ผลการค้นหา :

รู้สู้ฝุ่นจิ๋ว PM2.5
Download File
NSTDA Infographic

อยู่ที่ไหน หลบยังไงไม่ให้โดนฟ้าผ่า
Download File Poster
อ่านบทความเต็มได้ที่นี่ >>ฟ้าผ่า...เรื่องที่คุณต้องรู้<< (1.2 MB)
NSTDA Infographic

รู้ไว้ใช่ว่า ฟ้าผ่าเกิดจากอะไร
Download File
NSTDA Infographic

Top 10 เทรนด์ ในการจัดการความรู้ (KM)
1. Social networking และ Social media
เว็บไซต์ Social network เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากในด้านการตลาดและการสื่อสาร ขณะนี้องค์ประกอบ Social media ถูกรวมเข้าไว้ในซอฟต์แวร์การจัดการความรู้ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. Enterprise Collaboration
การทำงานร่วมกันช่วยปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ แต่การเชื่อมโยงคนทำงานเข้าด้วยกันอาจเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการทำงานที่มีการแยกส่วนหรือการทำงานที่เป็นอิสระ ระบบความรู้มีการทำงานร่วมกันมากขึ้นเมื่อรวมเข้ากับอินทราเน็ตขององค์กร ระบบความรู้นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์เอกสารและติดต่อสื่อสารกันได้แบบเรียลไทม์
3. Search indexing
ฟังก์ชันการค้นหาในระบบการจัดการความรู้กำลังเติบโต แต่ขึ้นอยู่กับการจัดทำดัชนี (Indexing) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลและความรู้ตามต้องการ
4. Mobile technology
การผสมผสานเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับระบบการจัดการความรู้ช่วยประหยัดเวลาและเงิน เพราะว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด ก็สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการ
5. User engagement
ระบบการจัดการความรู้ในปัจจุบันมีความยืดหยุ่นและครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น ผู้ใช้สามารถแชร์สารสนเทศได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ในการจัดการความรู้เพิ่มขึ้น
6. Knowledge management and content creation
องค์กรสร้างเนื้อหาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับความต้องการข้อมูล การจัดการความรู้ช่วยองค์กรแชร์และบริหารจัดการเนื้อหาเมื่อถูกสร้างขึ้น ซอฟต์แวร์ระบบการจัดการความรู้ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการทำงานหลายอย่างในธุรกิจ
7. User-friendly interface
User interface ใหม่และมีประสิทธิภาพสำหรับระบบการจัดการความรู้ได้รับการออกแบบและทำให้ใช้งานง่ายขึ้นช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้ภายในองค์กร
8. Automatic updates
ซอฟต์แวร์การจัดการความรู้ควรมีการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอแบบอัตโนมัติ ผลดีที่ตามมาคือการเพิ่มผลิตผลขององค์กรเนื่องจากระบบการจัดการความรู้นั้นพร้อมหรือสามารถทำงานได้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง
9. Customer support integration
การสนับสนุนลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กร ซอฟต์แวร์การจัดการความรู้เป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แบบสำหรับการบริการลูกค้าเนื่องจากเป็นที่เก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบริการและผลิตภัณฑ์ ดังนั้น การบูรณาการระหว่างการสนับสนุนลูกค้าและระบบการจัดการความรู้ ช่วยให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
10. Customization
ไม่มีระบบการจัดการความรู้ระบบใดระบบหนึ่งที่จะเหมาะสมกับระบบการจัดการความรู้ทั้งหมด ดังนั้น ความสามารถในการปรับแต่งของระบบการจัดการความรู้ที่ตรงกับความต้องการของแต่ละองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ที่มา: Arrow Solutions Group. 10 Trends to Watch in Knowledge Management. Retrieved March 5, 2018, from https://www.arrowsolutionsgroup.com/blog/10-trends-watch-knowledge-management
การจัดการความรู้ (KM)

การจัดการความรู้ กรณีศึกษา Siemens AG
Siemens AG คือ กลุ่มบริษัทวิศวกรรมขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป และเป็นหนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Siemens AG ประกอบธุรกิจหลายประเภทรวมกัน แบ่งเป็น 6 ส่วนหลัก ได้แก่ ระบบอัตโนมัติและระบบควบคุม พลังงานไฟฟ้า ระบบขนส่ง การแพทย์ สารสนเทศและการสื่อสาร และระบบส่องสว่าง ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น รถไฟความเร็วสูง เครื่องเอ็กซ์เรย์ หลอดไฟ และอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้า เป็นต้น สำนักงานใหญ่ของ Siemens AG ตั้งอยู่ที่เมืองเบอร์ลินและมิวนิก ประเทศเยอรมนี
