ผลการค้นหา :

ผู้อำนวยการ สวทช. มอบดอกไม้แสดงความยินดี 2 นักวิจัย สวทช. ในโอกาสเข้ารับพระราชทานโล่รางวัลกลุ่มนักเทคโนโลยีดีเด่นและรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2565
For English-version news, please visit : NSTDA researchers honored with Technologist Awards 2022
17 สิงหาคม 2566: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบดอกไม้แสดงความยินดีกับ 2 นักวิจัย สวทช. ที่ได้เข้ารับพระราชทานโล่รางวัลกลุ่มนักเทคโนโลยีดีเด่นและรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2565 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จัดโดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2565 ประเภทกลุ่ม ได้แก่ โครงการ“ระบบติดตามตรวจวัดข้อมูลระยะไกลด้านความปลอดภัยเขื่อน” (Dam Safety Remote Monitoring System: DS-RMS) โดย ดร.กนกเวทย์ ตั้งพิมลรัตน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (ACERG) และทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
รางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2565 ได้แก่ โครงการ “โครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลสมรรถนะสูงเพื่องานวิจัยวัสดุขั้นสูง” (High Performance Computing Infrastructure for Advanced Materials Research) โดย ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ หัวหน้าทีมวิจัยโครงสร้างพื้นฐานซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.
รางวัลดังกล่าวถือเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจที่นักวิจัย สวทช. ได้สร้างสรรค์ มุ่งมั่นและตั้งใจ
ในการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อนำไปตอบโจทย์ของประเทศ
และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

A-MED Care Pharma แก้วิกฤติโรงพยาบาลแออัด หนุน สภาเภสัชฯ-สปสช. ดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเจ็บป่วยเล็กน้อย รับยาที่ ‘ร้านยาคุณภาพ’
วันที่ 16 สิงหาคม 2566 ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อาคารโยธีนำโดย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ดิจิทัล (Digital Healthcare Platform) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยทีมวิจัย A-MED สวทช. และ ภญ.เพ็ญทิพา แก้วเกตุทอง ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองร้านยาคุณภาพ สภาเภสัชกรรม เปิดสัมภาษณ์พิเศษในกิจกรรม NSTDA Meets the Press เรื่อง ระบบ A-MED Care Pharma บริการ ‘เชื่อมร้านยา ดูแล 16 อาการ’ แพลตฟอร์มดี ๆ เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วไทย โดยเทคโนโลยี A-MED Care แพลตฟอร์มหลังบ้านในการบริหารจัดการ การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง
เพื่อสนับสนุนการทำงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสภาเภสัชกรรม หนึ่งในบริการของแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ดิจิทัล ซึ่งเป็น Core Business ของ สวทช. โดยมุ่งเป้าใช้นวัตกรรมแก้ไขปัญหาเรื่องความแออัดของหน่วยบริการสาธารณสุข ช่วยประชาชนเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ดิจิทัล (Digital Healthcare Platform) สวทช. กล่าวว่า ระบบ A-MED Care พัฒนาโดย สวทช. เพื่อเป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการบริหารจัดการ การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทองของร้านยาภายใต้การกำกับของสภาเภสัชฯ และ สปสช. ซึ่งร้านยาที่เข้าร่วมโครงการจะต้องผ่านมาตรฐานหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน ของกระทรวงสาธารณสุข และผ่านเกณฑ์การเป็นร้านยาคุณภาพของสภาเภสัชกรรม เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับยาและคำแนะนำจากเภสัชกรในเรื่องการใช้ยาและการปฏิบัติตัวต่างๆอย่างมีมาตรฐานและเหมาะสม
“ในการพัฒนาเทคโนโลยี A-MED Care Pharma ทีมวิจัยพัฒนาระบบการวินิจฉัยโรค การจ่ายยาตามอาการนำของโรค ระบบติดตามอาการทางไกลผ่านระบบ Telehealth สำหรับเภสัชกร และระบบการเบิกจ่าย e-claim ไปยังกองทุน สปสช. เพื่อให้รองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีร้านยาเข้าร่วมโครงการแล้ว 1,167 ร้านทั่วประเทศ มีประชาชนสิทธิบัตรทองที่เจ็บป่วยเล็กน้อยเข้ารับบริการแล้วมากกว่า 240,000 คน เป็นการรับบริการมากกว่า 450,000 ครั้ง โดยพบว่าผู้ป่วยที่มารับบริการที่ร้านยา 92% หายป่วยและดีขึ้น มีการส่งต่อแพทย์ประมาณ 2% และอยู่ระหว่างการดูแล 6% (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2566) สำหรับก้าวต่อไป ทีมวิจัยตั้งเป้าพัฒนาระบบ A-MED Care Pharma ในบริการจ่ายยาเพื่อลดความแออัด หรือ ระบบ e-prescription รูปแบบที่เรียกว่า โมเดล 3 เพื่อให้ร้านยาได้ใช้งานระบบเดียว ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ตั้งแต่ขั้นตอน การบันทึก การรายงาน และการส่งเบิกจ่ายเป็นระบบเดียวในร้านยา”
ภญ.เพ็ญทิพา แก้วเกตุทอง ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองร้านยาคุณภาพ สภาเภสัชกรรม กล่าวว่า ความแออัดในโรงพยาบาลและหน่วยการบริหารสาธารณสุขเป็นปัญหาใหญ่ในการเข้ารับบริการสุขภาพปฐมภูมิที่มีคุณภาพ ประชาชนต้องเสียเวลานานในการรอคอยเพื่อพบแพทย์และรับยา บุคลากรทางการแพทย์ต่างเหนื่อยล้าจากภาระงานที่มีมากเกินกว่าจะรองรับได้ ซึ่งที่ผ่านมาทางสภาเภสัชกรรมในทุกวาระได้พยายามขับเคลื่อนร้านยาเพื่อให้เป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยในปี 2562 สปสช. ได้มีการประกาศให้ “ร้านยาเป็นหน่วยร่วมบริการ” และเกิดโครงการลดความแออัดขึ้น โดยผู้ป่วยที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีอาการคงที่ให้สามารถไปรับยาที่ร้านยาเพื่อช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ผู้ป่วยไม่ต้องเสียเวลารอคอยที่โรงพยาบาลและยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงพยาบาลอีกด้วย
“กระทั่งในช่วงวิกฤตการระบาดของโรคโควิด 19 สภาเภสัชกรรมได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือวิกฤตของประเทศในขณะนั้น โดยให้ร้านยาเป็นจุดแจกชุด ATK และร่วมเป็นหน่วยติดตามดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในการแยกตัวที่บ้าน (Home Isolation) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทีมงานเภสัชกรได้รู้จักและใช้งานในระบบ A-MED Care จากนั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ใน โครงการเจอ แจก จบ หรือ โครงการ Self-isolation ที่ร้านยา (เป็นหน่วยร่วมบริการส่งต่อเฉพาะด้านเภสัชกรรมของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ได้ให้บริการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 (กลุ่มสีเขียว) ที่บ้าน โดยใช้ระบบ A-MED Care ในการบันทึกอาการ จ่ายยา และติดตามอาการไปจนถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายค่าบริการ ซึ่งมีประชาชนเข้าใช้งานกว่า 6 หมื่นคน จาก 700 ร้านยาที่ร่วมโครงการ
สภาเภสัชกรรมเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลในการเข้ามาช่วยยกระดับบริการทางสาธารณสุขให้แก่ประชาชน ในปีงบประมาณ 2566 จึงมุ่งเป้าเพิ่มบริการเชิงรุกเปิดให้ ผู้ป่วยบัตรทองเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ เช่น ปวดหัว เวียนหัว ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อ ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเสีย ผื่นคัน และบาดแผล มารับยากับเภสัชกรที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยระบบ A-MED Care Pharma ช่วยให้การให้บริการของเภสัชกรในโครงการเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว ใช้งานง่าย มีความเสถียรและมีแอดมินคอยช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดเวลา ผนวกกับการดูแลจ่ายยา ให้คำแนะนำ ติดตาม หรือส่งต่อพบแพทย์ เป็นโครงการที่ตรงตามความต้องการของประชาชน จะเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยมารับบริการมีจำนวนถึง 2 แสนคน มารับบริการที่ร้าน 4 แสนกว่าครั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2566) และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย สปสช.เองก็ได้ตั้งเป้าหมายให้ร้านยาบริการต่อเนื่องไปในปีงบประมาณ 2567 และให้ขยายกลุ่มอาการเพิ่มขึ้นและมียาสมุนไพรเข้ามาใช้เป็นทางเลือกอีกด้วย
ในโครงการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการที่ร้านยานี้ เภสัชกรจะแนะนำการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น และหลังจากได้รับยาไปแล้ว 3 วัน จะมีการติดตามผลการใช้ยาว่าผู้ป่วยดีขึ้นหรือไม่อย่างไร สำหรับระบบการบันทึกการให้บริการ การจ่ายยา การติดตามอาการ และขั้นตอนการเบิกจ่ายค่าบริการจะดำเนินการผ่านระบบ A-MED Care Pharma ที่พัฒนาโดย สวทช. ซึ่งเภสัชกรในโครงการฯล้วนให้ความเห็นตรงกันว่าเป็นระบบที่ใช้งานง่าย มีความเสถียร และมีผู้ประสานงานแก้ไขปัญหาต่างๆให้เภสัชกรแทบจะตลอดเวลาการใช้งาน ทั้งนี้ประชาชนสิทธิบัตรทองสามารถใช้บริการโดยสังเกตสติ๊กเกอร์ของร้านยาที่เขียนว่าร้านยาคุณภาพของฉัน หรือตรวจสอบรายชื่อร้านยาในโครงการได้ที่เว็บไซต์ สปสช. หรือสายด่วน สปสช. 1330”
ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองร้านยาคุณภาพ สภาเภสัชกรรม กล่าวด้วยว่า สำหรับก้าวต่อไปในปี 2567 คือ การพัฒนาระบบ A-MED Care Pharma ในบริการจ่ายยาเพื่อลดความแออัด หรือ ระบบ e-prescription รูปแบบที่เรียกว่า โมเดล 3 เพื่อให้ร้านยาได้ใช้งานระบบเดียว ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทั้ง ระบบการบันทึก การรายงาน และการส่งเบิกจ่าย เป็นระบบเดียวในร้านยาซึ่งจะทำให้ร้านยาไม่ต้องใช้หลายระบบในการทำงานบันทึกการให้บริการ ซึ่งเป็นความท้าทายของวิชาชีพเภสัชกรในการปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่ (New Normal) เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมบริการต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมโยง ประมวลผล และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ A-MED Care คือหนึ่งในบริการของแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ดิจิทัล (Digital Healthcare Platform) ซึ่งเป็น Core Business ของ สวทช. มีพันธกิจหลักในการนำเอาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านดิจิทัล เช่น เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ที่ส่งผ่านข้อมูลเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่าง ๆ มาสนับสนุนหน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับการดูแลสุขภาพขั้นปฐมภูมิของประชาชนให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผู้ป่วยสามารถรับยาใกล้บ้านได้สะดวก รวดเร็ว ลดการเดินทาง ลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแบ่งเบาภาระงานของโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ นับเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลของประเทศไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์

A- MED ร่วมกับ CREATe Asia ลงนามในบันทึกข้อตกลง The CREATe Asia Agreement 2023 ฉบับใหม่
For English-version news, please visit : NSTDA collaborates with global partners to advance assistive technologies
9 สิงหาคม 2566 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A- MED) ร่วมกับ กลุ่มความร่วมมือวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (CREATe Asia) ลงนามในบันทึกข้อตกลง The CREATe Asia Agreement 2023 ฉบับใหม่ ภายในงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง วิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (The 16th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology: i-CREATe 2023) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จังหวัดปทุมธานี โดย ดร.ชัยวุฒิ วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค เป็นผู้แทนสวทช.เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว และ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานประชุม i-CREATe 2023 ได้ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานและกล่าวแสดงความยินดีต่อหน่วยงานที่ร่วมลงนามในครั้งนี้
การลงนามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ เป็นการสานต่อความร่วมมือจากบันทึกข้อตกลงฉบับเดิมที่กลุ่มความร่วมมือ CREATe Asia ลงนามครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2558 ณ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อประชากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
กลุ่มความร่วมมือ CREATe Asia ประกอบด้วยสมาชิก 13 องค์กร ได้แก่
1. Australian Rehabilitation and Assistive Technology Association (ARATA)
2. China Association of Assistive Products (CAAP)
3. University of Shanghai for Science and Technology (USST)
4. Hong Kong Occupational Therapy Association (HKOTA)
5. Hyogo Institute of Assistive Technology (HIAT)/Hyogo Rehabilitation Center (HRC)
6. Rehabilitation Engineering Society of Japan (RESJA)
7. Universiti Teknologi Malaysia (UTM)
8. Independent Living Charitable Trust, New Zealand (ILCT)
9. Rehabilitation Research Institute of Singapore (RRIS)
10. Korean Association of Assistive Technology Professionals (KAATP)
11. Rehabilitation International Korea, Seoul (RI Seoul)
12. Taiwan Rehabilitation Engineering and Assistive Technology Society (TREATS)
13. National Science and Technology Development Agency, Thailand (NSTDA)
จาก 10 เขตเศรษฐกิจ กล่าวคือ ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย โดย Rehabilitation International Korea, Seoul จากสาธารณรัฐเกาหลี เป็นสมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมกลุ่มความมือในครั้งนี้
งานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2023 ซึ่งหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพโดยสมาชิกกลุ่มความร่วมมือ CREATe Asia จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2550 โดยความร่วมมือระหว่างสิงคโปร์และไทย ภายในงานประกอบด้วย การแสดงปาฐกถา การนำเสนอผลงานวิชาการ การประชุมเชิงปฏิบัติการ การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ “Global Student Innovation Challenge” และ นิทรรศการด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานประชุมทุกปี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – แจ็กซา ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ ให้หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษา 22 แห่ง พร้อมปลูกทั่วไทย สร้างเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์
15 สิงหาคม 2566 เวทีกลาง อาคาร 9-11 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) โดยมีนายทาเคฮิโระ นากามูระ ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์ที่ปลูกโดยใช้เมล็ดที่ผ่านการท่องอวกาศนาน 7 เดือน ให้แก่สถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐรวม 22 แห่งทั่วประเทศนำไปปลูก เพื่อต่อยอดสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการศึกษาเปรียบเทียบการเติบโตระหว่างต้นราชพฤกษ์อวกาศที่ปลูกด้วยเมล็ดจากอวกาศกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2566
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ร่วมกับ JAXA และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกันดำเนินการโครงการราชพฤกษ์อวกาศ “ในวันนี้ สวทช. ได้เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รับ ‘ต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ’ นำไปปลูกเปรียบเทียบกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ เพื่อร่วมศึกษาวิจัยและติดตามการเจริญเติบโตของเมล็ดราชพฤกษ์อวกาศ
สำหรับโครงการราชพฤกษ์อวกาศ สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คัดเลือก ‘เมล็ดราชพฤกษ์’ เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความหมายต่อคนไทย ในฐานะ ‘ดอกไม้ประจำชาติ’ อีกทั้งดอกราชพฤกษ์ยังมีสีเหลืองงดงาม เป็นสีประจำคณะวิทยาศาสตร์ในหลายมหาวิทยาลัย ทาง สวทช. ได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ราชพฤกษ์ จำนวน 360 เมล็ด ให้แก่ JAXA เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบร่วมกับเมล็ดพันธุ์พืชจากอีก 11 ประเทศ ก่อนส่งขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2563 โดยเมล็ดราชพฤกษ์ของไทยถูกเก็บรักษาไว้ในห้องทดลอง Kibo Module ของ JAXA เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน ก่อนจะส่งกลับถึงพื้นโลกในวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 อย่างไรก็ตามหวังว่าการส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศให้แก่หน่วยงานและสถาบันการศึกษาในครั้งนี้ จะช่วยสร้างโอกาสให้เยาวชนและประชาชนไทยได้เรียนรู้และใกล้ชิดเทคโนโลยีอวกาศมากยิ่งขึ้น”
