ผลการค้นหา :
10 Technologies to Watch 2024: ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility)
การใช้งานรถยนต์ของผู้คนในหลายประเทศทั่วโลกกำลังทยอยปรับเปลี่ยนจากรถสันดาปภายในสู่รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มลงทุนวิจัย 'รถพลังงานไฮโดรเจน' เพื่อมุ่งสู่การผลิตยานยนต์ทางเลือกแห่งอนาคตแล้ว
ปัจจุบันยานยนต์ที่ใช้งานอยู่ทั่วไปมี 2 รูปแบบหลัก รูปแบบแรกคือรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine, ICE) หรือรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน รูปแบบที่สองคือยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle, EV) หรือรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งการใช้พลังงานทั้ง 2 รูปแบบก็มีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
การใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะทำเกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อน รวมถึงยังปล่อยมลพิษทางอากาศ เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx), คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) สารอินทรีย์ระเหยง่ายหรือ VOCs ส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิง แม้จะมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็ขึ้นอยู่กับที่มาของพลังงานไฟฟ้าด้วยว่าเป็นพลังงานสะอาดหรือพลังงานที่ผลิตจากเชื้อเพลิงประเภทถ่านหิน
จากเหตุผลนี้ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ของโลกจึงเริ่มหันมาลงทุนวิจัยด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฮโดรเจน เพราะสิ่งที่ยานยนต์ประเภทนี้จะปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมขณะขับเคลื่อนมีเพียงไอน้ำเท่านั้น
ด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง ทำให้มีผู้คนจำนวนมากคาดหวังว่าพลังงานไฮโดรเจนจะเป็นทางเลือกที่ช่วยปิดช่องว่างร้อยละ 20 ของการก้าวสู่ Net-Zero ของภาคการขนส่งขนาดใหญ่และการป้อนไฟฟ้าให้ภาคอุตสาหกรรมได้
โดยหากพิจารณาทางด้านศักยภาพการผลิตของประเทศไทย จะพบว่าไทยมีศักยภาพอย่างยิ่งในการผลิตไบโอไฮโดรเจน (Biohydrogen) เพราะมีฐานด้านเกษตรกรรมและมีสารตั้งต้นจากก๊าซมีเทนในมูลสัตว์หรือชีวมวลปริมาณมาก การผลิตด้วยสารตั้งต้นเหล่านี้จะทำให้ได้บลูไฮโดรเจน (Blue Hydrogen) หรือไฮโดรเจนที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้ ซึ่งมีราคาถูกกว่าการผลิตกรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen) ซึ่งใช้วิธีการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้หากประเทศไทยใช้เทคโนโลยีบลูไฮโดรเจนร่วมกับการกักเก็บคาร์บอนหรือ CCS (Carbon Capture and Storage) ก็จะช่วยให้กระบวนการผลิตมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้มากยิ่งขึ้นอีก
ทั้งนี้ประเทศไทยยังมีปัจจัยเสริมด้านอื่น ๆ ที่จะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ประสบความสำเร็จได้อีก เช่น มีความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งก๊าซ มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ และมีมาตรการความปลอดภัยระดับอุตสาหกรรมที่ชัดเจน ส่วนปัจจัยเสริมระดับโลกที่จะผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานไฮโดรเจนมากขึ้น คือ การคิดค่าปรับคาร์บอนหรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปที่เริ่มบังคับใช้ในบางกลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว ดังนั้นหากไทยผลิตพลังงานไฮโดรเจนเพื่อใช้งานภายในประเทศได้ก็จะมีส่วนช่วยลดค่าปรับ
หากมองในภาพรวมจะพบว่าพลังงานไบโอไฮโดรเจนมีจุดแข็งถึง 3 ด้าน คือ ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ และใช้ขายเป็นคาร์บอนเครดิตได้
เมื่อปลายปี 2022 (พ.ศ. 2565) มีอีกหนึ่งก้าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ที่น่าจับตา คือ การประกาศความร่วมมือระหว่าง PTT–OR–Toyota–BIG ที่จะเปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV) ขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย
ข่าว
บทความ
“ไทยสุข” แอปฯ คู่ใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยให้มี “สุขภาพดี”
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ได้กลายเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของประชากรทั่วโลก โรคเหล่านี้มักเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารและวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่มักต้องทำงานเร่งรีบและแข่งกับเวลา ตัวอย่างโรค NCDs เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคไต ซึ่งล้วนเป็นภัยสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าโรค NCDs จะเป็นภัยที่น่ากลัว แต่เรายังสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ไทยสุข (ThaiSook)” เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยงการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยกิจกรรมการแข่งขันแบบออนไลน์ และระบบการโค้ชแบบไฮบริด ทำให้ผู้ใช้สามารถดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น
“ไทยสุข” ช่วยให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องสนุก
เราจะเห็นได้ว่าโรค NCDs แทบทุกโรค ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการกินยา และต้องรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งบางโรคยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก เช่น ผู้ป่วยโรคไตที่ต้องฟอกไตมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยถึง 200,000 บาทต่อคนต่อปี อย่างไรก็ตาม สาเหตุของโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และการรักษาให้หายขาดก็ยังมีความเป็นไปได้จากการค้นหาพฤติกรรมต้นเหตุ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคเหล่านี้ตั้งแต่แรก ซึ่งหลายคนมักล้มเหลวในการดูแลสุขภาพเพราะคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก น่าเบื่อ และขาดแรงจูงใจ แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อใช้แอปพลิเคชัน “ไทยสุข”
[caption id="attachment_61406" align="aligncenter" width="800"] ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ[/caption]
ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ นักวิจัยจากกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และทีมวิจัยได้พัฒนาและออกแบบแอปพลิเคชัน ‘ไทยสุข’ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติ ให้ผู้ใช้สามารถติดตามและบันทึกพฤติกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน เช่น การออกกำลังกาย ปริมาณการรับประทานผักและผลไม้ ปริมาณน้ำดื่ม ระยะเวลาการนอนหลับ เป็นต้น พร้อมกับสามารถดูรายงานผลการใช้ชีวิตในแต่ละสัปดาห์ และคำแนะนำที่เหมาะสมกับเราโดยอ้างอิงจากข้อมูลสุขภาพที่เราบันทึกไว้เพื่อให้เราดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ แอปฯ ยังมีระบบการแข่งขันออนไลน์ที่เพิ่มความท้าทายในการดูแลสุขภาพ ทำให้กลายเป็นเรื่องสนุก ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มต่าง ๆ ภายในแอปฯ กับเพื่อนหรือกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกันในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสร้างแรงจูงใจ และสนับสนุนซึ่งกันและกันในการดูแลสุขภาพ ที่สำคัญ แอปฯ ไทยสุขยังมีระบบการโค้ชแบบไฮบริด ที่จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ ให้คำแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ตรงจุด ติดตามความก้าวหน้า และรายงานความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายสุขภาพของเรา ทำให้ผู้ใช้เห็นพัฒนาการของตัวเอง และมีกำลังใจในการดูแลสุขภาพจนบรรลุเป้าหมายได้
