หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘ทุเรียนอินทรีย์นิรามิสสุข’ อร่อย ปลอดภัย ใช้ ‘นวัตกรรมถุงแดง’
  “เนื้อเยอะ เม็ดลีบ เปลือกบาง มีรสหวานจากธรรมชาติ และปราศจากสารเคมี” คือจุดเด่นของทุเรียนสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด ที่นอกจากจะผ่านการบ่มเพาะด้วยความใส่ใจแล้ว ยังใช้นวัตกรรม ‘ถุงห่อทุเรียน Magik Growth (เมจิกโกรท)’ ผลงานนักวิจัยไทยที่เข้ามาช่วยลดปัญหาหนอนเจาะผลทุเรียน เพลี้ยแป้ง สัตว์กัดแทะและราดำ รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียนด้วย   หนอนเจาะผลทุเรียน ทำผลผลิตเสียหายมากกว่าครึ่ง !   [caption id="attachment_56791" align="aligncenter" width="750"] นายขจรพงศ์ ชูปัญญานนท์ ผู้จัดการสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด[/caption] นายขจรพงศ์ ชูปัญญานนท์ ผู้จัดการสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด เล่าว่า สวนนิรามิสสุขมีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ เป็นพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 30 ไร่ แบ่งเป็นทุเรียน 10 ไร่ และมังคุดกับลองกองรวม 20 ไร่ ทั้งนี้มีแนวคิดหันมาทำสวนทุเรียนอินทรีย์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการทำเกษตรอินทรีย์มีปัญหาหนักที่ต้องเจอ คือ โรคและแมลง อีกทั้งความรุนแรงก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะแมลงศัตรูพืช “ปัญหาใหญ่ที่พบคือ ‘หนอนเจาะทุเรียน’ แต่ละปีผลผลิตทุเรียนมีความเสียหายรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งปีล่าสุด ผลผลิตทุเรียนเสียหายมากกว่า 50% สมมติมีทุเรียน 1,000 กว่าลูก โดนหนอนเจาะไปแล้ว 600-700 ลูก ซึ่งทุเรียนที่หนอนเจาะส่งขายไม่ได้ ก็ต้องหาทางออกด้วยการแกะเนื้อทุเรียนไปแปรรูป เช่น ทุเรียนกวน ทำให้มูลค่าการขายลดลง สร้างความเสียหายอย่างมาก”     นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน ป้องกันหนอนเจาะ 100% ที่ผ่านมาสวนนิรามิสสุขพยายามหาวิธีแก้ปัญหา ทั้งการใช้สารชีวภัณฑ์ สมุนไพร รวมถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ในการป้องกันแต่ยังไม่เห็นผลเด่นชัด กระทั่งเจอนวัตกรรม ‘ถุงห่อทุเรียน Magik Growth’ ผลงานการพัฒนาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่อาจเป็นทางออก “ตอนแรกเห็นราคาถุงห่อทุเรียน Magik Growth ก็แอบลังเลใจ เพราะราคาใบละ 40 กว่าบาท แต่เมื่อมองในระยะยาว ถุงห่อใช้ซ้ำได้ถึง 2-3 รอบการผลิต และสามารถส่งกลับคืนไปยังผู้ขายเพื่อแลกเป็นส่วนลดกับการซื้อถุงล็อตใหม่ได้ ก็คิดว่าถ้าใช้แล้วดีในระยะยาวก็น่าลอง ในช่วงปีแรกทดลองใช้ถุงห่อทุเรียนบางส่วนก่อนประมาณ 30 ต้น ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่พอใจมาก เพราะป้องกันหนอนเจาะทุเรียนแทบ 100% ทำให้ปัจจุบันนี้สวนนิรามิสสุขใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth กับทุเรียนทุกต้นทั้งสวนมาแล้วถึง 3 รอบการผลิต”     การใช้ถุงห่อทุเรียนไม่เพียงลดผลผลิตที่เสียหาย แต่ยังได้เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างล้นหลามถึง ‘คุณภาพทุเรียน’ “ผู้บริโภคและแม่ค้าที่รับทุเรียนไปขายบอกว่า ทุเรียนของเราคุณภาพดี ผิวสวย มีปริมาณเนื้อทุเรียนเยอะ เม็ดเล็ก เปลือกบาง เวลาผ่าลูกทุเรียนเห็นเนื้อทุเรียนแล้ว ลูกค้าชอบมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ด้วยเช่นกัน ดังนั้นนวัตกรรมนี้ไม่ได้มีดีแค่ป้องกันแมลง แต่ช่วยยกระดับคุณภาพทุเรียนด้วย”         ความลับที่ซ่อนอยู่ใน ‘ถุงแดง’ เห็นเป็นเพียงถุงแดง ๆ ใช่ว่าจะออกแบบมาแค่ห่อหุ้มทุเรียนไม่ให้แมลงหรือสัตว์กัดแทะเข้าทำลายผล เพราะถุงห่อทุเรียน Magik Growth ยังผ่านการวิจัยและพัฒนาให้มีสมบัติพิเศษต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของผลทุเรียน   [caption id="attachment_56787" align="aligncenter" width="750"] ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. ผู้พัฒนาถุงห่อทุเรียน Magik Growth กล่าวว่า ถุงห่อถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นโครงสร้าง 3 มิติ เกิดจากการพัฒนาสูตรพอลิเมอร์ และใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน ทำให้ถุงมีรูพรุนและความหนาที่เหมาะสม ช่วยให้ถ่ายเทน้ำและอากาศได้ดี แต่ขณะเดียวกันถุงห่อก็แข็งแรงพอที่จะนำกลับมาใช้งานซ้ำได้ถึง 2-3 ฤดูกาลผลิต นอกจากนี้ผิวด้านนอกถุงห่อยังมีความลื่นจึงช่วยลดการเข้าทำลายของสัตว์กัดแทะ เช่น กระรอก กระแต และกระถิกได้ “ตัวถุงห่อที่เลือกใช้สีแดง เพราะเป็นช่วงคลื่นแสงที่ช่วยกระตุ้นการพัฒนาผลในทุเรียน ลดปริมาณเส้นใย และปริมาณไฟเบอร์ในเนื้อทุเรียน พร้อมกันนี้ตัวถุงยังสามารถคัดกรองช่วงแสงที่มีความจำเพาะต่อการเติบโตของทุเรียนด้วย ช่วยให้ทุเรียนสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ทั้งนี้จากการเก็บข้อมูลการทดลองใช้ถุงห่อทุเรียนทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและภาคสนามร่วมกับภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พบว่าถุงห่อช่วยให้น้ำหนักและปริมาณเนื้อของทุเรียนเพิ่มขึ้น”     ถุงห่อทุเรียนคุ้มค่า ! ลดสารเคมี เพิ่มมูลค่าการขาย การใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth แม้จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในเรื่องของค่าถุง และค่าจ้างในการห่อผล แต่ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่หันมาทดลองใช้ต่างยืนยันว่าคุ้มค่าในระยะยาว เพราะนอกจากช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีได้มากแล้ว ยังช่วยพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพดีระดับพรีเมียม ดร.ณัฐภพ เล่าว่า เทคโนโลยีถุงห่อทุเรียน Magik Growth มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัทเอกชนเพื่อผลิตและจัดจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว ปัจจุบันมีสวนทุเรียนนำถุงห่อทุเรียนไปใช้งานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออก เช่น จ.ระยอง จันทบุรี และตราด เกษตรกรผู้ใช้งานบอกว่า การห่อทุเรียนทำให้ผิวเปลือกทุเรียนสะอาด สีสวย ลดการเกิดโรคและความเสียหายจากแมลง ช่วยลดการใช้สารเคมี อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคและเกษตรกร ที่สำคัญผลทุเรียนที่ได้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เปลือกบาง ปริมาณเนื้อเยอะ ทำให้เพิ่มราคาขายได้อีกด้วย ล่าสุดล้งส่งออกทุเรียนจันทบุรี (ล้งเอ-ต่าย) ซึ่งรับซื้อผลผลิตทุเรียนปีละหลายตันเพื่อส่งออกไปยังประเทศเกาหลีใต้ ได้ร่วมสนับสนุนเกษตรกรในเครือข่ายใช้ทุเรียนถุงห่อ Magik Growth เพื่อบรรเทาผลกระทบความเสียหายจากการตรวจพบสารเคมีที่เปลือกทุเรียน     ผลผลิตทุเรียนปลอดภัย เพราะใช้ถุงแดง สำหรับสวนนิรามิสสุขที่ปลูก ‘ทุเรียนอินทรีย์’ การใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth อาจไม่ได้มีผลต่อการลดต้นทุนสารเคมี แต่ถุงห่อทุเรียนคือตัวช่วยชั้นดีที่ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายการผลิต ‘ทุเรียนปลอดภัย’ “เราตั้งใจปลูกทุเรียนปลอดภัย อยากปลูกผลไม้ปลอดภัยให้ผู้บริโภคได้รับประทาน ซึ่งนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth เข้ามาตอบโจทย์ได้มาก ทั้งสร้างความแตกต่าง และเป็นเกราะป้องกันปัญหาโรคและแมลงได้ 100% ที่สำคัญคือการห่อทุเรียนทำให้เรารู้สึกว่าได้ดูแลทุเรียนทุกลูกจริง ๆ อีกทั้งเสียงตอบรับจากผู้บริโภคต่างก็ประทับใจทั้งในเรื่องคุณภาพและเนื้อสัมผัส ทำให้เราจะยังใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ต่อไป เพื่อสร้างผลผลิตและนิเวศปลอดภัยให้ทุกคน” นายขจรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย     ถุงห่อทุเรียน Magik Growth นับเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับ ‘ผลไม้เศรษฐกิจไทย’ ให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากการใช้สารเคมี ดีต่อสุขภาพผู้บริโภคและเกษตรกร ตอบโจทย์การขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยสู่ความยั่งยืน     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘ทรายแมวสายกรีน’ จับตัวดี ย่อยสลายได้ ผลิตจากวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตร
  ‘ทรายแมว’ ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทาสแมวทั้งหลายต้องมีติดบ้าน เพราะนอกจากจะเป็นวัสดุรองรับในกระบะขับถ่ายที่ช่วยให้แมวถ่ายได้อย่างผ่อนคลาย ใช้อุ้งเท้าเขี่ยกลบหลังถ่ายได้เหมือนถ่ายลงพื้นดินพื้นทรายตามธรรมชาติแล้ว ยังมีจุดเด่นสำคัญคือเมื่อโดนน้ำจะแปรสภาพไปเป็น 2 ลักษณะหลัก คือ จับตัวเป็นก้อนหรือแตกตัวเป็นผง (ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์) ทำให้เจ้าของแมวเก็บของเสียไปทิ้งได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดกลิ่นของเสียช่วยให้บรรยากาศภายในบ้านดีขึ้นอีกด้วย จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งภายในและต่างประเทศ ผู้ประกอบการไทย บริษัทเอส.ไอ.พี.สยามอินเตอร์แปซิฟิค จำกัด ที่เล็งเห็นถึงโอกาสจึงได้ปักธงเดินหน้าวิจัยผลิตภัณฑ์ ‘ทรายแมวสายกรีน’ ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีโจทย์วิจัยคือการเพิ่มจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ด้านการย่อยสลายตามธรรมชาติ และการนำวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตรในประเทศไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทรายแมวมีส่วนช่วยลดปัญหาโลกร้อน   [caption id="attachment_56589" align="aligncenter" width="750"] ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาจากผู้ประกอบการ บริษัทเอส.ไอ.พี.