ผลการค้นหา :
นาโนเทคและไบโอเทค สวทช. วิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ โชว์เคสแปรรูป ‘กระชายดำ’ สู่ ‘สารสกัดมูลค่าทองคำ’
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีพืชสมุนไพรหลายชนิดที่เจริญงอกงามได้ดีและมีสารสำคัญที่นำไปใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์ได้มาก ถึงกระนั้นพืชสมุนไพรที่คนไทยผลิตและส่งออกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์สด อบแห้ง หรือบดอัดแคปซูล ซึ่งมีมูลค่าไม่สูงนัก สาเหตุสำคัญมาจากไทยยังขาดการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพที่อยู่ในพืชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง การพัฒนากระบวนการสกัดและนำส่งสารสำคัญเพื่อให้สารออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของพืชสมุนไพรไทยในสื่อระดับนานาชาติ เพื่อให้สินค้าจากประเทศไทยได้รับความสนใจและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยการดำเนินงานวิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ มุ่งสร้างการเติบโตเศรษฐกิจฐานชีวภาพตั้งแต่ฐานรากอย่างยั่งยืน
ยกระดับสมุนไพรไทย จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ
ด้วยนาโนเทค สวทช. ตระหนักว่า การจะยกระดับสมุนไพรไทยไปสู่พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงจำเป็นต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาตลอดทั้งสายการผลิต เพราะหากห่วงโซ่ใดไม่พร้อมก็ไม่อาจขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนได้ การดำเนินงานวิจัยจึงเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ ‘คัดเลือกสายพันธุ์เด่น’ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพันธุ์ที่ให้สารสำคัญปริมาณสูง
[caption id="attachment_55814" align="aligncenter" width="750"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract[/caption]
ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract เล่าว่า ทีมวิจัยเริ่มต้นดำเนินงานจากการคัดเลือกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพสูง โดยสำรวจแหล่งเพาะปลูกพืชสมุนไพรหลายพื้นที่ในประเทศว่าที่ใดมีพื้นที่การเพาะปลูกสมุนไพรเป็นจำนวนมากบ้าง เพื่อเก็บตัวอย่างมาวิจัยว่า ‘มีสารสำคัญชนิดใดบ้างที่โดดเด่น’ และ ‘มีสารสำคัญปริมาณเท่าไหร่’ เพื่อให้ทราบถึงสายพันธุ์และแหล่งพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะแก่การวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่ม ในขณะเดียวกันก็ได้ผสานความร่วมมือกับนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในการพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงต้นพันธุ์ปลอดโรคและกระบวนการปลูกที่จะทำให้พืชชนิดนั้นผลิตสารสำคัญได้มากยิ่งขึ้น ก่อนนำองค์ความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกร เพื่อผลิตวัตถุดิบคุณภาพดีและได้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของตลาด พร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านสุขภาพ ความงาม และการแพทย์
“ในส่วนของการพัฒนาสารสกัดมูลค่าสูง ทีมวิจัยนาโนเทคได้ดำเนินงานต่อโดยนำพืชสมุนไพรสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมาออกแบบกรรมวิธีการสกัดที่จะทำให้ได้สารสำคัญปริมาณมากและมีความบริสุทธิ์สูง ก่อนนำมาลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งทั้งด้านประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ การนำส่งสารออกฤทธิ์ และความคงตัวของสารด้วยกระบวนการที่เหมาะสม เช่น กระบวนการห่อหุ้มในระดับอนุภาคนาโน (nanoencapsulation) ก่อนนำสารที่ผ่านการปรับปรุงคุณสมบัติแล้วไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งในขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ตาม OECD guidelines ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่นาโนเทควิจัยมีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านการบำรุงรักษาและความปลอดภัยในการบริโภค
“ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งภารกิจที่นักวิจัยนาโนเทคให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและทำคู่ขนานกันไปตลอด คือ การเรียบเรียงข้อมูลผลงานวิจัยเพื่อนำเสนอผ่านวารสารวิชาการในระดับนานาชาติ เพราะยิ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากประเทศไทยได้มาก จะยิ่งเป็นผลดีต่อการจำหน่ายสินค้าในตลาดโลก”
[caption id="attachment_55812" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
Black to Gold กระชายดำสู่สารสกัดมูลค่าทองคำ
หนึ่งในพืชสมุนไพรที่ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. กำลังพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์แนวหน้าในกลุ่มเวชสำอางของประเทศไทย คือ ‘กระชายดำ (black ginger)’ หรือที่มีการขนานนามว่า ‘โสมไทย’ เพราะพืชชนิดนี้มีสรรพคุณขึ้นชื่อด้านการบำรุงและรักษาร่างกาย ทำให้มีการนำมาใช้ผลิตยาตามตำรับแพทย์แผนไทยมายาวยาน นอกจากนี้กระชายดำที่ปลูกในประเทศไทยยังมีปริมาณสารสำคัญสูงกว่าประเทศอื่นด้วย
[caption id="attachment_55816" align="aligncenter" width="750"] ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีแม้ทางการแพทย์แผนไทยจะรู้ว่ากระชายดำเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก มีการนำมาใช้ผลิตยาตำรับต่าง ๆ อย่างหลากหลาย แต่ด้วยสีของสารสกัดกระชายดำที่เป็นสีเข้มเฉดม่วงถึงดำ จึงไม่นิยมนำมาใช้ผลิตเวชสำอางสำหรับผิวหน้าและผิวกาย จากข้อจำกัดดังกล่าวทีมวิจัยจึงพัฒนากระบวนการแยกสารสีเข้มออกจากสารสกัดจนได้เป็นสารสกัดสีเหลืองทอง ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบประสิทธิภาพด้านการออกฤทธิ์แล้วพบว่า สารสกัดออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการลดจำนวนเซลล์ชรา (เป็นเซลล์ที่ทำลายเซลล์ดีอื่น ๆ) ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ เสริมสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างอีลาสตินและไฮยาลูรอนิก เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ และสามารถเพิ่มความยาวของปลายโครโมโซม ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอางเป็นอย่างยิ่ง โดยทีมวิจัยได้ตั้งชื่อสารสกัดนี้ว่า ‘BlackGold’
[caption id="attachment_55808" align="aligncenter" width="500"] กระชายดำ[/caption]
“ภายหลังจากการนำสารสกัดที่ได้ไปผ่านกระบวนการลดข้อด้อยด้านความสามารถในการละลายต่ำและเพิ่มจุดแข็งด้านการออกฤทธิ์ การนำส่ง และความคงตัวของสาร ทีมวิจัยได้นำสารที่พัฒนามาใช้เป็นสารสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางตำรับต่าง ๆ ต่อ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยจนพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบำรุงผิวเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยทั้งในรูปแบบซีรัมและครีม นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการทดสอบโดยอาสามาสมัครหรือทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) จำนวน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมเพื่อลดการหลุดร่วง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกาย
