ผลการค้นหา :

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนสิงหาคม 2566
ข่าว
สวทช.–ธ.ไทยพาณิชย์ จัดพิธีมอบทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ ๒๕ และ JSTP-SCB รุ่นที่ ๕ ส่งเสริมเยาวชนพัฒนาอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
๔ หน่วยงานวิจัย สกสว. สวรส. วช. ศลช. ร่วมผนึกกำลังทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ต่อยอด ชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รับมือโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ
สวทช. จับมือ สคส. ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
A-MED Telehealth และ KidBright คว้า ๒ รางวัล ‘ค่าของแผ่นดิน’ ประจำปี ๒๕๖๕
บ.เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จับมือ นาโนเทค สวทช. ยกระดับเกษตรมูลค่าสูง ผลิต ‘น้ำมะนาวคั้นสด’ สดนาน ๒ ปี สร้างกระแสบริโภค ‘น้ำมะนาวแช่แข็ง’
สวทช. ประกาศผล ‘ทีมกาแล็กติก ๔’ คว้ารางวัลชนะเลิศ ‘คิโบะ โรบ็อต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ ๔’ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันชิงแชมป์ระดับนานาชาติ ตุลาคมนี้
สวทช. จับมือ HUTCHINSON Japan ร่วมวิจัยระบบรางและการพัฒนายานยนต์สมัยใหม่
สวทช.–วช. ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย ระดมสมอง วางกลไกด้านจริยธรรมของประชาคมวิจัยไทย
ไบโอเทค สวทช. มุ่งมั่นวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่าย กว่า ๒๐ ปี หนุนอุตฯ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย หวังเป็นผู้นำส่งออกสัตว์น้ำโลกได้อีกครั้ง
สวทช. ผนึกพลัง TCELS –วว. จัดกิจกรรมติดอาวุธผู้ประกอบการไทยกลุ่มเวชสำอาง/สมุนไพร กรุยทางเปิดตลาดต่างประเทศ
สวทช. ร่วมกับ บพข. คิกออฟ ๒ โครงการ เสริมแกร่งผู้ประกอบการผลักดันสู่เวทีโลก
สวทช. ติวเข้ม นักเรียนทุนวิทย์ฯ จบใหม่ ประจำปี ๖๖ เสริมแกร่ง กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาประเทศ
สวทช. จับมือ ส.อ.ท. และกรมโรงงานฯ ดันการวิจัยเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรม ให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ สู่การสิ้นสุดการเป็นของเสีย ตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
สวทช. ร่วมกับ KBTG จัดสัมมนา AI and Big Data แลกเปลี่ยนประสบการณ์แนวทางการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาระบบ Big Data/AI
ไบโอเทค สวทช. เผยผลการศึกษาเชิงนโยบายการปรับตัวระบบอาหารท้องถิ่น รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตต่าง ๆ
สวทช. เปิดโครงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่- ผู้ประกอบการ กลุ่มประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ล้านช้าง–แม่โขง
มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ร่วมกับ สวทช. และภาคีเครือข่าย จัดพิธีรับตราพระราชทานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๕ เดินหน้าปลุกศักยภาพเด็กไทยตั้งแต่ปฐมวัยมุ่งสู่การพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน
สภาเภสัชฯ ผนึกกำลัง สวทช. และ สปสช. เดินหน้านำเทคโนโลยี A-MED Care Pharma เชื่อมระบบบริการเภสัชกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย
บทความ
นวัตกรรม “ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ (Marker)” เตรียมประยุกต์ใช้ทางการแพทย์
Download เอกสารฉบับเต็ม (9.1MB)
จดหมายข่าว สวทช.

สวทช. – NIA จับมือ อิมแพ็ค เล็งพัฒนา ‘เมืองทอง’ เป็นเมืองน่าอยู่และยั่งยืนด้วยนวัตกรรม
For English-version news, please visit : NSTDA-NIA joint initiative promotes Muang Thong Thani Smart Living
(วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566) ณ ห้องจูปีเตอร์ 12-13 อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ (IMPACT Challenger) เมืองทองธานี จ.นนทบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
นำโดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเปิดงาน “Muang Thong Thani Smart Living Innovation Pitching” โดยมีนายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยนักลงทุน นักวิจัย Startup ที่เข้าร่วมรับฟังการนำเสนอผลงานนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเมืองทองเป็นเมืองน่าอยู่ และยั่งยืน
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การเปิดงาน “Muang Thong Thani Smart Living Innovation Pitching” วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือกันระหว่าง อิมแพ็คเมืองทองธานี และหน่วยงานที่ทำงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยีของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สวทช. และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งร่วมกันจัดกิจกรรมขึ้นเพื่อร่วมมือกันส่งเสริมการพัฒนาเมืองทองธานี ให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตที่มุ่งสู่ความยั่งยืนและชีวิตที่สะดวกสบาย เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับผู้คน และการริเริ่มให้เป็นชุมชนที่มุ่งส่งเสริมการใช้นวัตกรรม
“เราได้มีการหารือร่วมกันแล้วว่าทิศทางของการร่วมพัฒนานวัตกรรม จะเปิดพื้นที่ให้งานวิจัยและ สตาร์ตอัป ได้มีโอกาสนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาแก้ปัญหาจริง หรือมีโอกาสร่วมพัฒนานวัตกรรมไปด้วยกัน และทางเมืองทองเองพร้อมจะเป็นผู้นำร่องใช้นวัตกรรมก่อนใคร หรืออาจจะเป็นผู้ลงทุนในอนาคตต่อไป เพื่อนำไปสู่แนวคิด Muang Thong Innovation District ตรงกับทิศทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ Smart living Area
อย่างไรก็ตามความร่วมมือกันครั้งนี้ สวทช. มีงานวิจัยที่พัฒนาบนหลักคิดของความยั่งยืน BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) และมีพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งวันนี้มีการนำเสนอนวัตกรรมที่น่าจะตอบสนองความต้องการของชุมชนเมืองทองได้เป็นอย่างดี โดยคาดหวังทั้งฝั่งนักวิจัยและนักลงทุนจะได้มีโอกาสร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบสนองชุมชนเมืองทองธานีให้มีความน่าอยู่และยั่งยืนไปด้วยกัน” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ระบุ
ด้านนายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเผยภายหลังรับฟังการนำเสนอนวัตกรรมจากนักลงทุน Startup และนักวิจัย ว่า ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. NIA และ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่ง อิมแพ็ค เมืองทองธานี ให้ความสำคัญกับผู้คน ทั้งที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่ บริเวณโดยรอบตลอดจนผู้คนที่เข้ามาใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆในเมืองทองธานี ซึ่งมีผู้คนหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการต่างๆในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 300,000-1,000,000 คนต่อวัน ดังนั้นเราจึงเปิดกว้างสำหรับนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาช่วยในการพัฒนาเมืองทองธานีให้เป็นเมืองน่าอยู่ และยั่งยืน เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในเมืองทองธานีให้สะดวกสบายยิ่งขึ้นไป
“อย่างไรก็ตามการรับฟังผลงานนวัตกรรมต่างๆ จากผู้ที่นำเสนอผลงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้รู้ว่าประเทศไทยมีนักวิจัย และนักลงทุน ที่เก่งและมีความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยจำนวนมาก ซึ่งหากนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับชุมชนเมือง หรือองค์กรภาคส่วนต่างๆ จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่ได้ใช้นวัตกรรมที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพงและเป็นการส่งเสริมนวัตกรรมคนไทยไปพร้อมๆ กัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ภายในงานมีผู้นำเสนอนวัตกรรม ประกอบด้วย 2 NSTDA Startup 1 หน่วยวิจัย 5 Startup โดยเป็นการ Pitching เพื่อนำเสนอขายและเสนอการลงทุนแก่นักลงทุน นอกจากนี้ยังมีการออกบูธนำเสนอนวัตกรรม 14 บูธ และมีนักลงทุนร่วมงาน 3 รายคือ NASTDA Holding, NEXUS และ Green Rocket โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด 60 ราย
ข่าวประชาสัมพันธ์

Highlight ประเด็นจากวิทยากร สวทช. x สมาคม TCOS ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม
เก็บตกจากเวทีเสวนา “ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามด้วย FoodSERP for sustainable health and beauty” ภายในงานพิธีลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.
