หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เปิดประสบการณ์เรียนรู้ธุรกิจยั่งยืนในลาวใต้! ร่วมดูงานจริงในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เห็นโอกาส ขยายการลงทุน พร้อม Best Practices ระดับภูมิภาค
🌿 หลักสูตรศึกษาดูงาน “ความสำเร็จของธุรกิจอย่างยั่งยืนและโอกาสการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษลาวใต้” (BSO) Study Visit on Sustainable Business Success and Investment Opportunities in the Special Economic Zone of Southern Laos: BSO 🎯 จุดเด่นของหลักสูตร เรียนรู้แนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงพื้นที่จริง ณ สปป.ลาว และจังหวัดอุบลราชธานี เจาะลึกโอกาสการลงทุน และกลยุทธ์ธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษ พบผู้ประกอบการตัวจริง ทั้งด้านอุตสาหกรรมเกษตร พลังงาน และโลจิสติกส์ เสริมวิสัยทัศน์ใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และภาคราชการ 🗓️ กำหนดการอบรม ระยะเวลา: 5 วันทำการ 📍 วันที่ 20, 26–29 สิงหาคม 2568 🧭 สถานที่อบรมและศึกษาดูงาน - โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ - เยี่ยมชมและศึกษาดูงาน ณ สปป.ลาว และ จ.อุบลราชธานี - โรงแรม ทอแสง โขงเจียม จ. อุบลราชธานี สถานที่ศึกษา: โรงไฟฟ้าลอยน้ำ, โรงงานกาแฟดาวเรือง, AGRO VEGE FARM, และโรงงานแปรรูปอาหาร 💼 เหมาะสำหรับ ผู้บริหารธุรกิจ นักลงทุน ผู้กำหนดนโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐ นักพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ ผู้ที่สนใจขยายกิจการสู่ต่างประเทศ 💰 ค่าลงทะเบียน 44,940 บาท (รวมภาษีแล้ว สำหรับบุคคลธรรมดา) 42,000 บาท (สำหรับหน่วยงานภาครัฐหักภาษี ณ ที่จ่าย) 📌 ค่าลงทะเบียนรวมค่าเดินทางภายในประเทศ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าอบรมและดูงาน 🔗 สมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 👉 https://www.career4future.com/bso 📞 สอบถามเพิ่มเติม: โทร. 02 644 8150 ต่อ 81901, 065-645-9198 (คุณปนาพัชร์)
ปฏิทินกิจกรรม
 
‘สืบค้นข้อมูล สร้างเอกสารราชการ ถอดเทปภาษาไทย’ ง่าย ๆ ด้วย ‘Pathumma LLM’
  Pathumma LLM (ปทุมมา แอลแอลเอ็ม) คือ Large Language Model (LLM) สัญชาติไทย ที่ผ่านการฝึกฝนจากข้อมูลภาษาไทยจำนวนมหาศาล เพื่อให้มีความสามารถเฉพาะทางโดยเฉพาะทักษะด้านภาษาและการสื่อสารแบบมนุษย์ ผู้วิจัยตั้งเป้าหมายการพัฒนาว่าจะทำให้ Pathumma LLM เป็น AI ที่เชี่ยวชาญทั้งภาษา ข้อมูล และบริบทประเทศไทย ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบบริการ AI ของประเทศไทยในอนาคต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะทำงานจาก AI Engineer ซีซัน 4 เดินหน้าพัฒนา Pathumma LLM ต่อเนื่องหลังเปิดให้สาธารณะทดลองใช้เวอร์ชัน 1.0.0 ในรูปแบบ Generative AI หรือเอไอแบบรู้สร้าง เมื่อช่วงปลายปี 2567 และได้เปิดตัวเทคโนโลยีเด่นอีก 3 เทคโนโลยีที่จะช่วยลดเวลาการทำงาน ‘สืบค้นข้อมูล สร้างเอกสารราชการ และถอดเทป’ ให้เหลือหลักวินาที เพื่อให้คนทำงานได้ใช้เวลาคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 (NAC 2025) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26-28 มีนาคมที่ผ่านมา   เปิดตัวแล้ว 3 เทคฯ​ AI เด่น สลัดทิ้งความน่าเบื่อในการทำงาน [caption id="attachment_67515" align="aligncenter" width="750"] ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัยกลุ่มนวัตกรรมการผลิตยั่งยืน สวทช.[/caption]   ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัยกลุ่มนวัตกรรมการผลิตยั่งยืน สวทช. เล่าว่า เทคโนโลยีแรก คือ DocChat (ด็อกแชต) ระบบสืบค้นและตอบคำถามข้อมูลจากข้อความ เว็บไซต์ (ใส่ URL) และไฟล์ข้อความ (อัปโหลดไฟล์ PDF) เหมาะกับงานสืบค้นข้อมูลจากแหล่งที่มีอยู่ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีข้อมูลปริมาณมาก เช่น รัฐสภา หน่วยงานวิจัย เมื่อผู้ใช้งานนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ AI จะสรุปภาพรวมของข้อมูล พร้อมตั้งตัวอย่างคำถามที่ผู้ใช้งานอาจสนใจเกี่ยวกับข้อมูลชุดนั้นให้โดยอัตโนมัติภายในเวลาหลักวินาที ผู้ใช้งานสามารถคลิกเพื่อเลือกถามคำถามนั้น ๆ หรือตั้งคำถามอื่น ๆ เพื่อให้ AI ช่วยสืบค้นข้อมูลและตอบคำถามอ้างอิงจากข้อมูลนั้น ๆ ได้ จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือแม้คำที่ใช้ในการสืบค้นจะไม่ตรงกับคำที่มีอยู่ภายในเอกสาร AI ก็สามารถทำความเข้าใจและค้นหาคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันให้แทนได้ ทำให้การสืบค้นข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว ผู้ที่สนใจทดลองใช้งานได้ที่ https://docchat.abdul.in.th/     “เทคโนโลยีที่สอง DocGen (ด็อกเจน) คือ ระบบช่วยสร้างเอกสารตามรูปแบบขององค์กร เหมาะกับการช่วยร่างเอกสารที่มีรูปแบบชัดเจน และต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงนาน เช่น TOR (Terms of Reference) หรือขอบเขตของโครงการ, รายงานการประชุม การใช้งานทำได้ง่ายเพียงผู้ใช้งานใส่ข้อมูลตั้งต้นและประเภทของเอกสารที่ต้องการให้ AI ช่วยร่าง AI จะร่างเอกสารให้ทันทีภายในเวลาหลักวินาที โดยผู้ใช้สามารถแก้ไข ปรับปรุง และดาวน์โหลดเป็นไฟล์เอกสารได้ ผู้ที่สนใจทดลองใช้งานได้ที่ https://docgen.abdul.in.th/     นอกจากงานประเภทสืบค้นข้อมูลและร่างเอกสารที่ต้องใช้เวลาและพลังในการทำงานสูงแล้ว อีกหนึ่งงานที่ใช้เวลาทำงานมาก จนหลายคนเลือกใช้เงินแก้ปัญหา คือ การถอดเทปหรือการถอดข้อความจากไฟล์เสียงหรือวิดีโอ ซึ่งโดยปกติเทปความยาวประมาณ​ 1 ชั่วโมง จะใช้เวลาในการถอดนาน 3-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของผู้ถอดเทป ดร.