“สำหรับการพัฒนาต่อยอดในรูปแบบผลิตภัณฑ์ ทีมวิจัยอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากผลจากการวิจัยพบว่านอกเหนือจากประสิทธิภาพด้านชะลอวัย (anti-aging) แล้ว สารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ยังมีฤทธิ์ด้านการลดการสะสมของไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ และระดับน้ำตาลในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคในกลุ่ม NCDs ทั้งนี้คาดการณ์ว่าการนำกระชายดำสดมาแปรรูปเป็นสารสกัดเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและการแพทย์ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก โดยกระชายดำสดมีราคาขายในช่วง 80-130 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนสารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ที่ได้มาตรฐานคาดว่าจะมีราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 100,000 บาทต่อกิโลกรัม”
[caption id="attachment_55813" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
นอกจากการวิจัยพัฒนาสมุนไพรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นาโนเทค สวทช. ยังพร้อมให้บริการด้านการวิจัยแก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยแบบครบวงจร (one-stop service) ทั้งการวิจัยประสิทธิภาพของสารสำคัญ การวิจัยกระบวนการสกัด การวิจัยกระบวนการลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งให้แก่สารสกัดสมุนไพร ไปจนถึงการพัฒนาตำรับเวชสำอาง การผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยโรงงานต้นแบบ และการทดสอบความปลอดภัย
ดร.มัตถกา อธิบายว่า นาโนเทค สวทช. มี ‘โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง (nanoparticle & cosmetic production plant)’ สำหรับให้บริการการผลิตด้วยมาตรฐาน ASEAN cosmetic GMP ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยรับผลิตผลิตภัณฑ์ที่พร้อมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมทั้งที่วิจัยและพัฒนาโดยนาโนเทค สวทช. และจากสถาบันวิจัยอื่น ๆ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้บริการเครื่องจักรที่โรงงานในประเทศไทยยังไม่มีในครอบครอง และผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อให้ภาคเอกชนใช้ทดลองตลาดก่อนขยายสู่การลงทุนด้านเครื่องจักรในระดับอุตสาหกรรม หรือก่อนทำสัญญาการผลิตปริมาณมากกับบริษัทที่ให้บริการด้าน OEM โดยตรงเท่านั้น
[caption id="attachment_55815" align="aligncenter" width="750"] ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลเสริมเรื่องการทดสอบความปลอดภัยว่า ทีมวิจัยซึ่งมี ดร.ศศิธร เอื้อวิริยะวิทย์ เป็นหัวหน้าทีม มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์จากอวัยวะต่าง ๆ ทั้งรูปแบบ 2 มิติ, 3 มิติ, ex vivo และแบบจำลองปลาม้าลายเพื่อทดแทนการใช้สัตว์ทดลอง’ โดยเชี่ยวชาญทั้งการทดสอบด้วยวิธีมาตรฐาน (standard methods) และวิธีที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ (in house developed methods) โดยพร้อมให้บริการทั้งการทดสอบความปลอดภัยและฤทธิ์ทางชีวภาพของตัวอย่างที่ส่งตรวจ อาทิ สารสกัดสมุนไพร สารเคมี ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และยังพร้อมให้บริการทดสอบรวมถึงให้คำปรึกษาและวางแผนการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เวชสำอางด้วย ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปาก’ อาทิ เซลล์ผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 2 มิติ เนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 3 มิติ ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ (human ex vivo skin model)
“สำหรับการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เปิดให้บริการสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ทีมวิจัยได้พัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อจากอวัยวะอื่น ๆ’ อาทิ แบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้แบบ 3 มิติ แบบจำลองเนื้อเยื่อปอด แบบจำลองเซลล์ตับอ่อน แบบจำลองเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน แบบจำลองปลาม้าลาย เพื่อใช้ในการทดสอบเพื่อสนับสนุนข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ สำหรับนำไปใช้ต่อยอดด้านการวิจัยและพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นข้อมูลประกอบในการขึ้นทะเบียนและส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย”
[caption id="attachment_55817" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
การวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่ากระชายดำเป็นเพียงหนึ่งในผลงานเด่นด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สมุนไพรไทย ตัวอย่างพืชสมุนไพรแนวหน้าอื่น ๆ ที่ทีมวิจัยกำลังวิจัยและพัฒนาหรือมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น บัวบก กะเพรา ขมิ้นชัน กระท่อม ว่านหางจระเข้ ทั้งนี้การวิจัยและพัฒนาทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยให้เติบโตตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึงภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือใช้บริการด้านการวิจัยและพัฒนา ติดต่อสอบถามได้ที่ งานนพัฒนาธุรกิจ นาโนเทค สวทช. อีเมล์ bitt-bdv@nonotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ชุมพล พินิจธนสาร ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
3 สาเหตุ! เสี่ยงโดน ‘ไฟฟ้าดูด’ หากใช้มือถือขณะชาร์จแบตฯ
ปรากฏข่าวอยู่บ่อยครั้งสำหรับอุบัติเหตุผู้ถูกไฟฟ้าช็อตระหว่างการใช้มือถือในขณะชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งหลายกรณีมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้มือถือขณะชาร์จถูกไฟฟ้าดูด ซึ่งอาจเกิดได้จาก
หัวชาร์จชำรุดหรือไม่ได้คุณภาพหัวชาร์จ (adapter) มีหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสสลับ 220 โวลต์ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงระดับแรงดันไม่เกิน 5 โวลต์ อีกทั้งยังกันไฟฟ้า 220 โวลต์ไม่ให้ส่งถึงผู้ใช้งานได้ แต่ถ้าหัวชาร์จชำรุดหรือไม่ได้คุณภาพทำให้ไฟฟ้ารั่ว และเมื่อผู้ใช้ไปสัมผัสอาจเกิดอันตรายได้
สายชาร์จไม่ได้คุณภาพเมื่อใช้งานไประยะหนึ่งและเกิดการชำรุดฉีกขาดอาจเสี่ยงต่อการลุกไหม้ หรือเมื่อผู้ใช้มือถือสัมผัสสายชาร์จขณะใช้งานก็อาจเกิดอันตรายจากไฟรั่วได้
อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านเกิดไฟรั่ว เนื่องจากใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ถูกต้อง หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเสื่อมสภาพเนื่องจากใช้งานมาเป็นเวลานาน
ดังนั้นการใช้มือถือขณะชาร์จแบตเตอรี่อาจไม่ปลอดภัย จึงควรหลีกเลี่ยง หรือพิจารณาใช้แบตเตอรี่สำรอง (power bank) ชาร์จแบตเตอรี่มือถือแทน
ข้อมูลจาก : ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.
