ผลการค้นหา :
‘ทุเรียนอินทรีย์นิรามิสสุข’ อร่อย ปลอดภัย ใช้ ‘นวัตกรรมถุงแดง’
“เนื้อเยอะ เม็ดลีบ เปลือกบาง มีรสหวานจากธรรมชาติ และปราศจากสารเคมี” คือจุดเด่นของทุเรียนสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด ที่นอกจากจะผ่านการบ่มเพาะด้วยความใส่ใจแล้ว ยังใช้นวัตกรรม ‘ถุงห่อทุเรียน Magik Growth (เมจิกโกรท)’ ผลงานนักวิจัยไทยที่เข้ามาช่วยลดปัญหาหนอนเจาะผลทุเรียน เพลี้ยแป้ง สัตว์กัดแทะและราดำ รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียนด้วย
หนอนเจาะผลทุเรียน ทำผลผลิตเสียหายมากกว่าครึ่ง !
[caption id="attachment_56791" align="aligncenter" width="750"] นายขจรพงศ์ ชูปัญญานนท์ ผู้จัดการสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด[/caption]
นายขจรพงศ์ ชูปัญญานนท์ ผู้จัดการสวนนิรามิสสุข จังหวัดตราด เล่าว่า สวนนิรามิสสุขมีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ เป็นพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 30 ไร่ แบ่งเป็นทุเรียน 10 ไร่ และมังคุดกับลองกองรวม 20 ไร่ ทั้งนี้มีแนวคิดหันมาทำสวนทุเรียนอินทรีย์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการทำเกษตรอินทรีย์มีปัญหาหนักที่ต้องเจอ คือ โรคและแมลง อีกทั้งความรุนแรงก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะแมลงศัตรูพืช
“ปัญหาใหญ่ที่พบคือ ‘หนอนเจาะทุเรียน’ แต่ละปีผลผลิตทุเรียนมีความเสียหายรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งปีล่าสุด ผลผลิตทุเรียนเสียหายมากกว่า 50% สมมติมีทุเรียน 1,000 กว่าลูก โดนหนอนเจาะไปแล้ว 600-700 ลูก ซึ่งทุเรียนที่หนอนเจาะส่งขายไม่ได้ ก็ต้องหาทางออกด้วยการแกะเนื้อทุเรียนไปแปรรูป เช่น ทุเรียนกวน ทำให้มูลค่าการขายลดลง สร้างความเสียหายอย่างมาก”
นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน ป้องกันหนอนเจาะ 100%
ที่ผ่านมาสวนนิรามิสสุขพยายามหาวิธีแก้ปัญหา ทั้งการใช้สารชีวภัณฑ์ สมุนไพร รวมถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ในการป้องกันแต่ยังไม่เห็นผลเด่นชัด กระทั่งเจอนวัตกรรม ‘ถุงห่อทุเรียน Magik Growth’ ผลงานการพัฒนาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่อาจเป็นทางออก
“ตอนแรกเห็นราคาถุงห่อทุเรียน Magik Growth ก็แอบลังเลใจ เพราะราคาใบละ 40 กว่าบาท แต่เมื่อมองในระยะยาว ถุงห่อใช้ซ้ำได้ถึง 2-3 รอบการผลิต และสามารถส่งกลับคืนไปยังผู้ขายเพื่อแลกเป็นส่วนลดกับการซื้อถุงล็อตใหม่ได้ ก็คิดว่าถ้าใช้แล้วดีในระยะยาวก็น่าลอง ในช่วงปีแรกทดลองใช้ถุงห่อทุเรียนบางส่วนก่อนประมาณ 30 ต้น ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่พอใจมาก เพราะป้องกันหนอนเจาะทุเรียนแทบ 100% ทำให้ปัจจุบันนี้สวนนิรามิสสุขใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth กับทุเรียนทุกต้นทั้งสวนมาแล้วถึง 3 รอบการผลิต”
การใช้ถุงห่อทุเรียนไม่เพียงลดผลผลิตที่เสียหาย แต่ยังได้เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างล้นหลามถึง ‘คุณภาพทุเรียน’
“ผู้บริโภคและแม่ค้าที่รับทุเรียนไปขายบอกว่า ทุเรียนของเราคุณภาพดี ผิวสวย มีปริมาณเนื้อทุเรียนเยอะ เม็ดเล็ก เปลือกบาง เวลาผ่าลูกทุเรียนเห็นเนื้อทุเรียนแล้ว ลูกค้าชอบมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ด้วยเช่นกัน ดังนั้นนวัตกรรมนี้ไม่ได้มีดีแค่ป้องกันแมลง แต่ช่วยยกระดับคุณภาพทุเรียนด้วย”
ความลับที่ซ่อนอยู่ใน ‘ถุงแดง’
เห็นเป็นเพียงถุงแดง ๆ ใช่ว่าจะออกแบบมาแค่ห่อหุ้มทุเรียนไม่ให้แมลงหรือสัตว์กัดแทะเข้าทำลายผล เพราะถุงห่อทุเรียน Magik Growth ยังผ่านการวิจัยและพัฒนาให้มีสมบัติพิเศษต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของผลทุเรียน
[caption id="attachment_56787" align="aligncenter" width="750"] ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. ผู้พัฒนาถุงห่อทุเรียน Magik Growth กล่าวว่า ถุงห่อถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นโครงสร้าง 3 มิติ เกิดจากการพัฒนาสูตรพอลิเมอร์ และใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน ทำให้ถุงมีรูพรุนและความหนาที่เหมาะสม ช่วยให้ถ่ายเทน้ำและอากาศได้ดี แต่ขณะเดียวกันถุงห่อก็แข็งแรงพอที่จะนำกลับมาใช้งานซ้ำได้ถึง 2-3 ฤดูกาลผลิต นอกจากนี้ผิวด้านนอกถุงห่อยังมีความลื่นจึงช่วยลดการเข้าทำลายของสัตว์กัดแทะ เช่น กระรอก กระแต และกระถิกได้
“ตัวถุงห่อที่เลือกใช้สีแดง เพราะเป็นช่วงคลื่นแสงที่ช่วยกระตุ้นการพัฒนาผลในทุเรียน ลดปริมาณเส้นใย และปริมาณไฟเบอร์ในเนื้อทุเรียน พร้อมกันนี้ตัวถุงยังสามารถคัดกรองช่วงแสงที่มีความจำเพาะต่อการเติบโตของทุเรียนด้วย ช่วยให้ทุเรียนสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ทั้งนี้จากการเก็บข้อมูลการทดลองใช้ถุงห่อทุเรียนทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและภาคสนามร่วมกับภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พบว่าถุงห่อช่วยให้น้ำหนักและปริมาณเนื้อของทุเรียนเพิ่มขึ้น”
ถุงห่อทุเรียนคุ้มค่า ! ลดสารเคมี เพิ่มมูลค่าการขาย
การใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth แม้จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในเรื่องของค่าถุง และค่าจ้างในการห่อผล แต่ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่หันมาทดลองใช้ต่างยืนยันว่าคุ้มค่าในระยะยาว เพราะนอกจากช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีได้มากแล้ว ยังช่วยพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพดีระดับพรีเมียม
ดร.ณัฐภพ เล่าว่า เทคโนโลยีถุงห่อทุเรียน Magik Growth มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัทเอกชนเพื่อผลิตและจัดจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว ปัจจุบันมีสวนทุเรียนนำถุงห่อทุเรียนไปใช้งานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออก เช่น จ.ระยอง จันทบุรี และตราด เกษตรกรผู้ใช้งานบอกว่า การห่อทุเรียนทำให้ผิวเปลือกทุเรียนสะอาด สีสวย ลดการเกิดโรคและความเสียหายจากแมลง ช่วยลดการใช้สารเคมี อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคและเกษตรกร ที่สำคัญผลทุเรียนที่ได้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เปลือกบาง ปริมาณเนื้อเยอะ ทำให้เพิ่มราคาขายได้อีกด้วย ล่าสุดล้งส่งออกทุเรียนจันทบุรี (ล้งเอ-ต่าย) ซึ่งรับซื้อผลผลิตทุเรียนปีละหลายตันเพื่อส่งออกไปยังประเทศเกาหลีใต้ ได้ร่วมสนับสนุนเกษตรกรในเครือข่ายใช้ทุเรียนถุงห่อ Magik Growth เพื่อบรรเทาผลกระทบความเสียหายจากการตรวจพบสารเคมีที่เปลือกทุเรียน
ผลผลิตทุเรียนปลอดภัย เพราะใช้ถุงแดง
สำหรับสวนนิรามิสสุขที่ปลูก ‘ทุเรียนอินทรีย์’ การใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth อาจไม่ได้มีผลต่อการลดต้นทุนสารเคมี แต่ถุงห่อทุเรียนคือตัวช่วยชั้นดีที่ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายการผลิต ‘ทุเรียนปลอดภัย’
