ผลการค้นหา :
อว. แถลงความพร้อม อว.แฟร์2024 ยกระดับการเรียนรู้วิทย์ฯ นวัตกรรม ขับเคลื่อนไทยสู่อนาคต สวทช. ชวนอัปเดต 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง พบกัน 22-28 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์ฯ สิริกิติ์
(10 กรกฎาคม 2567) ห้องอินฟินิตี้บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ: นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เป็นประธานแถลงข่าว การจัดมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังสหวิทยาการ (อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND) หรืองาน “อว.แฟร์ 2024 ซึ่งจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 22 – 28 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในโอกาสนี้นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงอว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คณะผู้บริหารเจ้าหน้าที่หน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ร่วมแถลงข่าว โดยงาน อว.แฟร์2024 ถือเป็นการผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อยกระดับทักษะองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมแก่ประชาชนไทยให้มีมาตรฐานทัดเทียมนานาชาติ พร้อมแสดงศักยภาพของไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนเป็นเวทีให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ บนพื้นที่กว่า 23,000 ตารางเมตร กับนิทรรศการ 6 โซนไฮไลต์ ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมได้ฟรีตลอดงาน
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 5 ปีของการก่อตั้งกระทรวง อว. เพื่อใหเป็นกระทรวงแห่งปัญญา โอกาส และอนาคต กระทรวง อว. ได้สร้างผลงานไว้มากมาย ทั้งการพัฒนากำลังคนระดับอุดมศึกษา การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม เมื่อดิฉันได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. จึงได้ดำริให้มีการจัดงาน อว.แฟร์ ขึ้น เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ถึงผลงานของหน่วยงานในกระทรวง อว. ที่จะรวมพลังในการนำสหวิทยากรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง สร้างโอกาส และสร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศ โดยการจัดงาน อว.แฟร์ ดิฉันได้กำหนดให้มีการจัดงาน 2 ส่วน คือ ส่วนภูมิภาค และส่วนกลาง โดยการจัดงานในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเดินสาย Roadshow แสดงศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนใน 4 ภูมิภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดที่จังหวัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ภาคเหนือ จัดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคใต้จัดที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และภาคกลาง/ภาคตะวันออก จัดที่มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี โดยผลตอบรับของการจัดงาน อว.แฟร์ ระดับภูมิภาค ที่ผ่านมา มีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมชมงานทั้ง Onsite และ Online ไม่น้อยกว่า 200,000 คน กระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเติบโตขึ้น และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท
สำหรับงาน “อว.แฟร์ ส่วนกลาง” งานมหกรรมที่รวมสหวิทยาการทั้งด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม การศึกษาที่มีคุณภาพ ด้าน Soft power ที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัยมากกว่า 170 หน่วยงาน ครอบคลุมทั่วประเทศ ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับกิจกรรมดี ๆ และสาระความรู้ที่ไม่ควรพลาด อาทิ นิทรรศการ 6 โซน ได้แก่ INSPIRED BY SCIENCE, SCIENCE FOR LIFELONG LEARNING, STARTUP LAUNCHPAD, SCIENCE FOR EXPONENTIAL GROWTH, SCIENCE FOR ALL-WELL BEING และ SCIENCE FOR FUTURE THAILAND โดยมีไฮไลต์เป็น ‘หินดวงจันทร์จากยานอวกาศฉางเอ๋อ 5’ ที่นำมาจัดแสดงนอกประเทศเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เป็นสื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย เครื่องเล่น VR สุดล้ำจากบริษัทผู้พัฒนาเกมออนไลน์รายใหญ่ของจีน การเฉลยข้อสอบ TCAS และการแนะแนวอาชีพในอนาคต บูธแสดงผลงานจากผู้ประกอบการและสตาร์ตอัป มากกว่า 300 บูธ ร่วมชม ช้อป ผลิตภัณฑ์ฐานงานวิจัยการันตีรางวัลจากหลายเวที ไม่ว่าจะเป็น อาหารนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Functional Food) อาหารแห่งอนาคต (Future Food) เครื่องสำอาง และสินค้าที่พัฒนาจากวิทยาศาสตร์ งานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม และสินค้าด้าน Soft power โดยมีสินค้ามากกว่า 200 รายการ 20,000 กว่าชิ้น
นอกจากนี้ท่านจะได้พบกับการประกวดแข่งขันจากระดับภูมิภาคที่จะมาชิงชนะเลิศในระดับประเทศ ในงาน อว.แฟร์ เช่น e-sport แข่ง ROV Tournament ระดับประเทศ แข่งขัน Innovation Award 2024 และ MHESI Music Variety Award 2024 พร้อมกิจกรรมสาระความบันเทิงที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น การบินโดรนแปรอักษรเทิดพระเกียรติ ขบวนพาเหรดมาสคอต ขบวนพาเหรดหุ่นยนต์ Live Commerce ขายสินค้าไทยโดยเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ทั้งในและต่างประเทศ มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ซาร่าห์ ซาโรลา (Sarah Salola) อีทีซี (ETC) เปเปอร์ เพลนส์ (Paper Planes) เดอะทอยส์ (THE TOYS) ซีซันไฟฟ์ (Season Five) ปาล์มมี่ (PALMY) ตู่ ภพธร (Two Popetorn) และพลาดไม่ได้สำหรับท่านที่มาร่วมงาน อว.แฟร์ มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลประจำวัน ได้แก่ จักรยานยนต์ EV วันละ 2 คัน และรางวัลสูงสุดเป็นรถกระบะ EV จำนวน 1 คัน พร้อมของรางวัลอื่น ๆ อีกมากกว่า 17,000 ชิ้น
สำหรับท่านที่ต้องการมาหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ภายใน อว.แฟร์ จัดให้มีกิจกรรมการมอบรางวัล การประชุม บรรยาย เสวนา Workshop ในหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย เช่น มอบรางวัล Prime Minister Award 2024, การสัมมนา Innovation for Growth and Sustainability, การเสวนา Unicorn Talk , StartupAsia Report OECD, Deep Tech Startup Ecosystem in Montgomery County, Maryland, USA (Judy Costello), Global Innovation Club , สัมมนา Science for Exponential Growth: Tech to BiZ Thailand Tech Show 2024 การเสวนา เรื่อง "Disruptive Trends : ESG, Network Technology Block Chain, Cyber Security", การประชุม Quantum Thrive: Thailand's Journey into the Quantum Era “การเดินทางของประเทศไทยสู่ยุคควอนตัม”, IDE VC for SMEs /Call proposal/ Success Story sharing, การเสวนา 5 ปี : อว. กับการปฏิรูป อววน. และทิศทางในอนาคต เนื่องในโอกาสครบรอบการสถาปนากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, Climate Tech Workshop – UNSCAP,การจัดการศึกษาตลอดชีวิตและระบบคลังหน่วยกิตของสถาบันอุดมศึกษา, การเสวนาเรื่อง "อาหารสู่การสร้าง Soft Power เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารของไทย", การบรรยาย เรื่อง นโยบายสำคัญเร่งด่วน (Quick Win) ด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทย, Agri-Aqua Business Incubation of Philippines and Thailand Networking Workshop, การบรรยาย เรื่อง การประเมินคาร์บอนฟุต พริ้นท์สำหรับผลิตภัณฑ์ Carbon Footprint for Product (CFP), อบรม Empowerment Thailand by Synchrotron Technology และอื่น ๆ อีกมากมายกว่า 150 หัวข้อ
“กระทรวง อว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงาน อว.แฟร์ ส่วนกลาง ในครั้งนี้ จะเป็นการจัดงานครั้งแรกที่ได้รวบรวมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศมาไว้ในที่เดียวกัน และหวังว่าการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของหน่วยงานในกระทรวง อว. ในการสร้างความแข็งแกร่งของสหวิทยาการในทุกด้าน ที่นำไปสู่การพัฒนากำลังคนที่มีความสามารถและพร้อมที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ความท้าทายของโลกยุคใหม่ ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน และ อว. พร้อมที่จะสนับสนุนการเติบโตของประเทศในทุกมิติ ตลอดจนเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” น.ส.ศุภมาสฯ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยระดับประเทศที่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้นำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่พัฒนาจากสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนอื่น ๆ ออกสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดกิจกรรม Thailand Tech Show ในรูปแบบการจัดงานนำเสนอในรูปแบบตลาดเทคโนโลยี ผู้ซื้อพบผู้ขาย สนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี และ Tech Startup ภายใต้แนวคิด “วิทยาศาสตร์…เพื่อยกระดับขับเคลื่อนธุรกิจและอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Science for Exponential Growth)” เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจเทคโนโลยีด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบครบวงจรและยั่งยืน ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ นิทรรศการ 1. National IP Marketplace โอกาสทางธุรกิจกับ ผลงานวิจัยพร้อมถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์ มากกว่า 180 ผลงาน จาก 33 หน่วยงาน เพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ช่วยเสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน 2. Open Service การบริการสนับสนุนภาคเอกชน ที่ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาขอรับคำปรึกษาในการทำธุรกิจเทคโนโลยีที่ มีกลไกการสนับสนุนแบบครบวงจรจากหน่วยงานภาครัฐ และ สวทช. 3. ผลงานเด่นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่ได้รับการต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ จากทุน บพข. และ 4. การเจรจาธุรกิจ Business Matching และที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน Thailand Tech Show ที่น่าสนใจในวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 จัดขึ้นบริเวณเวทีกลาง โดย สวทช. คือ การบรรยายพิเศษ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch)” เทรนด์เทคโนโลยีในการทำธุรกิจ เพื่อที่จะปรับกลยุทธ์และวางแผนให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง โดยศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ที่จะมาคาดการณ์ 10 เทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งผู้ประกอบการในปัจจุบันจะต้องรู้และปรับตัวให้เท่าทันกับเทรนด์โลกแห่งเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่จะเป็นโอกาสทางธุรกิจกับการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนและนักอุตสาหกรรม คือ INVESTMENT PITCHING สำหรับ 8 ผลงานวิจัยที่มีความพร้อมถ่ายทอดผลงานให้กับผู้ประกอบการที่มองหาโอกาสและช่องทางในการทำธุรกิจเทคโนโลยี
