บทางกระจกตา โดยที่ผ่านมาหนทางหลักเพียงหนทางเดียวที่จะรักษาผู้ป่วยได้อย่างค่อนข้างปลอดภัยคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาใหม่โดยอาศัยกระจกตาที่ได้รับบริจาคจากผู้เสียชีวิตเท่านั้น ซึ่งจากจำนวนกว่า 10 ล้านคนนั้นมีเพียงร้อยละ 15 ที่จะเป็นผู้โชคดีได้รับโอกาสนี้
จากปัญหาดังกล่าวนักวิจัยไบโอเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีผลิตกระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์ (stem cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิดขึ้น เพื่อมอบโอกาสใหม่ในการมองเห็นให้แก่ผู้ที่มีความต้องการ เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องตั้งตารอคอยด้วยความหวังเป็นระยะเวลายาวนานอีกต่อไป
📌 2) ดีอย่างไร?
กระจกตาเทียมที่ผลิตจากสเต็มเซลล์จะมีลักษณะเป็นกระจกตาใสเหมือนของเด็กแรกเกิด แตกต่างจากกระจกตาที่ได้รับบริจาคซึ่งมักมีความขุ่นมัวตามอายุของผู้เสียชีวิต การเปลี่ยนกระจกตาจะใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อนำโครงเลี้ยงสเต็มเซลล์ (มีลักษณะเหมือนกระจกตาของมนุษย์) และสเต็มเซลล์เข้าไปยึดติดบนดวงตาของคนไข้ จากนั้นสเต็มเซลล์จะค่อย ๆ กินโครงเลี้ยงเซลล์เป็นอาหารจนหมดและเติบโตขึ้นมาเป็นเซลล์กระจกตาตามธรรมชาติที่มีลักษณะเหมือนกับโครงเลี้ยงเซลล์ทุกประการ ทำให้ร่างกายไม่เกิดการต่อต้าน และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ทั้งนี้ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ที่ปัจจุบันได้ผันตัวไปเป็นสตาร์ตอัป (ภายใต้โครงการ NSTDA Start-up) เรียบร้อยแล้ว ได้เผยถึงความตั้งใจว่า ‘จะทำให้คนไทยเข้าถึงกระจกตาชีวภาพในราคาที่จับต้องได้’
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ผลิตภัณฑ์นี้จะมีส่วนในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูญเสียการมองเห็นเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บทางกระจกตา รวมถึงครอบครัวและคนใกล้ชิด โดยความสำเร็จจากการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลอง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สตาร์ตอัป ReLIFE พัฒนากระจกตาชีวภาพ ความหวังเปลี่ยนกระจกตาไม่ต้องรอรับบริจาค
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ ป้องกันคราบน้ำ-ฝุ่น
📌 1) เกี่ยวกับอะไร?
น้ำยาเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ช่วยลดการเกาะของน้ำผ่านการปรับค่ามุมสัมผัสของน้ำบนวัสดุ (water contact angle) ทำให้น้ำ น้ำมัน หรือของเหลวที่ตกกระทบผิววัสดุมีลักษณะเป็นก้อนกลมกลิ้งไหลออกจากแผงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งคราบน้ำเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว นอกจากนี้น้ำยาเคลือบยังช่วยลดการเกาะของฝุ่นบนพื้นผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างหนักหน่วง
📌 2) ดีอย่างไร?
น้ำยาเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ช่วยให้แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 ในช่วงหน้าแล้ง (ฤดูหนาว-ฤดูร้อนของประเทศไทย) เมื่อเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา และไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานและค่าใช้จ่ายด้านการทำความสะอาดให้แก่เจ้าของแผงได้เป็นอย่างดี (ช่วยให้ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยครั้งเหมือนแผงที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา) เพราะโดยทั่วไปการทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งไว้บนที่สูงหรือหลังคาจะต้องว่าจ้างผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านการทำงานบนที่สูงมาปฏิบัติงาน หากผู้ล้างขาดความชำนาญอาจทำให้แผงเกิดรอยขีดข่วนหรือชำรุด ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสบายใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้จะไม่ส่งผลต่อการรับประกันแผงโซลาร์เซลล์ เพราะสารเคลือบสามารถล้างออกโดยไม่หลงเหลือคราบบนแผงโซลาร์เซลล์ได้
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานสะอาด และเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในด้านการลดการใช้พลังงานจากถ่านหิน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังผ่านการทดสอบแล้วว่ามีความปลอดภัยทั้งต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
พร้อมให้บริการเทคโนโลยีแล้ว ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการให้บริการได้ที่ www.nanocoatingtech.co.th
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ผนึกความร่วมมือ สภากายภาพบำบัด ดูแลคุณภาพชีวิตคนไทยทุกกลุ่มในสังคม ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม
(วันที่ 17 พฤษภาคม 2567) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย สภากายภาพบำบัด จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “ระบบบริการและนวัตกรรมบริการด้านกายภาพบำบัด” โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และศาสตราจารย์ ดร.กภ.ประวิตร เจนวรรธนะกุล นายกสภากายภาพบำบัด ร่วมลงนามความร่วมมือ พร้อมกันนี้ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. รองศาสตราจารย์ ดร.กภ.จารุกูล ตรีไตรลักษณะ อุปนายกสภากายภาพบำบัด และคณะผู้บริหารและนักวิจัยทั้งสองหน่วยงาน เข้าร่วมงาน โดยวัตถุประสงค์ความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนางานบริการด้านกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นบริการด้านสาธารณสุขที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อประโยชน์แก่คนทุกกลุ่มในสังคม
[caption id="attachment_56603" align="aligncenter" width="2048"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีพันธกิจหลักในการนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของหน่วยงานทางด้าน การวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจนสามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคน และโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างฐานรากเทคโนโลยีให้กับประเทศ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนงาน BCG Implementation เพื่อตอบเป้าหมายหลักของแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์เพื่อที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสการเข้าการบริการทางด้านสาธารณสุขของประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน
“ภายใต้ความร่วมมือนี้ สวทช. โดย กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ มีเป้าหมายเพื่อวิจัยและพัฒนาเครื่องมือแพทย์ นวัตกรรมสุขภาพ และเทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก โดยมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ของประเทศไทย ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางแพทย์และสุขภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
โดยมีบทบาทหลักด้านการวิจัยและพัฒนา ทั้งในส่วนของการออกแบบพัฒนาแพลตฟอร์มด้านกายภาพบำบัด เพื่อสนับสนุนการให้บริการสาธารณสุขระบบปฐมภูมิของวิชาชีพ กายภาพบำบัด ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการบริการสาธารณสุขของประเทศ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลรักษาที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดย สวทช. พร้อมให้การสนับสนุนบุคลากรและทรัพยากร เพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและการใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อทำให้เกิดผลงานนวัตกรรมทางดิจิทัลทางการแพทย์และสุขภาพ สร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านกายภาพบำบัดของประเทศต่อไป” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
[caption id="attachment_56604" align="aligncenter" width="2048"] ศาสตราจารย์ ดร.กภ.ประวิตร เจนวรรธนะกุล นายกสภากายภาพบำบัด[/caption]