ขั้นตอนง่าย ๆ เริ่มต้นใช้งานแอปฯ ไทยสุข
แอปฯ ไทยสุขได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน ใคร ๆ ก็สามารถใช้ได้ แม้จะไม่เคยใช้งานแอปฯ สุขภาพมาก่อนก็ตาม นอกจากนี้ แอปฯ ยังมีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยให้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้มากขึ้น ตั้งเป้าหมายและติดตามความก้าวหน้า ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการดูแลสุขภาพ พร้อมอัปเดตเคล็ดลับสุขภาพดี ๆ อยู่เสมอ
ขั้นตอนแรกเริ่มจากการดาวน์โหลดแอปฯ ไทยสุขจาก App Store หรือ Google Play Store ค้นหาคำว่า ไทยสุข หรือ ThaiSook จากนั้นลงทะเบียนเข้าใช้งานแอปฯ ไทยสุข ตามด้วยกรอกข้อมูลสุขภาพของเราในแต่ละวัน เช่น อาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย น้ำหนัก และการนอนหลับ เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว แอปฯ จะวิเคราะห์และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเราโดยอ้างอิงจากข้อมูลสุขภาพที่เราบันทึกไว้
สำหรับผู้ที่สวมใส่สมาร์ตวอตช์ ไทยสุขจะมีระบบเชื่อมต่อเพื่อดึงข้อมูลอัตโนมัติได้จาก iOS Health, Google Fit, Garmin Connect และยังมี “ไทยสุขวอตช์” ซึ่งเป็นสมาร์ตวอตช์ที่ทีมวิจัยออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับแอปฯ ไทยสุขได้โดยตรงไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อให้โค้ชดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ง่าย ในการพัฒนามุ่งเน้นราคาไม่แพง เพียง 1,000 บาท สามารถตรวจวัดข้อมูลสุขภาพ เช่น นับก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ข้อมูลการนอน
หากคุณกำลังมองหาแอปฯ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและสนุก “ไทยสุข” เป็นคำตอบที่ “ใช่” ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือเคยใช้แอปฯ ดูแลสุขภาพมาก่อน ลองดาวน์โหลดแอปฯ ไทยสุขมาใช้ แล้วคุณจะพบว่าการมีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Thaisook ได้ทั้งระบบ Android และ iOS
สำหรับหน่วยงานที่สนใจใช้แอปฯ ไทยสุขเป็นเครื่องมือช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคลากรในองค์กร สามารถติดต่อได้ที่ Facebook: Thaisook ไทยสุข หรือ Line ID: @thaisook
เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
อว. จัดพิธีประกาศเกียรติคุณและแสดงมุทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการ ปี 2567 ปลัด อว.-รองปลัด อว.-รองอธิบดี ข้าราชการ-พนักงาน-จนท. เกษียณอายุรวม 96 คน จาก 11 หน่วยงาน
(วันที่ 18 กันยายน 2567) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานใน "พิธีประกาศเกียรติคุณและแสดงมุทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567" เพื่อยกย่องคุณงามความดีของผู้เกษียณอายุราชการ อีกทั้งเป็นการแสดงความขอบคุณที่ทุกท่านได้ใช้ความรู้เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับหน่วยงานและประเทศชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยมี นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผศ. ดร.วีรชัย อาญหาญ รอง ผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารกระทรวง อว. รวมทั้งผู้เกษียณอายุราชการ เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมภูมิบดินทร์ ชั้น 6 อาคารสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า ผู้ปฏิบัติหน้าที่จนครบวาระเกษียณอายุราชการ ถือได้ว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน เพราะได้อุทิศแรงกาย แรงใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ อดทน เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับหน่วยงานและประเทศชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน ขณะเดียวกัน ดิฉันก็รู้สึกเสียดายที่กระทรวง อว. จะต้องขาดบุคลากรที่ได้สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เพราะทุกท่านยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่หน่วยงานและชาติบ้านเมืองได้ ถ้ามีโอกาสขอให้กลับมาช่วยงานหรือกลับมาเยี่ยมเยียน และถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับน้อง ๆ ในหน่วยงาน ซึ่งพวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่ง และจากวันนี้ไปถือเป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้วางแผนการใช้ชีวิตอย่างอิสระตามความประสงค์ ขอให้ดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ ให้แข็งแรง และเสริมสร้างความสุขให้กับชีวิตและครอบครัวอย่างเต็มที่ภายหลังเกษียณอายุราชการตลอดไป
ขณะที่ นายเพิ่มสุข ในฐานะผู้แทนผู้เกษียณอายุราชการ กล่าวว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาการเดินทางของพวกเราที่นี่เต็มไปด้วยประสบการณ์ เราต่างเผชิญกับความท้าทาย ร่วมฝ่าฟันปัญหา และแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ ทุกมิตรภาพที่เกิดขึ้นได้สร้างคุณค่าอันทรงพลังให้กับพวกเราผู้เกษียณอายุราชการทุกคน และรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระทรวง อว. ที่ที่ทำให้พวกเราได้เรียนรู้ เติบโต และร่วมสร้างสรรค์ผลงานที่มีความหมาย ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อทุกโอกาสอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ที่ได้รับและขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกท่านจากใจจริงที่ร่วมมือร่วมใจสร้างความสำเร็จและดำเนินภารกิจร่วมกันมา แม้วันนี้จะเป็นวันแห่งการสิ้นสุดของเส้นทางการทำงานสำหรับพวกเรา ณ ที่แห่งนี้ แต่ก็เป็นการเปิดประตูเริ่มต้นสู่ช่วงเวลาใหม่ที่พวกเราจะได้ใช้เวลาทุ่มเททำสิ่งที่รักหรือสิ่งที่ไม่ได้ทำในช่วงที่ผ่านมาสร้างสรรค์งานอื่น ๆ เพื่อสังคมต่อไป “สำหรับคนที่ยังคงเดินหน้าทำงานสานต่อภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศและสังคมสู่ความเจริญก้าวหน้า ผมขอส่งความปรารถนาดีจากใจและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเส้นทางการทำงานที่ทอดยาวเบื้องหน้านี้ จะเปิดกว้างและเต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่เปี่ยมด้วยคุณประโยชน์และยั่งยืน นำพาทุกคนก้าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจไม่สิ้นสุด เพื่อให้ทุกก้าวที่เดินไปนั้นเต็มไปด้วยความสำเร็จและความภาคภูมิใจในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิตต่อไป”
สำหรับในปีนี้ มีข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ที่เกษียณอายุรวมทั้งสิ้น 96 คน จาก 11 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1. สำนักงานปลัดกระทรวง อว. 15 คน 2. สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวง อว. 1 คน 3. กรมวิทยาศาสตร์บริการ 10 คน 4. สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ 9 คน 5. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 11 คน 6. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย 19 คน 7. องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 3 คน 8. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 20 คน 9. สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ 2 คน 10. สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 5 คน และ 11. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) 1 คน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด มอบเงินสนับสนุน 69 ลบ. เข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของ สวทช.