“เราตั้งใจปลูกทุเรียนปลอดภัย อยากปลูกผลไม้ปลอดภัยให้ผู้บริโภคได้รับประทาน ซึ่งนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth เข้ามาตอบโจทย์ได้มาก ทั้งสร้างความแตกต่าง และเป็นเกราะป้องกันปัญหาโรคและแมลงได้ 100% ที่สำคัญคือการห่อทุเรียนทำให้เรารู้สึกว่าได้ดูแลทุเรียนทุกลูกจริง ๆ อีกทั้งเสียงตอบรับจากผู้บริโภคต่างก็ประทับใจทั้งในเรื่องคุณภาพและเนื้อสัมผัส ทำให้เราจะยังใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ต่อไป เพื่อสร้างผลผลิตและนิเวศปลอดภัยให้ทุกคน” นายขจรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย
ถุงห่อทุเรียน Magik Growth นับเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับ ‘ผลไม้เศรษฐกิจไทย’ ให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากการใช้สารเคมี ดีต่อสุขภาพผู้บริโภคและเกษตรกร ตอบโจทย์การขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยสู่ความยั่งยืน
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘ทรายแมวสายกรีน’ จับตัวดี ย่อยสลายได้ ผลิตจากวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตร
‘ทรายแมว’ ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทาสแมวทั้งหลายต้องมีติดบ้าน เพราะนอกจากจะเป็นวัสดุรองรับในกระบะขับถ่ายที่ช่วยให้แมวถ่ายได้อย่างผ่อนคลาย ใช้อุ้งเท้าเขี่ยกลบหลังถ่ายได้เหมือนถ่ายลงพื้นดินพื้นทรายตามธรรมชาติแล้ว ยังมีจุดเด่นสำคัญคือเมื่อโดนน้ำจะแปรสภาพไปเป็น 2 ลักษณะหลัก คือ จับตัวเป็นก้อนหรือแตกตัวเป็นผง (ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์) ทำให้เจ้าของแมวเก็บของเสียไปทิ้งได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดกลิ่นของเสียช่วยให้บรรยากาศภายในบ้านดีขึ้นอีกด้วย
จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งภายในและต่างประเทศ ผู้ประกอบการไทย บริษัทเอส.ไอ.พี.สยามอินเตอร์แปซิฟิค จำกัด ที่เล็งเห็นถึงโอกาสจึงได้ปักธงเดินหน้าวิจัยผลิตภัณฑ์ ‘ทรายแมวสายกรีน’ ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีโจทย์วิจัยคือการเพิ่มจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ด้านการย่อยสลายตามธรรมชาติ และการนำวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตรในประเทศไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทรายแมวมีส่วนช่วยลดปัญหาโลกร้อน
[caption id="attachment_56589" align="aligncenter" width="750"] ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาจากผู้ประกอบการ บริษัทเอส.ไอ.พี.สยามอินเตอร์แปซิฟิค จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์และทรายแมวคุณภาพสูง มีความสนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทใหม่ที่มีส่วนช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงเสนอโจทย์วิจัยเป็นผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทจับตัวเป็นก้อนหลังดูดซับของเสียชนิดย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ที่มีการนำวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์
“ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทีมวิจัยได้นำวัตถุดิบหลักซึ่งมีจุดเด่นตามธรรมชาติแตกต่างกันมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับเพิ่มคุณสมบัติด้านการดูดซับน้ำปัสสาวะและการยึดเกาะจับตัวเป็นก้อนหลังดูดซับน้ำ ทดแทนการใช้สารเคมีชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตามในการผลิตทีมวิจัยยังคงมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีชนิดอื่น ๆ เข้ามาเป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งสัตว์เลี้ยง มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม เพราะสารเคมีที่ใช้ทั้งหมดเป็นเกรดสำหรับผลิตอาหาร
“ทั้งนี้หลังจากการพัฒนาสูตรการผลิตเป็นเวลาประมาณ 1 ปี ปัจจุบันทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ทรายแมวสายกรีนที่พัฒนาขึ้นมีจุดแข็งทั้งด้านการซับน้ำรวดเร็ว ดูดกลิ่นดี หลังซับน้ำแล้วจะจับตัวเป็นก้อนกลมทำให้ตักทิ้งได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ สามารถตักทิ้งลงชักโครกได้ โดยผลิตภัณฑ์มีอายุในการจัดเก็บประมาณ 1 ปี หรือตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทรายแมว”
[caption id="attachment_56587" align="aligncenter" width="750"] ลักษณะเม็ดทรายแมว[/caption]
[caption id="attachment_56595" align="aligncenter" width="750"] ลักษณะการจับตัวหลังดูดซับน้ำ[/caption]
ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จในระดับ TRL4 หรือในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเครื่องจักรเฉพาะสำหรับใช้ในการผลิต เพื่อให้ผลิตได้ครั้งละปริมาณมากพร้อมแก่การผลิตในระดับพาณิชย์
ดร.สิทธิศักดิ์ อธิบายทิ้งท้ายว่า การผลิตทรายแมวชนิดนี้ใช้เครื่องปั้นเม็ดปุ๋ยที่มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยทั่วไปได้ เพียงแต่เครื่องที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปยังมีกำลังการผลิตไม่สูงนัก ทีมวิจัยจึงมีแผนร่วมกับเอกชนในการขอรับทุนสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนาเครื่องเอกซ์ทรูเดอร์ (extruder) หรือเครื่องขึ้นรูปผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ผลิตทรายแมวโดยเฉพาะขึ้น เพื่อให้ผลิตสินค้าได้ปริมาณมากตามต้องการ และลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งหากการพัฒนาเครื่องจักรชนิดนี้เสร็จสิ้นก็คาดว่าจะผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ทันที
ผลิตภัณฑ์ทรายแมวสายกรีนเป็นหนึ่งในหลายผลิตภัณฑ์เพื่อคนรักสัตว์เลี้ยงที่ สวทช. พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งด้านสุขภาพสัตว์ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าการเกษตรไทย เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตามหลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ทรายแมวสายกรีนหรือสนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทอื่น ๆ ติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ อีเมล sitthisp@mtec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4259
หมายเหตุ : ปรับปรุงรายละเอียดที่เผยแพร่ใหม่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ร่วม ม.แม่โจ้ พัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัด ‘แก๊สแอมโมเนียรั่วไหล’ มุ่งลดความสูญเสียให้โรงงานไทยและประชาชนโดยรอบพื้นที่
แอมโมเนีย (NH3) เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์สูงและมีการใช้งานมากในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยประเทศไทยมีกลุ่มโรงงานที่ใช้แอมโมเนียในกระบวนการผลิตหลายด้าน เช่น โรงงานพลาสติก ไนลอน น้ำยางข้น ผงชูรส สารเคมี รวมถึงห้องเย็นและโรงงานผลิตน้ำแข็ง อย่างไรก็ตามแอมโมเนียเป็นสารเคมีอันตรายประเภทแก๊สพิษและมีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้เมื่อเกิดเหตุขัดข้องมีแก๊สแอมโมเนียรั่วไหลเกินกำหนดภายในโรงงาน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่ได้ตั้งแต่ระดับระคายเคืองไปจนถึงเสียชีวิต ดังที่เคยปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันความสูญเสียดังกล่าว แต่ละโรงงานจึงควรเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พัฒนา ‘อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์’ มุ่งสนับสนุนยกระดับความปลอดภัยในการปฏิบัติงานให้ภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินภายในโรงงาน รวมถึงชุมชนโดยรอบอย่างทันท่วงที