Siemens AG เริ่มให้ความสนใจการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) เพื่อต้องการให้เกิดการรวบรวมและแบ่งปันความรู้ของพนักงานในบริษัท ซึ่งมีมากกว่า 5 แสนคน ในสาขาในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากความรู้ส่วนใหญ่ขององค์กรกระจัดกระจาย และฝังอยู่ในหน่วยธุรกิจแต่ละหน่วยมากกว่าอยู่รวมกัน ณ จุดใดจุดหนึ่งขององค์กร ที่พนักงานทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อีกเหตุผล คือ ความกดดันจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทต้องการมองหากลยุทธ์ที่จะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการแข่งขันของบริษัท
ประมาณปี ค.ศ. 1996 Siemens AG ได้เริ่มศึกษาว่าจะนำ KM มาประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างไร โดยผู้จัดการระดับกลางของบริษัทริเริ่มพัฒนาชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practices: CoPs) ภายในองค์กรขึ้น เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องในการทำงาน โดยเฉพาะปัญหาที่มักพบในการทำงานที่คล้ายคลึงกัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1999 คณะผู้บริหารระดับสูงก็ตระหนักถึงความพยายามนี้ โดยได้มีการตั้งหน่วย KM ขององค์กรขึ้น จะเห็นได้ว่า KM ของ Siemens AG นั้นเริ่มจากพนักงานระดับกลางถึงล่าง (Bottom-up approach) ก่อน แล้วจึงเขยิบขึ้นไปยังผู้บริหารระดับสูงขององค์กร โดย KM roadmap และ ชุมชนนักปฏิบัติ ถูกสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร โดย ผลักดันให้บริษัทกลายเป็นองค์กรความรู้ ขยายกระบวนการสร้างและแบ่งปันความรู้ ทำให้ความรู้และแหล่งของความรู้สามารถมองเห็นได้ หลีกเลี่ยงแนวทาง KM แบบแยกส่วน ควบคุมเรื่องความปลอดภัยและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความรู้ รวมถึงวางแผนและมองหาการสนับสนุนสำหรับธุรกิจความรู้
กลยุทธ์ข้างต้นนี้มุ่งเน้น 3 เรื่อง คือ การสร้าง KM framework การรวมกลุ่มของพนักงานในองค์กร และการเปลี่ยนวิธีการทำงาน โดยเทคโนโลยีจัดเป็นเครื่องมือหนึ่งใน KM จากกลยุทธ์ นำไปสู่การลงมือปฏิบัติ คือ (1) การทำ Benchmark ภายใน การแบ่งปัน Best practices และการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากร (2) การตั้ง Virtual best practices ซึ่งประกอบด้วย ผู้นำ Practices, SMEs, Knowledge broker หรือ Knowledge manager และ Facilitator ซึ่งมีหน้าที่หลัก คือ กำหนด Best practices ภายในหน่วยธุรกิจหรือภายในฟังก์ชั่นของตน (3) ฟังก์ชั่นและบทบาทใหม่ถูกสร้างขึ้นภายในองค์กรเพื่อผลักดัน KM คือ KM office หรือ สำนักจัดการความรู้ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ความรู้องค์กรและผู้จัดการโครงการจัดการความรู้ขององค์กร KM board หรือ คณะกรรมการบริหารความรู้ ประกอบด้วย ผู้บริหารที่รับผิดชอบในการกำหนดทิศทางการจัดการความรู้ การพัฒนาวิธีการและกระบวนการจัดการความรู้ และการประสานงานเครือข่ายการจัดการความรู้ และ KM council หรือ สภาบริหารความรู้ ประกอบด้วย ตัวแทนการจัดการความรู้ (KM representative) สำหรับกลุ่มและภูมิภาค รวมถึง ผู้บริหารจัดการความรู้ (Chief Knowledge Officers: CKO)
KM เทคโนโลยีที่สำคัญของ Siemens AG คือ “ShareNet” ซึ่งเป็น คลังข้อมูล เสิร์ชเอนจิน และห้องสนทนากลางของพนักงาน นอกจากนี้ยังมีแบบฟอร์มออนไลน์ที่พนักงานสามารถป้อนความรู้ รวมไปถึงเอกสารโครงการที่คิดว่าอาจเป็นประโยชน์ เข้าสู่คลังฯ จากนั้นพนักงานคนอื่นๆ ก็สามารถค้นหาความรู้ที่ต้องการจากคลังฯ เมื่อพบรายการเรื่องที่ต้องการก็อาจติดต่อผู้เขียนสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โดย Siemens AG ใช้เงินลงทุนพัฒนา ShareNet ประมาณ 7.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ShareNet กลายเป็น Web-based KM System ของ Siemens AG ซึ่งพนักงานทั้งหมดของบริษัทที่กระจายตัวอยู่ในสำนักงานสาขาๆ ทั่วโลกสามารถสืบค้นและเข้าถึงความรู้ที่มีประโยชน์ต่อการทำงานได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความร่วมมือและการแข่งขันระดับโลก การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อ KM ใน Siemens AG นั้น ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องทุ่มความพยายามและลงแรงมากนัก แต่ประเด็นหลักที่พบ คือ การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change management)