(วันที่ 18 กันยายน 2567) ณ ห้องประชุม อาคารสำนักงานกลาง ชั้น 1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ให้การต้อนรับ Mr.Koichi Tsuyama ประธานบริษัท บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัดและคณะเนื่องในโอกาสมอบเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. จำนวน 69,000,000 บาท ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนงานด้านการวิจัย พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ให้ก้าวสู่การเป็นประเทศทันสมัยทันเทียมนานาประเทศ ทั้งนี้บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวีฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI ) อีกด้วย
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ขอขอบคุณบริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดย สวทช. จะนำเงินสนับสนุนไปใช้กับพันธกิจหลักในกิจกรรมการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค สนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมต่อไป
ทั้งนี้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ บริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด ได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัย: Lightweight Engineering Research Lab ของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. โดยมี ดร.ชินะ เพ็ญชาติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยกระบวนการทางวัสดุและการผลิตอัตโนมัติ พร้อมด้วย คุณปิยพงศ์ เปรมวรานนท์ หัวหน้าทีมวิจัยวิศวกรรมน้ำหนักเบา ร่วมแนะนำศูนย์เอ็มเทค และบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยพัฒนาการออกแบบด้านยานยนต์สมัยใหม่และความปลอดภัย ณ ห้อง MP140 อาคาร MTEC Pilot Plant
สำหรับภาคเอกชนและผู้ที่สนใจ สวทช. ขอเชิญชวนท่านร่วมมีส่วนในการสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยร่วมบริจาคเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของ สวทช. และผู้บริจาคจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจาก BOI ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจะเป็นไปตามการสนับสนุนเงินซึ่งคำนวณจากรายได้ 3 ปีแรก (1-5%) โดยได้ยกเว้นวงเงินภาษีเงินได้เพิ่มเติม 200%ของเงินสนับสนุน และได้รับระยะเวลายกเว้นเงินภาษีเพิ่มเติม 1-5 ปี (รวมสิทธิเดิมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
กิจกรรม “ขยะกำพร้าสัญจร ครั้งที่ 2”
✨ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ร่วมกับ BEM (บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)) ขอเชิญทุกท่านร่วมกิจกรรมสุดพิเศษ! ✨
🎊🎉 "ขยะกำพร้าสัญจร ครั้งที่ 2" 🎉🎊
📅 วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2567
🕘 เวลา 9:00-12:00 น.
📍 ลานจอดรถข้างตึก CC (ที่จอดรถ P3) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
🌿 มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการขยะเพื่อความยั่งยืน!
🗑️ นำ "ขยะกำพร้า" หรือ RDF (Refuse Derived Fuel) ขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ (ไม่ใช่ขยะเปียก หรือขยะอิเล็กทรอนิกส์) มาทิ้งในงาน เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทนถ่านหิน!
🔄 นอกจากนี้ หากคุณมี *ขวด PET* อย่าลืมนำมามอบให้ทีม 'Less Plastic ธรรมศาสตร์' เปลี่ยนเป็นรองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผ้าคล้องแขนเพื่อการฟื้นฟูผู้ป่วยในโรงพยาบาล
📞 สอบถามเพิ่มเติม: ดร.นรมน โทร. 02564-7000 ต่อ 5397
❤️🌍 ร่วมสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกันนะคะ! 🌍❤️
ปฏิทินกิจกรรม
“ศุภมาส” ปลื้ม นักประดิษฐ์-นักวิจัยไทย คว้ารางวัลจาก 7 เวทีนานาชาติ กว่า 385 ผลงาน พร้อมหนุนคนไทยได้แสดงศักยภาพสู่สายตาชาวโลก
(วันที่ 16 กันยายน 2567) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรและกล่าวแสดงความยินดีแก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติ โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อํานวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวรายงานพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร นักประดิษฐ์และนักวิจัย โอกาสนี้ ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เข้าร่วมงานและแสดงความยินดีกับนักวิจัย สวทช. ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ ชั้น 3 สโมสรทหารบก วิภาวดี
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า การส่งเสริมสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสู่เวทีระดับนานานาชาติเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในการสนับสนุนให้นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์กับนักประดิษฐ์และนักวิจัยจากนานาประเทศ อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่ผลงานและแสดงศักยภาพในการประดิษฐ์คิดค้นของคนไทยต่อสายตาชาวโลก ตลอดจนผลักดันความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างประเทศ ทำให้ไทยได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในเวทีระดับนานาชาติ ที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ได้สนับสนุนโครงการส่งเสริมสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสู่เวทีระดับนานาชาติมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี โดยทำหน้าที่เสนอชื่อและคัดเลือกผลงานจากประเทศไทยสู่เวทีการประกวดแข่งขันและจัดแสดงในเวทีระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีสถาบันการศึกษาทั้งในระดับอุดมศึกษา มัธยมศึกษา หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ที่ให้การส่งเสริมและสนับสนุนนักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยรวมทั้งสร้างความร่วมมือกันทุกภาคส่วน
“ขอชื่นชมและขอเเสดงความยินดีกับความสำเร็จ ซึ่งทุกท่านถือเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทย และขอฝากให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สร้างความเข้มแข็ง และร่วมกันพัฒนาประเทศของเราให้ยั่งยืนต่อไป” นางสาวศุภมาส กล่าว
ด้าน ดร.วิภารัตน์ กล่าวว่า พิธีมอบประกาศนียบัตรแสดงความยินดีแก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความยินดีแก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้นำผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมไทยไปร่วมประกวดแข่งขันและได้รับรางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์สู่เวทีนานาชาติ ที่ วช. ได้ดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องและสอดรับกับพันธกิจของ วช. ประการสำคัญ คือ การให้รางวัลประกาศเกียรติคุณหรือยกย่องบุคคลหรือหน่วยงานด้านวิจัยและนวัตกรรมและการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านวิจัยและนวัตกรรม โดย วช. ได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานผู้มีอำนาจเสนอชื่อของประเทศไทยที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์กรด้านการประดิษฐ์คิดค้นจากนานาประเทศ ด้วยการเปิดรับสมัครพิจารณากลั่นกรอง และคัดเลือกผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมจากประเทศไทยไปร่วมประกวดแข่งขันและจัดแสดงในเวทีนานาชาติ นอกจากนี้ วช. ได้แสวงหาพันธมิตรใหม่ ๆ จากการนำทีมนักประดิษฐ์และนักวิจัยร่วมประกวดแข่งขัน เพื่อให้นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยได้แสดงศักยภาพของตนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และก้าวทันเทคโนโลยีของโลก เพื่อนำมาพัฒนาผลงานของไทยให้ตอบโจทย์สอดรับ ทันยุค ทันสมัย ก่อเกิดประโยชน์และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในวันนี้ได้เห็นถึงความสำเร็จของนักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่สามารถคว้ารางวัลจากการประกวด รวมจำนวนทั้งสิ้น 385 ผลงาน จาก 7 เวทีระดับนานาชาติ ประกอบด้วย
เวที The International Exhibition of Inventions Geneva ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้ารางวัลเหรียญทองเกียรติยศซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของงาน จำนวน 4 รางวัล และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เหรียญทองจำนวน 16 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 42 รางวัล และเหรียญทองแดง จำนวน 31 รางวัล
เวที ITEX 2024 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้ารางวัล ITEX 2024 Best Invention Award International และ ITEX 2024 Best Invention Award Individual ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของงาน และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เหรียญทองจำนวน 41 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 29 รางวัล และเหรียญทองแดงจำนวน 2 รางวัล
เวที INTARG® 2024 ณ เมืองคาโตไวซ์ สาธารณรัฐโปแลนด์ โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้ารางวัล Platinum Award และรางวัล Diamond Award ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของงาน และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้แก่เหรียญทองจำนวน 25 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 11 รางวัล
เวที Shanghai 2024 ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้าเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เหรียญทองจำนวน 41 รางวัล และเหรียญเงินจำนวน 10 รางวัล
เวที JDIE 2024 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้าเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เหรียญทองจำนวน 49 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 20 รางวัล และเหรียญทองแดงจำนวน 4 รางวัล
เวที WoSG 2024 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้ารางวัล World Champion ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของงาน และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เหรียญทองจำนวน 18 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 9 รางวัล และเหรียญทองแดงจำนวน 6 รางวัล
เวที IID 2024 ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้ารางวัล Grand Prize ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของงาน และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เหรียญทองจำนวน 14 รางวัล เหรียญเงิน จำนวน 9 รางวัล และเหรียญทองแดงจำนวน 4 รางวัล
ทั้งนี้ในจำนวนรางวัลดังกล่าวมีทัพนักวิจัยจาก สวทช. เข้ารับรางวัล ประเภทต่าง ๆ ประกอบด้วย รางวัลเหรียญทอง ได้แก่
1.ผลงาน: การพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างฟิล์มชีวภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมีเทนจากน้ำเสียที่มีความเค็มสูง โดย ดร.เบญจพร สุรารักษ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และคณะ
2. ผลงาน: ระบบผลิตก๊าซชีวภาพประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ โดย ดร.วรินธร สงคศิริ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และคณะ
รางวัลเหรียญเงิน ได้แก่
ผลงาน: ชุดไฮโดรไซโคลนสำหรับเพิ่มความเข้มข้นและลดสิ่งเจือปนในกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง โดย ดร.กาญจนา แสงจันทร์ และคณะ
ผลงาน: วัสดุนิ่มสำหรับการพิมพ์สามมิติเฉพาะบุคคลที่สามารถปรับแต่งคุณสมบัติได้เพื่อใช้ทางการแพทย์โดย ดร.รวิภัทร มณีโชติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.