[caption id="attachment_56554" align="aligncenter" width="750"] ดร.มติ ห่อประทุม (ซ้ายบน), ดร.คทา จารุวงศ์รังสี (ขวาบน), คุณทวี ป๊อกฝ้าย (ซ้ายล่าง) และคุณมนัสวี ศรีรักษ์ (ขวาล่าง) ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.คทา จารุวงศ์รังสี นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายว่า อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียที่ทีมวิจัยร่วมกับนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้พัฒนาขึ้น เป็นชนิดสารกึ่งตัวนำจากออกไซด์ของโลหะ (metal oxide semiconductor) ที่มีความจำเพาะสูง ตรวจจับปริมาณแก๊สแอมโมเนียได้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มมีการรั่วไหล ไปจนถึงระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ โดยอุปกรณ์ผ่านการออกแบบให้มีขนาดเล็ก ติดตั้งสะดวก ใช้พลังงานต่ำ ส่วนทางด้านการปรับเทียบอุปกรณ์ (calibrate) หากภายในองค์กรมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือผ่านการอบรมมาเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถดำเนินงานปรับเทียบเองได้โดยไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอุปกรณ์ไปซ่อมบำรุงยังห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง ทำให้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีความคล่องตัวในการใช้งานสูง
[caption id="attachment_56551" align="aligncenter" width="500"] เซนเซอร์ตรวจวัดแก๊ส[/caption]
[caption id="attachment_56552" align="aligncenter" width="500"] เซนเซอร์ตรวจวัดแก๊ส[/caption]
[caption id="attachment_56550" align="aligncenter" width="500"] ภาพถ่ายโครงสร้างหลักในการตอบสนองแก๊สของเซนเซอร์ที่พัฒนาขึ้น โดยถ่ายเทียบขนาดกับรากของเส้นผม[/caption]
อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีคุณสมบัติและราคาอยู่ในเกณฑ์ทัดเทียมหรือแข่งขันกับอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และที่พิเศษกว่านั้น คือ อุปกรณ์เซนเซอร์นี้วิจัยและพัฒนาโดยคนไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้ทีมวิจัยมีความพร้อมในการช่วยปรับแต่งอุปกรณ์ให้สอดรับกับความต้องการใช้งานของผู้ประกอบการไทยที่มีความหลากหลาย
[caption id="attachment_56553" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนีย[/caption]
คุณทวี ป๊อกฝ้าย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายเสริมถึงส่วนฟังก์ชันการจัดส่งข้อมูลจากเซนเซอร์ไปยังระบบวิเคราะห์ข้อมูลและระบบแจ้งเตือนความเสี่ยงของโรงงานที่ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. เป็นผู้พัฒนาขึ้นว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ให้เป็นอุปกรณ์ประเภท IoT (Internet of Things) หรืออุปกรณ์ที่สื่อสารและส่งข้อมูลการตรวจวัดได้ด้วยตัวเอง โดยออกแบบให้จัดส่งข้อมูลได้ 2 รูปแบบหลัก รูปแบบแรกคือการส่งข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มวิเคราะห์บริหารจัดการงานภายในโรงงาน เพื่อประโยชน์ด้านการเฝ้าระวังการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในโรงงานที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนีย และการป้องกันไม่ให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่สูดดมหรือสัมผัสแก๊สแอมโมเนียในปริมาณเกินกำหนด เพราะการรับแก๊สแอมโมเนียเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ในระดับความเข้มข้นต่ำก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
“ส่วนการจัดส่งข้อมูลรูปแบบที่สองคือการส่งสัญญาณแจ้งเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยมีการออกแบบระบบให้แจ้งเตือนได้หลายระดับ ตั้งแต่แจ้งเตือนไปยังส่วนงานซ่อมบำรุงและส่วนงานความปลอดภัยเพื่อเข้าตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ภายในโรงงาน และการส่งสัญญาณแจ้งเตือนฉุกเฉินในรูปแบบแสง เสียง และข้อความไปยังผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่ เพื่อให้เร่งอพยพออกจากจุดเกิดเหตุโดยด่วน โดยระบบแจ้งเตือนทั้งหมดนี้สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละโรงงานได้เช่นกัน”
ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว โดยมีแผนดำเนินงานความร่วมมือกับโรงงานทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ในไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ก่อนเปิดถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตต่อไป
ดร.มติ ห่อประทุม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายว่า จากการวิจัยเพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี ทำให้ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณแก๊สชนิดต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเด่น เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เอทิลีน นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานในการตรวจวัดต่ำ ทำให้สามารถพัฒนาต่อยอดอุปกรณ์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การผลิตอุปกรณ์พกพาสำหรับผู้ทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณแก๊สต่าง ๆ ภายในโรงงาน หรือการผลิตอุปกรณ์พกพาในรูปแบบป้ายแขวนคอสำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงสูง โดยขณะนี้ทีมกำลังต่อยอดองค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยบูรณาการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเซนเซอร์เพื่อใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และการพัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดระดับน้ำเสียร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งงานวิจัยโครงการที่สองนี้ได้รับทุนสนับสนุนทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
“นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังต่อยอดการพัฒนาเซนเซอร์สู่การผลิตอุปกรณ์ E-nose (electronics noses) หรืออุปกรณ์จมูกอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้วิเคราะห์กลิ่นซึ่งกำลังมีความต้องการสูงในหลายอุตสาหกรรม เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้นอกจากจะวิเคราะห์กลิ่นได้แม่นยำกว่ามนุษย์แล้ว ยังใช้ปฏิบัติภารกิจที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพแทนมนุษย์ได้ด้วย โดยจุดเด่นของอุปกรณ์ E-nose ที่พัฒนาขึ้น คือ เซนเซอร์แต่ละตัวภายใน E-nose สามารถให้ข้อมูลลักษณะเด่นหรือฟีเจอร์ (feature) ได้เป็นจำนวนมาก แตกต่างจากเซนเซอร์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่วิเคราะห์ได้เพียงฟีเจอร์เดียว ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น และช่วยให้ต้นทุนการผลิตอุปกรณ์ลดลง พร้อมกันนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนา AI สำหรับใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก E-nose เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น และช่วยลดระยะเวลาในการปฏิบัติงานด้านการทดสอบกลิ่นได้เป็นอย่างดี โดยขณะนี้ทีมวิจัยกำลังเดินหน้าวิจัยอุปกรณ์เพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลักของไทยทั้งในด้านเกษตร อาหาร สุขภาพ และการแพทย์”
[caption id="attachment_56555" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบอุปกรณ์วิเคราะห์กลิ่นรายละเอียดสูง (E-nose) และลักษณะข้อมูลจากการตรวจวัด[/caption]
การที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ตรวจวัดปริมาณสารเคมีชนิดต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยกระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้เกิดการทำอุตสาหกรรมในรูปแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.คทา จารุวงศ์รังสี นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อีเมล kata.jaruwongrungsee@nectec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2185
ผู้ร่วมวิจัย
วัสดุนาโนสำหรับตอบสนองแก๊สแอมโมเนีย พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) โดยมี นายมณธวัช วิบูลย์ นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ รศ. ดร.วิรันธชา เครือฟู อาจารย์ที่ปรึกษา จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นผู้ร่วมวิจัย
การวิจัยทางด้านการประยุกต์ใช้แก๊สเซนเซอร์ในงานด้านสุขภาพและการแพทย์ เป็นงานความร่วมมือกับ รศ. ดร.ชัยกานต์ เลียวหิรัญ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การวิจัยทางด้านการประยุกต์ใช้แก๊สเซนเซอร์ในงานด้านตรวจวัดระดับน้ำเสีย เป็นงานความร่วมมือกับ ผศ. ดร.ฐปน ชื่นบาล, รศ. ดร.วิรันธชา เครือฟู และ ผศ .ดร.ศิราภรณ์ ชื่นบาล จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : โปรแกรม ‘ช่วยวิเคราะห์เลือกคู่ผสมสัตว์’ ลดเสี่ยงสูญพันธุ์
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
เนื่องในวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันความหลากหลายทางชีวภาพ (International day of biological diversity) สวทช. จึงขอนำเสนอผลงานการวิจัยโปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสมพันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เพื่อเลี่ยงการผสมภายในเครือญาติหรือ ‘เลือดชิด’ ลดความเสี่ยงการได้รับลักษณะอ่อนแอหรือโรคทางพันธุกรรรมจากพ่อและแม่ โดยโปรแกรมนี้มีศักยภาพในการประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงถึงระดับประชากร จึงใช้สนับสนุนการดำเนินงานด้านอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อการคงสภาพการอยู่รอดด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ในการวิจัยและพัฒนา ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาโปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสม #ละมั่งสายพันธุ์ไทยที่มีสถานะเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เป็นลำดับแรก เพราะในอดีตละมั่งเคยมีสถานภาพสูญพันธุ์จากป่าธรรมชาติของประเทศไทยไปแล้ว แต่ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันเพาะเลี้ยงและนำปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ปัจจุบันจึงยังคงมีละมั่งพันธุ์ไทยและลูกผสมระหว่างละมั่งพันธุ์ไทยและพันธุ์เมียนมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนประชากรที่ยังคงเหลือน้อยในระดับวิกฤตผู้ดูแลจึงยังต้องระมัดระวังเรื่องการผสมพันธุ์อยู่เสมอ
จากความสำเร็จในการเลือกคู่ผสมละมั่งพันธุ์ไทย นักวิจัยได้ขยายการดำเนินงานสู่การประยุกต์ใช้กับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดอื่นที่มีสถานะวิกฤตไม่ต่างกันเรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างเช่น พญาแร้ง เสือลายเมฆ เก้งหม้อ ซึ่งผลจากการวิเคราะห์พบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะขยายพันธุ์สัตว์เหล่านี้ เพื่อคงความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรสัตว์
📌 2) ดีอย่างไร ?
โปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสมสัตว์ทำงานโดยการวิเคราะห์ความคล้ายคลึงของจีโนไทป์ (genotype) ที่ได้จากสัตว์แต่ละตัวจำนวน 30,000 ตำแหน่ง โดยโปรแกรมจะนำเสนอค่าความแตกต่างของจีโนไทป์ทุกคู่ในรูปแบบตารางที่อ่านผลได้ง่าย เพื่อให้สัตวแพย์ประเมินความ ‘เลือดชิด’ หรือ ‘พันธุกรรมที่มีความแตกต่างกันน้อย’ ได้โดยสะดวก สามารถเลือกพ่อและแม่พันธุ์ที่มีความเหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โปรแกรมยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ได้อีก 2 ด้าน ด้านแรกคือการวิเคราะห์สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตว่าเป็นพันธุ์แท้หรือลูกผสม เพื่อใช้ยืนยันจำนวนประชากรและวางแผนอนุรักษ์ตามสายพันธุ์ ด้านที่สองคือการสืบย้อนหาเครือญาติของสิ่งมีชีวิตโดยการสร้างแผนภูมิต้นไม้สำหรับแต่ละครอบครัว (family tree reconstruction) เพื่อแก้ปัญหาข้อมูลที่บันทึกไว้ไม่สมบูรณ์หรือสูญหาย ข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลสายพันธุกรรม (pedigree) รวมถึงการสังเกตลักษะเด่นและด้อยที่ปรากฏให้เห็นและส่งต่อไปยังรุ่นต่อไปได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนการผสมพันธุ์อย่างเหมาะสม
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ทีมวิจัยวางแผนพัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นเพื่อการใช้ประโยชน์ด้านการอนุรักษ์สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ โดยปัจจุบันได้มีการขยายการดำเนินงานไปยังสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์สูงชนิดอื่น ๆ อาทิ พญาแร้ง เก้งหม้อ เสือลายเมฆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ทีมยังมีแผนดำเนินงานร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการนำโปรแกรมเข้าสู่ระบบขององค์การสวนสัตว์ฯ เพื่อเปิดให้ผู้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และการผสมพันธุ์สัตว์ในประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมเพื่อลดความเสี่ยงสูญพันธุ์ และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
พร้อมให้บริการเทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์เลือกคู่ผสม ละมั่ง พญาแร้ง เก้งหม้อ เสือลายเมฆ
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : NBT พัฒนาโปรแกรม “วิเคราะห์เลือกคู่ผสมสัตว์” ลดเสี่ยงสูญพันธุ์ นำร่องอนุรักษ์ “ละมั่งพันธุ์ไทย”
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : ReLife กระจกตาชีวภาพ
📌 1) เกี่ยวกับอะไร?
ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้คนมากกว่า 10 ล้านคนกำลังเผชิญความยากลำบากจากการสูญเสียการมองเห็น เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บทางกระจกตา โดยที่ผ่านมาหนทางหลักเพียงหนทางเดียวที่จะรักษาผู้ป่วยได้อย่างค่อนข้างปลอดภัยคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาใหม่โดยอาศัยกระจกตาที่ได้รับบริจาคจากผู้เสียชีวิตเท่านั้น ซึ่งจากจำนวนกว่า 10 ล้านคนนั้นมีเพียงร้อยละ 15 ที่จะเป็นผู้โชคดีได้รับโอกาสนี้
จากปัญหาดังกล่าวนักวิจัยไบโอเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีผลิตกระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์ (stem cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิดขึ้น เพื่อมอบโอกาสใหม่ในการมองเห็นให้แก่ผู้ที่มีความต้องการ เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องตั้งตารอคอยด้วยความหวังเป็นระยะเวลายาวนานอีกต่อไป
📌 2) ดีอย่างไร?
กระจกตาเทียมที่ผลิตจากสเต็มเซลล์จะมีลักษณะเป็นกระจกตาใสเหมือนของเด็กแรกเกิด แตกต่างจากกระจกตาที่ได้รับบริจาคซึ่งมักมีความขุ่นมัวตามอายุของผู้เสียชีวิต การเปลี่ยนกระจกตาจะใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อนำโครงเลี้ยงสเต็มเซลล์ (มีลักษณะเหมือนกระจกตาของมนุษย์) และสเต็มเซลล์เข้าไปยึดติดบนดวงตาของคนไข้ จากนั้นสเต็มเซลล์จะค่อย ๆ กินโครงเลี้ยงเซลล์เป็นอาหารจนหมดและเติบโตขึ้นมาเป็นเซลล์กระจกตาตามธรรมชาติที่มีลักษณะเหมือนกับโครงเลี้ยงเซลล์ทุกประการ ทำให้ร่างกายไม่เกิดการต่อต้าน และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ทั้งนี้ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ที่ปัจจุบันได้ผันตัวไปเป็นสตาร์ตอัป (ภายใต้โครงการ NSTDA Start-up) เรียบร้อยแล้ว ได้เผยถึงความตั้งใจว่า ‘จะทำให้คนไทยเข้าถึงกระจกตาชีวภาพในราคาที่จับต้องได้’
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ผลิตภัณฑ์นี้จะมีส่วนในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูญเสียการมองเห็นเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บทางกระจกตา รวมถึงครอบครัวและคนใกล้ชิด โดยความสำเร็จจากการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลอง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สตาร์ตอัป ReLIFE พัฒนากระจกตาชีวภาพ ความหวังเปลี่ยนกระจกตาไม่ต้องรอรับบริจาค
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ ป้องกันคราบน้ำ-ฝุ่น
📌 1) เกี่ยวกับอะไร?
น้ำยาเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ช่วยลดการเกาะของน้ำผ่านการปรับค่ามุมสัมผัสของน้ำบนวัสดุ (water contact angle) ทำให้น้ำ น้ำมัน หรือของเหลวที่ตกกระทบผิววัสดุมีลักษณะเป็นก้อนกลมกลิ้งไหลออกจากแผงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งคราบน้ำเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว นอกจากนี้น้ำยาเคลือบยังช่วยลดการเกาะของฝุ่นบนพื้นผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างหนักหน่วง
📌 2) ดีอย่างไร?
น้ำยาเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ช่วยให้แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 ในช่วงหน้าแล้ง (ฤดูหนาว-ฤดูร้อนของประเทศไทย) เมื่อเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา และไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานและค่าใช้จ่ายด้านการทำความสะอาดให้แก่เจ้าของแผงได้เป็นอย่างดี (ช่วยให้ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยครั้งเหมือนแผงที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา) เพราะโดยทั่วไปการทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งไว้บนที่สูงหรือหลังคาจะต้องว่าจ้างผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านการทำงานบนที่สูงมาปฏิบัติงาน หากผู้ล้างขาดความชำนาญอาจทำให้แผงเกิดรอยขีดข่วนหรือชำรุด ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสบายใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้จะไม่ส่งผลต่อการรับประกันแผงโซลาร์เซลล์ เพราะสารเคลือบสามารถล้างออกโดยไม่หลงเหลือคราบบนแผงโซลาร์เซลล์ได้
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานสะอาด และเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในด้านการลดการใช้พลังงานจากถ่านหิน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังผ่านการทดสอบแล้วว่ามีความปลอดภัยทั้งต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
พร้อมให้บริการเทคโนโลยีแล้ว ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการให้บริการได้ที่ www.nanocoatingtech.co.th
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
คนอุดรฯ ร่วม สวทช. พัฒนา ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’ สามล้อไฟฟ้า มุ่งทำแซนด์บ็อกซ์ขนส่งสายกรีน
โดยทั่วไปหากไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้งาน หนึ่งในขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในภาคอีสานก็คือ ‘สกายแล็บ (Skylab)’ รถสามล้อเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เดินทางสะดวก รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 7 คน หรือจะปรับมาใช้ขนส่งสินค้า อาทิ ผลิตผลทางการเกษตรก็คล่องตัวเช่นกัน แต่ในวันนี้วันที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาโลกร้อนในระยะที่ยากจะหวนกลับคืน สิ่งที่แต่ละภาคส่วนจำเป็นต้องตระหนักและช่วยกันอย่างเร่งด่วน คือ ลดการปล่อยมลพิษ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี จึงลุกขึ้นเป็นตัวแทนคนในจังหวัดเดินหน้าพัฒนาแซนด์บ็อกซ์ (sand box) ขนส่งสายกรีน โดยเริ่มจากพัฒนาสามล้อไฟฟ้าที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของสกายแล็บแต่เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น
[caption id="attachment_56399" align="aligncenter" width="750"] สกายแล็บ (Skylab)[/caption]
[caption id="attachment_56397" align="aligncenter" width="750"] สกายแล็บ (Skylab)[/caption]
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี พัฒนาต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
‘KHamKoon’ ยกระดับความปลอดภัย เพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
