ผลการค้นหา :
เทคโนโลยี AI ในการพัฒนา Mobile Application
สำหรับการพัฒนา Mobile Application โดยใช้เทคโนโลยี AI มีหลากหลายด้านที่สามารถนำมาใช้งานได้ มีตัวอย่างเทคโนโลยีดังต่อไปนี้
Natural Language Processing (NLP) เป็นเทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติที่ช่วยให้แอปพลิเคชันสามารถเข้าใจและตอบสนองต่อคำพูดหรือข้อความของผู้ใช้ได้ดีขึ้น เช่น การแชทบอท (Chatbot) การแปลภาษา การวิเคราะห์ความรู้สึกจากข้อความ เป็นต้น
Computer Vision เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการวิเคราะห์และประมวลผลภาพ เช่น การจดจำใบหน้า การตรวจจับวัตถุ การวิเคราะห์ภาพจากกล้องมือถือ สามารถนำมาใช้ในแอปพลิเคชันประเภทความปลอดภัย การช้อปปิ้ง หรือการทำ AR (Augmented Reality)
Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างประสบการณ์ที่ผสมผสานโลกดิจิทัลกับโลกจริง ในขณะที่ VR เป็นการสร้างโลกดิจิทัลเสมือนจริงทั้งหมด เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในเกม, การศึกษา, การช้อปปิ้ง, การท่องเที่ยว เป็นต้น
Recommendation Systems เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการแนะนำผลิตภัณฑ์หรือเนื้อหาตามพฤติกรรมหรือความชอบของผู้ใช้ เช่น แอปช้อปปิ้งหรือแอปดูหนังที่จะแนะนำสิ่งที่เหมาะสมตามการใช้งานของผู้ใช้
Image Recognition เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการจดจำและแยกแยะภาพต่าง ๆ เช่น การจดจำใบหน้า, การตรวจจับวัตถุ หรือการแยกประเภทของรูปภาพ สามารถนำไปใช้ในแอปพลิเคชันด้านความปลอดภัย, การศึกษา, และสุขภาพ
Predictive Analytics เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ AI ในการทำนายหรือคาดการณ์พฤติกรรมหรือแนวโน้มในอนาคต เช่น แอปการเงินที่คาดการณ์รายจ่าย หรือแอปสุขภาพที่ทำนายระดับสุขภาพ
Speech Synthesis (Text-to-Speech) เป็นเทคโนโลยีที่แปลงข้อความให้กลายเป็นเสียงพูด สามารถนำมาใช้ในแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น แอปสำหรับการอ่านหนังสือหรือเอกสาร แอปสำหรับคนพิการทางสายตา
Sentiment Analysis เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์อารมณ์หรือความรู้สึกจากข้อความของผู้ใช้ ช่วยให้แอปพลิเคชันสามารถเข้าใจอารมณ์ของผู้ใช้ได้ เช่น ในแอปพลิเคชันบริการลูกค้า หรือโซเชียลมีเดีย
Voice Assistants เป็นเทคโนโลยีที่สร้างแอปที่รองรับผู้ช่วยเสียง (Voice Assistant) เช่น การสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri, Google Assistant หรือ Alexa
Biometric Authentication เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ AI ในการจดจำลายนิ้วมือ, ใบหน้า หรือแม้กระทั่งการจดจำเสียง เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ แอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย เช่น แอปธนาคาร, การเข้าสู่ระบบต่าง ๆ
นานาสาระน่ารู้
ประเภทของ Data Integration Tools
Data Integration Tools เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการรวบรวม จัดการ และผสานข้อมูลจากหลายแหล่งที่มา เช่น ฐานข้อมูล ระบบคลังข้อมูล แอปพลิเคชัน หรือไฟล์รูปแบบต่างๆ ให้กลายเป็นข้อมูลชุดเดียวที่เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในองค์กรที่ต้องจัดการข้อมูลจากหลายระบบ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ การทำรายงาน หรือการตัดสินใจได้
ประเภท Data Integration Tools
On-Premise Data Integration Tools เป็นเครื่องมือที่ติดตั้งและทำงานในโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาโซลูชันคลาวด์ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดการภายในองค์กร ทำให้มีการควบคุมข้อมูลที่เข้มงวดและลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูล เหมาะสำหรับองค์กรที่มีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสูง ตัวอย่างเครื่องมือ: Microsoft SQL Server Integration Services (SSIS) Informatica PowerCenter และ IBM InfoSphere DataStage
Cloud-Based Data Integration Tools เป็นเครื่องมือที่ทำงานบนระบบคลาวด์ โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งหรือจัดการโครงสร้างพื้นฐานเอง การผสานข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็วผ่านการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ต่าง ๆ เช่น SaaS, IaaS, หรือ PaaS เหมาะสำหรับองค์กรที่ใช้แอปพลิเคชันและบริการต่าง ๆ บนคลาวด์ และไม่ต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานภายใน ตัวอย่างเครื่องมือ: Talend Cloud Integration Dell Boomi และ Zapier
Hybrid Data Integration Tools เป็นเครื่องมือที่รองรับทั้งการทำงานในระบบ on-premise และ cloud-based เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการผสานข้อมูลจากทั้งระบบภายในและภายนอก (คลาวด์) เครื่องมือประเภทนี้ช่วยให้การจัดการข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับองค์กรที่ใช้ทั้งระบบ on-premise และ cloud ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล ตัวอย่างเครื่องมือ: Informatica Intelligent Cloud Services Microsoft Azure Data Factory และ Talend Data Fabric
Open Source Data Integration Tools เป็นเครื่องมือที่ให้บริการฟรีหรือมีค่าใช้จ่ายน้อย โดยมีความยืดหยุ่นสูง เนื่องจากสามารถเข้าถึงและปรับแต่งซอร์สโค้ดได้ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการควบคุมการพัฒนาระบบเองหรือมีงบประมาณจำกัด เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการโซลูชันที่ปรับแต่งได้เอง ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ นักพัฒนาที่มีความสามารถในการปรับแต่งซอฟต์แวร์ตามความต้องการขององค์กร ตัวอย่างเครื่องมือ: Talend Open Studio Apache Nifi และ Pentaho Data Integration (PDI)
การเลือกประเภทของ Data Integration Tools ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร เช่น ความต้องการด้านความปลอดภัย การควบคุมข้อมูล ขนาดของข้อมูล และสภาพแวดล้อมการทำงาน ทั้งนี้ On-Premise Tools เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมข้อมูลทั้งหมด ในขณะที่ Cloud-Based Tools เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่น และ Open Source Tools เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับแต่งโซลูชัน
นานาสาระน่ารู้
Data Lakehouse รวมคุณสมบัติของ Data Lake และ Data Warehouse
Data Lakehouse เป็นแนวคิดที่รวมคุณสมบัติของ Data Lake และ Data Warehouse เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของทั้งสองแนวทางในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล โดยการรวมความสามารถของการจัดเก็บข้อมูลดิบแบบยืดหยุ่นของ Data Lake เข้ากับประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงโครงสร้างของ Data Warehouse
หลักการจัดทำ Data Lakehouse มีดังนี้:
Unified Data Storage