ศาสตราจารย์ ดร.กภ.ประวิตร เจนวรรธนะกุล นายกสภากายภาพบำบัด กล่าวว่า สภากายภาพบำบัด ถือได้ว่าเป็นส่วนงานที่มีความสำคัญต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ที่มีบทบาทในการรักษา ป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟู เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชน การจับมือกับ สวทช. ในครั้งนี้ ครอบคลุมหลายประเด็น อาทิ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนระบบการบริการกายภาพบำบัด การใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการข้อมูลด้านการบริการกายภาพบำบัด การใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงระหว่างบริการกายภาพบำบัดกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อประโยชน์แก่คนทุกกลุ่มในสังคม
“การให้บริการสาธารณสุขสำหรับประชาชน ไม่ควรมุ่งเน้นเพียง การรักษาโรค แต่ต้องพิจารณาด้วยว่า ผู้ป่วยจะพิการไปตลอดชีวิตหรือไม่ ผู้ป่วยจะกลับไปมีชีวิตเหมือนก่อนการเจ็บป่วยได้หรือไม่ การทำกายภาพบำบัด สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปเคลื่อนไหวร่างกายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนหรือใกล้เคียงเดิมได้อีกครั้ง แต่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า ในปัจจุบัน ข้อมูลที่มีอยู่ชี้ว่า เกิดความเหลื่อมล้ำสูงมากในการเข้าถึงบริการการฟื้นฟูสภาพหลังการเจ็บป่วยของประชาชน โดยมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องการทำกายภาพบำบัด แต่กลับไม่ได้รับการทำกายภาพบำบัดอย่างเพียงพอและทันเวลา ส่งผลให้เกิดความพิการถาวร หรือมีคุณภาพชีวิตต่ำลง เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เหมือนปกติ ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ สภากายภาพบำบัด ในครั้งนี้ จึงเป็นการนำพลังของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต หรือบิ๊กดาต้า มาใช้เพื่อลดความเหลี่อมล้ำนี้ ช่วยให้ประชาชนที่เจ็บป่วยจำนวนมากได้ทำกายภาพบำบัดอย่างเพียงพอและทันเวลา จนมีร่างกายที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง คืนคนเก่ง คนมีความสามารถ กลับสู่สังคม” นายกสภากายภาพบำบัด กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“ศุภมาส” ปาฐกถาพิเศษ ในเวทีประชุมวิชาการสมรรถนะด้านพลังงานระหว่างประเทศ ปี 67 (ERC Forum 2024) ชูนโยบาย “อว. For EV” หัวใจสำคัญนำไทยเป็น EV Hub ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.67 : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Science and Technology for Energy Transition” ในงานประชุมสัมมนาเชิงวิชาการสมรรถนะด้านพลังงานระหว่างประเทศ ประจำปี2567 (ERC Forum 2024) ภายใต้หัวข้อ“ Renewable and Sustainable Energy Transition” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ระหว่างวันที่16–17 พฤษภาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับความสนใจจากผู้แทนองค์กรกำกับกิจการพลังงานจากประเทศสมาชิกอาเซียน หน่วยงานด้านพลังงานระดับสากลทั้งภาครัฐ และเอกชน และประเทศสมาชิกองค์กรกำกับดูแลพลังงานระหว่างประเทศ (Energy Regulators Regional Association: ERRA) เข้าร่วมเวทีสัมมนากันอย่างคับคั่ง
ทั้งนี้ การปาฐกถาพิเศษดังกล่าวถือเป็นการสื่อสารนโยบาย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยี ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้วางเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค หรือ EV Hub โดยกำหนดนโยบายที่ท้าทาย 30@30 ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดของไทย ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งกระทรวง อว. ได้ประกาศ นโยบาย “อว. For EV” สนับสนุนและขับเคลื่อนแผนตามนโยบาย EV ของรัฐบาล
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า รัฐบาลไทยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในหลากหลายมิติ ตัวอย่างหนึ่ง คือ การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประเทศไทยกำหนดนโยบายที่ท้าทาย 30@30 โดยตั้งเป้าผลิตรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดของไทย ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งนโยบายนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความเอาจริงเอาจัง ในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด ในวงกว้าง เพื่อพัฒนาคุณภาพอากาศของประเทศ กระทรวง อว. เป็นหน่วยงานหลักของประเทศ มีหน้าที่ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมขั้นสูง ร่วมกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ และขับเคลื่อนการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเมื่อไม่นานมานี้ กระทรวง อว. ได้ประกาศ นโยบาย “อว. For EV” ซึ่งสนับสนุนนโยบาย EV ของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น EV Hub ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
รมว.อว.กล่าวต่อว่า นโยบาย “อว. For EV” วางกรอบการทำงานออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. EV-Innovation: กระทรวง อว. กำลังลงทุนเชิงกลยุทธ์ ในด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ด้วยการให้ทุนวิจัย สำหรับการพัฒนาแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานีชาร์จ การนำส่งไฟฟ้า เป็นต้น 2. EV-HRD: กระทรวง อว. ได้ริเริ่มผลิตกำลังคนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการจัดหลักสูตรการศึกษาและการอบรมที่มุ่งเน้นด้านพลังงานทดแทน เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และการวางแผนการคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน 3. EV-Transformation: กระทรวง อว. ได้นำร่องปรับเปลี่ยนการใช้ยานยนต์สันดาปมาเป็น EV ภายในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้กระทรวง ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เกิดสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่าการริเริ่มนี้ จะเป็นจุดเริ่ม ของการขยายการใช้งานไปทั่วประเทศ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถ EV อย่างแท้จริง
“ขอขอบคุณ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อหารือร่วมกัน สร้างความร่วมมือ และเร่งสร้างพลังงานสะอาดให้เพียงพอสำหรับอนาคต ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายยิ่งในเวลานี้ และมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมครั้งนี้ จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และกลยุทธ์ต่าง ๆ ด้านพลังงาน เพื่อความยั่งยืนต่อไป” นางสาวศุภมาส กล่าว
นอกจากนี้ในเวทีสัมมาเชิงวิชาการสมรรถนะด้านพลังงานระหว่างประเทศ ประจำปี 2567 (ERC Forum 2024) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้รับเชิญให้เป็นประธานการเสวนาในหัวข้อ Future Technology Trends towards Energy Transition โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายนรินทร์ เผ่าวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) นายอรรถพงศ์ สถิตมโนธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ จำกัด นายสุวิทย์ พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส การพัฒนาธุรกิจ (ประเทศไทย) บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ดร.ปกรณ์ เทพรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการลงทุน นวัตกรรมและความยั่งยืน บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ดร.จอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER) และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ENTEC สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. นำเสนอรายงานความก้าวหน้างานวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ โครงการทุน TGIST เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานวิจัย BCG สวทช.