ศราวุธ เล่าต่อว่า เทคโนโลยีเด่นสุดท้ายที่เปิดตัวในคราวนี้ คือ PartiiNote เว็บแอปพลิเคชันสำหรับถอดเทปที่ถอดได้ 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และจีน นอกจากนี้ยังแปลจากภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาไทยได้ด้วย (กรณีภาษาจีน สามารถเลือกแปลเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วแปลเป็นภาษาไทยต่อได้) PartiiNote รองรับทั้งการถอดเทปจากไฟล์ MP3, MP4, WAV และ MPEG4 ขนาดไฟล์ไม่เกิน 200 MB และคลิปวิดีโอจาก YouTube ความยาวสูงสุด 1 ชั่วโมง ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาในการถอดหลักวินาที โดยหากเสียงมีความชัดเจน ความแม่นยำในการถอดเทปจะมากกว่าร้อยละ 95 (กรณีมีผู้ใช้บริการ ณ​ ขณะนั้นมากอาจใช้เวลาในการประมวลผลมากขึ้น เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร) ผู้ที่สนใจทดลองใช้งานได้ที่ https://note.abdul.in.th/      ‘Pathumma LLM’ เตรียมฉลาดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ดร.ศราวุธ เล่าว่า ปัจจุบัน Pathumma LLM เรียนรู้ข้อมูลภาษาไทยแล้วมากกว่าสองหมื่นล้านโทเคน ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ Generative AI ระดับโลกที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน เช่น GPT-4 ซึ่งเรียนรู้ข้อมูลแล้วมากกว่าหลายล้านล้านโทเคน อย่างไรก็ตามทีมวิจัยกำลังดำเนินงานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนไทยในการพัฒนา foundation model หรือโมเดลพื้นฐานสำหรับประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับปริมาณข้อมูลและพารามิเตอร์ที่ใช้ในการเทรนโมเดล โดยเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จจะสามารถนำโมเดลพื้นฐานที่พัฒนานี้มาใช้เพิ่มศักยภาพให้แก่ Pathumma LLM ได้ คาดว่าในอนาคตอันใกล้ Pathumma LLM จะได้เรียนรู้ข้อมูลภาษาไทยมากกว่าแสนล้านโทเคน หรือมากกว่าข้อมูลภาษาไทยที่ระบบ Generative AI ของชาติอื่นจะเข้าถึงการเรียนรู้ได้ ซึ่งการดำเนินงานข้างต้นนี้จะสำเร็จได้ด้วยดีหากได้รับการอนุเคราะห์เอกสารและสื่อการเรียนรู้ภาษาไทย และการสนับสนุนทุนทรัพย์ในการใช้งานระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI จากทั้งภาครัฐและเอกชนไทย     แม้ปัจจุบัน Pathumma LLM จะยังเป็นเวอร์ชัน 1.0.0 หรือยังคงอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา แต่ทีมวิจัยได้เลือกเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าทดลองใช้งานและดาวน์โหลดโมเดลไปพัฒนาต่อแล้ว โดยเป้าหมายของการเปิดให้ใช้งานเทคโนโลยี คือ การส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนไทยเข้าถึงการใช้งาน AI ในการขับเคลื่อนองค์กรได้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ดร.ศราวุธ เล่าต่อว่า การใช้งาน Pathumma LLM, DocChat, DocGen และ PartiiNote แบบส่วนบุคคลผู้ที่สนใจสามารถเข้าใช้งานในรูปเว็บแอปพลิเคชันได้ผ่านทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ตทั่วไป แต่สำหรับหน่วยงานที่สนใจนำโมเดล Pathumma LLM ไปพัฒนาต่อเพื่อใช้งานภายในองค์กรหรือพัฒนาเป็นระบบบริการของตัวเอง แต่ยังขาดความพร้อมด้านทรัพยากรในการประมวลผล เช่น GPU (Graphics Processing Unit) ประสิทธิภาพสูง อาจเลือกใช้บริการระบบ private cloud ซึ่งเป็นระบบคลาวด์ส่วนบุคคลหรือใช้งานเฉพาะภายในองค์กร จากผู้ให้บริการไทยหรือต่างประเทศเพื่อลดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และหากต้องการใช้บริการด้านการพัฒนาระบบ Generative AI ขององค์กร ติดต่อขอใช้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาได้ที่เนคเทค สวทช. ผู้ที่สนใจเทคโนโลยี Pathumma LLM, DocChat, DocGen และ PartiiNote เข้าใช้งานทั้งรูปแบบ APP, API, open model โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายได้ที่ https://aiforthai.in.th/pathumma-llm/ และติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pathumma LLM ได้ที่ sarawoot.kon@nstda.or.th บทความที่เกี่ยวข้อง : 'Pathumma LLM' โมเดลเพื่อการสร้าง Generative AI ที่เชี่ยวชาญทั้งภาษา ข้อมูล และบริบทไทย เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค และจาก Adobe Stock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
DO CODE: Drone Innovation Camp – ค่ายนวัตกรรมเขียนโปรแกรมและโดรนสำหรับเยาวชน
สร้างนวัตกรรุ่นใหม่ ผ่านเทคโนโลยี โค้ดดิ้ง และโดรน! สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.3–ม.6) เข้าร่วมค่าย “DO CODE: Drone Innovation Camp” เรียนรู้การเขียนโปรแกรมภาษา Python และ C++ พร้อมฝึกใช้เทคโนโลยีโดรน ควบคู่กับบอร์ดอัจฉริยะและแนวคิด AI ผ่านกิจกรรม Workshop แบบลงมือทำจริง . 🔧 กิจกรรมที่น้องๆ จะได้เรียนรู้: •เขียนโปรแกรม Python / C++ •ฝึกใช้เทคโนโลยีและบอร์ดควบคุม •สร้างสื่อประดิษฐ์อัจฉริยะ •Pitch Idea: นำเสนอไอเดียด้านนวัตกรรม •Workshop แบบ Teamwork และบูรณาการ STEM อย่างเข้มข้น . 📅 วันที่จัดกิจกรรม: 2–4 พฤษภาคม 2568 (พักค้างคืน) 📍 สถานที่จัด: บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. จ.ปทุมธานี 💰 ค่าลงทะเบียน: 7,900 บาท/คน (รวม VAT, อาหาร, ที่พัก และ Workshop Lab) 📌 หมายเหตุ  - ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับเกียรติบัตร - ขอสงวนคืนเงินทุกกรณียกเว้นกรณีที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมได้ . 📝 รับสมัครถึง: 23 เมษายน 2568 📣 ประกาศรายชื่อ : วันที่ 24 เมษายน 2568 (ทาง facebook บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ) 🧑‍🎓 คุณสมบัติผู้สมัคร: •นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.3–ม.6) •สนใจ Coding / โดรน / เทคโนโลยี / AI •มีพื้นฐานเขียนโปรแกรมเบื้องต้น หรือมีความสนใจเรียนรู้จริงจัง ✨✍️link สมัคร https://forms.gle/en42JucXDaxF2Qv27  หรือ Scan QR Code ที่อยู่บนโปสเตอร์ได้เลย . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  📞 02 564 7000 ต่อ 77226 (ปรมาภรณ์), 77224 (ดร.อภิรัตน์)  📧 E-Mail : poramaporn@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