Data Lakehouse สามารถจัดเก็บทั้งข้อมูลดิบ (Raw Data) แบบเดียวกับ Data Lake และข้อมูลที่ผ่านการจัดโครงสร้างแล้ว (Structured Data) เหมือนกับ Data Warehouse ได้ในระบบเดียว
ข้อมูลที่เก็บสามารถมีได้ทั้งข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น ไฟล์เสียง, วิดีโอ หรือข้อความ และข้อมูลที่มีโครงสร้าง เช่น ตารางข้อมูลหรือฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Databases)
การรองรับการประมวลผลแบบ Schema-on-Read และ Schema-on-Write
ใน Data Lakehouse ข้อมูลสามารถถูกประมวลผลทั้งในแบบ Schema-on-Read (การสร้างโครงสร้างข้อมูลเมื่อดึงข้อมูลไปใช้) และ Schema-on-Write (การกำหนดโครงสร้างข้อมูลล่วงหน้าก่อนนำเข้าระบบ) ขึ้นอยู่กับความต้องการในการวิเคราะห์
ข้อมูลดิบสามารถถูกเก็บโดยไม่ต้องแปลงโครงสร้างล่วงหน้า และจะถูกจัดโครงสร้างเมื่อมีความจำเป็น เช่น การนำไปใช้ในการวิเคราะห์เชิงลึก
Metadata Management & Indexing
Data Lakehouse ต้องมีการจัดการเมตาดาต้า (Metadata) ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
การกำหนดดัชนี (Indexing) ของข้อมูลทำให้สามารถเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับการค้นหาข้อมูลจาก Data Lake
Real-time and Batch Processing
Data Lakehouse รองรับการประมวลผลข้อมูลทั้งแบบเรียลไทม์ (Real-time) และแบบชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Batch Processing) ทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นแบบต่อเนื่อง (Streaming Data) และการประมวลผลข้อมูลที่สะสมมาแล้ว
การรวมความสามารถนี้ทำให้ Data Lakehouse มีความยืดหยุ่นมากกว่าระบบที่รองรับเพียงหนึ่งวิธีการประมวลผล
Advanced Analytics
Data Lakehouse ช่วยให้สามารถทำ Business Intelligence (BI), Data Science, Machine Learning (ML) และ AI ได้ในแพลตฟอร์มเดียว โดยมีการใช้ข้อมูลจากทั้งข้อมูลดิบและข้อมูลที่จัดโครงสร้างแล้ว
นักวิเคราะห์ข้อมูลสามารถใช้งานเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจากทั้งสองประเภทข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
Multi-tiered Data Management
Data Lakehouse มีการจัดการข้อมูลในหลายระดับ เช่น ข้อมูลที่ถูกใช้งานบ่อยจะถูกเก็บในที่ที่เข้าถึงได้รวดเร็ว (Hot Storage) ในขณะที่ข้อมูลที่ใช้งานน้อยจะถูกเก็บในพื้นที่ที่มีต้นทุนต่ำกว่า (Cold Storage)
การแบ่งชั้นข้อมูลตามการใช้งานช่วยให้สามารถจัดการต้นทุนในการเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่สูญเสียความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล
Data Access Optimization
เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลทำได้รวดเร็วขึ้น ระบบ Data Lakehouse มีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การเก็บข้อมูลในรูปแบบ Columnar Format หรือการบีบอัดข้อมูล
ยังสามารถใช้เทคนิคการสร้างพาร์ทิชัน (Partitioning) และการทำคลังข้อมูลแคช (Caching) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบค้นข้อมูลได้
Security & Privacy Control
การรักษาความปลอดภัยข้อมูลใน Data Lakehouse เป็นสิ่งสำคัญ จำเป็นต้องมีการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงตามบทบาทผู้ใช้ (Role-Based Access Control: RBAC) รวมถึงการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญ
ต้องมีการจัดการความเป็นส่วนตัวตามข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานสากล เช่น GDPR เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลของผู้ใช้งาน
Integration with Various Tools and Technologies
Data Lakehouse รองรับการทำงานร่วมกับเครื่องมือหลากหลาย เช่น เครื่องมือ ETL, การวิเคราะห์ Big Data, เครื่องมือ BI, Data Science Tools และ Machine Learning Frameworks เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ทุกมิติ
ระบบต้องมี API หรืออินเตอร์เฟซที่รองรับการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีต่างๆ อย่างราบรื่น
Maintenance & Optimization
ต้องมีการดูแลรักษาระบบ Data Lakehouse ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูล, การปรับปรุงดัชนี และการจัดการพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลอย่างต่อเนื่องช่วยให้สามารถคงประสิทธิภาพในการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลได้
Data Lakehouse เป็นโซลูชันที่ช่วยแก้ไขปัญหาของ Data Lake ในเรื่องประสิทธิภาพการสืบค้นข้อมูล และปัญหาของ Data Warehouse ในเรื่องความยืดหยุ่นในการจัดเก็บข้อมูล จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ในยุคที่ข้อมูลมีความหลากหลายและซับซ้อน
นานาสาระน่ารู้
ทำความรู้จัก Data Lake
Data Lake ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับการเก็บข้อมูลในรูปแบบดิบ (Raw Data) จากแหล่งต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องแปลงหรือจัดโครงสร้างข้อมูลก่อนเก็บ ทำให้ Data Lake สามารถรองรับข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data), กึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Data), หรือไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลปริมาณมาก (Big Data) ที่มาจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง เช่น ข้อมูล IoT, โซเชียลมีเดีย, และข้อมูลการบันทึกเสียงหรือภาพ
คุณสมบัติหลักของ Data Lake:
การเก็บข้อมูลแบบดิบ (Raw Data):
ข้อมูลใน Data Lake จะถูกเก็บในรูปแบบดิบๆ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปลงหรือทำความสะอาดข้อมูลล่วงหน้า ข้อมูลสามารถถูกดึงมาใช้หรือจัดการในภายหลังตามความต้องการของผู้ใช้งาน
ข้อมูลทั้งหมดที่เก็บจะยังคงอยู่ในรูปแบบที่ถูกนำเข้ามาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต่างจาก Data Warehouse ที่ต้องจัดโครงสร้างข้อมูลก่อนนำเข้า
การรองรับข้อมูลทุกประเภท (All Data Types):
Data Lake รองรับข้อมูลที่มีความหลากหลายทั้งในด้านรูปแบบและแหล่งที่มา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเชิงโครงสร้าง (Structured Data) เช่น ตารางข้อมูล, ข้อมูลกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Data) เช่น ไฟล์ JSON, XML หรือข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่น ไฟล์ภาพ, วิดีโอ, ข้อความจากโซเชียลมีเดีย
การเก็บข้อมูลที่มีความหลากหลายนี้ทำให้ Data Lake เหมาะสำหรับการจัดการ Big Data ที่มาจากหลายช่องทาง
การจัดการข้อมูลแบบ Schema-on-Read:
ต่างจาก Data Warehouse ที่ต้องมีการจัดโครงสร้างข้อมูลก่อนนำเข้า (Schema-on-Write) ใน Data Lake ข้อมูลจะถูกจัดเก็บโดยไม่ต้องกำหนดโครงสร้างล่วงหน้า (Schema-on-Read) การกำหนดโครงสร้างจะทำเมื่อข้อมูลถูกดึงออกมาใช้
วิธีนี้ช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลในทุกแบบได้ง่ายขึ้นและช่วยลดเวลาที่ใช้ในการนำข้อมูลเข้าระบบ
ความยืดหยุ่นสูงในการใช้งาน (Flexible Storage):