ทั้งนี้กระทรวง อว. ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจ ร่วมมาสัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวเองในงาน อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND งานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังสหวิทยาการ โดยจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2567 โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน อว.แฟร์ ตั้งแต่เวลา 14.30- 16.00 น. ทั้งนี้ในวันที่ 22 กรกฎาคม จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่เวลา 16.00 – 20.00 น. และในวันที่ 23 – 28 กรกฎาคม 2567 เปิดให้ประชาชนเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.mhesifair.com และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/MHESIThailand
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. – SCB เปิดปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 26 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 6 เวทีเฟ้น ‘นักเรียน’ สายวิทย์ฯ สู่วิชาชีพ ‘นักวิทยาศาสตร์’
(วันที่ 8-9 กรกฎาคม 2567) : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย คุณอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีเปิดปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 26 จำนวน 7 คน และ JSTP-SCB รุ่นที่ 6 จำนวน 5 คน โดยมี ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมแสดงความยินดีแก่นักเรียนทุนที่ได้รับคัดเลือก โดยมีนักเรียนทุนในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพฯ ทุนระยะยาว รุ่นที่ 26 โครงการ JSTP-SCB ระดับปริญญาตรี รุ่นที่ 6 และนักเรียนทุนต่อเนื่องในโครงการฯ เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) เป็นหนึ่งในโครงการด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. มีเป้าหมายในการเฟ้นหาและคัดเลือกเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย เข้ามารับการส่งเสริมและพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน โดยจัดหานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยให้คำดูแล แนะนำ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้แสดงศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อพัฒนาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี และนักวิจัยที่มีคุณภาพและมีจริยธรรมต่อไปในอนาคต
“ขอแสดงความยินดีกับเยาวชนทุกท่านที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 26 มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ 428 คน ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการระยะสั้น 50 คน ซึ่งเยาวชน ได้มุ่งมั่นดำเนินโครงงานวิทยาศาสตร์ ภายใต้การดูแลของนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายต่าง ๆ ของโครงการฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งคณะทำงานได้พิจารณาคัดเลือกผู้มีแววอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้ารับการส่งเสริมในระยะยาว จำนวน 7 คน ซึ่งเยาวชนทั้ง 7 คนจะได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาและการทำวิจัย รวมทั้งการส่งเสริมด้วยกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ จนถึงระดับปริญญาเอก เพื่อก้าวสู่อาชีพนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยต่อไปในอนาคต
นอกจากเยาวชนในโครงการ JSTP ทุนระยะยาว รุ่นที่ 26 แล้ว การปฐมนิเทศในวันนี้ยังมีเยาวชนในโครงการการสนับสนุนนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมของโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่อาชีพวิจัย ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (โครงการ JSTP-SCB ระดับปริญญาตรี รุ่นที่ 6) ซึ่งคัดเลือกจากเยาวชนในโครงการ JSTP-SCB ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยการสัมภาษณ์คัดเลือกให้รับทุน จำนวน 5 คน เพื่อเข้าสู่การรับทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนการวิจัยในระดับปริญญาตรี รวมทั้งเชื่อมโยงและส่งต่อการรับทุนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป”
โอกาสนี้นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม ได้รับฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง “การสร้างแรงบันดาลใจ มุมมองชีวิต ระหว่างเรียนและหลังสำเร็จการศึกษา” โดยดร.วิทย์ สิทธิเวคิน พิธีกรและผู้ดำเนินรายการ The Standard Morning Wealth การอบรมเชิงปฏิบัติการ “การทำสวนขวด” โดยคุณสันติ อาริยะ ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และร่วมกิจกรรมค่ายเสริมประสบการณ์: กิจกรรมจิตอาสาปลูกป่าชายเลน และศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ณ ศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลน เขตบางขุนเทียน กทม.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เนคเทค สวทช. ผนึก ศูนย์ TCI มจธ. เปิดตัวระบบ “ThaiRAP” เวอร์ชัน 2024 ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกของโลก ที่มีระบบช่วยการวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยระดับชาติ เทียบเคียงนานาชาติ
(วันที่ 9 กรกฎาคม 2567) : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ หัวหน้าศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมประชุมและเปิดตัวการใช้งาน ระบบวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยของประเทศไทย Thailand Research Analysis and Performance Version 2024 (ThaiRAP Version 2024) โดยมี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ดร.กริช นาสิงห์ขันธุ์ นักวิจัยเนคเทค สวทช. ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 30 องค์กร เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซอยสุขุมวิท 11 กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ หัวหน้าศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (หรือศูนย์ TCI) มจธ. ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. โดยการสนับสนุนงบประมาณจาก สกสว.ดำเนินงานโครงการพัฒนา “ระบบวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยของประเทศไทย” (Thailand Research Analysis and Performance: ThaiRAP) หรือ ระบบ ThaiRAP ตั้งแต่ปี 2564 โดยใช้ข้อมูลผลงานตีพิมพ์ที่ปรากฏในฐานข้อมูล TCI มาใช้ในการวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยในระดับชาติ
นอกจากนี้ศูนย์ TCI ยังได้คัดเลือกหน่วยงานนำร่อง 30 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย แหล่งทุน หน่วยงานกำหนดนโยบาย และมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน มาทดลองใช้ระบบ ThaiRAP เพื่อให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 เป็นต้นมา ทั้งนี้การพัฒนาระบบ ThaiRAP Version 2024 ได้แล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลก ที่มีระบบวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยในระดับชาติ ที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับนานาชาติ โดยวันนี้ถือเป็นการเปิดตัวการใช้งานระบบดังกล่าวแก่หน่วยงานนำร่อง 30 หน่วยงาน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ระบบ ThaiRAP สามารถวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยของประเทศไทยได้ทั้งในระดับประเทศ ระดับหน่วยงาน/มหาวิทยาลัย และระดับบุคคล โดยมีดัชนีชี้วัด (Metric) ที่หลากหลาย เช่น จำนวนผลงานตีพิมพ์ในแต่ละปี จำนวนผู้แต่ง สาขาวิชาที่มีการตีพิมพ์ คำสำคัญที่แสดงเนื้อหาบทความ จำนวนการอ้างอิงโดยรวม จำนวนการอ้างอิงต่อบทความ และความร่วมมือทางวิชาการระหว่างหน่วยงาน เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบ ThaiRAP จะเกิดประโยชน์ต่อทั้งอาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย ผู้บริหาร ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนหน่วยงานให้ทุนสนับสนุนการวิจัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายและทิศทางการวิจัยของประเทศ ที่สามารถนำระบบ ThaiRAP ไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลผลงานวิจัย ความเชี่ยวชาญของนักวิจัยและหน่วยงานวิจัย สถานการณ์และภาพรวมของการวิจัย เพื่อประโยชน์ในการจัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของหน่วยงานหรือของประเทศ รวมทั้งการกำหนดทิศทางการวิจัยและนวัตกรรม และการติดตามและประเมินขีดความสามารถด้านการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ ระบบ ThaiRAP (https://thairap.in.th/) จะเปิดให้บริการกับทุกหน่วยงานอย่างเต็มรูปแบบในช่วงปี 2568 เป็นต้นไป
“การวิเคราะห์สมรรถนะการวิจัยพื้นฐานของประเทศ เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อการวิจัย พัฒนา และการสร้างนวัตกรรม ตลอดจนการกำหนดแนวทางการวิจัยของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้ผู้กำหนดนโยบายทุกระดับ ได้รับทราบและตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันของการวิจัย ทั้งในเชิงสาขาวิชา ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา ตลอดจนหน่วยงานที่มีความเข็มแข็งในสาขาวิชานั้น ๆ ThaiRAP จึงเกิดขึ้นเพื่อเสริมความเข้าใจในภาพรวมของงานวิจัยที่แท้จริงของประเทศไทย ทำให้ทุกฝ่ายสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันในการวางแผนและดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ เพื่อการพัฒนาและต่อยอดสู่นวัตกรรมต่อไป”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว Ve-Sea ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ อร่อยง่าย ดีต่อสุขภาพ