รับสมัคร โครงการ TAIST ประจำปีการศึกษา 2568
Thailand Advanced Institute of Science and Technology and Tokyo Institute of Technology (TAIST-Science Tokyo) ตามที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  (สวทช.)  ร่วมกับ Institute of Science Tokyo (Science Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้ “โครงการ TAIST-Science Tokyo” ซึ่งได้เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 เป็นต้นมา สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงตามความต้องการของประเทศ ประกอบด้วย 3 หลักสูตร ดังนี้ (more…)
ปฏิทินกิจกรรม
 
Announcement of TAIST-Science Tokyo on List of Applicants who Passed the 1st Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Science Tokyo Scholarship, Academic Year 2025, 1st Round
EN-Announcement List of Applicants who Passed the 1st Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Science Tokyo Scholarship TH-Announcement List of Applicants who Passed the 1st Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Science Tokyo Scholarship 
ปฏิทินกิจกรรม
 
อบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสรรค์และพัฒนาเกมด้วยภาษา Python” สำหรับเยาวชน
บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. ขอเชิญน้องๆ อายุ 10–13 ปี เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสรรค์และพัฒนาเกมด้วยภาษา Python” กิจกรรมสนุกที่จะพาน้องๆ เรียนรู้พื้นฐานการเขียนโปรแกรม การออกแบบเกม สร้างตัวละคร ไปจนถึงการควบคุมเกมด้วย AI ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อน พร้อมรับใบ Certificate เมื่อจบกิจกรรม! โอกาสเดียวห้ามพลาด!!!! เตรียมตัวให้พร้อม ชวนน้องมาตะลุยสร้างเกมเฉพาะตัว กับวิทยากรระดับแนวหน้าของประเทศ รับ Certificate เก็บสะสมเข้า Portfolio สมัครได้ที่ :  https://forms.gle/gsE8xXfHu7JLVFEK9 ทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็ก ๆ ในยุคเทคโนโลยีคือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ปูพื้นฐานการเขียนโปรแกรม และเรียนรู้ทักษะการสร้างเกมโดยใช้ภาษา Python ทีละขั้นตอนและได้ลงมือทำจริง ฝึกทักษะการออกแบบเกมที่ชอบ ตั้งแต่การสร้างตัวละคร ฉาก การควบคุม ไปจนถึงการพัฒนา AI เบี้องต้นในเกม ต่อยอดสร้างโปรเจคเกมสนุก ๆ หรือสร้างเป็นโครงงานเกมได้ในอนาคต กิจกรรมปิดเทอมสำหรับน้องๆ อายุ 10-13 ปี ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานการเขียนโปรแกรม python (แต่ต้องมีพื้นฐานการใช้งานคอมพิวเตอร์ และสามารถนำคอมพิวเตอร์มาเอง) คุณสมบัติคอมพิวเตอร์อยู่ในช่องทางการสมัคร https://forms.gle/gsE8xXfHu7JLVFEK9 วิทยากร : รศ.ยืน ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ระดับแนวหน้าของประเทศไทย วันจัดกิจกรรม : วันที่ 6-8 พฤษภาคม 2568 รับสมัคร : วันนี้ - 20 เมษายน 2568 ประกาศรายชื่อ : 21 เมษายน 2568 (ทาง facebook บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร) สถานที่จัดกิจกรรม : ณ ห้องบรรยาย2 บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี ค่าลงทะเบียน 4,990 บาท/คน (รวม vat 7%) กิจกรรมรูปแบบ ไป-กลับ 3 วัน (รวมอาหารว่าง อาหารกลางวัน ไม่รวมค่าที่พัก) สิ่งที่ผู้เข้าร่วมจะได้รับ : ประกาศนียบัตร / เสื้อค่าย / อาหารกลางวัน 3 มื้อ/อาหารว่าง 6 มื้อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โทร 02 529 7100 ต่อ 77226 Email: poramaporn@nstda.or.th (ปรมาภรณ์)
ปฏิทินกิจกรรม
 
ถอดรหัสอนาคต AI ประเทศไทย: “แผนคม-คนพร้อม-ทีมเวิร์คแกร่ง” ถึงจะรอดในสนามแข่งโลก
เวทีสัมมนา "Decoding Thailand’s AI Future Strategy for Competitive Edge " โดย สวทช. ร่วมกับ Techsauce ในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 (NAC2025) เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเดตเทรนด์ AI ทั่วไป แต่เปรียบเสมือนการ "เปิดอกคุย" ครั้งสำคัญของผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และภาคธุรกิจชั้นนำ ถึงทิศทางอนาคต AI ของไทย ท่ามกลางคำถามใหญ่ว่า แผน AI แห่งชาติที่วางไว้ก่อนยุค ChatGPT จะไปต่ออย่างไร และไทยจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันยุคใหม่ที่ AI เขย่าทุกวงการได้อย่างไร … โจทย์ท้าทาย AI ไทย ในวันที่ GenAI เปลี่ยนโลก ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. เปิดประเด็นโดยย้ำว่า สวทช. ได้ริเริ่มขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ แผน AI แห่งชาติ มาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งวางรากฐานไว้ก่อนยุค Generative AI จะเฟื่องฟู แต่การมาถึงของเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT ได้พลิกเกม ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งการปรับแผน AI ชาติให้ทันโลก การรับมือภาวะขาดแคลนบุคลากรทักษะสูง การหาจุดสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและการกำกับดูแล รวมถึงโจทย์ใหญ่เรื่องสร้างหรือซื้อเทคโนโลยี เมื่อการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบระยะยาว ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ดร.