‘ยานยนต์สมัยใหม่ที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ท้องถิ่น ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ คือ ความต้องการของคนจังหวัดอุดรธานีที่เป็นโจทย์ในการดำเนินงานให้กับทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. นักวิจัยจึงได้ดำเนินภารกิจครั้งนี้โดยเลือกใช้สกายแล็บเป็นโจทย์ตั้งต้น เพื่อคงไว้ซึ่งภาพจำของคนในจังหวัด รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยได้ร่วมกันตั้งชื่อให้กับสามล้อไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ว่า ‘KHamKoon (ค้ำคูณ)’
[caption id="attachment_56432" align="aligncenter" width="750"] คุณชัยวิวัฒน์ เกยูรธำมรงค์, คุณวัลลภ รัตนถาวร, คุณยศวัฒน์ เศรษฐกุลสิทธิ์ และคุณอรรถพล พลาศรัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่ง เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.วัลลภ รัตนถาวร ทีมวิจัยเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่ง กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า รถสามล้อทั่วไปจะมีจุดศูนย์ถ่วงอยู่ใกล้กับล้อหน้า เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วจะเกิดการสไลด์ ล้อยก หรือพลิกคว่ำได้ง่าย ทีมวิจัยจึงได้นำความเชี่ยวชาญด้านระบบขับเคลื่อนและระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ออกแบบ ‘การเพิ่มเสถียรภาพในการเข้าโค้งให้แก่รถ’ โดยเทคโนโลยีเฉพาะที่พัฒนาขึ้น คือ ‘มอเตอร์ควบคุมการขับเคลื่อนที่ควบคุมล้อแต่ละล้อได้อย่างอิสระตามสถานการณ์การขับขี่แบบอัตโนมัติ’ ซึ่งจากการทดสอบประสิทธิภาพความปลอดภัยในการใช้งานพบว่า ผู้ขับขี่สามารถขับต้นแบบรถ KHamKoon แล้วกลับรถหรือเปลี่ยนทิศทางรถอย่างรวดเร็ว (J-turn) ที่ความเร็ว 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างปลอดภัย ตรงตาม มอก.3264-2564 ที่เป็นมาตรฐานสากล หรือมีความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้นกว่าเดิม
[caption id="attachment_56394" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบรถ KHamKoon (ค้ำคูณ)[/caption]
“ส่วนด้านโครงสร้างรถทีมวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์โครงสร้างซึ่งอยู่ในกลุ่มวิจัยเดียวกันได้ดำเนินการออกแบบใหม่โดยปรับแต่งให้เป็นรถที่คงไว้ซึ่งลักษณะเค้าโครงเดิมของสกายแล็บ แต่มีความแข็งแรงและความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยทีมวิจัยได้ใช้หลักการ finite element analysis หรือการคำนวณเพื่อวิเคราะห์ความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการสร้างแบบจำลองยานยนต์ด้วยเทคโนโลยี simulation จนได้เป็นผลงานการออกแบบ ‘โครงสร้างรถที่มีศักยภาพในการเป็นเกราะเสริมความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร’ ส่วนประเด็นสุดท้ายด้านการเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทีมวิจัยได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์จากระบบสันดาปภายใน ให้เป็นระบบไฟฟ้า (EV) โดย KHamKoon ผ่านการออกแบบให้ใช้แบตเตอรี่ความจุ 12 kWh เป็นแหล่งพลังงาน ทำให้วิ่งได้ระยะทาง 120-150 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การชาร์จแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ใช้แท่นชาร์จ AC type 2 ที่มีให้บริการทั่วไปในปัจจุบันได้ และสามารถปรับการผลิตรถให้ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้นและใช้รูปแบบการชาร์จแบบเร็ว (fast charge) ได้ หากมีความต้องการในอนาคต ปัจจุบันทีมวิจัยได้ส่งมอบต้นแบบรถ KHamKoon คันแรกให้สภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีแล้ว”
คนอุดรฯ พร้อมลุยต่อกับ ‘แซนด์บ็อกซ์ขนส่งสายกรีน’
การจะลงทุนปรับเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะในระดับจังหวัดไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนระบบนิเวศ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี ในฐานะตัวแทนของประชาชนในจังหวัด จึงได้เป็นแกนนำในการนำร่องวางแผนจัดทำแซนด์บ็อกซ์ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_56395" align="aligncenter" width="450"] คุณอนุพงศ์ มกรานุรักษ์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี[/caption]
คุณอนุพงศ์ มกรานุรักษ์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี อธิบายว่า การดำเนินงานความร่วมมือในการพัฒนารถ KHamKoon ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. สภาอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะนำต้นแบบรถ KHamKoon มาใช้ในการทำแซนด์บ็อกซ์ขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสิ่งที่ทางสภาอุตสาหกรรมได้ดำเนินงานคู่ขนานไปกับการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเอ็มเทคตั้งแต่เริ่มต้นก็คือการวางกลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนแผนงานนี้ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ภารกิจแรกภายใต้แซนด์บ็อกซ์ที่กำลังจะเริ่มทดลองใน 1-2 เดือนนี้แล้ว คือ การนำ KHamKoon ไปให้บริการรับส่งผู้โดยสารภายในโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีและรับส่งระหว่างโรงพยาบาลกับที่จอดรถซึ่งอยู่ห่างออกไป 1-2 กิโลเมตร เพื่อช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดภายในสถานพยาบาลและพื้นที่โดยรอบ
“สิ่งที่กำลังพัฒนาหรืออยู่ในแผนการพัฒนาแล้ว คือ การเตรียมความพร้อมระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ พื้นที่จุดจอดให้บริการรถ สถานีชาร์จ แอปพลิเคชันสำหรับเรียกรถ เพื่อให้ทั้งการให้บริการและการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะภายในจังหวัดเป็นเรื่องง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้นต่อไป ส่วนอีกด้านที่มีแผนจะพัฒนาแล้วเช่นกัน คือ การพัฒนากำลังคนภายในจังหวัดด้วยการ ‘อัปสกิล (upskill)’ หรือ ‘รีสกิล (reskill)’ ให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการผลิตและซ่อมบำรุงรถ EV โดยรถ KHamKoon ผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิดคนในจังหวัดจะต้องผลิตและซ่อมบำรุงได้ด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเช่นกัน เพื่อให้เมื่อผ่านการพัฒนาไปถึงระดับพาณิชย์ KHamKoon จะมีราคาที่จับต้องได้ และพร้อมแก่การใช้งานจริงในระยะยาว ทั้งนี้การส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในจังหวัดตั้งแต่วันนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ยุค EV เป็นยานยนต์ประเภทหลักของประเทศไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดการดิสรัปต์อาชีพต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว”