ต่อเนื่องจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘Ve-Sea’ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปจากโปรตีนพืชในรูปแบบลูกชิ้นปลา เส้นปลา ฮือก้วย และกุ้ง เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ve-Sea ที่สายรักสุขภาพต้องว้าวอีกหนึ่งเทคโนโลยีแล้ว เพราะผลิตภัณฑ์นี้นอกจากจะมีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงหมึกจริง ยังมีโปรตีนและไฟเบอร์ ปราศจากคอเลสเตอรอลและกลูเตน ที่สำคัญปลอดภัยจากสารเคมีที่อาจตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าจับตา เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดและยังมีตัวเลือกไม่มากนัก
[caption id="attachment_58345" align="aligncenter" width="750"] ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ปัจจุบันหากสำรวจห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ผู้บริโภคจะเริ่มพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือได้ว่ามีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชชนิดอื่น ๆ เช่น หมู ไก่ ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะผลิตภัณฑ์ ‘หมึกจากพืช’ จะพบได้ว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีเพียงผงบุกเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีแป้งสาลีที่มีโปรตีนกลูเตนเป็นส่วนประกอบเสริม ทำให้ผู้บริโภคที่มีอาการแพ้กลูเตนไม่สามารถบริโภคได้
[caption id="attachment_58342" align="aligncenter" width="750"] Ve-Sea หมึกจากโปรตีนพืชในรูปแบบพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC)[/caption]
“ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงสร้างอาหารมาคิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิต ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ ในรูปแบบพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์นี้มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับหมึกจริง มีโปรตีนพืชเป็นส่วนประกอบที่ร้อยละ 4-6 มีไฟเบอร์สูง ปราศจากคอเลสเตอรอลและกลูเตน นอกจากนี้ยังมีปริมาณโซเดียมต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในท้องตลาด ใช้เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ แพ้อาหารทะเล และแพ้กลูเตน รวมถึงต้องการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ โดยผลิตภัณฑ์ Ve-Sea หมึกจากโปรตีนพืชนำไปใช้ปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นลวก ยำ ผัด แกง ทอด ปิ้ง ย่าง”
[caption id="attachment_58343" align="aligncenter" width="600"] ผัดกะเพราหมึกจากโปรตีนพืช[/caption]
[caption id="attachment_58428" align="aligncenter" width="600"] ต้มยำรวมมิตร หมึก กุ้ง และลูกชิ้นปลาจากโปรตีนพืช[/caption]
[caption id="attachment_58427" align="aligncenter" width="600"] คาลามารี (calamari) หมึกจากโปรตีนพืชคลุกแป้งทอดกรอบ ปรุงรสชาติสไตล์อิตาลี[/caption]
[caption id="attachment_58426" align="aligncenter" width="600"] หมึกจากโปรตีนพืชลวกจิ้ม[/caption]
ดร.นิสภา เสริมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ว่า ทีมวิจัยให้ความสำคัญอย่างยิ่งเรื่องการเลือกใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายภายในประเทศ และการเลือกใช้เครื่องจักรที่มีการใช้งานทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการระดับ SME เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ได้ ซึ่งจากการประเมินต้นทุนการผลิตพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีราคาที่แข่งขันกับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชชนิดอื่น ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจริงได้ ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีโอกาสทางการตลาดสูงทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ
นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารประเภทโปรตีนทางเลือกจากพืชแล้ว ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. ยังมีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ในฐานะหน่วยให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร (novel food) และการบริการทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ในนาม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป) สวทช.
ดร.นิสภา อธิบายถึงการให้บริการผ่าน ‘แพลตฟอร์ม FoodSERP’ หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ one-stop service’ ว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร 4 กลุ่ม คือ ส่วนผสมฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารเฉพาะกลุ่ม และสารสกัดฟังก์ชัน ซึ่งการให้บริการจะครอบคลุมทั้งการวิจัยและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การวิจัยและพัฒนาเพื่อขยายกำลังการผลิต การบริการวิเคราะห์ทดสอบ และการจัดเตรียมเอกสารรับรองเพื่อใช้ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมถึงการให้บริการอบรมและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ
“ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค เปิดให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อจากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ ส่วนทางด้านบริการทดสอบ เอ็มเทคพร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร และได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้บริการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (ระบบ tiny-TIMsg) และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ (ระบบ TIM-2) รวมถึงวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่นักวิจัย สวทช. ร่วมกับผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาขึ้น ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง” ดร.นิสภา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea ทั้งผลิตภัณฑ์หมึก กุ้ง ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วยจากโปรตีนพืช ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ประกอบการที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารติดต่อได้ผ่านแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช. อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“ศุภมาส” เปิดตัว “ศูนย์ปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว.” ผนึกกำลังหน่วยงานในสังกัด หนุนองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมขยายเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
(วันที่ 8 กรกฎาคม 2567) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์ปฏิบัติราชการร่วม อว. “ศูนย์ปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว.” โดยมีผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่หน่วยงาน อว. สื่อมวลชน เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง พร้อมโชว์นิทรรศการผลงานของ 13 หน่วยงาน อว. ที่สอดคล้องกับการดำเนินภารกิจการช่วยเหลือและสนับสนุนคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เป็นเจ้าภาพและผู้ประสานงานหลัก โอกาสนี้ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมแถลงข่าว ณ ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้มีนโยบายนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี และตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชนอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ อย่าง "DSS team " กรมวิทยาศาสตร์บริการ ที่สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุ และนำไปสู่แก้ไขอย่างถูกต้องและรวดเร็วตามที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่หน่วยเดียวอย่าง DSS team ไม่สามารถแก้ไขทุกเรื่องได้ อีกทั้งหน่วยงานใน อว. มีศักยภาพสูงทั้งบุคลากร เครื่องมือ และเทคโนโลยีต่าง ๆ พร้อมที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ตนจึงมอบหมายท่านอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ประสานงานหารือกับหน่วยงานใน อว. เพื่อร่วมบูรณาการปฏิบัติภารกิจนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศ
รัฐมนตรี อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นอีกหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่กระทรวง อว. มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการปฏิบัติภารกิจสำคัญเพื่อพี่น้องประชาชนในนาม "ศูนย์ปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว." ซึ่งจะเป็นศูนย์ปฏิบัติการแรกที่มีพันธกิจในการเฝ้าระวัง เตือนภัย ให้ความรู้ และป้องกันแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม เตือนภัยด้วยข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้ความรู้ แจ้งเตือนสถานการณ์ ให้ข้อแนะนำแก่ประชาชน และร่วมปฏิบัติการกับหน่วยงานราชการในพื้นที่บูรณาการกับท้องถิ่นและภาคประชาสังคม นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีลงพื้นที่เพื่อการพิสูจน์ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งถือเป็นการทำงานให้เกิดพลังร่วมสู่การดูแลประชาชนโดยตรง
ด้านนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดประเด็นปัญหาหลายอย่างที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม การรั่วไหลของสารอันตราย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความห่วงใยและวิสัยทัศน์ของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. จึงได้สั่งการให้หน่วยเคลื่อนที่เร็ว "DSS team" ของกรมวิทย์ฯ บริการ ลงพื้นที่ออกปฏิบัติการเพื่อพิสูจน์หาสาเหตุ และร่วมแก้ปัญหากับประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ตามที่ปรากฎในสื่อต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามการดำเนินงานโดย กรมวิทย์ฯ บริการ อว. เพียงหน่วยเดียวไม่สามารถครอบคลุมในทุกมิติของปัญหาหรือสถานการณ์ ดังนั้น ท่านรัฐมนตรีฯ ศุภมาส จึงดำริให้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว. เพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติการร่วมของหน่วยงานในสังกัด อว. ในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างความตระหนักรู้ ความปลอดภัยและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่พี่น้องประชาชน โดยศูนย์ฯ ดังกล่าว จะดำเนินงานในลักษณะเครือข่ายหน่วยงานของกระทรวง อว. ดังนั้น ประชาชนหรือหน่วยงานสามารถแจ้งปัญหาผ่านสายด่วน 1313 ผ่าน Facebook ผู้พันวิทย์ อว. และ Line OA ผู้พันวิทย์ อว. โดยจะมีทีมงานส่วนกลางเป็นผู้รับเรื่องและประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมปฏิบัติการและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง สอดรับกับความคาดหวังและความต้องการของประชาชน และในอนาคตจะขยายขอบข่ายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึงถือเป็นการทำงานเชิงรุกก่อให้เกิดผลดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ภายในงานแถลงข่าวศูนย์ปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะหน่วยงานปฏิบัติการร่วมในสังกัด อว. เข้าร่วมแสดงผลงานนิทรรศการ 2 เรื่อง ที่เป็นตัวอย่างของทีมปฏิบัติการร่วมในศูนย์ฯ ได้แก่