(17 พฤษภาคม 2567) ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSP-CC) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย จัดกิจกรรมบรรยายและนำเสนอรายงานความก้าวหน้างานวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์โครงการทุน TGIST ซึ่งดำเนินการสนับสนุนและพัฒนาบัณฑิตวิจัย และสนับสนุนการพัฒนานักวิจัยระดับหลังปริญญาเอก โดยผู้รับทุนทำงานวิจัย หรือวิทยานิพน์ในโครงการวิจัยที่อยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การวิจัย และพัฒนาของ สวทช.
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับและเปิดกิจกรรม ว่า “กิจกรรมบรรยายและนำเสนอรายงานความก้าวหน้างานวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์โครงการทุน TGIST ในปี 2567 นี้ เป็นการช่วยสนับสนุนให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในด้านวิชาการ และในมิติของสังคมที่เป็นแบบอย่างของความเกื้อกูล และมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานวิจัย BCG พร้อมเข้าสู่สังคมอุดมปัญญาไปด้วยกัน”
รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ขอให้นักศึกษาได้ความรู้และประสบการณ์ที่ดีทั้งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาและในวันนี้ เพื่อนำไปประยุกต์ปรับใช้และนำไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จทั้งในอนาคตอันใกล้และในอนาคตข้างหน้า และขอให้เป็นกำลังสำคัญและเป็นบุคลากรคุณภาพของสังคมและประเทศชาติต่อไป และขอขอบคุณ นักวิจัยของ สวทช. ทั้ง 4 ท่าน ได้แก่ ดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์และ ดร.ชุลีกร โชติสุวรรณ จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ดร.เพทาย จรูญนารถ และ ดร.วันเสด็จ เจริญรัมย์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ที่ร่วมเป็นประธานห้องนำเสนอ รวมทั้งขอขอบคุณศิษย์เก่าทุน TGIST ทั้ง 3 ท่าน เป็นอย่างยิ่งที่สละเวลาอันมีค่าเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
จากนั้น มีการบรรยายเรื่อง "AI Uses Cases & Application" โดย ดร.ธีมา เหลืองอรุณ (TGIST Alumni) ภาควิชาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และการบรรยายเรื่อง "AI Applications for NSTDA Scholarships Society" โดย ผศ.คร.ดัชกรณ์ ตันเจริญ (TGIST Alumni) ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล สภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย จากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และมีการนำเสนอรายงานความก้าวหน้างานวิจัยวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก
ปัจจุบัน โครงการทุน TGIST มีนักศึกษาทั้งสิ้นจำนวน 35 คน ปริญญาโท 24 คน ปริญญาเอก 11 คน ซึ่งปฏิบัติงานวิจัยกับนักวิจัยในแต่ละศูนย์แห่งชาติทั้ง 5 ศูนย์แห่งชาติ ที่ได้ดำเนินการงานวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์มาเกินกว่า 70% และใกล้สำเร็จลุล่วงตามแผนงานที่ได้วางไว้ร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา และนักวิจัย สวทช. //////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
“ว่านจักจั่น” ในมุมมองนักวิจัย สวทช. ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “ราแมลง”
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราแมลง มาคลายข้อสงสัย "ว่านจักจั่น" คืออะไร? เกิดจากอะไร? และกินได้มั้ย?
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ต้อนรับคณะผู้บริหารจาก TCELS และ P&G Singapore หารือความร่วมมือในอนาคต
15 พฤษภาคม 2567 – อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (TCELS) และ Dr. Vivian Poon, Open Innovation Director เเละ Dr. Rebecca Kan, Regional Communications Manager จาก P&G Singapore พร้อมคณะฯ ในการเข้าเยี่ยมชม สวทช. และแสวงหาความร่วมมือในอนาคต
ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวต้อนรับและบรรยายสรุปภารกิจ และทิศทางการดำเนินงานของ สวทช. พร้อมทั้งแนะนำคณะผู้บริหารและทีมวิจัยของ สวทช. โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค ดร.ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการนาโนเทค ร่วมให้การต้อนรับ
การนำเสนอครอบคลุมทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน เทคโนโลยีชีวภาพ เเละนาโนเทคโนโลยี
ได้เเก่
Sustainable Packaging Solution (MTEC)
The Key Platforms Shaping the Future of Life Science: Microbiome Analysis, Antibody-Based Sensing, and Food Safety Innovations (BIOTEC)
Harnessing Human Skin Models for Developing Anti-Aging Innovations Targeting the Root Causes of Aging (NANOTEC)
หลังจากนั้นคณะผู้เยี่ยมชมชมงานวิจัยพัฒนาต่างๆ ของ สวทช. ได้เเก่
Mycotoxin platforms
Antibody-based platform (ELISA, ICG)
Carotenoids
Showcase of Commercialized Products from FoodSERP Platform
Epidermal Growth Factor (EGF) for Skin Health, Care and Wellness
Efficacy Testing/Harnessing Human Skin Models
Nanotechnology in Cosmetics and Cosmeceuticals
การเยี่ยมชมครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ สวทช. TCELS และ P&G Singapore ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการร่วมมือกันในอนาคต เพื่อส่งเสริมการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมด้านต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและภูมิภาค
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
คนอุดรฯ ร่วม สวทช. พัฒนา ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’ สามล้อไฟฟ้า มุ่งทำแซนด์บ็อกซ์ขนส่งสายกรีน
โดยทั่วไปหากไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้งาน หนึ่งในขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในภาคอีสานก็คือ ‘สกายแล็บ (Skylab)’ รถสามล้อเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เดินทางสะดวก รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 7 คน หรือจะปรับมาใช้ขนส่งสินค้า อาทิ ผลิตผลทางการเกษตรก็คล่องตัวเช่นกัน แต่ในวันนี้วันที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาโลกร้อนในระยะที่ยากจะหวนกลับคืน สิ่งที่แต่ละภาคส่วนจำเป็นต้องตระหนักและช่วยกันอย่างเร่งด่วน คือ ลดการปล่อยมลพิษ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี จึงลุกขึ้นเป็นตัวแทนคนในจังหวัดเดินหน้าพัฒนาแซนด์บ็อกซ์ (sand box) ขนส่งสายกรีน โดยเริ่มจากพัฒนาสามล้อไฟฟ้าที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของสกายแล็บแต่เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น
[caption id="attachment_56399" align="aligncenter" width="750"] สกายแล็บ (Skylab)[/caption]
[caption id="attachment_56397" align="aligncenter" width="750"] สกายแล็บ (Skylab)[/caption]
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี พัฒนาต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
‘KHamKoon’ ยกระดับความปลอดภัย เพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
