หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
รับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรง ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
ด้วยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความประสงค์จะรับสมัครบุคคล เพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.hii.or.th/ข่าวประชาสัมพันธ์/รับสมัครบุคลากร/2023/06/17/รับสมัครบุคคลเพื่อคัดเ/
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
เปิดผลทดสอบการใช้น้ำมัน “ไบโอดีเซล” กับรถยนต์ใหม่มาตรฐาน EURO5
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ร่วมกับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน จัดงานสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษา "การใช้น้ำมันไบโอดีเซล กับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐานไอเสีย EURO5" หลังจากดำเนินการศึกษาด้วยการใช้งานจริงเป็นเวลา 1 ปี ขับขี่บนท้องถนนเป็นระยะทางมากกว่า 90,000 กิโลเมตร โดยผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ไบโอดีเซลในรถยนต์สมัยใหม่ รองรับมาตรฐาน EURO5 ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2567
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
4 หน่วยงานวิจัย สกสว. สวรส. วช. ศลช. ร่วมผนึกกำลังทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช.  ต่อยอด ชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รับมือโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ
For English-version news, please visit : MTEC-NSTDA and four research agencies plan to bring patient isolation innovations to local and international markets (3 กรกฎาคม 2566) ที่ห้อง SD 601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) พร้อมด้วยคณะวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรับมือโรคโควิด-19 สู่การเตรียมความพร้อมเพื่ออนาคต ร่วมแถลงความสำเร็จของผลการวิจัยและพัฒนาชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ได้แก่ PETE (พีท) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ และ HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ที่เริ่มต้นพัฒนาจากประเด็นปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้งาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ และได้เข้าไปสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั่วประเทศแล้วกว่า 120 แห่ง ซึ่งปัจจุบันยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายผลการนำไปใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เข้าถึงพื้นที่พิเศษอีกด้วย โดยมี นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข คุณวราภรณ์ สุชัยชิต ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยและดำเนินงานวิจัยพัฒนา และ ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมแถลงบทบาทและการมีส่วนร่วมผลักดันชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้ประสบความสำเร็จ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านเครื่องมือแพทย์เพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ที่นอกจากจะมีความปลอดภัย และประสิทธิภาพตามมาตรฐานระดับสากลแล้ว ยังมีราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ 2-3 เท่า ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระบาดระลอกแรกในประเทศไทยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 คณะวิจัยจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์หลายหน่วยงาน อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้สนับสนุนงบประมาณเบื้องต้น เพื่อเร่งพัฒนานวัตกรรม PETE (พีท) เปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด และอำนวยความสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากเปล นำใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล จากนั้นจึงได้ทุนวิจัยและพัฒนาจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยสนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม ทำการทดสอบชุดอุปกรณ์ด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ จนกระทั่งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัท สุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด และได้ขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องมือแพทย์ กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หลังจากนั้น เอ็มเทคได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) บริษัท มติชน จำกัด บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมถึงประชาชนที่ร่วมบริจาคงบประมาณในการพัฒนา เปล PETE ซึ่งได้ส่งมอบให้แก่หน่วยงานผู้ใช้ต่าง ๆ รวมถึงปัจจุบันแล้วกว่า 120 ชุดทั่วประเทศ และปัจจุบัน เอ็มเทคได้รับทุนวิจัยจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) เพื่อขยายผลนวัตกรรมเปล PETE สู่ตลาดในและต่างประเทศ ดร.จุลเทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย (Patient Isolation Chamber for Home Isolation) นั้น เอ็มเทคได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดยทีมวิจัยได้ต่อยอดองค์ความรู้จากการพัฒนาเปล PETE เป็นเต็นท์ความดันลบที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับผู้ป่วยสีเขียวที่จำเป็นต้องทำ Home isolation ที่บ้าน แต่ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้สำหรับโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกหรือกักผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางเดินหายใจ หรือทำการรักษา เช่น พ่นยา ซึ่งก็ได้มีการทดสอบผลิตภัณฑ์จนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งมีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย สามารถย้ายไปติดตั้งเป็นห้องรักษาพยาบาลที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อเป็นการชั่วคราวได้ ลดระยะเวลา ลดภาระงาน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากร ตลอดจนชิ้นงานทำความสะอาดได้ง่าย สามารถปรับเลือกขนาดเต็นท์ได้เหมาะสมตามขนาดพื้นที่ ซึ่งในการส่งมอบแก่หน่วยงานผู้ใช้แต่ละครั้ง เอ็มเทคได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัท อีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนเตียงสนามและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อใช้งานร่วมกับเต็นท์ความดันลบ HI PETE อีกด้วย นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมครั้งนี้ กล่าวว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอย่างโรคโควิด-19 หรือโรคอุบัติใหม่ โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดที่จำเป็นต้องมีห้องแยกผู้ป่วย (Isolation Room) และอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Isolation chamber) เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่ง สวรส. ได้สนับสนุนให้ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. ผลิตและพัฒนาชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบความดันลบ ที่นอกจากจะมีความถูกต้องเหมาะสมด้านวิศวกรรมและวิชาการแล้ว ชุดนวัตกรรม เปลพีท (PETE) และเต็นท์ไฮพีท (HI PETE) ยังพัฒนาเพื่อใช้สำหรับเป็นห้องฉุกเฉินที่ติดตั้งได้ง่าย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จัดเก็บได้รวดเร็ว ซึ่งมีการพัฒนาด้านการออกแบบให้เหมาะกับบริบทการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น รวมทั้งการนำเข้าสู่กระบวนการทดสอบจนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยทางไฟฟ้าตามมาตรฐานสากล ซึ่งนวัตกรรมวิจัยดังกล่าว ยังสามารถขยายผลการใช้ประโยชน์ไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศตามสถานการณ์การระบาดได้อีกด้วย นายแพทย์นพพร กล่าวอีกว่า การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของ สวรส. บนเป้าหมายของการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงและเกิดการขยายผลสู่การพัฒนาระบบสุขภาพในภาพรวม สวรส. จึงสนับสนุนทุนวิจัยในเรื่องนี้ เพื่อให้เครือข่ายนักวิจัยสามารถพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศให้มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ  ตลอดจนสนับสนุนการนำ องค์ความรู้ที่มีอยู่มาทำให้เกิดการต่อยอดการใช้ประโยชน์  ซึ่งในแง่ของการรับมือความรุนแรงและผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำนั้น นวัตกรรมนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพาการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศได้เป็นอย่างมาก คุณวราภรณ์ สุชัยชิต ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดมาตั้งแต่ปี 2563 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในเชิงวิชาการ การวิจัย และนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ โดยในส่วนของวิชาการ วช. ได้สนับสนุนการศึกษาวิจัยลักษณะทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย และสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยโครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจและสังคม และส่วนของนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์นั้น วช. ได้ในการสนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ในปี 2564 ให้ดำเนินโครงการการขยายผลการใช้งานต้นแบบเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ โดยได้ทำการส่งมอบให้แก่หน่วยงานผู้ใช้ 16 แห่ง อีกทั้งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย โดยประเมินผลกระทบต่าง ๆ ได้แก่ การลดต้นทุนของหน่วยงาน ด้านงบประมาณในการจัดหา/นำเข้า อุปกรณ์การแพทย์ราคาแพงและมีความจำเป็นในสถานการณ์โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติภารกิจรับส่งผู้ป่วย ที่มีเครือข่ายรถพยาบาลจากทีมอาสากู้ภัย ที่รอรับส่งผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อจากบ้านไปส่งโรงพยาบาล รวมไปถึงการลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บของผู้ป่วยจากการเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นร่วมด้วย เช่น ท่อเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ เป็นต้น และจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลหลาย ๆ จุด และจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้า-ออก เปลหลายรอบ ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) หรือ TCELS กล่าวว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ ศลช. คือการขับเคลื่อนโครงการสำคัญ (Flagships) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันด้านการแพทย์และสุขภาพ โดยเน้นการส่งเสริมนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพช่วงปลายน้ำ ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่เป็นนวัตกรรมระดับสูงและมูลค่าสูง ให้เป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน โดยในปี 2566 ถึง 2568 ศลช. จะได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะวิจัยจากเอ็มเทค ดำเนินโครงการร่วมกับบริษัทผู้ผลิตในประเทศในการขยายผลนวัตกรรมเปล PETE สู่ตลาดในและต่างประเทศ โดยชูประเด็นการผลิตเครื่องมือแพทย์มูลค่าสูงเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่เกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาคณะวิจัยได้ดำเนินโครงการภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน อาทิ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กองบินตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันเวชศาสตร์การบินกองทัพอากาศ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ  พร้อมจัดทำรายงานทางคลินิก (Clinical Safety and Performance Study) และจัดทำผลการเก็บข้อมูลการติดตามเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ หลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในประเทศ ตาม พ.ร.