ในฐานะที่ปรึกษากลุ่มแพลตฟอร์ม FoodSERP
คำว่า FoodSERP มาจากเต็มว่า Food Service Platform เป็นรากฐานการวิจัยที่แข็งแกร่งของ สวทช. และเป็น 1 ใน 4 ของ Core Business ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ สวทช. เป็นบริการในรูปแบบ One Stop Service ที่รวบรวมความเชี่ยวชาญทั้ง สวทช. ให้รวมอยู่ที่เดียวกัน โดยทำหน้าที่เป็น Contact Point ที่รับโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ และทำหน้าที่เชื่อมโยงไปตามความเชี่ยวชาญที่ความต้องการ
ส่วนที่สำคัญหลักคือ “Functional Ingredient” ซึ่งสวทช. พูดถึง “Functional Ingredient” มาเกือบ 10 ปี เพราะว่า “Functional Ingredient” เป็น New S-Curve ของอุตสาหกรรมอาหาร ในขณะที่ก็ยังเป็นคอขวดด้วยในเวลาเดียวกัน และยังเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรชีวภาพที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร จุลินทรีย์ และอื่นๆ
ที่เป็น “คอขวด” เพราะเดิมส่วนที่หายไปคือตรงกลางระหว่าง “การวิจัย” และ “การใช้ประโยชน์” เมื่อวิจัยแล้ว ก็มี “ต้นแบบการวิจัย” ออกมาเยอะมาก แต่ขาดการนำไปขยายผลใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ไม่มีคน scale up ไม่มีคนเชื่อมต่อ รวมไปถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ แต่ FoodSERP จะเข้ามาช่วยให้บริการแก้ปัญหาที่เป็นข้อจำกัดเหล่านี้ได้
FoodSERP มี Platform ที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยไบโอเทค หรือนาโนเทค ซึ่งเป็นการรวมพลังเข้าด้วยกัน การร่วมมือกับสมาคม TCOS นี้จะทำให้เติมภาพ ecosystem ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การที่มีผู้รู้อย่างสมาคม TCOS มาชี้เป้า ก็จะทำให้นักวิจัยขับเคลื่อนไปได้ถูกทิศถูกทางยิ่งขึ้น และตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมได้มาก ถือเป็นความท้าทายของนักวิจัย สวทช. ที่จะต้องทำงานตอบโจทย์ความต้องการต่อผู้บริโภค ซึ่งนายกสมาคม TCOS บอกว่าเรื่องการแข่งขันเป็นเรื่องสำคัญ และการตอบสนองต่อผู้บริโภคก็สำคัญเช่นกัน คำถามคือ เราจะบูรณาการความสามารถทั้งหมดที่มีของ สวทช. เพื่อตอบโจทย์ได้อย่างไร ในกรอบเวลาที่เหมาะสม เพราะต้องแข่งขันกันในเรื่องของเวลา
ในด้านของการต่อยอดใช้ประโยชน์จาก Bio-Resources ทาง FoodSERP มีความเข้มแข็งทางด้าน“สมุนไพร”และ “จุลินทรีย์” เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ยังขาดการยกระดับ การใส่มาตรฐาน การพัฒนายกระดับสารสกัดมาตรฐาน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์
ถ้าหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารทั้งประเทศช่วยกัน ปิดช่องว่างและเชื่อมต่อองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องจะทำได้ประโยชน์ ทั้งในด้าน “ความงาม” และ “สุขภาพ” ควบคู่ไปด้วยกัน และช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นได้ ยกตัวอย่าง ที่ประเทศเกาหลี มี Beauty Street เกี่ยวกับสินค้าสุขภาพและความงาม ซึ่งอยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้ เพราะสามารถตอบโจทย์ได้ตั้งแต่ผู้ประกอบการไปจนถึงเกษตรกร
อยากให้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และสมาคม TCOS เป็นไปในลักษณะแบบพี่-น้อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน “TCOS ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจ การตลาด เปรียบเสมือนพี่” และ “สวทช. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็นน้อง” ให้คำแนะนำกันในมุมที่พี่มองเห็นโอกาสว่า เทคโนโลยีที่ สวทช. มีอยู่ ต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง เพื่อให้เดินไปถูกทิศทาง และช่วยกันสร้างปรากฏการณ์ที่เป็นความสำเร็จทางด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศได้ไทยได้เร็วๆ นี้
FoodSERP เป็นกลไกใหม่ ควรมีของใหม่ๆเกิดขึ้น เพื่อให้ของที่มัน fragmented ประกอบเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เพราะขาดคน integrate ภาพใหญ่ ก็หวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างการ integrate ให้ทุกคนได้เห็น เราช่วยกันผลักดันภาพนี้ให้เกิดเป็น Thailand Team หรือ Thai Brand
ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ : ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ
กระแสสังคมเน้นเรื่อง “การรักสุขภาพ” มากขึ้น แต่การจะสวยทั้งจากภายนอกและภายในได้ ก็ต้องมี Functional Ingredient ที่มีคุณภาพ
ประเทศไทยนำเข้าสารสกัดต่าง ๆ ประมาณ 3,000 ล้านบาท และส่งออกได้เพียงแค่ 300 กว่าล้านบาท และมีแนวโน้มการนำสารสกัดเข้าสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีแหล่งวัตถุดิบ สารสกัดจากธรรมชาติจำนวนมาก แต่ที่ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะว่าต้องการสารสกัดที่มีคุณภาพ
ถ้าหากนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ภายในประเทศ มาพัฒนา Functional ที่เป็น Ingredient และเพิ่มคุณประโยชน์ความสวย ความงาม หรือทางด้านดูแลสุขภาพ ก็จะเพิ่มโอกาสให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มมูลค่าของสารสกัดได้ จากเดิมที่เคยจำหน่ายวัตถุดิบตั้งต้นก่อนเป็นสารสกัด ได้เพียงหลักสิบบาท แต่ถ้าใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีมาพัฒนา ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าสารสกัดสูงขึ้นได้
ในส่วน FoodSERP ถ้าเรามีกระบวนการสกัดที่ดี สามารถควบคุมคุณภาพได้ และมีทดสอบวิเคราะห์ทดสอบฤทธิ์ของสารสกัด เพื่อดูว่าสารสกัดแต่ละชนิดเหมาะสมในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ทางด้านความงาม การรักษาโรค หรือในเชิงของการป้องกันและรักษาสุขภาพ จะเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของสารสกัดให้กับประเทศไทยได้
ตัวอย่างเช่น สวทช. ทำการศึกษาเรื่องบัวบกและกระชายดำ ซึ่งประเทศไทยปลูก “บัวบก” จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะนำมาต้มแล้วดื่ม หรืออาจจะทานเป็นผักเคียงกับอาหาร แต่ในต่างประเทศพบว่า สารสกัดในใบบัวบกมีสาร Anti-aging ค่อนข้างดี จึงน่าจะเป็นโอกาสดีถ้าประเทศไทยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารสกัดจากใบบัวบก ส่วน “กระชายดำ” รู้จักกันดีในการกินเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายสำหรับเพศชาย และยังไม่พบการนำ “กระชายดำ” มาใช้ทางด้านเวชสำอาง ซึ่ง “กระชายดำ” เป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ดี ทาง สวทช. โดยนาโนเทคได้วิจัยและพัฒนาสารสกัดจากกระชายดำ และดึงสารบางตัวที่ไม่มีฤทธิ์ออกไป และสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสารสำคัญให้ได้สูงถึง 80-90% และเมื่อทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพพบว่ามีฤทธิ์ดีในด้าน Anti-aging ในด้านการกระตุ้นคอลลาเจน นับเป็นช่องทางใหม่ของกระชายดำ ในเรื่องของการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาพัฒนาทำให้ได้สารสกัดที่ทำเป็นอาหารเสริมกระชายดำ เป็นผลิตภัณฑ์ใช้ภายใน และพัฒนาเป็นเวชสำอางใช้ภายนอกได้ด้วย
สวทช. จะมีทั้งงานวิจัยและเทคโนโลยี แล้วเราก็รู้ว่าจะไปหาเกษตรกรที่ไหนที่ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ เมื่อเทคโนโลยีพร้อม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็พร้อม ก็จะเป็นการต่อจิ๊กซอว์ร่วมกับภาคเอกชนในเรื่องของการทำตลาด ซึ่งมองว่าทั้ง 2 อย่างนี้จะต้องไปด้วยกัน
ทำอย่างไรจะให้แบรนด์เครื่องสำอางไทยที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยและเป็นที่รู้จักในตลาดโลก เป็น soft power ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประเทศไทย พูดถึงและเป็นสินค้าของฝากหรือสินค้าที่นักท่องเที่ยวต้องซื้อกลับไป จะทำให้ผลสะท้อนกลับไปยังทุกภาคส่วนได้ประโยชน์ตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงผู้ประกอบการ
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง : ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช.
หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า Ingredient หรือ Active Ingredient ในโลกนี้ส่วนใหญ่มาจากจุลินทรีย์ไม่ได้น้อยไปกว่าสมุนไพร ซึ่ง “จุลินทรีย์” ได้มาจาก “กระบวนการทางชีวภาพ” หรือ “กระบวนการหมัก”
กระบวนการหมัก จัดกลุ่มง่ายๆ คือ สาร Active Ingredient ที่ผลิตจากจุลินทรีย์ กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่ให้ในเรื่องของความชุ่มชื้น Humectant เช่น กรด Lactic Acid กรด Hyaluronic Acid กลุ่มที่ 2 เป็นตัว Active Ingredient ที่มีมูลค่าสูง ไม่ว่าเป็น Resveratrol, Coenzyme Q10 ซึ่งผลิตได้จากแบคทีเรีย coli โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการปรับแต่งพันธุกรรมด้วยวิธีการชีววิทยาสังเคราะห์ ทำให้สามารถผลิตสารต่างๆ ที่ปกติผลิตในพืช ก็สามารถมาผลิตได้ในจุลินทรีย์ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่ม Natural Color เช่น สารสีน้ำเงิน ได้มาจาก indigoidine สารสีแดงได้มาจากข้าวหมักจากรา Monascus
การผลิตสารสกัดจากจุลินทรีย์มีประโยชน์ ที่ทำให้เราสามารถขยายกำลังการผลิตและควบคุมคุณภาพได้ ลดการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสิ่งต่างๆ ที่มาจากแหล่งอื่น และช่วยในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย คือมีการกำจัดและควบคุมของเสียในกระบวนการผลิต
สิ่งที่น่าสนใจเมื่อพูดถึงจุลินทรีย์ ส่วนมากจะนึกถึง By Product ที่เกิดจากกระบวนการหมัก เช่น by product จากกระบวนการผลิตโปรไบโอติก ซึ่งจะเรียกว่า postbiotic ซึ่ง By-product พวกนี้ก็จะมีฤทธิ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการต้านการอักเสบ การต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ สามารถนำมาใช้เป็น Ingredient ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ นอกจากนี้ By-product อื่นยังสามารถนำมาย่อยด้วยเอนไซม์ต่างๆด้วยกระบวนการทางชีวภาพ ได้ผลิตภัณฑ์ เช่น เปปไทด์ที่ใช้ในเรื่องของการฟื้นฟูสภาพผิว
Beauty Supplement เวลาเราพูดถึงเครื่องสำอาง ไม่ได้เฉพาะครีมประทินผิวหัวจรดเท้า แต่หมายถึงการรับประทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Probiotic, โคเอนไซม์ Q10 ก็มีในรูปของการรับประทานด้วย ซึ่งถือเป็นการใช้จุดแข็งของกระบวนการทางชีวภาพ หรือเทคโนโลยีการหมักที่เป็นจุดแข็งของ FoodSERP ที่เข้ามาช่วยในการผลิต Active Ingredient ในกลุ่มเวชสำอาง
ฺเทรนด์ของประเทศไทย ตอนนี้ที่กำลังมาแรง คือ “ศาสตร์ด้านการชะลอวัย” ไม่ว่าจะเป็นสาร Anti-Oxidant, Anti-Wrinkle เรื่องการลดริ้วรอย สาร Whitening ผู้หญิงเราอยากสวยขึ้น สมาร์ทขึ้น
กระบวนการผลิตจากจุลินทรีย์ ไม่แตกต่างจากกระบวนการผลิตจากสมุนไพร ซึ่งต้องมีมาตรฐานควบคุมและมีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ด้วยเช่นกัน
ความท้าทายทั้งของนักวิจัยและผู้ประกอบการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ คือ การเตรียมข้อมูลต่างๆ ให้พร้อมในการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะถ้าสารเหล่านั้นไม่ได้อยู่ใน Positive List ของ อย.