สยามอินเตอร์แปซิฟิค จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์และทรายแมวคุณภาพสูง มีความสนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทใหม่ที่มีส่วนช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงเสนอโจทย์วิจัยเป็นผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทจับตัวเป็นก้อนหลังดูดซับของเสียชนิดย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ที่มีการนำวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ “ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทีมวิจัยได้นำวัตถุดิบหลักซึ่งมีจุดเด่นตามธรรมชาติแตกต่างกันมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับเพิ่มคุณสมบัติด้านการดูดซับน้ำปัสสาวะและการยึดเกาะจับตัวเป็นก้อนหลังดูดซับน้ำ ทดแทนการใช้สารเคมีชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตามในการผลิตทีมวิจัยยังคงมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีชนิดอื่น ๆ เข้ามาเป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งสัตว์เลี้ยง มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม เพราะสารเคมีที่ใช้ทั้งหมดเป็นเกรดสำหรับผลิตอาหาร “ทั้งนี้หลังจากการพัฒนาสูตรการผลิตเป็นเวลาประมาณ 1 ปี ปัจจุบันทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ทรายแมวสายกรีนที่พัฒนาขึ้นมีจุดแข็งทั้งด้านการซับน้ำรวดเร็ว ดูดกลิ่นดี หลังซับน้ำแล้วจะจับตัวเป็นก้อนกลมทำให้ตักทิ้งได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ สามารถตักทิ้งลงชักโครกได้ โดยผลิตภัณฑ์มีอายุในการจัดเก็บประมาณ 1 ปี หรือตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทรายแมว”   [caption id="attachment_56587" align="aligncenter" width="750"] ลักษณะเม็ดทรายแมว[/caption]   [caption id="attachment_56595" align="aligncenter" width="750"] ลักษณะการจับตัวหลังดูดซับน้ำ[/caption]   ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จในระดับ TRL4 หรือในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเครื่องจักรเฉพาะสำหรับใช้ในการผลิต เพื่อให้ผลิตได้ครั้งละปริมาณมากพร้อมแก่การผลิตในระดับพาณิชย์ ดร.สิทธิศักดิ์ อธิบายทิ้งท้ายว่า การผลิตทรายแมวชนิดนี้ใช้เครื่องปั้นเม็ดปุ๋ยที่มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยทั่วไปได้ เพียงแต่เครื่องที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปยังมีกำลังการผลิตไม่สูงนัก ทีมวิจัยจึงมีแผนร่วมกับเอกชนในการขอรับทุนสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนาเครื่องเอกซ์ทรูเดอร์ (extruder) หรือเครื่องขึ้นรูปผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ผลิตทรายแมวโดยเฉพาะขึ้น เพื่อให้ผลิตสินค้าได้ปริมาณมากตามต้องการ และลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งหากการพัฒนาเครื่องจักรชนิดนี้เสร็จสิ้นก็คาดว่าจะผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ทันที ผลิตภัณฑ์ทรายแมวสายกรีนเป็นหนึ่งในหลายผลิตภัณฑ์เพื่อคนรักสัตว์เลี้ยงที่ สวทช. พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งด้านสุขภาพสัตว์ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าการเกษตรไทย เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตามหลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG สำหรับผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ทรายแมวสายกรีนหรือสนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทอื่น ๆ ติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ อีเมล sitthisp@mtec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4259   หมายเหตุ : ปรับปรุงรายละเอียดที่เผยแพร่ใหม่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ร่วม ม.แม่โจ้ พัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัด ‘แก๊สแอมโมเนียรั่วไหล’ มุ่งลดความสูญเสียให้โรงงานไทยและประชาชนโดยรอบพื้นที่
  แอมโมเนีย (NH3) เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์สูงและมีการใช้งานมากในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยประเทศไทยมีกลุ่มโรงงานที่ใช้แอมโมเนียในกระบวนการผลิตหลายด้าน เช่น โรงงานพลาสติก ไนลอน น้ำยางข้น ผงชูรส สารเคมี รวมถึงห้องเย็นและโรงงานผลิตน้ำแข็ง อย่างไรก็ตามแอมโมเนียเป็นสารเคมีอันตรายประเภทแก๊สพิษและมีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้เมื่อเกิดเหตุขัดข้องมีแก๊สแอมโมเนียรั่วไหลเกินกำหนดภายในโรงงาน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่ได้ตั้งแต่ระดับระคายเคืองไปจนถึงเสียชีวิต ดังที่เคยปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันความสูญเสียดังกล่าว แต่ละโรงงานจึงควรเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยง     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พัฒนา ‘อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์’ มุ่งสนับสนุนยกระดับความปลอดภัยในการปฏิบัติงานให้ภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินภายในโรงงาน รวมถึงชุมชนโดยรอบอย่างทันท่วงที   [caption id="attachment_56554" align="aligncenter" width="750"] ดร.มติ ห่อประทุม (ซ้ายบน), ดร.คทา จารุวงศ์รังสี (ขวาบน), คุณทวี ป๊อกฝ้าย (ซ้ายล่าง) และคุณมนัสวี ศรีรักษ์ (ขวาล่าง) ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.คทา จารุวงศ์รังสี นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายว่า อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียที่ทีมวิจัยร่วมกับนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้พัฒนาขึ้น เป็นชนิดสารกึ่งตัวนำจากออกไซด์ของโลหะ (metal oxide semiconductor) ที่มีความจำเพาะสูง ตรวจจับปริมาณแก๊สแอมโมเนียได้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มมีการรั่วไหล ไปจนถึงระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ โดยอุปกรณ์ผ่านการออกแบบให้มีขนาดเล็ก ติดตั้งสะดวก ใช้พลังงานต่ำ ส่วนทางด้านการปรับเทียบอุปกรณ์ (calibrate) หากภายในองค์กรมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือผ่านการอบรมมาเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถดำเนินงานปรับเทียบเองได้โดยไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอุปกรณ์ไปซ่อมบำรุงยังห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง ทำให้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีความคล่องตัวในการใช้งานสูง   [caption id="attachment_56551" align="aligncenter" width="500"] เซนเซอร์ตรวจวัดแก๊ส[/caption]   [caption id="attachment_56552" align="aligncenter" width="500"] เซนเซอร์ตรวจวัดแก๊ส[/caption]   [caption id="attachment_56550" align="aligncenter" width="500"] ภาพถ่ายโครงสร้างหลักในการตอบสนองแก๊สของเซนเซอร์ที่พัฒนาขึ้น โดยถ่ายเทียบขนาดกับรากของเส้นผม[/caption]   อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีคุณสมบัติและราคาอยู่ในเกณฑ์ทัดเทียมหรือแข่งขันกับอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และที่พิเศษกว่านั้น คือ อุปกรณ์เซนเซอร์นี้วิจัยและพัฒนาโดยคนไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้ทีมวิจัยมีความพร้อมในการช่วยปรับแต่งอุปกรณ์ให้สอดรับกับความต้องการใช้งานของผู้ประกอบการไทยที่มีความหลากหลาย   [caption id="attachment_56553" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนีย[/caption]   คุณทวี ป๊อกฝ้าย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายเสริมถึงส่วนฟังก์ชันการจัดส่งข้อมูลจากเซนเซอร์ไปยังระบบวิเคราะห์ข้อมูลและระบบแจ้งเตือนความเสี่ยงของโรงงานที่ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. เป็นผู้พัฒนาขึ้นว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ให้เป็นอุปกรณ์ประเภท IoT (Internet of Things) หรืออุปกรณ์ที่สื่อสารและส่งข้อมูลการตรวจวัดได้ด้วยตัวเอง โดยออกแบบให้จัดส่งข้อมูลได้ 2 รูปแบบหลัก รูปแบบแรกคือการส่งข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มวิเคราะห์บริหารจัดการงานภายในโรงงาน เพื่อประโยชน์ด้านการเฝ้าระวังการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในโรงงานที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนีย และการป้องกันไม่ให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่สูดดมหรือสัมผัสแก๊สแอมโมเนียในปริมาณเกินกำหนด เพราะการรับแก๊สแอมโมเนียเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ในระดับความเข้มข้นต่ำก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ “ส่วนการจัดส่งข้อมูลรูปแบบที่สองคือการส่งสัญญาณแจ้งเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยมีการออกแบบระบบให้แจ้งเตือนได้หลายระดับ ตั้งแต่แจ้งเตือนไปยังส่วนงานซ่อมบำรุงและส่วนงานความปลอดภัยเพื่อเข้าตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ภายในโรงงาน และการส่งสัญญาณแจ้งเตือนฉุกเฉินในรูปแบบแสง เสียง และข้อความไปยังผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่ เพื่อให้เร่งอพยพออกจากจุดเกิดเหตุโดยด่วน โดยระบบแจ้งเตือนทั้งหมดนี้สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละโรงงานได้เช่นกัน” ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว โดยมีแผนดำเนินงานความร่วมมือกับโรงงานทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ในไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ก่อนเปิดถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตต่อไป ดร.