สำหรับโครงการราชพฤกษ์อวกาศ มีหน่วยงานและสถาบันการศึกษาผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจำนวน 80 แห่ง ซึ่งในครั้งนี้ได้ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์รอบสุดท้ายจำนวน 22 แห่ง ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ, สำนักงานการวิจัยเเห่งชาติ (วช.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หน่วยงานภาคประชาชน ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้ริมฝั่งสาย (วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวสบสาย) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม, โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา มหาวิทยาลัย ได้แก่ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์, คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตร์ศาสตร์, ภาควิชาเทคโนโลยีทางภาพและการพิมพ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, ภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, อุทยานพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี,มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ด้าน ดร.ทัฏพงศ์ ตุลยานนท์ อาจารย์ประจำกลุ่มสาขาวิชาชีวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพอัจฉริยะคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความร่วมมือการเพาะกล้าราชพฤกษ์อวกาศและการศึกษาวิจัยว่า ได้ให้การดูแลราชพฤกษ์อวกาศ ณ โรงเรือนวิจัยของภาควิชาพฤกษศาสตร์ในพื้นที่ศาลายา สำหรับดำเนินโครงการราชพฤกษ์อวกาศ มีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าต้นราชพฤกษ์อวกาศที่แจกจ่ายไปยังหน่วยงานและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ จะสามารถเจริญเติบโตอย่างงดงามต่อไป เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนของประเทศไทยและความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจด้านอวกาศของมวลมนุษยชาติ
สามารถติดตามรายละเอียดโครงการราชพฤกษ์อวกาศได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และเฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023)
For English-version news, please visit : Princes Sirindhorn inaugurates i-CREATe 2023
(วันที่ 10 สิงหาคม 2566) ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานพิธีเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมีศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะกรรมการจัดงาน i-CREATe 2023 นายไซม่อน หว่อง คัมมัน ประธานกลุ่มความร่วมมือวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย ศาสตราจารย์คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล รองเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมคณะผู้บริหาร สวทช. เฝ้าฯ รับเสด็จ
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กราบบังคมทูลรายงานว่า i-CREATe 2023 เป็นงานประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 และเป็นการประชุมออนไซต์เต็มรูปแบบครั้งแรกตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีกลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย หรือ Coalition on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology of Asia: CREATe Asia เป็นผู้จัดงาน ภายใต้แนวคิด “การมุ่งสู่สังคมยั่งยืนสำหรับทุกคน” เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้สูงวัย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งในปัจจุบันและอนาคตผ่านกิจกรรมหลัก 4 ด้าน ได้แก่ (1) การนำเสนอผลงานวิชาการ (2) การประชุมเชิงปฏิบัติการและการอบรม (3) งานประกวดนวัตกรรมระดับนานาชาติ สำหรับนักเรียนนักศึกษา “Global Student Innovation Challenge” เพื่อคนพิการและผู้สูงอายุ และ (4) นิทรรศการด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการและผู้อายุ ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในสังคม รวมถึงกระตุ้นและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ งานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2023 ได้รับเกียรติและความสนับสนุนที่ดียิ่งจากผู้เชี่ยวชาญในวงการถึง 8 รายที่มาร่วมเป็นวิทยากรจาก 6 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์และไทย ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวครอบคลุมถึงงานประชุมการนำเสนอแบบกลุ่ม 4 กลุ่ม การนำเสนอผลงาน 14 เรื่อง การนำเสนอผลงานแบบโปสเตอร์ 7 เรื่อง การประชุมเชิงปฏิบัติการและการอบรม 6 เรื่อง โครงงานทีมของนักเรียนนักศึกษาจาก 5 เขตเศรษฐกิจ 33 โครงงาน รวมถึงมีบูธนิทรรศการผลงาน 47 บูธ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะผู้จัดงานร่วมกับ สวทช. ได้ร่วมจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ภารกิจด้านการสร้างความตระหนักและเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ การพัฒนานวัตกรรมและการจัดให้มีบริการที่ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ผ่านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงมีการบรรยายและเสวนาในหัวข้อ Digital Inclusion : Digital ID และ Who Benefits from Digital Assistive Technology? ทั้งนี้ งานครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 300 คนจาก 10 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และไทย
โอกาสนี้ นายไซม่อน หว่อง คัมมัน ประธานกลุ่มความร่วมมือวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย กราบบังคมทูลรายงานถึงงานประชุม i-CREATe 2022 ซึ่งจัดขึ้นในฮ่องกง เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ว่า สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แม้จะเป็นการจัดงานในรูปแบบไฮบริดเนื่องจากอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่มีตัวแทนทั้งจากต่างประเทศและท้องถิ่นมาร่วมนำเสนอผลงานผ่านทางระบบออนไลน์ อีกทั้ง มีการประกวดนวัตกรรมระดับนานาชาติสำหรับนักเรียนนักศึกษา “Global Student Innovation Challenge” ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดล้ำสมัยของนักเรียนและนักศึกษาที่มีความพยายามในการออกแบบพัฒนา มีนักวิจัยรุ่นใหม่ที่ได้มานำเสนองานวิจัยด้วยตนเอง และหลายผลงานเป็นแนวคิดระดับนวัตกรรม
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะกรรมการจัดงาน i-CREATe 2023 กราบบังคมทูลเบิกผู้ชนะเลิศการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ ด้านนวัตกรรมการออกแบบ ประจำปี 2566 จำนวน 3 รางวัล และผู้ชนะเลิศการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ ด้านเทคโนโลยี ประจำปี 2566 จำนวน 3 รางวัล
จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2023 และทรงฟังศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แสดงปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ นวัตกรรมขาเทียม ของมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (The Prostheses Foundation of H.R.H. The Princess Mother: innovations from the past, present, and future)
และทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ และทอดพระเนตรผลงานจากการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ ด้านนวัตกรรมการออกแบบและด้านเทคโนโลยี ประจำปี 2566 จำนวน 33 ผลงาน
นิทรรศการเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก และผลงานการประกวดที่เกิดขึ้นในอดีตจนสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจ Start-up อาทิ
สำนักงาน กสทช. แสดงนิทรรศการด้านการพัฒนานวัตกรรมและการจัดให้มีบริการที่ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ผ่านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสาร (TTRS) เพื่อให้คนพิการทางการได้ยินและคนพิการทางการพูดสามารถสื่อสารกับคนทั่วไปผ่านโทรคมนาคมพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ระบบบริการคำบรรยายแทนเสียง (Caption) นวัตกรรมที่ช่วยให้คนพิการหรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางด้านการได้ยิน สามารถเข้าถึงเนื้อหาของข่าว งานประชุมวิชาการ และการเรียนการสอนได้ เพื่อช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นเสียงพูดได้ด้วยการอ่านข้อความที่ได้จากการถอดความแทนการฟังเสียง
ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ จุดเด่นคือ ผู้ใช้งานไม่ต้องติดมาร์กเกอร์เพื่อระบุตำแหน่งตามร่างกาย แต่อาศัยการออกแบบกระบวนการคำนวณเพื่อฝึกฝนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ วิเคราะห์ภาพ และระบุตำแหน่งได้ว่าแต่ละจุดเป็นอวัยวะส่วนใดของร่างกาย จากนั้นระบบจะนำภาพไปใช้ประมวลผลบันทึกเป็นข้อมูล 3 มิติ ซึ่งช่วยลดเวลาและความยุ่งยากในการใช้งาน โดยเตรียมประยุกต์ใช้งานด้านการแพทย์ ใน 3 ด้าน คือ ด้านออร์โธพีดิกส์ เช่น การตรวจวิเคราะห์ผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงโรคข้อเข่าเสื่อม เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ด้านการตรวจประเมินสุขภาพ เช่น การตรวจจับความผิดปกติจากท่าทางการเดินในผู้สูงวัยเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังโรคที่มาจากความเสื่อมของร่างกาย และด้านการการฟื้นฟูสมรรถภาพ ใช้สำหรับการวางแผนการออกกำลังกายหรือการทำกายภาพแก่ผู้ป่วย
สเปซ วอล์กเกอร์ (Space Walker) อุปกรณ์ช่วยฝึกเดิน พร้อมระบบพยุงน้ำหนักบางส่วน นวัตกรรมเพื่อผู้ป่วยหลังกายภาพบำบัดและส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในสังคมสูงวัย ผลงานนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 (Gold Award) จากงาน (i-CREATe 2017) ที่ประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายรางวัลต่อมา จนนักวิจัยสามารถตั้งบริษัทเมดิคิวบ์ จำกัด เพื่อรับถ่ายทอดเทคโนโลยี นำไปผลิตและจำหน่าย ได้ขยายผลการใช้งานเพื่อยกระดับการให้บริการและการดูแลผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัย ปัจจุบัน สเปซ วอล์กเกอร์ ได้รับการพิจารณาจากสำนักงบประมาณในการขึ้นทะเบียนนวัตกรรมไทย สาขาการแพทย์และสุขภาพ เพื่อจะได้รับการส่งเสริมในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่คนไทยผลิตได้คุณภาพมาตรฐานและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
Podogram Analyzer ผลงานนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศจากงาน i-CREATe 2014 ที่สิงคโปร์ เป็นระบบตรวจวัดและวิเคราะห์น้ำหนักกดบริเวณฝ่าเท้า เพื่อนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการออกแบบอุปกรณ์พยุงส้นเท้าและฝ่าเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะรองเท้าหรือลักษณะการเดินที่ไม่สอดรับกับแรงกดของฝ่าเท้า อาจทำให้เกิดแผลกดทับ ระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าอัจฉริยะมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเครื่องโพโดสโคป ที่สามารถดูภาพฝ่าเท้าจากจอแสดงผล และสามารถนำภาพฝ่าเท้าที่ได้ไปประเมินผลต่อได้ กับส่วนที่เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่สามารถประเมินอาการผิดปกติของเท้าได้ โดยการวัดอัตราส่วนของฝ่าเท้า เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของรูปเท้า ประเมินการไหลเวียนของโลหิตจากภาพทั้งก่อนและหลังการใส่อุปกรณ์เสริมอุ้งฝ่าเท้า โดยจะแสดงผลเป็นข้อมูลทางการแพทย์ซึ่งแพทย์สามารถนำมาประกอบการวินิจฉัยโรคและการติดตามผลในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวประชาสัมพันธ์

JAXA ประกาศเลือก 3 ไอเดียเยาวชนไทย เตรียมทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ประกาศผลการจัดแข่งขันโครงการ “Asian Try Zero-G 2023” โดย JAXA เลือกแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทย จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ การทดลองเรื่อง “ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้า (Water spheres and electrostatic force)” เสนอโดย นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ (ฟุง) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย การทดลองที่ 2 เรื่อง “การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Stranger things two ball on string)” เสนอโดย นายณัฐภูมิ กูลเรือน (เฟรม), นายจิรทีปต์ มะจันทร์ (ต้นกล้า), นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล (เพียว) และนายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ (ต้นน้ำ) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย และการทดลองที่ 3 เรื่อง “การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Starfish exercise for microgravity)” เสนอโดย นางสาววรรณวลี จันทร์งาม (มุก) และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ (เอม) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนระยองวิทยาคม แนวคิดทั้ง 3 เรื่องนี้ นายซาโตชิ ฟุรุคาวะ (Satoshi Furukawa) นักบินอวกาศญี่ปุ่น จะนำไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในช่วงต้นปี 2567
[caption id="attachment_45740" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ได้ร่วมกับ JAXA ดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G 2023 ชวนเยาวชนไทยส่งแนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำร่วมกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย โดยเปิดรับสมัครแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Category A: Physics experiments ไอเดียการทดลองทางฟิสิกส์อย่างง่าย โดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ในประเทศไทยมีผู้ส่งใบสมัครจำนวน 107 เรื่อง ประกอบด้วยเยาวชน 221 คน และ Category B: Exercise in space เป็นการเสนอแนวคิดสำหรับการออกกำลังกายในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำบนสถานีอวกาศนานาชาติ (International space station) มีผู้ส่งใบสมัครจำนวน 45 เรื่อง ประกอบด้วยเยาวชน 117 คน รวมจำนวนใบสมัครทั้งสิ้น 152 เรื่อง และมีเยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการจำนวน 338 คน ซึ่งเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
“คณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วยนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. ได้คัดเลือกแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทยจำนวน 6 เรื่อง แบ่งเป็น Category A จำนวน 3 เรื่อง และ Category B จำนวน 3 เรื่อง ส่งเข้าแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย JAXA ได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 8 ประเทศ จำนวน 16 เรื่อง ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นการทดลองของเยาวชนไทย 3 เรื่อง เพื่อนำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยนายซาโตชิ ฟุรุคาวะ นักบินอวกาศญี่ปุ่น ในห้องทดลอง Kibo Module ของ JAXA สำหรับการทดลองเรื่องอื่น ๆ เป็นของเยาวชนออสเตรเลีย บังคลาเทศ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไต้หวัน”
ดร.จุฬารัตน์ กล่าวว่า “สำหรับแนวคิดการทดลองทั้ง 3 เรื่อง ที่ได้รับการคัดเลือกประกอบด้วย ไอเดียการทดลองแรกของ นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ (ฟุง) นักเรียน ชั้น ม. 5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เรื่องก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้า (Water spheres and electrostatic force) เกิดจากความสงสัยว่าแรงทางไฟฟ้าจะส่งผลอย่างไรต่อลูกบอลน้ำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ โดยการสร้างไฟฟ้าสถิตผ่านปรากฏการณ์ไตรโบอิเล็กทริก (Triboelectric) เพื่อให้เกิดการสะสมของประจุไฟฟ้า ด้วยการเสียดสีไม้บรรทัดพลาสติกกับผ้า และจากนั้นจึงนำมาทดลองกับลูกบอลน้ำ 2 ขนาด ประกอบด้วยขนาดรัศมี 1 เซนติเมตร และ 4 เซนติเมตร โดยประมาณ เพื่อสังเกตผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับก้อนน้ำ คือ การเคลื่อนที่ในทิศทางต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงรูปทรงบนพื้นผิวของก้อนน้ำที่เป็นผลมาจากแรงทางไฟฟ้า ภายใต้สภาวะที่ก้อนน้ำไม่ได้ถูกแรงโน้มถ่วงกระทำ
[caption id="attachment_45744" align="aligncenter" width="450"] นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์[/caption]
[caption id="attachment_45737" align="aligncenter" width="700"] ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้า (Water spheres and electrostatic force)[/caption]