บ. เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2562 ที่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้งานจริง จากสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน มูลนิธิกู้ภัย ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดเตรียมข้อมูลเพื่อขยายผลผลิตภัณฑ์เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบเข้าสู่ตลาดต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ การจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (PCT) สำหรับเครื่องมือแพทย์อีกด้วย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าโครงการ และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ประกอบด้วยเปล PETE ที่ปัจจุบันพัฒนามาได้ถึงรุ่นที่ 9 แล้ว และเต็นท์ HI PETE โดยเฉพาะรุ่น Balloon (บอลลูน) ที่ได้นำเสนอในครั้งนี้ มีจุดเด่นเรื่อง “ติดตั้งง่าย ปลอดภัย และได้มาตรฐาน” จึงสามารถรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที ผลสำเร็จของผลงานนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้งานที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลปัญหาที่ชัดเจน และร่วมให้ความเห็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ โรงพยาบาลวิภาวดี แหล่งทุนวิจัยต่าง ๆ  ได้แก่ สกสว. สวรส. วช. ศลช. สวทช. รวมถึงภาคเอกชน ได้แก่ เครือมติชน บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน และประชาชนที่ให้การบริจาค ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้มีความถูกต้องทางวิศวกรรมและตอบโจทย์ผู้ใช้ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนให้ต่อยอดขยายผลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการได้รับคำแนะนำด้านการทดสอบมาตรฐานจากกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) มาตั้งแต่ต้น ทำให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ส่งผลดีต่อบุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมั่นได้ว่ามีมาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับบุคลากรผู้อยู่หน้างานได้อย่างมาก อย่างไรก็ดีทั้งเปลและเต็นท์ความดันลบนี้ จะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของทีมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำหัตถการ อำนวยความสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนปอด หรืออวัยวะส่วนอื่น ๆ เพราะไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปล ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ชุดผลงานนวัตกรรมก็สามารถใช้รองรับโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ได้ หรือหากวันใดที่เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อื่น ๆ ขึ้นประเทศไทยก็จะพร้อมรับมือ โดยไม่ต้องตื่นตะหนกและสามารถลดการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศและช่วยให้พึ่งพาระบบสาธารณสุขในประเทศได้อย่างแท้จริง
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – ธ.ไทยพาณิชย์ จัดพิธีมอบทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 25 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 5 ผลักดัน..!! เยาวชนพัฒนาอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง จัดพิธีแสดงความยินดีและปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) ระยะยาวรุ่นที่ 25 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 5 โดยสนับสนุนทุนการศึกษาและทุนวิจัยให้แก่เด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการคัดเลือก จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอกจากสถาบันการศึกษาในประเทศ และดำเนินโครงการสนับสนุนนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมของโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่อาชีพวิจัย ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (JSTP-SCB) โดยหลังจากกิจกรรมปฐมนิเทศแล้ว เยาวชนทั้งหมดจะได้เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรม ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารไทยพาณิชย์ หาดตะวันรอน จ.ชลบุรี วันที่ 3 -5 กรกฎาคม 2566 โดยวิทยากรจากธนาคารไทยพาณิชย์ จะมาให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนในเรื่อง “ความรู้ทางการเงินและการวางแผนทางการเงิน และการจัดการสินทรัพย์” พร้อมด้วยกิจกรรมทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ อีกด้วย ทั้งนี้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.  และ นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนหน่วยงานกล่าวแสดงความยินดีและมอบทุนให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือก โดยในปีนี้มีผู้มีคุณสมบัติผ่านและได้รับทุนจำนวน 11 คน ประกอบด้วย ทุน JSTP ระยะยาว จำนวน 6 คน และ JSTP-SCB จำนวน 5 คน ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) เป็นหนึ่งในโครงการด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. มีเป้าหมายในการเฟ้นหาและคัดเลือกเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายและปริญญาตรี เข้ามารับการส่งเสริมและพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน โดยจัดหานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยให้คำดูแล แนะนำ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้แสดงศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อพัฒนาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและนักวิจัยที่มีคุณภาพและมีจริยธรรมต่อไปในอนาคต เยาวชนได้มุ่งมั่นดำเนินโครงงานวิทยาศาสตร์ ภายใต้การดูแลของนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายต่างๆของโครงการฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกผู้มีแววอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้ารับการส่งเสริมในระยะยาว จำนวน 6 คน ซึ่งเป็นเยาวชนที่มาจากกลุ่มมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกโดย สวทช. โดยความร่วมมือจากกรรมการสาขาต่างๆ ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้จะได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาและการทำวิจัย รวมทั้งการส่งเสริมด้วยกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ จนถึงระดับปริญญาเอก เพื่อก้าวสู่อาชีพนักวิทยาศาสตร์/นักวิจัยต่อไปในอนาคต นอกจากเยาวชนในโครงการ JSTP รุ่นที่ 25 ยังมีเยาวชนในโครงการสนับสนุนนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมของโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่อาชีพวิจัย ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (โครงการ JSTP-SCB รุ่นที่ 5) ซึ่งคัดเลือกจากเยาวชนในโครงการ JSTP-SCB ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้รับทุน จำนวน 5 คน เพื่อเข้าสู่การรับทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนการวิจัยในระดับปริญญาตรี รวมทั้งเชื่อมโยงและส่งต่อการรับทุนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เป็นสถานที่บ่มเพาะเด็กและเยาวชน ให้มีใจไฝ่รักในวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนทุกท่านจะได้รับความรู้ความเข้าใจในกระบวนการส่งเสริมนักเรียนทุนของ สวทช. ได้รับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับวิทยากร และสร้างเครือข่ายในกลุ่มเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษร่วมกัน เพื่อที่จะได้บูรณาการองค์ความรู้ ต่างๆ ให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ มุ่งมั่นสู่การเป็นนักวิจัยที่ดีต่อไปในอนาคต ดร.พัชร์ลิตา กล่าวทิ้งท้าย ด้าน นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นพัฒนาเยาวชนและส่งเสริมการศึกษา โดยเฉพาะ เยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ธนาคาร ให้ความสำคัญ ด้วยตระหนักดีว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการพัฒนา ประเทศ ซึ่งต้องวางรากฐานตั้งแต่เป็นเยาวชน ธนาคารจึงได้ให้การสนับสนุนโครงการพัฒนา อัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชนของ สวทช. JSTP-SCB ตั้งแต่ ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อค้นหา บ่มเพาะ และส่งเสริมพัฒนาให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้มีความสามารถ สูงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของวงการวิทยาศาสตร์ การวิจัยและ นวัตกรรมของประเทศ ที่จะเกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ นั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับน้อง ๆ ทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเข้มข้น จนได้รับเป็นนักเรียนทุนในโครงการ JSTP และ JSTP-SCB ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถ พิเศษในระดับอัจฉริยะ จึงขอฝากให้น้อง ๆ ทุกคนที่ได้รับโอกาสแสวงหาความรู้ และเก็บเกี่ยว ประสบการณ์จากกิจกรรมค่ายต่าง ๆ ที่ได้รับการบ่มเพาะของโครงการที่จะจัดขึ้นมาเป็นต้นทุนชีวิตใน การพัฒนาทักษะ ความรู้ และความสามารถของตนเอง และสามารถสร้างสรรค์ผลงานด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโอกาสศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาที่สูงขึ้นในอนาคต ตลอดจนค้นพบ เส้นทางในการประกอบอาชีพ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรมของประเทศไทยต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2566
ข่าว สวทช. จับมือ มรภ. ลำปาง ลงนามความร่วมมือสู่ชุมชน มุ่งเน้นเกษตร บริหารจัดการน้ำ กำลังคน สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมในงาน “วันนักประดิษฐ์ 66” สวทช. นำ “แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ” ผลงานวิจัยสายกรีนให้เยาวชน วาดลวดลายอวดงานศิลปะ ‘วันนักประดิษฐ์ 66’ สวทช. ร่วมศูนย์ SEAMEO STEM-ED เสริมแกร่งครูไทย จัดอบรมความรู้ 'วัคซีนสู้โรค' เนคเทค สวทช. ผนึกพันธมิตรจัดงานวันรวมพลคน KidBright ครั้งที่ 4 หวังชู “KidBright” เป็นแพลตฟอร์มการศึกษา เตรียมพร้อมเยาวชนไทยสู่พลเมืองดิจิทัล นักวิจัย สวทช. รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 สวทช. ผนึกกำลัง สสน. หนุนระบบนิเวศวิจัย ด้านการบริหารจัดการน้ำ เกษตร และพลังงานของประเทศ คณะรัฐบาลกรุงมอสโก ลงพื้นที่สำนักงานใหญ่ EECi จ.ระยอง หารือโอกาสความร่วมมือด้านการพัฒนานวัตกรรม สวทช. ร่วมกับองค์กรพันธมิตร อัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี  เตรียมแผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ต้องระวัง ปี 66 สวทช. ผนึก กรมการขนส่งทางราง และ สทร. หนุนการผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมในงาน Thailand International Science Fair: TISF 2023 สวทช. เปิดพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์ สรพ. เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล EECi สวทช. เดินหน้าขยายผลนวัตกรรม “ถุงห่อทุเรียน” เพิ่มคุณภาพสู่ ทุเรียนพรีเมี่ยม ด้วย วทน. สวทช. จัดงานสัมมนา “Sustainability in Food Industry” เสริมแกร่งธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร สวทช. เปิดเวทีต่อยอดผลงาน โครงการ SUCCESS 2022 เชื่อมโยงการใช้ระบบนิเวศวิจัย ด้าน วทน. บทความ ลุยสวน “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” ใช้เทคโนโลยีพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง  Download เอกสารฉบับเต็ม (15MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
สัมมนาวิชาการที่ไม่ควรพลาด! “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 ด้วยสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา”
ปักหมุด สัมมนาวิชาการที่ไม่ควรพลาด! "ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 ด้วยสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา" . ชวนทุกท่านร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ โดยนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจในเรื่อง ประเภททรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตรและความสำคัญ, แนวทางการจดทะเบียนสิทธิบัตร และแนวทางการนำสิทธิบัตรไปใช้ประโยชน์ โดย คุณนนทพจน์ อิสสริยะกุล นักวิชาการตรวจสอบสิทธิบัตรชำนาญการ กรมทรัพย์สินทางปัญญา . กล่าวเปิดงานและนำเสนอบริการ สวทช. เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมไทย สู่ Industry 4.0 โดย ดร.รวีภัทร ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ . วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 เวลา 13.30 – 16.30 ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/FXXR5LUEFxEdLm3K9 โดยทีมงานจะส่ง link เข้าร่วมสัมมนาทางอีเมล์ของท่าน