ความท้าทาย ใน “เรื่องต้นทุนการผลิต” ถึงแม้ว่าจะสามารถผลิตสารสำคัญที่มีคุณภาพ ขึ้นทะเบียนตามมาตรฐานได้ แต่ถ้าต้นทุนเราไม่สามารถแข่งขันได้ ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญ
ในปัจจุบันจะมีเรื่อง “คาร์บอนฟุตพรินต์” เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องผนวกรวมเข้ามาในกระบวนการผลิตให้ครบวงจร ไม่ใช่คิดทีละขั้น
การทำ MOU ร่วมกับสมาคม TCOS ทำให้มีข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งในเรื่องต้นทุนการผลิต เรื่องคาร์บอนฟุตพรินต์ ที่เป็นประโยชน์ ทำให้สามารถออกแบบการทดลองได้ตลอดเวลา รวมถึงเรื่องมาตรฐานของโรงงานผลิต เมื่อมีการผลิตผลิตภัณฑ์แล้ว สามารถทดลองการขึ้นทะเบียน ผลิตภัณฑ์และทดลองตลาดได้ รวมถึงในการ Estimate ต้นทุนการผลิต ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อผู้ประกอบการ ที่จะได้นำผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม และได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการไปใช้งานได้ ในส่วนของโรงงานต้นแบบ FoodSERP ทั้งของทางศูนย์นาโนเทคโนโลยี หรือศูนย์ไบโอเทค ก็ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ไว้ให้กับผู้ประกอบการไว้แล้วเช่นกัน
FoodSERP เปรียบเสมือน “นก” เวลานกบิน ถ้ามีปีกเดียวไม่สามารถบินได้ ต้องมีทั้ง 2 ปีก เช่นเดียวกันกับ สวทช. เป็นปีกหนึ่งข้าง สมาคม TCOS เป็นปีกอีกหนึ่งข้าง ที่เป็นการเสริมพลังกัน เนื่องจาก นักวิจัยฝั่ง สวทช. มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ได้มุ่งเน้นในเชิงธุรกิจ ซึ่งสมาคม TCOS จะมาช่วยเป็นส่วนเสริมงานวิจัยในเรื่องมุมมองด้านธุรกิจ บูรณาการร่วมกับการวิจัยและนวัตกรรมเข้าด้วยกัน ทางด้าน สวทช. จะช่วยเสริมในด้านการช่วยวิเคราะห์มาตรฐานต่างๆ คุณภาพ หรือการสกัดสารสำคัญ และช่วยผู้ประกอบการยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล
Marketing ก็เป็นเรื่องใหญ่ การสร้าง Story Telling ในการเล่าเรื่องของผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจ เป็นเรื่องสำคัญ หากของเราดี แต่ไม่มีเรื่องเล่า ก็จะยากต่อการขับเคลื่อนที่จะเข้าสู่ช่องทางการตลาดได้
ประเทศเกาหลีหรือญี่ปุ่น ทุกผลิตภัณฑ์มีเรื่องเล่า ทราบแหล่งกำเนิดของผลิตภัณฑ์ สามารถบอกกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ได้ว่ามีหรือไม่มีอะไรบ้าง เหมาะกับผู้ประกอบการกลุ่มใด และมีการทำ Clear Labeling เป็นสิ่งที่ สวทช. และ TCOS ต้องจับมือติดปีกร่วมกัน
แต่เดิม สวทช. เราค่อย ๆ พัฒนางานวิจัย และเอกชนก็มา license แต่วันนี้เราต้องเปลี่ยน mindset เรามีของอะไร เอาออกมาเลย สามารถเอามาผลิตและให้ผู้ประกอบการไปใช้ภายใต้ Reasonable Price
การทำงานที่ต่อเนื่อง หรือ Continuosly Improvement ที่จะทำให้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และในเรื่องของ Ecosystem ของประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งจะสามารถสร้างผลกระทบทางด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อมได้
การร่วมมือในครั้งนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังในการพาประเทศไทยก้าวไปสู่ “Sustainable Development Goals (SDGs) หรือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” ในปี ค.ศ. 2030 ตามที่องค์การสหประชาชาติประกาศไว้ บนฐานเศรษฐกิจของประเทศไทย
คุณลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย
มุมมองของผู้ประกอบการเวลาเลือกวัตถุดิบหรือสร้างผลิตภัณฑ์ชิ้นใด ๆ ก็ตาม จะเลือกจากสิ่งที่มีเรื่องราว เป็นเรื่องที่สามารถเล่าได้ และเริ่มนำเรื่องนั้น ๆ มาศึกษา ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปดูงานสถาบันวิจัยใหญ่ ๆ ในการสร้างวัตถุดิบระดับโลก แล้วถามเค้าว่าเวลาที่จะเลือกงาน ๆนึง เลือกจากอะไร เค้าจะตอบว่าเค้าไม่ได้มองที่ตลาด แต่มองที่เรื่องราว ถ้าหากว่าสิ่งนั้นมีเรื่องราวที่พูดได้ยาวนาน เค้าจะเอาสิ่งนั้นมาศึกษาเพื่อต้องการจะค้นพบอะไรที่เป็นความลับอยู่ในนั้น
บริษัทวัตถุดิบระดับโลก เค้าจะทำการบ้านเยอะมาก แต่จะปล่อยปีละตัว ไม่ปล่อยแบบพรั่งพรูสู่ตลาด เน้นปล่อยออกมาเป็นซีรีย์ ถ้าหากสถาบันวิจัยโปรไบโอติกได้ แล้วในปีหน้าก็จะบวกนวัตกรรมเข้าไปอีก ปีต่อไปก็จะมีเรื่องเล่าต่ออีก ถ้าหากเราเลือกพืชหรือนำพืชมาทำ tissue culture แล้วเราเห็นอะไร เราอาจจะมีข้อมูลเก็บไว้แล้ว แต่วิธีการนำออกสู่ตลาด ทุกฝ่ายจะต้องพร้อมที่จะเป็นผู้สร้างเรื่องราว ใน 1 ปี อาจจะมีการผลิตสินค้าหลายชิ้น แต่จะ launch สินค้าออกมาเพียงปีละ 1 ชิ้นเท่านั้น เพื่อให้มีเรื่องราวที่สามารถพูดต่อไปได้เรื่อยๆ
ในการทำธุรกิจ จะมีจุดเด่นเพียงด้านเดียวไม่ได้ นอกจากเรามีของแล้ว เราต้องจับตามองเทรนด์ของโลกด้วย สำหรับเทรนด์โลกในปัจจุบันเน้นในเรื่องการสร้าง “ความยั่งยืน” มีการลดการใช้พลาสติก ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ และให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตวัตถุดิบที่ดึงเอาอะไรหลายๆอย่างที่เรา save กลับไปได้
เทรนด์ Solid Cosmetic เกิดขึ้นในโลก ข้อดีของผลิตภัณฑ์ Solid Cosmetic คือการใช้บรรจุภัณฑ์น้อยลง ทำให้ลดต้นทุนในการผลิต อะไรที่ฟุ่มเฟือย ใช้มากเกินจะถูกลดตัดออกไป และจะทำให้กระบวนการ logistic เกิดผลบวกด้วย จะทำให้ไปได้ไกลมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ไทยเราต้องตื่นตัวรับกระแส ไม่ใช่เป็นแฟชั่น แต่คือความรับผิดชอบต่อสังคมในระยะยาว คำนึงว่าส่งผลกระทบอะไรและแบรนด์ของเราไปปรากฏอะไรในขยะโลกนั่นด้วย
เรื่อง Carbon Footprint สิ่งหลงเหลือในโลก เรื่องของการลดการใช้พลาสติก สิ่งเหล่านี้ถ้าเรามองภาพรวมแล้ว มันส่งผลกระทบถึงสุขภาพ การเติบโตของเด็ก การมีชีวิตของสัตว์ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วหมดไป ไม่เหลือเป็นขยะ ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของแบรนด์นั้นๆ ด้วย
สารกันเสียบางชนิด มีผลกระทบต่อการเกิดมะเร็ง หรือเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศของวัยเจริญพันธุ์
ก่อนหน้านั้นเราใช้ตามๆ กัน เพราะเราอาจจะยังไม่มีงานวิจัยรองรับ เราใช้วิธี copy แล้วผลิตไป เคลมไป เวลาที่มีหน่วยที่ทำให้เราได้รับการวิจัยรับรอง มีเคลมที่ชัดเจนถูกต้อง ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของไทยยืนสง่างามในเวทีสากล
พวกเราที่มีโอกาสได้เห็นช่องทางการขายออกไปสู่ตลาดโลก เห็นว่ากรอบความต้องการและกฎหมายที่ไม่เท่ากัน ในส่วนนี้ผู้ประกอบการทำไม่ได้ เราจำเป็นต้องพึ่งพาการรับรองการวิจัยและหน่วยงานมาตฐานของประเทศ ผลิตภัณฑ์ของเราก็จะสู่มาตรฐานโลกได้ ไม่ถูกตีกลับ เวลาที่เกิดกระแสความต้องการอะไรขึ้นมา เราก็มีความพร้อมในส่วนหลังบ้าน เราก็จะไปได้หมด จะเป็นโอกาสในการสร้างตัวเลขเศรษฐกิจให้กับประเทศในอนาคตได้
ธีมของการเสวนาวันนี้ คือ “Sustainable health and Beauty” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการยอมรับโดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ ต้องมีการคำนึงในเรื่องของสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพของตัวเรา
เทรนด์สมุนไพรในปีนี้ที่กำลังมาแรง คือ “ขมิ้นชัน” ประเทศไทยเราเป็นต้นทางของขมิ้นชัน เราก็น่าจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
ในส่วนของ “แบคทีเรีย” หรือ “จุลินทรีย์” มองได้ว่าเป็นวัตถุดิบโลก เพราะสมมติว่าในยามวิกฤต หรือในสถานการณ์ภัยพิบัติต่างๆ พืชพรรณต่างๆ อาจถูกทำลายไป แต่ถ้าหากห้อง lab ถูกพัฒนาไปล่วงหน้า lab จะเป็นตัวตอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือวัตถุดิบใดๆ ที่โลกต้องการ และสามารถเพิ่มจำนวน scale up ได้อย่างรวดเร็ว มากกว่ากระบวนผลิตพืชตามธรรมชาติ รองรับอนาคตได้ ใช้ทั้งสิ่งที่มีอยู่และสร้างในสิ่งที่เราคาดการณ์ว่าในอนาคตหากเกิดอะไรขึ้น ก็จะมีอีกวิธีการที่จะเพิ่มผลผลิตให้อุตสาหกรรมและเติบโตอย่างรวดเร็ว
FoodSERP เป็นหน่วยงานที่ทำงานรองรับอนาคตในสิ่งที่เราคาดการณ์ว่าในอนาคตหากเกิดอะไรขึ้น หรือว่าไม่เกิดอะไรขึ้นก็จะมี FoodSERP ที่เป็นหน่วยงานเชี่ยวชาญในเรื่องการนำ “แบคทีเรีย” หรือ “จุลินทรีย์” มาช่วยในการเพิ่มผลผลิตให้กับอุตสาหกรรม
ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบมาก แต่ว่าสัดส่วนที่เติบโตขึ้นจะเป็นพวก Personal care หลังจากใส่แมสก์ กลุ่ม makeup ตลาดจะลดลง บางแบรนด์ลดลงกว่า 50% เมื่อคนออกจากบ้านน้อยลง การแต่งหน้าก็ลดลง แต่ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Personal Care มีสัดส่วนที่เติบโตขึ้นและมีการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 20% เช่น สบู่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รวมถึงเรื่องของสุขอนามัย
หน้าที่ของสมาคม TCOS เปรียบเหมือนจิ๊กซอว์ที่เชื่อมโยงส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่นในวันนี้เป็นการเติมเต็มในเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทย และผู้ประกอบการที่เป็น SMEs สามารถเติบโตได้ โดยการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาเติมเต็มนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
เรื่อง story telling ถือเป็นเรื่องสำคัญ คือ ต้องเล่าเรื่องในสิ่งที่คนอยากจะฟัง บางทีเราอยากจะเล่าแต่เค้าไม่อยากฟังก็ไมมีประโยชน์ หัวใจหลักของการทำธุรกิจตั้งแต่ต้น คือ ต้องฟังความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้มาก
สมาคม TCOS มีผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนในเรื่องของการทำ Inside Customer ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก บริษัทต่างประเทศก่อนเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย จะเริ่มจากการทำ Inside Customer แบบเจาะกลุ่ม need ที่แท้จริงคืออะไร คู่แข่งคือใคร อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อน อะไรที่จะเป็นจุดที่ทำให้เค้าเอาชนะได้ จะเอาข้อมูลพวกนี้มาเป็น key หลักก่อนการพัฒนาเป็นสินค้า ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกเลยว่าต้องเอาความต้องการของผู้บริโภคเป็นที่ตั้งและเล่าเรื่องให้ตรงตามที่ใจเค้าต้องการ ประกอบกับจุดแข็ง จุดที่เหนือกว่าคู่แข่งก็จะเป็นจุดที่ทำให้เราชนะได้
ด้วยลักษณะธรรมชาติของคนไทย เป็นคนไม่เปิดเผย ค่อนข้างขี้อาย ไม่กล้าบอกสิ่งที่ตัวเองอยากได้ หรือต้องการใช้ เวลาทำ Inside Consumer กับผู้บริโภคคนไทย จะได้คำตอบที่ไม่ตรงตามที่บอก จึงเป็นสิ่งยากที่จะได้ข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคจริงๆ บางทีพูดอย่างแล้วใช้อีกอย่าง เลยต้องมีการออกแบบการทดลองอีกรูปแบบ คือ การไปสำรวจขยะตามบ้านของผู้บริโภค เพื่อให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ซื้อจริงจาก Shelf กับการใช้งานจริงตรงกันหรือไม่
บรรจุภัณฑ์แบบซอง มีการทำมาเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อรุ่นแรกๆ กำหนดราคาขาย ซองละ 39 บาท เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อน้อยๆ ได้ทดลองใช้ก่อน เมื่อได้ใช้เองแล้ว ยังสามารถซื้อไปฝากคนอื่นได้อีก ดูกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลักเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อนในการซื้อผลิตภัณฑ์
ส่วนใหญ่แบรนด์ที่วางจำหน่ายแบบซองจะเป็นแบรนด์คนไทย เพราะว่าคนไทยจะเข้าใจลักษณะธรรมชาติ และความต้องการของคนไทยด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบข้อผลิตภัณฑ์แบรนด์คนไทย เชื่อมโยงถึงเรื่องของ Story Telling แบรนด์ต่างประเทศ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้ไม่นาน อาจจะต้องถอยทัพกลับไป เพราะไม่เข้าใจ Story Telling และความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคคนไทยด้วย ดังนั้น ถ้าเราจะไปบุกตลาดต่างประเทศ เราต้องทำการบ้านตรงนี้ด้วย เพราะเค้าก็อาจจะไม่ชอบสินค้าบ้านเรา ซึ่งในส่วนนี้ทางสมาคม TCOS ต้องทำการบ้านเพิ่มเติมต่อไป
ในมุมมองของนักธุรกิจในสมาคม TCOS เห็นว่าการเปิดโอกาสให้กับ start up และนักวิจัยรุ่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จะเป็นอีกช่องทางที่สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ให้สามารถเติบโตไปอย่างก้าวกระโดดได้
คุณกฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย
ต้องการให้ R&D มาช่วยอุด pain point ของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทย ตั้งแต่เริ่มทำงานมาเมื่อปี 2557 เป็นคนแรกๆ ที่นำสมุนไพรเข้ามาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง ในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากที่คนจะยอมรับคำว่า “ขมิ้นชันหรือกวาวเครือขาว” เพราะภาพลักษณ์เป็นสินค้าโอทอปใน การรับรู้ของคนทั่วไป
ได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในกรรมการร่างแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2562 ก็มีกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรโดยตรง ทำให้ต่อยอดการทำวิจัยเรื่องนี้ได้ง่ายมากขึ้น
ตอนนั้นทำให้เรารู้ว่าปัญหาอุปสรรคของคนไทยต่อภาพลักษณ์และมุมมองของการนำสมุนไพรมาเป็นวัตถุดิบในเวชสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดู look cheap และไปต่อไม่ได้ ตอนนั้นก็พยายามหาวิธีการที่จะทำยังไงให้คนไทยยอมรับ ก็ใช้วิธีการทดลองใส่สารสกัดจากสมุนไพรมาเป็นวัตถุดิบโดยที่ไม่บอกลูกค้าว่าคืออะไร เพราะถ้าบอกตั้งแต่แรกลูกค้าก็อาจจะไม่ยอมรับ พอผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมาย เช่น ใช้ขมิ้นชันแล้วลดฝ้า กระ จุดด่างดำได้ เค้าก็ถามว่าใช้อะไร เราก็จะมีเอกสารเป็น paper ไปเฉลยให้ลูกค้าทราบ มีผล test ให้ลูกค้าดู ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้รับทุน Research Gap Fund จาก สวทช. โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยเกี่ยวกับขมิ้นชันจาก จังหวัดน่าน ที่มีส่วนช่วยให้ผิวกระจ่างใส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้วัตถุดิบจากสมุนไพรในประเทศ ผลลัพธ์ที่ออกมามีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับต่างประเทศ ก็เลยมีการขอทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำสารต่างๆ จากที่ได้มีโอกาสพบปะผู้ประกอบการในต่างประเทศ ทำให้เรารู้ว่า pain point ของวัตถุดิบไทยที่จะไปต่างประเทศได้นั้น จะต้องอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็ง
การจะนำวัตถุดิบของประเทศไทย เช่น สมุนไพร เข้าไปในต่างประเทศ จำเป็นต้องมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งต้องผ่านการทำวิจัยในเชิงลึก และเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รับรอง
การที่ สวทช. และ สมาคมการค้า TCOS ทำข้อตกลงร่วมกัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ขึ้นมาว่า ประเทศไทยจะเริ่มมีวัตถุดิบภายในประเทศในการผลิตเวชสำอางเป็นของตัวเอง
ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานเครื่องสำอางระดับโลก แต่พอเราเดินในงานแล้วจะเจอแต่สินค้าเกาหลี การสร้างความร่วมมือกันในครั้งนี้ เราก็จะได้เห็น Thai Pavilion ที่เป็นสารสกัดที่มาจากประเทศไทย และก้าวต่อไปในอนาคตอยากให้มีเวชสำอางหรืออาหารเสริมที่มี Active Ingredient เป็นของประเทศไทยปรากฎอยู่ในเวทีโลก
เราไปงานที่ฝรั่งเศสปีที่แล้ว เราเซอร์ไพรส์ที่เห็นอีฟ โรเช แบรนด์อันดับ 1 ของฝรั่งเศสทำผลิตภัณฑ์จากสารสกัดใบบัวบก (cica) ออกมา ซึ่งแบรนด์เกาหลีทำและดังมาก่อนแล้ว อย่างเกาหลีเค้ามองว่าปีนี้จะทำเรื่อง cica ก็ทำ cica เต็มบ้านเต็มเมือง โดยไม่สนว่าแบรนด์ไหนจะออก เราเคยคุยกันในกรรมการ TCOS ว่าคงจะมีซักครั้งที่ประเทศไทยจะปักธงว่าปีนี้เราจะทำเรื่องอะไร แล้วก็ตีตลาดให้แตกไปเลย ทุกคนร่วมกันทำ เช่น เราจะทำเรื่องขมิ้นชัน ก็จะมีขมิ้นชันทุกมุมเลย ไม่ว่าจะเป็นเวชสำอาง อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์ใดๆที่มีส่วนประกอบของขมิ้นชัน ก็จะเกิดเป็นภาพลักษณ์ แล้วก็ไปแข่งในเรื่องของ innovation กัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – NIA จับมือ อิมแพ็ค เล็งพัฒนา ‘เมืองทอง’ เป็นเมืองน่าอยู่และยั่งยืนด้วยนวัตกรรม
(วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566) ณ ห้องจูปีเตอร์ 12-13 อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ (IMPACT Challenger) เมืองทองธานี จ.นนทบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
นำโดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเปิดงาน “Muang Thong Thani Smart Living Innovation Pitching” โดยมีนายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยนักลงทุน นักวิจัย Startup ที่เข้าร่วมรับฟังการนำเสนอผลงานนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเมืองทองเป็นเมืองน่าอยู่ และยั่งยืน
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การเปิดงาน “Muang Thong Thani Smart Living Innovation Pitching” วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือกันระหว่าง อิมแพ็คเมืองทองธานี และหน่วยงานที่ทำงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยีของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สวทช. และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งร่วมกันจัดกิจกรรมขึ้นเพื่อร่วมมือกันส่งเสริมการพัฒนาเมืองทองธานี ให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตที่มุ่งสู่ความยั่งยืนและชีวิตที่สะดวกสบาย เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับผู้คน และการริเริ่มให้เป็นชุมชนที่มุ่งส่งเสริมการใช้นวัตกรรม
“เราได้มีการหารือร่วมกันแล้วว่าทิศทางของการร่วมพัฒนานวัตกรรม จะเปิดพื้นที่ให้งานวิจัยและ สตาร์ตอัป ได้มีโอกาสนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาแก้ปัญหาจริง หรือมีโอกาสร่วมพัฒนานวัตกรรมไปด้วยกัน และทางเมืองทองเองพร้อมจะเป็นผู้นำร่องใช้นวัตกรรมก่อนใคร หรืออาจจะเป็นผู้ลงทุนในอนาคตต่อไป เพื่อนำไปสู่แนวคิด Muang Thong Innovation District ตรงกับทิศทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ Smart living Area
อย่างไรก็ตามความร่วมมือกันครั้งนี้ สวทช. มีงานวิจัยที่พัฒนาบนหลักคิดของความยั่งยืน BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) และมีพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งวันนี้มีการนำเสนอนวัตกรรมที่น่าจะตอบสนองความต้องการของชุมชนเมืองทองได้เป็นอย่างดี โดยคาดหวังทั้งฝั่งนักวิจัยและนักลงทุนจะได้มีโอกาสร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบสนองชุมชนเมืองทองธานีให้มีความน่าอยู่และยั่งยืนไปด้วยกัน” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ระบุ
ด้านนายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเผยภายหลังรับฟังการนำเสนอนวัตกรรมจากนักลงทุน Startup และนักวิจัย ว่า ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. NIA และ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่ง อิมแพ็ค เมืองทองธานี ให้ความสำคัญกับผู้คน ทั้งที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่ บริเวณโดยรอบตลอดจนผู้คนที่เข้ามาใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆในเมืองทองธานี ซึ่งมีผู้คนหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการต่างๆในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 300,000-1,000,000 คนต่อวัน ดังนั้นเราจึงเปิดกว้างสำหรับนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาช่วยในการพัฒนาเมืองทองธานีให้เป็นเมืองน่าอยู่ และยั่งยืน เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในเมืองทองธานีให้สะดวกสบายยิ่งขึ้นไป
“อย่างไรก็ตามการรับฟังผลงานนวัตกรรมต่างๆ จากผู้ที่นำเสนอผลงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้รู้ว่าประเทศไทยมีนักวิจัย และนักลงทุน ที่เก่งและมีความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยจำนวนมาก ซึ่งหากนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับชุมชนเมือง หรือองค์กรภาคส่วนต่างๆ จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่ได้ใช้นวัตกรรมที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพงและเป็นการส่งเสริมนวัตกรรมคนไทยไปพร้อมๆ กัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ภายในงานมีผู้นำเสนอนวัตกรรม ประกอบด้วย 2 NSTDA Startup 1 หน่วยวิจัย 5 Startup โดยเป็นการ Pitching เพื่อนำเสนอขายและเสนอการลงทุนแก่นักลงทุน นอกจากนี้ยังมีการออกบูธนำเสนอนวัตกรรม 14 บูธ และมีนักลงทุนร่วมงาน 3 รายคือ NASTDA Holding, NEXUS และ Green Rocket โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด 60 ราย
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชวนติดตามนวัตกรรมไทย ‘แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล’ แบตเตอรี่ชนิดปลอดภัยสูง ตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด wearable devices
For English-version news, please visit : Graphene-based fiber-shaped zinc-ion batteries designed for wearable devices
หนึ่งในสินค้าที่คอ IT ทั่วโลกต่างจับตาการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่เสมอ คือ wearable devices หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดสวมใส่ไว้กับร่างกาย เช่น สายรัดข้อมือ แถบป้ายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ smart watch นาฬิกาที่มีฟังก์ชันการทำงานมากกว่าการดูเวลา เพราะเพียงสัมผัสที่หน้าจอก็โทรออก รับสาย ฟังเพลง ดูข้อมูลแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ใช้งานผ่านสมาร์ตโฟนได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันหลักด้านการดูแลสุขภาพของผู้สวมใส่อย่างการตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ การนับก้าวเดิน ระยะทางการวิ่ง หรือกระทั่งการแจ้งเตือนให้ดื่มน้ำอีกด้วย อย่างไรก็ตามรู้หรือไม่ว่าผู้พัฒนาอุปกรณ์เทคโนโลยีประเภทนี้ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการออกแบบค่อนข้างมาก เพราะแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายยังไม่สามารถบิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูงได้ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุไฟลุกหรือระเบิด สาเหตุจากส่วนประกอบภายในแบตเตอรี่สัมผัสกับความชื้นภายนอกดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับ North Carolina State University พัฒนากระบวนการผลิต ‘แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล (cable-shaped Zn-ion batteries)’ เพื่อการใช้งานใน wearable devices จุดเด่น คือ บิดงอได้ ทนความร้อนสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_48923" align="aligncenter" width="750"] ดร.นครินทร์ ทรัพย์เจริญดี นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเส้นใยนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.นครินทร์ ทรัพย์เจริญดี นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเส้นใยนาโน นาโนเทค สวทช. เกริ่นถึงจุดเริ่มต้นในการทำวิจัยว่า หลังจากทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยในทีมนวัตกรรมเส้นใยนาโนที่ สวทช. ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ Wilson College of Textiles, North Carolina State University, USA ในระดับปริญญาเอกด้าน biomedical engineering โดยได้รับทุนรัฐบาลจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบัน คือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) และได้ร่วมทำวิจัยในด้านอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน จึงก่อเกิดเป็นความสนใจในการบูรณาการความเชี่ยวชาญทั้ง 2 ด้าน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอุปกรณ์กักเก็บพลังงานในรูปแบบเส้นใย เพื่อลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป ภายใต้การสนับสนุนจาก North Carolina State University, ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. และศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช.