1.ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) ต้นแบบการส่งต่ออาหารส่วนเกินสู่กลุ่มเปราะบาง ที่มุ่งลดขยะอาหาร ลดการปล่อยก๊าซมีเทน และสร้างการเข้าถึงอาหารได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ธนาคารอาหารของประเทศไทย ที่เข้าร่วมโครงการผู้พันวิทย์ จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารส่วนเกิน การกอบกู้อาหาร และการส่งต่ออาหารส่วนเกินให้กับประชากรกลุ่มเปราะบางอันจะช่วยส่งเสริมให้ลดการเกิดขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไปด้วยกัน และมุ่งหวังให้เป็นต้นแบบของการสร้างแบบจำลองการส่งต่ออาหารส่วนเกินให้สังคมไทย สามารถนำไปใช้บรรเทาปัญหาความต้องการอาหารของประชาชนที่ขาดแคลน และขยายผลต่อในลักษณะของธนาคารอาหารแห่งชาติได้ โดย สวทช. สนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ แพลตฟอร์มดิจิทัลแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ และแนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline) สนับสนุนนโยบาย BCG ด้านอาหารของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหาร มีอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีโภชนาการที่ดี เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของประชาชน และส่งเสริมเป้าหมายด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ลดการสูญเสียอาหาร และลดการเกิดขยะอาหาร
2.คลินิกคุณภาพน้ำ โดย สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร มีผลงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวัดและพัฒนาระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อชุมชน อาทิ การตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พื้นที่ขอนแก่นและลำปาง ,นวัตกรรมตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยี ,การพัฒนาฐานข้อมูลด้านคุณภาพน้ำประปาที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยีสำหรับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดลำปาง,เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาฟลูออไรด์ปนเปื้อนในน้ำอุปโภคบริโภคสำหรับพื้นที่ชายขอบ,การจัดการน้ำอุปโภคบริโภคให้แก่โรงเรียน ตชด. และชุมชนชายขอบ ,การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเซนเซอร์และระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม และปรับปรุงคุณภาพน้ำอุปโภคบริโภคที่มีการปนเปื้อนมลสาร เพื่อป้องกันและชะลอการเกิดโรคไตเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในชุมชนรอบเขื่อน และองค์ความรู้สู่ชุมชน:นวัตกรรมกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยีเพื่อการพึ่งตนเองของชุมชนบ้านสัก ต.บ้านเอื้อม อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง
ทั้งนี้ด้วยการดำเนินงานด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม จนเกิดเป็นองค์ความรู้ในเรื่อง “การตรวจวัดและพัฒนาระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อชุมชน” ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. จึงได้บูรณาการองค์ความรู้ดังกล่าวมาเป็นทีมงาน “คลินิกคุณภาพน้ำ” เพื่อช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ และช่วยตรวจสอบคุณภาพน้ำ พร้อมให้คำปรึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงคุณภาพน้ำให้กับชุมชนที่ต้องการได้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
แผ่นเข็มจิ๋ว ‘MicroSpike’ คว้าสุดยอดนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจ 2024 สารเคลือบกันฝุ่น รับ Creator Awards 2024 ในงาน 7 Innovation Awards 2024
2 ดีพเทคสตาร์ทอัพ สวทช. ควงแขนกวาดรางวัลจากเวทีรางวัลสุดยอดนวัตกรรม “7 Innovation Awards 2024” (เซเว่น อินโนเวชั่น อวอร์ดส์) ภายในงาน “Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ประจำปี 2024” โดย “สไปก์ อาร์ซิ เทคโนนิคส์” พา Microspike แผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่งคว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรม ด้านเศรษฐกิจ2024 ในขณะที่ “นาโนโค๊ตติ้งเทค” ส่ง Solar N-Coat สารเคลือบนาโนป้องกันฝุ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเซลล์แสงอาทิตย์ รับรางวัล Creator Awards2024 ตอกย้ำศักยภาพงานวิจัย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน
งาน “Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ประจำปี 2024” พร้อมงานประกาศผลรางวัลสุดยอดนวัตกรรม “7 Innovation Awards 2024” (เซเว่น อินโนเวชั่น อวอร์ดส์) ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 เกิดจากเซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมกับ 10 องค์กรพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.), สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.), สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย (Thai-BISPA), หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อสะท้อนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการรวมพลังขับเคลื่อนและสนับสนุน SMEs ที่มีนวัตกรรม
สำหรับในปีนี้ มีผู้ประกอบการส่งผลงานเข้าประกวดเพื่อชิงรางวัลสุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards ประจำปี 2024 รวม 180 ผลงาน และมีผลงานที่ผ่านการตัดสินให้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 34 รางวัล แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัล ได้แก่ รางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ครอบคลุมด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบริการ หรือด้านกระบวนการ จำนวน 19 รางวัล และรางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา รวมถึงโครงการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) จำนวน 15 รางวัล
น.ส. ลลิตภัทร ศุภประภากร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท สไปก์ อาร์ซิ เทคโนนิคส์ จำกัด ซึ่งเป็นดีพเทคสตาร์ทอัพ ภายใต้ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า Microspike แผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่ง เป็นเทคโนโลยีการนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวหนังด้วยโครงสร้างเข็มขนาดเล็ก เพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เช่น แผ่นแปะบรรเทาปวด มาส์กหน้าเพื่อความงาม หรือจะนำมาใช้ทางการแพทย์ก็ได้
นวัตกรรมกระบวนการผลิตเข็มจิ๋วหรือไมโครนีดเดิลแบบอัจฉริยะที่สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็วบนผืนผ้า ถูกคิดค้นเพื่อปลดล็อคขีดจำกัดการผลิตด้วยเทคโนโลยีเดิม ให้มีประสิทธิภาพมากกว่า ด้วยกระบวนการผลิตแผงเข็มที่รวดเร็วกว่า 20 เท่า และสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ให้มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าถึง 100 เท่า ขณะเดียวกันก็ยกระดับประสิทธิภาพให้เหนือชั้น ด้วยความสามารถในการปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ต่าง ๆ ได้ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน สร้างความยืดหยุ่นในการออกแบบแผงเข็มไมโครนีดเดิลได้ตามจินตนาการ เป็นจุดเด่นที่ทำให้สามารถผลิตไมโครนีดเดิลที่มีรูปร่างเชิงลึกตามความสูงได้ ซึ่งรูปร่างเชิงลึกตามความสูงนี้เป็นเหมือนช่องเปิดที่ช่วยให้สารสำคัญไหลเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังได้ดีขึ้น
Microspike แผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่งนี้ ได้รับมาตรฐาน ISO13485 ไม่เกิดอาการแพ้และระคายเคืองใดๆ และผ่านมาตรฐานเครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสามารถสร้างยอดขายได้ 2 ล้านบาทในปีแรก ตอบความต้องการของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี ทำให้บริษัทอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่มาจากหลายพื้นที่ทั่วโลก
ในขณะเดียวกัน Solar N-Coat สารเคลือบนาโนป้องกันฝุ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเซลล์แสงอาทิตย์ ผลงานจากดีพเทคสตาร์ทอัพภายใต้นาโนเทค สวทช. อย่าง บริษัท นาโนโค๊ตติ้งเทค จำกัด ก็ไม่น้อยหน้า สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี
ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ นาโนโค๊ตติ้งเทค กล่าวว่า ฝุ่นเป็นปัญหาใหญ่สำหรับโซลาร์เซลล์ที่ทำให้ประสิทธิภาพในการรับแสงอาทิตย์ที่จะนำไปผลิตเป็นไฟฟ้าลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้โซลาร์เซลล์เพื่อการผลิตไฟฟ้าในระดับโรงงานอุตสาหกรรมหรือการทำโซลาร์ฟาร์มที่ต้องติดตั้งแผงจำนวนมาก เนื่องจากช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน หรือหน้าแล้งนั้น ไทยต้องเจอกับฝุ่นจำนวนมาก ส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของโซลาร์เซลล์ลดลง 6-8% และหากเป็นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเขม่าควันหรือละอองน้ำมันจับที่หน้าแผง ประสิทธิภาพอาจลดลงได้ถึง 9-10% Solar N-Coat ก็จะเข้ามาตอบโจทย์นี้
Solar N-Coat สารเคลือบป้องกันฝุ่นสำหรับแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ใช้เทคโนโลยีสารเคลือบอนุภาคนาโนซิลิกา (Silica nanoparticle) ที่ทำให้น้ำไม่เกาะติดบนพื้นผิว มีคุณสมบัติช่วยลดการสะสมฝุ่นบนแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น 5% สามารถล้างออกได้โดยไม่มีการทำลายพื้นผิวก่อนการเคลือบ มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและไม่ก่อให้เกิดระคายเคืองต่อผิวหนัง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘ศุภชัย’ เปิดตัว “ภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐาน แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” หนุนอุตสาหกรรม EV ในประเทศ