ชัย ชี้ว่า บทบาทของ สวทช. ไม่ได้มอง AI ในมิติของ GenAI เท่านั้น แต่ครอบคลุมการวิจัยและประยุกต์ใช้ AI ในหลากหลายสาขาตามความเชี่ยวชาญของ 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติภายใต้ สวทช. ทั้งไบโอเทค, เอ็มเทค, นาโนเทค เอ็นเทค และเนคเทค โดย สวทช. มุ่งเน้นเป็นตัวกลางสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านงานวิจัยและทรัพยากร ส่งเสริมการเปิดเผยเทคโนโลยี (Open Technology) ให้มากขึ้น สนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างคลังข้อมูล  (Data Bank) เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนนำไปต่อยอด ท้าทายแนวคิดเดิม แผน AI ให้ตั้งต้น "โจทย์จริง" ต่อยอดเสริมจุดแข็งประเทศ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอแนะว่า แผน AI ไทยควรเปลี่ยนจากการมุ่งสร้างปัจจัยพื้นฐาน (Supply-side) ไปสู่การตั้งต้นจาก "โจทย์จริง" หรือปัญหาเร่งด่วนของประเทศ (Demand-side) เช่น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว สังคมสูงวัย และคุณภาพการศึกษา โดยเน้นการนำ AI ที่มีอยู่และราคาเข้าถึงได้มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ยกระดับทักษะ และต่อยอดจุดแข็งของประเทศ เช่น การแพทย์ การเกษตร และการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาในสิ่งที่จำเป็นและไม่มีใครทำแทนได้ การพัฒนา LLM ภาษาไทยที่มีคุณภาพ การสร้างคลังข้อมูล (Corpus) ภาษาไทย การทำให้ AI เข้าใจบริบทความเป็นไทย เป็นต้น ภาคธุรกิจกับ AI: ทำอย่างไรให้เกิด ‘Business Impact’ อย่างแท้จริง เปิดอินไซต์จาก Bluebik & AIS หลายองค์กรกระโดดเข้าสู่การใช้งาน AI แต่กลับไม่เห็น Business Impact อย่างที่คาดหวัง ดร.พชร อารยะการกุล ซีอีโอ บลูบิค กรุ๊ป เผยอินไซต์จากประสบการณ์ตรง 3 อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ AI ยังไม่เวิร์กเต็มที่ ประเด็นแรก ดร.พชร เปรียบ AI เป็น 'สมอง' การลงทุนด้าน AI โดยไม่พัฒนาองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ ควบคู่เหมือนคาดหวังให้สมองทำงานโดยไม่มีแขนขา ดังนั้น การลงทุนใช้ AI ระบบนิเวศเทคโนโลยีโดยรวมต้องพร้อม ทั้งแอปพลิเคชัน  โครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพของข้อมูล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น ประเด็นต่อมา คือ การขาด Process ที่ใช่ ด้วยการนำ AI มาปรับใช้ในองค์กรจำเป็นต้องปรับกระบวนการทำงาน และออกแบบกระบวนการดูแล AI ให้เหมาะสม เพื่อให้โมเดล AI ยังคงประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์องค์กร และท้ายสุด 'คน' ยังเป็นคีย์แมน แม้ AI เก่งขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพึ่งพาทักษะและการกำกับดูแลโดยมนุษย์ (Human Oversight) นอกจากนี้ ดร.พชร ยังเน้นย้ำถึงการจัดลำดับความสำคัญของ Use Case ที่จะใช้งาน AI ให้สอดคล้องกับความคุ้มค่าในการลงทุน โดยผู้นำขององค์กรในทุกระดับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้งาน AI ในองค์กรให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง ด้าน AIS โดย คุณวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ Head of Nationwide Operations and Support Business Unit ได้แชร์ Blueprint for Success ของการทำ AI Transformation ในสเกลใหญ่ จากวิสัยทัศน์ของ AIS 'Cognitive Tech-co' สู่การสร้าง Autonomous Network ที่ไม่ได้ทำแค่ตั้งไข่ แต่ทำอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล มีการประเมิน ตั้งเป้า พัฒนา และวัดผลชัดเจน ที่สำคัญคือการทำ Talent Transformation ควบคู่กันไป เพื่อลดความกังวลและสร้างสกิลใหม่ให้พนักงาน จนเกิดเป็น Use Case ที่สร้างมูลค่าทางธุรกิจได้จริง ตั้งแต่ Predictive Maintenance, Self-Optimizing Network, การจัดการพลังงานอัจฉริยะ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการนำ AI มาสร้าง Impact ทางธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม Future of Work: เมื่อ AI เขย่าตลาดงาน สกิลไหนคือทางรอด? ผลกระทบต่อคนและแรงงานจาก AI เป็นอีกประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Vialink มองว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุค AGI หรือ AI ที่เก่งเทียบเท่ามนุษย์ได้เร็วกว่าที่คิด ซึ่งจะปฏิวัติโลกการทำงานในฐานะ “ทุนทางปัญญา” (Capital Intelligence) และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถาม คือ ไทยจะทำอย่างไรให้ AI เข้ามา 'ส่งเสริม' มากกว่า 'ทดแทน' คน คำตอบอยู่ที่การพัฒนาทักษะใหม่ที่ AI ทำแทนไม่ได้ หรือ 'Y-Shaped Skills'  ที่ผสมผสานความเข้าใจ AI (AI Literacy) เข้ากับ ทักษะซอฟต์สกิล เช่น การคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การจัดการคน และ ทักษะทางอารมณ์และสังคม ซึ่ง AI ยังทำแทนไม่ได้ ข้อเสนอสำหรับประเทศไทยจึงเน้นไปที่ การลงทุนในมนุษย์แบบนอกกรอบ พัฒนาคนให้กว้างกว่าแค่การศึกษาแบบเดิม โดยเน้นปัจจัยพื้นฐานอื่นที่สำคัญ เช่น สุขภาพ โอกาสทางสังคม เพื่อสร้างคนให้เก่งและพร้อมปรับตัวทันยุค AI รวมถึงการทำให้ตลาดแรงงานยืดหยุ่น เอื้อต่อการปรับตัวและเรียนรู้ตลอดชีวิต มุมมองนี้สอดคล้องกับวงเสวนา " AI & Workforce 4.0: Shaping the Talent of the Future" ที่ผู้ร่วมเสวนาอย่าง ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ดร.