‘ยานยนต์สมัยใหม่ที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ท้องถิ่น ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ คือ ความต้องการของคนจังหวัดอุดรธานีที่เป็นโจทย์ในการดำเนินงานให้กับทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. นักวิจัยจึงได้ดำเนินภารกิจครั้งนี้โดยเลือกใช้สกายแล็บเป็นโจทย์ตั้งต้น เพื่อคงไว้ซึ่งภาพจำของคนในจังหวัด รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยได้ร่วมกันตั้งชื่อให้กับสามล้อไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ว่า ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’
[caption id="attachment_56432" align="aligncenter" width="750"] คุณชัยวิวัฒน์ เกยูรธำมรงค์, คุณวัลลภ รัตนถาวร, คุณยศวัฒน์ เศรษฐกุลสิทธิ์ และคุณอรรถพล พลาศรัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่ง เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.วัลลภ รัตนถาวร ทีมวิจัยเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่ง กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า รถสามล้อทั่วไปจะมีจุดศูนย์ถ่วงอยู่ใกล้กับล้อหน้า เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วจะเกิดการสไลด์ ล้อยก หรือพลิกคว่ำได้ง่าย ทีมวิจัยจึงได้นำความเชี่ยวชาญด้านระบบขับเคลื่อนและระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ออกแบบ ‘การเพิ่มเสถียรภาพในการเข้าโค้งให้แก่รถ’ โดยเทคโนโลยีเฉพาะที่พัฒนาขึ้น คือ ‘มอเตอร์ควบคุมการขับเคลื่อนที่ควบคุมล้อแต่ละล้อได้อย่างอิสระตามสถานการณ์การขับขี่แบบอัตโนมัติ’ ซึ่งจากการทดสอบประสิทธิภาพความปลอดภัยในการใช้งานพบว่า ผู้ขับขี่สามารถขับต้นแบบรถ KHamKoon แล้วกลับรถหรือเปลี่ยนทิศทางรถอย่างรวดเร็ว (J-turn) ที่ความเร็ว 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างปลอดภัย ตรงตาม มอก.3264-2564 ที่เป็นมาตรฐานสากล หรือมีความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้นกว่าเดิม
[caption id="attachment_56394" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบรถ KHamKoon (ค้ำคูณ)[/caption]
“ส่วนด้านโครงสร้างรถทีมวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์โครงสร้างซึ่งอยู่ในกลุ่มวิจัยเดียวกันได้ดำเนินการออกแบบใหม่โดยปรับแต่งให้เป็นรถที่คงไว้ซึ่งลักษณะเค้าโครงเดิมของสกายแล็บ แต่มีความแข็งแรงและความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยทีมวิจัยได้ใช้หลักการ finite element analysis หรือการคำนวณเพื่อวิเคราะห์ความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการสร้างแบบจำลองยานยนต์ด้วยเทคโนโลยี simulation จนได้เป็นผลงานการออกแบบ ‘โครงสร้างรถที่มีศักยภาพในการเป็นเกราะเสริมความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร’ ส่วนประเด็นสุดท้ายด้านการเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทีมวิจัยได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์จากระบบสันดาปภายใน ให้เป็นระบบไฟฟ้า (EV) โดย KHamKoon ผ่านการออกแบบให้ใช้แบตเตอรี่ความจุ 12 kWh เป็นแหล่งพลังงาน ทำให้วิ่งได้ระยะทาง 120-150 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การชาร์จแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ใช้แท่นชาร์จ AC type 2 ที่มีให้บริการทั่วไปในปัจจุบันได้ และสามารถปรับการผลิตรถให้ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้นและใช้รูปแบบการชาร์จแบบเร็ว (fast charge) ได้ หากมีความต้องการในอนาคต ปัจจุบันทีมวิจัยได้ส่งมอบต้นแบบรถ KHamKoon คันแรกให้สภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีแล้ว”
คนอุดรฯ พร้อมลุยต่อกับ ‘แซนด์บ็อกซ์ขนส่งสายกรีน’
การจะลงทุนปรับเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะในระดับจังหวัดไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนระบบนิเวศ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี ในฐานะตัวแทนของประชาชนในจังหวัด จึงได้เป็นแกนนำในการนำร่องวางแผนจัดทำแซนด์บ็อกซ์ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_56395" align="aligncenter" width="450"] คุณอนุพงศ์ มกรานุรักษ์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี[/caption]
คุณอนุพงศ์ มกรานุรักษ์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี อธิบายว่า การดำเนินงานความร่วมมือในการพัฒนารถ KHamKoon ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. สภาอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะนำต้นแบบรถ KHamKoon มาใช้ในการทำแซนด์บ็อกซ์ขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสิ่งที่ทางสภาอุตสาหกรรมได้ดำเนินงานคู่ขนานไปกับการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเอ็มเทคตั้งแต่เริ่มต้นก็คือการวางกลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนแผนงานนี้ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ภารกิจแรกภายใต้แซนด์บ็อกซ์ที่กำลังจะเริ่มทดลองใน 1-2 เดือนนี้แล้ว คือ การนำ KHamKoon ไปให้บริการรับส่งผู้โดยสารภายในโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีและรับส่งระหว่างโรงพยาบาลกับที่จอดรถซึ่งอยู่ห่างออกไป 1-2 กิโลเมตร เพื่อช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดภายในสถานพยาบาลและพื้นที่โดยรอบ
“สิ่งที่กำลังพัฒนาหรืออยู่ในแผนการพัฒนาแล้ว คือ การเตรียมความพร้อมระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ พื้นที่จุดจอดให้บริการรถ สถานีชาร์จ แอปพลิเคชันสำหรับเรียกรถ เพื่อให้ทั้งการให้บริการและการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะภายในจังหวัดเป็นเรื่องง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้นต่อไป ส่วนอีกด้านที่มีแผนจะพัฒนาแล้วเช่นกัน คือ การพัฒนากำลังคนภายในจังหวัดด้วยการ ‘อัปสกิล (upskill)’ หรือ ‘รีสกิล (reskill)’ ให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการผลิตและซ่อมบำรุงรถ EV โดยรถ KHamKoon ผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิดคนในจังหวัดจะต้องผลิตและซ่อมบำรุงได้ด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเช่นกัน เพื่อให้เมื่อผ่านการพัฒนาไปถึงระดับพาณิชย์ KHamKoon จะมีราคาที่จับต้องได้ และพร้อมแก่การใช้งานจริงในระยะยาว ทั้งนี้การส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในจังหวัดตั้งแต่วันนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ยุค EV เป็นยานยนต์ประเภทหลักของประเทศไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดการดิสรัปต์อาชีพต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว”
การวางแผนกลยุทธ์ตลอดห่วงโซ่ผลกระทบ (impact value chain) อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น และการที่ทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐในจังหวัด รวมถึงภาคการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ต่างก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนงานหลัก ทำให้ในวันนี้คำว่าสมาร์ตโมบิลิตี (smart mobility) หรือการเดินทางและระบบขนส่งอัจฉริยะสำหรับคนอุดรธานีไม่ใช่เพียงภาพฝัน แต่เริ่มมีเส้นทางสู่ความสำเร็จปรากฏให้เห็นแล้ว
นายอนุพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะทำงานทุกคนต่างคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานแซนด์บ็อกซ์นี้จนประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อให้จังหวัดอุดรธานีมีระบบสมาร์ตโมบิลิตีที่ยั่งยืน