รางวัลเหรียญทองแดง ได้แก่
ผลงาน: ReverZase Regenerate Serum เวชสำอางชะลอวัยจากอนุภาคสารออกฤทธิ์พลับพลึงไทย(ReverZase™) จัดการเซลล์แก่และเสาหลักสภาวะชรา เพื่อการฟื้นฟูผิวสูงสุด โดย ดร.ธวิน เอี่ยมปรีดี
ผลงาน: นวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจปริมาณแคลเซียมจากเศษเล็บเพื่อการประเมินภาวะสมดุลแคลเซียมและความเสี่ยงโรคกระดูก โดย นางสาวสุนทรี กริชชัยศักดิ์
นอกจากนี้ยังอีก 2 รางวัลเหรียญทอง โดย ดร. เบญจรัตน์ บรรเทิงสุข จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ได้รับทั้ง 2 เหรียญทอง ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่
ผลงาน: “อิโวลิทอล ยีสต์สายพันธุ์ใหม่ Cyberlindnera fabianii ที่ผ่านการพัฒนาด้วยกระบวนการวิวัฒนาการที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไซลิทอล” รางวัลร่วมกับ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร. เบญจรัตน์ บรรเทิงสุข นางสาวเกดสุดา เอี้ยววิริยะสกุล และนางสาววิภาวี ศรีทัศนีย์ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ศช. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. หทัยกาญจน์ เลกากาญจน์ และนางสาวภาวรินทร์ บลทอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงาน: โอลิโกไรซ์: มอลโตโอลิโกไซรัปจากข้าวสายพันธุ์ไทย รางวัลร่วมกับ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. หทัยกาญจน์ เลกากาญจน์ นางสาวดารัณ โปร่งจิต และนางสาวมธุรดา เพียหอม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
แกะกล่องงานวิจัย : นวัตกรรมสารตัวเติม (filler) สารเคลือบกันน้ำบรรจุภัณฑ์กระดาษ ผลิตจากเปลือกหอยแมลงภู่
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
'หอยแมลงภู่’ เป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกสูง ถึงกระนั้น ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ ปริมาณมหาศาลที่เหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ กลับกำลังเป็นปัญหาขยะที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะยังขาดแนวทางการจัดการที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าแก่การลงทุน
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทรี-บอนดิ้ง จำกัด ดำเนินโครงการ ‘ต้นแบบผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงแปรรูปจากเปลือกหอยแมลงภู่เหลือทิ้ง’ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ต้นแบบ คือ สารตัวเติม (filler) สำหรับเคลือบเพื่อเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำให้แก่บรรจุภัณฑ์กระดาษชนิดผลิตจากวัสดุธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น สารจากเซลลูโลส (cellulose-based) ที่ปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยสารตัวเติมนี้ผลิตขึ้นจาก ‘สารแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3)’ ซึ่งเป็นสารประกอบของเปลือกหอยถึงร้อยละ 95
📌 2) ดีอย่างไร ?
สารตัวเติมที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นเป็นสารจากธรรมชาติ มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) มีความปลอดภัยในการใช้งาน และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูง ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษกันน้ำสามารถใช้สารชนิดนี้เป็นสารตัวเติมสำหรับเคลือบกระดาษที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศได้มากกว่าร้อยละ ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี
📌 3) ตอบโจทย์อะไร ?
การที่ผู้ประกอบการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงโดยยังคงคุณภาพของสินค้าได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกลุ่ม EU ที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด
นอกจากนี้การอัปไซคลิง (upcycling) เปลือกหอยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง ยังช่วยลดปัญหาขยะและเพิ่มศักยภาพการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประเภทนี้ให้คุ้มค่าอย่างยั่งยืน
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ?
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : เปลี่ยน ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เป็น ‘สารเคลือบกระดาษ’ และ ‘สารดูดซับคราบน้ำมัน’ สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Traffy Fondue อัปเดต ‘ฟีเจอร์ใหม่’ ช่วยประชาชนแจ้งเรื่องและติดตามปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
สวทช. ไม่หยุดพัฒนา Traffy Fondue นำเสียงสะท้อนถึงปัญหาการใช้งาน เดินหน้าปรับปรุงพัฒนาเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแพลตฟอร์ม Line Official เพื่อให้ประชาชนแจ้งปัญหาได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทีมวิจัยหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมืองได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในแพลตฟอร์มของไลน์ Traffy Fondue ทั้งหมด 6 เรื่องด้วยกัน
1) ลดขั้นตอนการแจ้งเรื่องจาก 5 ขั้นตอน เหลือ 3 ขั้นตอน ตอนนี้ไม่ต้องเลือกหน่วยงานที่ต้องการแจ้ง ไม่ต้องแจ้งประเภทของปัญหา ใช้เวลาทำเพียง 3 ขั้นตอน คือ 1) กดแจ้งเรื่องใหม่แล้วแชร์พิกัดตำแหน่ง 2) พิมพ์รายละเอียดของปัญหา และ 3) ส่งภาพประกอบของปัญหาและรอรับการ์ดยืนยันการแจ้งได้ทันที เพียงเท่านี้การแจ้งปัญหาจะเป็นเรื่องง่าย แจ้งครบจบได้ใน 1 นาที
2) รับแจ้งเตือนข่าวสาร เช่น เหตุฉุกเฉิน ไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ ระบบเพิ่มเมนูใหม่ “บริการอื่น ๆ และข่าวสาร” โดยประชาชนกดเลือกได้ว่าสนใจหัวข้อเรื่องใดและระบุพิกัดพื้นที่รับแจ้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นในบริเวณดังกล่าว ระบบจะแจ้งเตือนข่าวสารให้รับทราบแบบฉับไว ปัจจุบันนำร่องใช้ในกรุงเทพมหานคร และเตรียมเร่งขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ในเร็ววันนี้
3) จัดทำอินโฟกราฟิกสรุปภาพรวมการแก้ปัญหา (Before/After) ทุกครั้งที่มีการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น ระบบจะจัดทำข้อมูลและภาพอินโฟกราฟิกสรุปภาพรวมการแก้ปัญหาทั้งก่อนและหลัง เช่น ปัญหาไฟทางเสีย ระบบจะสรุปไทม์ไลน์ตั้งแต่การแจ้ง การรับเรื่อง และการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น พร้อมทั้งมีภาพให้เห็นเปรียบเทียบทั้งก่อนและหลังการแก้ปัญหา ทั้งนี้ในอนาคตจะเพิ่มในส่วนของการประเมินผลการแก้ปัญหาด้วย โดยให้ผู้แจ้งสามารถให้ดาวหรือคะแนน รวมถึงเพิ่มปุ่มแชร์ให้สังคมได้เห็นถึงความสำเร็จในการแก้ปัญหาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน
4) ดูเรื่องแจ้งของคนอื่น ถึงตนเองไม่มีเรื่องแจ้ง แต่ก็สามารถติดตามเรื่องราวการแจ้งปัญหาในพื้นที่ที่สนใจได้ เพียงกดเมนู “เรื่องแจ้งจากผู้อื่น” จากนั้นกดระบุพื้นที่ ระบบจะแสดงผลเรื่องแจ้งที่ได้รับการแก้ปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นกดเข้าไปดูรายละเอียดได้ทันที
5) เรื่องถึงไหนแล้ว อยากรู้ว่าแจ้งปัญหาเรื่องใดไปบ้างและเรื่องแจ้งดำเนินการถึงไหนแล้ว เพียงแค่กดเมนู “เรื่องแจ้งของฉัน” ระบบจะแสดงเรื่องแจ้งทั้งหมด พร้อมทั้งระบุว่าเรื่องใดที่เสร็จสิ้นแล้วบ้าง เรื่องใดที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และที่พิเศษคือตอนนี้มีเมนูให้กด “ติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงาน” หรือกดสอบถามรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ได้เลย
6) หน่วยงานแจ้งล่าสุด ปัจจุบันระบบเพิ่มเมนูแสดงรายชื่อ “หน่วยงานแจ้งล่าสุด” เพื่อให้ประชาชนเลือกหน่วยงานที่ต้องการแจ้งเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