Data Lake มีความยืดหยุ่นในการจัดเก็บข้อมูล ไม่จำเป็นต้องกำหนดรูปแบบการเก็บข้อมูลล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลปริมาณมากๆ ที่มาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทำได้ง่ายและรวดเร็ว
ระบบสามารถรองรับการเก็บข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ระบบ IoT, ระบบเซ็นเซอร์, เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, และแอปพลิเคชันต่างๆ
การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data & Advanced Analytics):
Data Lake ออกแบบมาเพื่อรองรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการใช้งานที่ซับซ้อน เช่น การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics), การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning), และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ผู้ใช้งานสามารถดึงข้อมูลที่ต้องการออกมาทำการวิเคราะห์โดยไม่จำเป็นต้องแปลงข้อมูลทั้งหมดล่วงหน้า
ต้นทุนในการจัดการที่ต่ำกว่า (Lower Cost):
การเก็บข้อมูลในรูปแบบดิบๆ ใน Data Lake ช่วยลดต้นทุนในการจัดการข้อมูลเมื่อเทียบกับ Data Warehouse เนื่องจากไม่ต้องมีการแปลงหรือทำความสะอาดข้อมูลในทันที
การใช้พื้นที่เก็บข้อมูลในราคาถูกเช่นระบบ Cloud Storage ทำให้ Data Lake มีความคุ้มค่าในการจัดการข้อมูลปริมาณมาก
ความแตกต่างระหว่าง Data Lake และ Data Warehouse:
โครงสร้างข้อมูล:
Data Lake: รองรับข้อมูลดิบในทุกประเภท ไม่จำเป็นต้องจัดโครงสร้างข้อมูลก่อน
Data Warehouse: ต้องแปลงและจัดโครงสร้างข้อมูลให้เหมาะสมกับการวิเคราะห์ล่วงหน้า
รูปแบบการจัดการข้อมูล:
Data Lake: เก็บข้อมูลดิบโดยไม่ต้องมีการแปลง (Schema-on-Read)
Data Warehouse: ต้องมีการกำหนดโครงสร้างก่อนการนำเข้า (Schema-on-Write)
การใช้งาน:
Data Lake: เหมาะสำหรับ Big Data, AI, Machine Learning และการวิเคราะห์ข้อมูลดิบ
Data Warehouse: เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงโครงสร้างที่ต้องการความแม่นยำ เช่น รายงานทางธุรกิจ
นานาสาระน่ารู้
ทำความรู้จัก Data Warehouse
Data Warehouse ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรอย่างมีโครงสร้าง โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจและการวิเคราะห์ข้อมูลในระยะยาว ข้อมูลที่จัดเก็บใน Data Warehouse มักเป็นข้อมูลที่มีการจัดรูปแบบและแปลงเรียบร้อยแล้ว (Transformed Data) ซึ่งเหมาะสำหรับการสืบค้น วิเคราะห์ และรายงานผล
คุณสมบัติหลักของ Data Warehouse:
เก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง:
Data Warehouse ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากระบบต่างๆ เช่น ERP, CRM, ระบบการทำธุรกรรม และระบบภายในอื่นๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างครอบคลุม
ข้อมูลที่นำมาเก็บใน Data Warehouse มักผ่านกระบวนการ ETL (Extract, Transform, Load) ซึ่งรวมถึงการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูล, การแปลงข้อมูลให้มีรูปแบบที่เหมาะสม, และการโหลดข้อมูลเข้าสู่ Data Warehouse
เก็บข้อมูลในรูปแบบที่มีโครงสร้าง (Structured Data):
ข้อมูลใน Data Warehouse ถูกเก็บในตารางและฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Databases) ที่มีการกำหนดโครงสร้างชัดเจน เช่น ตารางที่มีคอลัมน์และฟิลด์ที่ระบุประเภทข้อมูล
เน้นการเก็บข้อมูลที่ผ่านการจัดโครงสร้างแล้วเพื่อการวิเคราะห์ เช่น ข้อมูลการขาย, ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลการเงิน
สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ (Decision Support):
Data Warehouse เป็นศูนย์กลางของข้อมูลที่ช่วยในการทำ Business Intelligence (BI) เพื่อให้ผู้บริหารและนักวิเคราะห์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์แนวโน้ม, การคาดการณ์, และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น การวิเคราะห์ยอดขายรายปี, การติดตามพฤติกรรมลูกค้า, การประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด
เก็บข้อมูลในระยะยาว (Historical Data):
ข้อมูลที่เก็บใน Data Warehouse มักเป็นข้อมูลในระยะยาว ซึ่งช่วยให้สามารถดูข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์กรได้
การเก็บข้อมูลในระยะยาวทำให้สามารถทำการวิเคราะห์เชิงแนวโน้ม (Trend Analysis) และเปรียบเทียบข้อมูลในช่วงเวลาต่างๆ ได้
การประมวลผลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ (Optimized for Queries):
Data Warehouse ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับการสืบค้นข้อมูลและการรายงานผล ซึ่งมักใช้โครงสร้างฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ที่ช่วยให้การประมวลผลรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การทำดัชนีข้อมูล (Indexing) และการสร้างพาร์ทิชัน (Partitioning) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล
การจัดการข้อมูลแบบกำหนดโครงสร้างล่วงหน้า (Schema-on-Write):
Data Warehouse ต้องมีการกำหนดโครงสร้างข้อมูลก่อนการนำเข้า (Schema-on-Write) ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ถูกนำเข้าไปแล้วมีรูปแบบที่ชัดเจนและพร้อมใช้งานทันที
ข้อมูลที่ถูกเก็บใน Data Warehouse จะถูกทำความสะอาดและแปลงโครงสร้างให้ตรงกับข้อกำหนดก่อนนำเข้า
ข้อดีของ Data Warehouse:
ความสม่ำเสมอของข้อมูล: ข้อมูลถูกจัดโครงสร้างและทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ ทำให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำ
การวิเคราะห์เชิงลึก: รองรับการทำรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงซับซ้อน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหลายมิติ (OLAP)
การรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง: ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลที่มาจากระบบต่างๆ ทำได้ง่ายและมีความครอบคลุมมากขึ้น
ข้อจำกัดของ Data Warehouse:
การจัดเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างเท่านั้น: ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างได้ดีเท่ากับ Data Lake
ต้นทุนสูงในการจัดการและปรับปรุงข้อมูล: การแปลงและจัดโครงสร้างข้อมูลต้องใช้เวลาและทรัพยากร
การอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ทำได้ยาก: Data Warehouse มักเหมาะกับการเก็บข้อมูลในอดีตมากกว่า การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์มักใช้ระบบเสริมอื่นๆ
นานาสาระน่ารู้
แนะนำ Object-Relational Mapping(ORM)
Object-Relational Mapping (ORM) คือเทคนิคในการเชื่อมโยงและจัดการข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (relational database) กับโปรแกรมที่ใช้หลักการของเชิงวัตถุ (object-oriented programming) โดยการสร้าง mapping ระหว่างข้อมูลที่เก็บในตารางฐานข้อมูล (relational tables) กับ object ในโปรแกรม ข้อจำกัดของ ORM อาจไม่เหมาะกับงานที่มีความซับซ้อนสูงในการทำงานกับฐานข้อมูล เช่น query ที่ซับซ้อนมาก ซึ่งการเขียน SQL โดยตรงอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า
ความสำคัญของ ORM ประกอบไปด้วย