พิณนรี ธีร์มกร สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณภาพเพรง เลี้ยงสุข จาก เทคซอส มีเดีย  ตอกย้ำความจำเป็นในการพัฒนาทักษะ AI ที่ไม่ใช่แค่เชิงเทคนิค แต่ต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจได้จริง ผ่านความร่วมมือภาครัฐและเอกชน การสร้างแรงจูงใจ และนโยบายที่สนับสนุนการเรียนรู้ เช่น การลดหย่อนภาษี พร้อมเสนอให้มีกฎระเบียบที่ชัดเจน เน้นกำกับการนำไปใช้ที่อาจสร้างความเสียหาย แทนที่จะควบคุมตัวเทคโนโลยี พลัง Co-Creation และ Partnership:  เมื่อ AI ซับซ้อนเกินทำคนเดียว เมื่อโจทย์ AI มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว การลุยเดี่ยวอาจไม่ใช่คำตอบ วงเสวนา "The Power of Co-Creation" ที่มีตัวแทนผู้บริหารจากองค์กรเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล - KBTG , ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ - AI9 และ คุณณัฐพล ไกรสิงขร - Amity Solutions ได้ฉายภาพความสำคัญของการมีพันธมิตรตลอด Supply Chain ตั้งแต่การวิจัย พัฒนา ไปจนถึงการนำไปใช้จริงในธุรกิจ กุญแจสู่ความสำเร็จ คือ การตั้งเป้าหมายร่วมกัน การสร้างความไว้วางใจ ความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย และการสื่อสารที่ชัดเจน ความร่วมมือนี้เป็นปัจจัยสำคัญต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยภาคเอกชนพร้อมร่วมมือกับภาครัฐเพื่อนำโจทย์จากอุตสาหกรรมมาพัฒนาร่วมกัน และเสนอให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร (Talent Development) ให้ตรงตามความต้องการของตลาด AI ไม่ใช่แค่ทฤษฎี: ส่องงานวิจัยจริงจาก สวทช. นอกเหนือจากมุมมองเชิงนโยบายและธุรกิจ งานสัมมนาครั้งนี้ยังได้นำเสนอตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ที่เป็นรูปธรรมจากผลงานวิจัยของศูนย์แห่งชาติภายใต้ สวทช. สะท้อนให้เห็นศักยภาพของ AI ในหลากหลายมิติ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ จาก เอ็มเทค สวทช. นำเสนอการผสานเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ การออกแบบ และ AI สร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาสังคมสูงวัย ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิต เช่น วัสดุทดแทน 'Gunther IMU' อุปกรณ์ตรวจจับการล้มที่เรียนรู้การเคลื่อนไหวและแจ้งเตือนได้ทันที และ AI ช่วยทันตแพทย์วินิจฉัยโรคในช่องปากจากภาพถ่ายได้แม่นยำขึ้น ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา จาก ไบโอเทค สวทช. แสดงให้เห็นพลังของ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรม (Genomics) โครงการ Genomics Thailand ความสำเร็จในการวินิจฉัยโรคหายากอย่าง qmrs-dee แสดงให้เห็นศักยภาพในการนำไปสู่การป้องกันและรักษาที่ตรงจุดยิ่งขึ้นสำหรับคนไทย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. โชว์พลัง Traffy Fondue แพลตฟอร์มรับแจ้งปัญหาเมืองผ่าน LINE ที่มี AI เป็นแกนหลักในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจข้อความ/ภาพจากประชาชนนับล้านเรื่อง ช่วยสรุปประเด็นปัญหา เสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาให้หน่วยงานรัฐตอบสนองได้เร็วขึ้นกว่า 100 เท่า เปลี่ยนเสียงเล็กๆ สู่การพัฒนาเมือง ดร.จันทร์เพ็ญ ครุวรรณ์ จาก นาโนเทค สวทช. สาธิตการใช้ AI ขับเคลื่อนนาโนเซนเซอร์ ในการพัฒนาเครื่องตรวจวัดไมโครพลาสติกอัจฉริยะ ที่จำแนกชนิดพลาสติกจากสีเรืองแสงได้อย่างแม่นยำ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล จาก เอ็นเทค สวทช. อธิบายบทบาทสำคัญของ AI รับมือความท้าทายด้าน Energy Transition โดยใช้ AI พยากรณ์การผลิตพลังงานหมุนเวียนให้แม่นยำขึ้น ช่วยบริหารจัดการ Grid ไฟฟ้าอัจฉริยะ และทำ Predictive Maintenance ให้อุปกรณ์สำคัญ เช่น แบตเตอรี่ หรืออุปกรณ์สายส่ง เพื่อสร้างความมั่นคงให้ระบบพลังงานสะอาดในอนาคต ไกลกว่าที่คิด! AI ไทยติดปีก 'ดาวเทียม' ทะยานสู่อวกาศ คุณสุปิติ บูรณวัฒนาโชค จาก EOS Orbit และ Looloo Technology ฉายภาพอนาคตที่ AI ไทยกำลังทะยานสู่อวกาศ ผ่านดาวเทียมจิ๋วแต่แจ๋วอย่าง "LOGSATS" (CubeSat) ที่พัฒนาโดยคนไทย AI เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ช่วยดูแลสถานีภาคพื้นดินอัจฉริยะ ไปจนถึงการเป็น "สมองกลบนดาวเทียม" (Edge Computing) ช่วยประมวลผลข้อมูล ณ วงโคจร ลดภาระการส่งข้อมูลมหาศาลกลับโลก นี่คืออีกหมุดหมายสำคัญของศักยภาพเทคโนโลยีไทย การถอดรหัสอนาคต AI ไทย ในสัมมนา Decoding Thailand’s AI Future: Strategy for Competitive Edge เวที NAC2025  ชี้ชัดว่า สูตรสำเร็จของ AI ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีอย่างเดียว แต่อยู่ที่ "แผน" ยุทธศาสตร์ซึ่งต้องคมชัด มุ่งแก้ปัญหาจริงของประเทศ, "คน" ที่ต้องมีทักษะพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง และ "ทีมเวิร์ค" ที่แข็งแกร่งไร้รอยต่อระหว่างภาครัฐ เอกชน เมื่อรหัสสู่ความสำเร็จถูกถอดแล้ว ขั้นต่อไปที่สำคัญยิ่งกว่าคือการ "ลงมือทำ" อย่างจริงจังและผนึกกำลังกัน เพื่อให้ AI กลายเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวทันและแข่งขันได้บนเวทีโลก สวทช. พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนภารกิจนี้   ชมคลิปสัมมนาย้อนหลังได้ที่ https://www.nstda.or.th/nac/2025/seminar/nac-01/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