วันที่ 5 กรกฎาคม 2567 : นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธานในพิธีเปิดตัว “ภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” ซึ่งจัดโดย สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย และเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ภายในงาน International Energy Storage Forum 2024 - TESTA Annual Symposium ครั้งที่ 4 ณ ห้องประชุม MR 111 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ โดยมีนายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย เข้าร่วมการเปิดตัวครั้งนี้ ภาคีเครือข่ายนี้มีเป้าหมายหลักในการลดข้อจำกัดของการใช้งานแบตเตอรี่ในประเทศไทย ครอบคลุมประเด็นด้านราคา ความปลอดภัย และคุณภาพ โดยจะดำเนินการผ่านการพัฒนามาตรฐานกลางในด้านขนาด ระบบไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และการสื่อสาร เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยสู่มาตรฐานสากล
นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) กล่าวว่า รัฐบาลไทยโดยท่านนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ได้มีนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น EV Hub ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เเละมีมาตรการส่งเสริม EV มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ และ Supply Chain ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศ โดยทางรัฐบาลและกระทรวง อว. เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ประกาศนโยบาย "อว. for EV" โดยมีเเนวทางการดำเนินการใน 3 เสาหลัก คือ
EV-HRD พัฒนาบุคลากรด้าน EV
EV-Transformation เปลี่ยนผ่านหน่วยงานใน อว. ให้นำร่องใช้รถ EV แทนรถยนต์สันดาปภายใน (ICE)
EV-Innovation ผลักดันการวิจัยพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ
โดยนายศุภชัยได้แสดงความยินดีกับการเปิดตัว “ภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” ที่ได้เริ่มต้นมาจากการดำเนินการโครงการนำร่องร่วมกันของหน่วยงานในกระทรวง อว. คือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัทเอกชนชั้นนำ ได้แก่ บริษัท เบต้า เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด บริษัท จีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด บริษัท กริดวิซ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ยูเนี่ยนนิฟโก้ จำกัด จนนำมาสู่การขยายผลเป็นภาคีเครือข่ายระดับประเทศ และได้แสดงความเชื่อมั่นว่าด้วยจากความร่วมมือดังกล่าวจะผลักดันให้ประเทศ ก้าวไปสู่ความยั่งยืนทางด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนคนไทย
ด้าน นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวแสดงความยินดีกับการก่อตั้งภาคีนี้ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีบทบาทหลักในรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญด้านอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยกลไกของหน่วยงานในกระทรวงฯ อาทิ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และองค์กรอิสระภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เช่น สถาบันยานยนต์ - ซี่งเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งภาคีเครือข่ายนี้ มุ่งขับเคลื่อนภารกิจสำคัญด้านอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยในส่วนของยานยนต์ กระทรวง อก. ได้มีการดำเนินการหลัก ได้เเก่
การจัดทำมาตรฐาน: มุ่งรองรับการตรวจสอบ รับรอง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ผ่านมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานระบบขับเคลื่อน มาตรฐานระบบการประจุไฟฟ้า มาตรฐานแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้า มาตรฐานระบบการสื่อสารระหว่างยานยนต์ไฟฟ้ากับโครงข่ายไฟฟ้า มาตรฐานระบบเบรกของจักรยานยนต์ไฟฟ้า มาตรฐานชิ้นส่วนสำหรับดัดแปลงรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
การบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว: กระทรวงฯ เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารและจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว รวมทั้งจัดทำแผนการบริหารและกำจัดซากแบตเตอรี่รถยนต์อย่างเหมาะสม
การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน: สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC)
การพัฒนาทักษะแรงงานเฉพาะทาง: พัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมผ่านหลักสูตรฝึกอบรม การศึกษา และการพัฒนาทักษะเฉพาะทาง โดยสถาบันยานยนต์ดำเนินโครงการเพิ่มผลิตภาพเน้นการพัฒนาระบบรับรองความสามารถบุคลากรแบบต่อเนื่อง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
ทั้งนี้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า ตัวอย่างที่ชัดเจน ดังต่อไปนี้
การเติบโตของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า: มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีตัวเลือกที่หลากหลายและราคาที่แข่งขันได้
การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่: ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ด้วยความร่วมมือจากสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน
การขยายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า: จำนวนสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยลดความกังวลเรื่องระยะทางและกระตุ้นการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า
ด้าน ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ประธานภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก เปิดเผยถึงที่มาของการจัดตั้งภาคี ที่ได้ริเริ่มมาจากความต้องการลดข้อจำกัดในการเปลี่ยนผ่านมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์สันดาปเป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า จึงได้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในกระทรวง อว. และหน่วยงานภาคเอกชนทั้ง 9 หน่วยงาน ดำเนินโครงการวิจัยใน “โครงการวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์ม แพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย” ด้วยการสนับสนุนทุนวิจัยจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ปี 2564 ซึ่งโครงการนี้เสร็จสิ้นสำเร็จไปเมื่อต้นปีนี้ โดยหนึ่งในผลลัพธ์หลักที่ได้คือ ข้อกำหนดของคุณลักษณะมาตรฐานสำหรับแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า พร้อมต้นแบบทดสอบ ที่ผ่านการหารือร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกว่าสองร้อยราย
จากผลงานและการตอบรับจากผลลัพธ์ของโครงการได้จุดประกายเล็กๆ ให้เกิดการขยายผลในระดับภาคีเครือข่ายที่กว้างขวางขึ้นในวันนี้ ในนาม “ภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” มีเป้าหมายหลักในการลดข้อจำกัดของการใช้งานแบตเตอรี่ในประเทศไทย ครอบคลุมประเด็นด้านราคา ความปลอดภัย และคุณภาพ ผ่านการพัฒนามาตรฐานกลางในด้านขนาด ระบบไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และการสื่อสาร ให้เกิดตลาดและการพึ่งพาในประเทศภายในระยะเวลา 3 ปี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยสู่มาตรฐานสากล และมุ่งหวังว่าภาคีที่ก่อตั้งขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วนนี้ จะจุดประกายเล็กๆ ให้เกิดการขยายผล เกิดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตและให้บริการยานยนต์สมัยใหม่ที่มีมาตรฐาน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรม และสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทยต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
กระทรวง ศธ. และ อว. ผนึกกำลัง 4 พันธมิตรด้านการศึกษา พัฒนาผู้เรียน ผู้สอน เติมทักษะด้าน AI ควบคู่จริยธรรมการนำไปใช้ประโยชน์จาก AI
(วันที่ 4 กรกฎาคม 2567) ห้องแถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ โดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ “โครงการขับเคลื่อนการสอนปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสถาบัน การศึกษา” เพื่อสร้างผู้สอน นักเรียนทุกคน ทุกช่วงชั้น ให้มีความรู้ด้าน AI มีความเข้าใจและตระหนัก เรื่องจริยธรรมของการนำไปใช้ประโยชน์ (ethical considerations) เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัล และรองรับตลาดแรงงานสมัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 โอกาสนี้ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้กล่าวแสดงความยินดีและมอบนโยบายที่เกี่ยวข้อง
พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน รวมถึงการขับเคลื่อนการสอนปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสถาบันการศึกษา เพราะโลกการศึกษาในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นประเด็นความท้าทายด้านการศึกษาของประเทศไทย การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงระบบดิจิทัลเข้ามาใช้พัฒนาผู้เรียน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางการศึกษาได้ โดยเฉพาะผู้เรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล หรือโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูผู้สอนไม่ครบชั้น ขาดแคลนสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน โดยทุกวันนี้ AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันการทำงานและการศึกษา ดังนั้น นักเรียน นักศึกษาจะต้องได้รับทักษะใหม่ ๆ เช่น ทักษะในการคิด การวิเคราะห์ การตัดสินใจ การสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งกระทรวงศึกษาฯ คาดหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปปรับใช้เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการจัดการศึกษาในโลกอนาคตที่สอดคล้องกับเด็กไทย เราต้องมาร่วมมือกันพัฒนาผู้เรียนทุกช่วงวัยตามนโยบายการทำงาน “การจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ส่งต่อจากระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา สู่ระดับอุดมศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพ
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของชีวิต ทั้งทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต กระทรวง อว. เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และพร้อมให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการศึกษามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมความพร้อมให้กับเด็กไทย ให้นักเรียนทุกคนมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการใช้ AI เข้าใจถึงประโยชน์และความเสี่ยง รวมไปถึงจริยธรรมในการใช้งาน ซึ่ง “โครงการขับเคลื่อนการสอนปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสถาบันการศึกษา” เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของ “อว. for AI” ที่เน้นการพัฒนาทักษะและสร้างบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ให้กับนักเรียนไทยตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา เพื่อเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการสอนปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสถาบันการศึกษา และขอแสดงความยินดีกับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการศึกษาไทยให้ตอบสนองกับความต้องการของศตวรรษที่ 21 สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) หรือ National AI Strategy สนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนากำลังคน AI ระดับต้น (Beginner) ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่จำเป็นในการใช้ AI เพื่อต่อยอดไปสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ก้าวหน้าต่อไป
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ความคาดหวังจากความร่วมมือโครงการฯ นอกเหนือจากที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเยาวชนรุ่นใหม่แล้ว การดำเนินโครงการยังมีความสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนของการเปิดให้เกิดการเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา มีการวัดผลการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Adaptive Education) ที่สามารถติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้แบบเรียลไทม์ นำไปสู่การออกแบบใบรับรองความสามารถ (Micro-Credentials) รวมถึงสะสมเครดิตการเรียนรู้ผ่านระบบธนาคารเครดิต การจัดทำระบบวัดผลเทียบระดับการศึกษา และประเมินผลการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนที่มีความสามารถเป็นเลิศ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนในระบบ ประหยัดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่าย สอดคล้องกับนโยบาย “ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง” ของกระทรวงศึกษาธิการอย่างเป็นรูปธรรม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาทั้ง 4 หน่วยงานได้ผนึกกำลังทำงานร่วมกันอย่างเหนียวแน่น โดยในการขับเคลื่อนให้เกิดการสอนเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสถานศึกษาทั่วประเทศ หน่วยงานพันธมิตรสำคัญที่ได้ลงนามความร่วมมือกับ สวทช. ประกอบด้วย ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คุณยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รศ.ดร.ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ และล่าสุด สวทช. เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรไทยให้มีความพร้อมในการใช้และการพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเริ่มตั้งแต่ระดับพื้นฐานในโรงเรียนไปถึงระดับมหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมกับพันธมิตรในการเตรียมวางแผนการขับเคลื่อนความรู้ความเข้าใจด้านปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในระดับต้นร่วมกัน เพื่อสร้างผู้สอน นักเรียนทุกคน ทุกช่วงชั้น ให้มีความรู้ด้าน AI มีความเข้าใจและตระหนักเรื่องจริยธรรมของการนำไปใช้ประโยชน์ (ethical considerations) เป็นการเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัล และรองรับตลาดแรงงานสมัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 โดยมีกรอบการดำเนินงาน ได้แก่ 1. สร้างหลักสูตร AI ที่มีความเหมาะสมของผู้เรียน และผู้สอน ให้สามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างเหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละช่วงชั้น 2. สร้างครูผู้สอนให้มีความรู้ทางด้าน AI และการเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมของการสอนแต่ละช่วงชั้น 3.สร้างมาตรฐานหลักสูตร AI เพื่อนำไปสู่การออกแบบใบรับรองความสามารถ (Micro-Credentials) 4. พัฒนาโครงการนำร่อง ก่อนส่งเสริมให้เกิดการสอนเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ 5. แลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ รวมทั้งจัดฝึกอบรม และสัมมนาระหว่างบุคลากรของทั้งสองฝ่าย และดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีอัปไซเคิลน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ หอมกรุ่น กลมกล่อมสไตล์เอเชีย
โดยทั่วไปในกระบวนการผลิตลูกชิ้นจากเนื้อปลาจะมีน้ำที่ได้จากการต้มลูกชิ้นมากกว่า 3-6 ตันต่อวัน ซึ่งโรงงานจะเก็บน้ำส่วนหนึ่งไว้ในห้องเย็นเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการประเภทจัดเลี้ยงหรือร้านอาหารที่ต้องการใช้น้ำชนิดนี้ทำอาหาร อย่างไรก็ตามความต้องการเหล่านั้นยังคงไม่มากพอ ส่งผลให้โรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการบำบัดน้ำทิ้งโดยเปล่าประโยชน์เป็นประจำทุกวัน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการแปรรูปน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ ประเภทพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) กลิ่นหอมกรุ่น รสกลมกล่อมสไตล์เอเชีย เหมาะแก่การผลิตเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ
[caption id="attachment_58247" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลารูปแบบต่าง ๆ[/caption]
[caption id="attachment_58245" align="aligncenter" width="750"] ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์, ดร.ยุวเรศ มลิลา และคุณญาณี ศรีมารุต (ซ้าย-ขวา)[/caption]
คุณญาณี ศรีมารุต ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยด้านการลดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม ทีมวิจัยได้ดำเนินการพัฒนากระบวนการผลิตหัวน้ำซุปปลาจากน้ำต้มลูกชิ้นขึ้นด้วยกระบวนการทำเข้มข้นที่อุณหภูมิต่ำเพื่อรักษากลิ่นรสของวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร นอกจากนี้ยังนำน้ำซุปไปเข้ากระบวนการสเตอริไลซ์เพื่อยืดอายุได้โดยไม่เสียรสชาติ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นเก็บรักษาในบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องแช่เย็นและใส่สารกันบูดได้นานกว่า 1 ปี เหมาะแก่การผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทีมวิจัยได้จดความลับทางการค้าเรียบร้อยแล้ว และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งนี้ในขั้นตอนของการทดลองขยายขนาดการผลิตทีมวิจัยได้รับทุนจากโครงการสนับสนุนเร่งการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (Research gap fund) ประจำปีงบประมาณ 2563
ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้ออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์ไว้ที่ปริมาตร 150 กรัมต่อซอง ใช้เป็นหัวน้ำซุปสำหรับทำน้ำแกงได้ประมาณ 5 ถ้วย หรือใช้ทำชาบูได้ 1 มื้อ (2-3 คน) ทั้งนี้การออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์สามารถปรับได้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบการผลิตเป็นซองขนาดเล็กสำหรับบริโภค 1 คนต่อ 1 มื้อ หรือเป็นบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่สำหรับจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารหรือร้านจัดเลี้ยง ซึ่งหัวน้ำซุปแบบ RTC จะช่วยให้ผู้ประกอบการรักษาความคงที่ของรสชาติอาหาร ลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บวัตถุดิบสด และระยะเวลาการต้มน้ำซุป รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต อาทิ แรงงาน เชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี
ผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นในประเทศไทยรวมถึงอีกหลายประเทศทั่วโลก และจะยิ่งเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้นหากผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านั้น ‘ช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบาย’
ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า ในปี 2566 ผลิตภัณฑ์น้ำซุปใสมีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึงราว 1.8 แสนล้านบาท (4.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยในช่วงปี 2567-2576 มีแนวโน้มอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ปีละ 5.1% โดยหน่วยงานด้านการวิเคราะห์มูลค่าทางเศรษฐกิจได้ประมาณการไว้ว่าในปี 2576 ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 2.3 แสนล้านบาท (6.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากผลิตภัณฑ์เป็น clean label หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร (เช่น ผงชูรส สารแต่งกลิ่นรส สารแต่งสี สารกันบูด) และเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท RTC จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับตนเอง เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ รวมไปถึงผู้ที่มองหาผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารที่ใช้งานได้สะดวก สามารถจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุ ที่สำคัญผลิตภัณฑ์อาหารที่ให้กลิ่นรสแบบเอเชียยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศซึ่งมีกำลังซื้อสูง อาทิ ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์นี้มีแนวโน้มที่จะมีศักยภาพในการทำการตลาดทั้งในไทย (ตลาดพรีเมียม) และต่างประเทศ
“นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์หัวน้ำซุปปลาเข้มข้นที่ปัจจุบันพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ขณะนี้ทีมวิจัยยังพร้อมเปิดรับโจทย์วิจัยการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารประเภทน้ำซุปและน้ำแกงในระดับอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อร่วมวิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งด้านความคุ้มค่าในการผลิตและโอกาสทางการตลาดก่อนลงทุนทำวิจัยได้” ดร.ยุวเรศกล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล bbd@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ประกาศผล ‘ทีมแอสโทรนัต’ คว้ารางวัลชนะเลิศ ‘คิโบะ โรบ็อต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 5’ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันชิงแชมป์ระดับนานาชาติ พฤศจิกายนนี้