ลดการเขียน SQL โดยตรง:
ORM ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถทำงานกับฐานข้อมูลได้โดยไม่ต้องเขียนคำสั่ง SQL เอง ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนคำสั่ง SQL ผิดพลาด และทำให้โค้ดง่ายขึ้นในการบำรุงรักษา
โปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) กับฐานข้อมูลทำงานร่วมกันได้ง่าย:
ORM ช่วยให้การทำงานระหว่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์กับโปรแกรมเชิงวัตถุเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลให้กลายเป็น object ที่สามารถใช้งานได้ทันทีในโปรแกรม
การจัดการการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างข้อมูล:
ORM ทำให้การจัดการโครงสร้างข้อมูลในฐานข้อมูลง่ายขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตารางหรือ schema โดย ORM จะอัพเดตโครงสร้างตารางอัตโนมัติตามการเปลี่ยนแปลงใน object model
เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนา:
ORM ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาโปรแกรมเพราะสามารถลดการเขียนคำสั่ง SQL และทำให้โค้ดเข้าใจง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การย้ายฐานข้อมูล (เช่น จาก MySQL ไปเป็น PostgreSQL) ทำได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องเปลี่ยนคำสั่ง SQL ที่เกี่ยวข้อง
เครื่องมือที่ใช้สำหรับ ORM ที่นิยมมีดังนี้:
Hibernate (Java) เป็นหนึ่งใน ORM ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับ Java ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถจัดการกับฐานข้อมูลได้ผ่าน object โดยไม่ต้องเขียน SQL มากมาย รองรับการจัดการ transaction, caching, และการ mapping ที่ยืดหยุ่น
Entity Framework (C# / .NET) เป็น ORM ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม .NET ของ Microsoft ช่วยให้โปรแกรมเมอร์จัดการกับฐานข้อมูล SQL Server, MySQL, PostgreSQL และอื่นๆ ผ่าน object-oriented code
SQLAlchemy (Python) เป็นเครื่องมือ ORM ที่ยืดหยุ่นสำหรับ Python และได้รับความนิยมสูง ช่วยให้การ map object กับฐานข้อมูลทำได้อย่างสะดวก และยังรองรับการเขียน SQL โดยตรงในกรณีที่ต้องการ query แบบเฉพาะเจาะจง
Django ORM (Python) Django ORM เป็นส่วนหนึ่งของ Django Web Framework ทำให้การจัดการฐานข้อมูลเป็นเรื่องง่ายสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน ช่วยให้การ mapping ระหว่างตารางในฐานข้อมูลกับ object ในโปรแกรมเป็นไปโดยอัตโนมัติ
Doctrine (PHP) เป็น ORM ที่ได้รับความนิยมในชุมชน PHP ใช้ในหลายๆ framework เช่น Symfony ช่วยในการแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลเป็น object ที่ใช้งานได้ในโปรแกรม PHP รองรับการทำงานในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ มีการใช้งานที่แพร่หลาย และทำงานได้ดีกับ PHP frameworks
Active Record (Ruby on Rails) เป็น ORM ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Ruby on Rails framework ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถ map object กับฐานข้อมูลได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเขียน SQL เป็นส่วนหนึ่งของ Ruby on Rails ทำให้การทำงานร่วมกันง่าย และรองรับการพัฒนาเว็บแอปที่รวดเร็ว
Eloquent (PHP / Laravel) เป็น ORM ที่มาพร้อมกับ Laravel Framework ช่วยในการจัดการกับฐานข้อมูลและทำงานร่วมกับ object ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย มี syntax ที่เรียบง่ายและชัดเจน ทำงานร่วมกับ Laravel framework ได้อย่างสมบูรณ์
GORM (Golang) เป็น ORM ที่ได้รับความนิยมสำหรับภาษา Go ช่วยให้โปรแกรมเมอร์สามารถจัดการกับฐานข้อมูลได้อย่างสะดวกโดยใช้ object-oriented syntax สนับสนุนการทำงานแบบ automatic migrations และการ query ที่สะดวกใน Golang
Sequelize (Node.js / JavaScript) เป็น ORM สำหรับ Node.js ที่รองรับการทำงานกับฐานข้อมูลหลายประเภท เช่น MySQL, PostgreSQL, SQLite, และ MSSQL ช่วยให้การจัดการฐานข้อมูลใน JavaScript/TypeScript ง่ายขึ้น รองรับการทำงานร่วมกับฐานข้อมูลหลายชนิด และมีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง
นานาสาระน่ารู้
ระดับของ Data Granularity
Data Granularity เป็นระดับรายละเอียดของข้อมูลที่มีในชุดข้อมูลหนึ่งๆ ที่จัดเก็บหรือวิเคราะห์ มีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล เนื่องจากระดับความละเอียดของข้อมูลส่งผลต่อความสามารถในการวิเคราะห์ การสรุปผล และการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยความสำคัญและเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับ Data Granularity มีดังนี้ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล (Informed Decision-Making) , การตอบคำถามและการวิเคราะห์ที่หลากหลาย, ความยืดหยุ่นในการนำเสนอข้อมูล, ประสิทธิภาพในการจัดเก็บและประมวลผล, ความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ
ระดับ Data Granularity มี 3 ระดับ ดังนี้
High Granularity ข้อมูลที่มีรายละเอียดละเอียดมาก แสดงข้อมูลในระดับที่ลึก เช่น ข้อมูลการทำธุรกรรมที่บันทึกแยกตามแต่ละรายการ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างละเอียดและระบุแนวโน้มหรือปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง ข้อมูลการขายที่บันทึกแต่ละการทำธุรกรรมของลูกค้า เช่น เวลา, สถานที่, จำนวน, ราคา
Intermediate Granularity ข้อมูลที่มีรายละเอียดพอสมควร โดยการสรุปข้อมูลที่เป็นกลางระหว่างรายละเอียดสูงและรายละเอียดรวมสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มและการตัดสินใจ แต่ไม่ต้องการการจัดเก็บข้อมูลที่มีรายละเอียดสูง ตัวอย่าง ข้อมูลยอดขายรวมประจำสัปดาห์ หรือยอดขายรวมในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น เดือน) แทนที่จะเป็นข้อมูลการทำธุรกรรมแยกตามแต่ละรายการ
Low Granularity ข้อมูลที่มีรายละเอียดน้อยหรือเป็นการสรุปในระดับสูง แสดงข้อมูลในรูปแบบที่รวมกัน เช่น ข้อมูลสรุปที่เป็นภาพรวม การจัดเก็บและการวิเคราะห์ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการสร้างรายงานที่สรุปภาพรวม ตัวอย่าง ข้อมูลยอดขายรวมประจำปี หรือยอดขายรวมของเดือน โดยไม่มีรายละเอียดของการทำธุรกรรมแต่ละรายการ
การเลือกระดับ Data Granularity ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้สามารถทำการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีข้อมูลที่ครบถ้วนตามความต้องการ และการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ได้มุมมองที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ การเลือกใช้ granularity ที่เหมาะสมช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้เครื่องมืออย่าง Power BI, Tableau, SQL และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลอื่นๆ ทำให้การจัดการข้อมูลในระดับ granularity ที่ต่างกันเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว.