ดร.วสันต์ กล่าวว่า ทีม Traffy Fondue ตั้งใจพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ประชาชนแจ้งเรื่องและติดตามการแก้ปัญหาได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ได้รับทราบข้อมูลการแก้ไขปัญหาที่ครบถ้วน ถูกต้องและชัดเจน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เจ้าหน้าที่บริหารจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโอกาสได้รับฟังเสียงสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงพัฒนาการทำงานได้ตรงจุด เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ทั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Traffy Fondue จะเป็นแพลตฟอร์มรับแจ้งปัญหาที่มีส่วนช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
รองนายกอนุทิน เปิดกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พร้อมจับมือ อว. เปิดวอร์รูมน้ำ แจ้งเตือนข้อมูลสถานการณ์ การทำงานเป็นเอกภาพ
รองนายกอนุทิน เปิดกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพิ่มประสิทธิภาพแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยครอบคลุมทุกมิติ พร้อมจับมือ อว. เปิดวอร์รูมน้ำแจ้งเตือนข้อมูลสถานการณ์การทำงานเป็นเอกภาพ
วันนี้ (15 ก.ย. 67) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุม 1 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยมี นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายโชตินรินทร์ เกิดสม นายเชษฐา โมสิกรัตน์ นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ นายราชันย์ ซุ้นหั้ว รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการพยากรณ์และการบริหารจัดการน้ำ ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ผู้บริหารกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตทุกเขต สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัด เข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Webex)
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำทีมผู้บริหาร สวทช. ประกอบด้วย ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และทีมวิจัย สวทช. ร่วมประชุมและรายงานข้อมูลดิจิทัลเทคโนโลยีให้รองนายกรัฐมนตรีรับทราบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ได้แก่ 1.ระบบสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ทางธรรมชาติแบบเรียลไทม์ (TanPibut - ทันพิบัติ) ซึ่งทีมวิจัยทำงานกับเจ้าหน้าที่ ปภ.อย่างใกล้ชิด และ 2.ฟีเจอร์ “ช่วยน้ำท่วม” บนแพลตฟอร์ม ทราฟฟี ฟองดูว์ (Traffy Fondue) เพื่อเป็นช่องทางด่วนพิเศษในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว ใช้งานง่ายเพียงเพิ่มเพื่อนกับไลน์ไอดี ‘แอดทราฟฟี ฟองดูว์’ (@traffyfondue) โดยเลือกเมนู “ช่วยน้ำท่วม” ผู้ใช้งานสามารถรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ พร้อมแนบรูปภาพ ระบุพิกัดและความต้องการให้ชัดเจน จากนั้นระบบจะส่งคำร้องขอความช่วยเหลือตรงไปยัง อว. ส่วนหน้าทั้ง 76 จังหวัด เพื่อการช่วยเหลือที่รวดเร็วเหมาะกับในยุคดิจิทัล
นายอนุทิน ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) กล่าวว่า ปัจจุบันหลายจังหวัดในพื้นที่ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยกำลังประสบกับสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย และจังหวัดริมแม่น้ำโขงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์อุทกภัย ขยายวงกว้างมากขึ้น โดยปัจจุบัน (15 ก.ย. 67 เมื่อเวลา 06.00 น.) เกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ หนองคาย เลย อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปราจีนบุรี รวม 39 อำเภอ 182 ตำบล 797 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 30,073 ครัวเรือน
จากข้อมูลการพยากรณ์สภาพอากาศและปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่ท่วมขัง ของกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ได้คาดการณ์ว่า ในช่วงเดือนนี้ปริมาณฝนยังคงตกหนาแน่นเพราะได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน ซึ่งอาจจะเคลื่อนผ่านหรือเคลื่อนเข้าใกล้ประเทศไทย ทำให้เกิดฝนตกหนักบางพื้นที่ เมื่อมาสมทบกับพื้นที่มีฝนตกสะสมและปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่ อาจทำให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งได้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกขึ้นได้
นายอนุทิน กล่าวว่า นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ประสบกับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้เร่งระดมช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วน โดยเฉพาะงบประมาณในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย หากจังหวัดใดงบประมาณไม่เพียงพอให้รีบดำเนินการขอขยายวงเงินทดรองราชการ เพื่อไม่ให้งบประมาณในการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนสะดุด สำหรับพื้นที่ที่น้ำท่วมลดลงเริ่มคลี่คลายแล้วได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งสำรวจความเสียหายของครัวเรือนประชาชน เพื่อดำเนินการฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนอย่างเร็วที่สุดต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนเป็นไปด้วยความคล่องตัว ได้เน้นย้ำแนวทางการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในห้วงต่อไป เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั่วถึง และลดผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด โดยให้จังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ขอให้เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ยังติดค้างอยู่ในที่อยู่อาศัย โดยจัดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับผู้ประสบภัยให้เพียงพอ ตลอดจนให้ดูแลด้านการดำรงชีพเบื้องต้นให้เพียงพอ เหมาะสม และให้พิจารณาความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะผู้ประสบภัยที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก และผู้ป่วย รวมถึงจัดทีมแพทย์เข้าดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจผู้ประสบภัย พร้อมดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประสบภัย และเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าและน้ำประปาที่ได้รับความเสียหาย ต้องกลับมาให้บริการประชาชนได้ตามปกติโดยเร็ว
สำหรับพื้นที่ที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ให้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมเครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัย เข้าทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชน เปิดเส้นทางคมนาคมให้สามารถสัญจรได้ตามปกติโดยเร็ว และประสานสถาบันการศึกษาให้นำนักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมสนับสนุนการซ่อมแซม ระบบไฟฟ้า พาหนะ บ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว โดยภายหลังที่สถานการณ์คลี่คลาย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เร่งสำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหายให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านชีวิต ด้านที่พักอาศัย ด้านสิ่งสาธารณูปโภค ด้านสิ่งสาธารณประโยชน์ และด้านการประกอบอาชีพ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ ตามระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และจัดทำแผนการฟื้นฟูทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
