หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
Food Regulatory Clinic by Food Innopolis ปีที่ 5: โอกาสสำหรับผู้ประกอบการอาหารไทย
  สวทช. โดย เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ขอเชิญผู้ประกอบการด้านอาหาร หรือท่านที่อยู่ระหว่างการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารในประเทศไทย   Food Regulatory Clinic by Food Innopolis ปีที่ 5 คืออะไร?   เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมเพื่อรับคำปรึกษาแบบ One on One จากทีมเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ เพื่อร่วมหารือแนวทางการเตรียมตัวขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว   รายละเอียดกิจกรรมและช่องทางการรับคำปรึกษา   วัน-เวลา: วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 – 17.00 น. ระยะเวลาต่อบริษัท: 45 นาที (รับจำนวนจำกัด) การลงทะเบียน: ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ https://forms.gle/tc3sX1cPHEX1LZWSA ช่องทางการรับคำปรึกษา: ระบบประชุมออนไลน์ อีเมล โทรศัพท์   ติดต่อสอบถาม ผู้ประสานงาน คุณมารุต ใจหลัก อีเมล marut.jai@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
TAIST-Science Tokyo โชว์ศักยภาพ! นศ.ไทย บุกเวทีนวัตกรรมญี่ปุ่น ‘Ota R&D Fair’
สวทช. นำนักศึกษา TAIST-Science Tokyo ร่วมงานใหญ่ที่โตเกียว ตอกย้ำการพัฒนา 'กำลังคนแห่งอนาคต' ที่พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม ระหว่างวันที่ 30–31 ตุลาคม 2568 คณะผู้แทนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช., คุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ศ.ดร.วันชัย ดีเอกนามกูล ผู้ทรงคุณวุฒิจาก วช. นอกจากนี้ ยังมีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยภาคีในโครงการ TAIST-Science Tokyo ได้แก่ รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์, รศ.ดร.ปกรณ์ โอภาประกาศิต, รศ.ดร.ปรีชา การินทร์, ผศ.ดร.ดุสิต ธนเพทาย, และผศ.ดร.อภิชน ไวท์ยางกูร ซึ่งเป็นตัวแทนจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้เดินทางเข้าร่วมงาน The 15th Ota Research and Development Fair 2025 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น งานนี้จัดขึ้นโดย Tokyo Metropolitan Industrial Technology Research Center ร่วมกับ Ota Industrial Association เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการ ส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และหน่วยงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ จุดประกาย: นักศึกษา TAIST อวดผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ หัวใจสำคัญของการเข้าร่วมงานครั้งนี้คือการเปิดโอกาสให้นักศึกษาในโครงการ TAIST-Science Tokyo จำนวน 7 คน ได้ร่วมจัดแสดงและนำเสนอผลงานวิจัยในบูธนิทรรศการ ตลอด 2 วันเต็ม การเข้าร่วมนี้เป็นการแสดงศักยภาพของงานวิจัยที่พัฒนาภายใต้ความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น และสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นโดยตรง นักศึกษาที่ร่วมจัดแสดงผลงานและหลักสูตรที่ศึกษา ประกอบด้วย: นายณยศ ศิริสูตร และ Mr. Min Khant Zaw (หลักสูตร Advanced Interdisciplinary Technology for Energy (A2TE)) นายจักรภัทร์ โชคชัยสิริ นายกริน วิทูรกิจวานิช และนางสาวอรศศิพัชร์ เกษมราช (หลักสูตร Artificial Intelligence of Things (AIOT)) นางสาวสุกัลยา กรนุ่ม และนางสาวชัญญกัญญ์ สกุลบริสุทธิ์สุข (หลักสูตร Sustainable Energy and Resource Engineering (SERE)) ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า "การเข้าร่วมงาน Ota Fair เป็นการตอกย้ำพันธกิจของ สวทช. ในการสร้าง กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก การที่นักศึกษาได้นำความรู้ไปต่อยอดเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรม และได้รับคำแนะนำจากผู้ประกอบการญี่ปุ่นโดยตรง ถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่จะสร้างความได้เปรียบในการทำงานในอนาคต" แผนยุทธศาสตร์: เร่งยกระดับ TAIST สู่เส้นทางปริญญาเอกและอุตสาหกรรม นอกจากกิจกรรมจัดแสดงงานวิจัยแล้ว คณะผู้แทนยังได้เข้าร่วมการประชุมหารือหัวข้อ “Future Direction of TAIST–Science Tokyo to Ph.D. Pathway” เพื่อกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของโครงการในระยะถัดไป โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเส้นทางการศึกษาจากระดับปริญญาโทสู่ปริญญาเอก และการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่ ในเวทีเดียวกัน ดร.หงลดา เทอดเกียรติกุล ผู้แทนจาก สวทช. ได้บรรยายในหัวข้อ Special Research and Development Lecture: “Introduction of TAIST–Science Tokyo” เพื่อนำเสนอภาพรวมของโครงการ และแนวทางการพัฒนากำลังคนไทยสู่เวทีสากล สรุปความมุ่งมั่น: TAIST–Science Tokyo ขับเคลื่อนบุคลากรวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภารกิจการเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ สอดคล้องกับบทบาทของ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัยสู่เวทีนานาชาติ และที่สำคัญคือ ตอกย้ำภารกิจหลักของโครงการ TAIST–Science Tokyo ในการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศไทยให้มีศักยภาพ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำในระดับโลก การผนึกกำลังระหว่าง สวทช., วช., มหาวิทยาลัยภาคีไทย และ Institute of Science Tokyo จึงเป็นกลไกสำคัญในการผลิตนักวิจัยและวิศวกรทักษะสูง ที่พร้อมเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อความเข้มแข็งของประเทศอย่างแท้จริง  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กระทรวง อว. โดย สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยและอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคทั่วประเทศร่วมกันจัดงานประชุมประจำปีสมาคมอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งเอเชียครั้งที่ 28 ASPA Annual Conference 2025 อย่างยิ่งใหญ่   
 (วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568) ณ Grand Ballroom ชั้น 2 โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) รวมถึงอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคทั่วประเทศภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมประจำปีสมาคมอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งเอเชีย (ASPA Annual Conference 2025) ครั้งที่ 28 เวทีระดับนานาชาติภายใต้สมาคมอุทยานวิทยาศาสตร์เอเชีย (Asian Science Park Association, ASPA) ที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างอุทยานวิทยาศาสตร์ในเอเชีย ซึ่งมีสมาชิกจากกว่า 15 ประเทศทั่วเอเชีย โดยในปีนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมภายใต้หัวข้อ "บทบาทของอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการส่งเสริมองค์กรธุรกิจสู่เส้นทางอีเอสจี (The Role of Science and Technology Parks in Facilitating Corporates on the ESG Journey)" โอกาสนี้ได้รับเกียรติจากนางสาวพิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดงาน และได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ สก็อตแลนด์ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีนและภูฎาน ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) และการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนเพื่อผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีด้านเศรษฐกิจ สังคม และการกำกับดูแล (อีเอสจี) นางสาวพิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านที่เข้าร่วมงานการประชุมประจำปี ASPA ครั้งที่ 28 ในนามของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) และอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science Parks) ทั่วประเทศ เชื่อมั่นว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนเริ่มต้นจากระบบนิเวศนวัตกรรมที่เราสร้างขึ้นร่วมกัน ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นมากกว่าการประชุมวิชาการประจำปี เพราะเป็นการรวมตัวของพันธมิตรในแถบเอเชียและยุโรป มิตรภาพที่ไร้พรมแดน ผ่านแนวคิด "บทบาทของอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการส่งเสริมองค์กรธุรกิจสู่เส้นทางอีเอสจี" ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความร่วมมือเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโลก “ปัจจุบันอีเอสจีไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป องค์กรธุรกิจทั่วโลกกำลังเปลี่ยนจากความตั้งใจไปสู่การลงมือปฏิบัติ และอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ อุทยานฯ ได้นำวิสัยทัศน์ของภาครัฐ ความเชี่ยวชาญทางวิชาการ และนวัตกรรมของภาคเอกชนมารวมกัน เพื่อเปลี่ยนแนวคิดที่ยั่งยืนให้กลายเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงและสามารถขยายขนาดได้ ทั้งนี้ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้จัดตั้งเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยแต่ละแห่งได้รับการกำหนดรูปแบบตามจุดแข็งของท้องถิ่น แต่รวมเป็นหนึ่งภายใต้ภารกิจเดียวกัน คือ การขยายการเข้าถึงงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการเติบโตทางธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน” นางสาวพิมพ์พร กล่าว สำหรับอุทยานวิทยาศาสตร์ของกระทรวง อว. มี บทบาทสำคัญ 5 ประการ: ประการแรก เป็นตัวเร่งปฏิกิริยานวัตกรรม เปลี่ยนความท้าทายในท้องถิ่นให้กลายเป็นแนวทางแก้ไข ประการที่สอง เป็นผู้สร้างระบบนิเวศ เชื่อมโยงชุมชนระดับภูมิภาคเข้ากับเครือข่ายระดับประเทศ ประการที่สาม เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และนักลงทุน ประการที่สี่ เป็นกลไกหลักในการพัฒนาศักยภาพ บ่มเพาะผู้ประกอบการธุรกิจสีเขียวในรุ่นถัดไป และ ประการสุดท้าย เป็นประตูสู่ตลาดต่างประเทศผ่านกลไกการสนับสนุนจากอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และโอกาสในการร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนากับบริษัทเอกชนในอุทยานฯ กว่า 120 บริษัท ซึ่ง 40% เป็นบริษัทข้ามชาติ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้โมเดลของประเทศไทยมีเอกลักษณ์คือ การเชื่อมโยงของเครือข่าย ความก้าวหน้าในภูมิภาคหนึ่งสามารถเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านวัตกรรมไม่ได้เป็นของเมืองใดเมืองหนึ่ง แต่เป็นของทุกชุมชน ดังนั้นการขับเคลื่อนธุรกิจนวัตกรรมผ่านกลไกการสนับสนุนทั้งจากอุทยานวิทยาศาสตร์ไทยและอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เป็นกำลังหลักในการกำหนดรูปแบบระบบนิเวศนวัตกรรมที่มีพลวัตมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การรวมตัวกันภายใต้ ASPA 2025 นี้ มีทั้งโอกาสและความรับผิดชอบในการเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านอีเอสจีขององค์กรธุรกิจ กระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระดับภูมิภาค และแสดงให้เห็นว่าอุทยานวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับงานด้านการวิจัยและพัฒนา แต่เป็นพื้นที่ที่เร่งให้ธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมเติบโตได้เร็วขึ้นผ่านการเชื่อมโยงกับทุกมิติที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ กล่าวว่า สวทช. ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และเป็นแกนกลางของระบบนิเวศนวัตกรรมของชาติ มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ที่จะใช้ศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ขับเคลื่อนภาคธุรกิจให้ก้าวสู่เส้นทางอีเอสจีอย่างเป็นรูปธรรม โดยการเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพ ความพร้อมและความมุ่งมั่นของประเทศในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในภูมิภาคเอเชียรวมถึงบทบาทสำคัญของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยในการเป็นกลไกหลักเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้าน ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน ASPA 2025  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 6 พฤศจิกายน 2568 มีผู้นำจากอุทยานวิทยาศาสตร์กว่า 15 ประเทศทั่วเอเชียและยุโรป รวมถึงภาคเอกชน นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิด ความร่วมมือ และทิศทางการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของโลกใบนี้ โดยตลอดการจัดงานมีการบรรยายหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ อาทิ  “เสริมพลังพันธมิตรบนเส้นทางอีเอสจี: เจาะลึกข้อมูลเชิงลึกระดับนานาชาติจากเขตนวัตกรรมกลาสโกว์” (Empowering Partners on the ESG Journey: International Insights from Glasgow’s Innovation Districts) โดย ศาสตราจารย์จูเลียน เทย์เลอร์, หัวข้อ “ความร่วมมือข้ามพรมแดนด้านอีเอสจี: เส้นทางสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” (Cross-Border ESG Partnerships: A Pathway to Sustainable Growth) โดย ศาสตราจารย์ฮีควัน ลี  ผู้อำนวยการคลัสเตอร์นวัตกรรมอินชอน (Incheon Innovation Cluster) เกาหลีใต้, และหัวข้อ “การขับเคลื่อนการเติบโตที่ยึดหลักอีเอสจี: รูปแบบธรรมาภิบาลที่สนับสนุนอุทยานวิทยาศาสตร์และสตาร์ทอัป” (Enabling ESG-Driven Growth: Governance Models Supporting Science Parks and Startups) โดย คุณปีเตอร์ ม็อก ประธานฮับอิเล็กทรอนิกส์เควียนไฮ (Qianhai E-Hub) จีน นอกจากนี้ยังมีการบอกเล่าและแชร์ประสบการณ์ของสตาร์ทอัปไทยและภูฎานในหัวข้อ “2 กรณีการใช้งานจริงในการแก้ปัญหาแบบอีเอสจีที่เกิดขึ้นใหม่” (2 Real-World Use Cases on Emerging ESG Solutions) เป็นการฉายภาพให้เห็นถึงรูปแบบการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัปของทั้ง 2 ประเทศผ่านกลไกของหน่วยงานที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม รวมทั้งยังมี หัวข้อการสนทนาพิเศษ (Fireside Chat) “ยิ่งกว่าโครงสร้างพื้นฐาน: พลังที่แท้จริงของอุทยานวิทยาศาสตร์ในยุคอีเอสจี” (Beyond Infrastructure: The Real Power of Science Parks in the ESG Era) โดย ศาสตราจารย์ฮีควัน ลี และ คุณปีเตอร์ ม็อก ดำเนินรายการโดย คุณวัชรินทร์ วิทยาเวชรศักดิ์ ผู้อำนวยการสมาคมไทยบิสป้า (Thai-BISPA) ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานทั้งในและต่างประเทศมาร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างคับคั่ง
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. โดยนาโนเทค สวทช. จับมือสมาคมนาโนฯ เปิดยิ่งใหญ่ “งาน NanoThailand 2025”
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จัดงาน “การประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี ครั้งที่ 9 (NanoThailand 2025)” ภายใต้แนวคิด “Revolutionizing the Future” ได้รับเกียรติจาก พญ. เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน โดยมี ดร. ภญ. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการนาโนเทค สวทช. และประธานคณะทำงานอำนวยการจัดงานฯ พร้อมด้วย รศ. ดร.สุรินทร์ เหล่าสุขสถิตย์ นายกสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และแขกผู้มีเกียรติจากนานาประเทศเข้าร่วม พร้อมเปิดตัวครั้งแรกกับรางวัล Thailand Nanotechnology Hall of Fame 2025 สำหรับเชิดชูเกียรติสำหรับบุคคล และหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนด้านนาโนเทคโนโลยี รางวัล Young Nanotechnologist Award 2025 เพื่อยกย่องนักนาโนเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของนาโนเทคโนโลยี ซึ่ง ผศ. ดร.