นานาสาระน่ารู้
ความเกี่ยวข้องระหว่าง Microservice และ API Gateway
Microservice คือสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ที่แบ่งระบบหรือแอปพลิเคชันออกเป็นหน่วยย่อย ๆ ที่เรียกว่า "บริการ" (services) ซึ่งแต่ละบริการมีความสามารถเฉพาะและทำงานอิสระจากกัน โดยมีการเชื่อมต่อกันผ่านระบบ API หรือโปรโตคอลต่าง ๆ
คุณสมบัติหลักของ Microservice:
แยกส่วนกันอย่างอิสระ: แต่ละบริการสามารถพัฒนา, ทดสอบ, ปรับปรุง หรือปรับขยายได้อย่างอิสระ โดยไม่กระทบต่อบริการอื่น
การสื่อสารผ่าน API: บริการแต่ละตัวสื่อสารกันผ่านโปรโตคอลเครือข่าย เช่น HTTP/REST, gRPC หรือ WebSocket
การปรับขยาย (Scalability): สามารถปรับขยายเฉพาะบริการที่มีความต้องการสูงโดยไม่ต้องปรับขยายทั้งระบบ
การจัดการเทคโนโลยีหลากหลาย: แต่ละบริการสามารถใช้ภาษาโปรแกรม, ฐานข้อมูล หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่แตกต่างกันได้
การพัฒนาแบบอิสระ: ทีมพัฒนาสามารถทำงานบนบริการต่าง ๆ ได้พร้อมกัน โดยไม่ต้องรอการปรับปรุงส่วนอื่น ๆ ของระบบ
ความเกี่ยวข้องระหว่าง Microservice และ API Gateway:
เมื่อใช้สถาปัตยกรรม Microservice แต่ละบริการจะทำงานเป็นอิสระ และมี API ของตัวเอง แต่เมื่อมีหลาย ๆ บริการ ไคลเอนต์จะต้องเรียก API หลายจุดเพื่อดึงข้อมูลจากบริการต่าง ๆ ส่งผลให้การจัดการและการเชื่อมต่อกับ Backend มีความซับซ้อน ดังนั้น API Gateway จึงเข้ามาช่วยจัดการปัญหานี้ โดยทำหน้าที่เป็น ตัวกลาง (entry point) ระหว่างไคลเอนต์และบริการ Backend หลาย ๆ ตัวที่อยู่ในระบบ Microservice:
รวม API หลาย ๆ ตัวให้เป็นหนึ่งเดียว: API Gateway ช่วยรวมการเรียกใช้งาน API ของหลายบริการ Microservice ผ่านทางจุดเดียว ซึ่งทำให้ไคลเอนต์ไม่ต้องสื่อสารกับหลายจุดที่แตกต่างกัน
การจัดการเส้นทาง (Routing): API Gateway จะจัดการเส้นทางของคำขอ (request) จากไคลเอนต์ไปยังบริการ Backend ที่เหมาะสมในระบบ Microservice
การจัดการความปลอดภัย: API Gateway ช่วยตรวจสอบสิทธิ์, การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง และการจำกัดการใช้งานในระดับ API ให้กับบริการต่าง ๆ ได้
การรวมข้อมูล (Service Aggregation): ไคลเอนต์สามารถส่งคำขอเพียงครั้งเดียวไปที่ API Gateway แล้ว Gateway จะทำการเรียกหลาย ๆ บริการพร้อมกัน และรวมผลลัพธ์มาให้ไคลเอนต์ในคำตอบเดียว
ปรับปรุงประสิทธิภาพ (Optimization): API Gateway ช่วยบีบอัดข้อมูล, แคชคำขอ, และลดการโหลดบน Backend ช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประโยชน์ของการใช้ API Gateway กับ Microservice:
ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายบริการ
ช่วยในการควบคุมและรักษาความปลอดภัยในระดับ API
ช่วยในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพและการสเกลระบบได้ดีขึ้น
นานาสาระน่ารู้
EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย เพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด
“ไฟไหม้สำเพ็งเร่งควบคุมเพลิง เหตุจากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด แล้วลามไปติดรถกับบ้าน” พาดหัวข่าวใหญ่เมื่อช่วงกลางปี 2565 เป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทีมนักวิจัยไทยจึงพัฒนา “น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ภายใต้ชื่อ EnPAT” ที่ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดและบรรเทาความสูญเสียของประชาชน แต่ยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศ
[caption id="attachment_56046" align="aligncenter" width="700"] ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักของการเกิดไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด มาจากการที่น้ำมันซึ่งอยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้าเกิดการลุกติดไฟ และเมื่อหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทำให้น้ำมันที่ลุกติดไฟนี้กระจายไปสู่อาคารบ้านเรือนที่อยู่โดยรอบหม้อแปลงไฟฟ้า ส่งผลทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลาม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนซึ่งประเมินมูลค่ามิได้ อีกทั้งยังส่งผลถึงความไม่ไว้ใจของประชาชนต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบระบบไฟฟ้าอีกด้วย โดยน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นน้ำมันแร่ซึ่งผลิตมาจากปิโตรเลียม ทำหน้าที่เป็นฉนวนไฟฟ้าและช่วยระบายความร้อนในหม้อแปลงไฟฟ้า แต่ปัญหาสำคัญของน้ำมันแร่คือ อุณหภูมิจุดติดไฟต่ำ ทำให้ลุกติดไฟง่ายเมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย ที่เรียกว่า “EnPAT” โดยการนำน้ำมันปาล์มมาปรับปรุงคุณภาพให้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า จนได้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของคนไทย
[caption id="attachment_56048" align="aligncenter" width="700"] EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลิตด้วยเทคโนโลยีคนไทย[/caption]
“น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปจะมีจุดติดไฟไม่เกิน 170 องศาเซลเซียส แต่ “EnPAT” มีคุณสมบัติเด่นคือมีจุดติดไฟสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปถึง 2 เท่า จึงสามารถป้องกันไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดได้ ช่วยสร้างความปลอดภัยและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ “EnPAT” สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เมื่อมีการรั่วไหลจะจัดการได้ง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต อีกทั้งเมื่อหมดอายุการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดในลักษณะของสารพิษ เรียกได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์น้ำมันปาล์มถึงสองต่อ”
[caption id="attachment_56051" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบอุณหภูมิลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาต้นแบบระบบผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย “EnPAT” ที่กำลังการผลิต 400 ลิตรต่อครั้ง และผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งที่ห้องปฏิบัติการ ก่อนนำไปบรรจุในหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อนำร่องการใช้งานจริงต่อไป