อ้างอิงข้อมูลจาก : www.mtec.or.th/post-knowledges/47282/
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
นานาสาระน่ารู้
บทความ
สุดคูล ! รีไซเคิลกระเบื้องตกเกรดเป็น ‘อิฐบล็อกช่องลม’ เพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานเซรามิก
‘สินค้ามีตำหนิ สินค้าตกเกรด’ เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่อุตสาหกรรมกระเบื้องและเซรามิกต้องเผชิญ เพราะนอกจากไม่สามารถจำหน่ายได้แล้ว การนำกลับไปบดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ยังสามารถนำไปใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการสะสมจนกลายเป็นขยะอุตสาหกรรมปริมาณมหาศาลที่ยากต่อการจัดเก็บและต้องส่งกำจัด ซึ่งการส่งกำจัดนั้นนอกจากจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากในการจัดการแล้วยังส่งผลให้ไม่สามารถหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ประโยชน์ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดอีกด้วย
เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด หากใช้โดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า ก็จะทำให้ทรัพยากรเหล่านี้หมดไปในอนาคตอันใกล้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด ยกระดับการผลิต นำเศษกระเบื้องเหลือทิ้งมาพัฒนาเป็น ‘ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลม’ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดปริมาณขยะจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_55033" align="aligncenter" width="750"] ดร.อนุชา วรรณก้อน ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเซรามิกส์และวัสดุก่อสร้าง เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.อนุชา วรรณก้อน ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเซรามิกส์และวัสดุก่อสร้าง เอ็มเทค กล่าวว่า ในการผลิตกระเบื้องปูพื้นและบุผนังแบบไม่เคลือบของบริษัทเคนไซฯ พบว่า แต่ละรอบการผลิตมีกระเบื้องมีตำหนิที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ประมาณร้อยละ 5-10 และมีปริมาณสะสมเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา แม้ว่าที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ร่วมกับบริษัทเคนไซฯ พัฒนาต้นแบบ ‘คอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว’ จากการใช้เศษกระเบื้องและเซรามิกบดจนประสบความสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังมีเศษกระเบื้องเหลืออยู่จำนวนมาก รวมถึงเศษผงเซรามิกขนาดเล็กที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ อีกทั้งเศษเซรามิกแบบมีเคลือบยังไม่เหมาะต่อการนำมาผลิตคอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว
[caption id="attachment_55039" align="aligncenter" width="750"] เศษกระเบื้องและเซรามิกเหลือทิ้งจากโรงงานที่ไม่สามารถจำหน่ายได้[/caption]
[caption id="attachment_55034" align="aligncenter" width="750"] เศษกระเบื้องและเซรามิกบด[/caption]
“ทีมวิจัยได้ประเมินเพื่อหาแนวทางที่สามารถใช้ประโยชน์จากผงเซรามิกและเศษเซรามิกแบบมีเคลือบได้ 100% รวมทั้งศึกษาเก็บข้อมูลการใช้และการหมุนเวียนทรัพยากรในระบบเพื่อออกแบบกระบวนการใหม่ที่ใช้ทรัพยากรและพลังงานให้น้อยที่สุด จนนำมาสู่การออกแบบและพัฒนากระบวนการผลิตอิฐบล็อกช่องลมที่ลดการพึ่งพาวัตถุดิบปฐมภูมิหรือทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้เศษเซรามิกเป็นวัตถุดิบตั้งต้นทดแทนวัตถุดิบปฐมภูมิจากแหล่งแร่ธรรมชาติ และใช้กระบวนการผลิตที่ไม่ต้องเผา”
ผลการพัฒนา ‘ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลม’ จาก ‘เศษเซรามิกบด’ พบว่า คุณสมบัติในด้านต่าง ๆ เช่น กำลังรับแรงอัด การดูดซึมน้ำ และความหนาแน่น ใกล้เคียงกับอิฐบล็อกช่องลมทั่วไปที่วางขายตามท้องตลาด และสามารถนำมาใช้ทดแทนได้เป็นอย่างดี
“ทีมวิจัยยังได้ประเมินการใช้ทรัพยากร ความเป็นไปได้ทางเทคนิคและทางเศรษฐศาสตร์พบว่า การนำเศษเซรามิกบดมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตอิฐบล็อกช่องลม สามารถใช้เซรามิกบดทดแทนวัตถุดิบปฐมภูมิที่เป็นมวลรวมต่างๆ ได้ 100% และเป็นกระบวนการผลิตที่ไม่ต้องเผา จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มาก และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่น้อยกว่า 20-30%” ดร.อนุชา กล่าว
ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอิฐบล็อกช่องลมแก่โรงงาน เพื่อดำเนินการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ สำหรับใช้ต่อยอดเพื่อจำหน่ายต่อไปอนาคต
[caption id="attachment_55038" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยทดสอบสมบัติของต้นแบบอิฐบล็อกช่องลมที่ผลิตจากเศษเซรามิกบด[/caption]
[caption id="attachment_55037" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลมที่ผลิตจากเศษเซรามิกบด[/caption]
[caption id="attachment_55035" align="aligncenter" width="750"] คุณชนัตถ์ ตันติวัฒน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด[/caption]
ชนัตถ์ ตันติวัฒน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด กล่าวว่า จากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ทำให้บริษัทได้กระบวนการคิดและเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยสามารถนำเศษเซรามิกบดมาใช้ประโยชน์ได้ 100% ช่วยให้เราเห็นหนทางที่จะมุ่งสู่ zero waste ได้ตามเป้าหมายของโรงงาน
“ที่สำคัญเรายังได้มุมมองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ คือไม่ได้มองเฉพาะแค่ภายในโรงงานหรือการนำของเสียมารีไซเคิลเท่านั้น แต่มองเห็นถึงผลกระทบและมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในภาพรวมของอุตสาหกรรมเซรามิกในประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในทุกภาคส่วน”