ภาวินทร์ เอี่ยมประเสริฐกุล จาก มธ. คว้ารางวัลในปีแรก รวมถึงรางวัล High School Student และรางวัล 3-Minute Pitching สำหรับนักเรียนนักศึกษา ปูทางสร้างกำลังคน และเครือข่ายความร่วมมือด้านนาโนเทคโนโลยีระดับสากล พญ. เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะประธานเปิดการประชุม NanoThailand 2025 กล่าวว่า การประชุม NanoThailand 2025 ถือเป็นเวทีแห่งวิสัยทัศน์ที่รวมพลังนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และผู้นำนโยบายจากทั่วโลกมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และอนาคตที่ยั่งยืน เพราะในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม “นาโนเทคโนโลยี” กลายเป็นหนึ่งในพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบในระดับมหภาค “NanoThailand 2025 ไม่ได้เป็นเพียงเวทีวิชาการ แต่เชื่อมโยงภาควิชาการ ภาคอุตสาหกรรม และภาครัฐ เข้าด้วยกัน เพื่อแปลงความรู้เป็นนวัตกรรม และแปลงนวัตกรรมเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม โลกปัจจุบันนั้น เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อน ไม่มีใครสามารถพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้โดยลำพัง นาโนเทคโนโลยีเอง ก็ต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพลังงานสะอาด วัสดุอัจฉริยะ การแพทย์แม่นยำ หรือระบบการผลิตยุคใหม่ ความร่วมมือระหว่างประเทศคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งการค้นพบ ยกระดับมาตรฐาน และสร้างความยืดหยุ่นให้สังคมโลก เราคาดหวังและเชื่อมั่นว่า เวที NanoThailand 2025 เป็นการสร้างความร่วมมือที่ไม่เพียงพลิกโฉม แต่สร้างอนาคตที่เท่าเทียม ครอบคลุม และยั่งยืน” พญ. เพชรดาวกล่าว ดร. ภญ. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการนาโนเทค สวทช. และประธานคณะทำงานอำนวยการจัดงานฯ กล่าวว่า การประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี (NanoThailand) ในปี 2025 นี้นับเป็นครั้งที่ 9 โดยจัดขึ้นภายใต้กรอบแนวคิด “Revolutionizing the Future” นาโนเทคโนโลยีพลิกโฉมโลกอนาคต ที่มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานกว่า 500 คน จาก 20 ประเทศทั่วโลก ตอบโจทย์ในด้านการแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ ผลงานวิจัย รวมทั้งการนำความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีไปประยุกต์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และนำไปสู่การสร้างความร่วมมือการวิจัยทั้งในและนอกประเทศ “เวที NanoThailand นี้ จะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยีของไทยและของโลกไปทั้งองคาพยพ บูรณาการความร่วมมือของภาควิชาการ วิจัยและพัฒนา เอกชน รวมถึงเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญด้านนาโนเทคโนโลยีในอนาคต ทำให้ NanoThailand 2025 สร้างปรากฏการณ์ใหม่ นอกเหนือจากความเข้มข้นด้านวิชาการและความก้าวหน้าของนาโนเทคโนโลยีในระดับนานาชาติแล้ว ยังเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนที่นำนาโนเทคโนโลยีไปต่อยอดใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ติดอาวุธให้กับธุรกิจของตน ทั้งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดย่อม หรือบริษัทสตาร์ทอัป” ประธานคณะทำงานอำนวยการจัดงานฯ กล่าว รศ. ดร.สุรินทร์ เหล่าสุขสถิตย์ นายกสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานอิสระที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการจากองค์กรภาครัฐ ตลอดจนมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้ไปสู่ภาคอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งการเป็นศูนย์กลางประสานงาน แก้ปัญหาและพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เชื่อมโยงภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรมในวงการนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม และกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจให้กับสังคมและประชาชนในประเทศ ซึ่งงาน NanoThailand ก็เป็นอีกหนึ่งเวทีที่จะช่วยส่งเสริมและสร้างความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงพัฒนานาโนเทคโนโลยีร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรจากทั่วโลก งาน NanoThailand 2025 นี้ ได้รับเกียรติจาก 3 นักวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีระดับโลก ได้แก่ Professor Dr. Hiromi Yamashita, Osaka University, Japan ที่จะนำเสนอการออกแบบและพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีประสิทธิภาพสูงในพื้นที่นาโนของวัสดุต่าง ๆ เชื่อมโยงกับวัสดุนาโนที่สร้างแรงกระเพื่อมจากเวทีโนเบลเคมีในปีนี้อย่าง MOF รวมถึงวัสดุอื่น ๆ อย่าง ซีโอไลต์และซิลิกาเมโสพอร์ ที่จะนำเสนอในหัวข้อ “Design of Nanostructured Catalysts for Sustainable Energy and Environmental Uses”, Professor Michiya Matsusaki จาก Graduate School of Engineering, Osaka University, Japan ที่จะพาไปสัมผัสประสบการณ์ของ “เนื้อวากิวเพาะเลี้ยง” ด้วยเครื่องพิมพ์ชีวภาพ 3 มิติ (3D-bioprinting) ผสานองค์ความรู้วัสดุชีวภาพและวิศวกรรมชีวการแพทย์ ในหัวข้อ "Nanostructured Extracellular Matrices for Biomedical and Food Application" และProfessor Duncan Graham จาก University of Strathclyde, UK ที่จะนำเสนอความก้าวหน้าด้านการพัฒนาชุดทดสอบวินิจฉัยใหม่ ด้วยการใช้อนุภาคนาโนร่วมกับเทคนิคสเปกโทรสโกปี มุ่งเป้าไปที่โมเลกุลชีวภาพอย่างเช่น DNA, RNA, โปรตีน และไบโอมาร์คเกอร์โมเลกุลขนาดเล็ก ปูทางรับมือความเสี่ยงของโรคระบาด โรคอุบัติใหม่ รวมถึงสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขของโลก ในหัวข้อ “New Capabilities for improved Health through Nanochemistry” และยังมีสัมมนาอีก 12 หัวข้อครอบคลุมการวิจัย พัฒนา และต่อยอดใช้นาโนเทคโนโลยีในทุกมิติจากผู้เชี่ยวชาญทุกมุมโลก ดร. ภญ. อุรชา เผยว่า กิจกรรมในเชิงภาคธุรกิจ (Business Session) ปีนี้ นำเสนอภายใต้แนวคิด Nanotechnology for Industry Impact & Commercialization โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ที่มุ่งเน้นสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านนาโนเทคโนโลยีสู่ตลาดสากล ที่มีการนำเสนอความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีจากสารสกัดสมุนไพรมูลค่าสูง ความสำเร็จจากพันธมิตรภาคเอกชนในหัวข้อ “Challenging Factors in Advancing a Nano Product from Lab to Market” โดย IRPC และ “การนำเสนอกลไกการส่งเสริมภาคธุรกิจ” โดย NIA ตลอดจนเวทีเสวนาที่รวมภาคเอกชนที่นำนาโนเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในภาคธุรกิจ ในหัวข้อ “Nano Revolution: Transforming Business in Times of Economic Crisis” นอกจากนี้ยังมีงานบรรยาย symposium ที่สนับสนุนโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย Biotech Industry Club ในหัวข้อ Biotech Frontiers: BioNano Innovations for longevity economy นาโนไบโอนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจอายุยืน ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ เปิดลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ไม่รวมสิทธิ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการที่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม) ดร. ภญ. อุรชา เผยว่า นับเป็นครั้งแรกกับรางวัล Thailand Nanotechnology Hall of Fame 2025 เพื่อเชิดชูเกียรติสำหรับบุคคลและหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนและขับเคลื่อนผลงานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์จริงในมิติต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท จำนวน 6 รางวัล คือ 1) บุคคลสนับสนุนนาโนเทคโนโลยีแห่งปี จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ และศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. วิวัฒน์ ตัณฑะพานิชกุล 2) องค์กรภาครัฐในการสนับสนุนนาโนเทคโนโลยีของประเทศจำนวน 1 รางวัล ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 3) องค์กรภาคเอกชนในการสนับสนุนการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศ จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ บริษัท พาราไซแอนติฟิค จำกัด 4) องค์กรสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ บริษัท โว อินโนเวชั่น จำกัด 5) Startup of the Year ด้านนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด และครั้งแรกอีกเช่นกัน สำหรับรางวัล Young Nanotechnologist Award 2025 ที่มอบให้นักนาโนเทคโนโลยีอายุไม่เกิน 40 ปีที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของนาโนเทคโนโลยีผ่านผลงานวิจัยที่สร้างสรรค์ มีความโดดเด่น และมีความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งในปีแรกนี้ Young Nanotechnologist 2025 ได้แก่ ผศ. ดร.