มติ ห่อประทุม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายว่า จากการวิจัยเพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี ทำให้ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณแก๊สชนิดต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเด่น เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เอทิลีน นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานในการตรวจวัดต่ำ ทำให้สามารถพัฒนาต่อยอดอุปกรณ์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การผลิตอุปกรณ์พกพาสำหรับผู้ทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณแก๊สต่าง ๆ ภายในโรงงาน หรือการผลิตอุปกรณ์พกพาในรูปแบบป้ายแขวนคอสำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงสูง โดยขณะนี้ทีมกำลังต่อยอดองค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยบูรณาการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเซนเซอร์เพื่อใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และการพัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดระดับน้ำเสียร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งงานวิจัยโครงการที่สองนี้ได้รับทุนสนับสนุนทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) “นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังต่อยอดการพัฒนาเซนเซอร์สู่การผลิตอุปกรณ์ E-nose (electronics noses) หรืออุปกรณ์จมูกอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้วิเคราะห์กลิ่นซึ่งกำลังมีความต้องการสูงในหลายอุตสาหกรรม เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้นอกจากจะวิเคราะห์กลิ่นได้แม่นยำกว่ามนุษย์แล้ว ยังใช้ปฏิบัติภารกิจที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพแทนมนุษย์ได้ด้วย โดยจุดเด่นของอุปกรณ์ E-nose ที่พัฒนาขึ้น คือ เซนเซอร์แต่ละตัวภายใน E-nose สามารถให้ข้อมูลลักษณะเด่นหรือฟีเจอร์ (feature) ได้เป็นจำนวนมาก แตกต่างจากเซนเซอร์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่วิเคราะห์ได้เพียงฟีเจอร์เดียว ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น และช่วยให้ต้นทุนการผลิตอุปกรณ์ลดลง พร้อมกันนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนา AI สำหรับใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก E-nose เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น และช่วยลดระยะเวลาในการปฏิบัติงานด้านการทดสอบกลิ่นได้เป็นอย่างดี โดยขณะนี้ทีมวิจัยกำลังเดินหน้าวิจัยอุปกรณ์เพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลักของไทยทั้งในด้านเกษตร อาหาร  สุขภาพ และการแพทย์”   [caption id="attachment_56555" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบอุปกรณ์วิเคราะห์กลิ่นรายละเอียดสูง (E-nose) และลักษณะข้อมูลจากการตรวจวัด[/caption]   การที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ตรวจวัดปริมาณสารเคมีชนิดต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยกระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้เกิดการทำอุตสาหกรรมในรูปแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.คทา จารุวงศ์รังสี นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อีเมล kata.jaruwongrungsee@nectec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2185   ผู้ร่วมวิจัย   วัสดุนาโนสำหรับตอบสนองแก๊สแอมโมเนีย พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) โดยมี นายมณธวัช วิบูลย์ นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ รศ. ดร.วิรันธชา เครือฟู อาจารย์ที่ปรึกษา จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นผู้ร่วมวิจัย   การวิจัยทางด้านการประยุกต์ใช้แก๊สเซนเซอร์ในงานด้านสุขภาพและการแพทย์ เป็นงานความร่วมมือกับ รศ. ดร.ชัยกานต์ เลียวหิรัญ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   การวิจัยทางด้านการประยุกต์ใช้แก๊สเซนเซอร์ในงานด้านตรวจวัดระดับน้ำเสีย เป็นงานความร่วมมือกับ ผศ. ดร.ฐปน ชื่นบาล, รศ. ดร.วิรันธชา เครือฟู และ ผศ .ดร.ศิราภรณ์ ชื่นบาล จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
แกะกล่องงานวิจัย : โปรแกรม ‘ช่วยวิเคราะห์เลือกคู่ผสมสัตว์’ ลดเสี่ยงสูญพันธุ์
  📌  1) เกี่ยวกับอะไร ? เนื่องในวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันความหลากหลายทางชีวภาพ (International day of biological diversity) สวทช. จึงขอนำเสนอผลงานการวิจัยโปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสมพันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เพื่อเลี่ยงการผสมภายในเครือญาติหรือ ‘เลือดชิด’ ลดความเสี่ยงการได้รับลักษณะอ่อนแอหรือโรคทางพันธุกรรรมจากพ่อและแม่ โดยโปรแกรมนี้มีศักยภาพในการประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงถึงระดับประชากร จึงใช้สนับสนุนการดำเนินงานด้านอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อการคงสภาพการอยู่รอดด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ในการวิจัยและพัฒนา ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาโปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสม #ละมั่งสายพันธุ์ไทยที่มีสถานะเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เป็นลำดับแรก เพราะในอดีตละมั่งเคยมีสถานภาพสูญพันธุ์จากป่าธรรมชาติของประเทศไทยไปแล้ว แต่ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันเพาะเลี้ยงและนำปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ปัจจุบันจึงยังคงมีละมั่งพันธุ์ไทยและลูกผสมระหว่างละมั่งพันธุ์ไทยและพันธุ์เมียนมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนประชากรที่ยังคงเหลือน้อยในระดับวิกฤตผู้ดูแลจึงยังต้องระมัดระวังเรื่องการผสมพันธุ์อยู่เสมอ จากความสำเร็จในการเลือกคู่ผสมละมั่งพันธุ์ไทย นักวิจัยได้ขยายการดำเนินงานสู่การประยุกต์ใช้กับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดอื่นที่มีสถานะวิกฤตไม่ต่างกันเรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างเช่น พญาแร้ง เสือลายเมฆ เก้งหม้อ ซึ่งผลจากการวิเคราะห์พบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะขยายพันธุ์สัตว์เหล่านี้ เพื่อคงความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรสัตว์   📌   2) ดีอย่างไร ? โปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสมสัตว์ทำงานโดยการวิเคราะห์ความคล้ายคลึงของจีโนไทป์ (genotype) ที่ได้จากสัตว์แต่ละตัวจำนวน 30,000 ตำแหน่ง โดยโปรแกรมจะนำเสนอค่าความแตกต่างของจีโนไทป์ทุกคู่ในรูปแบบตารางที่อ่านผลได้ง่าย เพื่อให้สัตวแพย์ประเมินความ ‘เลือดชิด’ หรือ ‘พันธุกรรมที่มีความแตกต่างกันน้อย’ ได้โดยสะดวก สามารถเลือกพ่อและแม่พันธุ์ที่มีความเหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โปรแกรมยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ได้อีก 2 ด้าน ด้านแรกคือการวิเคราะห์สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตว่าเป็นพันธุ์แท้หรือลูกผสม เพื่อใช้ยืนยันจำนวนประชากรและวางแผนอนุรักษ์ตามสายพันธุ์ ด้านที่สองคือการสืบย้อนหาเครือญาติของสิ่งมีชีวิตโดยการสร้างแผนภูมิต้นไม้สำหรับแต่ละครอบครัว (family tree reconstruction) เพื่อแก้ปัญหาข้อมูลที่บันทึกไว้ไม่สมบูรณ์หรือสูญหาย ข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลสายพันธุกรรม (pedigree) รวมถึงการสังเกตลักษะเด่นและด้อยที่ปรากฏให้เห็นและส่งต่อไปยังรุ่นต่อไปได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนการผสมพันธุ์อย่างเหมาะสม   📌  3) ตอบโจทย์อะไร? ทีมวิจัยวางแผนพัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นเพื่อการใช้ประโยชน์ด้านการอนุรักษ์สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ โดยปัจจุบันได้มีการขยายการดำเนินงานไปยังสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์สูงชนิดอื่น ๆ  อาทิ พญาแร้ง เก้งหม้อ เสือลายเมฆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ทีมยังมีแผนดำเนินงานร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการนำโปรแกรมเข้าสู่ระบบขององค์การสวนสัตว์ฯ​ เพื่อเปิดให้ผู้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และการผสมพันธุ์สัตว์ในประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมเพื่อลดความเสี่ยงสูญพันธุ์ และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ   📌  4) สถานะของเทคโนโลยี? พร้อมให้บริการเทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์เลือกคู่ผสม ละมั่ง พญาแร้ง เก้งหม้อ เสือลายเมฆ   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : NBT พัฒนาโปรแกรม “วิเคราะห์เลือกคู่ผสมสัตว์” ลดเสี่ยงสูญพันธุ์ นำร่องอนุรักษ์ “ละมั่งพันธุ์ไทย”   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
แกะกล่องงานวิจัย : ReLife กระจกตาชีวภาพ
  📌  1) เกี่ยวกับอะไร? ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้คนมากกว่า 10 ล้านคนกำลังเผชิญความยากลำบากจากการสูญเสียการมองเห็น เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บทางกระจกตา โดยที่ผ่านมาหนทางหลักเพียงหนทางเดียวที่จะรักษาผู้ป่วยได้อย่างค่อนข้างปลอดภัยคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาใหม่โดยอาศัยกระจกตาที่ได้รับบริจาคจากผู้เสียชีวิตเท่านั้น ซึ่งจากจำนวนกว่า 10 ล้านคนนั้นมีเพียงร้อยละ 15 ที่จะเป็นผู้โชคดีได้รับโอกาสนี้ จากปัญหาดังกล่าวนักวิจัยไบโอเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีผลิตกระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์ (stem cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิดขึ้น เพื่อมอบโอกาสใหม่ในการมองเห็นให้แก่ผู้ที่มีความต้องการ เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องตั้งตารอคอยด้วยความหวังเป็นระยะเวลายาวนานอีกต่อไป   📌  2) ดีอย่างไร? กระจกตาเทียมที่ผลิตจากสเต็มเซลล์จะมีลักษณะเป็นกระจกตาใสเหมือนของเด็กแรกเกิด แตกต่างจากกระจกตาที่ได้รับบริจาคซึ่งมักมีความขุ่นมัวตามอายุของผู้เสียชีวิต การเปลี่ยนกระจกตาจะใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อนำโครงเลี้ยงสเต็มเซลล์ (มีลักษณะเหมือนกระจกตาของมนุษย์) และสเต็มเซลล์เข้าไปยึดติดบนดวงตาของคนไข้ จากนั้นสเต็มเซลล์จะค่อย ๆ กินโครงเลี้ยงเซลล์เป็นอาหารจนหมดและเติบโตขึ้นมาเป็นเซลล์กระจกตาตามธรรมชาติที่มีลักษณะเหมือนกับโครงเลี้ยงเซลล์ทุกประการ ทำให้ร่างกายไม่เกิดการต่อต้าน และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ทั้งนี้ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ที่ปัจจุบันได้ผันตัวไปเป็นสตาร์ตอัป (ภายใต้โครงการ NSTDA Start-up) เรียบร้อยแล้ว ได้เผยถึงความตั้งใจว่า ‘จะทำให้คนไทยเข้าถึงกระจกตาชีวภาพในราคาที่จับต้องได้’   📌  3) ตอบโจทย์อะไร? ผลิตภัณฑ์นี้จะมีส่วนในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูญเสียการมองเห็นเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บทางกระจกตา รวมถึงครอบครัวและคนใกล้ชิด โดยความสำเร็จจากการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย   📌  4) สถานะของเทคโนโลยี? ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลอง   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สตาร์ตอัป ReLIFE พัฒนากระจกตาชีวภาพ ความหวังเปลี่ยนกระจกตาไม่ต้องรอรับบริจาค   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