การส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถออกแบบพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรและหมุนเวียนใช้ให้นานที่สุด รวมทั้งลดการปล่อยของเสียให้น้อยที่สุด จึงถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตได้บนฐานทรัพยากรที่ยั่งยืน
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
วิกฤต ! ทั่วโลกกำลังเผชิญปรากฏการณ์ ‘ปะการังฟอกขาว’ ครั้งรุนแรงในรอบ 10 ปี
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่ทวีความรุนแรง อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นทุกขณะกลายเป็นปัจจัยคุกคามที่นำมาสู่การเกิด ‘ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว’ (Coral Bleaching) ซึ่งทำลายพื้นที่แนวปะการังไปแล้วในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ล่าสุดเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน 2567 องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ โนอา (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) โดยหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง (Coral Reef Watch: CRW) ได้เปิดเผยผลการสำรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทรและแนวปะการังทั่วโลกช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2567 พบว่าเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวแผ่ขยายเป็นวงกว้างในทะเลและมหาสมุทรทั่วทั้งเขตร้อน ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย รวมไปถึงทะเลแคริบเบียน ทะแลแดง อ่าวเปอร์เซีย อ่าวเอเดน ไม่เว้นแม้แต่แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Great Barrier Reef ของออสเตรเลีย โดยครั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ที่หน่วยเฝ้าระวังแนวปะการังของโนอาได้สำรวจและบันทึกไว้ และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
[caption id="attachment_55551" align="aligncenter" width="1000"] แผนที่แสดงผลการสำรวจติดตามการเกิดปะการังฟอกขาวระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 - 10 เมษายน 2567 ของหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง โนอา แสดงให้เห็นภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเครียดจากความร้อนในทะเลในระดับสูง (การแจ้งเตือนการฟอกขาวระดับ 2 -5) ที่สามารถทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการังทั่วทั้งแนวปะการังและอาจทำให้ปะการังตายได้ (เครดิตภาพ : NOAA)[/caption]
[caption id="attachment_55548" align="aligncenter" width="1000"] ภาพเปรียบเทียบปะการังปกติที่มีสีสันสวยงาม (ซ้าย) กับปะการังที่อยู่ในภาวะฟอกขาว (ขวา)[/caption]
ขณะเดียวกันในประเทศไทยก็เริ่มพบการเกิดปะการังฟอกขาวแล้วเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานผลการติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวและติดตามอุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณเกาะยา จังหวัดตรัง พบปะการังเริ่มมีสีซีดจางและพบปะการังฟอกขาวประมาณ 1% ของปะการังมีชีวิตในพื้นที่สำรวจ โดยพบที่ระดับความลึกน้ำ 2–5 เมตร อุณหภูมิของน้ำทะเลมีค่าเฉลี่ย 31.80±0.37 องศาเซลเซียส (ระหว่างวันที่ 2–19 เมษายน 2567)
[caption id="attachment_55550" align="aligncenter" width="750"] เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง ติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวบริเวณเกาะยา จังหวัดตรัง (เครดิตภาพ : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)[/caption]
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดปะการังฟอกขาวมาจากการที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งน้ำทะเลบนโลกนี้มีปริมาณมหาศาล การที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นแสดงว่าโลกของเราอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นมาก อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับคนเราอาจไม่รู้สึกถึงผลกระทบมากนัก แต่สำหรับปะการังแล้ว อุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นเพียงองศาเดียวหมายถึงความเป็นความตายของปะการัง
[caption id="attachment_55549" align="aligncenter" width="750"] การเกิดปะการังฟอกขาว[/caption]
ทั้งนี้ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว คือ ภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางจนมองเห็นเป็นสีขาว ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียสาหร่าย Symbiodinium สาหร่ายขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง โดยปกติสาหร่ายกับปะการังจะอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพากัน ปะการังให้ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ขณะที่สาหร่ายสังเคราะห์ด้วยแสงช่วยสร้างอาหารและคาร์บอนให้แก่ปะการังเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและสร้างโครงสร้างหินปูน และยังมีส่วนช่วยสร้างสีสันสวยงามให้แก่ปะการังที่ปกติจะมีเพียงเนื้อเยื่อใส ๆ เท่านั้น แต่เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น สาหร่ายจะผลิตออกซิเจนปริมาณมากซึ่งเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อของปะการัง ปะการังจึงขับสาหร่ายออกจากเนื้อเยื่อเพื่อลดปริมาณออกซิเจน เมื่อไม่มีสาหร่ายอาศัยอยู่แล้ว ปะการังเหลือเพียงเนื้อเยื่อใสที่เผยให้เห็นโครงสร้างหินปูนสีขาวที่อยู่ภายใน จึงเป็นที่มาของคำว่า “ปะการังฟอกขาว”
[caption id="attachment_55546" align="aligncenter" width="750"] การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันทำให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดปะการังฟอกขาว[/caption]