ปัจจัยความสำเร็จของ KM ใน Siemens AG คือ (1) กำหนดความต้องการทางธุรกิจของบริษัทที่ชัดเจน (2) พัฒนา KM roadmap และ ชุมชนนักปฏิบัติ ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร (3) ริเริ่มและพัฒนากระบวนการ KM ด้วยการมีส่วนร่วมของพนักงานระดับกลางถึงล่าง (4) ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กร (5) กำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับ KM ในองค์กร (6) ฝึกอบรมพนักงานซึ่งเป็นผู้ใช้งานระบบที่เกี่ยวข้องกับ KM โดยโปรแกรมฝึกอบรมถูกออกแบบอย่างระมัดระวัง (7) ส่งเสริมและสนับสนุนการแบ่งปันความรู้ และ Best practices (8) ตอบแทนผู้ที่ผลิตและเผยแพร่ความรู้ในองค์กร โดยตัวอย่างประโยชน์ที่ได้รับ เช่น สามารถโฟกัสลูกค้ามากยิ่งขึ้น มูลค่าผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น รวมถึง สามารถเพิ่มยอดขาย และ ชนะสัญญาที่มีมูลค่าสูง โดยใช้ ShareNet
ที่มา:
1. Halawi, L., McCarthy, R., & Aronson, J. (2017). Success Stories in Knowledge Management System. Issue in Information Systems, 18(1). Retrieved April 30, 2018, from https://commons.erau.edu/publication/559
2. Knowledge Management at Siemens. Retrieved April 30, 2018, from http://www.kmbestpractices.com/siemens.html
การจัดการความรู้ (KM)

การใช้พืชที่ถูกต้องสามารถลดมลพิษภายในอาคารและประหยัดพลังงาน
พืชดูดซับสารพิษและสามารถทำให้คุณภาพอากาศภายในอาคารดีขึ้น แต่น่าแปลกรู้น้อยเกี่ยวกับพืชอะไรดีที่สุดสำหรับงานนั้นและพวกเราสามารถทำให้พืชทำหน้าที่ดีกว่าในอาคารอย่างไร ใน Review เผยแพร่เมื่อ 19 เมษายน ในวารสาร Trends in Plant Science Frederico Brilli นักสรีรวิทยาพืชของ the National Research Council of Italy Institute for Sustainable Plant Protection และคณะสรุปว่าความรู้ที่ดีกว่าของสรีรวิทยาพืชรวมกับเทคโนโลยีเซ็นเซอร์อัจฉริยะควบคุมการทำความสะอาดอากาศสามารถทำให้คุณภาพอากาศภายในอาคารดีขึ้นในทางประหยัดค่าใช้จ่ายและยั่งยืน พืชทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นโดยหลายกลไก ได้แก่ ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนผ่านการสังเคราะห์แสง เพิ่มความชื้นโดยปล่อยไอน้ำออกมาผ่านรูขนาดเล็กของใบ และสามารถดูดซับสารพิษแบบ passive บนผิวนอกของใบและด้วยระบบราก-ดินพืช แต่พืชตามปกติถูกเลือกสำหรับการใช้ในอาคารไม่ใช่เพื่อความสามารถในการทำให้อากาศบริสุทธิ์แต่สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกและความสามารถที่อยู่รอดได้โดยต้องการการดูแลน้อย Brilli กล่าวว่า ส่วนใหญ่ของพวกเราพืชเป็นเพียงสิ่งตกแต่ง ให้ความสวยงาม แต่ยังมีสิ่งอื่นอีก อย่างน่าแปลกมีงานวิจัยน้อยทำเพื่อบอกปริมาณผลของชนิดของพืชต่างๆ ต่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร NASA บุกเบิกงานในปี 1980s แต่ใช้วิธีการทดลองที่ง่าย การศึกษาด้วยวิธีการวิจัยที่ยุ่งยาก ทันสมัย และการสร้างแบบจำลองยังไม่ได้ดำเนินการ งานวิจัยในอนาคตจำเป็นที่ต้องบ่งชี้ลักษณะของชนิดของพืชที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมภายในอาคาร รวมด้วยรูปร่าง (รูปร่างและขนาดของใบ) กายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยา ตาม Brilli การศึกษานั้นสามารถแสดงวิธีปรับการใช้พืชภายในอาคารให้เหมาะสม ในเรื่องพืชจำนวนเท่าไรต่อตารางเมตรที่ต้องการเพื่อลดมลพิษในอากาศด้วยระดับที่แน่นอน งานวิจัยยังต้องการเข้าใจจุลินทรีย์พืช (ประชากรจุลินทรีย์ (แบคทีเรียและรา) ซึ่งอาศัยกับพืชทั้งในดินและบนผิวใบไม้) จุลินทรีย์นี้มีส่วนในการกำจัดสารพิษในอากาศ แต่การมีส่วนร่วมของชนิดต่างๆ ของจุลินทรีย์เพื่อกำจัดสารพิษปัจจุบันยังไม่รู้ จุลินทรีย์บางตัวยังสามารถมีผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพของคน คือทำให้เกิดภูมิแพ้และปัญหาการอักเสบของปอด ดังนั้นการรู้วิธีบ่งชี้และหลีกเลี่ยงจุลินทรีย์เหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญ Brilli กล่าวว่านักสรีรวิทยาพืชควรทำงานร่วมกับสถาปนิกเพื่อทำให้ภายในอาคารสีเขียวดีขึ้น ที่มา: Cell Press (2018, April 19). Using the right plants can reduce indoor pollution and save energy. ScienceDaily. Retrieved April 25, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/04/180419131121.htm