ปฏิทินกิจกรรม
 
ขอเชิญสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “พลิกโฉมไผ่ไทยด้วยพลังชุมชนบนฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม”
ขอเชิญสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “พลิกโฉมไผ่ไทยด้วยพลังชุมชนบนฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม” วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2566 ณ ห้อง S106 อาคารบรรยายรวม5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สมัครออนไลน์ ได้ที่ https://forms.gle/aaE3JUGRDBvStAec7 Download รายละเอียด >> http://bitly.ws/JkfU สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ผู้ประสานงาน : คุณขวัญธิดา ดงหลง (098 586 7831) หรือ คุณอุไรพรรณ ปรางอุดมทรัพย์ (081 647 6014) kma@nstda.or.th LINE : อบรมขยายพันธุ์ไผ่และการใช้ประโยชน์ หรือ https://line.me/R/ti/g/EDC8m7xE-3 เรียนรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยการขยายพันธุ์และแปรรูปไผ่แบบครบวงจร และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแสดงผลงาน รวมทั้งเกิดเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการยกระดับความรู้ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหันมาลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา และช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมในอุตสาหกรรมไม้ไผ่ของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ปฏิทินกิจกรรม
 
วินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า! นำร่องแล้วที่บางกรวย – บางพลัด
ENTEC สวทช. ร่วมกับ กฟผ. และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ส่งมอบ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จำนวน 50 คัน ให้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ในพื้นที่ อำเภอบางกรวย นนทบุรี และ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับให้บริการสาธารณะในประเทศไทย เพื่อเป็นโมเดลวินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า นำร่องใน 2 พื้นที่โดยมีการติดตามเก็บข้อมูลการใช้งานด้านต่าง ๆ ก่อนขยายผลไปในพื้นที่อื่นต่อไป มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สอดคล้องกับนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ อีกทั้งเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
PTEC สวทช. โชว์ขุมพลังระบบนิเวศวิจัย ด้านการวิเคราะห์-ทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า EV ตามมาตรฐานสากล
วันที่ 26 มิถุนายน 2566 ณ อาคารแชมเบอร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ PTEC สวทช. พร้อมด้วยทีมวิศวกรและเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน เปิดบ้านให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์พิเศษ ประเด็น EV ปลอดภัย ต้องใส่ใจมาตรฐานการทดสอบสากล ในกิจกรรม NSTDA Meets the Press พร้อมเข้าเยี่ยมชมมาตรฐานการวิเคราะห์ทดสอบด้านยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ ห้องปฏิบัติการทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าทั้งคันด้านการทดสอบ EMC /การทดสอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้า EV Charger เยี่ยมชมการทดสอบด้านความปลอดภัยและการขนส่งแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า และ เยี่ยมชมการทดสอบด้านประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ดร.ไกรสร กล่าวว่า ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC สวทช. ให้บริการทดสอบ สอบเทียบสนับสนุนการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยยุค 4.0 ให้ได้การรับรองผลิตภัณฑ์ในระดับสากลโดยบุคลากรมืออาชีพ ซึ่งปัจจุบัน PTEC ให้บริการทดสอบแบตเตอรี่ลิเธี่ยมสำหรับยานยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามมาตรฐานสากลเพื่อใช้งานในประเทศ ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ และทดสอบตามความต้องการเฉพาะของค่ายยานยนต์ต่าง ๆ ทั้งเพื่อการทำ R&D ในบริษัทผู้ผลิตหรือพัฒนายานยนต์รุ่นใหม่ ๆ จากนโนบายยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล ซึ่งมีการออกมาตรการส่งเสริมออกมาหลายส่วน จึงทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายานยนต์ไฟฟ้า (EV)  ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยในปี 2566 มียอดสะสมของยานยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด และไฮบริดมากกว่า 10,000 คัน ถือเป็นประเทศต้น ๆ ในอาเซียนที่มีอัตราการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามาก และเนื่องจากการเลือกซื้อและใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากผู้บริโภคจะให้ความสนใจในเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก การประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ผู้บริโภคควรคำนึงถึงด้านความปลอดภัยด้วย และไม่ใช่แค่ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นแต่ต้องรวมไปถึงหัวชาร์จไฟฟ้า ทั้งติดตั้งในบ้าน และในพื้นที่ให้บริการอื่น ๆ อีกด้วย โดยวิธีการที่จะใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ปลอดภัย ต้องดูที่ชิ้นส่วนและยานยนต์ไฟฟ้าว่าผ่านมาตรฐานการทดสอบสากลมาแล้วหรือไม่ โดย PTEC ได้ให้บริการทดสอบชิ้นส่วนสำคัญในยานยนต์ไฟฟ้าหลายประเภท ตั้งแต่ แบตเตอรี่ลิเธียม ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง หัวชาร์จ ไปจนถึงการทดสอบ EMC สำหรับยานยนต์ทั้งคัน โดยใช้มาตรฐานสากลและมาตรฐาน มอก. เป็นหลัก นอกจากนี้ยังให้บริการทดสอบเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะแก่ค่ายยานยนต์ที่ตั้งโรงงานประกอบในประเทศและมีมาตรฐานชิ้นส่วนของตนเอง