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ของหน่วยเฝ้าระวังแนวปะการัง โนอา ได้เปิดเผยอีกว่าหากน้ำในมหาสมุทรยังคงอุ่นขึ้น ภาวะปะการังฟอกขาวก็จะยิ่งถี่และรุนแรงมากขึ้น และหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นรุนแรงและยืดเยื้อยาวนานเกินไป อาจส่งผลทำให้ปะการังตาย สร้างความเสียหายอย่างมากต่อระบบนิเวศในทะเลและส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อผู้คนที่ต้องพึ่งพาแนวปะการังในการดำรงชีวิต
แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญอย่างมากในท้องทะเล แม้ว่าแนวปะการังจะครอบคลุมพื้นที่ใต้ทะเลแค่ประมาณ 1% ของพื้นที่ใต้ทะเลทั้งหมด แต่ว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณ 25% ใช้ประโยชน์จากปะการัง ทั้งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร อนุบาล และที่หลบภัย อีกทั้งยังมีประชากรกว่า 500 ล้านคนบนโลกที่ต้องอาศัยพึ่งพาประโยชน์จากแนวปะการัง มีประมาณการว่ามูลค่าที่ได้จากแนวปะการังทั่วโลกนั้นสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมาจากอุตสาหกรรมด้านการประมงและการท่องเที่ยว
[caption id="attachment_55554" align="aligncenter" width="750"] การเกิดปะการังฟอกขาวเป็นระยะเวลานานเกินไปอาจทำให้ปะการังตาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในทะเลและกระทบต่อเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรทางทะเล[/caption]
การฟอกขาวของปะการังที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่หากความเครียดที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดการฟอกขาวลดลงในช่วงเวลาที่ยังไม่สายเกินไป ปะการังก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ใหม่และเป็นที่พึ่งพิงให้แก่สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป
ที่มา :
NOAA confirms 4th global coral bleaching event
SCI UPDATE : ‘ปะการังทนร้อน’ ทางรอดโลกวิกฤติ
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
นานาสาระน่ารู้
บทความ
สวทช. พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุระดับความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดขยะอาหาร
หนึ่งในผลไม้จากประเทศไทยที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติสูงจนขึ้นแท่นเป็นพืชเศรษฐกิจ คือ ‘มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง’ ที่มีจุดเด่น คือ ผลใหญ่ เปลือกสีเหลืองทอง เนื้อละเอียด รสชาติหวาน แต่ด้วยมะม่วงสายพันธุ์นี้มีเปลือกสีเหลืองครีมตั้งแต่เริ่มสุกบนต้นหรือระยะที่ยังไม่พร้อมรับประทาน ทำให้แยกระดับความสุกจากการสังเกตสีเปลือกมะม่วงได้ยาก ทำให้ผู้บริโภคอาจพลาดโอกาสในการลิ้มรสมะม่วงในช่วงอร่อยที่สุดไป นักวิจัยไทยจึงนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์พัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มมูลค่าการส่งออก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง
[caption id="attachment_55181" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า การพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุก ทีมวิจัยได้นำลักษณะตามธรรมชาติของผลไม้ที่จะปล่อยก๊าซเอทิลีนและคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นตามระยะความสุกมาใช้ในการออกแบบเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซ โดยทีมวิจัยเลือกตรวจจับก๊าซเอทิลีนเพราะให้ผลตรวจที่แม่นยำกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซที่มีอยู่ทั่วไปในสภาพแวดล้อม จึงอาจทำให้เกิดการแปลผลคลาดเคลื่อนได้ เซนเซอร์ที่ทีมพัฒนาขึ้นมีรูปแบบเป็นสติกเกอร์สำหรับแปะผลไม้ มีลวดลายเป็นวงกลม 2 ชั้น วงในเป็นตำแหน่งของเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซเอทิลีนซึ่งจะมีสีเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความเข้มข้นของก๊าซหรือระดับความสุกของผลไม้ ส่วนวงนอกเป็นแถบสีสำหรับดูเปรียบเทียบระดับความสุก
[caption id="attachment_55182" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
[caption id="attachment_55183" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
“ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เลือกพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเป็นลำดับแรก เพราะเป็นผลไม้ที่สังเกตระดับความสุกได้ยาก เป็นผลไม้พรีเมียมที่เน้นคุณภาพ และมีตลาดระดับไฮเอนด์รองรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ฉลากอัจฉริยะที่ทีมพัฒนาขึ้นระบุความสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองได้ 3 ระดับ คือ ‘สีเขียวอ่อนอมเทา’ หมายถึงสุกน้อย มีรสชาติเปรี้ยว ‘สีเขียวอ่อน’ หมายถึงระดับสุกปานกลาง มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน และ ‘สีเขียวเข้ม’ หมายถึงผลไม้สุกพร้อมรับประทาน มีรสชาติหวาน (มีข้อความระบุบนฉลาก) ปัจจุบันฉลากอัจฉริยะที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วจะมีลักษณะการใช้งานแบบ 1 แผ่น ต่อ 1 ผล คาดว่าเมื่อผลิตในระดับอุตสาหกรรมแล้วจะมีราคา 1-2 บาทต่อแผ่น หรือหากผู้ประกอบการสนใจพัฒนาฉลากรูปแบบอื่น ๆ เช่น การติดภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ก็สามารถวิจัยต่อยอดร่วมกันได้เช่นกัน”
ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกไม่เพียงเหมาะกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเท่านั้น แต่ยังพัฒนาเชิงประยุกต์เพื่อต่อยอดให้ใช้งานกับผลไม้อีกหลายชนิดที่อยู่ในกลุ่มบ่มให้สุกภายหลังการเก็บเกี่ยว และมีลักษณะผลที่สังเกตการสุกด้วยตาเปล่ายากได้ อาทิ ทุเรียน ขนุน อะโวคาโด กีวี่
ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า ปัจจุบันต่างประเทศมีความต้องการฉลากอัจฉริยะสูงขึ้น ทั้งเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้และลดการเกิดขยะอาหารจากการบริหารจัดการสินค้าที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ IMARC Group บริษัทด้านการวิจัยตลาดต่างประเทศประมาณการไว้ว่า ‘ความต้องการฉลากอัจฉริยะจะสูงขึ้นในปี 2567-2575’ ด้วยค่า CAGR (compound annual growth rate) ที่ร้อยละ 11.4 หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.96 แสนล้านบาท) ในปี 2567 เป็น 2.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) ในปี 2575 จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเริ่มลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ไทย ซึ่งทีมวิจัยพร้อมเปิดรับโจทย์การวิจัยฉลากอัจฉริยะระบุความสุกของผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องการ
ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่นักวิจัย สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตผลทางการเกษตรของประเทศไทย และสนับสนุนการลดขยะอาหาร หนึ่งในตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งยกระดับเศรฐกิจฐานชีวภาพและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทย
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยะรัตน์ เซ้าซี้ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการโครงสร้างพื้นฐาน นาโนเทค สวทช.อีเมล piyarath.sao@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย ไร้กลิ่นสารเคมี ไร้สารก่อมะเร็ง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยางพารามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เม็ดเงินที่ไหลกลับเข้าประเทศกลับไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นวัตถุดิบในขั้นปฐมภูมิ อาทิ น้ำยางข้น ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน นักวิจัยไทยจึงคิดค้นกระบวนการแปรรูปยางพาราให้มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้นด้วยเทคนิคการวัลคาไนซ์โดยไม่ใช้สารเคมี เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่การใช้งานด้านสุขภาพและการแพทย์ รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงวัยในอนาคต
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคนิคการวัลคาไนซ์ผลิตภัณฑ์ยางด้วยการฉายลำอิเล็กตรอน พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งเพื่อสุขภาพ และเดินหน้าต่อยอดสู่อุปกรณ์ด้านสุขภาพและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ
[caption id="attachment_54783" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต, ดร.ธงศักดิ์ แก้วประกอบ และ ดร.กรรณิกา หัตถะปะนิตย์ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต นักวิจัย ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางรูปแบบใหม่ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการขึ้นรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะใช้กระบวนการวัลคาไนเซชัน (vulcanization) ซึ่งเป็นการสร้างพันธะเชื่อมขวางระหว่างโมเลกุลของยาง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความแข็งแรงและทนทานสูงขึ้น อย่างไรก็ตามในขั้นตอนการผลิตมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ ทำให้มักมีสารเคมีตกค้างก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้สารบางชนิดยังเป็นสารก่อมะเร็งและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดเท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดด้านสุขภาพและการแพทย์
“เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้ประยุกต์การใช้ลำอิเล็กตรอนในการวัลคาไนเซชัน ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากผลิตภัณฑ์จะมีความแข็งแรงและคงทนในระดับทัดเทียมกับวิธีการที่ใช้อยู่เดิมแล้ว ยังไม่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงไม่มีกลิ่นสารเคมีรบกวน และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูงขึ้น โดยหลังจากการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปใหม่สำเร็จ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาสูตรการผลิต ‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ซึ่งมีความต้องการในตลาดสูงต่อทันที จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาได้ คือ มีความสามารถในการกระจายแรงสูง ลดแรงกดทับได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณก้นกบและหลังส่วนล่างจากการนั่งเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แผ่นเจลรองนั่งที่พัฒนาขึ้นยังมีคุณลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้นั่งรู้สึกเย็นสบายแม้จะผ่านการนั่งทับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมงอีกด้วย”
[caption id="attachment_54777" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption]
[caption id="attachment_54778" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแผ่นเจลรองนั่งจากยางพาราแล้ว โดยผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางและกลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านการฆ่าเชื้อด้วยลำอิเล็กตรอน โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถร่วมวิจัยต่อยอดการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์เป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับการดูแลสรีระตามหลักการยศาสตร์ (ergonomics) ที่ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะทางมากขึ้นได้