ภาวินทร์ เอี่ยมประเสริฐกุล อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร และหัวหน้ากลุ่มวิจัย Sustainable Electrochemical Intelligent มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับเงินรางวัลจำนวน 50,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ ส่วนของรางวัล High School Student Awards และ รางวัล 3-Minute Pitching Awards ที่เปิดเวทีสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่จะเป็นกำลังทางด้านนาโนเทคโนโลยีและสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในอนาคต ซึ่งจะประกวดและประกาศผลในพิธีปิดงาน NanoThailand2025 “เราคาดหวังให้งาน NanoThailand เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาและต่อยอดงานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยี อีกทั้งสร้างความร่วมมือทางด้านการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในระดับนานาชาติอีกด้วย ไม่เพียงแค่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ผนวกรวมถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ ขับเคลื่อนไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก” ดร. ภญ. อุรชาย้ำ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดพิธีถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีถวายความอาลัยแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ณ ห้องออดิทอเรียม สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นำคณะผู้บริหาร บุคลากร และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เข้าร่วมพิธีถวายความอาลัยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างพร้อมเพรียง น้อมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจเพื่อการพัฒนาประเทศและราษฎร ภายในพิธี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ได้นำผู้เข้าร่วมพิธีถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง และกล่าวคำถวายความอาลัย ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ และสดุดีพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงเป็นหลักชัยและพลังขับเคลื่อนสำคัญของแผ่นดิน โดยเฉพาะเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเคียงข้าง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยี่ยมเยียนและบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ พระองค์ทรงขับเคลื่อนพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ อย่างหาที่สุดมิได้ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมอาชีพ ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของราษฎรผู้ยากไร้ ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ทรงเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น และได้ทรงริเริ่มโครงการต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนา หัตถศิลป์ไทย ให้เป็นทั้งแหล่งสร้างงาน สร้างรายได้ และเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืนของชาติ ทั้งยังยกระดับหัตถกรรมพื้นบ้านให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ อันสะท้อนถึงพระปรีชาญาณในด้าน การพัฒนาอย่างยั่งยืน และทรงเป็นที่พึ่งทางจิตใจของพสกนิกรไทยทั้งมวลอย่างแท้จริง   คณะผู้บริหาร สวทช. และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมพิธี คณะผู้บริหารที่ร่วมในพิธีประกอบด้วย ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช., ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช., ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช., ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช., ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลัง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC), ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC), ดร.ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC), รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC), ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช., ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช., ดร.ศุภวงศ์ วิชพันธุ์ รองผู้อำนวยการ NANOTEC, ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการ MTEC, ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการ BIOTEC ตลอดจนบุคลากรและผู้ประกอบการในเขตอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในช่วงท้ายของพิธี ผู้ร่วมพิธีได้ยืนสงบนิ่งเป็นเวลา ๙๓ วินาที เพื่อแสดงความอาลัยและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่จะสถิตอยู่ในใจของพสกนิกรชาวไทยตราบนิจนิรันดร์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กพร. ร่วมกับ สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “เปลี่ยนผ่านเหมืองแร่ สู่ยุค 4.0” เสริมศักยภาพสถานประกอบการสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับสถานประกอบการเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ 4.0” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ณ ห้อง SD601 อาคารสราญวิทย์ สวทช. จังหวัดปทุมธานี ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. กล่าวว่า การจัด Workshop มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุ จุดเด่น จุดด้อย (Gap Analysis) และมิติที่ควรปรับปรุงจากผลการประเมินอุตสาหกรรม 4.0 ในขั้นตอนที่ผ่านมา พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 แก่สถานประกอบการที่มีศักยภาพ ถ่ายทอดองค์ความรู้แก่ผู้บริหารและหัวหน้างานในภาคเหมืองแร่ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้สถานประกอบการได้รับคำแนะนำเชิงลึกในการปรับปรุงกระบวนการภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในการดำเนินงาน กิจกรรมภายในงาน การอบรมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบการด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของไทยสามารถยกระดับการดำเนินงานสู่ระบบอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม โดยกิจกรรมประกอบด้วยการบรรยายและ Workshop ดังนี้ การบรรยายหัวข้อ “พลิกโฉมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ด้วย LEAD framework และการวิเคราะห์หาจุดที่ควรปรับปรุง (Gap Analysis)” โดย ดร.วุฒิภัทร คอวนิช นักวิจัยกลุ่มไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. การบรรยายหัวข้อ “วิธีการประยุกต์ใช้งานเครื่องมือเพื่อการทำ Gap Analysis” โดย ดร.สุภวุฒิ ศรีพลอย นักวิชาการอิสระ กิจกรรม Workshop การทำ Gap Analysis เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ฝึกวิเคราะห์สถานภาพองค์กรจริง พร้อมสรุปมิติที่ควรปรับปรุงและเรียงลำดับความสำคัญของแผนโครงการ โดยผู้ประเมิน Industry 4.0 สวทช. การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เปลี่ยนผ่านเหมืองแร่ สู่ยุค 4.0” นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพสถานประกอบการด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของไทย ให้สามารถปรับตัวและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 60 คน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไทย ส่งมอบภารกิจประธาน ANSO หนุนการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก้ปัญหาในระดับท้องถิ่นของประเทศสมาชิกผ่านความร่วมมือระดับนานาชาติ