“ไอเดียการทดลองที่ 2 ของนายณัฐภูมิ กูลเรือน (เฟรม), นายจิรทีปต์ มะจันทร์ (ต้นกล้า), นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล (เพียว), นายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ (ต้นน้ำ) นักเรียนชั้น ม. 5 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เรื่องการศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Stranger things two ball on string) ไอเดียการทดลองเป็นการศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลในเส้นเชือก โดยออกแรงให้ลูกบอลเคลื่อนที่เป็นลักษณะเพนดูลัมทรงกรวย และมีมวลอยู่สองจุด โดยลูกบอลทั้งสองจะเคลื่อนที่เป็นวงกลมที่อยู่ตรงข้ามกัน และอยู่ในระนาบที่ขนานกันด้วยแรงเข้าสู่ศูนย์กลางของแต่ละลูก แรงดึงเชือก และแรงโน้มถ่วงที่ทำให้ลูกบอลอยู่ระนาบที่ขนานกัน จึงทำให้เกิดความสงสัย เมื่อนำการทดลองนี้ไปทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำบนอวกาศ ลูกบอลทั้งสองลูกจะมีการเคลื่อนที่แตกต่างจากบนพื้นโลกอย่างไร
[caption id="attachment_45743" align="aligncenter" width="700"] นายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ (ซ้ายสุด) นายจิรทีปต์ มะจันทร์ (คนที่ 2) นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล (คนที่สาม) และนายณัฐภูมิ กูลเรือน (ขวาสุด)[/caption]
[caption id="attachment_45738" align="aligncenter" width="700"] การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Stranger things two ball on string)[/caption]
“และไอเดียการทดลองที่ 3 ของ นางสาววรรณวลี จันทร์งาม (มุก) และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ (เอม) นักเรียน ชั้น ม. 6 โรงเรียนระยองวิทยาคม เรื่องการออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Starfish exercise for microgravity) ไอเดีย คือ การออกแบบท่าการออกกำลังกายให้นักบินอวกาศสามารถออกแรงต้านภายใต้สภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้อย่างไร โดยสนใจการออกกำลังกายแบบ Bodyweight เนื่องจากโดยปกติการออกกำลังกายประเภทนี้จะใช้น้ำหนักของตัวเองมาเป็นแรงต้าน การออกแบบการออกกำลังกายนี้จึงเลือกใช้แผ่นยางยืดออกกำลัง (Resistance band) เป็นอุปกรณ์เพิ่มแรงต้าน โดยออกแบบท่าทางเริ่มต้นให้คล้ายกับรูปร่างของดาวทะเล แขนและขากางเหยียดออกจากลำตัว คล้องแผ่นยางยืด ระหว่างขาทั้งสองข้าง และระหว่างแขนกับขาทั้งฝั่งซ้ายและขวา รวมเป็น 3 จุด เมื่อมีการขยับแขนและขาเข้าและออกจากกันจะทำให้เกิดการใช้กล้ามเนื้อแขนส่วนบนและกล้ามเนื้อน่อง ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการออกกำลังกายนี้ ได้แก่ การกระชับกล้ามเนื้อดึงทแยง เสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อแกนกลาง ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่กล้ามเนื้อบริเวณซี่โครง และส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดี”
[caption id="attachment_45742" align="aligncenter" width="700"] นางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ (ซ้าย) และนางสาววรรณวลี จันทร์งาม (ขวา)[/caption]
[caption id="attachment_45739" align="aligncenter" width="700"] การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Starfish exercise for microgravity)[/caption]
ทั้งนี้เยาวชนเจ้าของการทดลองจะมีโอกาสสื่อสารกับนักบินอวกาศแบบเรียลไทม์และรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากศูนย์อวกาศสึคุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงต้นปีหน้าตามตารางการทำงานของนักบินอวกาศ
[caption id="attachment_45741" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศ Mission control room[/caption]
ติดตามการทดลองโครงการ Asian Try Zero-G 2023 ได้ที่เพจ NSTDA Space Education Facebook: https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรกมล พลสงคราม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการดำเนินงานเมืองนวัตกรรม EECi ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ระดับประเทศ เร่งดึงดูดการลงทุนต่างชาติ
(9 สิงหาคม 2566) ณ สำนักงานใหญ่ EECi วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง: พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะติดตามความคืบหน้าโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) หนึ่งในโครงการสำคัญบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ EEC เพื่อสร้างพื้นที่นวัตกรรมใหม่ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมที่เหมาะสม ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย รวมถึงชุมชนในพื้นที่ เพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเดิม รวมถึงสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ นำไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรมควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมี ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า EECi เป็นโครงการสำคัญที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวง อว. เป็นผู้รับผิดชอบ นับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2560 เป็นต้นมา ซึ่งกระทรวง อว. ได้ผลักดันโครงการนี้อย่างเต็มที่มาโดยตลอด โดยมอบหมายให้ สวทช. เป็นกำลังหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการนี้ ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกกระทรวง อว.
EECi นับว่าเป็น โครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ซึ่งจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่บนฐานนวัตกรรม ทำให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
EECi ถือเป็นข้อต่อที่สำคัญในห่วงโซ่การพัฒนานวัตกรรม (Innovation Value Chain) เป็นจุดที่ประเทศไทยต้องเสริมความเข้มแข็งให้มากขึ้น ในเรื่องของการนำงานวิจัยที่สำเร็จจากห้องปฏิบัติการและห้องทดลอง มาพัฒนาต่อยอดและขยายขนาดไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
ด้วยเหตุนี้ EECi จึงถูกออกแบบให้มีระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ (Innovation Ecosystem) เหมาะแก่การทำวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมอย่างเข้มข้น ประกอบไปด้วยห้องปฏิบัติการวิจัยของทั้งภาครัฐและเอกชน โรงงานต้นแบบ โรงงานสาธิต สนามทดลองและทดสอบเทคโนโลยีที่จะส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบของศูนย์วิเคราะห์ทดสอบชั้นนำ และการปรับแต่งและปรับใช้เทคโนโลยีที่รับมากจากต่างประเทศ (Technology Localization) เพื่อให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานสากลควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
โดย EECi จะมีบทบาทเป็นศูนย์กลางของการพัฒนานวัตกรรมของอาเซียน (ASEAN Innovation Hub) ดำเนินการผ่าน 4 เมืองนวัตกรรมมุ่งเน้นของ EECi อันได้แก่
1) FOOD INNOPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านอาหาร
2) ARIPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ
3) BIOPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ
4) SPACE INNOPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศ
“ทั้งหมดที่กล่าวมา จะเกิดขึ้นบนพื้นที่กว่า 3,500 ไร่แห่งนี้ ภายใต้ชื่อ EECi ที่ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มบริษัท ปตท. นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนจะช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย อาคารกลุ่มสำนักงานใหญ่ มีศูนย์นวัตกรรมเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน (SMC) และโรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้แล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการแล้วในปี 2565 สำหรับในปี 2566-2567 มีส่วนที่เริ่มดำเนินการ คือ โรงงานแบตเตอรี่ทางเลือก โรงงานฟีโนมิกส์ และสนามทดสอบยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งในอนาคต ในปี 2568 จะมีโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) โรงงานผลิตพืช (Plant Factory) และการก่อสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนเครื่องที่ 2 ของประเทศขนาด 3 GeV จะเริ่มดำเนินการ ในปี 2569-2573
ทั้งนี้ในส่วนของ EECi นั้น หากมองในภาพรวมว่าประเทศไทย มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งนักวิทยาศาสตร์นักวิจัยไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก และมีผลงานตีพิมพ์จำนวนมากในด้านเทคโนโลยีชั้นนำ ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยารวมไปถึงเทคโนโลยี AI แต่ภาคธุรกิจจะเป็นอีกฝั่งในด้านอุตสาหกรรม ดังนั้นโจทย์ที่ยากที่สุด คือการทำอย่างไรจะนำงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการไปสู่การขยายผล ให้เกิดประโยชน์สู่ประชาชนเป็นล้านคน ซึ่ง EECi ถูกวางแผนเพื่อตอบโจทย์นี้ และให้สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการใช้พื้นที่ EEC เป็นพลังสำคัญที่จะเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการจะใช้พลังของ EEC เคลื่อนระบบเศรษฐกิจ จำเป็นต้องใช้อีกพลังความรู้ความสามารถของการนักวิจัยเก่ง ๆ ของประเทศ ให้มาร่วมในภาคอุตสาหกรรมให้ได้จึงเกิดเป็น EECi ขึ้น