จากจุดเริ่มต้นความสนใจในครั้งนั้น ดร.นครินทร์ได้เริ่มต้นพัฒนากระบวนการผลิตขั้วไฟฟ้าจากเส้นใยกราฟีนเพื่อใช้เป็นขั้วสำหรับแบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล (graphene based fiber electrode fabrication for cable/ fiber-shaped Zn-ion batteries) ร่วมกับทีมวิจัยตั้งแต่ศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 2019-2022 และปัจจุบันสามารถพัฒนาจนประสบความสำเร็จในระดับห้องวิจัยเรียบร้อยแล้ว
ดร.นครินทร์ เล่าถึงผลงานว่า ส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้น คือ ขั้วไฟฟ้าในรูปแบบเส้นใยกราฟีน (graphene fiber) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีประสิทธิภาพในการนำไฟฟ้าสูง วัสดุกักเก็บประจุใช้เป็นแมงกานีสไดออกไซด์ (MnO2) และในส่วนของสารอิเล็กโทรไลต์ (electrolyte) ใช้เป็นสารละลายเกลือของสังกะสีที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย เพื่อให้แบตเตอรี่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง แตกต่างจากแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอไออนทั่วไปที่ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ซึ่งไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเป็นสารอิเล็กโทรไลต์ โดยวัสดุทั้งหมดที่เลือกใช้ในการผลิตแบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิลค่อนข้างมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีต้นทุนด้านวัสดุไม่สูง
“ความจุของแบตเตอรี่ที่ทีมพัฒนาได้ในปัจจุบัน คือ 230 mAh/g หรือเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบเหรียญ ซึ่งเพียงพอกับการใช้งานในผลิตภัณฑ์ wearable devices และด้วยผลิตภัณฑ์มีลักษณะเป็นสายเคเบิลขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นสูง จึงเอื้อให้ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถสร้างสรรค์ผลงานภายใต้ข้อจำกัดด้านขนาดและรูปทรงของอุปกรณ์ได้เป็นอย่างดี”
[caption id="attachment_48921" align="aligncenter" width="750"] ขั้วไฟฟ้าในรูปแบบเส้นใยกราฟีน (graphene fiber)[/caption]
จากจุดเด่นสำคัญ 2 ประการ คือ ‘ยืดหยุ่น’ และ ‘ปลอดภัย’ ทำให้ผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิลนำไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา สายรัดข้อมือ แถบป้ายอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ประเภทเซนเซอร์หรืออุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ที่มีขนาดเล็ก เช่น เซนเซอร์ตรวจนับจำนวนก้าวสำหรับติดที่รองเท้าออกกำลังกาย อุปกรณ์ระบุตำแหน่งสิ่งของ (tracker) อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องติดไว้ตามร่างกาย หรือการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสกับความร้อนสูง เช่น แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ชนิดพกพา
ดร.นครินทร์ เล่าทิ้งท้ายว่า ณ ตอนนี้ความพร้อมของเทคโนโลยีอยู่ในระดับ TRL4 หรือผลิตในระดับห้องทดลองได้แล้ว คาดว่าจะผลักดันสู่ระดับพาณิชย์ได้ในช่วง 6-7 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระยะเวลาของการพัฒนาเทคโนโลยีโดยทั่วไป ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังหาความร่วมมือจากบริษัทเอกชนผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทสายไฟ เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ของแบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิลให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยคาดว่าเมื่อขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์สู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้แล้ว ผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญของผู้พัฒนา wearable devices ที่มองหาแบตเตอรี่ชนิดมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง มีความยืดหยุ่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีต้นทุนด้านวัสดุในการผลิตต่ำได้เป็นอย่างดี
“ปัจจุบันผลงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติแล้ว 2 ฉบับ คือ Advanced Fiber Materials และ ACS Applied Materials and Interfaces รวมทั้งได้รับอนุสิทธิบัตรสำหรับกรรมวิธีเตรียมขั้วแคโทดที่ประกอบด้วยเส้นใยรีดิวซ์กราฟีนออกไซด์และแกมมา-แมงกานีสไดออกไซด์ (Graphene-Based Fiber Shaped Zinc-Ion Batteries and Graphene-Based Fiber Cathode Fabrication Process Thereof) เรียบร้อยแล้ว”
การวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น ปลอดภัย และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในหัวข้อการวิจัยที่หลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยเพิ่มลู่ทางในการออกแบบสินค้าเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ สร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค อีกทั้งยังลดผลกระทบจากข้อกีดกันทางการค้าในการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ นอกจากนี้หากประเทศไทยสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้เอง จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ภายในประเทศได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี ติดต่อได้ที่ ดร.นครินทร์ ทรัพย์เจริญดี นักวิจัย นาโนเทค สวทช. อีเมล nakarin@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ยันเด็กไทยได้ไป JAXA แน่นอน
สวทช. ชี้ส่งเด็กไปแข่งโครงงานวิทยาศาสตร์ของ JAXA ไม่ได้ตัดงบประมาณ แต่ JAXA ปรับรูปแบบเข้าร่วมเป็นแบบผสมเปิดโอกาสให้สามารถเลือกที่จะร่วมกิจกรรมได้ทั้ง Online หรือไปร่วมที่ประเทศญี่ปุ่น ยันสนับสนุนเด็กเก่งมา 17 ปีแล้ว
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงกรณีเพจเฟซบุ๊ก Dark-Sky Thailand ที่ออกมาระบุว่าเด็กที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยจากโครงงานทดลองในอวกาศ “JAXA Asian Try Zero G” ของประเทศญี่ปุ่นถูกตัดงบประมาณค่าเครื่องบินที่จะส่งเด็กไป ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 JAXA ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นรูปแบบออนไลน์ทั้งหมด จึงทำให้ไม่ได้ตั้งงบประมาณเป็นการล่วงหน้าสำหรับการเดินทางไปร่วมกิจกรรมที่ประเทศญี่ปุ่น และ สวทช. ได้จัดสรรงบประมาณเป็นส่วนของการให้ทุนการสนับสนุนแทน แต่เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย การจัดกิจกรรมของ JAXA ได้ปรับเป็นการจัดกิจกรรมรูปแบบผสม (hybrid) เปิดโอกาสให้สามารถเลือกที่จะร่วมกิจกรรมได้ทั้ง Online หรือไปร่วมที่ประเทศญี่ปุ่น โดย สวทช. ได้ให้การสนับสนุนเยาวชนไทยเข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์เช่นเดียวกับเยาวชนของหลาย ๆ ประเทศ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด แต่อย่างไรก็ตามได้มีภาคเอกชนแสดงความจำนงในการให้ทุนสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้แทนประเทศไทยที่สมัครใจเดินทางได้เข้าร่วมกิจกรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เด็กไทยก็ได้โอกาสไปร่วมกิจกรรมที่ญี่ปุ่นด้วยเพิ่มเติมจากการเข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์โดยไม่มีการเสียโอกาส
ผอ.สวทช. กล่าวต่อว่า ในเรื่องดังกล่าว น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะการให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวง อว.และได้กำชับให้ สวทช. ดำเนินการทุกวิถีทางให้เด็กไทยได้เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรมในญี่ปุ่น ซึ่ง ผอ.สวทช. ได้ขานรับนโยบายและรับปากที่จะจัดการให้เด็กไทยได้เข้าร่วมกิจกรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกับช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
สำหรับการจัดกิจกรรมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น สวทช. ได้ดำเนินงานร่วมกันมาเป็นระยะเวลา 17 ปีแล้ว ซึ่ง สวทช. ได้สนับสนุนเด็กและเยาวชนไปเข้าร่วมการแข่งขัน มีทั้ง JAXA Asian Try Zero G และ Kibo Robot Programming Challenge โดยก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 สวทช. ได้คัดเลือกเยาวชนเป็นผู้แทนประเทศไทยไปร่วมกิจกรรมในประเทศญี่ปุ่น แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 สวทช. ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมตามที่ JAXA ได้เปิดให้เข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักวิจัยไบโอเทค สวทช. คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ประจำปี 2566
For English-version news, please visit : BIOTEC researcher named 2023 Young Technologist
(14 พฤศจิกายน 2566) ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ - ภก.ดร.นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับ "รางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2566" จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
โดย รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ประธานมูลนิธิฯ เป็นประธานพิธีประกาศผลในงาน Outstanding Technologist Awards and TechInno Forum 2023 ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค ร่วมมอบดอกไม้แสดงความยินดี
ภก.ดร.นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ นักวิจัยจากทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรม ไบโอเทค สวทช. ได้รับ "รางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2566" จากผลงาน “เทคโนโลยีฐานในการสังเคราะห์ยา (Synthesis for Medicine as Technology Platform)” การสังเคราะห์ทางยาเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเพื่อการวิจัยและพัฒนายา ในกระบวนการพัฒนายามักใช้ระยะเวลานานและมีหลายขั้นตอน โดยยามากกว่าร้อยละ 90 ที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบันคือ ยาเคมีที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก (small molecule) การสังเคราะห์โมเลกุลเหล่านี้ใช้ศาสตร์ด้านเคมีอินทรีย์ (organic chemistry) และความรู้ทางเภสัชกรรม (pharmaceutical science) เข้าร่วมกันและร่วมดำเนินการตั้งแต่การสังเคราะห์
เพื่อวิจัยและพัฒนาซึ่งเป็นการสังเคราะห์ปริมาณน้อย ไปจนถึงการขยายขนาดการสังเคราะจนถึงหลักกิโลกรัม เพื่อเป็นต้นแบบกระบวนการนำไปใช้ระดับอุตสาหกรรม ดังนั้น เทคโนโลยีการสังเคราะห์ยาจึงเป็นการประยุกต์ทางเคมีอินทรีย์ในบริบทที่ต่างกันในแต่ละขั้นตอนการวิจัยและพัฒนายา ซึ่งเทคโนโลยีของผู้วิจัยจะครอบคลุมตั้งแต่ระดับต้นน้ำจนไปถึงในระดับกลางน้ำ เพื่อถ่ายทอดและร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมต่อไปในระดับปลายน้ำ โดยได้เป็นสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมที่มีคุณภาพและมีราคาเหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศไทย และแนวคิด Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ
นอกจากนี้ ยังมีผลงานของ ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. ที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีและได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นเกียรติจัดนิทรรศการแสดงผลงาน และขึ้นกล่าวถึงผลงานเทคโนโลยีบนเวที และรับโล่รางวัลเชิดชูเกียรติผลงานที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยีด้วย
รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นและนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ เป็นรางวัลที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบให้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีผลงานด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องจนเห็นเป็นรูปธรรม สามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับประเทศ โดยรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ที่เริ่มมีผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจนเป็นที่ประจักษ์ถึงศักยภาพและความทุ่มเทในการพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญจนก่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง
ทั้งนี้ มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จะจัดให้มีพิธีรับพระราชทานรางวัลฯ จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 49 ในวันอังคารที่ 23 มกราคม 2567 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระทรวง อว. โดย สวทช. และ ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมกับ QUB จัดใหญ่ “ASEAN-ASSET 2023” งานประชุมวิชาการนานาชาติด้านความมั่นคงอาหาร มุ่งเน้นงานวิจัยและนวัตกรรมอาหารเพื่ออนาคต หวังช่วยลดความรุนแรงวิกฤตอาหารโลก