เพื่อให้สามารถส่งชิ้นส่วนไปจำหน่ายในตลาดยุโรป ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา สำหรับกลุ่มชิ้นส่วนที่ PTEC ให้บริการทดสอบ ได้แก่ แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าทางด้านความปลอดภัย และเพื่อการขนส่งตามข้อกำหนดของสหประชาชาติ(UN) ในด้านความปลอดภัยแบตเตอรี่ PTEC ให้บริการทดสอบแบตเตอรี่ลิเธียมได้ทั้ง 3 ขนาดคือ แบตเตอรี่เซลล์  แบตเตอรี่โมดูล และแบตเตอรี่แพ็ค โดยใช้มาตรฐานสากลในการทดสอบ เช่น UN R136 สำหรับมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า และ UN R100 สำหรับยานยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดและยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งตามมาตรฐานนี้ต้องมีการทดสอบหลายหัวข้อ เช่น การป้องกันการลัดวงจรไฟฟ้า การทนต่ออุณหภูมิสูง การสั่น การตกกระแทก การบีบอัดจากการชน การเผาไฟ การจมน้ำ การอัดประจุฟ้าเกิน การคายประจุไฟฟ้าเกิน เป็นต้น ในด้านประสิทธิภาพพลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ PTEC ให้บริการทดสอบด้านการชาร์จ/การดิสชาร์จแบตเตอรี่ ขณะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความชื้น โดยในส่วนนี้ PTEC สามารถทำการทดสอบแบตเตอรี่ลิเธียมขนาด กำลังไฟฟ้า 1MW ได้เป็นแห่งแรกในอาเซียน ในส่วนของการขนส่งแบตเตอรี่บนท้องถนน ขนส่งทางเรือ ทางเครื่องบิน แบตเตอรี่ต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน UN 38.3 ก่อน เนื่องจากตามข้อกำหนดสากลแบตเตอรี่ถือเป็นวัตถุอันตรายควบคุม คล้ายกับการขนส่งน้ำมัน และแก๊สไวไฟ ดังนั้นหากมีอุบัติเหตุขณะขนส่ง อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนทั่วไปได้ สำหรับการทดสอบในการขนส่ง เช่น การทดสอบการตก การสั่น การลัดวงจร อุณหภูมิ ความกดอากาศ เป็นต้น ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อการส่งออก สำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ที่ PTEC ให้บริการทดสอบ มีตั้งแต่    ไฟในห้องโดยสารยานยนต์ ไฟหน้า/ไฟท้าย วิทยุเอ็นเตอร์เทรนเม้นต์ ระบบนำร่อง ระบบ ECU ระบบเรดาห์ สายอากาศ โดยส่วนนี้ PTEC ใช้มาตรฐาน UN R10 มาตรฐาน ISO  CISPR IEC ในการทดสอบ และมีเครื่องมือในการทดสอบขนาดใหญ่รองรับการทดสอบ EMC สำหรับยานยนต์ทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็น รถเก๋ง รถปิ๊กอัฟ รถ SUV รถตู้ รถบัส หัวลากรถบรรทุก ด้วย นอกจากนี้ยังมี Dynamo meter สำหรับใช้จำลองสภาวะการขับขี่บนถนนเรียบ ทางตรง ทางโค้ง การไต่ระดับความสูง การลงทางลาด จำลองการขับเคลื่อนได้ทั้งแบบ 2 wheels drive และ 4 wheels drive และการวัดเสียงจากการขับขี่ยานยนต์ทั้งภายในและภายนอกห้องโดยสารด้วย สถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า หนุน EV Ecosystem แบบครบวงจรในไทย ในส่วนของสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า PTEC ให้บริการทดสอบหัวชาร์จแบบ AC normal charge ที่นิยมติดในบ้านและในห้างสรรพสินค้า และหัวชาร์จแบบ DC quick charge ที่ติดตั้งในปั๊มน้ำมัน โดย PTEC สามารถให้บริการทดสอบหัวชาร์จขนาด 150kW ได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีแผนขยายขีดความสามารถในการทดสอบขึ้นเป็น 250kW ในปี 2566 ด้วย โดยจะเป็นห้องทดสอบที่มีขีดความสามารถในการทดสอบด้านหัวชาร์จใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และยังสามารถรองรับการทดสอบยานยนต์ที่ป้อนไฟฟ้าแบตเตอรี่ในรถเข้าสู่สายส่งไฟฟ้า ที่เรียกว่า Vehicle to Grid (V2G) ได้ในปีหน้าด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรฐานการทดสอบต่าง ๆ ที่กล่าวมา ถูกใช้เป็นส่วนสำคัญในการคัดเลือกและควบคุมชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย เพื่อส่งถึงมือผู้บริโภค แต่การนำยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ไปใช้งาน ผู้บริโภคควรมีความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่นี้ด้วย เพื่อทำให้ใช้งานได้อย่างถูกต้อง คุ้มค่าและเสียค่าซ่อมบำรุงต่ำ ข้อควรรู้ของผู้บริโภค เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV สำหรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าขั้นพื้นฐาน ผู้อำนวยการ PTEC สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อควรรู้ในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ในสถานการณ์ฝนตก-น้ำท่วมขังถนน เนื่องจากการออกแบบและติดตั้งแบตเตอรี่ของยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตทุกรายได้ทำการติดตั้งแบตเตอรี่อยู่ใต้ที่นั่งผู้ขับขี่เพื่อให้มีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้าง แต่ประเทศไทยในช่วงฤดูฝนมักมีน้ำขังบนถนนในระดับสูง บางครั้งสูงถึงครึ่งคันรถ ดังนั้นการขับผ่านน้ำบ่อยๆ การจอดยานยนต์ไฟฟ้าแช่น้ำเป็นเวลานาน หรือการใช้งานรถเป็นเวลานาน ๆ หลายปี  ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบเรื่องน้ำ ความชื้น และการเสียหายภายใต้ท้องรถให้บ่อยขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีน้ำรั่วเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ นอกจากนี้การขับรถข้ามผ่านหลังเต่าที่สูง ๆ การจอดรถคร่อมฟุตบาทและมีการกระแทกใต้ท้องรถอาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้นโดยไม่ได้สังเกตจึงควรระมัดระวังให้มาก ข้อควรระวัง การติดตั้งชาร์จเจอร์ ใช้ในบ้านที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับผู้ที่ติดตั้งหัวชาร์จที่บ้าน ควรตรวจสอบขนาดสายไฟฟ้าที่เหมาะสมกับกระแสไฟฟ้าที่จะชาร์จรถ  ไม่ควรใช้สายไฟฟ้าที่มีอายุการใช้งานนาน เช่น สายหุ้มเปราะหรือแตกหัก หากกระแสไฟฟ้าเสี่ยงไม่เพียงพอก็ไม่ควรพ่วงต่อสายไฟฟ้าในบ้านเข้าสู่หัวชาร์จโดยตรง  ทั้งนี้แนะนำว่าก่อนการติดตั้งควรให้ผู้ที่มีความรู้เรื่องการติดตั้งหัวชาร์จ ช่วยทำการประเมินด้านความปลอดภัยทางไฟฟ้าเสียก่อน ซึ่งปัจจุบันมีหลายหน่วยงานออกข้อแนะนำในการติดตั้งมาให้แล้ว เช่น การไฟฟ้านครหลวง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เป็นต้น และควรแยกประเภทหัวชาร์จให้ถูกต้องด้วยว่าแบบใดเหมาะที่จะติดตั้งในบ้าน แบบใดติดตั้งนอกอาคาร เพราะหัวชาร์จแต่ละประเภทมีความสามารถในการต้านทานอุณหภูมิ น้ำฝน ฝุ่นแตกต่างกัน นอกจากนี้ PTEC ยังได้รับการขึ้นทะเบียนจาก ASEAN SECTORAL MRA ON ELECTRICAL AND ELECTRONIC EQUIPMENT (ASEAN EE MRA) เมื่อเดือนกันยายน ปี 2561 ที่ผ่านมา ให้เป็นห้องปฏิบัติการทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของภายใต้ข้อตกลงการค้าอาเซียน โดยมีประเทศสมาชิกอาเซียนให้การยอมรับมากถึง 7 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และเวียดนาม และยังได้รับการยอมรับให้เป็นห้องปฏิบัติการการทดสอบ EMC สำหรับการนำสินค้าเข้าสู่ประเทศเวียดนาม จากหน่วยงาน QUACERT ซึ่งเป็นเสมือน สมอ.