JAXA ประกาศเลือก 2 การทดลองเยาวชนไทย เตรียมทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ประกาศผลการจัดแข่งขันโครงการ “Asian Try Zero-G 2025” โดย JAXA เลือกแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทย จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ การทดลองเรื่อง “การศึกษาการสั่นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของสปริงและเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Studying the behavior of simple harmonic motion in the spring and rope in microgravity conditions)” เสนอโดย นายธนกฤต โพธิปักขิย์ (เจ๋ง) นายยศพนธ์ สุขสว่าง (นะโม) และนายกฤติน เกตานนท์ (ซีซ่าร์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา และการทดลองที่ 2 เรื่อง “การศึกษาพฤติกรรมของสะพานของเหลวภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Dynamics of liquid bridge in microgravity)” เสนอโดย นายพิพัฒน์พล สิริโพธิกุล (พี) นายชนกันต์ เฉยสอาด (นภ) และนายณัฐดนัย​ พึ่ง​แสงจันทร์​ (โพธิ์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว แนวคิดทั้ง 2 เรื่องนี้ นายคิมิยะ ยูอิ (Kimiya Yui) นักบินอวกาศญี่ปุ่น จะนำไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในช่วงต้นปี 2569 [caption id="attachment_57519" align="aligncenter" width="640"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ได้ร่วมกับ JAXA ดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G 2025 ชวนเยาวชนไทยให้ส่งแนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำร่วมกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย โดยเปิดรับสมัครไอเดียการทดลองทางฟิสิกส์อย่างง่าย โดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งในประเทศไทยปีนี้มีผู้ส่งใบสมัครจำนวน 232 เรื่อง ประกอบด้วยเยาวชนจำนวน 464 คน ถือเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “คณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วยนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. ได้คัดเลือกแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทยจำนวน 3 เรื่อง ส่งเข้าแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย JAXA ได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 14 ชาติ รวมจำนวน 11 เรื่อง ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นการทดลองของเยาวชนไทย 2 เรื่อง เพื่อนำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยนายคิมิยะ ยูอิ นักบินอวกาศญี่ปุ่น ในห้องทดลองโมดูลคิโบ (Kibo Module) ของ JAXA สำหรับการทดลองเรื่องอื่น ๆ เป็นของเยาวชนออสเตรเลีย บังคลาเทศ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไต้หวัน” [caption id="attachment_67532" align="aligncenter" width="1009"] (จากซ้ายไปขวา) นายธนกฤต โพธิปักขิย์ (เจ๋ง) นายยศพนธ์ สุขสว่าง (นะโม) นายกฤติน เกตานนท์ (ซีซ่าร์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา[/caption] [caption id="attachment_67533" align="aligncenter" width="640"] การทดลองเรื่อง Studying the behavior of Simple Harmonic Motion in the spring and rope in microgravity conditions (การศึกษาการสั่นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของสปริงและเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ)[/caption] ดร.จุฬารัตน์ กล่าวว่า “สำหรับแนวคิดการทดลองทั้ง 2 เรื่อง ที่ได้รับการคัดเลือกประกอบด้วย ไอเดียการทดลองแรกของ นายธนกฤต โพธิปักขิย์ (เจ๋ง) นายยศพนธ์ สุขสว่าง (นะโม) และนายกฤติน เกตานนท์ (ซีซ่าร์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา เรื่องการศึกษาการสั่นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของสปริงและเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Studying the behavior of simple harmonic motion in the spring and rope in microgravity conditions) แนวคิดการทดลองเป็นการศึกษารูปแบบของคลื่นในเส้นเชือกในแต่ละชนิดผ่านการสั่นของมวลที่ติดกับสปริงแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย โดยมีเส้นเชือกประเภทต่าง ๆ ติดกับมวลแบบตั้งฉาก อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลกส่งผลต่อมวลของเชือกและมวลที่ติดกับสปริง ทำให้การสังเกตผลการทดลองเป็นไปด้วยความยากลำบาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดข้อสงสัยว่า หากนำการทดลองดังกล่าวไปทดลองภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เส้นเชือกทั้ง 3 ชนิดจะมีการเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร [caption id="attachment_67534" align="aligncenter" width="640"] (จากซ้ายไปขวา) นายพิพัฒน์พล สิริโพธิกุล (พี) นายชนกันต์ เฉยสอาด (นภ) นายณัฐดนัย พึ่งแสงจันทร์ (โพธิ์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว[/caption] [caption id="attachment_67535" align="aligncenter" width="640"] การทดลองเรื่อง Dynamics of liquid bridge in microgravity (การศึกษาพฤติกรรมของสะพานของเหลวภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ)[/caption] “ไอเดียการทดลองที่ 2 ของนายพิพัฒน์พล สิริโพธิกุล (พี) นายชนกันต์ เฉยสอาด (นภ) และนายณัฐดนัย​ พึ่ง​แสงจันทร์​ (โพธิ์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว เรื่องการศึกษาพฤติกรรมของสะพานของเหลวภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Dynamics of liquid bridge in microgravity) เป็นการศึกษาความสูง มุมสัมผัส และรูปทรงของน้ำที่อยู่ระหว่างวัตถุ 2 ด้าน โดยการเอาวัตถุที่หนึ่งมาวางเป็นฐานและหยดน้ำลงไปบนวัตถุ จากนั้นนำวัตถุที่สองมาชนกับหยดน้ำและดึงขึ้น น้ำที่ถูกดึงขึ้นมาเรียกว่า สะพานของเหลว (liquid bridge) โดยวัตถุสองชิ้นที่วัสดุเหมือนกัน แรงที่กระทำกับสะพานของเหลวจะมีแรงโน้มถ่วง