For English-version news, please visit : ASEAN-ASSET 2023 strengthens food security research
(14 พ.ย. 66) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Queen’s University Belfast (QUB) สหราชอาณาจักร และศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC) เปิดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ “ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food” ในธีม Global Protein Integrity
โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร สวทช. ม.ธรรมศาสตร์ และ QUB โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความตระหนักเรื่องความมั่นคงของอาหารเพื่ออนาคต ซึ่งมุ่งเน้นขอบเขตอาหารในอนาคต ความปลอดภัยอาหารในอนาคต ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการศึกษาสำหรับอาหารในอนาคต และแนวโน้มปัจจุบันและอนาคตของอาหาร โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลก
ธนาคารโลก (World Bank) ได้เน้นย้ำว่าวิกฤตอาหารโลก (Global Food Crisis) ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งถือเป็นการเตือนภัยครั้งใหญ่ นอกจากนี้โครงการอาหารโลก (World Food Programme) ยังเปิดเผยข้อมูลว่าในเวลาเพียงสองปี จำนวนผู้ที่เผชิญหรือมีความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางอาหารเฉียบพลันเพิ่มขึ้นจาก 135 ล้านคนใน 53 ประเทศก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เป็น 345 ล้านคน ใน 79 ประเทศในปี 2566
Prof. Dr. Christopher Elliott (ศาสตราจารย์ดร.คริสโตเฟอร์ เอลเลียต), OBE, Institute for Global Food Security, Queen’s University Belfast เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยควีนส์ (Queen’s University Belfast) สวทช. และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกันจัดงาน ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food ระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ งานประชุม ASEAN-ASSET 2023 ถือเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติในการแลกเปลี่ยน อภิปราย และแสดงความคิดเห็น รวมถึงเผยแพร่ผลงานวิจัยครอบคลุมหัวข้อเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก เช่น วิธีการจัดหาอาหารกลุ่มโปรตีนทางเลือกผ่านการคิดเชิงนวัตกรรม การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยสนับสนุนการผลิตอาหารเพื่ออนาคต และความปลอดภัยของอาหารเพื่ออนาคตจากแหล่งต่าง ๆ เป็นต้น
นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประธานในพิธีเปิดการประชุม ASEAN-ASSET 2023 กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและได้พยายามที่จะผลักดันให้เกิดความมั่นคงทางอาหารผ่านกลไกและมาตรการที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการอาหารแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร มีหน้าที่เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านคุณภาพอาหาร ความปลอดภัยด้านอาหาร ความมั่นคงด้านอาหารและอาหารศึกษา รวมทั้งจัดทำแผนเผชิญเหตุและระบบเตือนภัยด้านอาหารต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและมอบหมาย นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2553 ได้มีการจัดทำ “กรอบยุทธศาสตร์ด้านการจัดการอาหารของประเทศไทย” ซึ่งพัฒนาเป็นแผนแม่บทที่มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ความปลอดภัย คุณภาพ และการศึกษาในประเทศไทย ถือเป็นก้าวแรกสู่การประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบอาหารทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น จนมาถึงปี พ.ศ. 2564 ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ โดยกระทรวง อว. เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อน BCG Model ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านการเกษตร เพิ่มปริมาณอาหารโปรตีนจากการนำนวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ ควบคุมเรื่องของการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food Loss and Food Waste) เป็นต้น
ปลัดกระทรวงฯ กล่าวต่อว่า กระทรวง อว. ผ่านหน่วยบริหารและจัดการทุน ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย ผศ.ดร.ปริปก พิศสุวรรณ รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กล่าวเสริมว่า อาหารแห่งอนาคต (future food) ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อจำเป็นเร่งด่วนที่จะช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร และ บพค. ยังส่งเสริมความร่วมมือกับทั้งภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานทั้งภายในและต่างประเทศผ่านแผนงานต่าง ๆ เช่น แผนงานย่อยพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติ (Global Partnership)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมที่หลากหลายครอบคลุมระบบอาหารยั่งยืน (sustainable food system) ทั้งหมด โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาสายพันธุ์พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ข้าว มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น อีกทั้งยังรับมือกับภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งทนทานต่อโรคและแมลง ขณะที่ด้านเกษตรสมัยใหม่ได้ส่งเสริมให้เกษตรนำระบบดิจิทัลเข้ามาวางแผนระบบเกษตรในภาพรวม อาทิ TAMIS ระบบขึ้นทะเบียนเกษตรกร Agri-Map ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการจัดการเชิงรุก สำหรับงานวิจัยด้านอาหารเรามุ่งผลักดันการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเกิดอุตสาหกรรมอาหารมูลค่าเพิ่มสูงและสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (high value added and functional ingredient) ต้นแบบผลิตภัณฑ์/กระบวนการใหม่ในกลุ่ม functional ingredients เช่น functional microbes และ functional protein การผลิตอาหารเฉพาะกลุ่มที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีการปรับโครงสร้างอาหาร การปรับสูตรและวัตถุดิบใหม่ เช่น อาหารทางสายยางสำหรับผู้ป่วย รวมถึงการวิจัยเรื่องความปลอดภัยอาหาร วิธีการตรวจวินิจฉัยเชื้อก่อโรค สารปนเปื้อนในอาหาร ตลอดจนบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารที่มีคุณสมบัติพิเศษ นอกจากนี้ เรายังริเริ่มพัฒนาการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรส่งออกที่มีมูลค่าสูงของประเทศไทยเช่นทุเรียนอีกด้วย
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวเสริมว่า Queen’s University Belfast สวทช. และ ม.ธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันก่อตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC) ในปี พ.ศ. 2565 ที่ไบโอเทค สวทช. เพื่อช่วยผลิตงานวิจัยระดับโลกเพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน ที่ผ่านมานักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC มีงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพในประเทศและศึกษาด้านความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องสารพิษจากรา เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทย และอาเซียนให้มีศักยภาพในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการผลิตและการส่งออกอาหารในระดับโลก
รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ธรรมศาสตร์มุ่งผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ที่มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติในทุกมิติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสริมประสบการณ์เรียนรู้ในหน่วยงานหรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหารต่าง ๆ ให้แก่บัณฑิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์ตรงในสาขาวิชา และมีความพร้อมทั้งความรู้และประสบการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ
รศ.เกศินี กล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เข้าร่วมในโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2566 ผ่านการดำเนินงานของ IJC-FOODSEC ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คาดหวังให้ การผนึกกำลังระหว่าง IJC-FOODSEC บริษัทเมืองนวัตกรรมอาหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาคอุตสาหกรรมอาหารทั้งในและต่างประเทศ จะเป็นหนึ่งใน Game changer สำหรับการพัฒนากำลังคนขั้นสูงให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศ และมีจุดยืนบนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิต่อไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมางานประชุมนานาชาติ ASSET ซึ่งเป็นงานประชุมในสาขา Food Integrity ชั้นนำระดับโลก จัดโดย Institute for Global Food Security (IGFS), Queen's University Belfast จะจัดในทวีปยุโรปเท่านั้น แต่หลังจากที่ QUB ม.ธรรมศาสตร์ และ สวทช. ได้ร่วมกันก่อตั้ง IJC-FOODSEC ขึ้นที่ไบโอเทค สวทช. ในปีนี้ (2566) ถือเป็นครั้งแรกที่งานประชุม ASEAN-ASSET จัดขึ้นในทวีปเอเชีย ระหว่างวันที่ 14 - 15 พ.ย. 66 มีผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 400 คน และมีผู้นำเสนอผลงานมากถึงจำนวน 36 เรื่อง
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ SMBC แบงก์ชั้นนำของญี่ปุ่น เสริมแกร่งกำลังคน พัฒนาการวิจัยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA and Sumitomo Mitsui Banking Corporation establish partnership to strengthen research and human resource development to advance BCG agenda
(วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยได้รับเกียรติจาก นายเคนทาโร นากาอิ เลขานุการเอกด้านดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยาน
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีระหว่าง สวทช. และ SMBC โดยสวทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยผ่านการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบความมุ่งมั่นของเรา เราปรับตัวให้เข้ากับวาระการพัฒนาที่สำคัญของประเทศ รวมถึงโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) แผนแม่บท AI แห่งชาติ (the National AI Masterplan) และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (the Eastern Economic Corridor)
ทั้งนี้ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในงานวิจัยสาขาต่าง ๆ ของ สวทช. ดำเนินงานใน 5 สาขาเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล วัสดุ นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีพลังงาน (Biotechnology, Digital, Materials, Nanotechnology and Energy Technology) ตลอดจนกิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างการแก้ไขปัญหาให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายและสังคมโดยรวม สวทช. จึงตระหนึกถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกับพันธมิตรว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว อาจไม่ช่วยให้เรานำเสนอการแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างเต็มศักยภาพ เราต้องการพันธมิตรที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของอุตสาหกรรมและชุมชน ให้ความเชื่อมโยง ตลอดจนจัดหากลไกสนับสนุน เช่น คำแนะนำทางธุรกิจ การสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุน
“เรามีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ SMBC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการแก้ปัญหาระดับโลกที่มีชื่อเสียง และมีเครื่องมือทางการเงินและบริการสนับสนุนที่หลากหลาย รวมถึงทุ่มเทอย่างลึกซึ้งในการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจของลูกค้า ได้ตัดสินใจที่จะกระชับความร่วมมือให้ดียิ่งขึ้นกับพวกเรา อย่างไรก็ดีด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจในวันนี้ เราให้คำมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SMBC ในการประสานและเสริมสร้างจุดแข็งและความสามารถร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น ทั้งไทยและญี่ปุ่น” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ครั้งนี้เพื่อแสดงความร่วมมือในการส่งเสริมการลงทุน บริษัทของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่ง SMBC เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ สวทช.
ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ดังกล่าว SMBC จะแนะนำลูกค้าที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจในประเทศไทยให้กับ สวทช. โดย SMBC จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาการวิจัยและพัฒนา การสรรหาบุคลากร การพัฒนาบุคลากรและทำงานร่วมกับ สวทช. เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ผ่านการจัดสัมมนา
“ในปี 2566 ถือเป็นวันครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในฐานะธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่น การจัดทำ MOU นี้เราต้องการที่จะเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้มากขึ้น และมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและโมเดลเศรษฐกิจ BCG ผ่านความร่วมมือกับ สวทช. ทั้งนี้ SMBC ในฐานะสถาบันการเงินญี่ปุ่น เรามีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสานต่อกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทญี่ปุ่น และมีส่วนช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพเพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย”
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกระทรวง อว.
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทยได้ตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมผู้บริหาร และบุคลากรให้การต้อนรับ โดยนายอนุทิน ได้เข้าถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 4) จากนั้นขึ้นรถตุ๊กตุ๊ก ไฟฟ้า EV ( MuvMi) ที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และลดการใช้พลังงานน้ำมันที่กระทรวง อว.ให้การสนับสนุนภาคเอกชนเพื่อมาชมนิทรรศการการจัดแสดงผลงานเด่นของหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวง อว. ก่อนมอบนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวง อว.
นายอนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า ได้เน้นย้ำให้กระทรวง อว. ให้ความสำคัญในการตอบโจทย์ ความต้องการของประเทศ และของโลก และให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยดําเนินการภายใต้หลักการ "เอกชนนํา รัฐสนับสนุน" ที่สำคัญวาระเร่งด่วนที่กระทรวง อว. ต้องดำเนินการทันที คือ การลดความเหลื่อมล้ำ และกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ในโอกาสนี้ คณะผู้บริหารของ สวทช. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมให้การต้อนรับและแสดงผลงานวิจัย ประกอบด้วย
1. Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมืองให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นำเสนอโดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง
2. FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารสำคัญให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ ซึ่งเป็นการวิจัยที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศ นำเสนอโดย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร
3. มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) นำเสนอโดย ดร.วันวิศา ฐานังขะโน ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
4. ต้นแบบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าดัดแปลง แบบ PHEV และ BEV ของ บริษัท อีซียู เทค จำกัด เป็นบริษัท Startup ของ สวทช. ซึ่งเป็นการบูรณาการทีมวิจัยระหว่าง NECTEC ENTEC และบริษัท อีซียูช็อป 1 จำกัด นำเสนอโดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์

สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม TechBiz Starter 2023
สวทช. โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) และ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ร่วมกับหลายหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” ภายใต้โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม "TechBiz Starter 2023” เปิดโอกาสให้นวัตกรหรือผู้ประกอบการ 23 รายที่ผ่านการบ่มเพาะในโครงการ Techbiz Starter ของ สวทช. ได้มาขึ้นเวทีนำเสนอแผนธุรกิจและการต่อยอดผลิตภัณฑ์ฐานนวัตกรรม ต่อหน้าคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการลงทุนจากบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ซึ่งมีการคัดเลือกและมอบรางวัล TechBiz Starter Funds ให้กับหลายผลงานที่มีความน่าสนใจและน่าลงทุน เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีทิศทางและมั่นคง
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

ผอ.สวทช. ร่วมเปิดงาน SynBio Consortium Advancing the Game Changer 2023 สร้างจุดเปลี่ยน และโอกาสใหม่ทางอุตสาหกรรม
(10 พฤศจิกายน 2566) ณ ห้อง Mayfair Grand Ballroom โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ – 22 หน่วยงาน ภายใต้ภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์แห่งประเทศไทย (Thailand Synthetic Biology Consortium) ร่วมจัดงานประชุม SYNBIO Consortium ประจำปี 2566 หัวข้อ Advancing the ‘Game Changer’ โดยมุ่งหวังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology Technology) ของหลายภาคส่วน เช่น ภาคเอกชนทั้งที่เป็น start up และขนาดใหญ่ ภาครัฐที่มีบทบาทกำหนดนโยบาย การส่งเสริมกำลังคน และเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ กิจกรรมพบปะพูดแลกเปลี่ยนระหว่าง startup ผู้สนับสนุน นักลงทุนด้าน SynBio ตลอดจนบูทแสดงผลิตภัณฑ์ด้าน SynBio โดยมี คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดงาน ร่วมด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และนักวิจัยไบโอเทค นำโดย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ร่วมในงาน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า งานประชุมภาคีเครือข่ายด้านชีววิทยาสังเคราะห์ ประจำปี พ.ศ. 2566 หรืองาน SynBio Cosirtium จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ในหัวข้อ Advancing the ‘Game Changer’ เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันอุตสาหกรรมชีวภาพให้เกิดขึ้นในประเทศและเป็นไปได้อย่างยั่งยืน โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ส.อ.ท. ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และบรรจุใน ONE FTI เพราะนอกเหนือจากกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม คือ First Industry จากเกษตรกรรมมาอุตสาหกรรม แล้ว ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ คือ Next Gen Industry เช่น BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดยอุตสาหกรรมชีววิทยาสังเคราะห์นับเป็นแนวโน้มที่ทั่วโลกกำลังขับเคลื่อนไปทางเดียวกัน ซึ่ง ส.อ.ท. มีนโยบาย BCG in action ด้วยการตั้งโครงการสำคัญนำร่องใน 8 อุตสาหกรรม เช่น การนำไบโอมาทำยารักษาโรค ไบโอพลาสติก เครื่องสำอาง เครื่องใย สิ่งทอ เชื้อเพลิง ไบโอเคมีคอล และไบโอฟู้ด เป็นต้น ซึ่ง 8 อุตสาหกรรมนำร่อง ได้มีการนำเอาภาค demand กับ supply มาเจอกัน โดย ส.อ.ท. เชื่อว่า การรวมพลังกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ รวมถึงทุกภาคส่วน จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจได้ และคาดหวังให้งานนี้จะช่วยพลิกโอกาสของโลกและวิกฤตต่าง ๆ ให้เป็นของประเทศไทย เป็น game changer ตัวจริงได้ต่อไป
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า Synthetic Biology เป็นแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรงในกระแสโลก ที่ช่วยลดการพึ่งพาวิถีการทำเกษตรกรรม ปศุสัตว์ การผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้พื้นที่และทรัพยากรมหาศาล ที่สุดท้ายก่อให้เกิดขยะ มลพิษ และผลกระทบอื่น ๆ ต่อสิ่งแวดล้อมจนเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดภาวะโลกรวน ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชน ในนามภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์แห่งประเทศไทย (Thailand Synthetic Biology Consortium) ได้ร่วมมือกัน โดยปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ทำให้เกิดกิจกรรมจากการดำเนินงานเชิงรุกภายในเครือข่าย อาทิ การสร้าง SynBio Academy เพื่อสร้างกำลังคนทั้งรูปแบบ degree และ non-degree ป้อนเข้าสู่สถาบันวิจัยและภาคอุตสาหกรรมการลงทุนหน่วยรับจ้างพัฒนาและผลิตระดับอุตสาหกรรม (Contract Development and Manufacturing Organization: CDMO) การจัดทำแผนพัฒนา Biofoundry โครงสร้างพื้นฐานด้าน SynBio และการทำ Business Matching ภายในเครือข่ายเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และส่งเสริมให้เกิดธุรกิจนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยี SynBio ในกลุ่ม Biorefinery และการแพทย์ งานนี้นับเป็นงานที่มาร่วมอัพเดทความรู้ และมาสร้างเครือข่ายนักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในประเทศได้ และก่อให้เกิดอุตสาหกรรมชีววิทยาบนฐาน BCG นอกจากนี้ สวทช. กำลังดำเนินโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ในเขตนวัตกรรมพิเศษ EECi ด้วยเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงกับ SynBio Cosirtium ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ดร.วรรณพ ผอ.ไบโอเทค ร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากรเสวนาเรื่อง โอกาสของธุรกิจด้านชีววิทยาสังเคราะห์ ช่วงที่ 3: การสนับสนุนจากภาครัฐ และ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผอ.กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ให้ข้อมูล เรื่อง Advancing Synbio with Biorefinery Pilot Plant by NSTDA
จากผลประชุมในครั้งนี้จะช่วยขยายเครือข่ายทั้งในกลุ่มมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย ภาคเอกชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เกิดกิจกรรมที่มีส่วนร่วมระหว่างองค์กรในเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง และสร้างความความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์ของประเทศ เพื่อยกระดับงานวิจัยและดึงดูดการลงทุนด้าน SynBio ในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่เวทีระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์