[caption id="attachment_56400" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]
[caption id="attachment_56398" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]
[caption id="attachment_56396" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]
สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตรถ KHamKoon ได้ที่ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. โทร 0 2564 6500 ต่อ 4065 หรืออีเมล wallop.rat@mtec.or.th และติดต่อเพื่อร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายในจังหวัดอุดรธานีได้ที่ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. สวก. มูลนิธิ SOS และพันธมิตร เปิดตัวธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) สร้างต้นแบบการส่งต่ออาหารส่วนเกินสู่กลุ่มเปราะบาง มุ่งลดขยะอาหาร ลดการปล่อยก๊าซมีเทน และสร้างการเข้าถึงอาหารได้อย่างยั่งยืน
(15 พฤษภาคม 2567) ณ โรงเรียนคลองทรงกระเทียม เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มูลนิธิ SOS และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัว “โครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank): การบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน คำตอบในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เพื่อสร้างต้นแบบระบบการบริหารจัดการอาหาร ส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มเปราะบางของสังคมไทย มุ่งลดปริมาณขยะอาหารด้วยการจัดการอาหารส่วนเกิน ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดอาหารส่วนเกิน และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาหาร
พร้อมกันนี้ สวทช. ยังสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ แพลตฟอร์มดิจิทัลแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ และแนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline) สนับสนุนนโยบาย BCG ด้านอาหารของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประเทศไทยมีอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีโภชนาการที่ดี เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของประชาชน และส่งเสริมเป้าหมายด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ลดการสูญเสียอาหาร และลดการเกิดขยะอาหาร
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะอาหารที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบาง นอกเหนือจากการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาขยะอาหารแล้ว การลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดวิกฤตปัญหาขยะอาหาร จากข้อมูลที่ได้มีการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขของประชากรของประเทศที่มีรายได้น้อยและมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารอยู่ถึง 3.8 ล้านคน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG สาขาอาหาร ร่วมกับ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ดำเนินการศึกษาและวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสร้างต้นแบบการดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน (Food surplus) ของประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. โดยการเปิดตัวธนาคารอาหารของประเทศไทยครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารส่วนเกิน การกอบกู้อาหาร และการส่งต่ออาหารส่วนเกินอันจะช่วยส่งเสริมให้ลดการเกิดขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไปด้วยกัน และหวังเป็นต้นแบบของการสร้างแบบจำลองการส่งต่ออาหารส่วนเกินให้สังคมไทย
นอกจากนี้ สวทช. ยังได้สนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ แพลตฟอร์มดิจิทัลแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) มีมูลนิธิ SOS และองค์กรพันธมิตรเครือข่ายเป็นผู้ใช้งาน ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้รับบริจาคเพื่อรองรับการขยายฐานผู้บริจาคอาหาร เพิ่มความสามารถในการจัดการอาหารส่วนเกิน ช่วยลดภาระงานและสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ดูแลระบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการอาหารส่วนเกิน
รวมถึงสามารถจัดส่งอาหารไปยังผู้ขอรับความช่วยเหลือได้ตรงตามความต้องการและลดความเสียหายของอาหาร และแนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline) จะเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการรับอาหาร การเก็บรักษาอาหาร การขนส่ง การแจกจ่ายอาหาร หลักปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสอาหาร เช่น การแช่แข็งอาหารส่วนเกินและติดฉลากใหม่ การระบุวันที่และระยะเวลาที่แนะนำ ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายและการควบคุมอันตราย เช่น สารเคมี สารก่อภูมิแพ้ หลักปฏิบัติในการเตรียมอาหาร เช่น การทำละลายอาหารแช่แข็ง การทำให้สุก การทำให้เย็น การอุ่นร้อน การรักษาความปลอดภัยอาหารระหว่างขนส่ง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เพื่อให้อาหารที่แจกจ่ายยังคงมีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการบริโภค ช่วยให้เกิดความมั่นใจทั้งต่อผู้ให้บริจาคและผู้รับบริจาครวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการบริจาคอาหารในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
นางสาวกุลวรา โชติพันธุ์โสภณ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) กล่าวว่า สวก. ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาขยะอาหารและความมั่นคงทางอาหาร จึงให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ สวทช. ดำเนินงานโครงการเพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินของประเทศ เพื่อเป็นการศึกษาต้นแบบและแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินที่เหมาะสมของประเทศ และจัดทำแนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food safety guideline) โดยดำเนินการร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมอนามัย เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับการบริจาคอาหารทั่วประเทศ งานเปิดตัวธนาคารอาหารของประเทศไทยในวันนี้ เป็นโครงการต้นแบบที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังของเทคโนโลยีในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้บริจาคและผู้รับบริจาคผ่านระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ผลักดันให้เกิดการบริจาคอาหารส่วนเกินให้ขยายวงกว้างขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงสู่สังคมไร้ขยะอาหารและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