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน - ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และประธาน The Alliance of International Science Organizations in the Belt and Road Region (ANSO) ได้เป็นประธานการประชุม The 10th ANSO Governing Board (GB) และที่ประชุม The 4th ANSO General Assembly (GA) เน้นย้ำพันธกิจของ ANSO ในการเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่มุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้หลักการของการ "เปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นทิศทาง (turning dialogue into direction)" ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) เสริมสร้างขีดความสามารถด้าน STEM ในการวางรากฐานสำคัญสำหรับความร่วมมือที่ยั่งยืนในอนาคต ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองรายงานความคืบหน้าของ ANSO ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและการบรรลุเป้าหมายขององค์กรในช่วงสองปีที่ผ่านมา รับรองข้อเสนอการแก้ไขธรรมนูญ ANSO (ANSO Statutes) ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างและแนวทางการดำเนินงานขององค์กรให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และอนุมัติการเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่ของ ANSO เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคและภูมิภาคอื่น ๆ โดยในครั้งนี้มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 19 องค์กร รวมทั้งสิ้นเป็น 96 องค์กร จาก 59 ประเทศจากทั่วโลก ประกอบด้วยหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้ง academy of sciences, research councils, มหาวิทยาลัย, องค์กรวิทยาศาสตร์ (S&T organizations), และองค์กรนานาชาติ สำหรับประเทศไทย มีองค์กรสมาชิกทั้งหมด 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้เลือกตั้งคณะกรรมการบริหาร (GB) สำหรับวาระต่อไป (ค.ศ. 2026-2028) โดยคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ประกอบด้วย ประธานสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน Chinese Academy of Sciences เป็นประธาน Serbian Academy of Science and Arts (SASA) และ National Academy of Science and Technology of Senegal (ANSTS) ดำรงตำแหน่งรองประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการเป็นผู้นำ หน่วยงานวิทยาศาสตร์อีก 6 หน่วยงาน คือ Mongolian Academy of Sciences มองโกเลีย, National Research Center อียิปต์, COMSATS (องค์กรนานาชาติ), University of Chile ชิลี, University of Donja Gorica มอนเตเนโกร และ Academy of Sciences of the Republic of Uzbekistan อุซเบกิสถาน ช่วงการดำรงตำแหน่งของ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้สร้างรากฐานความร่วมมือที่แข็งแกร่ง และทำให้ ANSO มุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนา ตลอดนจน ใช้เวที ANSO ในการผลักดันประเด็นสำคัญระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุม ANSO General Conference 2025 ได้กล่าวปาฐกถาหลักในหัวข้อ AI Development and Governance เพื่อเผยแพร่วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติของไทยสู่สากล เน้นย้ำว่าประเทศไทยมีความพร้อมและรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) และในช่วงการดำรงตำแหน่ง GB ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานอย่างเข้มข้นเพื่อสานต่อวิสัยทัศน์ในการสร้าง "ประชาคมมนุษย์ชาติที่มีอนาคตร่วมกัน" โดยมุ่งเน้นการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาขีดความสามารถด้านบุคลากร (Capacity Building) สนับสนุนนักศึกษาในระดับ บัณฑิตศึกษา (ปริญญาโทและเอก) กว่า 800 ทุน , โครงการวิจัยและความร่วมมือ (Collaborative Research & Science Initiatives) ที่เน้นการแก้ปัญหาระดับโลกที่เร่งด่วน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน สุขภาพและโรคระบาด รวมถึงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับยาต้านจุลชีพ , การขยายเครือข่ายและธรรมาภิบาลองค์กร (Network Expansion & Governance) ในโอกาสนี้ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ส่งมอบตำแหน่งประธาน ANSO ให้กับ CAS อย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อภารกิจผู้นำวิทยาศาสตร์โลก โดยการส่งมอบตำแหน่งในครั้งนี้เป็นการประกาศความสำเร็จของประเทศไทยในการเป็นผู้นำองค์กรวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศที่สำคัญ สานต่อรากฐานความร่วมมือที่แข็งแกร่ง และทำให้ ANSO มุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้หลักการของการ "เปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นทิศทาง (turning dialogue into direction)" ตามเจตนารมณ์ และเร่งรัดและขับเคลื่อนโครงการริเริ่มทางวิทยาศาสตร์นานาชาติที่สร้างสรรค์ ในการแก้ไขปัญหาโลกและช่วยสร้าง ประชาคมมนุษย์ชาติที่มีอนาคตร่วมกัน (community of the whole humankind with a shared future) ตามวิสัยทัศน์ของ ANSO ต่อไป มุ่งเน้นการนำผลงานวิจัยไปสู่การสร้าง "ผลกระทบ" (Impact) ที่จับต้องได้ เพื่อแก้ปัญหาในระดับท้องถิ่นของประเทศสมาชิก พร้อมทั้ง ยืนยันว่าถึงแม้จะครบวาระของประธาน ANSO แล้ว สวทช. และประเทศไทยยังคงเป็นพันธมิตรหลัก (Key Partner) ของ ANSO และจะยังคงมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในการผลักดันเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน ANSO เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร มีเป้าหมายที่จะปรับปรุงขีดความสามารถในระดับภูมิภาคและระดับโลกในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การดำรงชีวิตของมนุษย์ และความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในวงกว้าง ตั้งแต่ก่อตั้งสมาพันธ์ฯ เมื่อปี ค.ศ. 2018 จนถึงปัจจุบัน ANSO ได้มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การให้ทุนสนับสนุนโครงการวิจัย การจัดกิจกรรมพัฒนาเครือข่าย การสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาและนักวิจัยที่โดดเด่นจากประเทศกำลังพัฒนาในการประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นงบประมาณดำเนินงานรวมแล้วประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กระทรวง อว. จัดพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานประจำปี 2568 ณ วัดคูหาสวรรค์ ยอดเงินทำบุญกว่า 1.6 ล้านบาท โดยมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทำบุญคับคั่ง
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกระทรวง อว. ประจำปี 2568 โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง อว. ดร.วันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. พร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ วัดคูหาสวรรค์ แขวงคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. พร้อมด้วย ดร.สิรินทร อินทร์สวาท รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และพนักงาน สวทช. เข้าร่วมพิธีในครั้งด้วย เมื่อเดินทางมาถึง นายสุรศักดิ์ ถวายความเคารพและถวายธูปเทียนแพ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นหยิบผ้าพระกฐินพระราชทานจากพานเดินเข้าสู่พระอุโบสถ พร้อมวางผ้าพระกฐินบนพานแว่นฟ้า พระสงฆ์กระทำพิธีอุปโลกน์ และสวดญัตติทุติยกรรม พระสงฆ์รูปที่ได้รับฉันทานุมัติให้เป็นผู้ครองผ้าพระกฐินลงไปครองผ้า จากนั้น รมว.อว. จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย กล่าวคำนมัสการและกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน พร้อมถวายเครื่องบริวารกฐิน โดยมีคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ต่อจากนั้น รมว.อว. ถวายจตุปัจจัยแด่ประธานพระสงฆ์ และกรวดน้ำ รับพร เสร็จแล้วกราบลาพระประธานและพระสงฆ์ พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน อว. ประจำปี 2568 นี้ มียอดเงินทำบุญรวม 1,626,759.42 บาท (หนึ่งล้านหกแสนสองหมื่นหกพันเจ็ดร้อยห้าสิบเก้าบาทสี่สิบสองสตางค์) โดยมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมถวายปัจจัยเพื่อบำรุงและบูรณะพระอาราม บำรุงโรงเรียนพระปริยัติธรรม และทุนการศึกษา  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