นานาสาระน่ารู้

ฐานข้อมูลข้าวและชาวนาไทย
ฐานข้อมูลข้าวและชาวนาไทย : http://agkb.lib.ku.ac.th/rice คือ ฐานข้อมูลที่แสดงบทความรู้เรื่องข้าว ชาวนาไทย และความรู้ในการพัฒนาพันธุ์ข้าว รวบรวมข้อมูลทั้งที่เป็นหนังสือ ตำรา เอกสารประกอบการสอน และบทความในหนังสือ บทความในวารสาร ผลงานวิจัย พัฒนาโดยศูนย์สนเทศทางการเกษตรแห่งชาติ ศูนย์ประสานงานสารนิเทศ สาขาเกษตรศาสตร์ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฐานข้อมูลนี้ สามารถสืบค้นข้อมูลด้านเกษตรทั่วไป กระบวนการผลิต การแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร พร้อมให้บริการหนังสือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์และสื่อความรู้ด้านข้าวและชาวนาไทย ฐานข้อมูลแสดงข้อมูลสถิติ Top 10 ได้แก่ เรื่องที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด เรื่องที่มีผู้ดาวน์โหลดมากที่สุด ผู้แต่งที่มีผลงานมากที่สุด คำค้นที่มีการค้นหามากที่สุด ภาพที่ 1 แสดงหน้าหลักของเว็บไซต์ ฐานข้อมูลข้าวและชาวนาไทย ภาพที่ 2 แสดงหน้าหลักของเว็บไซต์ ฐานข้อมูลข้าวและชาวนาไทย การสืบค้นข้อมูล ประกอบด้วย ผลงานทั้งหมด หมวดของข้อมูล ผลงานที่ได้รับความนิยม ผลงานล่าสุด ประเภทเนื้อหา ประเภทเอกสาร จำนวนผลงานจำแนกตามประเภทเอกสาร จำนวนผลงานจำแนกตามปีที่เผยแพร่ จำนวนผลงานจำแนกตามหมวดข้อมูล จำนวนผลงานจำแนกตามประเภทเนื้อหา ภาพที่ 3 แสดงตัวอย่างการสืบค้นแบบเบื้องต้น (Basic Search) โดยใช้คำว่า ข้าวเหนียว ตัวอย่างขั้นตอนการสืบค้นแบบเบื้องต้น ดังนี้ 1. ใช้คำค้น พิมพ์คำว่า ข้าวเหนียว 2. คลิก คำว่า ค้นหา ตัวอย่างขั้นตอนการสืบค้นแบบขั้นสูง ดังนี้ 1. ใช้คำค้น พิมพ์คำว่า ข้าวเหนียว ใช้คำเชื่อม OR 2. คำค้น พิมพ์คำว่า ข้าวเจ้า 3. คลิก คำว่า ค้นหา ภาพที่ 5 ผลการค้นหาจากคำว่า ข้าวเหนียว หรือข้าวเจ้า ดังนี้ พบรายการที่ค้นจาก ข้าวเหนียว หรือข้าวเจ้า เป็นประเภทบทความในหนังสือ ซึ่งจะเห็นว่าแสดง ปีที่พิมพ์ ชื่อเอกสาร ฯลฯ ให้คลิกคำว่า เพิ่มเติม จะไปปรากฏหน้าจอ ดังภาพที่ 6 ภาพที่ 6 จะพบว่า เป็นการแสดงรายละเอียดของผลการสืบค้น ดังนี้ พบว่า เป็นการแสดงชื่อเอกสาร ที่มีคำว่า ข้าวเหนียว หรือข้าวเจ้าเข้าอยู่ในเนื้อหาด้วย หากต้องการบทความนี้ สามารถพิมพ์จากหน้าจอนี้ได้ หรือต้องการส่งถึงอีเมลตนเองก็ทำได้ก็สามารถทำได้ ภาพที่ 7 จะพบว่า เป็นการแสดงข้อมูลสถิติ Top 10 ในเรื่องที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด
นานาสาระน่ารู้

5 ความท้าทายเกี่ยวกับการจัดการความรู้ในองค์กรขนาดใหญ่
บริษัท Infosys ได้เสนอ 5 ความท้าทายหลัก เกี่ยวกับการจัดการความรู้ หรือ KM (Knowledge Management) ที่องค์กรระดับโลกขนาดใหญ่เผชิญ ซึ่ง 5 ความท้าทาย ที่ว่า ประกอบด้วย
1. ขาดการกำหนดมาตรฐานในการรวบรวม และจัดเก็บสารสนเทศ
องค์กรขาดการกำหนดมาตรฐาน และแม่แบบ (Template) สำหรับสร้าง รวบรวม และจัดเก็บสารสนเทศ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการบริหารจัดการความรู้ที่มีอยู่ นอกจากนี้ การขาดการกำหนดอนุกรมวิธาน (Taxonomy) ของหัวข้อองค์ความรู้องค์กรอย่างชัดเจน ทำให้พนักงานเกิดความลำบากในการค้นหาสารสนเทศที่ต้องการ การกำหนดอนุกรมวิธาน (Taxonomy) ของหัวข้อองค์ความรู้องค์กรอย่างชัดเจน ช่วยระบุหัวข้อองค์ความรู้องค์กรได้ครบถ้วน และสมบูรณ์ ช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ขององค์ความรู้องค์กร และช่วยในการจัดเก็บ รวบรวม สืบค้น และเข้าถึงองค์ความรู้องค์กรด้วยมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร
2. มีรูปแบบการทำงานแบบไซโล (Silo) หรือการทำงานแบบแยกส่วน