ในโครงการนี้รัฐบาลได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ใน EECi เพื่อช่วยเหลือให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถใช้เครื่องมือที่มีราคาสูงได้โดยไม่ต้องลงทุนด้วยตัวเอง โดยตัวอย่างของการใช้ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวย้ำว่า ด้วยบุคลกรและผลงานวิจัยพัฒนาของ สวทช. ที่ได้สั่งสมมากว่า 30 ปี มีทีมวิจัยที่เชี่ยวชาญทุกด้าน โดยได้นำทีมนักวิจัยมาดำเนินการอยู่ในพื้นที่ EECi เป็นเวลาเกือบ 2 ปี คู่ขนานการทำงานไปกับทีมวิจัยของ สวทช.ที่ส่วนกลาง จะตอบโจทย์ได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ EECi และเครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในส่วนกลางตามความเชี่ยวชาญของ 5 ศูนย์แห่งชาติใน สวทช. จะเป็นโซ่ข้อกลางในการขยายขนาดและยกระดับงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการไปสู่ภาคเอกชน และจะตอบโจทย์ได้ว่าเมื่อมีความรู้ใหม่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อนำไปสู่การใช้งานจริงได้ ณ ขณะนี้ สวทช. ได้ปรับแผนยุทธศาสตร์ของ สวทช. ให้สอดรับกับที่นายกรัฐมนตรีวางแผนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเน้นการเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้งานให้เกิดประโยชน์จริงกับประชาชนจำนวนมาก
ด้าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในโอกาสมาตรวจความก้าวของโครงการ EECi ว่า “ดีใจที่ EECi เดินหน้ามาถึงขนาดนี้ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยซึ่งรัฐบาลได้ลงทุนไว้ในช่วง 5 ปีแรก และในปี 2566-2570 ต้องฝากรัฐบาลใหม่สนับสนุนเดินหน้าโครงการนี้ เพื่อจะทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าสู่ Thailand 4.0 ให้ได้ นี่คืออนาคตของประเทศไทย และขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งและประสบผลสำเร็จ”
สำหรับสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) Headquarters ณ วังจันทร์วัลเลย์ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง แห่งนี้ เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดหน้าดินก่อสร้างพร้อมคณะรัฐมนตรี
และเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อย่างเป็นการเปิดอย่างเป็นทางการและให้บริการมาถึงปัจจุบัน โดยคาดหวังว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยขึ้นแท่น “ศูนย์กลางนวัตกรรมชั้นนำ” แห่งใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมสมบูรณ์ ยกระดับงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมระดับประเทศ ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์

จ.ลำปาง ใช้ Traffy Fondue จัดการปัญหาเมือง
แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue ซึ่งพัฒนาโดยทีมนักวิจัย สวทช. ยังมีการขยายผลนำไปใช้งานในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด จ.ลำปาง ได้บูรณาการทุกหน่วยงานและทุกส่วนราชการในจังหวัด นำ Traffy Fondue มาใช้เป็นเครื่องมือรับแจ้งปัญหาหรือข้อร้องเรียนจากประชาชนผ่านไลน์ @traffyfondue เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปาง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ ปัจจุบันมี 12 จังหวัดบูรณาการทุกหน่วยงานในจังหวัดนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไปใช้รับแจ้งปัญหาประชาชน ประกอบด้วย นครราชสีมา , อุบลราชธานี , ขอนแก่น , พะเยา , ลำพูน , ปราจีนบุรี , ภูเก็ต , เพชรบูรณ์ , สมุทรปราการ , สระบุรี , เชียงใหม่ และ ลำปาง
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

วช.-สวทช. เปิดตัว 6 นักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565-2566 รับทุนส่งเสริมผลงานตอบโจทย์และขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
For English-version news, please visit : NSTDA and NRCT introduce awardees of the 2022-2023 High-Potential Research Team Grants
(8 สิงหาคม 2566) ณ ห้อง Lotus Suite 7 ชั้น 22 บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัด “งานเปิดตัวนักวิจัยศักยภาพสูงและแถลงงานวิจัย ประจำปี 2565-2566” โดยมี นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ และ ศาสตราจารย์ กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว 6 นักวิจัยศักยภาพสูง และแถลงความก้าวหน้าผลงานและประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัย ประจำปี 2565-2566 พร้อมด้วยคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ผู้บริหาร วช. ผู้บริหาร สวทช. ผู้บริหารต้นสังกัดนักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน
นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรและสถาบันความรู้ ซึ่งเป็นพันธกิจและกลไกสำคัญประการหนึ่งในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยในปี 2565 วช. ร่วมกับ สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดตั้งโครงการ “ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” โดยมีวัตถุประสงค์ 1) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยไทย เพื่อให้เกิดกลุ่มวิจัยที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม และมีโครงสร้างการพัฒนานักวิจัยอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนักศึกษา นักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง จนถึงนักวิจัยอาวุโส 2) สร้างและบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อสร้างผลกระทบ และความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ 3) สร้างโอกาสการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ เช่น ด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน ด้านนโยบาย และ 4) สร้างเครือข่ายการวิจัยระดับชาติ และระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันผลผลิตงานวิจัย รวมถึงการสื่อสารข้อค้นพบทางวิชาการให้กับสังคมและชุมชน และการตอบสนองต่อปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ โดยนักวิจัยศักยภาพสูงเป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ หรือ นักวิจัยที่มีศักยภาพเทียบเคียงได้กับนักวิจัยระดับศาสตราจารย์ หรือนักวิจัยความสามารถสูงมีผลงานโดดเด่น วช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักวิจัยและคณะ จะได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ เชื่อมโยงกับการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศ นำไปสู่การสร้างความเป็นเลิศทางการวิจัยและพัฒนาของประเทศอย่างก้าวกระโดดต่อไป
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยระดับประเทศ เป็นดั่ง “ขุมพลังหลักด้านการวิจัย” ที่ผลักดัน ส่งเสริมการพัฒนาและความแข็งแกร่งระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม โดยอาศัยความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พันธกิจที่สำคัญของ สวทช. มุ่งเสริมสร้างการวิจัยและพัฒนาที่ตอบโจทย์ และถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสังคมหมู่มาก รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนากำลังคน และการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง วช. และ สวทช. จัดตั้งโครงการ “ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” สวทช. ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการโครงการ โดยอาศัยกระบวนการบริหารจัดการงานวิจัยและกลไกบริหารโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ สวทช. มีอยู่ และการส่งเสริมการทำงานของกลุ่มนักวิจัย ให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ สวทช. เป็นผู้รับผิดชอบดูแล เช่น ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพ หรือในด้านธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะช่วยเสริมการทำงานของกลุ่มนักวิจัยที่ได้รับทุนให้บรรลุเป้าหมายตามที่มุ่งหวัง รวมถึงการส่งเสริม ผลักดัน ผลงานวิจัยให้ไปใช้ประโยชน์มากขึ้นในอนาคต หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงภายใต้ความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงาน จะเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ และสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมนักวิจัยและทีมวิจัยที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงที่มีความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานวิจัย นอกจากสร้างชื่อเสียงให้นักวิจัยแล้ว ยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับหน่วยงานต้นสังกัด โดยทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ปี 2565 ให้การสนับสนุนสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ ได้แก่ ศ.