[caption id="attachment_56047" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หม้อแปลงไฟฟ้าโดยปกติจะมีอายุใช้งานมากกว่า 20 ปี การพิสูจน์ประสิทธิภาพของ “EnPAT” จำเป็นต้องใช้เวลาทดสอบที่ยาวนาน ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยจึงออกแบบการทดสอบในสภาวะเร่ง โดยจำลองสภาวะการใช้งานที่หม้อแปลงไฟฟ้าต้องเผชิญกับอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เพื่อศึกษาการเสื่อมสภาพของน้ำมันและวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้า ผลการทดสอบพบว่ากระดาษฉนวนภายในหม้อแปลงไฟฟ้าที่บรรจุ EnPAT เมื่อผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งแล้วกระดาษฉนวนยังคงอยู่ในสภาพที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับกระดาษฉนวนในหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุน้ำมันแร่ที่แสดงการเสื่อมสภาพค่อนข้างมาก ทั้งนี้การเสื่อมสภาพของกระดาษฉนวนสามารถสื่อถึงอายุการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้า โดยผลการศึกษาบ่งชี้ว่า “EnPAT” สามารถใช้ทดแทนน้ำมันแร่ในหม้อแปลงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวโน้มที่จะช่วยยืดอายุหม้อแปลงไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
[caption id="attachment_56052" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบการลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT เมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงระเบิด[/caption]
โครงการนำร่องการใช้งานจริงของ “EnPAT” เริ่มดำเนินการในปี 2567 โดยได้ทำการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2567 ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และมีกำหนดการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ปลายปี 2567 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร 8 องค์กร ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยผลการนำร่องการใช้งานนี้จะใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพฉบับแรกของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ต่อไป
“ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง แต่หากเราผลิตได้เองภายในประเทศ จะทำให้มีต้นทุนต่ำลง ที่สำคัญ “EnPAT” ผลิตจากน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล การนำน้ำมันปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับผลผลิตทางการเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในอุตสาหกรรมด้านโอลิโอเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่น้ำมันปาล์มได้หลายเท่า ส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและภาพรวมของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศ” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว
[caption id="attachment_56053" align="aligncenter" width="700"] นวัตกรรม EnPAT ช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับปาล์มน้ำมันไทยไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง[/caption]
EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และสอดรับกับนโยบายของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ทำความรู้จัก API Gateway
API Gateway ทำหน้าที่การจัดการกับ Request ต่าง ๆ ที่พยายามที่จะเข้ามาเรียกใช้งาน Service ของระบบผ่าน API มีบทบาทสำคัญในการคัดกรองและจัดการ Request ต่าง ๆ ที่เข้ามา เหมาะกับการใช้งานในสถาปัตยกรรม Microservices ซึ่งมีการกระจายบริการ Backend หลาย ๆ ตัว โดย API Gateway จะช่วยควบคุมและจัดการการเรียกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณสมบัติของ API Gateway:
Single Entry Point : API Gateway ช่วยรวมการเข้าถึง API หลาย ๆ ตัวไว้ในที่เดียว ทำให้ไคลเอนต์สามารถสื่อสารกับ Backend หลายบริการได้ผ่าน API Gateway เพียงแห่งเดียว ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้งาน API หลาย ๆ อันโดยตรง
Routing : API Gateway จะทำหน้าที่ส่งคำขอ (request) จากไคลเอนต์ไปยังบริการ Backend ที่เหมาะสม โดยจัดการเส้นทางที่ไคลเอนต์ต้องการใช้งาน
Protocol Translation : API Gateway สามารถแปลงรูปแบบคำขอหรือโปรโตคอลระหว่างไคลเอนต์กับ Backend ได้ เช่น การแปลงจาก REST API เป็น gRPC หรือ WebSocket
Security : API Gateway รองรับการตรวจสอบสิทธิ์ (authentication), การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (authorization), การจัดการ SSL/TLS และการจำกัดอัตราการใช้งาน (rate limiting)
Caching : API Gateway สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยการแคชข้อมูล หรือบีบอัดคำขอ/คำตอบเพื่อลดภาระการส่งข้อมูล
Logging & Monitoring : ช่วยให้สามารถติดตามการเรียกใช้งาน API ได้อย่างละเอียด เช่น การบันทึกการเรียกใช้ การตรวจสอบประสิทธิภาพ และการแก้ไขปัญหา
Load Balancing : ช่วยกระจายคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ Backend หลาย ๆ ตัวเพื่อรองรับการโหลดสูง ๆ
ข้อดีของการใช้ API Gateway:
เพิ่มความยืดหยุ่น: การเปลี่ยนแปลง Backend สามารถทำได้โดยไม่กระทบกับไคลเอนต์ เพราะคำขอทั้งหมดถูกจัดการผ่าน API Gateway
Service Aggregation : ไคลเอนต์สามารถทำคำขอครั้งเดียวเพื่อเรียกหลาย ๆ บริการใน Backend และรับผลลัพธ์ที่ถูกรวมมาในคำตอบเดียว
การจัดการ API ง่ายขึ้น: การจัดการการเข้าถึงและความปลอดภัยเป็นศูนย์กลางช่วยให้จัดการ API ทั้งหมดได้จากจุดเดียว
ตัวอย่าง API Gateway ที่นิยมใช้:
AWS API Gateway: เป็นบริการที่ AWS ให้บริการสำหรับการจัดการและเชื่อมต่อ API กับบริการต่าง ๆ ในระบบ Cloud
Kong: เป็น API Gateway ที่ได้รับความนิยม สามารถขยายการทำงานได้ผ่านปลั๊กอินต่าง ๆ และรองรับหลายโปรโตคอล
NGINX: นอกจากเป็น Web Server แล้วยังมีส่วน API Gateway เพื่อใช้ในการจัดการและปรับแต่ง API ต่าง ๆ
Google Cloud Endpoints: เป็น API Gateway สำหรับเชื่อมต่อกับบริการบน Google Cloud
นานาสาระน่ารู้
Mermaid Chart
Mermaid Chart เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง diagrams และ visualizations จาก text-based syntax อย่างง่าย ๆ โดยตรงในเอกสาร Markdown หรือในแอปพลิเคชันที่รองรับ เช่น GitHub, GitLab, Notion, และอื่น ๆ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียน แผนภาพ ได้โดยใช้โค้ดง่าย ๆ แทนการสร้างแผนภาพด้วยเครื่องมือแบบกราฟิก ผู้ใช้สามารถเขียนโค้ด Mermaid และสร้าง diagrams เช่น flowchart, sequence diagram, Gantt chart, class diagram, ER diagram และอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย
การใช้งานของ Mermaid Chart ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้าง diagrams ได้ในลักษณะที่สั้นและชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือการสร้างแผนภาพที่ซับซ้อน เช่น การลากและวาง ซึ่งทำให้สามารถใช้ Mermaid ได้สะดวกในงานที่ต้องมีการทำเอกสารหรือเขียนโค้ดไปพร้อม ๆ กับการอธิบายด้วยแผนภาพ
ความสำคัญของ Mermaid
ง่ายต่อการสร้างแผนภาพ: Mermaid มี syntax ที่เข้าใจง่ายและทำให้การสร้าง diagrams เป็นเรื่องที่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานกับแผนภาพบ่อย ๆ โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมแยกออกไป
รวมกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ดี: Mermaid ถูกฝังในหลายแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการทำงานเอกสารและเขียนโค้ด เช่น GitHub, GitLab, Notion, และโค้ด editor บางตัว ทำให้การทำงานเป็นแบบ seamless โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือภายนอก
เหมาะกับการทำงานร่วมกัน: Mermaid ช่วยในการแสดงข้อมูลและความคิดผ่าน diagrams ในแบบ text-based ซึ่งเหมาะกับการทำงานเป็นทีมหรือในงานที่ต้องมีการปรับปรุงแผนภาพบ่อย ๆ
การใช้งานทั่วไป
ใช้ในการสร้าง flowchart หรือ sequence diagram สำหรับการอธิบายขั้นตอนการทำงานของแอปพลิเคชัน
ใช้สร้าง Gantt chart สำหรับการบริหารจัดการโครงการหรือการวางแผนเวลา
ใช้สำหรับการสร้าง Entity-Relationship (ER) Diagrams ในการออกแบบฐานข้อมูล
Mermaid เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์, นักออกแบบระบบ, และผู้ที่ทำงานด้านเอกสารหรือวางแผนโครงการ ทำให้สามารถสร้าง diagrams ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
นานาสาระน่ารู้
นาโนเทคและไบโอเทค สวทช. วิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ โชว์เคสแปรรูป ‘กระชายดำ’ สู่ ‘สารสกัดมูลค่าทองคำ’
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีพืชสมุนไพรหลายชนิดที่เจริญงอกงามได้ดีและมีสารสำคัญที่นำไปใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์ได้มาก ถึงกระนั้นพืชสมุนไพรที่คนไทยผลิตและส่งออกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์สด อบแห้ง หรือบดอัดแคปซูล ซึ่งมีมูลค่าไม่สูงนัก สาเหตุสำคัญมาจากไทยยังขาดการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพที่อยู่ในพืชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง การพัฒนากระบวนการสกัดและนำส่งสารสำคัญเพื่อให้สารออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของพืชสมุนไพรไทยในสื่อระดับนานาชาติ เพื่อให้สินค้าจากประเทศไทยได้รับความสนใจและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยการดำเนินงานวิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ มุ่งสร้างการเติบโตเศรษฐกิจฐานชีวภาพตั้งแต่ฐานรากอย่างยั่งยืน
ยกระดับสมุนไพรไทย จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ
ด้วยนาโนเทค สวทช. ตระหนักว่า การจะยกระดับสมุนไพรไทยไปสู่พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงจำเป็นต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาตลอดทั้งสายการผลิต เพราะหากห่วงโซ่ใดไม่พร้อมก็ไม่อาจขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนได้ การดำเนินงานวิจัยจึงเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ ‘คัดเลือกสายพันธุ์เด่น’ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพันธุ์ที่ให้สารสำคัญปริมาณสูง
[caption id="attachment_55814" align="aligncenter" width="750"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract[/caption]
ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract เล่าว่า ทีมวิจัยเริ่มต้นดำเนินงานจากการคัดเลือกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพสูง โดยสำรวจแหล่งเพาะปลูกพืชสมุนไพรหลายพื้นที่ในประเทศว่าที่ใดมีพื้นที่การเพาะปลูกสมุนไพรเป็นจำนวนมากบ้าง เพื่อเก็บตัวอย่างมาวิจัยว่า ‘มีสารสำคัญชนิดใดบ้างที่โดดเด่น’ และ ‘มีสารสำคัญปริมาณเท่าไหร่’ เพื่อให้ทราบถึงสายพันธุ์และแหล่งพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะแก่การวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่ม ในขณะเดียวกันก็ได้ผสานความร่วมมือกับนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในการพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงต้นพันธุ์ปลอดโรคและกระบวนการปลูกที่จะทำให้พืชชนิดนั้นผลิตสารสำคัญได้มากยิ่งขึ้น ก่อนนำองค์ความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกร เพื่อผลิตวัตถุดิบคุณภาพดีและได้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของตลาด พร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านสุขภาพ ความงาม และการแพทย์
“ในส่วนของการพัฒนาสารสกัดมูลค่าสูง ทีมวิจัยนาโนเทคได้ดำเนินงานต่อโดยนำพืชสมุนไพรสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมาออกแบบกรรมวิธีการสกัดที่จะทำให้ได้สารสำคัญปริมาณมากและมีความบริสุทธิ์สูง ก่อนนำมาลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งทั้งด้านประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ การนำส่งสารออกฤทธิ์ และความคงตัวของสารด้วยกระบวนการที่เหมาะสม เช่น กระบวนการห่อหุ้มในระดับอนุภาคนาโน (nanoencapsulation) ก่อนนำสารที่ผ่านการปรับปรุงคุณสมบัติแล้วไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งในขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ตาม OECD guidelines ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่นาโนเทควิจัยมีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านการบำรุงรักษาและความปลอดภัยในการบริโภค
“ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งภารกิจที่นักวิจัยนาโนเทคให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและทำคู่ขนานกันไปตลอด คือ การเรียบเรียงข้อมูลผลงานวิจัยเพื่อนำเสนอผ่านวารสารวิชาการในระดับนานาชาติ เพราะยิ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากประเทศไทยได้มาก จะยิ่งเป็นผลดีต่อการจำหน่ายสินค้าในตลาดโลก”
[caption id="attachment_55812" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
Black to Gold กระชายดำสู่สารสกัดมูลค่าทองคำ
หนึ่งในพืชสมุนไพรที่ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. กำลังพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์แนวหน้าในกลุ่มเวชสำอางของประเทศไทย คือ ‘กระชายดำ (black ginger)’ หรือที่มีการขนานนามว่า ‘โสมไทย’ เพราะพืชชนิดนี้มีสรรพคุณขึ้นชื่อด้านการบำรุงและรักษาร่างกาย ทำให้มีการนำมาใช้ผลิตยาตามตำรับแพทย์แผนไทยมายาวยาน นอกจากนี้กระชายดำที่ปลูกในประเทศไทยยังมีปริมาณสารสำคัญสูงกว่าประเทศอื่นด้วย
[caption id="attachment_55816" align="aligncenter" width="750"] ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีแม้ทางการแพทย์แผนไทยจะรู้ว่ากระชายดำเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก มีการนำมาใช้ผลิตยาตำรับต่าง ๆ อย่างหลากหลาย แต่ด้วยสีของสารสกัดกระชายดำที่เป็นสีเข้มเฉดม่วงถึงดำ จึงไม่นิยมนำมาใช้ผลิตเวชสำอางสำหรับผิวหน้าและผิวกาย จากข้อจำกัดดังกล่าวทีมวิจัยจึงพัฒนากระบวนการแยกสารสีเข้มออกจากสารสกัดจนได้เป็นสารสกัดสีเหลืองทอง ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบประสิทธิภาพด้านการออกฤทธิ์แล้วพบว่า สารสกัดออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการลดจำนวนเซลล์ชรา (เป็นเซลล์ที่ทำลายเซลล์ดีอื่น ๆ) ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ เสริมสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างอีลาสตินและไฮยาลูรอนิก เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ และสามารถเพิ่มความยาวของปลายโครโมโซม ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอางเป็นอย่างยิ่ง โดยทีมวิจัยได้ตั้งชื่อสารสกัดนี้ว่า ‘BlackGold’