องค์กรระดับโลกขนาดใหญ่มีการปรับขนาดและรูปแบบการดำเนินงาน หนึ่งในรูปแบบของการทำงานนั้น คือ การทำงานแบบไซโล (Silo) หรือการทำงานแบบแยกส่วน โดยเฉพาะองค์กรที่มีสาขาหรือพนักงานในต่างประเทศ ซึ่งมีเขตเวลา และเขตภูมิประเทศที่แตกต่างกัน การทำงานแบบแยกส่วนข้ามเขตเวลา และเขตภูมิประเทศ อาจทำให้พนักงานแต่ละทีมรู้เพียงเฉพาะเรื่อง หรือ เกิดการกระจัดกระจายของสารสนเทศ และความรู้ขององค์กร แทนที่จะถูกรวบรวมไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่งขององค์กร ที่พนักงานทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา อย่างสะดวก และรวดเร็ว พนักงานยอมรับว่า ทีมของพวกเขามีความรู้เฉพาะในสิ่งที่ทีมของเขาทำ และพวกเขายังขาดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางธุรกิจ หรือกระบวนการทำงานทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้พวกเขาขาดความรู้ และไม่เห็นภาพใหญ่ของธุรกิจ หรืองานที่ทำ นอกจากนี้ พนักงานยังเจอปัญหาเรื่องการค้นหาสารสนเทศ และผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการทำงานแบบไซโล (Silo) หรือการทำงานแบบแยกส่วน
3. ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีอย่าไม่มีประสิทธิภาพ
องค์กรขนาดใหญ่มักมีเครื่องมือมากมาย ซึ่งถูกจัดหาไว้เพื่อตอบสนองความต้องการในการดำเนินงานของพนักงาน โดยส่วนใหญ่มักเป็นการรองรับหน่วยธุรกิจหนึ่งๆ ในองค์กร หรือสาขาหนึ่งๆ ขององค์กร ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของจำนวนเครื่องมือซึ่งถูกจัดหาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะ ผลที่ตามมาคือ องค์กรขาดเครื่องมือการจัดการความรู้กลางสำหรับองค์กร ทำให้เกิดข้อจำกัดในการสืบค้น และเข้าถึงสารสนเทศของพนักงานทั้งหมดภายในองค์กร นอกจากนี้ยังพบว่า องค์กรไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความสามารถในการทำการรายงาน และการดำเนินงานร่วมกันของเครื่องมือที่มีใช้งานอยู่แล้ว รวมถึงประเด็นข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงเครื่องมือ โดยความรู้มักฝังอยู่ในเครื่องมือในหน่วยธุรกิจ หรือสาขาหนึ่งๆ ขององค์กร ทำให้เกิดข้อจำกัดเรื่องการแบ่งปันความรู้ภายในองค์กร
4. ใช้ Best practice ในบางพื้นที่ หรือบางกลุ่มเพียงเท่านั้น
ในองค์กรขนาดใหญ่นั้น Best practice ของการจัดการความรู้ขององค์กร มักถูกนำไปศึกษา เรียนรู้ และประยุกต์ใช้โดยทีมงานเพียงบางทีม และในพื้นที่เพียงบางพื้นที่เท่านั้น นอกจากนี้ Best practice ดังกล่าว ไม่ได้ถูกยกขึ้นเป็นทางการ หรือนำมาควบคุมใช้ภายในองค์กรอย่างจริงจัง ทำให้ Best practice นั้น ถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มทำงานกลุ่มเล็กๆ ในพื้นที่หนึ่งๆ ขององค์กรเพียงเท่านั้น
5. ลดความสนใจในเอกสาร
เนื่องจากเวลาการทำงานที่แน่น และรัดตัว ทำให้พนักงานลดความสนใจในเอกสาร ในทำนองเดียวกัน การใช้เครื่องมือออนไลน์ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ ทำให้พนักงานลดความสนใจในเอกสาร ส่งผลต่อการเก็บรวบรวมความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit knowledge) และการแบ่งปันความรู้
ความท้าทายทั้ง 5 สะท้อนถึงรูปแบบวิธีการดำเนินงาน และการบริหารงานภายในองค์กรที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการทำงานของพนักงาน และการบริหารจัดการความรู้ เพื่อนำความรู้องค์กรที่รวบรวม มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานขององค์กร เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และเพื่อบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงานขององค์กรที่ได้ตั้งไว้
ที่มา: Infosys. (2017). Knowledge Management in a Globally Distributed Organization. Retrieved April 11, 2018, from https://www.infosys.com/consulting/features-opinions/Documents/globally-distributed-organization.pdf
การจัดการความรู้ (KM)
โครงการพัฒนาเครือข่ายระบบห้องสมุดในประเทศไทย (ThaiLIS)