นายอนุทิน กล่าวว่า ขอกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์อุทกภัยในระยะเร่งด่วนในห้วงต่อไป โดยเฝ้าระวัง ประเมินสถานการณ์ และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบถึงสถานการณ์ภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมแจ้งวิธีการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย และช่องทางการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยกำชับให้ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายอาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสาให้ความสำคัญกับการจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยสำหรับรองรับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบให้เพียงพอ หากเกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นในพื้นที่ให้ดำเนินการตามระบบบัญชาการเหตุการณ์ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแผนเผชิญเหตุอุทกภัย
โดยให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด ภายใต้การอำนวยการของผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการอำนวยการ ควบคุม และประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ โดยให้ความสำคัญกับรักษาชีวิตของประชาชนผู้ประสบภัยเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรก รวมถึงเตรียมพร้อมทรัพยากรทุกด้าน ทั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัย เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และกำลังเจ้าหน้าที่ ให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันทีที่เกิดภัย อีกทั้งจัดเตรียมงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในภาวะเร่งด่วนให้เพียงพอ ที่สำคัญ ให้จังหวัดรายงานสถานการณ์ ผลกระทบ และการให้ความช่วยเหลือต่อกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ผ่านกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางอย่างต่อเนื่อง โดยให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดประเมินสถานการณ์ และขอรับการสนับสนุนทรัพยากรหากเกินขีดความสามารถอย่างเร่งด่วน
นายอนุทิน กล่าวว่า เพื่อให้การเตรียมการรับมือและเผชิญเหตุเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) จะดำเนินการเชื่อมโยงวอร์รูม (War Room) ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว. กับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อร่วมคาดการณ์ ประสานการแจ้งเตือนสถานการณ์ให้ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่และประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่รวดเร็วถูกต้อง ชัดเจน และเป็นเอกภาพ รวมไปถึงการสื่อสารความเสี่ยงเกี่ยวกับข้อมูลสถานการณ์น้ำไปยังพื้นที่เสี่ยงได้ตรงเป้าหมายและทันต่อสถานการณ์ ซึ่งจะลดความสูญเสียและผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
“การประชุมในวันนี้ เพื่อติดตามสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงประสานงานเพื่อให้เกิดความพร้อมในการรับสถานการณ์ระยะต่อไปให้มีเอกภาพ ประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อลดผลกระทบความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยแก่พี่น้องประชาชน วันนี้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 จะได้บูรณาการทุกกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันสนับสนุนการแก้ไขปัญหาร่วมกับจังหวัด เพื่อให้การอำนวยการ สั่งการแก้ไขปัญหาอุทกภัย และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทุกพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และทันต่อสถานการณ์ ตลอดจนประสานความร่วมมือเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยในห้วงต่อไปอย่างมีเอกภาพ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด” นายอนุทิน กล่าว
ด้านนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า อว. ได้ร่วมสนับสนุนทีม ปภ. โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมโยงข้อมูลในการแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารไปยังประชาชน และยังมีเครื่องมืออุปกรณ์ อาทิ โดรน ที่จะช่วยเสริมการวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ภัย ผ่านวอร์รูม (War Room) ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว. กับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ อว. ยังมีครู นักศึกษา ทีมช่าง ที่พร้อมช่วยหนุนเสริมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายนี้ ขอฝากถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT”
*** ข้อมูลข่าว : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
กระทรวง อว. ห่วงพี่น้องประชาชน “ศุภมาส” ปล่อยขบวนรถนำสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.เชียงราย
กระทรวง อว. ห่วงพี่น้องประชาชน “ศุภมาส” ปล่อยขบวนรถนำสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.เชียงราย พร้อมนำความช่วยเหลือลงไปในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน ผู้มีจิตศรัทธานำสิ่งของมาบริจาคได้ที่ศูนย์ปฎิบัติการ “อว. เพื่อประชาชน” ชั้น 7 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.
(13 กันยายน 2567) ณ อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เดินทางเข้ากระทรวง อว. เพื่อปฏิบัติภารกิจในการปล่อยรถนำสิ่งของเพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคเหนือ พื้นที่ จ.เชียงราย จัดกิจกรรม “ปล่อยรถนำสิ่งของเพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคเหนือ พื้นที่จังหวัดเชียงราย” ภายใต้ศูนย์ปฎิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว. เพื่อประชาชน” โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. และ ผู้บริหาร สวทช. ได้แก่ ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมกิจกรรมที่บริเวณด้านหน้าอาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีหน่วยงานต่างๆ นำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาร่วมขบวนเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมและเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จึงได้ระดมสรรพกำลังจากทุกหน่วยงานในกระทรวง อว. ภาคีเครือข่ายและภาคส่วนต่างๆ ในการนำสิ่งของอุปโภค บริโภค ยา เวชภัณฑ์ ตลอดจนเครื่องใช้ที่จำเป็นไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.แม่สาย และ อ.เมือง จ.เชียงราย รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ โดยให้ อว.ส่วนหน้า จ.เชียงราย ไปดำเนินการแจกจ่ายให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุดและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
รมว.อว. กล่าวต่อว่า การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม กระทรวง อว. ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มเกิดอุทกภัยเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยตนได้สั่งการให้ผู้บริหารกระทรวง อว. ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ จ.สุโขทัย โดยประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพโดรนเพื่อการบินสำรวจในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก และโดรนลำเลียงสิ่งของทั้งยา เวชภัณฑ์ อาหาร เครื่องอุปโภค-บริโภค เป็นต้น พร้อมเปิดแอปฯ แจ้งเตือนภัยเพื่อเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำ ตลอดจนเปิดพื้นที่ของมหาวิทยาลัยให้เป็นศูนย์บรรเทาและพักพิงให้ผู้ได้รับผลกระทบครั้งนี้ก็เช่นกันที่กระทรวง อว. จะนำความช่วยเหลือไปถึงมือพี่น้องประชาชนใน จ.เชียงราย และในพื้นที่อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ โดยศูนย์ปฎิบัติการสถานการณ์น้ำท่วมของ อว. จะทำงานอย่างต่อเนื่อง และพร้อมนำความช่วยเหลือลงไปในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งหากผู้ใดมีจิตศรัทธาสามารถติดต่อนำสิ่งของมาบริจาคได้ที่ ศูนย์ปฎิบัติการสถานการณ์ “อว. เพื่อประชาชน ” ชั้น 7 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.
สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งนี้ สวทช. หน่วยงานวิจัยใต้กระทรวง อว. ร่วมมอบสิ่งของบริจาค ประกอบด้วย ถุงยังชีพจำนวน 200 ชุด ซึ่งภายในบรรจุอุปกรณ์และอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ นอกจากนี้ได้มอบนวัตกรรมของ สวทช. และนวัตกรรมวิจัยที่ผลิตขึ้นในเชิงสาธารณะประโยชน์และที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชน ประกอบด้วย
เครื่องกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยีร่วมกับระบบรีเวิร์สออสโมซิส 1 ชุด ซึ่งประกอบด้วย 4 ไส้กรอง (เครื่องกรองน้ำด้วยนาโน ไส้กรองเกล็ดคาร์บอนที่ดัดแปรพื้นผิว ไส้กรองเรซิน และไส้กรอง Sediment) พร้อมระบบรีเวิร์สออสโมซิส ที่สามารถกรองน้ำได้สะอาด ฆ่าเชื้อโรคที่มาจากน้ำได้อย่างปลอดภัย
น้ำยาฆ่าเชื้อและทำความสะอาดสำหรับพื้นผิวอะเจิร์มโก (Agermgo) 120 ขวด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อชนิดเข้มข้น เป็น “น้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมซิงค์นาโนอิมัลชั่น” ซึ่งมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อที่ครอบคลุมสามารถทำลายเชื้อได้หลายชนิด ออกฤทธิ์เร็วและนาน ประกอบสารจากธรรมชาติกลุ่มกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าว
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ N-Breeze 100 แพ็ค เป็นหน้ากากอนามัยจากแผ่นกรองเส้นใยละเอียดป้องกันละอองไอจาม เชื้อจุลชีพ และฝุ่น PM 2.5 อนุภาคระดับเล็กกว่าหนึ่งไมครอน
ผลิตภัณฑ์สกินซอตต์ เจลไล่ยุง 600 ซอง เป็นผลิตภัณฑ์เจลสำหรับทาผิวเพื่อป้องกันยุง ด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับนาโน ทำให้ได้เนื้อนาโนอิมัลชั่นกักเก็บอิคาริดิน (ICARIDIN) ช่วยออกฤทธิ์กันยุงได้นานกว่าผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงทั่วไป
ผลิตภัณฑ์ โลชั่นไล่ยุง MILI 237 หลอด ผลิตภัณฑ์โลชั่นไล่ยุง ที่ใช้เทคโนโลยีการกักเก็บในรูปแบบของนาโนอิมัลชั่นที่มีขนาดของอนุภาคระดับนาโนเมตร จึงทำให้พื้นที่ผิวของอนุภาคเพิ่มขึ้น ช่วยป้องกันการระเหยและการเสื่อมสภาพของสารออกฤทธิ์ได้ดี มีกลิ่นสัมผัสที่ดี ใช้ทาผิวหนังเพื่อป้องกันยุงได้นานประมาณ 7 ชั่วโมง
ผลิตภัณฑ์ Ma-beedee มาบีดี (2000 g) เครื่องดื่มโปรตีนถั่วเหลือง 267 กระป๋อง เป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร ใช้เป็นอาหารทางสายยาง เหมาะสำหรับผู้ที่กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ผู้ป่วย ผู้ที่เกล็ดเลือดต่ำ ผู้ที่แขนขาอ่อนแรง คนเบื่ออาหาร ผู้ที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต และกลุ่มผู้สูงอายุ
ผลิตภัณฑ์ NOW! Whey Protein 300 ขวด ผลิตภัณฑ์โปรตีนสูงพร้อมดื่ม ที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้รวดเร็วที่สุด พร้อมสร้างกล้ามเนื้อและความเเข็งแรงของร่างกาย อายุเก็บรักษานาน 1 ปี ไร้สารเคมีกันเสีย โดยไม่ต้องเเช่เย็น
ข้าวหอมชลสิทธิ์ 2 และข้าวหอมนาเล (ถุง 1 กิโลกรัม) จำนวน 210 ถุง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์ไบโอเทค สวทช. และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
อย่างไรก็ตาม สวทช. ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนด้วยการนำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาสนับสนุนรวมใจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ด้วยกัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
10 Technologies to Watch 2024: เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology)
การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำทำให้มีความต้องการแบตเตอรี่ประเภทลิเทียมไอออนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานให้แก่ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง จึงเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมควบคู่กันไปด้วย
ข้อมูล ณ ปี 2023 (พ.ศ. 2566) ประเทศไทยมียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากถึงร้อยละ 12 ขณะที่มีการประมาณว่าในปี 2030 (พ.ศ. 2573) อัตราความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า
ปัจจุบันการรีไซเคิลแบตเตอรี่ส่วนใหญ่มักใช้ความร้อน (pyrometallurgy) หรือตัวทำละลาย (hydrometallurgy) เพื่อแยกเอาวัสดุบางส่วนที่ยังใช้งานได้ไปใช้ใหม่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จำเป็นต้องใช้พลังงานมากและก่อให้เกิดมลพิษ ในอนาคตกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำวัสดุกลับมาใช้งานใหม่จึงมีแนวโน้มที่จะผ่านการยกระดับสู่ ‘การรีไซเคิลแบบโดยตรง (direct recycle)’ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า และมุ่งเน้นการซ่อมแซมวัสดุเพื่อนำ ‘แร่ลิเทียม’ จากขั้วแคโทดซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของแบตเตอรี่ชนิดนี้ รวมถึงวัสดุต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบกลับมาใช้ประโยชน์ซ้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อลดการสรรหาทรัพยากรใหม่
กระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ด้วยเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบโดยตรง เริ่มต้นจากการนำแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานแล้วเข้าสู่ ‘กระบวนการคัดแยกวัสดุ’ ด้วยวิธีร่อน ตัด ย่อย และบด เพื่อคัดแยกขั้วแอโนดและวัสดุต่าง ๆ ที่ยังใช้ประโยชน์ได้ ขั้นที่สองนำขั้วแคโทดที่เสื่อมสภาพแล้วไปผ่านกระบวนการแยกตัวประสานเพื่อแยกแผ่นอะลูมิเนียมออก ขั้นที่สามเมื่อเหลือเฉพาะวัสดุแคโทดที่เสื่อมสภาพแล้ว จะเป็นขั้นตอนของการนำวัสดุเหล่านั้นไปเข้ากระบวนการฟื้นฟูสภาพ ก่อนนำวัสดุที่ยังใช้ประโยชน์ได้กลับไปใช้ประกอบรวมเป็นแบตเตอรี่ใหม่ มีการประเมินว่าการรีไซเคิลด้วยวิธีนี้อาจนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ซ้ำได้มากถึงร้อยละ 90 และในปี 2030 (พ.ศ. 2573) อาจช่วยลดความต้องการสินแร่ใหม่เพื่อการผลิตแบตเตอรี่ได้มากถึงร้อยละ 25
ข้อดีของการรีไซเคิลแบตเตอรี่ด้วยเทคโนโลยีนี้ คือ ลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้โลหะหนัก และลดต้นทุนการผลิต
ในอนาคตเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบโดยตรงมีแนวโน้มว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการจัดการแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานที่หมดอายุการใช้งานแล้ว เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นการส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ช่วยลดความต้องการสินแร่ได้ร้อยละ 25 ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) โดยมี EBITDA margin มากกว่าร้อยละ 10
ข่าว
บทความ
สวทช. นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ‘บริหารจัดการอาหารส่วนเกิน’ สร้างมาตรฐานการส่งต่ออาหาร หนุน Thailand’s Food Bank
(วันที่ 11 กันยายน 2567) ณ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 (INC 2) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมนักวิจัยพบสื่อมวลชน NSTDA Meets the Press เรื่อง สวทช. นำ วทน. ช่วยบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) เนื่องจากประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขของประชากรของประเทศที่มีรายได้น้อยและมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารประมาณ 3.8 ล้านคน
ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบาย สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการ การจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย กล่าวว่า สวทช. ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG สาขาอาหาร ได้ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ดำเนินการศึกษาและวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสร้างต้นแบบการดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน (Food surplus) ของประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. โดย สวทช. ได้นำองค์ความรู้ของทีมวิจัยและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) เพื่อสร้างแบบจำลองการส่งต่ออาหารส่วนเกินให้สังคมไทย ผ่านการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารส่วนเกิน การกอบกู้อาหาร และการส่งต่ออาหารส่วนเกิน เพื่อช่วยลดการเกิดขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ
ทั้งนี้ สวทช. ได้นำองค์ความรู้ของทีมวิจัยต่าง ๆ มาร่วมกันดำเนินงานบนฐานความเชี่ยวชาญภายใต้สาขาของเทคโนโลยีที่หลากหลาย ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลและการคำนวณขั้นสูง และ เทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยทีมวิจัยเริ่มต้นจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการดำเนินงาน ที่มุ่ง เน้นการใช้องค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอาหารและอาหารปลอดภัย เนื่องจากในกระบวนการส่งต่ออาหารส่วนเกิน ประเด็นเรื่องความปลอดภัยของอาหารเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึง สวทช. โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) มีทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร (IFBT) ที่มีความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านอาหารปลอดภัย (Food safety) สามารถประยุกต์ใช้ความเชี่ยวชาญในการทดสอบความปลอดภัยของอาหารส่วนเกินที่มีข้อกังวลหรือคาดว่าจะมีความเสี่ยงด้วยกระบวนการวิเคราะห์ทดสอบในห้องปฏิบัติการ
ดร. นิภา โชคสัจจะวาที นักวิจัยอาวุโสและคณะผู้วิจัย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) กล่าวเสริมว่า การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยเสริมการจัดการ มีความสำคัญอย่างยิ่ง จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานของอาหาร โดยทีมวิจัยได้จัดทำแนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline) ที่มีแนวทางปฏิบัติตั้งแต่ขั้นตอนการรับอาหาร การเก็บรักษาอาหาร การขนส่ง การแจกจ่ายอาหาร หลักปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสอาหาร เช่น การแช่แข็งอาหารส่วนเกินและติดฉลากใหม่ การระบุวันที่และระยะเวลาที่แนะนำ ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายและการควบคุมอันตราย เช่น สารเคมี สารก่อภูมิแพ้
หลักปฏิบัติในการเตรียมอาหาร เช่น การทำละลายอาหารแช่แข็ง การทำให้สุก ทำให้เย็น อุ่นร้อน การรักษาความปลอดภัยอาหารระหว่างขนส่ง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เพื่อให้อาหารที่แจกจ่ายยังคงมีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการบริโภค ช่วยให้เกิดความมั่นใจทั้งต่อผู้บริจาคและผู้รับบริจาครวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการบริจาคอาหารในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ดึงดิจิทัลเทคโนโลยี จับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ
ดร.นันทพร รติสุนทร ทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) กล่าวว่า ทีมวิจัยซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์และปัญญาประดิษฐ์ (Applied Mathematics and Artificial Intelligence) และประสบการณ์ในการออกแบบและพัฒนาวิธีการและระบบ Intelligent Digital Platform เช่น ระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติ และระบบเชื่อมโยงผลผลิตเพื่ออาหารกลางวัน นำมาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
โดยเป็นเครื่องมือดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพอัตโนมัติ สามารถนำไปเชื่อมต่อกับระบบ Cloud Food Bank มีมูลนิธิ SOS และองค์กรพันธมิตรเครือข่ายเป็นผู้ใช้งาน โดยแพลตฟอร์มสามารถนำเสนอและแนะนำตัวเลือกการจัดสรรอาหารบริจาคพร้อมตารางเส้นทางการรับส่งอาหาร เพื่อลดความเสียหายของอาหาร และสามารถกระจายอาหารบริจาคได้ตามเงื่อนไขและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ผู้ใช้งานกำหนด เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ ลดภาระงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับผู้ใช้งานในการจัดการอาหารบริจาคได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วบนฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อรองรับการขยายฐานผู้บริจาคซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการลดปริมาณอาหารส่วนเกิน และลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดอาหารส่วนเกิน อีกทั้งช่วยลดภาระงานและสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ดูแลระบบได้ดีขึ้น ทั้งนี้ แพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าว ล่าสุดทางเนคเทคได้ขยายการใช้งานโดยอยู่ระหว่างหารือความร่วมมือกับ BKK Food Bank ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อนำไปสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการด้วย
สร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์
ด้าน ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) กล่าวว่า เอ็มเทค โดยทีมวิจัย TIIS ได้พัฒนาแนวทางและการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของอาหารส่วนเกิน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 12.3 การลดขยะอาหารของประเทศ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food Loss and Waste) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570) ตามหมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ และเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580)
ด้านการสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างสังคมคาร์บอนต่ำรวมทั้งแผนขับเคลื่อนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน พ.ศ. 2560 – 2579 กำหนดเป้าหมาย SCP 3 ส่งเสริมให้ประเทศไทยมีระบบอาหารที่ยั่งยืน ในปี 2570 ต้องลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารลงร้อยละ 5 ต่อปีจากปีฐาน และแผนระยะยาว คือ การเพิ่มอัตราการหมุนเวียนวัสดุสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตร-อาหาร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ในปี 2570 ทีมวิจัยได้นำแนวคิดด้านการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment : LCA) สำหรับประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Environmentally implications: Climate change) หรือภาวะโลกร้อน จากอาหารส่วนเกินเพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มบริการอาหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งทำให้เกิดผลดีต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อันจะนําไปสู่การลดขยะอาหารในอนาคต อีกด้วย”
“นอกจากนี้ TIIS รับผิดชอบจัดทำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของประเทศไทย (Thai National LCI database) และค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs Emission Factor: EF) ดังนั้น จึงสามารถนำโครงสร้างพื้นฐานและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้กับการจัดการอาหารส่วนเกินได้ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าร้านอาหารแห่งหนึ่งบริจาคอาหารส่วนเกิน 50 กิโลกรัม จะสามารถคำนวณได้ว่าการบริจาคครั้งนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กี่ต้น หรือลดการใช้พลังงานเท่ากับการปิดไฟกี่ชั่วโมง ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริจาคเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม แต่ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรด้วย ในอนาคต เรายังเล็งเห็นโอกาสที่องค์กรจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการขอรับรองคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดได้ สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การลดขยะอาหารอย่างยั่งยืนในระยะยาว " ดร.นงนุชกล่าวทิ้งท้าย
ดร.ปัทมาพร กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ สวทช. ได้ขับเคลื่อนโครงการการศึกษาแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน หรือ Food surplus โดยที่ผ่านมาได้ทำการศึกษาและทบทวนกฎระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และมีการประชุมรับฟังความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง พบว่าข้อมูลจุดสำคัญของอาหารส่วนเกิน คือ 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตขึ้นมา จะถูกทิ้งซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ใช้ในการผลิต รวมถึงยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศด้วย โดยที่ผ่านมาโครงการฯ ได้มีความพยายามพัฒนาแนวทางการบริจาคอาหารส่วนเกินออกมาให้เหมือนกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี มาตรการด้านคาร์บอน เพื่อส่งเสริมการบริจาคอาหารส่วนเกินให้กับ Food Bank เหมือนเช่นในหลายๆ ประเทศ ซึ่งทั้ง 2 มาตรการ ถือเป็นแนวทางเพื่อให้การจัดตั้ง Food Bank เกิดขึ้นได้จริงและไปต่อได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น
“เรื่องคาร์บอนฟุตพรินต์และคาร์บอนเครดิต ซึ่งการมีคาร์บอนเครดิตกับการบริจาคอาหารส่วนเกินนั้น โครงการฯ อยากเห็นภาพของ Food Bank ในประเทศไทยที่ขายคาร์บอนเครดิต จากการลดปริมาณขยะอาหารดังที่เกิดขึ้นจริงแล้วในประเทศเม็กซิโก ซี่งจะช่วยพลิกโฉมการดำเนินงาน Food Bank จากเดิมในรูปแบบการกุศล เป็นการขายคาร์บอนเครดิตได้ ซึ่งในส่วนนี้ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ (audit) ที่จะเกิดขึ้นด้วย” ดร.ปัทมาพร กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