แรงตึงผิว และแรงแคพิลลารี (capillary force) แต่ถ้าทำการทดลองโดยที่วัตถุสองด้านมีวัสดุต่างกันจะทำให้รูปทรงและมุมสัมผัสของสะพานของเหลวต่างออกไป ทางทีมจึงสงสัยว่าหากการทดลองนี้ไม่มีแรงโน้มถ่วงจะส่งผลกับความสูง มุมสัมผัส และรูปทรงของสะพานของเหลวอย่างไร” [caption id="attachment_45741" align="aligncenter" width="640"] บรรยากาศ Mission control room ณ ศูนย์อวกาศสึกูบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น[/caption] ทั้งนี้เยาวชนเจ้าของการทดลองจะมีโอกาสสื่อสารกับนักบินอวกาศแบบเรียลไทม์และรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากศูนย์อวกาศสึกูบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงต้นปี 2569 ตามตารางการทำงานของนักบินอวกาศ ติดตามการทดลองโครงการ Asian Try Zero-G 2025 ได้ที่เพจ NSTDA Space Education Facebook: https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
เอ็มเทค สวทช. จัดเสวนาวิชาการ “เหล็กเสริมแรงและโครงสร้างคอนกรีต: กรณีศึกษาตึกถล่มจากแผ่นดินไหว”
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ณ โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) จัดงานเสวนาเชิงวิชาการในหัวข้อ "เหล็กเสริมแรงและโครงสร้างคอนกรีต: กรณีศึกษาตึกถล่มจากแผ่นดินไหว" งานเสวนาดังกล่าวได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค เป็นประธานกล่าวเปิดงาน  ซึ่งการจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับความสำคัญของเหล็กเสริมแรงและหลักการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศจากสถาบันการศึกษา องค์กรวิชาชีพ และภาคเอกชน ร่วมเป็นวิทยากร การเสวนาแบ่งเป็น 2 ช่วงหลัก ได้แก่ "เหล็กข้ออ้อยวัสดุเสริมแรงสำคัญในโครงสร้างคอนกรีต" นำเสนอความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติ ประเภท และความสำคัญของเหล็กข้ออ้อยในงานโครงสร้างคอนกรีต รวมถึงมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพ โดยวิทยากรประกอบด้วย รศ. ดร.ฉัตรชัย สมศิริ อดีตหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานและกรรมการมาตรฐานเหล็กและอะลูมิเนียมหลายชุด, ผศ. ดร.นิธิ แสนอาจหาญ ภาควิชาวิศวกรรมโลหการ คณะวิศากรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายธีรยุทธ เลิศศิรรังสรรค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. ช่วงที่สอง "โครงสร้างคอนกรีตต้านทานแผ่นดินไหว" นำเสนอหลักการออกแบบและรายละเอียดทางวิศวกรรมสำหรับโครงสร้างคอนกรีตในพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เพื่อให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิทยากรประกอบด้วย รศ. เอนก ศิริพานิชกร กรรมการสภาวิศวกรและประธานคณะทำงานประสานงานด้านภัยพิบัติ สภาวิศวกร, ศ. ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, รศ.ดร. ณัฐพงศ์ มกระธัช นายกสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย (TCA) และรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนากิจการมหาวิทยาลัยเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, รศ.ดร. ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนายศักรินทร์ เหลืองกำจร Group Leader - Concrete Product Development บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) ดำเนินรายการโดย นาวาโท ดร.พินัย มุ่งสันติสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยมารีนโพรเทคชั่น จำกัด งานเสวนาครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนา Agro and Bio Industry Through Bio-Innovation ยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ
📢 โอกาสพิเศษสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ และผู้ประกอบการด้านเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ✨พบกับกิจกรรมสุดเข้มข้น ที่จะช่วยให้คุณ ต่อยอดธุรกิจ พัฒนานวัตกรรมไปกับกิจกรรมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน หัวข้อ “Agro and Bio Industry Through Bio-Innovation ยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมฐานชีวภาพ” 🔬 🌱 💡หัวข้อบรรยาย      ✅ ใช้สิทธิประโยชน์ภาครัฐให้คุ้มค่า กับงานวิจัยที่สร้างผลกำไร      ✅ ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม SME ไทย ด้วยกลไก ITAP      ✅ การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรสู่อุตสาหกรรมชีวภาพด้วยนวัตกรรม      ✅ เสวนาแบ่งปันมุมมอง แนวคิด และประสบการณ์ : แปลงงานวิจัยให้เป็นธุรกิจ      ✅ กิจกรรม One-on-One Consulting – รับคำปรึกษาส่วนตัวจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแก้ปัญหาธุรกิจและต่อยอดผลิตภัณฑ์   📌 พิเศษ! เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าเท่านั้น  👉  หัวข้อที่เลือกได้ 🔹 Upgrading Existing Products, 🔹 Adding new product portfolio, 🔹Turning wastes to value 📅วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.30 – 12.00 น. 📍 ณ ห้องพระวิษณุ ชั้น 3 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ maps: https://maps.app.goo.gl/ycQpwLxKX1wnkJ4v5 🔥 ลงทะเบียนฟรี  (ไม่มีค่าใช้จ่าย)  ✨โอกาสแบบนี้...ห้ามพลาด!  👉  ลงทะเบียนคลิก https://www.nstda.or.th/r/XkEcr หรือ SCAN QR CODE บน Poster  ได้เลย! 📲 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2564-7000 ต่อ 1328 – 1332 และ 1631 – 1634 งานสนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน (PSR) ฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม (IPD) สวทช.