ThaiLIS (Thai Library Integrated System) โครงการพัฒนาเครือข่ายระบบห้องสมุดในประเทศไทย (ThaiLIS) เป็นการดำเนินการเชื่อมโยงเครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนกลาง (Thai Library Network - Metropolitan : Thailinet) เครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค (Provincial University Library Network : Pulinet) และสำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกันบนเครือข่าย UniNet เพื่อให้การจัดบริการสารสนเทศมีความครบถ้วนสมบูรณ์และรวดเร็วยิ่งขึ้น เกิดระบบการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ThaiLIS http://tdc.thailis.or.th/tdc เป็นโครงการที่เน้นการให้บริการข้อมูลฉบับเต็มในรูปอิเล็กทรอนิกส์ของวิทยานิพนธ์ รายงานการวิจัย บทความวิชาการ และอื่นๆ เพื่อใช้สำหรับสนับสนุนการศึกษา การค้นคว้า วิจัย และการเผยแพร่ผลงานของ นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และเจ้าของผลงานต่างๆ ห้ามมิให้นำผลงานเหล่านี้ไปใช้แสวงหาประโยชน์ทางด้านการค้า หรืออื่นใด นอกเหนือจากการใช้เพื่อการศึกษาพัฒนาประเทศเท่านั้น และจะต้องอ้างอิงถึงเจ้าของผลงานเหล่านี้ทุกครั้ง ThaiLIS สามารถสืบค้นวิทยานิพนธ์ รายงานวิจัย บทความวิชาการ จากฐานข้อมูลของห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนกลาง (Thai Library Network - Metropolitan: Thailinet) ห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค (Provincial University Library Network: Pulinet) และทบวงมหาวิทยาลัยที่เข้าโครงการนี้ หากต้องการโหลดเอกสารฉบับเต็มจำเป็นต้องมีการลงทะเบียนเพื่อสมัครสมาชิกก่อน ภาพที่ 1 เว็บไซต์ของโครงการ ThaiLIS เพื่อให้สามารถดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มในรูปแบบไฟล์ PDF ได้ ผู้ใช้จำเป็นต้องลงทะเบียนเพื่อสมัครสมาชิกก่อน แต่หากต้องการค้นหาเบื้องต้นรวมถึงต้องการดูแค่บทคัดย่อ ก็สามารถค้นหาก่อนได้เลยโดยไม่ต้องลงทะเบียน ภาพที่ 2 แสดงการเป็นสมาชิกต้องลงทะเบียนก่อนเพื่อสามารถโหลดเอกสารฉบับเต็มได้ ภาพที่ 3 แสดงหน้าต่างสำหรับการค้นหาเบื้องต้น (Basic Search) สำหรับการค้นหา หากต้องการค้นหาอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานสามารถเลือกที่จะใช้การค้นหาแบบ Basic Search ได้ตามภาพที่ 3 ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ดี ได้ข้อมูลจำนวนมาก ภาพที่ 4 แสดงหน้าต่างสำหรับการค้นหาขั้นสูง (Advanced Search) แต่หากต้องการค้นหาอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และตัดข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป เช่นช่วงปีที่ต้องการ ผู้ใช้สามารถเลือกเป็นการค้นหาแบบ Advanced Search ตามภาพที่ 4 การค้นหาลักษณะนี้จะทำให้ผู้ใช้งานกรองเอาเฉพาะข้อมูลที่สนใจได้ และไม่เสียเวลาไปกับข้อมูลที่ล้าสมัย ภาพที่ 5 เป็นตัวอย่างการสืบค้นคำว่า “ข้าวเจ้า”เริ่มต้นด้วยใส่คำค้นที่หมายเลข 1 ใส่คำค้นว่า ข้าวเจ้าตามหมายเลข 2 เลือกขอบเขตการค้นหาเลือกเป็น ทุกเขตข้อมูลตามหมายเลข 3 เลือกทุกมหาวิทยาลัย/สถาบันหมายเลข 4 เลือกเป็นเอกสารทุกชนิด ตามหมายเลข 5 และเลือกปีตั้งต้นและสุดท้าย และ 6 ตามลำดับ จากนั้นจึงกดค้นหาที่ หมายเลข 7 ภาพที่ 6 ผลการค้นหาที่ปรากฏเมื่อค้นหาคำว่า “ข้าวเจ้า” หมายเลข 1 ผลการค้นหามีจำนวน 363 รายการ หมายเลข 2 แยกตามชนิดเอกสาร หมายเลข 3 ผลการค้นหาถัดไป หมายเลข 4 แยกตามหน่วยงาน และหมายเลข 5 แยกตามปีที่สร้างเอกสาร ภาพที่ 7 แสดงผลรายละเอียดของเอกสาร ภาพที่ 7 เมื่อคลิกเลือกรายการที่ต้องการ จะปรากฏรายละเอียดข้อมูลของเอกสารนั้นๆ รวมถึงสามารถดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มในรูปแบบไฟล์ PDF ได้อีกด้วย หากทำการลงทะเบียนไว้แล้ว สามารถติดต่อขอใช้บริการได้ที่ http://tdc.thailis.or.th/tdc ThaiLIS is Thailand Library Integrated System สนับสนุนโดย สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 328 ถ.ศรีอยุธยา แขวง ทุ่งพญาไท เขต ราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร. 0-2354-5678 โทรสาร. 0-2354-5678 ต่อ 7100
นานาสาระน่ารู้

นักวิทยาศาสตร์ตัดต่อพืชเพื่อประหยัดน้ำ ต่อต้านความแห้งแล้ง