การวางแผนกลยุทธ์ตลอดห่วงโซ่ผลกระทบ (impact value chain) อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น และการที่ทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐในจังหวัด รวมถึงภาคการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ต่างก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนงานหลัก ทำให้ในวันนี้คำว่าสมาร์ตโมบิลิตี (smart mobility) หรือการเดินทางและระบบขนส่งอัจฉริยะสำหรับคนอุดรธานีไม่ใช่เพียงภาพฝัน แต่เริ่มมีเส้นทางสู่ความสำเร็จปรากฏให้เห็นแล้ว
นายอนุพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะทำงานทุกคนต่างคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานแซนด์บ็อกซ์นี้จนประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อให้จังหวัดอุดรธานีมีระบบสมาร์ตโมบิลิตีที่ยั่งยืน
[caption id="attachment_56400" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]
[caption id="attachment_56398" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]
[caption id="attachment_56396" align="aligncenter" width="750"] จังหวัดอุดรธานี[/caption]
สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตรถ KHamKoon ได้ที่ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. โทร 0 2564 6500 ต่อ 4065 หรืออีเมล wallop.rat@mtec.or.th และติดต่อเพื่อร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายในจังหวัดอุดรธานีได้ที่ สภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุดรธานี
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
DevOps เพื่อกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น
DevOps เป็นแนวคิดการผสมผสานระหว่าง การพัฒนาซอฟต์แวร์ (Development) และ การดำเนินงานด้าน IT Operations โดยมุ่งเน้นการสร้างกระบวนการทำงานที่ช่วยให้ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์และทีมปฏิบัติการทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดช่องว่างระหว่างการพัฒนาและการนำซอฟต์แวร์ไปใช้งานจริง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการส่งมอบซอฟต์แวร์ที่รวดเร็วและมีคุณภาพ
ตัวอย่างของกระบวนการ DevOps มีดังนี้:
Planning
ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์และทีมปฏิบัติการทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดความต้องการทางธุรกิจ กำหนดคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ และวางแผนการพัฒนา โดยใช้เครื่องมือช่วยในการจัดการโปรเจกต์ เช่น Jira, Trello หรือ Azure DevOps
Development
นักพัฒนาเขียนโค้ดและพัฒนาฟีเจอร์ของแอปพลิเคชัน โดยใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control) เช่น Git เพื่อเก็บรักษาและจัดการโค้ด
เครื่องมือที่ใช้: Git, GitHub, GitLab
Testing
โค้ดที่เขียนจะต้องผ่านการทดสอบโดยอัตโนมัติ Automated Testing เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เช่น การทดสอบหน่วย (Unit Testing) และการทดสอบบูรณาการ (Integration Testing) ตัวอย่างของกระบวนการ DevOps:
เครื่องมือที่ใช้: Selenium, JUnit, TestNG
Integration & Build
กระบวนการรวมโค้ดจากนักพัฒนาหลายๆ คนและสร้างระบบซอฟต์แวร์โดยอัตโนมัติ เพื่อให้แน่ใจว่าโค้ดสามารถทำงานร่วมกันได้ Continuous Integration (CI)
เครื่องมือที่ใช้: Jenkins, CircleCI, Travis CI
Infrastructure as Code
การจัดการโครงสร้างพื้นฐานเช่นเซิร์ฟเวอร์หรือเครือข่ายจะถูกควบคุมด้วยโค้ด ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มขยายได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือที่ใช้: Terraform, Ansible, Chef, Puppet
Deployment
เมื่อนำซอฟต์แวร์ผ่านการทดสอบและพร้อมใช้งาน กระบวนการ Deploy จะถูกทำโดยอัตโนมัติไปยังสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น Dev, Test, Production
เครื่องมือที่ใช้: Docker, Kubernetes
Monitoring & Logging
ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานแล้วจะถูกตรวจสอบเพื่อติดตามสถานะและประสิทธิภาพการทำงาน หากมีปัญหาเกิดขึ้นจะสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
เครื่องมือที่ใช้: Prometheus, Grafana, ELK Stack (Elasticsearch, Logstash, Kibana)
Continuous Feedback & Improvement
เมื่อซอฟต์แวร์ถูกนำไปใช้งานแล้ว ต้องรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งานและระบบเพื่อปรับปรุงซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง กระบวนการนี้เป็นการทำให้การพัฒนาและการนำไปใช้งานมีการหมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอ
ประโยชน์ของ DevOps
การส่งมอบซอฟต์แวร์ที่รวดเร็วขึ้น (Faster Delivery) : DevOps ช่วยลดเวลาในการพัฒนาซอฟต์แวร์ตั้งแต่การเขียนโค้ดไปจนถึงการส่งมอบหรือ deploy ซอฟต์แวร์ เพราะมีการทำงานร่วมกันระหว่างทีมพัฒนาและทีมปฏิบัติการอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้เครื่องมืออัตโนมัติในการทดสอบและ deploy ทำให้สามารถออกฟีเจอร์ใหม่ ๆ หรือการแก้ไขบั๊กได้อย่างรวดเร็ว
การปรับปรุงคุณภาพของซอฟต์แวร์ (Improved Quality) : กระบวนการทดสอบอัตโนมัติ (Automated Testing) ทำให้สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดได้เร็วกว่า ซึ่งช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง และการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบหลังการ deploy อย่างสม่ำเสมอช่วยลดการหยุดทำงานของระบบและปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
การปรับปรุงความเสถียรของระบบ (Increased System Stability) : ด้วยการใช้เครื่องมือและการตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเป็นโค้ด (Infrastructure as Code - IaC) DevOps ทำให้ระบบสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้โดยมีความเสี่ยงน้อยลง ลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม ทำให้ระบบที่ใช้งานจริงจะมีความเสถียรและมั่นคงมากขึ้น
เพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Improved Collaboration) : DevOps ช่วยให้ทีมพัฒนาและทีมปฏิบัติการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เนื่องจากมีการรวมเครื่องมือและกระบวนการที่เชื่อมโยงกัน ลดช่องว่างการสื่อสารและความขัดแย้งระหว่างทีม
การตอบสนองที่รวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลง (Faster Recovery and Adaptation) : หากเกิดปัญหาขึ้นในระบบ ทีมสามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้เครื่องมืออัตโนมัติและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังทำให้สามารถปรับเปลี่ยนหรือขยายระบบได้ทันทีตามความต้องการของธุรกิจ