แกะกล่องงานวิจัย : น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ ป้องกันคราบน้ำ-ฝุ่น
  📌  1) เกี่ยวกับอะไร? น้ำยาเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ช่วยลดการเกาะของน้ำผ่านการปรับค่ามุมสัมผัสของน้ำบนวัสดุ (water contact angle) ทำให้น้ำ น้ำมัน หรือของเหลวที่ตกกระทบผิววัสดุมีลักษณะเป็นก้อนกลมกลิ้งไหลออกจากแผงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งคราบน้ำเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว นอกจากนี้น้ำยาเคลือบยังช่วยลดการเกาะของฝุ่นบนพื้นผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างหนักหน่วง   📌  2) ดีอย่างไร? น้ำยาเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ช่วยให้แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 ในช่วงหน้าแล้ง (ฤดูหนาว-ฤดูร้อนของประเทศไทย) เมื่อเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา และไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานและค่าใช้จ่ายด้านการทำความสะอาดให้แก่เจ้าของแผงได้เป็นอย่างดี (ช่วยให้ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยครั้งเหมือนแผงที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา) เพราะโดยทั่วไปการทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งไว้บนที่สูงหรือหลังคาจะต้องว่าจ้างผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านการทำงานบนที่สูงมาปฏิบัติงาน หากผู้ล้างขาดความชำนาญอาจทำให้แผงเกิดรอยขีดข่วนหรือชำรุด ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสบายใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้จะไม่ส่งผลต่อการรับประกันแผงโซลาร์เซลล์ เพราะสารเคลือบสามารถล้างออกโดยไม่หลงเหลือคราบบนแผงโซลาร์เซลล์ได้   📌  3) ตอบโจทย์อะไร? ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานสะอาด และเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในด้านการลดการใช้พลังงานจากถ่านหิน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังผ่านการทดสอบแล้วว่ามีความปลอดภัยทั้งต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม   📌  4) สถานะของเทคโนโลยี? พร้อมให้บริการเทคโนโลยีแล้ว ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการให้บริการได้ที่ www.nanocoatingtech.co.th   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
คนอุดรฯ ร่วม สวทช. พัฒนา ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’ สามล้อไฟฟ้า มุ่งทำแซนด์บ็อกซ์ขนส่งสายกรีน
  โดยทั่วไปหากไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้งาน หนึ่งในขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในภาคอีสานก็คือ ‘สกายแล็บ (Skylab)’ รถสามล้อเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เดินทางสะดวก รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 7 คน หรือจะปรับมาใช้ขนส่งสินค้า อาทิ ผลิตผลทางการเกษตรก็คล่องตัวเช่นกัน แต่ในวันนี้วันที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาโลกร้อนในระยะที่ยากจะหวนกลับคืน สิ่งที่แต่ละภาคส่วนจำเป็นต้องตระหนักและช่วยกันอย่างเร่งด่วน คือ ลดการปล่อยมลพิษ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี จึงลุกขึ้นเป็นตัวแทนคนในจังหวัดเดินหน้าพัฒนาแซนด์บ็อกซ์ (sand box) ขนส่งสายกรีน โดยเริ่มจากพัฒนาสามล้อไฟฟ้าที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของสกายแล็บแต่เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น   [caption id="attachment_56399" align="aligncenter" width="750"] สกายแล็บ (Skylab)[/caption]   [caption id="attachment_56397" align="aligncenter" width="750"] สกายแล็บ (Skylab)[/caption]   กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี พัฒนาต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)   ‘KHamKoon’ ยกระดับความปลอดภัย เพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ‘ยานยนต์สมัยใหม่ที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ท้องถิ่น ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ คือ ความต้องการของคนจังหวัดอุดรธานีที่เป็นโจทย์ในการดำเนินงานให้กับทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. นักวิจัยจึงได้ดำเนินภารกิจครั้งนี้โดยเลือกใช้สกายแล็บเป็นโจทย์ตั้งต้น เพื่อคงไว้ซึ่งภาพจำของคนในจังหวัด รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยได้ร่วมกันตั้งชื่อให้กับสามล้อไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ว่า ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’   [caption id="attachment_56432" align="aligncenter" width="750"] คุณชัยวิวัฒน์ เกยูรธำมรงค์, คุณวัลลภ รัตนถาวร, คุณยศวัฒน์ เศรษฐกุลสิทธิ์ และคุณอรรถพล พลาศรัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่ง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.วัลลภ รัตนถาวร ทีมวิจัยเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่ง กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า รถสามล้อทั่วไปจะมีจุดศูนย์ถ่วงอยู่ใกล้กับล้อหน้า เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วจะเกิดการสไลด์ ล้อยก หรือพลิกคว่ำได้ง่าย ทีมวิจัยจึงได้นำความเชี่ยวชาญด้านระบบขับเคลื่อนและระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ออกแบบ ‘การเพิ่มเสถียรภาพในการเข้าโค้งให้แก่รถ’ โดยเทคโนโลยีเฉพาะที่พัฒนาขึ้น คือ ‘มอเตอร์ควบคุมการขับเคลื่อนที่ควบคุมล้อแต่ละล้อได้อย่างอิสระตามสถานการณ์การขับขี่แบบอัตโนมัติ’ ซึ่งจากการทดสอบประสิทธิภาพความปลอดภัยในการใช้งานพบว่า ผู้ขับขี่สามารถขับต้นแบบรถ KHamKoon แล้วกลับรถหรือเปลี่ยนทิศทางรถอย่างรวดเร็ว (J-turn) ที่ความเร็ว 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างปลอดภัย ตรงตาม มอก.3264-2564 ที่เป็นมาตรฐานสากล หรือมีความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้นกว่าเดิม   [caption id="attachment_56394" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบรถ KHamKoon (ค้ำคูณ)[/caption]   “ส่วนด้านโครงสร้างรถทีมวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์โครงสร้างซึ่งอยู่ในกลุ่มวิจัยเดียวกันได้ดำเนินการออกแบบใหม่โดยปรับแต่งให้เป็นรถที่คงไว้ซึ่งลักษณะเค้าโครงเดิมของสกายแล็บ แต่มีความแข็งแรงและความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยทีมวิจัยได้ใช้หลักการ finite element analysis หรือการคำนวณเพื่อวิเคราะห์ความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการสร้างแบบจำลองยานยนต์ด้วยเทคโนโลยี simulation จนได้เป็นผลงานการออกแบบ ‘โครงสร้างรถที่มีศักยภาพในการเป็นเกราะเสริมความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร’ ส่วนประเด็นสุดท้ายด้านการเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทีมวิจัยได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์จากระบบสันดาปภายใน ให้เป็นระบบไฟฟ้า (EV) โดย KHamKoon ผ่านการออกแบบให้ใช้แบตเตอรี่ความจุ 12 kWh เป็นแหล่งพลังงาน ทำให้วิ่งได้ระยะทาง 120-150 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การชาร์จแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ใช้แท่นชาร์จ AC type 2 ที่มีให้บริการทั่วไปในปัจจุบันได้ และสามารถปรับการผลิตรถให้ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้นและใช้รูปแบบการชาร์จแบบเร็ว (fast charge) ได้ หากมีความต้องการในอนาคต ปัจจุบันทีมวิจัยได้ส่งมอบต้นแบบรถ KHamKoon คันแรกให้สภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีแล้ว”         คนอุดรฯ พร้อมลุยต่อกับ ‘แซนด์บ็อกซ์ขนส่งสายกรีน’ การจะลงทุนปรับเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะในระดับจังหวัดไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนระบบนิเวศ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี ในฐานะตัวแทนของประชาชนในจังหวัด จึงได้เป็นแกนนำในการนำร่องวางแผนจัดทำแซนด์บ็อกซ์ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_56395" align="aligncenter" width="450"] คุณอนุพงศ์ มกรานุรักษ์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี[/caption]   คุณอนุพงศ์ มกรานุรักษ์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี อธิบายว่า การดำเนินงานความร่วมมือในการพัฒนารถ KHamKoon ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. สภาอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะนำต้นแบบรถ KHamKoon มาใช้ในการทำแซนด์บ็อกซ์ขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสิ่งที่ทางสภาอุตสาหกรรมได้ดำเนินงานคู่ขนานไปกับการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเอ็มเทคตั้งแต่เริ่มต้นก็คือการวางกลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนแผนงานนี้ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ภารกิจแรกภายใต้แซนด์บ็อกซ์ที่กำลังจะเริ่มทดลองใน 1-2 เดือนนี้แล้ว คือ การนำ KHamKoon