เกียรติคุณ ดร.โกวิท พัฒนาปัญญาสัตย์ สาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ได้แก่ ศ.พิเศษ ดร.เดวิด จอห์น รูฟโฟโล และสาขาเกษตรศาสตร์ ได้แก่ ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ สำหรับปี 2566 ให้การสนับสนุนสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ ได้แก่ ศ. นพ.วิศิษฎ์ ทองบุญเกิด สาขาเกษตรศาสตร์ ได้แก่ รศ. ดร.ครศร ศรีกุลนาถ และสาขาสังคมศาสตร์ ได้แก่ ศ. ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ทั้งนี้ การสนับสนุนจากทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง จะช่วยสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณค่า ที่เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งพัฒนาศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทีมวิจัย จากรุ่นเล็กเป็นรุ่นกลาง จากรุ่นกลางเป็นรุ่นใหญ่ และรุ่นใหญ่อยู่แล้วอย่างทั้ง 6 ท่าน ที่จะนำความรู้ทางวิชาการ เชื่อมโยงไปสู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือผลักดันไปสู่นโยบายที่มีประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศต่อไป
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง และประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กองทุนส่งเสริม ววน. กล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับนักวิจัยทั้ง 6 ท่าน และทีมวิจัย ที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงครับ ทุกท่านล้วนเป็นนักวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศ มีผลงานวิจัยโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง เป็นกลไกระดับสูง เป็นทุนวิจัยที่อยู่ในส่วนปลายยอดพีระมิดของนักวิจัยในประเทศไทย ต่อเนื่องจากการพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ รุ่นกลาง รุ่นอาวุโส จะช่วยผลักดันการสร้างทีมวิจัยที่เข้มแข็งในการพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่อง การดำเนินงานแบบกลุ่มวิจัยจะมีโอกาสที่จะสร้างผลงานวิจัยแบบทวีคูณ มีผลกระทบสูง ต่อยอดและยกระดับผลงานวิจัยได้ดีกว่าการทำงานแบบเดี่ยว และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยแต่ละคนได้เร็วขึ้น การดำเนินการในลักษณะแบบกลุ่มวิจัยนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น 1) ผู้นำกลุ่มต้องมีกรอบความคิดการเป็นผู้นำ และทีมวิจัยมีการทำงานอย่างเท่าเทียม 2) ตั้งเป้าหมายและพัฒนางานวิจัยที่ตอบโจทย์และเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศในด้านต่าง ๆ 3) มีการบริหารจัดการของกลุ่มวิจัยที่ดี สามารถดำเนินการและส่งมอบผลงานได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และ 4) หน่วยงานต้นสังกัดต้องมีความเข้มแข็ง อำนวยความสะดวกให้แก่นักวิจัย ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานด้านต่าง ๆ ขอให้นักวิจัยนำโอกาสที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยนี้ไปพัฒนาความเป็นเลิศในงานวิจัย ดำเนินการวิจัยสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย สร้างกลุ่มวิจัยที่เข็มแข็ง สามารถแข่งขันไปขอรับทุนวิจัยระดับสูงจากแหล่งทุนอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือการเป็นที่พึ่งพา เป็นคลังสมองของประเทศและระดับนานาชาติ
ภายในงานยังมีการแถลงงานวิจัยของนักวิจัยศักยภาพสูงและแถลงงานวิจัย ประจำปี 2565-2566 โดยหัวหน้าโครงการ และแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการวิจัยดังกล่าว
ผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่
1.ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.โกวิท พัฒนาปัญญาสัตย์ สังกัด มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการ “การปรับแต่งเอ็กโซโซมเพื่อการนำส่งยาจำเพาะแม่นยำสำหรับรักษาโรคทางระบบประสาท หัวใจ และหลอดเลือด” โดยมุ่งเน้นการศึกษาบทบาทของเอกซ์ตร้าเซลลูลาร์เวสซิเคิล หรือถุงนอกเซลล์ (EVs) เพื่อการรักษาในโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองขาดเลือด และโรคอัลไซเมอร์
2.ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เดวิด จอห์น รูฟโฟโล สังกัด มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกัมมันตรังสีในอวกาศ” โดยการสร้างเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ในพลาสมาและความปั่นป่วนแม่เหล็กในอวกาศ ซึ่งเป็นสิ่งกำกับการขนส่งของกัมมันตรังสีในอวกาศ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งที่จะเตือนภัยผลกระทบทางสภาพอวกาศ
3.ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ สังกัด ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. โครงการ “การประยุกต์ใช้องค์ความรู้ของกลไกการอยู่ร่วมกันของกุ้งและไวรัสเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคระบาดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกุ้ง” โดยมีเป้าหมายที่จะค้นหาและคัดเลือกชิ้นส่วนสารพันธุกรรมของไวรัสที่แทรกอยู่ในจีโนมของกุ้ง (EVEs) และ viral copy DNA (vcDNA) ของกุ้ง และศึกษากลไกที่ใช้ในการต้านเชื้อไวรัส เพื่อการประยุกต์ใช้ในการควบคุมโรคระบาดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกุ้ง
ผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2566 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่
1.ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ สังกัด สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โครงการ “นวัตกรรมทางสังคมเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งพื้นฐานของประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย” เพื่อสร้างแนวทางในการสร้างชุมชนในระดับตำบลและระดับจังหวัดให้มีความเข้มแข็ง เป็นการพัฒนา “พื้นที่ส่วนกลาง” ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทในการกำหนดความเป็นไปของชุมชนหรือพื้นที่ เพื่อเป็นรากฐานของประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทยที่จะสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับสังคมไทยต่อไปภายหน้า
2.ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิศิษฎ์ ทองบุญเกิด สังกัด มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการ “การค้นหาระบุชนิดและลักษณะเฉพาะของโปรตีนในปัสสาวะที่มีฤทธิ์ยับยั้งหรือกระตุ้นการเกิดนิ่วไตชนิดแคลเซี่ยมอ๊อกซาเลทแบบครอบคลุม” โดยจะระบุชนิดและคุณลักษณะของโปรตีนในปัสสาวะที่เป็นตัวยับยั้งหรือกระตุ้นการเกิดก้อนนิ่วในไตจากปัสสาวะของคนปกติและปัสสาวะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วไตชนิดแคลเซี่ยมอ๊อกซาเลท (CaOx) ใช้เทคนิคโปรตีโอมิกส์ร่วมกับเทคโนโลยีชีวภาพอื่นๆ เพื่อการวินิจฉัย การพยากรณ์โรค และการป้องกันโรคนิ่วไตต่อไปในอนาคต
3.รองศาสตราจารย์ ดร.ครศร ศรีกุลนาถ สังกัด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โครงการ “การเพิ่มขีดความสามารถการปรับปรุงพันธุ์กลุ่มปลาดุก (ปลาดุกอุย ปลาดุกยักษ์ และลูกผสมบิ๊กอุย) เพื่อยกระดับผลผลิตและนวัตกรรมอุตสาหกรรมสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน” โดยศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรม และการปรับตัวของปลาดุกอุยภายใต้การคัดเลือกโดยธรรมชาติด้วยเทคโนโลยีจีโนมิกส์ร่วมกับการวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่ทางนิเวศในแหล่งธรรมชาติ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงและผลิตภัณฑ์ปลาดุกให้มีคุณภาพสูง
ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยศักยภาพสูงทั้ง 6 ท่าน มุ่งเน้นผลสำเร็จ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน และด้านนโยบาย เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาและแก้ปัญหาเร่งด่วนสำคัญของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคนและสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เป็นฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม.