BID สวทช. ภูมิใจ 2 ผู้ประกอบการ Deep Tech ไทย คว้ารางวัล Thai-BISPA Awards 2025 ตอกย้ำความสำเร็จการผลักดันงานวิจัยสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์
 31 ตุลาคม 2568 – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการนวัตกรรมภายใต้การส่งเสริมของฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สวทช. จำนวน 2 บริษัท ที่ได้รับรางวัล "Thai-BISPA Awards 2025" ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนวัตกรรมไทย โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี "Thai-BISPA Day 2025" โอกาสนี้ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้าน Core Business สวทช. และ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สวทช. พร้อมด้วย นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ร่วมแสดงความยินดี ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพมหานคร ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้าน Core Business สวทช. กล่าวว่า “ความสำเร็จของผู้ประกอบการทั้งสองรายในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า สวทช. กำลังเดินหน้าอย่างถูกทิศทางในการผลักดันงานวิจัย Deep Tech สู่การใช้งานจริง ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจหลัก (Core Business) ของเรา การที่นวัตกรรมจากนาโนเทค สวทช. สามารถสร้างธุรกิจที่เติบโตและได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ถือเป็นความสำเร็จของระบบนิเวศนวัตกรรมที่ สวทช. มุ่งมั่นสร้างขึ้น และเราจะยังคงสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไกลในเวทีสากลต่อไป” นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค สวทช.) กล่าวว่า "สวทช. มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นความสำเร็จของผู้ประกอบการที่ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สวทช. ให้การสนับสนุน รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันว่านวัตกรรม Deep Tech ของคนไทย ที่พัฒนาต่อยอดจากงานวิจัยของนาโนเทค สวทช. มีศักยภาพสูงและสามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ได้อย่างแท้จริง BID จะยังคงมุ่งมั่นในภารกิจการเป็นสะพานเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ตลาด สนับสนุนและบ่มเพาะผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน" ผู้ประกอบการที่ได้รับการเสนอชื่อจาก BID มีผู้คว้ารางวัลในครั้งนี้ได้จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ 1.รางวัลชนะเลิศผู้ประกอบการดีเด่น (Best Incubatee Award) บริษัท สไปก์ อาร์ชิเทคโทนิกส์ จำกัด (Spike Architectonics Co., Ltd.) ผู้พัฒนานวัตกรรม "MICROSPIKE® (ไมโครสไปก์)" ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์มการนำส่งยาและสารสำคัญที่ไม่ใช้เข็ม อันเป็นผลลัพธ์จากงานวิจัยพื้นฐานของนาโนเทค สวทช. เทคโนโลยีนี้ถือเป็นการปฏิวัติการนำส่งสารสำคัญด้วยการสร้างช่องทางขนาดจิ๋วบนผิวหนัง ทำให้มีพื้นที่ในการนำส่งสารมากกว่าเทคโนโลยีเดิมถึง 100 เท่า โดยไม่เจ็บและไม่ทำลายผิว บริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้กว่า 225% ในปี 2024 นำผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ออกสู่ตลาดแล้ว 3 รายการ และได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นปี 2024 นวัตกรรมนี้ได้รับการคุ้มครองด้วยสิทธิบัตรกว่า 37 ฉบับ โดยได้เข้าร่วมโครงการ C-HV SMEs 2025 และโครงการ NSTDA Startup กับ BID   2.รางวัลผู้ประกอบการโดดเด่น สาขา Potential Technology Transfer บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด (Nano Coating Tech Co., Ltd.) เป็นบริษัท Deep Tech ที่โดดเด่นด้านการพัฒนานวัตกรรม "สารเคลือบนาโนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Coating Technology)" ซึ่งเป็นผลงานวิจัยจากนาโนเทค สวทช. นวัตกรรมนี้ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันอัจฉริยะที่มองไม่เห็นแต่แข็งแกร่ง ช่วยให้อุตสาหกรรมลดต้นทุนการกัดกร่อนและการซ่อมบำรุง โดยมีคุณสมบัติทนทาน ต่อการขีดข่วน ป้องกันการกัดกร่อน และทำความสะอาดง่าย (Easy-to-Clean) ตอบโจทย์เทรนด์อุตสาหกรรมสีเขียว บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ และมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้เข้าร่วมโครงการภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนของ BID อาทิ โครงการ NSTDA Startup และโครงการ Innovation Driving Export (IDEX) เป็นบริษัท Deep Tech ที่โดดเด่นด้านการพัฒนานวัตกรรม "สารเคลือบนาโนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Coating Technology)" ซึ่งเป็นผลงานวิจัยจากนาโนเทค สวทช. นวัตกรรมนี้ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันอัจฉริยะที่มองไม่เห็นแต่แข็งแกร่ง ช่วยให้อุตสาหกรรมลดต้นทุนการกัดกร่อนและการซ่อมบำรุง โดยมีคุณสมบัติทนทาน ต่อการขีดข่วน ป้องกันการกัดกร่อน และทำความสะอาดง่าย (Easy-to-Clean) ตอบโจทย์เทรนด์อุตสาหกรรมสีเขียว บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ และมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้เข้าร่วมโครงการภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนของ BID อาทิ โครงการ NSTDA Startup และโครงการ Innovation Driving Export (IDEX) งาน Thai-BISPA Day 2025 ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "THAILAND'S NEXT INNOVATION FORCE: People Who Drive Innovation" หรือ "พลังนวัตกรรมแห่งอนาคตของไทย: บุคลากรผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรม" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสมรรถนะและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรในระบบนิเวศนวัตกรรม และเน้นย้ำบทบาทของผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการนวัตกรรมในฐานะผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงของประเทศ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เยือน Tokyo Women’s Medical University เสริมความร่วมมือวิจัย Biomedical Engineering และ AI
(วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568) – คณะผู้แทนจาก โครงการ TAIST–Science Tokyo นำโดย รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ (BART LAB) พร้อมด้วย คุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เข้าพบและหารือกับ Prof. Ken Masamune รองผู้อำนวยการ Medical AI Center (MAC) และผู้อำนวยการ Faculty of Advanced Techno-Surgery, Institute of Advanced Biomedical Engineering and Science (ABMES) ณ Tokyo Women’s Medical University (TWMU) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางความร่วมมือด้าน Biomedical Engineering และ Artificial Intelligence (AI) พร้อมด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยพันธมิตรในโครงการ TAIST–Science Tokyo ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล อาทิ รศ.ดร.ปกรณ์ โอภาประกาศิต, รศ.ดร.ปรีชา การินทร์, ผศ.ดร.ดุสิต ธนเพทาย และ ผศ.ดร.