ไปให้บริการรับส่งผู้โดยสารภายในโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีและรับส่งระหว่างโรงพยาบาลกับที่จอดรถซึ่งอยู่ห่างออกไป 1-2 กิโลเมตร เพื่อช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดภายในสถานพยาบาลและพื้นที่โดยรอบ “สิ่งที่กำลังพัฒนาหรืออยู่ในแผนการพัฒนาแล้ว คือ การเตรียมความพร้อมระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ พื้นที่จุดจอดให้บริการรถ สถานีชาร์จ แอปพลิเคชันสำหรับเรียกรถ เพื่อให้ทั้งการให้บริการและการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะภายในจังหวัดเป็นเรื่องง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้นต่อไป ส่วนอีกด้านที่มีแผนจะพัฒนาแล้วเช่นกัน คือ การพัฒนากำลังคนภายในจังหวัดด้วยการ ‘อัปสกิล (upskill)’ หรือ ‘รีสกิล (reskill)’ ให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการผลิตและซ่อมบำรุงรถ EV โดยรถ KHamKoon ผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิดคนในจังหวัดจะต้องผลิตและซ่อมบำรุงได้ด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเช่นกัน เพื่อให้เมื่อผ่านการพัฒนาไปถึงระดับพาณิชย์ KHamKoon จะมีราคาที่จับต้องได้ และพร้อมแก่การใช้งานจริงในระยะยาว ทั้งนี้การส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในจังหวัดตั้งแต่วันนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ยุค EV เป็นยานยนต์ประเภทหลักของประเทศไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดการดิสรัปต์อาชีพต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว”     การวางแผนกลยุทธ์ตลอดห่วงโซ่ผลกระทบ (impact value chain) อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น และการที่ทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐในจังหวัด รวมถึงภาคการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ต่างก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนงานหลัก ทำให้ในวันนี้คำว่าสมาร์ตโมบิลิตี (smart mobility) หรือการเดินทางและระบบขนส่งอัจฉริยะสำหรับคนอุดรธานีไม่ใช่เพียงภาพฝัน แต่เริ่มมีเส้นทางสู่ความสำเร็จปรากฏให้เห็นแล้ว นายอนุพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะทำงานทุกคนต่างคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานแซนด์บ็อกซ์นี้จนประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อให้จังหวัดอุดรธานีมีระบบสมาร์ตโมบิลิตีที่ยั่งยืน   [caption id="attachment_56400" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]   [caption id="attachment_56398" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]   [caption id="attachment_56396" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]   สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตรถ KHamKoon ได้ที่ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. โทร 0 2564 6500 ต่อ 4065 หรืออีเมล wallop.rat@mtec.or.th และติดต่อเพื่อร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายในจังหวัดอุดรธานีได้ที่ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย เพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด
  “ไฟไหม้สำเพ็งเร่งควบคุมเพลิง เหตุจากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด แล้วลามไปติดรถกับบ้าน” พาดหัวข่าวใหญ่เมื่อช่วงกลางปี 2565 เป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทีมนักวิจัยไทยจึงพัฒนา “น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ภายใต้ชื่อ EnPAT” ที่ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดและบรรเทาความสูญเสียของประชาชน แต่ยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศ   [caption id="attachment_56046" align="aligncenter" width="700"] ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักของการเกิดไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด มาจากการที่น้ำมันซึ่งอยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้าเกิดการลุกติดไฟ และเมื่อหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทำให้น้ำมันที่ลุกติดไฟนี้กระจายไปสู่อาคารบ้านเรือนที่อยู่โดยรอบหม้อแปลงไฟฟ้า ส่งผลทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลาม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนซึ่งประเมินมูลค่ามิได้ อีกทั้งยังส่งผลถึงความไม่ไว้ใจของประชาชนต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบระบบไฟฟ้าอีกด้วย โดยน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นน้ำมันแร่ซึ่งผลิตมาจากปิโตรเลียม ทำหน้าที่เป็นฉนวนไฟฟ้าและช่วยระบายความร้อนในหม้อแปลงไฟฟ้า แต่ปัญหาสำคัญของน้ำมันแร่คือ อุณหภูมิจุดติดไฟต่ำ ทำให้ลุกติดไฟง่ายเมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย ที่เรียกว่า “EnPAT” โดยการนำน้ำมันปาล์มมาปรับปรุงคุณภาพให้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า จนได้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของคนไทย   [caption id="attachment_56048" align="aligncenter" width="700"] EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลิตด้วยเทคโนโลยีคนไทย[/caption]   “น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปจะมีจุดติดไฟไม่เกิน 170 องศาเซลเซียส แต่ “EnPAT” มีคุณสมบัติเด่นคือมีจุดติดไฟสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปถึง 2 เท่า จึงสามารถป้องกันไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดได้ ช่วยสร้างความปลอดภัยและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ “EnPAT” สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เมื่อมีการรั่วไหลจะจัดการได้ง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต อีกทั้งเมื่อหมดอายุการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดในลักษณะของสารพิษ เรียกได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์น้ำมันปาล์มถึงสองต่อ”   [caption id="attachment_56051" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบอุณหภูมิลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาต้นแบบระบบผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย “EnPAT” ที่กำลังการผลิต 400 ลิตรต่อครั้ง และผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งที่ห้องปฏิบัติการ ก่อนนำไปบรรจุในหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อนำร่องการใช้งานจริงต่อไป   [caption id="attachment_56047" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หม้อแปลงไฟฟ้าโดยปกติจะมีอายุใช้งานมากกว่า 20 ปี การพิสูจน์ประสิทธิภาพของ “EnPAT” จำเป็นต้องใช้เวลาทดสอบที่ยาวนาน ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยจึงออกแบบการทดสอบในสภาวะเร่ง โดยจำลองสภาวะการใช้งานที่หม้อแปลงไฟฟ้าต้องเผชิญกับอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เพื่อศึกษาการเสื่อมสภาพของน้ำมันและวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้า ผลการทดสอบพบว่ากระดาษฉนวนภายในหม้อแปลงไฟฟ้าที่บรรจุ EnPAT เมื่อผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งแล้วกระดาษฉนวนยังคงอยู่ในสภาพที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับกระดาษฉนวนในหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุน้ำมันแร่ที่แสดงการเสื่อมสภาพค่อนข้างมาก ทั้งนี้การเสื่อมสภาพของกระดาษฉนวนสามารถสื่อถึงอายุการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้า โดยผลการศึกษาบ่งชี้ว่า “EnPAT” สามารถใช้ทดแทนน้ำมันแร่ในหม้อแปลงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวโน้มที่จะช่วยยืดอายุหม้อแปลงไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย   [caption id="attachment_56052" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบการลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT เมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงระเบิด[/caption]   โครงการนำร่องการใช้งานจริงของ “EnPAT” เริ่มดำเนินการในปี 2567 โดยได้ทำการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2567 ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และมีกำหนดการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ปลายปี 2567 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร 8 องค์กร ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยผลการนำร่องการใช้งานนี้จะใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพฉบับแรกของประเทศไทย  เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ต่อไป “ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง แต่หากเราผลิตได้เองภายในประเทศ จะทำให้มีต้นทุนต่ำลง ที่สำคัญ “EnPAT” ผลิตจากน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล การนำน้ำมันปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับผลผลิตทางการเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในอุตสาหกรรมด้านโอลิโอเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่น้ำมันปาล์มได้หลายเท่า ส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและภาพรวมของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศ” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว   [caption id="attachment_56053" align="aligncenter" width="700"] นวัตกรรม EnPAT ช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับปาล์มน้ำมันไทยไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง[/caption] EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และสอดรับกับนโยบายของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นาโนเทคและไบโอเทค สวทช. วิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ โชว์เคสแปรรูป ‘กระชายดำ’ สู่ ‘สารสกัดมูลค่าทองคำ’
  ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีพืชสมุนไพรหลายชนิดที่เจริญงอกงามได้ดีและมีสารสำคัญที่นำไปใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์ได้มาก ถึงกระนั้นพืชสมุนไพรที่คนไทยผลิตและส่งออกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์สด อบแห้ง หรือบดอัดแคปซูล ซึ่งมีมูลค่าไม่สูงนัก สาเหตุสำคัญมาจากไทยยังขาดการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพที่อยู่ในพืชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง การพัฒนากระบวนการสกัดและนำส่งสารสำคัญเพื่อให้สารออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของพืชสมุนไพรไทยในสื่อระดับนานาชาติ เพื่อให้สินค้าจากประเทศไทยได้รับความสนใจและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยการดำเนินงานวิจัยยกระดับสมุนไพรไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ มุ่งสร้างการเติบโตเศรษฐกิจฐานชีวภาพตั้งแต่ฐานรากอย่างยั่งยืน   ยกระดับสมุนไพรไทย จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ด้วยนาโนเทค สวทช. ตระหนักว่า การจะยกระดับสมุนไพรไทยไปสู่พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงจำเป็นต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาตลอดทั้งสายการผลิต เพราะหากห่วงโซ่ใดไม่พร้อมก็ไม่อาจขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนได้ การดำเนินงานวิจัยจึงเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ ‘คัดเลือกสายพันธุ์เด่น’ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพันธุ์ที่ให้สารสำคัญปริมาณสูง   [caption id="attachment_55814" align="aligncenter" width="750"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract[/caption]   ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าทีมวิจัยสารสกัดมูลค่าสูงหรือ Herbal Xtract เล่าว่า ทีมวิจัยเริ่มต้นดำเนินงานจากการคัดเลือกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพสูง โดยสำรวจแหล่งเพาะปลูกพืชสมุนไพรหลายพื้นที่ในประเทศว่าที่ใดมีพื้นที่การเพาะปลูกสมุนไพรเป็นจำนวนมากบ้าง เพื่อเก็บตัวอย่างมาวิจัยว่า ‘มีสารสำคัญชนิดใดบ้างที่โดดเด่น’ และ ‘มีสารสำคัญปริมาณเท่าไหร่’ เพื่อให้ทราบถึงสายพันธุ์และแหล่งพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะแก่การวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่ม ในขณะเดียวกันก็ได้ผสานความร่วมมือกับนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในการพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงต้นพันธุ์ปลอดโรคและกระบวนการปลูกที่จะทำให้พืชชนิดนั้นผลิตสารสำคัญได้มากยิ่งขึ้น ก่อนนำองค์ความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกร เพื่อผลิตวัตถุดิบคุณภาพดีและได้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของตลาด พร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านสุขภาพ ความงาม และการแพทย์ “ในส่วนของการพัฒนาสารสกัดมูลค่าสูง ทีมวิจัยนาโนเทคได้ดำเนินงานต่อโดยนำพืชสมุนไพรสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมาออกแบบกรรมวิธีการสกัดที่จะทำให้ได้สารสำคัญปริมาณมากและมีความบริสุทธิ์สูง ก่อนนำมาลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งทั้งด้านประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ การนำส่งสารออกฤทธิ์ และความคงตัวของสารด้วยกระบวนการที่เหมาะสม เช่น กระบวนการห่อหุ้มในระดับอนุภาคนาโน (nanoencapsulation) ก่อนนำสารที่ผ่านการปรับปรุงคุณสมบัติแล้วไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งในขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ตาม OECD guidelines ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่นาโนเทควิจัยมีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านการบำรุงรักษาและความปลอดภัยในการบริโภค “ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งภารกิจที่นักวิจัยนาโนเทคให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและทำคู่ขนานกันไปตลอด คือ การเรียบเรียงข้อมูลผลงานวิจัยเพื่อนำเสนอผ่านวารสารวิชาการในระดับนานาชาติ เพราะยิ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากประเทศไทยได้มาก จะยิ่งเป็นผลดีต่อการจำหน่ายสินค้าในตลาดโลก”   [caption id="attachment_55812" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption] Black to Gold กระชายดำสู่สารสกัดมูลค่าทองคำ หนึ่งในพืชสมุนไพรที่ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. กำลังพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์แนวหน้าในกลุ่มเวชสำอางของประเทศไทย คือ ‘กระชายดำ (black ginger)’ หรือที่มีการขนานนามว่า ‘โสมไทย’ เพราะพืชชนิดนี้มีสรรพคุณขึ้นชื่อด้านการบำรุงและรักษาร่างกาย ทำให้มีการนำมาใช้ผลิตยาตามตำรับแพทย์แผนไทยมายาวยาน นอกจากนี้กระชายดำที่ปลูกในประเทศไทยยังมีปริมาณสารสำคัญสูงกว่าประเทศอื่นด้วย   [caption id="attachment_55816" align="aligncenter" width="750"] ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]            ดร.มัตถกา คงขาว นักวิจัย กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีแม้ทางการแพทย์แผนไทยจะรู้ว่ากระชายดำเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก มีการนำมาใช้ผลิตยาตำรับต่าง ๆ อย่างหลากหลาย แต่ด้วยสีของสารสกัดกระชายดำที่เป็นสีเข้มเฉดม่วงถึงดำ จึงไม่นิยมนำมาใช้ผลิตเวชสำอางสำหรับผิวหน้าและผิวกาย จากข้อจำกัดดังกล่าวทีมวิจัยจึงพัฒนากระบวนการแยกสารสีเข้มออกจากสารสกัดจนได้เป็นสารสกัดสีเหลืองทอง ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบประสิทธิภาพด้านการออกฤทธิ์แล้วพบว่า สารสกัดออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการลดจำนวนเซลล์ชรา (เป็นเซลล์ที่ทำลายเซลล์ดีอื่น ๆ) ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ เสริมสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างอีลาสตินและไฮยาลูรอนิก เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ และสามารถเพิ่มความยาวของปลายโครโมโซม ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอางเป็นอย่างยิ่ง โดยทีมวิจัยได้ตั้งชื่อสารสกัดนี้ว่า ‘BlackGold’   [caption id="attachment_55808" align="aligncenter" width="500"] กระชายดำ[/caption]     “ภายหลังจากการนำสารสกัดที่ได้ไปผ่านกระบวนการลดข้อด้อยด้านความสามารถในการละลายต่ำและเพิ่มจุดแข็งด้านการออกฤทธิ์ การนำส่ง และความคงตัวของสาร ทีมวิจัยได้นำสารที่พัฒนามาใช้เป็นสารสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางตำรับต่าง ๆ ต่อ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยจนพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบำรุงผิวเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยทั้งในรูปแบบซีรัมและครีม นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการทดสอบโดยอาสามาสมัครหรือทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) จำนวน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมเพื่อลดการหลุดร่วง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกาย “สำหรับการพัฒนาต่อยอดในรูปแบบผลิตภัณฑ์ ทีมวิจัยอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากผลจากการวิจัยพบว่านอกเหนือจากประสิทธิภาพด้านชะลอวัย (anti-aging) แล้ว สารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ยังมีฤทธิ์ด้านการลดการสะสมของไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ และระดับน้ำตาลในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคในกลุ่ม NCDs ทั้งนี้คาดการณ์ว่าการนำกระชายดำสดมาแปรรูปเป็นสารสกัดเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและการแพทย์ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก โดยกระชายดำสดมีราคาขายในช่วง 80-130 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนสารสกัดกระชายดำ (BlackGold) ที่ได้มาตรฐานคาดว่าจะมีราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 100,000 บาทต่อกิโลกรัม”   [caption id="attachment_55813" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]   นอกจากการวิจัยพัฒนาสมุนไพรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นาโนเทค สวทช. ยังพร้อมให้บริการด้านการวิจัยแก่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยแบบครบวงจร (one-stop service) ทั้งการวิจัยประสิทธิภาพของสารสำคัญ การวิจัยกระบวนการสกัด การวิจัยกระบวนการลดข้อด้อยและเพิ่มจุดแข็งให้แก่สารสกัดสมุนไพร ไปจนถึงการพัฒนาตำรับเวชสำอาง การผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยโรงงานต้นแบบ และการทดสอบความปลอดภัย ดร.มัตถกา อธิบายว่า นาโนเทค สวทช. มี ‘โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง (nanoparticle & cosmetic production plant)’ สำหรับให้บริการการผลิตด้วยมาตรฐาน ASEAN cosmetic GMP ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยรับผลิตผลิตภัณฑ์ที่พร้อมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมทั้งที่วิจัยและพัฒนาโดยนาโนเทค สวทช. และจากสถาบันวิจัยอื่น ๆ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้บริการเครื่องจักรที่โรงงานในประเทศไทยยังไม่มีในครอบครอง และผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อให้ภาคเอกชนใช้ทดลองตลาดก่อนขยายสู่การลงทุนด้านเครื่องจักรในระดับอุตสาหกรรม หรือก่อนทำสัญญาการผลิตปริมาณมากกับบริษัทที่ให้บริการด้าน OEM โดยตรงเท่านั้น   [caption id="attachment_55815" align="aligncenter" width="750"] ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล นักวิจัยทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ (NSB) กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย นาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลเสริมเรื่องการทดสอบความปลอดภัยว่า ทีมวิจัยซึ่งมี ดร.