(3 กรกฎาคม 2567) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร ประกาศผลการแข่งขัน “โครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge” โดยทีมแอสโทรนัต (Astronut) คว้ารางวัลชนะเลิศ ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติ ในภารกิจแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศแอสโตรบี (Astrobee) ที่ปฏิบัติงานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ให้ปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย โดยจะเข้าร่วมกิจกรรมที่ศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวง อว. โดย สวทช. ร่วมกับแจ็กซา และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) และสถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ร่วมกันจัดแข่งขันโครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge ทั้งนี้ สวทช. เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทย ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 นี้ โดยมีโจทย์ภารกิจ เป็นการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในระบบจำลองหรือ Simulation ควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ Astrobee เพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่สูญหายในสถานีอวกาศ ซึ่งทีมที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดจากผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 200 ทีมทั่วประเทศ จะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติต่อไป
รางวัลชนะเลิศ ทีมแอสโทรนัท (Astronut) คะแนนรวม 263.19 คะแนน
“ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมชนะเลิศได้แก่ ทีมแอสโทรนัต ซึ่งมีสมาชิก 4 คน ประกอบด้วย นายธรรญธร ไชยกายุต ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์ ชั้นปีที่ 1 สาขากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล นายชยพล เดชศร ชั้นปีที่ 1 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนายสิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ ชั้นปีที่ 1 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หลังจากนี้ทีมแอสโทรนัตจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติ ในรายการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge ร่วมกับตัวแทนเยาวชนอีก 11 ชาติ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567”
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีมซินแท็กซ์ ไวยกรณ์ (Syntax Waiyakorn) คะแนนรวม 259.34 คะแนน
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีมพลัมเมอร์ พัปส์ (Plumber Pups) คะแนนรวม 247.03 คะแนน
รางวัลทีมนำเสนอดีเด่น ทีมโครนอสบีส์ (Kronosbees)
ดร.จุฬารัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมซินแท็กซ์ ไวยกรณ์ (Syntax Waiyakorn) จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีมพลัมเมอร์ พัปส์ (Plumber Pups) จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรางวัลทีมนำเสนอดีเด่น ได้แก่ ทีมโครนอสบีส์ (Kronosbees) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ในปีนี้มีเยาวชนสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 200 ทีม เป็นจำนวนที่สูงมากที่สุดในบรรดาประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสนใจของเยาวชนไทยที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าร่วมกิจกรรม โดยแบ่งเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 21 ทีม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 140 ทีม ระดับมหาวิทยาลัย จำนวน 39 ทีม ซึ่งประสบการณ์จากการแข่งขันครั้งนี้ จะทำให้เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการได้พัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ อย่างบูรณาการ ทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ได้พัฒนาทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 อาทิ การคิดวิเคราะห์และการทำงานร่วมกันเป็นทีม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้และประสบการณ์ที่เยาวชนได้รับจากการแข่งขันครั้งนี้ จะมีส่วนส่งเสริมต่อยอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพมาช่วยพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต”
นายทาเคฮิโระ นากามูระ (Takehiro Nakamura) ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ กล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีแก่เยาวชนไทยผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้ง 200 ทีม ว่ารู้สึกตื่นเต้นและประทับใจกับการเข้าร่วมแข่งขันของเยาวชนไทยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทุก ๆ ทีม ในการพัฒนาโค้ดเพื่อเอาชนะโจทย์การแข่งขันให้ดีที่สุด ภายใต้แนวคิดการทำงานจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ขอแสดงความยินดีกับทุก ๆ ทีมที่ได้รับรางวัล และขอต้อนรับทีมผู้ชนะเลิศสู่การแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติที่ศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น หวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพและการทำงานในอนาคต
นายวสันชัย วงศ์สันติวนิช ผู้บริหาร บริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด
ด้าน นายวสันชัย วงศ์สันติวนิช ผู้บริหาร บริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด ผู้ร่วมสนับสนุนโครงการแข่งขันในปีนี้ กล่าวเสริมว่า ขอแสดงความยินดีกับทีมตัวแทนประเทศไทย พวกเรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนทีมเยาวชนจากประเทศไทยสำหรับการแข่งขันนี้ และดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นเยาวชนไทยจำนวนมากให้ความสนใจและสมัครเข้าร่วมแข่งขันในงานนี้ ภารกิจในอวกาศถือว่าเป็นภารกิจที่มีความท้าทายสูง ต้องอาศัยองค์ความรู้หลายแขนง ประกอบกับต้องมีความละเอียดรอบคอบและมีการคิดวิเคราะห์ที่เป็นระบบ ซึ่งความเชี่ยวชาญในด้านนี้ยังเป็นที่ขาดแคลนในประเทศไทย ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจให้ตัวแทนประเทศไทยที่ไปแข่งขันที่ญี่ปุ่น ตลอดจนเยาวชนที่รักและสนใจด้านการบินและอวกาศทุกคน แม้ว่าประเทศไทยจะยังมีงานทางด้านนี้ไม่มาก แต่โอกาสมีอยู่เสมอถ้าเราพยายามมากเพียงพอ”
นายจุติวัฒน์ เสงี่ยมศักดิกร รองกรรมการผู้จัดการสายพัฒนาธุรกิจ บริษัท 168 ลักกี้ เทรด จำกัด
ขณะที่ นายจุติวัฒน์ เสงี่ยมศักดิกร รองกรรมการผู้จัดการสายพัฒนาธุรกิจ บริษัท 168 ลักกี้ เทรด จำกัด ผู้ร่วมสนับสนุนโครงการแข่งขันในปีนี้ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกท่านในโครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge โดยเฉพาะน้อง ๆ ทีม แอสโทรนัต ที่คว้ารางวัลชนะเลิศในปีนี้และคว้าโอกาสการไปเข้าร่วมกิจกรรมที่ศูนย์อวกาศสึกุบะ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเวทีแสดงความสามารถด้านการบินและอวกาศระดับนานาชาติ
“ทางเรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนเยาวชนที่มีใจรักเทคโนโลยีและมีศักยภาพที่จะต่อยอดองค์ความรู้และประสบการณ์จากเวทีระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พัฒนาบุคคลากรของประเทศให้มีความพร้อมรองรับเทรนด์เทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างยั่งยืน”
สำหรับทีมตัวแทนประเทศไทยจะได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์นานาชาติ ที่ศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้เยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขันจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับนักบินอวกาศอวกาศญี่ปุ่น และได้สัมผัสกับประสบการณ์ล้ำค่าในศูนย์อวกาศสึกุบะซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นสถานที่หลักสำหรับปฏิบัติการโครงการวิจัยอวกาศของญี่ปุ่น และฝึกฝนนักบินอวกาศชาวญี่ปุ่นที่ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานีอวกาศนานาชาติ
ผู้สนใจติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการ Kibo Robot Programming Challenge ครั้งที่ 5 ได้ที่เฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
“ศุภมาส” เปิดตัวเครือข่ายมหาวิทยาลัยและเครือข่ายคณะวิศวกรรมศาสตร์ “Upskill-Reskill อว. for EV” เร่งสร้างกำลังคนรองรับอุตสาหกรรม EV ของไทย ทะยานสู่ EV HUB ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
(วันที่ 2 กรกฎาคม 2567) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการเปิดตัวเครือข่ายมหาวิทยาลัยและเครือข่ายคณะวิศวกรรมศาสตร์ในโครงการ “Upskill Reskill อว. for EV" โดยมี รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนและพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รักษาการเเทนที่ปรึกษาด้านพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวง อว. รศ.ร.อ.ดร.กนต์ธร ชำนิประศาสน์ หัวหน้าโครงการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 มทส. จ.นครราชสีมา
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า การเปิดตัวเครือข่ายมหาวิทยาลัยและเครือข่ายคณะวิศวกรรมศาสตร์ดำเนินการ “Upskill Reskill อว. for EV” ของกระทรวง อว. ในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนากำลังคนด้วยองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการแรงงานของอุตสาหกรรม EV ในปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในต้นแบบเครือข่ายที่ร่วมบูรณาการทำงานร่วมกันที่ประสบผลสำเร็จ เพื่อช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น EV HUB ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญอันดับหนึ่งของภูมิภาค และ 10 อันดับแรกของโลก