เป็นครั้งแรก คณะนักวิจัยจาก Carl R. Woese Institute for Genomic Biology University of Illinois at Urbana-Champaign ทำให้วิธีพืชใช้น้ำดีขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์โดยไม่มีผลต่อผลผลิตโดยเปลี่ยนการแสดงออกของหนึ่งยีนซึ่งพบได้ในพืชทั้งหมด ได้รายงานในวารสาร Nature Communications งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยนานาชาติที่ชื่อ Realizing Increased Photosynthetic Efficiency (RIPE) คณะนักวิจัยได้เพิ่มระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องในขบวนการสังเคราะห์แสง (PsbS) เพื่อประหยัดน้ำโดยทำให้ช่องเปิด (stomata) ของพืชปิดเป็นบางส่วน ช่องเปิดนั้นในใบทำให้น้ำผ่านออก เมื่อช่องเปิดเปิด คาร์บอนไดออกไซด์จะผ่านเข้าไปในพืชเพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง แต่น้ำจะผ่านออกมาด้วยขบวนการคายน้ำ คณะนักวิจัยทำให้ประสิทธิภาพการใช้น้ำของพืชดีขึ้น (อัตราส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านเข้าพืชต่อน้ำผ่านออก) โดย 25 เปอร์เซ็นต์โดยไม่มีผลต่อการสังเคราะห์แสงหรือผลผลิต งานวิจัยนี้ส่งเสริมงานก่อนหน้านี้ ซึ่งเผยแพร่ในวารสาร Science ซึ่งแสดงว่า การเพิ่มขึ้นของ PsbS และโปรตีนอื่นอีก 2 ชนิด สามารถทำให้การสังเคราะห์แสงดีขึ้นและเพิ่มผลผลิตโดย 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้คณะนักวิจัยวางแผนที่จะรวมประโยชน์จากการศึกษาทั้งสองนี้เพื่อทำให้การผลิตและการใช้น้ำดีขึ้นโดยทำให้เกิดสมดุลการแสดงออกของโปรตีนทั้ง 3 ชนิดนี้ ในการศึกษาครั้งนี้ คณะนักวิจัยใช้ต้นยาสูบเพื่อทดสอบสมมุติฐาน ซึ่งเป็นต้นแบบพืชซึ่งง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงและเร็วในการทดสอบกว่าพืชอื่นๆ ขณะนี้คณะนักวิจัยจะประยุกต์การค้นพบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำของพืชที่เป็นอาหารและทดสอบประสิทธิภาพในสภาพที่น้ำถูกจำกัด ที่มา: Carl R. Woese Institute for Genomic Biology, University of Illinois at Urbana-Champaign (2018, March 6). Scientists engineer crops to conserve water, resist drought. ScienceDaily. Retrieved March 14, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/03/180306115814.htm
นานาสาระน่ารู้
สรุปกรณีร้อน FACEBOOK กับการโดนล้วงข้อมูลกว่า 50 ล้านรายชื่อ
16 มีนาคม 2561 Mark Zuckerberg โดนโจมตีอย่างหนักจากกรณีที่ทั่วโลกต่างตำหนิ FACEBOOK ในประเด็นร้อนจากการรายงานของเว็บไซต์ theguardian ที่ตีแผ่รายงานของบริษัท Cambridge Analytica ว่าสามารถนำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ใน FACEBOOK กว่า 50 ล้านราย ไปวิเคราะห์ความชอบ แนวคิด เรื่องส่วนตัว และสร้างกลไกส่งข้อมูลอันนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางการตลาดและการเมืองเพื่อผลประโยชน์แอบแฝงหรือถึงขั้นเปลี่ยนแปลงแนวคิดหรือสร้างความแตกแยกได้เลยทีเดียว ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิด แคมเปญแฮชแท็กร้อนในโลกโซเชียล ได้แก่ #deletefacebook ส่งผลให้หุ้น FACEBOOK ตกทันทีมากกว่า 7% แต่ก็ไม่ได้มีการตอบโต้ใด ๆ จาก Mark Zuckerberg ต่อมา ในวันที่ 21 มีนาคม 2561 สำนักข่าว CNN ก็กระจาย Breaking News สัมภาษณ์ Mark Zuckerberg โดย Mark แสดงความเสียใจ และกล่าวว่า"การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้เป็นเรื่องปกติที่เราตระหนัก ถ้าเราทำไม่ได้เราก็ไม่ควรจะนำมาให้ผู้ใช้ได้ใช้งาน" เป็นการยอมรับแบบมีนัยยะ โดยนัยยะดังกล่าวมีการสรุปอย่างน่าสนใจผ่านคลิปนี้ครับ ดูคลิปเต็มที่นี่ครับ https://www.facebook.com/verge/videos/1759531047416564/ โดยคลิปนี้ นาย CASEY NEWTON เป็นผู้เรียบเรียงนำเสนอ ใจความโดยสรุปนั้น น่าตกใจมาก กล่าวคือ โดยความจริงแล้ว ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเก็บไว้ตั้งแต่ปี 2014 ผ่านแอพ ที่ชื่อว่า "thisisyourdigitallife" โดย นาย Alekdandr Kogan ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของ University of Cambridge ซึ่ง APP ดังกล่าวจะขอให้ผู้ใช้ยินยอมในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้รวมถึงเพื่อนของผู้ใช้ได้อีกด้วย ! โดยการใช้แอพ ดังกล่าวมีผู้ใช้เพียง 2.7 แสนราย แต่โปรแกรมสามารถดึงข้อมูลเพื่อนผู้ใช้มาได้ทั้งสิ้น รวม 50 ล้านรายชื่อ !! และข้อมูลดังกล่าวก็ได้นำมาถึงบริษัท Cambridge Analytica ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวอ้างว่า ไม่มีการระบุตัวตน ของผู้ใช้ในข้อมูลนี้ก็ตาม แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ ? ในคลิปได้มีการพูดกรณีตัวอย่าง เช่นการเลือกตั้งของประธานาธิบดีสหรัฐ ที่เลือกการนำเสนอแบบไม่เป็นไปตามที่ควรเป็นต้น ในปี 2014 ทาง FACEBOOK เองทราบปัญหานี้จึงได้ทำการตกลงกับ Kogan และ Cambridge