ดร.ปณิธิ เล่าต่อว่า ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังจะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่อุปกรณ์การแพทย์สำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้นทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก รวมถึงเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบของประเทศไทย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในแผนการพัฒนาแล้ว เช่น แผ่นเจลรองนั่งและรองนอนสำหรับบรรเทาการเกิดแผลกดทับ โดยปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนของการสรรหางบประมาณสนับสนุนในการทำวิจัยรูปทรงของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและการทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) โดยอาสาสมัคร ส่วนอีกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง คือ แผ่นรองยืนฝึกการทรงตัวสำหรับการออกกำลังหรือกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อขาให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยร่วมกับกรมการแพทย์
“ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปยางด้วยวิธีการที่เป็นมิตรต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราของประเทศได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ รวมถึงมีส่วนช่วยเปิดตลาดและฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราด้วย เพราะหากทำได้สำเร็จจะส่งผลย้อนกลับมาสร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมยางพาราไทยได้เป็นอย่างดี” ดร.ปณิธิ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณเนตรชนก ปิยฤทธิพงศ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สวทช. อีเมล netchanp@mtec.or.th หรือ 0 2564 6500 ต่อ 4301
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Microsoft Bing AI Chat (aka Copilot)
bing.com
การค้นหาด้วย AI
ฟังก์ชันการค้นหาตามบทการสนทนา ด้วยคำถามและคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น ค้นหาโรงเรียนที่ดีที่สุด พร้อมด้วยสวนสาธารณะในบริเวณใกล้เคียง หรือบริเวณที่ต้องการ พร้อมระยะทางจากโรงเรียน ผลลัพธ์ รูปภาพ ลิงก์และข้อมูลเพิ่มเติม หน้าเว็บของโรงเรียน เนื้อหาความรู้ ครอบคลุมสาขาต่างๆ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และเทคโนโลยี
Designer
เครื่องมือตัวช่วยการออกแบบ สร้างภาพตามต้องการในรูปแบบสไตล์ที่ต้องการ รูปภาพสำหรับโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการให้ช่วยสร้างสรรค์รูปภาพคำเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงปาร์ตี้ สามารถสร้างตัวเลือกรูปภาพได้มากมายนับไม่ถ้วน
การสร้างข้อความ
สร้างข้อความ เป็นโทนและรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อใช้ร่างอีเมล โพสต์ในบล็อก สุนทรพจน์ บทกวี เรื่องสั้น เป็นต้น สามารถสรุปข้อมูลจากบทความได้ สามารถแปลข้อความเป็นภาษาต่างๆ ช่วย rewrite เนื้อหาได้
Requirements: Web Browser แนะนำให้ใช้ Microsoft Edge
สามารถใช้ของ Microsoft (hotmail, outlook) ในการล็อคอิน Microsoft และ ณ ปัจจุบันยังไม่ต้องใช้การล็อคอินในการใช้งาน
นานาสาระน่ารู้
Gemini (Bard) – AI Chatbot
Bard (Backbone Transformer) architecture (เปลี่ยนเป็น "Gemini" https://gemini.google.com/, เม.ย. 2567) เป็นเครื่องมือแบบ AI Chat Bot ที่มีลักษณะการใช้งาน เช่นเดียวกันกับ ChatGPT พัฒนาจาก Large Language Model
ฟังก์ชันความสามารถ:
1) Language Understanding
Natural Language Processing (NLP): เข้าใจและตอบสนองคำสั่งในภาษามนุษย์ คำถามทั้งแบบที่ง่ายและคำถามที่ประโยคซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงคำถามที่ขอให้คิดออกแบบสร้างสรรค์ขึ้นมาตามจินตนาการ
Sentiment Analysis: สามารถตรวจจับลักษณะของประโยคข้อความที่แสดงออกถึงสภาพอารมณ์ emotional tone และสามารถตอบสนองปรับตามสภาพดังกล่าวได้
Context Awareness: สามารถอ้างอิงตามบริบทของซีรี่ย์ของบทสนทนาที่เกิดขึ้นและสามารถตอบสนองตามบริบทนั้นได้
2) Information Retrieval and Generation
Search: เข้าถึงข้อมูลผ่านผลลัพธ์การค้นหาด้วย Google Search และตอบสนองได้สอดคล้องกับผลลัพธ์การค้นหานั้น
Question Answering: สามารถตอบคำถามได้หลากหลาย in a comprehensive and informative way แม้ว่าจะเป็นคำถามที่แปลกหรือท้าทาย
Text Generation: สร้างสรรค์ข้อความ ที่หลากหลาย อาทิ บทกลอน บทกวี โค้ดภาษาโปรแกรม แต่งเพลงพร้อมโน้ตดนตรี เนื้อหาของจดหมายอีเมล เป็นต้น
3) Information Retrieval and Generation
Translation: แปลภาษาได้
Summarization: สามารถสร้างสรุปเนื้อหาข้อมูลจากบทความที่ต้องการได้
Writing: ช่วยในการเขียน เช่น การ brainstorming
Requirements:
Hardware: อุปกรณ์ที่มี web browser (ระบบปฏิบัติการไม่จำกัด) และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต – computers, laptops, smartphones, and tablets
Software: web browser : Chrome, Firefox, Safari, or Edge
Additional requirements: มีสมาชิกบัญชี Google
นานาสาระน่ารู้
CAPCUT กับ AI Tools
โปรแกรม CAPCUT เป็นโปรแกรมที่มีหลากหลาย Platform ให้บริการ โดยเน้นการสร้าง Content ที่มาจากผู้ใช้งานผ่านการสร้างสรรค์ วีดีโอ , ภาพ , เสียง , ภาพนิ่ง มาประยุกต์ใช้ให้เกิด Content ที่มากกว่าการนำเสนอทั่วไป โดยในปัจจุบันทาง CAPCUT ได้เปิดให้ใช้บริการ AI ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดทำ Content ต่าง ๆ อย่างมากมาย วิธีการใช้งาน1. ดำเนินการสมัคร CAPCUT บนโทรศัพท์ของคุณให้สำเร็จโดยรองรับทั้ง Android และ IOS
2. หากคุณต้องการใช้ AI Tools ให้เข้าถึงการให้บริการผ่าน https://www.capcut.com/editor-tools/3. ระบบจะให้คุณทำการ Login อีกครั้งผ่านเว็บไซต์ โดยคุณสามารถเข้าถึงผ่านการ Scan QR Code ได้
4. จากนั้นระบบจะมีเมนูให้คุณเลือกการใช้ AI ซึ่งมีรองรับอย่างหลากหลาย เช่น การจัดทำ Script Video (รองรับภาษาอังกฤษ) การจัดทำวีดีโอ การจัดทำภาพ เป็นต้น