ข่าวประชาสัมพันธ์

FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
ด้านที่ 1 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredient) เช่น โพรไบโอติก พรีไบโอติก โพสต์ไบโอติก ต้นเชื้อสำหรับหมักอาหารและเครื่องดื่ม เอนไซม์สำหรับเป็นส่วนประกอบในอาหารหรือเวชสำอาง เพื่อให้มีคุณสมบัติเชิงหน้าที่ในการส่งเสริมสุขภาพ
FoodSERP พร้อมให้บริการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ่าน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่อยู่ในประกาศของ อย. และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ที่มีศักยภาพ โดยทีมวิจัยพร้อมให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่คัดสรรวัตถุดิบที่เหมาะสม พัฒนากระบวนการผลิต การทดสอบ จนได้เป็นผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่สามารถขยายผลในระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกสำหรับคนและสัตว์ น้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ไทย ผลิตภัณฑ์เอนไซม์แบบพรีมิกซ์ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ทางเลือก
ด้านที่ 2 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative proteins) หรือโปรตีนที่ไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ แต่ผลิตได้จากสิ่งมีชีวิตอื่นหรือกรรมวิธีอื่น เช่น โปรตีนจากพืช โปรตีนจากจุลินทรีย์ โปรตีนหรือเนื้อจากการเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ซึ่งเป็นเทรนด์ของอาหารยุคใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
FoodSERP มีความพร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหาร และอุปกรณ์การผลิตที่ทันสมัย เพื่อให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก ที่จะทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นไม่เพียงอร่อยและมีเนื้อสัมผัสที่ดี แต่ยังดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากโปรตีนพืช ไข่เหลวจากโปรตีนพืช มัยคอโปรตีน
ด้านที่ 3 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะกลุ่ม (Food for specific group) เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารสำหรับผู้ป่วย อาหารสำหรับผู้มีภาวะกลืนลำบาก และอาหารเฉพาะบุคคล
FoodSERP มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงเนื้อสัมผัสของอาหาร ความนุ่ม และความหนืด (Food texture & characterization) พร้อมให้บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม ด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่อ้างอิงตามมาตรฐานสากล แบบครบวงจร ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เนื้อหมูนุ่มที่ผ่านการปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวง่าย เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อาหารให้ทางสายยางสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
ด้านที่ 4 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดฟังก์ชัน (Functional extracts) สำหรับใช้เป็นส่วนผสมฟังก์ชันในผลิตภัณฑ์อาหารและเวชสำอาง เช่น สารสกัดจากพืช สมุนไพร จุลินทรีย์ ผลผลิตพลอยได้จากอุตสาหกรรม (By-product) เช่น โปรตีนไฮโดรไลเสต สารให้กลิ่นและรส สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาแบบครบวงจรด้วยความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนากระบวนการสกัด การเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งและความคงตัวของสารสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอัตลักษณ์แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูงและมีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เวชสำอางที่มีสารสกัดอนุภาคนาโน วัตถุดิบปรุงแต่ง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
FoodSERP เป็นแพลตฟอร์มให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยปลดล็อกศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการไทย นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารใหม่ และการยกระดับอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
FoodSERP พร้อมให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจรับบริการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/FoodSERP และ Facebook: FoodSERP ติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติม: FoodSERP: One-stop service ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

FoodSERP: One-stop service ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อุตสาหกรรมอาหารจึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล ปัจจุบันทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลกกำลังมุ่งสู่ “อาหารแห่งอนาคต (Future food)” ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงโอกาสของอุตสาหกรรมไทย จึงได้จัดตั้ง “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” หรือ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” ขึ้น เพื่อให้บริการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต แบบ One-stop Service โดยทีมผู้เชี่ยวชาญสหสาขา ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนา และการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล
FoodSERP เป็น 1 ใน 4 Core business ของ สวทช. ทำหน้าที่ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงวิธีการผลิตที่เหมาะสมในระดับห้องปฏิบัติการ การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การให้บริการขยายขนาดการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์
FoodSERP พร้อมให้บริการใน 4 ด้านหลัก คือ
1) วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตและสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์
2) วิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือขยายกำลังการผลิต
3) บริการวิเคราะห์ทดสอบและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4) บริการอบรมและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพตามความต้องการเฉพาะของผู้ประกอบการ
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่เป็นเทรนด์อุตสาหกรรม 4 กลุ่ม ได้แก่ ส่วนผสมฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารเฉพาะกลุ่ม และสารสกัดฟังก์ชัน โดยให้บริการแบบบูรณาการความเชี่ยวชาญ และใช้เครื่องมือมาตรฐานสากลในการวิจัยและพัฒนาแบบ One-stop service เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตที่พัฒนา จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค มีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมผลิตและจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ
FoodSERP พร้อมให้บริการโรงงานต้นแบบมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบการผลิตผลิตภัณฑ์ก่อนขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยโรงงานต้นแบบที่พร้อมให้บริการมี 2 ประเภท คือ
1) โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (Food-grade manufacturer) สถานที่ผลิตอาหารสำหรับขยายขนาดการผลิตจากจุลินทรีย์และการแปรสภาพทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามมาตรฐานสากล Codex GHPs, HACCP และ GILSP ในสภาพควบคุมระดับ LS1 ซึ่งรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งจากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม
2) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ให้บริการพัฒนาและผลิตอนุภาคนาโนของสารสกัด และเวชสำอาง ด้วยมาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP
นอกจากโรงงานต้นแบบทั้ง 2 ประเภทที่พร้อมรองรับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่าง ๆ แล้ว FoodSERP ยังพร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีการผลิตอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดลองผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบก่อนขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างเครื่องมือแรก คือ เครื่องเอกซ์ทรูเดอร์แบบสกรูคู่ (Twin-screw extruder) สำหรับแปรรูปและขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีโครงสร้างและรูปร่างต่าง ๆ กัน สามารถใช้ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากโปรตีนพืช ทั้งในรูปแบบความชื้นต่ำและความชื้นสูง รวมถึงอาหารประเภทขบเคี้ยว เป็นต้น อีกตัวอย่าง คือ เครื่องพิมพ์อาหารสามมิติ (3D food printer) ที่เป็นเครื่องมือขึ้นรูปอาหารแบบสามมิติ ที่สามารถขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีส่วนประกอบ รูปร่าง และเนื้อสัมผัสของอาหาร ให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ
FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายด้าน เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าอาหารที่ผลิตตรงตามโจทย์ความต้องการ ตัวอย่างการให้บริการ เช่น
- Molecular sensomics: การทดสอบด้านกลิ่นและรสชาติของผลิตภัณฑ์
- Food texture and characterization: การทดสอบเนื้อสัมผัสอาหาร และความหนืดของเครื่องดื่ม
- Peptidome and proteome: การวิเคราะห์ชนิดและโพรไฟล์ของเพปไทด์และโปรตีนในตัวอย่างทดสอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
- Dynamically simulated gut model: การทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ด้วยแบบจำลองระบบทางเดินอาหารของกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่
ทางด้านเวชสำอาง FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบการออกฤทธิ์ของส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients) และผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ทั้งด้วยเซลล์ผิวหนังมนุษย์ (2D human skin test) เนื้อเยื่อผิวหนังมนุษย์ (3D human skin tissues) ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ที่ได้รับบริจาคจากอาสาสมัคร (Ex vivo human skin) และการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยใช้แบบจำลองลำไส้แบบ 3 มิติ (Intestinal tissue model) และแบบจำลองปลาม้าลาย (Zebrafish model) ตัวอย่างการทดสอบ เช่น การออกฤทธิ์ลดการอักเสบ การต้านอนุมูลอิสระ การชะลอการเสื่อมสภาพของผิวหนัง การเพิ่มความกระจ่างใส การศึกษาพิษเฉียบพลัน และการดูดซึมด้วยแบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้สามมิติ (In vitro)
FoodSERP พร้อมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่ยั่งยืน หนุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารใหม่และการยกระดับของอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อการยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน
FoodSERP พร้อมให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจรับบริการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/FoodSERP และ Facebook: FoodSERP ติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติม: FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. – กสทช. ร่วมมือสร้างนวัตกรรม และสร้างโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับทุกคน
สวทช. ร่วมกับ กสทช. ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ออกแบบสำหรับทุกคน และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อมร่วมกันแถลงข่าว การจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม ที่ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
คลิปสั้นทันเหตุการณ์