[caption id="attachment_55808" align="aligncenter" width="500"] กระชายดำ[/caption]
“ภายหลังจากการนำสารสกัดที่ได้ไปผ่านกระบวนการลดข้อด้อยด้านความสามารถในการละลายต่ำและเพิ่มจุดแข็งด้านการออกฤทธิ์ การนำส่ง และความคงตัวของสาร ทีมวิจัยได้นำสารที่พัฒนามาใช้เป็นสารสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางตำรับต่าง ๆ ต่อ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยจนพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบำรุงผิวเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยทั้งในรูปแบบซีรัมและครีม นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการทดสอบโดยอาสามาสมัครหรือทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) จำนวน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมเพื่อลดการหลุดร่วง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกาย
“สำหรับการพัฒนาต่อยอดในรูปแบบผลิตภัณฑ์ ทีมวิจัยอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากผลจากการวิจัยพบว่านอกเหนือจากประสิทธิภาพด้านชะลอวัย (anti-aging) แล้ว สารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ยังมีฤทธิ์ด้านการลดการสะสมของไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ และระดับน้ำตาลในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคในกลุ่ม NCDs ทั้งนี้คาดการณ์ว่าการนำกระชายดำสดมาแปรรูปเป็นสารสกัดเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและการแพทย์ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก โดยกระชายดำสดมีราคาขายในช่วง 80-130 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนสารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ที่ได้มาตรฐานคาดว่าจะมีราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 100,000 บาทต่อกิโลกรัม”
[caption id="attachment_55813" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
นอกจากการวิจัยพัฒนาสมุนไพรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นาโนเทค สวทช. ยังพร้อมให้บริการด้านการวิจัยแก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยแบบครบวงจร (one-stop service) ทั้งการวิจัยประสิทธิภาพของสารสำคัญ การวิจัยกระบวนการสกัด การวิจัยกระบวนการลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งให้แก่สารสกัดสมุนไพร ไปจนถึงการพัฒนาตำรับเวชสำอาง การผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยโรงงานต้นแบบ และการทดสอบความปลอดภัย
ดร.มัตถกา อธิบายว่า นาโนเทค สวทช. มี ‘โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง (nanoparticle & cosmetic production plant)’ สำหรับให้บริการการผลิตด้วยมาตรฐาน ASEAN cosmetic GMP ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยรับผลิตผลิตภัณฑ์ที่พร้อมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมทั้งที่วิจัยและพัฒนาโดยนาโนเทค สวทช. และจากสถาบันวิจัยอื่น ๆ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้บริการเครื่องจักรที่โรงงานในประเทศไทยยังไม่มีในครอบครอง และผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อให้ภาคเอกชนใช้ทดลองตลาดก่อนขยายสู่การลงทุนด้านเครื่องจักรในระดับอุตสาหกรรม หรือก่อนทำสัญญาการผลิตปริมาณมากกับบริษัทที่ให้บริการด้าน OEM โดยตรงเท่านั้น
[caption id="attachment_55815" align="aligncenter" width="750"] ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลเสริมเรื่องการทดสอบความปลอดภัยว่า ทีมวิจัยซึ่งมี ดร.ศศิธร เอื้อวิริยะวิทย์ เป็นหัวหน้าทีม มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์จากอวัยวะต่าง ๆ ทั้งรูปแบบ 2 มิติ, 3 มิติ, ex vivo และแบบจำลองปลาม้าลายเพื่อทดแทนการใช้สัตว์ทดลอง’ โดยเชี่ยวชาญทั้งการทดสอบด้วยวิธีมาตรฐาน (standard methods) และวิธีที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ (in house developed methods) โดยพร้อมให้บริการทั้งการทดสอบความปลอดภัยและฤทธิ์ทางชีวภาพของตัวอย่างที่ส่งตรวจ อาทิ สารสกัดสมุนไพร สารเคมี ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และยังพร้อมให้บริการทดสอบรวมถึงให้คำปรึกษาและวางแผนการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เวชสำอางด้วย ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปาก’ อาทิ เซลล์ผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 2 มิติ เนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 3 มิติ ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ (human ex vivo skin model)
“สำหรับการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เปิดให้บริการสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ทีมวิจัยได้พัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อจากอวัยวะอื่น ๆ’ อาทิ แบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้แบบ 3 มิติ แบบจำลองเนื้อเยื่อปอด แบบจำลองเซลล์ตับอ่อน แบบจำลองเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน แบบจำลองปลาม้าลาย เพื่อใช้ในการทดสอบเพื่อสนับสนุนข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ สำหรับนำไปใช้ต่อยอดด้านการวิจัยและพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นข้อมูลประกอบในการขึ้นทะเบียนและส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย”
[caption id="attachment_55817" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
การวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่ากระชายดำเป็นเพียงหนึ่งในผลงานเด่นด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สมุนไพรไทย ตัวอย่างพืชสมุนไพรแนวหน้าอื่น ๆ ที่ทีมวิจัยกำลังวิจัยและพัฒนาหรือมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น บัวบก กะเพรา ขมิ้นชัน กระท่อม ว่านหางจระเข้ ทั้งนี้การวิจัยและพัฒนาทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยให้เติบโตตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึงภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือใช้บริการด้านการวิจัยและพัฒนา ติดต่อสอบถามได้ที่ งานนพัฒนาธุรกิจ นาโนเทค สวทช. อีเมล์ bitt-bdv@nonotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ชุมพล พินิจธนสาร ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