ทางผู้เขียนลองทดสอบให้ระบบ AI จัดทำสคริปต์ เที่ยวทะเลพัทยา ทางระบบก็สามารถเขียนสคริปต์แบบภาพรวมให้เราสามารถสร้างแนวคิดต่อยอดของการทำคลิปได้อย่างน่าสนใจ
โดยสรุป CAPCUT AI Tools ที่ผู้เขียนแนะนำเป็นเพียงส่วนของการ Generate Script เพื่อการสร้าง Story ถ่ายทำวีดีโอเพียงเท่านั้น แต่ทว่ายังมีส่วนของการจัดการภาพถ่าย เสียง และอื่นๆ อีกมากที่ใช้ AI ในการจัดการ จึงเป็น Tools ที่น่าสนใจและใช้งานได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีหลายส่วนที่ต้องเสียเงินเพื่อการใช้งานที่มีส่วนเพิ่มเติมและประสิทธิภาพที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
นานาสาระน่ารู้
CANVA กับการใช้งานในการนำเสนองาน
Canva เป็น Web Application ที่เน้นการออกแบบและสร้างสรรค์ด้านภาพ สื่อ และกระบวนการด้านการนำเสนอที่เป็นที่ยอมรับ มีกลุ่ม Community ที่เข้มแข็งและหลากหลาย ในปัจจุบัน Canva สามารถใช้ AI เข้ามาร่วมในการสร้างสรรค์ Content และข้อมูลภายในได้อย่างชาญฉลาดผ่านการให้บริการ Magic Studio สามารถใช้งานได้ง่ายและรวดเร็ว รองรับทุก Smart Device และทุก Platform
วิธีใช้งาน
1.ทำการสมัครผ่านเว็บไซต์ซึ่งสามารถสมัครได้ทั้งอีเมลหรือ Account ที่รองรับหลากหลายการสมัคร
2.หลังจากสมัครแล้วผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินการทำการนำเสนอในหัวข้อใด รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยในกรณีที่ใช้ AI จำเป็นต้องเลือกที่จะใช้ Magic Studio ตามหัวข้อที่ต้องการ
3.หากต้องการใช้งานจัดทำเนื้อหานำเสนอ สามารถเลือก Magic Design For Presentation เพื่อดำเนินการจัดทำการนำเสนอผ่านการใช้งาน AI ได้ทันที
4.การใช้งานสามารถดำเนินการได้ง่ายๆ โดยใส่คำหรือหัวข้อที่สนใจ เช่น อาหาร
5. จากนั้นระบบจะใช้ AI ในการจัดทำสื่อนำเสนอ โดยจัดทำเทมเพลตและข้อมูลมาให้ผู้ใช้ได้เลือก สามารถปรับแต่งหรือดำเนินการในแต่ละส่วนของภาพและการนำเสนอได้โดยสะดวก
โดยสรุป
Canva ถือเป็น Web Application ที่รองรับการใช้งานแบบ Free ที่มีประสิทธิภาพและให้การใช้งานที่สามารถเติมเต็มโจทย์ของการนำเสนอได้อย่างลงตัว หากมีการใช้งาน Pro Freature จะมีส่วนของการสร้างงานผ่าน AI ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือองค์ประกอบอื่น ๆ ได้อีกมากมาย จึงทำให้กลายเป็นที่นิยมและเข้าถึงในกลุ่มผู้ใช้งานได้อย่างหลากหลาย
นานาสาระน่ารู้
Decktopus กับการนำเสนอด้วย AI
รายละเอียดและความสามารถของ Desktopus AI :
ตัวช่วยสร้าง Content หรือ Story Telling ที่น่าสนใจสำหรับการสร้าง Presentation ผ่านการใช้งานออนไลน์ รองรับการใช้งานภาษาไทยได้อย่างดี เหมาะสำหรับการช่วยสร้างเรื่องราวและภาพประกอบที่สนใจ โดยใช้ AI เป็นตัวขับเคลื่อน
วิธีใช้งาน
1.ทำการสมัครผ่านเว็บไซต์ซึ่งสามารถสมัครได้ทั้งอีเมลหรือ Account ที่รองรับหลากหลายการสมัคร
2.หลังจากสมัครแล้วผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินการทำการนำเสนอในหัวข้อใด รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
3.ระบบจะมีการสอบถามถึงกลุ่มเป้าหมายที่จะนำเสนอเพื่อกำหนดแนวทางนำเสนอให้ตรงใจ
4.จากนั้นระบบจะถามด้านเนื้อหาและวัตถุประสงค์ในสไลด์เพื่อกำหนดการนำเสนอให้ชัดเจน
5. ขั้นตอนสุดท้าย ระบบจะสอบถาม Theme หรือ Template การนำเสนอโดยมีรูปแบบให้ผู้ใช้เลือก
6. จากนั้นระบบจะดำเนินการสอบถามสิทธิ์การใช้งาน ซึ่งจำเป็นต้องสมัครสมาชิกเท่านั้น โดยต้องมีการบันทึกข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้
7. จากนั้นระบบจะมีการ Generate ข้อมูลให้กับผู้ใช้งาน โดยสามารถปรับแต่งคุณลักษณะขององค์ประกอบต่างๆ ได้โดยสะดวกหรือจะให้ AI ดำเนินการปรับแต่งให้ก็ได้
ภาพแสดงการใช้งานและแนวทางการนำไปใช้งานที่เกี่ยวข้อง
โดยสรุป
Desktopus เป็น โปรแกรมที่มี AI ในการช่วยจัดทำการนำเสนอที่มีมิติการใช้งานและความเชี่ยวชาญในการจัดทำการนำเสนอที่น่าสนใจ ใช้การสอบถามคำถามต่อผู้ใช้งานแล้ว generate ภาพให้ได้ทันที มีการ focus กลุ่มผู้ฟังที่หลากหลายชัดเจน
Uncategorized
นานาสาระน่ารู้
การใช้ AI เพื่อการจัดทำและตกแต่ง Presentation ด้วย Tome.app
tome.ai เป็น Web Application ของบริษัท Magical Tome ซานฟรานซิสโก โดยมีจุดเด่นที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสมัครบัญชีผู้ใช้แล้วสร้างเรื่องราวหรือสไลด์นำเสนอได้ผ่านการใช้ AI ที่ระบบจะดำเนินการให้อัตโนมัติทั้งด้าน Content และภาพประกอบ ทุกอย่างในระบบสามารถปรับแต่งได้โดยใช้ AI จัดการ รองรับภาษาอังกฤษและทำงานได้ดีกับภาษาไทย
วิธีใช้งาน
1.ทำการสมัครผ่านเว็บไซต์ซึ่งสามารถสมัครได้ทั้งอีเมลหรือ Account ที่รองรับหลากหลายการสมัคร2.หลังจากสมัครแล้วผู้ใช้งานจะมีเครดิตเพื่อการ Generate AI ได้ประมาณ 500 credit สำหรับการใช้งานฟรี
3.ดำเนินการสร้างสไลด์ผ่านระบบโดยใส่คำในส่วนของการนำเสนอ เช่น Stroke disease ทางผู้เขียนอยากให้ระบบทำรายงานเกี่ยวกับโรค Stroke โดยอัตโนมัติ
4. จากนั้นระบบจะดำเนินการสร้าง Layout Slide และนำเสนอพร้อมการสร้างภาพให้ทันที
5. ในกรณีใช้งานฟรีจะมีการหัก AI Credit ซึ่งจะเสียประมาณ 250 เครดิตต่อการสร้าง AI อัตโนมัติประมาณ 6 หน้า
6. ในกรณีที่เครดิตหมดจำเป็นต้องมีการเติมผ่านการเชิญสมาชิกมาสมัครต่อผ่าน url ของผู้สมัครหรือมีการชำระเงินรายเดือนซึ่งเสียเงินประมาณ 16 $ ต่อเดือนในปัจจุบัน
ตัวอย่างสไลด์ที่ลองทดสอบการใช้งานผ่าน tome.app พบว่าให้ข้อมูลได้อย่างน่าสนใจ (แต่ก็ยังต้องปรับแต่งข้อความที่สำคัญให้ตรงใจ)
โดยสรุป
tome.app ถือเป็นการสร้าง Presentation ด้วย AI ที่ใช้งานได้ง่ายแต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับการใช้ credit ที่ไม่มีเพิ่มเติม จำเป็นต้องแนะนำสมาชิกเพื่อการเพิ่มเครดิตหรือการเสียเงินใช้งาน แต่อย่างไรก็ตาม tome.app ก็มีความฉลาดในด้านการให้ข้อมูลใน keywords ที่ชัดเจนและให้ภาพที่ตรงใจกับงานได้อย่างดี
นานาสาระน่ารู้