อภิชน ไวท์ยางกูร การเยือนศูนย์เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง ระหว่างการเยือน คณะได้เข้าเยี่ยมชม ศูนย์การแพทย์และห้องผ่าตัดขั้นสูง (Advanced Operating Theatres) ภายใต้ Faculty of Advanced Techno-Surgery ซึ่งเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัย โดยนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัด นอกจากนี้ คณะยังได้เยี่ยมชม Smart Cyber Operating Theater ห้องผ่าตัดอัจฉริยะที่ผสานเทคโนโลยีภาพและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ รวมถึงระบบหุ่นยนต์ผ่าตัด “da Vinci S Surgical System” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงที่ใช้ในการวิจัยและปฏิบัติงานทางการแพทย์ร่วมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Tokyo Women’s Medical University: ผู้นำด้านการแพทย์และเทคโนโลยีชีวการแพทย์ของญี่ปุ่น Tokyo Women’s Medical University (TWMU) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ด้วยวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมบทบาทสตรีในวิชาชีพแพทย์และสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา ภายใต้ปรัชญา “Sincerity and Compassion” มหาวิทยาลัยมุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นเลิศในสาขา การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Medicine) และ วิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างยั่งยืน TWMU ยังเป็นผู้นำด้านงานวิจัยข้ามสาขา (Interdisciplinary Research) ของญี่ปุ่น โดยมีจุดเด่นด้าน Medical AI, Advanced Techno-Surgery, Regenerative Medicine, Robotics และ Smart Healthcare Systems ผ่านหน่วยงานวิจัยสำคัญ ได้แก่ ABMES และ MAC ซึ่งทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มการวิจัยร่วมระหว่างแพทย์ วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขา สานต่อความร่วมมือวิจัยและพัฒนาบุคลากรไทย ภารกิจในครั้งนี้นับเป็นการสานต่อความร่วมมือทางวิชาการที่ริเริ่มตลอดการเยือนประเทศญี่ปุ่น โดยเน้นการ พัฒนาหลักสูตรและโครงการวิจัยร่วม การ แลกเปลี่ยนนักวิจัยและนักศึกษา รวมถึงการ ยกระดับสมรรถนะของบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของไทย ให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ การเยือน Tokyo Women’s Medical University สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการ ขยายเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ และ สนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ ตอบสนองต่อความท้าทายในยุคดิจิทัลและสังคมแห่งนวัตกรรมอย่างยั่งยืน    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เสด็จเปิดงาน “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ครบรอบ 15 ปี” สวทช. ร่วมถวายรายงานความสำเร็จโครงการส่งเสริม STEM Education ปฐมวัย สู่แนวทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESD)
คณะผู้บริหาร สวทช. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.  และนางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สวทช. ร่วมเฝ้าทูลละอองพระบาท รับเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงาน “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย” ครบรอบ 15 ปี เดินหน้าสู่การศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESD) เฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถวายรายงานผลการดำเนินโครงการความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนของฉัน เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ณ อาคารอาคารนวัตกรรม ศาสตราจารย์.ดร.สาโรช บัวศรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ตอกย้ำความสำเร็จของการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 15 ปี โดยมีสถานศึกษาระดับปฐมวัยเข้าร่วมโครงการ 27,366 โรงเรียนทั่วประเทศ ผ่านผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น 211 แห่ง และมีสถานศึกษาระดับประถมศึกษาเข้าร่วมโครงการ 16,872 โรงเรียนทั่วประเทศผ่านผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น 205 แห่ง ด้วยความร่วมมือของ 8 หน่วยงานหลัก ได้แก่ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯบริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ เพื่อส่งเสริมการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ (STEM Education) สำหรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา เพื่อสร้างพื้นฐานการเรียนรู้ที่ยั่งยืน เนื่องในโอกาสดำเนินงานครบรอบ 15 ปี โครงการฯ ได้จัดประชุมวิชาการ “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ครบรอบ 15 ปี สู่การศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESD)” เฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่างวันที่ 22 – 23 ตุลาคม 2568 ณ อาคารนวัตกรรม : ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบรอบ 70 พรรษา ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และฉลองครบรอบ 15 ปี โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในการเปิดงานประชุมวิชาการ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2568 นางฤทัย จงสฤษดิ์ วิทยากรหลักอาวุโสโครงการจาก สวทช. กล่าวว่า  การประชุมวิชาการครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย โดยมีกิจกรรมหลากหลายตั้งแต่การบรรยายพิเศษจาก Keynote Speakers การจัดแสดงนิทรรศการความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนของฉัน การนำเสนอผลงานวิจัย และการเสวนาวิชาการ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักวิชาการ บุคลากรทางการศึกษาในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย รวมถึงผู้ที่สนใจทั่วไปได้มีเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการให้กับโครงการ และยังเป็นการเผยแพร่ผลผลิตและผลลัพธ์สำคัญของโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย ที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็งมาตลอดระยะเวลา 15 ปี สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การบรรยายพิเศษโดย Dr. Tobias Ernst ประธานมูลนิธิ Stiftung Kinder Forscher สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในหัวข้อ “Little Scientists in Germany: Why Early STEM Education Matters” และ “From Curiosity to Competence: How Early STEM Education for Sustainable Development Shapes a Better Future”  การบรรยายพิเศษโดย Prof. Dr. Ching-Ting Hsin จาก National Tsing Hua University ไต้หวัน ในหัวข้อ “Equity in Action: Building Culturally Relevant and Sustaining Pathways in Early STEM Education นอกจากนี้ ยังมีการเสวนา “การจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามแนวทางโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย” และการเสวนา “เด็กสร้างถิ่น: เรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม และภูมิปัญญา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” การนำเสนองานวิจัยภาคบรรยายใน 4 หัวข้อ ได้แก่ 1) การบริหารโครงการและพัฒนาบุคลากร  2) การบริหารสถานศึกษา 3) การจัดการเรียนรู้ระดับปฐมวัย และ 4) การจัดการเรียนรู้ระดับประถมศึกษา การนำเสนอผลงานวิจัยภาคโปสเตอร์   สำหรับก้าวต่อไป โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย มุ่งเน้นการพัฒนาและต่อยอด พร้อมขยายแนวทางการจัดการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Education for Sustainable Development – ESD) ส่งเสริมให้โรงเรียนจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น พัฒนาเนื้อหาสำหรับฝึกอบรมครูรุ่นใหม่ ร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (UN SDGs) เด็กหญิงชุติกา สิงห์สุข  โรงเรียนบ้านโล๊ะป่าห้า นักเรียนผู้ทำโครงงานความหลากหลายของพันธุ์พืชในแกงแคอาหารถิ่นล้านนา กล่าวว่า หนูกับเพื่อนๆ ได้เรียนรู้วิธีทำแกงแคจากพืชผักหลากหลายชนิดที่หาได้รอบๆ บ้านและในชุมชน ได้รู้จักชื่อพืชพันธุ์นานาชนิดและประโยชน์ของผักที่ใสในแกงแคอีกด้วย