ปฏิทินกิจกรรม
 
สัมมนา “สิทธิประโยชน์ในการเจาะตลาดดิจิทัลและยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0”
    🔊 อย่าพลาด! โอกาสครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการไทยในยุคดิจิทัล! 📣 หากคุณคือ… ✅ System Integrator (SI) ที่กำลังมองหาโอกาสต่อยอดธุรกิจกับภาครัฐและเอกชน ✅ เจ้าของโรงงาน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ที่อยากยกระดับองค์กรด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี ✅ หรือใครก็ตามที่กำลังคิดจะเริ่ม Digital Transformation อย่างจริงจัง 📍นี่คืองานสัมมนาที่คุณห้ามพลาด! 💡 “สิทธิประโยชน์ในการเจาะตลาดดิจิทัลและยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0” โดย สวทช. ร่วมกับ depa และ Software Park Thailand เชิญผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและตัวจริงในวงการ ที่จะมาเผย… ✨ สิทธิประโยชน์จาก BOI ที่ช่วยลดต้นทุนสูงสุดถึง 100% ✨ โอกาสรับคำปรึกษาฟรี 1:1 กับผู้เชี่ยวชาญ ✨ เคล็ดลับการปรับธุรกิจด้วยดิจิทัลอย่างได้ผล พร้อมโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนจาก EXIM BANK ✨ แนวโน้มการเติบโตของตลาดดิจิทัล ที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ต้องรู้ 🗓 วันที่ 25 เมษายน 2568 🕝 เวลา 13.30–16.00 น. 📍 เวทีชั้น 4  ศูนย์การค้าสยามพารากอน (โซน SCBX NEXT TECH) 🔶 ลงทะเบียนฟรี! ภายในวันที่ 17 เม.ย. 68 📲 สแกน QR Code หรือคลิก: https://forms.gle/xCFpkfA6x5QWwoQa8 หรือ สแกน QR Code บนโปสเตอร์.. 📞 สอบถามเพิ่มเติม: คุณวลัยรัตน์ หรือ คุณชนากานต์  Tel: 02 5647000 ต่อ 1368, 1381 E-mail: walairat@nstda.or.th, chanaghan@nstda.or.th      
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ร่วมมือโตโยต้า และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มอบรางวัลโครงการ “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” แก่เยาวชน-ชุมชน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) จัดพิธีมอบรางวัล ถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และรางวัลเกียรติคุณ โครงการลดเปลี่ยนโลก ปีที่ 2 ให้แก่ผู้ชนะ ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรและศูนย์ประชุมวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ความร่วมมือระหว่าง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ภายใต้ชื่อ “โครงการลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” เกิดจากการตระหนักถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์มลภาวะ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน จึงมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงให้ความสำคัญกับสถานศึกษาในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมาพัฒนาเพื่อปรับใช้ในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โครงการลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ด้วยวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนและเยาวชนไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์กิจกรรมและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยประกอบด้วย โครงการย่อย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ “ชุมชนลดเปลี่ยนโลก” และ “นวัตกรรมเยาวชนลดเปลี่ยนโลก” นายสุวิทย์ ไชยประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “โครงการลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการส่งเสริมให้เยาวชนและชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสนับสนุนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการให้ความรู้และการดำเนินกิจกรรมที่สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและขยายผลได้ในระดับประเทศ ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ เพื่อตอบสนองเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน เราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ร่วมกันคิดค้นและพัฒนาแนวทางเพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผมขอชื่นชมและขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการขยายผลและสานต่อแนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป”  รางวัลโครงการนวัตกรรมเยาวชนลดเปลี่ยนโลก รางวัลชนะเลิศ เป็นของ โรงเรียนวิทยาศาสตรตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโครงการ นวัตกรรมกังหันลมดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เสริมประสิทธิภาพด้วยเส้นใยไมซีเลียม รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 เป็นของ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นโครงการต้นไม้ประดิษฐ์สำหรับการดักจับคาร์บอน รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 เป็นของ โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นโครงการ การลดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เครื่องปรับอากาศส่งผลต่อการลดค่าไฟฟ้า             ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ในฐานะหน่วยงานที่เป็นเป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี  และนวัตกรรม ได้ให้การสนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อการประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์และพัฒนาผลงานนวัตกรรมของเยาวชนผ่านโครงการ ”นวัตกรรมเยาวชนลดเปลี่ยนโลก” ซึ่งเป็นการประกวดผลงานและแนวคิดด้านนวัตกรรมของเยาวชน ในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) มาพัฒนาเป็นต้นแบบเพื่อปรับใช้ในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (สายสามัญ) และนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา (สายอาชีวศึกษา) ซึ่งโครงการนี้ดำเนินงานหลักโดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับหน่วยงานภายใต้ สวทช. และพันธมิตร”             ผู้อำนวยการ สวทช. ชี้ว่า “นอกจากรางวัลที่ได้ ทีมที่ชนะเลิศ จะได้รับการสนับสนุนต่อยอดให้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อพัฒนานวัตกรรมการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน โดยจัดตั้งเป็นโครงการนำร่อง ณ สถานศึกษาที่ได้รับรางวัล ชี้ให้เห็นภาพของโครงการที่ไม่เพียงมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ยังปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ให้เยาวชนได้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตน และสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชนและเยาวชนให้สามารถบูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วยนาโนเทคโนโลยีที่จับต้องได้”             “ซึ่งเราในฐานะผู้สนับสนุนก็หวังให้เยาวชนทุกคนพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพและการสนับสนุนที่ถูกทิศทาง จะช่วยพัฒนาให้ก้าวขึ้นเป็นนักนวัตกรที่สามารถสร้างนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ที่จะช่วยเปลี่ยนโลก มีประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสร้างสังคมที่ยั่งยืนในอนาคตเน้นว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้เยาวชนและชุมชนสามารถพัฒนาที่ยั่งยืนได้ต่อไป” ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจกล่าว รางวัลโครงการชุมชนลดเปลี่ยนโลก รางวัลชนะเลิศ เป็นของ ชุมชนบ้านดอนยาวน้อย เทศบาลตำบลวังหิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นโครงการ ชุมชนบ้านดอนยาวน้อยร่วมใจ ช่วยแก้ไขสภาวะโลกเดือด รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 เป็นของ ชุมชนบ้านหัวทุ่ง องค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการ สามสานพลังเพื่อความยั่งยืน รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 เป็นของ ชุมชนบ้านคลองอาราง องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแก้ง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นโครงการ ชุมชนไร้ควันต้นแบบสังคมคาร์บอนต่ำบ้านคลองอาราง             ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า “โครงการชุมชนลดเปลี่ยนโลก มีชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีใจรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ความสนใจส่งใบสมัครเข้าร่วมมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านเข้ารอบนั้น ต่างก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมทั้งจากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์  ประเทศไทย จำกัด สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปพัฒนากิจกรรมในชุมชนของตนเอง โดยโครงการชุมชนลดเปลี่ยนโลก ได้มุ่งเน้นการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มการดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งการใช้พลังงานทางเลือก การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและรักษาคุณภาพแหล่งน้ำ การเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะอย่างถูกวิธี ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร ลดการเผา และการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียว โดยในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้เห็นพลังของชุมชนในการริเริ่มและดำเนินโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ความมุ่งมั่นของทุกท่านคือเครื่องยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากชุมชน”             “กระผมขอชื่นชมในความพยายามของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งที่ฝ่าฟันจนผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้าย และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันนี้ ทุกท่านคือแบบอย่างของความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ ความสำเร็จของท่านจะเป็นแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบที่ดีให้กับชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศในการก้าวเดินไปสู่สังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนต่อไป” ผู้ชนะเลิศทั้ง 2 โครงการ จะได้ไปนำเสนอผลงานแก่ผู้บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงศึกษาดูงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมต่าง ๆ จากญี่ปุ่น เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ต่อยอดผลงานของตน โดยชุมชนที่ชนะเลิศจะได้รับการส่งเสริมองค์ความรู้สำหรับการพัฒนาชุมชนของตนให้เป็นแหล่งเรียนรู้  “ชุมชนลดเปลี่ยนโลก” ในขณะที่โรงเรียนที่ชนะเลิศจะได้รับการสนับสนุนเงินทุนสร้าง “นวัตกรรมต้นแบบ” ขนาดใช้ได้จริงเพื่อนำไปสู่ชุมชนต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์