“นี่คือความมุ่งมั่นของกระทรวง อว. ที่ต้องการพัฒนาและสร้างกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรม EV ของประเทศอย่างเร่งด่วน ถือเป็น 1 ใน 3 เสาหลักของนโยบาย “อว.For EV” ได้แก่ 1.EV HRD หรือการผลิตกำลังคนให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย 150,000 คน ใน 5 ปี 2.EV Transformation หรือการเปลี่ยนรถ ICE เป็นรถ EV ในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานของ อว. เป้าหมาย 30% ภายในปี 2030 และ 3.EV Innovation เพื่อยกระดับผู้ประกอบการด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ผ่านความร่วมมือจากทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของบอร์ดอีวีแห่งชาติที่ตั้งเป้าจะผลิตรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษอย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดของประเทศไทย ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 725,000 คัน และรถจักรยานยนต์ ประมาณ 675,000 คัน ภายในปี พ.ศ. 2573 หรือ เรียกว่านโยบาย “30@30” เพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แก้ไขความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” น.ส.ศุภมาส กล่าว
ด้าน นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้ดำเนินนโยบาย อว. For EV เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้ทุกหน่วยงาน และมหาวิทยาลัยทุกแห่งในสังกัดกระทรวง อว. มีการดำเนินงานแบบบูรณาการในการขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ กองขับเคลื่อนและพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยและเครือข่ายคณะวิศวกรรมศาสตร์ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวง อว. ดำเนินการ “Upskill Reskill อว. for EV” เพื่อพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศซึ่งเป็นรากฐานสำคัญผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์รายใหญ่ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งสามารถสร้างความได้เปรียบให้แก่ประเทศไทยและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของภาคการผลิตยานยนต์ของประเทศไทยจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) การพัฒนาทักษะกำลังคนเพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อาทิ การออกแบบ การผลิต การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า สถานีบรรจุไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน มีเป้าหมายในการผลิตกำลังคน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 150,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยปี 2567 จะผลิตกำลังคนให้ได้ 5,000 คน และจะทำหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree) เพื่อการมีงานทำและ เตรียมความพร้อมรองรับการทำงานในอนาคต
ทั้งนี้ เครือข่ายมหาวิทยาลัยและเครือข่ายคณะวิศวกรรมศาสตร์ในโครงการ “Upskill Reskill อว. for EV" ประกอบด้วย ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มทร.รัตนโกสินทร์ มรภ.นครราชสีมา มทร.อีสาน ม.เทคโนโลยีมหานคร ม.อัสสัมชัญ ม.กรุงเทพธนบุรี ม.ขอนแก่น ม.บูรพา ม.ทักษิณ ม.อุบลราชธานี มทร.ตะวันออก ม.เกษตรศาสตร์ ม.พะเยา มทร.สุวรรณภูมิ ม.วลัยลักษณ์ สภาคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) และบริษัทเชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ข้อมูลและภาพข่าวจาก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา ครั้งที่ ๗๓ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
การประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา (Lindau Nobel Laureate Meetings) เป็นการประชุมเพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ได้รับรางวัลโนเบลกับเยาวชนและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ โดยได้เชิญผู้ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Laureate) นักศึกษาและนักวิจัยจากทั่วโลกเข้าร่วมการประชุม เริ่มการประชุมครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๑ ณ เมืองลินเดา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
การประชุมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้ได้รับรางวัลโนเบลกับนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันได้มุ่งเน้นผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงจากนานาประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามคำขวัญ ๓ ประการ คือ (๑) ให้ความรู้ (educating) (๒) สร้างแรงบันดาลใจ (inspiring) และ (๓) เชื่อมโยงเครือข่าย (connecting) โดยทั้งนี้ สภาการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา (The Council for the Lindau Nobel Laureate Meetings) ร่วมกับมูลนิธิผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา (Foundation Lindau Nobel Laureate Meetings) จัดการประชุมนี้ขึ้นทุกปีในช่วงประมาณปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม หมุนเวียนไปตามสาขา ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี และสรีรวิทยาหรือแพทยศาสตร์ และจะจัดการประชุมทั้งสิ้น ๖ วัน โดยมีพิธีเปิดที่เมืองลินเดาในวันแรกและพิธีปิดที่เกาะไมเนาในวันสุดท้าย สำหรับสาขาเศรษฐศาสตร์ จะจัดขึ้นทุก ๒ ปี เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๔
การประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบลปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ ๗๓ ในสาขาฟิสิกส์ ระหว่างวันที่ ๓๐ มิถุนายน - ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗ มุ่งเน้นด้านการค้นคว้าวิจัยทางฟิสิกส์ ซึ่งมีผู้ที่เคยได้รับรางวัลโนเบลกว่า ๔๐ คน และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่กว่า ๖๕๐ คน เข้าร่วมการประชุมฯ ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษาและนักวิทยาศาสตร์จากประเทศไทยที่ดำเนินการคัดเลือกโดยโครงการการคัดเลือกผู้แทนเข้าร่วมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา ภายใต้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จำนวน ๖ คน โดยเป็นนิสิตนักศึกษาที่ศึกษาในประเทศไทยจำนวน ๒ คน และกำลังศึกษาหรือทำวิจัยที่ต่างประเทศอีก ๔ คน นอกจากนี้ยังมีผู้แทนชาวไทยที่ได้รับเลือกโดย National Academy of Sciences สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมด้วยอีก ๑ คน
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมายังโรงแรมไบเออริชเชอร์โฮฟ ลินเดา ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๑.๐๐ น. พระราชทานพระราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์ไพรัช ธัชยพงษ์ เลขาธิการ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล กรรมการและรองเลขาธิการ มูลนิธเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำนักวิทยาศาสตร์ไทยที่เข้าร่วมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ครั้งที่ ๗๓ จำนวน ๗ คน เฝ้าทูลละอองพระบาท และร่วมฉายพระฉายาลักษณ์ จากนั้นเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมในเวลา ๑๔.๐๐ น. ตามคำเชิญของมูลนิธิการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา ซึ่งเป็นผู้จัดงาน ในฐานะวุฒิสภากิตติมศักดิ์ (Honorary Senate) ของมูลนิธิฯ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวถึงการประชุมในครั้งนี้ว่าเป็นการประชุมที่ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่นำความรู้ไปต่อยอดพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และสร้างเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ๆ ต่อไป
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า จากพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงริเริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ ถึงปัจจุบัน โครงการได้สนับสนุนผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม รวม ๘๗ คน จำแนกตามสาขาการประชุมในแต่ละปี ได้แก่ สาขาฟิสิกส์ ๒๗ คน สาขาเคมี ๒๓ คน สาขาฟิสิกส์ เคมี และสรีรวิทยาหรือแพทยศาสตร์ ๑๗ คน และสาขาสรีรวิทยาหรือแพทยศาสตร์ ๒๐ คน
ผู้แทนประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกโดยโครงการการคัดเลือกผู้แทนเข้าร่วมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา ภายใต้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้เข้าร่วมการประชุมในปีนี้ จำนวน ๖ คน ประกอบด้วย
๑. นางสาวธัญรดา สุขวิบูลย์ นักศึกษาปริญญาตรี สาขาฟิกส์ มหาวิทยาลัยมหิดล
๒. นายปรมตถ์ บุณยะเวศ นักศึกษาปริญญาตรี สาขาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๓. นางสาวเกษชฎาภาส รัตนสุภา นักศึกษาปริญญาโท สาขาฟิสิกส์ University of Strasbourg สาธารณรัฐฝรั่งเศส
๔. นายเจตน์ อรุณแสงโรจน์ นักศึกษาปริญญาโท สาขาฟิสิกส์ Swiss Federal Institute of Technology Zurich สมาพันธรัฐสวิส
๕. ดร.พัทธมน กองคำบุตร นักวิจัยหลังปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ University of Hamburg สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
๖. ดร.พีระ สีมาขจร นักวิจัยหลังปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ University of Valencia ราชอาณาจักรสเปน
นอกจากนี้ ยังมีคนไทยอีก ๑ คน ที่ได้รับการคัดเลือกจาก National Academy of Sciences สหรัฐอเมริกา คือ ดร.ศรีสุดา โรจน์เสถียร นักวิจัยหลังปริญญาเอก Arizona State University สหรัฐอเมริกา
นางสาวธัญรดา สุขวิบูลย์ กล่าวความรู้สึกว่า “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการประชุมฯ และพระราชทานโอกาสนี้แก่พวกเราทุกคนให้เข้าร่วมงาน พวกเราได้รู้ถึงแนวคิด วิธีทำงาน ตลอดจนการสร้างแรงบันดาลใจต่าง ๆ ของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกว่าเขาทำได้อย่างไร”
นายปรมตถ์ บุณยะเวศ กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีที่พระองค์ได้พระราชทานโอกาสให้ข้าพเจ้าเป็นผู้แทนประเทศไทยได้เข้าร่วมการประชุมนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ข้าพเจ้าจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ แนวคิด แรงบันดาลใจ และองค์ความรู้ใหม่ จากนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าวจะเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ถ่ายทอดสู่คนรุ่นใหม่ และนำไปสู่การพัฒนางานวิจัยเพื่อความก้าวหน้าของประเทศต่อไป”
ทั้งนี้ นิสิต นักศึกษาและนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่สนใจเข้าร่วมโครงการการคัดเลือกผู้แทนเข้าร่วมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา สามารถติดต่อได้ที่งานบริหารแผนงานและจัดการโครงการพัฒนากำลังคน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โทรศัพท์ ๐๒ ๕๖๔ ๗๐๐๐ ต่อ ๗๗๒๕๗ หรือทางแฟนเพจ https://www.facebook.com/LindauNobelTH
คลิปข่าว จาก YouTube News NBT2HD
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