Analytica ให้ทำการลบข้อมูลดังกล่าวทิ้ง แต่ในความจริง ทั้งสองต้นทางของปัญหาก็ไม่ได้ลบอย่างที่ตกลง นั่นจึงทำให้เกิดปัญหาในวันนี้ และทำให้โลกโซเชียลเกิดความไม่พอใจและตั้งแฮชแท็ก #deletefacebook ดังกล่าว อย่างไรก็ตามในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ทาง Mark Zuckerberg ก็ได้ออกมาตอกย้ำถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงปรับปรุงการ feed ข้อมูลที่จะเป็นสิ่ง "จริง" มากกว่า "เท็จ" ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงจะไม่เพิ่มเติมข้อมูลเพื่อนรอบข้างคุณให้มากมายหรืออาจจะหยุดในสิ่งที่คุณไม่สนใจให้คุณสบายใจขึ้น และแน่นอนว่าจะต้องตัดบางส่วนที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาออกไปจากการเข้าถึงข้อมูลของคุณ ซึ่งนั่นทำให้นักพัฒนาเกิดความระส่ำระสายอย่างหนักกับแอพที่ได้พัฒนาหรือที่จะจัดทำในอนาคต คำถามสำคัญจากวันนี้ที่ Mark จะต้องตอบโลกให้ได้คือ เราจะ เชื่อมั่น ใน FACEBOOK ได้อย่างไร ส่วนคำถามที่ผู้เขียนอยากจะถามคุณก็คือ คุณจะป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณจากโลกโซเชียลได้อย่างไร นี่ยังคงเป็นคำถามและคำตอบที่สำคัญสำหรับคุณ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่โลกโซเชียลออนไลน์ เพราะเหรียญมีสองด้านเสมอ เลือกใช้ด้านที่เป็นประโยชน์อย่างรู้เท่าทันกันนะครับ
นานาสาระน่ารู้

แบตเตอรี่ลิเทียมสามารถทำงานได้ที่ -70 องศาเซลเซียส
คณะนักวิจัยจากจีนได้พัฒนาแบตเตอรี่ที่มีขั้วไฟฟ้าเป็นสารประกอบอินทรีย์สามารถทำงานได้ที่ -70 องศาเซลเซียส เย็นกว่ามากกว่าอุณหภูมิซึ่งแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสูญเสียความสามารถส่วนใหญ่ที่จะนำและเก็บพลังงาน การค้นพบนี้เผยแพร่เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ในวารสาร Joule สามารถช่วยวิศวกรพัฒนาเทคโนโลยีเหมาะสำหรับอากาศที่เย็นที่สุดของอวกาศหรือบริเวณที่เย็นจัดที่สุดบนโลก ในขณะที่แบตเตอรี่ทั่วไปสามารถทำงานในอากาศที่เย็น แต่มีข้อจำกัด ส่วนใหญ่ทำงานได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์ของระดับที่เหมาะสมเมื่อมีอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส และที่ -40 องศาเซลเซียส แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนมีความสามารถประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ของความสามารถที่อุณหภูมิห้อง มีข้อจำกัดมากขึ้นเมื่อให้แบตเตอรี่ทำงานในอวกาศซึ่งมีอุณหภูมิถึง -157 องศาเซลเซียส หรือทำงานในแคนาดาและรัสเซียซึ่งสามารถมีอุณหภูมิต่ำกว่า -50 องศาเซลเซียส แต่คณะนักวิจัยค้นพบรูปแบบซึ่งสามารถทำงานได้แม้แบตเตอรี่อื่นไม่สามารถทำงาน ดร. Yong-yao Xia หนึ่งในคณะนักวิจัยกล่าวว่า เป็นที่รู้กันดีว่าทั้งอิเล็กโทรไลต์ (ตัวกลางทางเคมีซึ่งมีไอออนระหว่างขั้วไฟฟ้า) และขั้วไฟฟ้า (แคโทดมีประจุบวกและแอโนดมีประจุลบ) มีผลอย่างมากต่อการทำงานของแบตเตอรี่ เมื่ออากาศเย็นอิเล็กโทรไลต์ทั่วไปที่ใช้เอสเทอร์ (ester) ที่ใช้บ่อยๆ ในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนกลายเป็นตัวนำที่เฉื่อยและปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าซึ่งเกิดขึ้นที่รอยต่อของอิเล็กโทรไลต์และขั้วไฟฟ้าพยายามจะดำเนินต่อ หมายความว่าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนทำงานได้ไม่ดีในอากาศที่เย็นมาก คณะนักวิจัยได้ทำการทดลองโดยใช้อิเล็กโทรไลต์ที่ใช้เอสเทอร์ (เอทิล อะซิเตท, ethyl acetate) ซึ่งมีจุดเยือกแข็งต่ำซึ่งทำให้สามารถนำประจุแม้แต่ที่อุณหภูมิต่ำมาก สำหรับขั้วไฟฟ้า คณะนักวิจัยใช้ 2 สารประกอบอินทรีย์ ได้แก่ขั้วแคโทดเป็น polytriphenylamine (PTPAn) และขั้วแอโนดเป็น 1,4,5,8-naphthalenetetracarboxylic dianhydride (NTCDA)-derived polyimide (PNTCDA) Xia กล่าวว่าข้อดีจากการใช้อิเล็กโทรไลต์ที่ใช้ ethyl acetate และขั้วไฟฟ้าที่เป็นโพลิเมอร์อินทรีย์ ทำให้แบตเตอรี่ที่ recharge ได้นั้นสามารถทำงานได้ดีที่อุณหภูมิต่ำมากที่ -70 องศาเซลเซียส ที่มา: Cell Press (2018, February 28). A lithium battery that operates at -70 degrees Celsius, a record low. ScienceDaily. Retrieved March 14, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/02/180228131132.htm
นานาสาระน่ารู้