ของประเทศเวียดนาม อีกด้วย สำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ PTEC ได้ลงนามความร่วมมือกับ SGS ประเทศฟินแลนด์ เพื่อทำให้ชิ้นส่วนด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ สามารถทดสอบ EMC ได้ในประเทศไทย เราสามารถเข้าตรวจโรงงานผลิตได้และ PTEC จะนำผลการทดสอบและการตรวจโรงงานเพื่อขอเครื่องหมาย E mark จากกรมขนส่งทางบกของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองยานยนต์สากล ทำให้อุตสาหกรรมของไทยสามารถส่งผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ไปจำหน่ายในประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป 27 ประเทศได้อีกด้วย ผู้สนใจสามารถติดต่อศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ PTEC-สวทช. ได้ที่ sales@ptec.or.th โทรศัพท์ 02 117 8600 ฝ่ายการตลาดต่อ 8611 – 8614
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
พัฒนาสารสกัด “เห็ดหลินจือออร์แกนิก” สู่ผลิตภัณฑ์ “ริเชอรอล” ซีรั่มบำรุงผิวหน้าชะลอวัย
  Tech: สุดล้ำ! นักวิจัยร่วมกับเอกชนไทยพัฒนาวิธีสกัดสารสำคัญจากเห็ดหลินจือและระบบห่อหุ้มด้วยนาโนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความคงตัวและความปลอดภัย ต่อยอดสู่นวัตกรรมเวชสำอางชะลอวัย “ริเชอรอล” ที่อุดมด้วยสารสกัดจากเห็ดหลินจือออร์แกนิก หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน NAC Market 2023 ตลาดนัดสินค้านวัตกรรมภายใต้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. หรือ NAC2023 BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ร่วมวิจัยและพัฒนาโดยบริษัทฟาร์มคิดดี จำกัด และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 09 3629 6626 อีเมล : laovasana@gmail.com เฟซบุ๊ก : Reishural - ริเชอรอล หรือไลน์ : @reishural2022   [caption id="attachment_44018" align="aligncenter" width="700"] วาสนา เชิดเกียรติกำจาย (หน้าสุด) วรกร เลาหเสรีกุล (กลาง) และ ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด (หลังสุด)[/caption]   วาสนา เชิดเกียรติกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟาร์มคิดดี จำกัด เล่าว่า บริษัททำฟาร์มเพาะเห็ดหลินจือออร์แกนิกและแปรรูปเป็นชาเห็ดหลินจือจำหน่ายที่ตลาดสุขใจ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ จนกระทั่งคุณวรกร เลาหเสรีกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทอีกท่านหนึ่งได้รู้จักกับ ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด นักวิจัย นาโนเทค สวทช. และทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวชสำอางและสารสกัดจากธรรมชาติ จึงเกิดเป็นความร่วมมือวิจัยพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และขยายการใช้ประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากอาหารสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามซึ่งมีมูลค่าสูงและมีตลาดกว้าง โดยเราได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) [ปัจจุบันโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE อยู่ภายใต้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)] ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการสกัดสารสำคัญจากดอกเห็ดหลินจือ พร้อมทั้งพัฒนาระบบอนุภาคนิโอโซมเพื่อกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ ทำให้มีความคงตัว กระจายตัวได้ดี และมีความปลอดภัยไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ที่สำคัญคืออนุภาคสามารถนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของอนุภาคในชื่อ ริชโอโซม (REISHOSOME) และพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของริชโอโซม โดยผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและการระคายเคืองผิวตามมาตรฐาน The International Dermatitis Research Group ปัจจุบันได้ผลิตจำหน่ายภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ “ริเชอรอล” (REISHURAL)     จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้าริเชอรอล คือ สารสกัดจากเห็ดหลินจือออร์แกนิกจากฟาร์มคิดดี อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไตรเทอร์พีนอยด์และพอลิแซ็กคาไรด์ สารสำคัญที่ช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดเลือน ผสานนาโนเทคโนโลยีในการกักเก็บสารสำคัญด้วยอนุภาค “ริชโอโซม” ซึ่งเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของริเชอรอล สามารถนำพาสารบำรุงซึมซาบสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลดปล่อยสารสำคัญได้ยาวนาน 8-24 ชั่วโมง มีผลช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดเลือน แลดูกระจ่างใส และเพิ่มความชุ่มชื่นเมื่อใช้ 2-4 สัปดาห์     ผลิตภัณฑ์ริเชอรอลยืนยันความสำเร็จด้วยรางวัลเหรียญทองจากเวทีการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติในงาน Seoul International Invention Fair 2022 (SIIF 2022) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี และรางวัลเหรียญเงินจากงานประกวดนวัตกรรมโลก SPECIAL EDITION 2022 – INVENTION GENEVA EVALUATION DAYS ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส “ริเชอรอล” แสดงให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สามารถเข้าไปช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางการเกษตรได้หลายเท่าตัว ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ขยายตลาดให้ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจในสุขภาพและความงาม     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