หนูอยากให้แกงแคอยู่กับชุมชน จึงได้เรียนรู้การทำชุดแกงแคปรุงสำเร็จค่ะ หนูชอบให้คุณครูสอนแบบนี้มากๆ  เพราะได้ลงมือทำกิจกรรม ได้เก็บผักมาศึกษา ได้หั่นผักล้างผัก ลองตำพริกแกง และได้ทำแกงแคด้วยตนเอง สนุกมาก และภูมิใจเมื่อได้ชิมแกงแคที่หนูและเพื่อนๆ ทำค่ะ เด็กหญิงอลิสา อ่อนสำลี โรงเรียนเฟื่องฟ้าวิทยา นักเรียนผู้ทำโครงงานเรื่อง ปฏิบัติการรักษ์น้ำของเหล่าพืชน้ำตัวจิ๋ว กล่าวว่าหนูได้ลองสังเกตและทดลองศึกษาพืชน้ำหลายชนิดด้วยตัวเอง จึงได้เรียนรู้ว่าพืชน้ำบางชนิดที่อยู่ในคลองของชุมชนเราก็มีประโยชน์ ช่วยทำให้น้ำสะอาดและเป็นบ้านของสัตว์น้ำเล็ก ๆ หนูภูมิใจที่ได้ช่วยดูแลน้ำในคลองของเรา ถ้าทุกคนไม่ทิ้งขยะลงคลอง คลองก็จะสะอาดและสวยงาม หนูชอบการเรียนแบบนี้เพราะได้ลงมือทำจริงเหมือนได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวจิ๋ว สนุกมากเลยค่ะ คุณครูเรวดี จันดอนแดง โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ครูที่ปรึกษาโครงงาน นักสืบสายพันธุ์ปลาแม่น้ำโขง มูล ชี อุบลราชธานี มีปลาแซบหลาย กล่าวว่า การได้พานักเรียนทำกิจกรรม ทำให้ครูเข้าใจในข้อความที่ว่า “การศึกษามิใช่เรื่องของการเติมน้ำใส่ถัง หากแต่เป็นเรื่องของการจุดไฟ” เพราะธรรมชาติของเด็กๆ พวกเขาอยากรู้ อยากเห็น และสนใจสิ่งรอบตัวเสมอ การเรียนรู้ที่มีเด็กๆ เป็นพระเอก นางเอกมีครูเป็นที่ปรึกษา มีผู้ปกครองคอยสนับสนุนให้กำลังใจ เด็กๆ ก็พร้อมและสนุกที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ครูได้เห็นถึงพลังและศักยภาพในการเรียนรู้สิ่งต่างๆของเด็กๆ คุณครูสุวภา บุญอุไร โรงเรียนบ้านหนองเสือช้าง (จรุงราษฎร์พัฒนา) ครูที่ปรึกษาโครงงาน เด็กหลง(รักษ์ป่า) กล่าวว่า จากการจัดประสบการณ์โครงงานเด็กหลง (รักษ์) ป่า ทำให้คุณครูได้เรียนรู้ว่า “เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเองและสามารถเรียนรู้ได้” ซึ่งการเรียนรู้ของเด็กไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่เราปรับป่าในชุมชนให้เป็นห้องเรียนสำหรับเด็กๆ ได้ โดยมีต้นไม้เป็นสื่อการเรียนรู้ มีคุณครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ มีผู้อำนวยการสถานศึกษาเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้  และมีเด็กๆ เป็นผู้เรียนรู้อย่างมีความสุข คุณครูกัญญาณัฐ แซ่อ๋อง โรงเรียนวัดดอนใคร ครูที่ปรึกษาโครงงานชะมดต้นสมุนไพรจากดอกไม้ริมทาง ชุมชน สีสา สิชล กล่าวว่า เด็กๆ มีความกระหายใคร่รู้ มีความสนุกและมีความสุขกับการเรียนรู้ที่ตนเองได้เลือก อีกทั้งจัดการเรียนรู้แบบลองผิด ลองถูก ด้วยตนเอง ทำให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์ และซึมซับสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้ตัวและเป็นการวางรากฐาน กระบวนการ เรียนรู้ที่ยั่งยืนให้กับเด็กที่จะเป็นผู้สร้าง ดูแล และอนุรักษ์สิ่งต่างๆในชุมชนให้คงอยู่ตลอดไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดประตู Food Bank สู่ภาคอีสาน นำร่องที่แรก จ.ขอนแก่น ผนึกกำลังหน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการในพื้นที่
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (มูลนิธิ SOS) และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดขอนแก่น (พมจ.ขอนแก่น) และผู้ประกอบการท้องถิ่น เร่งขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเริ่มที่จังหวัดขอนแก่นเป็นแห่งแรก เพื่อมุ่งลดปัญหาขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับกลุ่มคนเปราะบาง และขับเคลื่อนสู่การจัดตั้ง “ธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศไทย” (Thailand's Food Bank) โดยคณะทำงานของ สวทช. และมูลนิธิ SOS ได้ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ 27 - 29 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายผลโครงการฯ อย่างน้อย 30 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ ภายในปี 2571  ในจังหวัดขอนแก่น ทาง สวทช. และมูลนิธิ SOS ได้จัดการประชุมระดมสมองเพื่อขยายเครือข่าย “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” และ “ผู้บริจาคอาหาร” วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมโฆษะ อ.เมืองขอนแก่น โดยมี นางสาวฉัฐพร งามเกลี้ยง พมจ.ขอนแก่น เป็นประธานเปิดงาน เพื่อมุ่งเน้นการสร้างและขยายเครือข่ายในการกอบกู้อาหารส่วนเกินในพื้นที่ขอนแก่นอย่างเข้มข้น ทั้งในกลุ่มเครือข่าย “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” และเครือข่าย “ผู้บริจาคอาหาร” ซึ่งจุดเด่นของ จ.ขอนแก่น นอกจากหน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะร่วมกันผลักดันโครงการแล้ว ผู้ประกอบการท้องถิ่นทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ยังให้ความสนใจและพร้อมสนับสนุนโครงการอย่างเต็มที่อีกด้วย โดย อาสาสมัครรักษ์อาหาร หรือ Local Food Rescue มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลาง เพื่อเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้อาหารและผู้รับอาหาร ทำให้การส่งต่ออาหารส่วนเกินที่ยังมีคุณภาพดีไปยังกลุ่มคนเปราะบางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย ขณะที่ ผู้บริจาคอาหาร ได้แก่ ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจ มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ให้อาหารส่วนเกิน (Food Surplus) ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักของโครงการ Food Bank ที่ยังมีคุณภาพดีและสามารถนำไปบริโภคได้ ช่วยลดปริมาณขยะอาหารและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับกลุ่มคนเปราะบางหรือผู้มีรายได้น้อยโดยตรง ซึ่งอาหารที่ได้รับบริจาคจะถูกส่งต่อผ่านเครือข่ายอาสาสมัครรักษ์อาหาร  ผู้สนใจสามารถติดต่อประสานได้ที่ สวทช. โทร. 02 5647000 อีเมล foodbank@nstda.or.th เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/foodbank/ และมูลนิธิ SOS โทร. 02 0751417, 062 6750004 และ Facebook: @sosfoundationthai นอกเหนือจากการประชุมระดมสมองแล้ว คณะทำงานของ สวทช. และมูลนิธิ SOS ยังได้ร่วมลงพื้นที่ติดตามการทำงานของอาสาสมัครรักษ์อาหารในการเข้ารับอาหารส่วนเกิน และแจกจ่ายในพื้นที่ชุมชนเทพารักษ์ 2 และเหล่านาดี 12 ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น รวมถึงในวันสุดท้ายของการลงพื้นที่ คณะฯ ได้เข้าพบเพื่อหารือ กับผู้บริหารของเทศบาลเมืองศิลาในช่วงเช้า และเทศบาลนครขอนแก่นในช่วงบ่าย เพื่อวางแผนและบูรณาการการดำเนินงานโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมด้วย “โครงการนี้ถือเป็นการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น คู่มือแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยอาหารสำหรับการบริจาคอาหาร (Food Safety Guideline) จากไบโอเทค สวทช. เนื่องจากประเด็นเรื่องความปลอดภัยของอาหารเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการส่งต่ออาหารส่วนเกิน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยแก้ปัญหาการเกิดขยะอาหารและการสูญเสียอาหารซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และแก้ปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประชากรกลุ่มเปราะบางได้อย่างยั่งยืน” ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส และหัวหน้าโครงการ Food Bank สวทช. กล่าวปิดท้าย ทั้งนี้ แผนการขยายผลอย่างน้อย 30 จังหวัด (ปี 2568 - 2571) มีดังนี้ - กลุ่มที่ 1 (ปี 2568) ได้แก่ นนทบุรี นครสวรรค์ พังงา ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง ปทุมธานี สุราษฎร์ธานี และพระนครศรีอยุธยา - กลุ่มที่ 2 (ปี 2569) ได้แก่ สงขลา สุโขทัย น่าน ชัยนาท นครราชสีมา ระยอง ฉะเชิงเทรา หนองคาย พิษณุโลก เพชรบุรี เชียงราย และชลบุรี - กลุ่มที่ 3 (ปี 2570 - 2571) ได้แก่ มหาสารคาม อุบลราชธานี นครพนม พัทลุง สุพรรณบุรี แพร่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี สมุทรปราการ และกาญจนบุรี  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์