ศศิธร เอื้อวิริยะวิทย์ เป็นหัวหน้าทีม มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์จากอวัยวะต่าง ๆ ทั้งรูปแบบ 2 มิติ, 3 มิติ, ex vivo และแบบจำลองปลาม้าลายเพื่อทดแทนการใช้สัตว์ทดลอง’ โดยเชี่ยวชาญทั้งการทดสอบด้วยวิธีมาตรฐาน (standard methods) และวิธีที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ (in house developed methods) โดยพร้อมให้บริการทั้งการทดสอบความปลอดภัยและฤทธิ์ทางชีวภาพของตัวอย่างที่ส่งตรวจ อาทิ สารสกัดสมุนไพร สารเคมี ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และยังพร้อมให้บริการทดสอบรวมถึงให้คำปรึกษาและวางแผนการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เวชสำอางด้วย ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปาก’ อาทิ เซลล์ผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 2 มิติ เนื้อเยื่อผิวหนังและช่องปากมนุษย์แบบ 3 มิติ ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ (human ex vivo skin model) “สำหรับการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เปิดให้บริการสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ทีมวิจัยได้พัฒนา ‘แบบจำลองเซลล์และเนื้อเยื่อจากอวัยวะอื่น ๆ’  อาทิ แบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้แบบ 3 มิติ แบบจำลองเนื้อเยื่อปอด แบบจำลองเซลล์ตับอ่อน แบบจำลองเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน แบบจำลองปลาม้าลาย เพื่อใช้ในการทดสอบเพื่อสนับสนุนข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ สำหรับนำไปใช้ต่อยอดด้านการวิจัยและพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นข้อมูลประกอบในการขึ้นทะเบียนและส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย”   [caption id="attachment_55817" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]   การวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่ากระชายดำเป็นเพียงหนึ่งในผลงานเด่นด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สมุนไพรไทย ตัวอย่างพืชสมุนไพรแนวหน้าอื่น ๆ ที่ทีมวิจัยกำลังวิจัยและพัฒนาหรือมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เช่น บัวบก กะเพรา ขมิ้นชัน กระท่อม ว่านหางจระเข้ ทั้งนี้การวิจัยและพัฒนาทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยให้เติบโตตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึงภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือใช้บริการด้านการวิจัยและพัฒนา ติดต่อสอบถามได้ที่ งานนพัฒนาธุรกิจ นาโนเทค สวทช. อีเมล์ bitt-bdv@nonotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ชุมพล พินิจธนสาร ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สุดคูล ! รีไซเคิลกระเบื้องตกเกรดเป็น ‘อิฐบล็อกช่องลม’ เพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานเซรามิก
  ‘สินค้ามีตำหนิ สินค้าตกเกรด’ เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่อุตสาหกรรมกระเบื้องและเซรามิกต้องเผชิญ เพราะนอกจากไม่สามารถจำหน่ายได้แล้ว การนำกลับไปบดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ยังสามารถนำไปใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการสะสมจนกลายเป็นขยะอุตสาหกรรมปริมาณมหาศาลที่ยากต่อการจัดเก็บและต้องส่งกำจัด ซึ่งการส่งกำจัดนั้นนอกจากจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากในการจัดการแล้วยังส่งผลให้ไม่สามารถหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ประโยชน์ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดอีกด้วย เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด หากใช้โดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า ก็จะทำให้ทรัพยากรเหล่านี้หมดไปในอนาคตอันใกล้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด ยกระดับการผลิต นำเศษกระเบื้องเหลือทิ้งมาพัฒนาเป็น ‘ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลม’ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดปริมาณขยะจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน   [caption id="attachment_55033" align="aligncenter" width="750"] ดร.อนุชา วรรณก้อน ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเซรามิกส์และวัสดุก่อสร้าง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.อนุชา วรรณก้อน ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเซรามิกส์และวัสดุก่อสร้าง เอ็มเทค กล่าวว่า ในการผลิตกระเบื้องปูพื้นและบุผนังแบบไม่เคลือบของบริษัทเคนไซฯ พบว่า แต่ละรอบการผลิตมีกระเบื้องมีตำหนิที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ประมาณร้อยละ 5-10 และมีปริมาณสะสมเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา แม้ว่าที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ร่วมกับบริษัทเคนไซฯ พัฒนาต้นแบบ ‘คอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว’ จากการใช้เศษกระเบื้องและเซรามิกบดจนประสบความสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังมีเศษกระเบื้องเหลืออยู่จำนวนมาก รวมถึงเศษผงเซรามิกขนาดเล็กที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ อีกทั้งเศษเซรามิกแบบมีเคลือบยังไม่เหมาะต่อการนำมาผลิตคอนกรีตน้ำซึมผ่านเร็ว   [caption id="attachment_55039" align="aligncenter" width="750"] เศษกระเบื้องและเซรามิกเหลือทิ้งจากโรงงานที่ไม่สามารถจำหน่ายได้[/caption]   [caption id="attachment_55034" align="aligncenter" width="750"] เศษกระเบื้องและเซรามิกบด[/caption]   “ทีมวิจัยได้ประเมินเพื่อหาแนวทางที่สามารถใช้ประโยชน์จากผงเซรามิกและเศษเซรามิกแบบมีเคลือบได้ 100% รวมทั้งศึกษาเก็บข้อมูลการใช้และการหมุนเวียนทรัพยากรในระบบเพื่อออกแบบกระบวนการใหม่ที่ใช้ทรัพยากรและพลังงานให้น้อยที่สุด จนนำมาสู่การออกแบบและพัฒนากระบวนการผลิตอิฐบล็อกช่องลมที่ลดการพึ่งพาวัตถุดิบปฐมภูมิหรือทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้เศษเซรามิกเป็นวัตถุดิบตั้งต้นทดแทนวัตถุดิบปฐมภูมิจากแหล่งแร่ธรรมชาติ และใช้กระบวนการผลิตที่ไม่ต้องเผา” ผลการพัฒนา ‘ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลม’ จาก ‘เศษเซรามิกบด’ พบว่า คุณสมบัติในด้านต่าง ๆ  เช่น กำลังรับแรงอัด การดูดซึมน้ำ และความหนาแน่น ใกล้เคียงกับอิฐบล็อกช่องลมทั่วไปที่วางขายตามท้องตลาด และสามารถนำมาใช้ทดแทนได้เป็นอย่างดี “ทีมวิจัยยังได้ประเมินการใช้ทรัพยากร ความเป็นไปได้ทางเทคนิคและทางเศรษฐศาสตร์พบว่า การนำเศษเซรามิกบดมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตอิฐบล็อกช่องลม สามารถใช้เซรามิกบดทดแทนวัตถุดิบปฐมภูมิที่เป็นมวลรวมต่างๆ ได้ 100% และเป็นกระบวนการผลิตที่ไม่ต้องเผา จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มาก และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่น้อยกว่า 20-30%” ดร.อนุชา กล่าว ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอิฐบล็อกช่องลมแก่โรงงาน เพื่อดำเนินการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ สำหรับใช้ต่อยอดเพื่อจำหน่ายต่อไปอนาคต   [caption id="attachment_55038" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยทดสอบสมบัติของต้นแบบอิฐบล็อกช่องลมที่ผลิตจากเศษเซรามิกบด[/caption]   [caption id="attachment_55037" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบอิฐบล็อกช่องลมที่ผลิตจากเศษเซรามิกบด[/caption]   [caption id="attachment_55035" align="aligncenter" width="750"] คุณชนัตถ์ ตันติวัฒน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด[/caption]   ชนัตถ์ ตันติวัฒน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคนไซ ซีรามิคส์ อินดัสตรี้ จำกัด กล่าวว่า จากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ทำให้บริษัทได้กระบวนการคิดและเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยสามารถนำเศษเซรามิกบดมาใช้ประโยชน์ได้ 100% ช่วยให้เราเห็นหนทางที่จะมุ่งสู่ zero waste ได้ตามเป้าหมายของโรงงาน “ที่สำคัญเรายังได้มุมมองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ คือไม่ได้มองเฉพาะแค่ภายในโรงงานหรือการนำของเสียมารีไซเคิลเท่านั้น แต่มองเห็นถึงผลกระทบและมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในภาพรวมของอุตสาหกรรมเซรามิกในประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในทุกภาคส่วน” การส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถออกแบบพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรและหมุนเวียนใช้ให้นานที่สุด รวมทั้งลดการปล่อยของเสียให้น้อยที่สุด จึงถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตได้บนฐานทรัพยากรที่ยั่งยืน     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุระดับความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดขยะอาหาร
  หนึ่งในผลไม้จากประเทศไทยที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติสูงจนขึ้นแท่นเป็นพืชเศรษฐกิจ คือ ‘มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง’ ที่มีจุดเด่น คือ ผลใหญ่ เปลือกสีเหลืองทอง เนื้อละเอียด รสชาติหวาน แต่ด้วยมะม่วงสายพันธุ์นี้มีเปลือกสีเหลืองครีมตั้งแต่เริ่มสุกบนต้นหรือระยะที่ยังไม่พร้อมรับประทาน ทำให้แยกระดับความสุกจากการสังเกตสีเปลือกมะม่วงได้ยาก ทำให้ผู้บริโภคอาจพลาดโอกาสในการลิ้มรสมะม่วงในช่วงอร่อยที่สุดไป นักวิจัยไทยจึงนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์พัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มมูลค่าการส่งออก     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง   [caption id="attachment_55181" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า การพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุก ทีมวิจัยได้นำลักษณะตามธรรมชาติของผลไม้ที่จะปล่อยก๊าซเอทิลีนและคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นตามระยะความสุกมาใช้ในการออกแบบเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซ โดยทีมวิจัยเลือกตรวจจับก๊าซเอทิลีนเพราะให้ผลตรวจที่แม่นยำกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซที่มีอยู่ทั่วไปในสภาพแวดล้อม จึงอาจทำให้เกิดการแปลผลคลาดเคลื่อนได้ เซนเซอร์ที่ทีมพัฒนาขึ้นมีรูปแบบเป็นสติกเกอร์สำหรับแปะผลไม้ มีลวดลายเป็นวงกลม 2 ชั้น วงในเป็นตำแหน่งของเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซเอทิลีนซึ่งจะมีสีเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความเข้มข้นของก๊าซหรือระดับความสุกของผลไม้ ส่วนวงนอกเป็นแถบสีสำหรับดูเปรียบเทียบระดับความสุก   [caption id="attachment_55182" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]   [caption id="attachment_55183" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]   “ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เลือกพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเป็นลำดับแรก เพราะเป็นผลไม้ที่สังเกตระดับความสุกได้ยาก เป็นผลไม้พรีเมียมที่เน้นคุณภาพ และมีตลาดระดับไฮเอนด์รองรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ฉลากอัจฉริยะที่ทีมพัฒนาขึ้นระบุความสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองได้ 3 ระดับ คือ ‘สีเขียวอ่อนอมเทา’ หมายถึงสุกน้อย มีรสชาติเปรี้ยว ‘สีเขียวอ่อน’ หมายถึงระดับสุกปานกลาง มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน และ ‘สีเขียวเข้ม’ หมายถึงผลไม้สุกพร้อมรับประทาน มีรสชาติหวาน (มีข้อความระบุบนฉลาก) ปัจจุบันฉลากอัจฉริยะที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วจะมีลักษณะการใช้งานแบบ 1 แผ่น ต่อ 1 ผล คาดว่าเมื่อผลิตในระดับอุตสาหกรรมแล้วจะมีราคา 1-2 บาทต่อแผ่น หรือหากผู้ประกอบการสนใจพัฒนาฉลากรูปแบบอื่น ๆ เช่น การติดภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ก็สามารถวิจัยต่อยอดร่วมกันได้เช่นกัน”     ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกไม่เพียงเหมาะกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเท่านั้น แต่ยังพัฒนาเชิงประยุกต์เพื่อต่อยอดให้ใช้งานกับผลไม้อีกหลายชนิดที่อยู่ในกลุ่มบ่มให้สุกภายหลังการเก็บเกี่ยว และมีลักษณะผลที่สังเกตการสุกด้วยตาเปล่ายากได้ อาทิ ทุเรียน ขนุน อะโวคาโด กีวี่ ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า ปัจจุบันต่างประเทศมีความต้องการฉลากอัจฉริยะสูงขึ้น ทั้งเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้และลดการเกิดขยะอาหารจากการบริหารจัดการสินค้าที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ IMARC Group บริษัทด้านการวิจัยตลาดต่างประเทศประมาณการไว้ว่า ‘ความต้องการฉลากอัจฉริยะจะสูงขึ้นในปี 2567-2575’ ด้วยค่า CAGR (compound annual growth rate) ที่ร้อยละ 11.4 หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.96 แสนล้านบาท) ในปี 2567 เป็น 2.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) ในปี 2575 จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเริ่มลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ไทย ซึ่งทีมวิจัยพร้อมเปิดรับโจทย์การวิจัยฉลากอัจฉริยะระบุความสุกของผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องการ ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่นักวิจัย สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตผลทางการเกษตรของประเทศไทย และสนับสนุนการลดขยะอาหาร หนึ่งในตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งยกระดับเศรฐกิจฐานชีวภาพและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทย สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยะรัตน์ เซ้าซี้ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการโครงสร้างพื้นฐาน นาโนเทค สวทช.อีเมล piyarath.sao@nanotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย ไร้กลิ่นสารเคมี ไร้สารก่อมะเร็ง
  ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยางพารามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เม็ดเงินที่ไหลกลับเข้าประเทศกลับไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นวัตถุดิบในขั้นปฐมภูมิ อาทิ น้ำยางข้น ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน นักวิจัยไทยจึงคิดค้นกระบวนการแปรรูปยางพาราให้มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้นด้วยเทคนิคการวัลคาไนซ์โดยไม่ใช้สารเคมี เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่การใช้งานด้านสุขภาพและการแพทย์ รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงวัยในอนาคต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคนิคการวัลคาไนซ์ผลิตภัณฑ์ยางด้วยการฉายลำอิเล็กตรอน พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งเพื่อสุขภาพ และเดินหน้าต่อยอดสู่อุปกรณ์ด้านสุขภาพและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ   [caption id="attachment_54783" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต, ดร.ธงศักดิ์ แก้วประกอบ และ ดร.กรรณิกา หัตถะปะนิตย์ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต นักวิจัย ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางรูปแบบใหม่ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการขึ้นรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะใช้กระบวนการวัลคาไนเซชัน (vulcanization) ซึ่งเป็นการสร้างพันธะเชื่อมขวางระหว่างโมเลกุลของยาง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความแข็งแรงและทนทานสูงขึ้น อย่างไรก็ตามในขั้นตอนการผลิตมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ ทำให้มักมีสารเคมีตกค้างก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้สารบางชนิดยังเป็นสารก่อมะเร็งและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดเท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดด้านสุขภาพและการแพทย์ “เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้ประยุกต์การใช้ลำอิเล็กตรอนในการวัลคาไนเซชัน ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากผลิตภัณฑ์จะมีความแข็งแรงและคงทนในระดับทัดเทียมกับวิธีการที่ใช้อยู่เดิมแล้ว ยังไม่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงไม่มีกลิ่นสารเคมีรบกวน และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูงขึ้น โดยหลังจากการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปใหม่สำเร็จ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาสูตรการผลิต ‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ซึ่งมีความต้องการในตลาดสูงต่อทันที จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาได้ คือ มีความสามารถในการกระจายแรงสูง ลดแรงกดทับได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณก้นกบและหลังส่วนล่างจากการนั่งเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แผ่นเจลรองนั่งที่พัฒนาขึ้นยังมีคุณลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้นั่งรู้สึกเย็นสบายแม้จะผ่านการนั่งทับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมงอีกด้วย”   [caption id="attachment_54777" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption] [caption id="attachment_54778" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแผ่นเจลรองนั่งจากยางพาราแล้ว โดยผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางและกลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านการฆ่าเชื้อด้วยลำอิเล็กตรอน โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถร่วมวิจัยต่อยอดการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์เป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับการดูแลสรีระตามหลักการยศาสตร์ (ergonomics) ที่ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะทางมากขึ้นได้ ดร.ปณิธิ เล่าต่อว่า ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังจะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่อุปกรณ์การแพทย์สำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้นทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก รวมถึงเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบของประเทศไทย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในแผนการพัฒนาแล้ว เช่น แผ่นเจลรองนั่งและรองนอนสำหรับบรรเทาการเกิดแผลกดทับ โดยปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนของการสรรหางบประมาณสนับสนุนในการทำวิจัยรูปทรงของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและการทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) โดยอาสาสมัคร ส่วนอีกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง คือ แผ่นรองยืนฝึกการทรงตัวสำหรับการออกกำลังหรือกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อขาให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยร่วมกับกรมการแพทย์ “ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปยางด้วยวิธีการที่เป็นมิตรต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราของประเทศได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ รวมถึงมีส่วนช่วยเปิดตลาดและฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราด้วย เพราะหากทำได้สำเร็จจะส่งผลย้อนกลับมาสร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมยางพาราไทยได้เป็นอย่างดี” ดร.ปณิธิ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณเนตรชนก ปิยฤทธิพงศ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สวทช. อีเมล netchanp@mtec.or.th หรือ 0 2564 6500 ต่อ 4301       เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น