ด้าน คุณทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) ประเทศไทย กล่าวว่า มูลนิธิ SOS ดำเนินงานอย่างมุ่งมั่นที่จะลดปัญหาขยะอาหารและส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการกอบกู้อาหารส่วนเกินจากผู้ผลิตอาหารในเครือข่ายของหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งเป็นผู้บริจาคอาหาร และนำอาหารเหล่านี้ส่งต่อให้กับเครือข่ายผู้รับบริจาคอาหาร ทั้งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ซึ่งกระบวนการกู้ภัยอาหารและการส่งต่ออาหาร ได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้แทนเอกชนผู้ผลิตอาหารในการร่วมกันดำเนินงานกู้ภัยอาหารจากบริจาคอาหาร ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการรับบริจาคอาหารที่ร่วมกับผู้นำชุมชน ปัจจุบันมูลนิธิได้ส่งต่ออาหารส่วนเกินไปแล้วกว่า 8.3 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็น 35 ล้านมื้อ ให้แก่ชุมชนต่าง ๆ มากกว่า 3,600 แห่ง ซึ่งเท่ากับว่าเราได้ลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการนำอาหารไปฝังกลบถึง 21,166 ตัน นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินงานที่ผ่านมาอย่างเป็นรูปธรรมแล้วกับโครงการ BKK Food Bank ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งได้มีการนำแพลตฟอร์มแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติของ สวทช. มาใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Cloud Food Bank (CFB) แพลตฟอร์มองค์กรพันธมิตรต่าง ๆ
ทั้งนี้ โครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย เป็นโอกาสอันดีที่จะประชาสัมพันธ์การดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการอาหารส่วนเกิน ให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาหารส่วนเกินและเชิญชวนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสร้างสังคมไร้ขยะอาหาร โดยนำร่องที่ชุมชนย่านลาดพร้าว เพื่อให้เห็นต้นแบบระบบการบริหารจัดการอาหาร เพื่อส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มเปราะบางของสังคมไทย ภายในงาน ยังมีการเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินในลักษณะธนาคารอาหาร ทั้งในมุมประสบการณ์กอบกู้อาหารส่วนเกินและการส่งต่ออาหาร โดยมูลนิธิ SOS มุมประสบการณ์บริจาคอาหารและแรงบันดาลใจในการเป็นผู้บริจาคอาหารส่วนเกิน โดยผู้แทนผู้บริจาคอาหาร ได้แก่ คุณวลัยรัตน์ อภินัยนาถ GM of Corporate Planning บริษัท อิออน (ไทยแลนด์) จำกัด (Maxvalu Supermarket) เชฟอรรถพล ถังทอง (Chef X) Executive Chef จากโรงแรม Bangkok Marriott Hotel The Surawongse คุณแจนเน็ต รุ้งสิทธิกุล Senior Marketing Manager มูลนิธิเคเอฟซี และคุณทวิช ทัฬหะกาญจนากุล ผู้อำนวยการโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้า บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของซีพีเอฟ รวมถึงการแชร์ประสบการณ์ในกระบวนการรับบริจาคอาหาร โดยตัวแทนผู้นำชุมชน นำโดยคุณวิกานดา สังวรราชทรัพย์ ประธานเครือข่ายผู้นำชุมชนเขตลาดพร้าว และคุณวิไล แซ่โอ๊ว ศูนย์ประสานงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และแนวทางดำเนินงาน BKK Food Bank ของ กทม. โดยคุณณัฎฐ์วิฉัตรา หวิงปัด สำนักงานการพัฒนาชุมชน สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร
ข่าวประชาสัมพันธ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ติดตามการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี
ชุมชนสวนตาลลุงถนอม อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี 13 พฤษภาคม 2567 : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว.พื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ในโอกาสที่เดินทางมาร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ในระหว่างวันที่ 13-14 พฤษภาคม 2567 กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จ.เพชรบุรี
รมว.อว. และคณะผู้บริหารได้ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของหน่วยในสังกัดกระทรวง อว. ณ ชุมชนสวนตาลลุงถนอม โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. นำคณะผู้บริหารและนักวิจัยรอให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอผลงานวิจัยพัฒนาที่ สวทช. ได้มาดำเนินงานในพื้นที่ ประกอบด้วย
โครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ ซึ่งนำผลงานวิจัยในเรื่อง การประยุกต์ใช้ FFC+ เพื่อการจัดการเรียนรู้ด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม นําร่องใช้งานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านแม่เพรียง และ สุขศาลาพระราชทานในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโป่งลึกตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และการผลิตไฟฟ้าส่องสว่างด้วย LED แบบพึ่งพาตนเอง โดยการติดตั้งใช้งานชุดหลอดไฟ การดูแลบำรุงรักษาสถานีชาร์จของโครงการ การชาร์จประจุแบตเตอรี่และการกำจัดแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมสภาพอย่างถูกวิธีให้กับชาวบ้านปกาเกอะญอในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสนองพระราชดำริ ในโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริ ฯ ภายใต้การกำกับของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
การพัฒนานวัตกรรมถุงห่อ “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” ซึ่ง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ได้นำถุงห่อ Magik Growth ที่พัฒนาโดยเอ็มเทค ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิต เช่น ทุเรียนส่งออกเกรดพรีเมียม มาทดสอบกับชมพู่เพชรสายรุ้ง ผลลัพธ์เบื้องต้นพบว่า ชมพู่มีสีแดงสดใสขึ้น พร้อมกันนี้ ผู้อำนวยการ สวทช. คณะผู้บริหารและทีมนักวิจัย ได้มอบถุงห่อ Magik Growth สำหรับห่อทุเรียน มอบให้กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เพื่อมอบให้กับหน่วยราชการในพื้นที่ นำไปมอบให้กับกลุ่มเกษตรกร ทดลองห่อทุเรียนเกรดพรีเมียมต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. – ผนึกทุกภาคส่วน หาแนวทางแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
(วันที่ 13 พฤษภาคม 2567) ณ ห้องประชุม SD-601 ชั้น 6 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมเปิดงานสัมมนาวิชาการและหารือแนวทาง “การติดตาม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม” โดยมีวิทยากรผู้ทรงวุฒิจากภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ให้ข้อคิดเห็นและรับฟังแนวทางการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของประเทศไทย
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยประสบปัญหามลพิษทางอากาศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 (Particulate matter with diameter of less than 2.5 micron) ข้อมูลจาก Air Quality index : AQI พบว่า ในปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยติดอันดับประเทศที่คุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 36 ของโลก โดยมีค่าเฉลี่ย US AQI อยู่ที่ 74 และมีความเข้มข้นของ PM 2.5 เฉลี่ย 23.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m3) ซึ่งสูงกว่าแนวทางคุณภาพอากาศประจำปีขององค์การอนามัยโลก 4.7 เท่า และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และหลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สาเหตุหลักของปัญหาฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย เกิดจากการเผาพื้นที่ป่า การเผาในที่โล่ง การจราจรขนส่ง และการทำอุตสาหกรรม ที่ส่งผลกระทบทางตรงต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน รวมไปถึงปัญหาหมอกควันข้ามแดน จึงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
จากปัญหาดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหา มลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. 2562 - 2567) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติเห็นชอบกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในภาพรวมของประเทศและพื้นที่วิกฤตไว้ 3 มาตรการ ได้แก่ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ 2. การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) และ 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ โดยอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน นอกจากนี้รัฐบาลได้เสนอนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 เช่น พรบ.อากาศสะอาด และนโยบายแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และไฟป่า ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“สวทช. ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนงานวิจัย พัฒนา และเทคโนโลยีของประเทศ มีผลงานวิจัยที่สนับสนุนการติดตาม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาฝุ่นดังกล่าว จึงต้องการผลักดันการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยสนับสนุนและแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นประเด็นเร่งด่วนของประเทศจึงได้จัดงานสัมมนาวิชาการวันนี้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมรับทราบและให้ข้อมูลสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM 2.5 การดำเนินการด้านยุทธศาสตร์ นโยบาย กฎหมาย และแนวทางการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา ฝุ่น PM 2.5 ในมิติต่าง ๆ รวมทั้งระดมความคิดเห็นเพื่อผลักดันกลไก แนวทาง และสร้างเครือข่ายทำงานในการติดตาม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศได้อย่างแท้จริง เพื่อเป็นกลไกการขับเคลื่อนเครือข่ายการจัดการฝุ่น PM 2.5 การนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยติดตามและตรวจวัดฝุ่น PM 2.5 ตลอดจนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง” รองผู้อำนวยการ สวทช. ระบุ
รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ถือเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญและเร่งด่วนของประเทศ ในการติดตาม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่น PM 2.5 โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถือเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของประเทศ ทั้งในด้านการสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรม การบูรณาการขับเคลื่อนระบบวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมือในการติดตามและแก้ไขปัญหาวิกฤตทางอากาศ ตลอดจนร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการให้ความรู้และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ทั้งนี้ สวทช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้กำกับของ อว. ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยสนับสนุนและแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นดังกล่าว รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ สนับสนุนภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการแก้วิกฤตฝุ่น PM 2.5 ให้เดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการจัดงานสัมมนาวิชาการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินงานด้านฝุ่น PM 2.5 ในบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือการรวบรวมประเด็นจากการระดมความเห็นเพื่อร่วมกันหาแนวทาง ติดตาม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทั้งในส่วนของการดำเนินการด้านยุทธศาสตร์ นโยบาย กฎหมาย และกลไกการสร้างเครือข่าย ตลอดจนการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาสนับสนุนการแก้ปัญหาที่สำคัญของประเทศเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขวิกฤตมลพิษทางอากาศได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทค สวทช. จับมือ ไบโอเมด และสมาคมจุลินทรีย์ลำไส้ฮ่องกง ร่วมวิจัยและวิชาการ เสริมอุตสาหกรรมด้านจุลินทรีย์และโพรไบโอติกส์ในประเทศไทย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท ไบโอเมด เทคโนโลยี โฮลดิ้งส์ ประเทศไทย จำกัด (BioMed) และสมาคมจุลินทรีย์ลำไส้ฮ่องกง (HKSGM) ลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางการวิจัยและวิชาการในวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ที่โรงแรม Park Hyatt กรุงเทพฯ โดยมีจุดประสงค์ในการศึกษาวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พัฒนานวัตกรรม เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านจุลินทรีย์และโพรไบโอติกส์ในประเทศไทย
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมากกว่า 100 ล้านล้านเซลล์ แต่เซลล์มนุษย์แท้จริงมีเพียง 30 ล้านเซลล์ ที่เหลืออีกกว่า 100 ล้านล้านเซลล์ เป็นเซลล์ของจุลินทรีย์ ซึ่งอาศัยอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อจุลินทรีย์เหล่านี้อาศัยอยู่รวมกันเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่จะเรียกว่า “ไมโครไบโอม” (Microbiome) ซึ่งหมายถึงสังคมจุลินทรีย์ เช่น ไมโครไบโอมในลำไส้จะประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ มีความหลากหลายในแต่ละบุคคล จุลินทรีย์ที่พบในระบบทางเดินอาหารเหล่านี้มีทั้งชนิดดีที่ช่วยทำหน้าที่ย่อยอาหาร เสริมการเผาผลาญ ดูแลระบบภูมิคุ้มกัน สังเคราะห์วิตามิน และช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย สมอง และอารมณ์ และกลุ่มจุลินทรีย์ที่ก่อโรค เมื่อองค์ประกอบของไมโครไบโอมมีความสมดุลจะส่งผลให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติ แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบของไมโครไบโอมทำให้เกิดการเสียสมดุล (dysbiosis) จะสามารถก่อให้เกิดโรค หรือความผิดปกติได้
[caption id="attachment_56352" align="aligncenter" width="1567"] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช.[/caption]
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัยจากไบโอเทค มีการศึกษาเรื่องไมโครไบโอมในเชิงลึก ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีฐาน multi-omics ที่ครอบคลุมทั้งองค์ความรู้ไมโครไบโอม (microbiome)การตอบสนองของสิ่งมีชีวิตที่ระดับยีน (transcriptome) และเมตาบอไลท์ (metabolome)เพื่อนำมาศึกษาความสำคัญและปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประชากรแบคทีเรียในลำไส้ต่อระบบภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิต องค์ความรู้และเทคโนโลยีฐานที่ได้พัฒนาขึ้นช่วยให้การศึกษาไมโครไบโอม มีความแม่นยำและละเอียดลึกมากขึ้น ช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านไมโครไบโอม สามารถนํามาสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ความเข้าใจการอยู่รวมกันของกลุ่มจุลินทรีย์กับเซลล์เจ้าภาพ หรือสิ่งแวดล้อม ช่วยให้เราสามารถออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อปรับเปลี่ยนและควบคุมให้จุลินทรีย์มีคุณสมบัติหรือเป็นแหล่งผลิตสารชีวภาพที่อุตสาหกรรมหลากหลายประเภทที่เราต้องการได้ ในปัจจุบันการวิจัยไมโครไบโอมในมนุษย์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงผลของอาหารที่มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงไมโครไบโอมในลําไส้ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกาย สุขภาพและการเป็นโรคของมนุษย์ แทบจะกล่าวได้ว่าไมโครไบโอมเกี่ยวข้องกับการทำงานในร่างกายทุกส่วนของมนุษย์ ซึ่งนํามาสู่การวิจัยและพัฒนาจุลินทรีย์เสริมสุขภาพหรือโพรไบโอติกส์ (probiotics)
นอกจากนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2561 ยังมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการระดับนานาชาติชื่อ Cell Journal เผยแพร่เรื่องการมีไมโครไบโอมในลำไส้ ที่แตกต่างกันของประชากรแต่ละภูมิภาคเนื่องจากอาหารที่บริโภคเข้าไปในร่างกาย
ไบโอเทค BioMed และ HKSGM ได้จับมือร่วมวิจัย พัฒนานวัตกรรมโพรไบโอติกส์ที่เหมาะกับประชากรไทย โดยมุ่งศึกษารูปแบบไมโครไบโอมของประชากรไทยโดยพิจารณาจากปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ที่หลากหลายและพฤติกรรมการบริโภคอาหารแต่ละพื้นที่ โดยข้อมูลการศึกษาเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์ไมโครไบโอมจะนำมาใช้พัฒนาสูตรผลิตโพรไบโอติกส์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่น ๆ ซึ่งออกแบบมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ ทั้งนี้ ทั้ง 3 ฝ่ายยังจะมีการศึกษาสายพันธุ์จุลินทรีย์เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการที่แตกต่างกันของประชากรไทย
ดร.วรรณพ กล่าวต่อว่า BioMed มีความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุมตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์จุลินทรีย์ การทดสอบคุณสมบัติของโพรไบโอติกส์ การพัฒนากระบวนการผลิตเซลล์จุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ในระดับห้องปฏิบัติการ และขยายขนาดการผลิตผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ในระดับอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการต้นน้ำ (USP) และกระบวนการปลายน้ำ (DSP) ได้แก่ การผลิตเซลล์ด้วยการหมักแบบเหลว (submerged fermentation) การเก็บเกี่ยวเซลล์ (cell harvesting) การทำแห้ง (cell drying) และการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ (product formulation) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ที่มีคุณลักษณะตามสเปคที่กำหนดภายใต้มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice; GMP) สำหรับใช้เป็นสารเสริมอาหารในมนุษย์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือในครั้งนี้
BioMed ในประเทศไทยนั้น มี นพ.พิชัย นำศิริกุล และ นายวันวนัส มาอินทร์ ดำรงตำแหน่ง Chairperson และ CEO ตามลำดับ มีบริษัทแม่อยู่ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ซึ่งเก็บสะสมฐานข้อมูลจุลินทรีย์มากว่า 20 ปี ทั้งของคนในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก มีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่ Hong Kong Science and Technology Park (HKSTP) และมีผู้ถือหุ้นที่น่าสนใจอย่าง Alibaba, Chinese University of Hong Kong และ Gobi Partners ซึ่งเรามีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนบริษัท บน 3 แนวทาง ได้แก่ 1) เพิ่มจำนวน sample size ของตัวอย่างจุลินทรีย์ 2) ทำงานวิจัย ที่ครอบคลุมกลุ่มโรคมากขึ้น 3) explore แนวทางการรวมโพรไบโอติกส์กับ ingredients อื่นๆ เช่น เห็ด สมุนไพร ฯลฯ โดยปัจจุบันในประเทศไทย บริษัทฯ ได้ให้บริการการตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้ทราบว่าโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ใดที่พร่องไปในร่างกายของผู้รับการตรวจ ซึ่งจำหน่ายคู่กับโพรไบโอติกส์ทั้งแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Probiotics) และยังมีโพรไบโอติกส์แบบทั่วไป (เลือกทานได้โดยไม่ต้องตรวจจุลินทรีย์ก่อน) โดยเลือกสายพันธุ์โพรไบโอติกส์แตกต่างกันตามกลุ่มอาการที่ต้องการการดูแล ซึ่งคิดค้นสูตรจากฐานข้อมูลจุลินทรีย์ของคนในประเทศไทยโดยเฉพาะ
[caption id="attachment_56353" align="aligncenter" width="1567"] นายวันวนัส มาอินทร์ CEO บริษัท ไบโอเมด เทคโนโลยี โฮลดิ้งส์ ประเทศไทย จำกัด (BioMed)[/caption]
นายวันวนัส มาอินทร์ CEO บริษัท ไบโอเมด เทคโนโลยี โฮลดิ้งส์ ประเทศไทย จำกัด (BioMed) กล่าวเสริมว่า นโยบายของกลุ่มบริษัท BioMed เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการ บนแนวคิด scientific และ precision-based กล่าวคือ solution ทุกอย่างที่บริษัทฯ นำเสนอ ต้องมีที่มาที่ไปรองรับอย่างชัดเจนและพิสูจน์ได้ ด้วยเหตุนี้ BioMed ฮ่องกง จึงได้ทุ่มเทงบประมาณ และบุคลากรไปกับการทำวิจัยเกี่ยวกับลักษณะจุลินทรีย์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มโรคผื่นแพ้ผิวหนัง สะเก็ดเงิน โรคทางสมอง ฯลฯ รวมถึงการบรรเทาอาการของโรคดังกล่าว ด้วยการให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีงานวิจัยรองรับว่าช่วยบรรเทาโรคดังกล่าวได้ และดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ ควบคู่ไปกับการสังเกตอาการ ซึ่งงานวิจัยทั้งหมดได้รับการตีพิมพ์ลงวารสารการแพทย์แล้ว โดยความร่วมมือด้านวิชาการและการวิจัย ระหว่าง ไบโอเทค Biomed รวมถึง HKSGM ในประเทศไทยนั้น จะใช้ methodology หรือวิธีการที่ใกล้เคียงกับการวิจัยที่ทำสำเร็จแล้วในฮ่องกง แต่ปรับเปลี่ยนในบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการวิจัยในไทย ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญจากไบโอเทคมาประกอบกัน ทำให้ร่นระยะเวลาการทำวิจัยรวมถึงทรัพยากร แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวทางนำไปสู่ข้อสรุปด้านจุลินทรีย์ที่เหมาะสมกับคนในประเทศไทย นอกจากนี้ ทั้งสามฝ่ายจะร่วมกันเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจุลินทรีย์และโพรไบโอติกส์ให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมการขยายตัวของธุรกิจโพรไบโอติกส์ให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ และช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักรู้ว่าแท้จริงแล้วโพรไบโอติกส์นั้นมีประโยชน์มากมายกว่าเพียงแค่เรื่องการขับถ่าย
[caption id="attachment_56354" align="aligncenter" width="1531"] Prof. Stephen Tsui (TSUI Kwok Wing)[/caption]
ดร.วรรณพ กล่าวปิดท้ายความร่วมมือครั้งนี้ว่า เราโชคดีและถือเป็นเกียรติมากที่ได้ทำงานร่วมกับ Prof. Stephen Tsui (TSUI Kwok Wing) นอกจากจะเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง BioMed และรองประธาน HKSGM แล้ว ยังเป็น Head of Division of Genomics and Bioinformatics, School of Biomedical Sciences, Chinese University of Hong Kong (CUHK) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกสาขาชีวสารสนเทศศาสตร์ โรคทางพันธุกรรมของมนุษย์ และจุลชีววิทยาระดับโมเลกุล โดยเมื่อปี 2014 Prof. Tsui นำทีมจาก CUHK Medical School ถอดรหัสพันธุกรรมไรฝุ่นได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญต่อการวิจัยเกี่ยวกับสารก่อภูมิแพ้ และที่สำคัญ Prof. Tsui และทีมยังเป็นทีมแรก ๆ ในโลก ที่ประสบความสำเร็จในการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัส SARS-CoV อีกด้วย ซึ่งความร่วมมือกับไบโอเทค จะนำองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ บนพื้นฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยสร้างฐานความเข้มแข็งในด้านอุตสาหกรรมการพัฒนาจุลินทรีย์เสริมสุขภาพของไทย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