จ.เชียงใหม่ บูรณาการทุกหน่วยงานใช้ Traffy Fondue แก้ปัญหาเมือง
แพลตฟอร์มบริหารจัดการเมือง Traffy Fondue พัฒนาโดยทีมนักวิจัย สวทช. ได้ขยายผลไปใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง   ล่าสุด จ.เชียงใหม่ ได้บูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานราชการทั่วทั้งจังหวัด นำ Traffy Fondue ไปใช้เป็นเครื่องมือรับแจ้งปัญหาหรือข้อร้องเรียนจากประชาชนผ่านไลน์ @traffyfondue เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน    ทั้งนี้ปัจจุบันมี 11 จังหวัดบูรณาการทุกหน่วยงานในจังหวัดนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไปใช้รับแจ้งปัญหาประชาชน ประกอบด้วย นครราชสีมา , อุบลราชธานี , ขอนแก่น , พะเยา , ลำพูน , ปราจีนบุรี , ภูเก็ต , เพชรบูรณ์ , สมุทรปราการ , สระบุรี , และ เชียงใหม่
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ENTEC สวทช. กฟผ. เอกชนไทย-จีน ร่วมจัดพิธีฉลองมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 50 คัน ให้กับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างสาธารณะ ในเขตพื้นที่บางกรวย นนทบุรี และบางพลัด กรุงเทพมหานคร
For English-version news, please visit : Fifty e-motorcycles handed over to taxi riders to promote electrification of public transport (23 มิถุนายน 2566) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ได้จัดพิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 50 คัน ให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ในพื้นที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตบางพลัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวรายงานต่อประธานในพิธี ได้แก่ H.E. Georg Schmidt เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย Ms. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย Dr. Mustaq Memon ผู้ประสานงานรับภูมิภาคด้านเคมีภัณฑ์ ของเสียและคุณภาพอากาศ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) คุณประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คุณสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และคุณเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร ที่ได้ร่วมให้เกียรติเป็นประธานในพิธีครั้งนี้ จากการสนับสนุนของ International Climate Initiative (IKI) โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติ ความปลอดภัยทางปรมาณู และการปกป้องผู้บริโภค แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Federal Ministry for the Environment, Nature Conservation, Nuclear Safety and Consumer Protections: BMUV) โครงการ “Integrating Electric 2&3 Wheelers into Existing Urban Transport Modes in Developing and Transitional Countries” แก่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme: UNEP) เพื่อพัฒนาโปรแกรมใน 6 ประเทศ จาก 2 ภูมิภาค ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม เอธิโอเปีย เคนยา และยูกันดา เพื่อผนวกยานยนต์ไฟฟ้า 2-3 ล้อเข้ากับขนส่งสาธารณะ โดยกรอบนโยบายที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อเป็นแบบอย่างในการขยายผลไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ภายใต้ Global Electric Mobility Program ของ UNEP บริษัท Dongguan Tailing Electric Vehicle Co., Ltd. (หรือที่รู้จักในนาม TAILG) ได้เข้าร่วมเป็นภาคี โดยได้บริจาครถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในหลายประเทศ ได้แก่ เคนยา ยูกันดา ฟิลิปปินส์ และไทย เพื่อสร้างความตระหนักด้านการขนส่งไฟฟ้า และเก็บข้อมูลที่สำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการร่างนโยบาย สำหรับประเทศไทย UNEP ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้โครงการ “Supporting Scaling-Up of Electric 2&3 Wheelers in Thailand” ซึ่งนับเป็นโครงการในเฟสที่สองแล้ว มีกิจกรรมหลักคือการโฟกัสกับการพัฒนานโยบายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ขนส่งไฟฟ้าด้วยยานยนต์ไฟฟ้า 2-3 ล้อ ในไทย โดยการประเมินภาพขนส่งพื้นฐานของประเทศและภาพฉายในอนาคตที่จะมีการเข้ามาของยานยนต์ไฟฟ้า 2-3 ล้อในประเทศ ตลอดจนนำร่องการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศเพื่อมุ่งสู่เป้าคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งในการดำเนินโครงการในเฟส 2 นี้ สวทช. ได้รับความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท The Stallions และบริษัท Dongguan Tailing Electric Vehicle Co., Ltd. (TAILG) มีการลงนามร่วมกันในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 มีความก้าวหน้าในการดำเนินการที่ผ่านมาได้แก่ TAILG ได้ส่งมอบชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ จากสายการผลิตที่ ประเทศสาธารณรัฐประชาชานจีน กฟผ. ได้ดำเนินการขยายสถานีให้บริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่เพื่อให้รองรับจำนวนรถจักรยานยนต์ที่จะเพิ่มขึ้นในโครงการนี้ The Stallions ได้ดำเนินการประกอบชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ตลอดจนดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ENTEC ได้สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ การติดต่อประสานงาน พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ติดตามการใช้พลังงานในตัวรถเพื่อเก็บข้อมูลทางเทคนิคประกอบการประเมินทางเศรษฐศาสตร์ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับพี่วินมอเตอร์ไซด์รับจ้างเป็นที่เรียบร้อยคิดเป็นจำนวน 60% ของเป้าหมายนทั้ง 50 คัน และคาดว่าจะส่งมอบแล้วเสร็จภายในเดือน กรกฎาคม 2566
ข่าวประชาสัมพันธ์