การเพิ่มประสิทธิภาพของทรัพยากร (Resource Optimization) : DevOps ช่วยให้การจัดการทรัพยากร เช่น เซิร์ฟเวอร์หรือโครงสร้างพื้นฐานมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการใช้เทคโนโลยีคลาวด์และการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้วยโค้ด (IaC) ทำให้สามารถปรับขนาดระบบให้สอดคล้องกับความต้องการได้อย่างเหมาะสม
การปรับปรุงนวัตกรรม (Fostering Innovation) : ด้วยการส่งมอบซอฟต์แวร์ที่เร็วและการทดสอบที่ง่ายขึ้น นักพัฒนาสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างฟีเจอร์ใหม่ๆ และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดได้มากขึ้น
การลดต้นทุน (Cost Efficiency) : ด้วยกระบวนการอัตโนมัติและการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ DevOps ช่วยลดต้นทุนทั้งในด้านแรงงานและทรัพยากร เช่น การลดเวลาในการ deploy ซอฟต์แวร์ การลดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในขั้นตอนต่างๆ รวมถึงการลดเวลาหยุดทำงานของระบบ (downtime)
โดยสรุปแล้ว DevOps ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ความแม่นยำ และคุณภาพของการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างมาก ซึ่งนำไปสู่ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในองค์กรและความพึงพอใจที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า
นานาสาระน่ารู้
PaLM 2 ต่างจาก LLM อย่างไร
PaLM 2 (Pathways Language Model 2) เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดย Google รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ที่ https://ai.google/discover/palm2 เปิดตัวในปี 2023 เป็นเวอร์ชันที่ปรับปรุงขึ้นจาก PaLM รุ่นแรก โดยเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติได้หลากหลายภาษา รวมถึงพัฒนาความสามารถในการทำงานเฉพาะด้าน
ความแตกต่างระหว่าง PaLM 2 กับ LLM อื่น ๆ:
สถาปัตยกรรมและประสิทธิภาพ:
PaLM 2 สร้างขึ้นโดยใช้สถาปัตยกรรม Pathways ของ Google ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลหลายชุดพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น โดยสามารถใช้งานโมเดลเดียวกับงานที่แตกต่างกันได้หลายประเภท
ในขณะที่ LLM ทั่วไป เช่น GPT อาจเน้นไปที่การสร้างภาษาและการตอบคำถามโดยใช้ความเข้าใจเชิงบริบท PaLM 2 มีการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนขึ้น เช่น การทำงานด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ความสามารถในหลายภาษา:
PaLM 2 ถูกฝึกด้วยข้อมูลหลายภาษา ทำให้สามารถทำงานกับภาษาต่าง ๆ ได้ดีกว่า LLM ทั่วไป
มีความสามารถในการจัดการกับไวยากรณ์ วากยสัมพันธ์ และคำศัพท์ที่ซับซ้อนได้แม่นยำมากขึ้น
การปรับปรุงเฉพาะด้าน:
PaLM 2 ได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในสาขาเฉพาะ เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ทางชีวภาพ และการทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ในขณะที่ LLM อื่น ๆ มักเน้นการประมวลผลภาษาธรรมชาติทั่วไป
การใช้งานเชิงพาณิชย์และวิจัย:
PaLM 2 ได้รับการปรับแต่งสำหรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น งานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการแพทย์
LLM ทั่วไปมักจะใช้ในการสร้างเนื้อหา การตอบคำถาม และการทำงานภาษาที่กว้างขวางมากกว่า
นอกจากนี้ทาง Google ได้พัฒนาบริการ PaLM API เป็น API ที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้พัฒนาสามารถเข้าถึงโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ PaLM 2 ได้ง่ายขึ้น โดย API นี้ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ การตอบคำถาม และการทำงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและจัดการข้อความ ตัวอย่างเช่น การสร้างแชทบอท การตอบคำถามโดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือการสร้างคอนเทนต์อัตโนมัติ ช่วยในการสรุปเนื้อหา การแปลภาษา หรือการดึงข้อมูลจากข้อความและช่วยให้นักพัฒนาสร้างโซลูชัน AI ที่เกี่ยวกับการสร้างเนื้อหา การจัดการข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลในภาษาต่าง ๆ
นานาสาระน่ารู้
ทำความรู้จัก Data Visualization
Data Visualization เป็นกระบวนการแปลงข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรือข้อมูลที่มีลักษณะเป็นข้อความจำนวนมากให้อยู่ในรูปแบบภาพ เช่น แผนภูมิ กราฟ หรือแผนที่ เพื่อช่วยในการทำความเข้าใจและสื่อสารข้อมูลนั้นๆ ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การแสดงผลข้อมูลด้วยภาพทำให้ผู้ชมสามารถรับรู้แนวโน้ม รูปแบบ หรือความสัมพันธ์ของข้อมูลได้รวดเร็วและง่ายดาย Data Visualization มีหลายประเภทของกราฟและแผนภูมิที่สามารถใช้ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่ต้องการแสดงผล โดยทั่วไปสามารถแบ่งตามประเภทของข้อมูลได้ดังนี้:
ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ (Comparison)
กราฟแท่ง (Bar Chart): ใช้สำหรับเปรียบเทียบค่าของข้อมูลในกลุ่มต่างๆ เช่น ยอดขายรายเดือน
กราฟเส้น (Line Chart): ใช้สำหรับแสดงแนวโน้มของข้อมูลตลอดช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น
กราฟแท่งซ้อน (Stacked Bar Chart): แสดงการเปรียบเทียบและการแบ่งส่วนภายในกลุ่มเดียวกัน
ข้อมูลเชิงสัดส่วน (Proportion)
กราฟวงกลม (Pie Chart): แสดงสัดส่วนของส่วนประกอบภายในกลุ่มทั้งหมด เช่น ส่วนแบ่งตลาดของแต่ละบริษัท
กราฟโดนัท (Donut Chart): คล้ายกับกราฟวงกลมแต่มีช่องว่างตรงกลาง ทำให้สามารถใส่ข้อมูลเพิ่มเติมได้
Tree Map: แสดงข้อมูลเป็นส่วนประกอบของกลุ่มที่ใหญ่กว่า เช่น สัดส่วนพื้นที่ในงบประมาณของแต่ละแผนก
ข้อมูลเชิงกระจาย (Distribution)
กราฟฮิสโตแกรม (Histogram): ใช้แสดงการกระจายของข้อมูลที่เป็นค่าต่อเนื่อง เช่น การกระจายของคะแนนสอบ
กราฟจุด (Dot Plot): ใช้แสดงการกระจายตัวของข้อมูลแต่ละจุดในกลุ่มข้อมูล
กราฟกล่อง (Box Plot): แสดงการกระจายของข้อมูลและจุดที่เป็น outlier
ข้อมูลเชิงความสัมพันธ์ (Relationship)
กราฟกระจาย (Scatter Plot): แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างอายุและรายได้
Bubble Chart: เป็นการต่อยอดจากกราฟกระจายโดยการเพิ่มขนาดของฟองเพื่อแสดงตัวแปรที่สาม
Heatmap: ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลหลายมิติ โดยใช้สีเพื่อแสดงระดับความเข้มของค่า
ข้อมูลเชิงลำดับขั้น (Hierarchical Data)
Tree Diagram: แสดงข้อมูลเป็นลำดับขั้นจากระดับสูงไปยังระดับต่ำ
Sunburst Chart: คล้ายกับ Tree Diagram แต่แสดงเป็นวงกลมหลายชั้น
ข้อมูลที่เป็นแผนที่ (Geospatial Data)
Choropleth Map: ใช้แสดงข้อมูลตามภูมิศาสตร์ โดยใช้สีเพื่อแสดงความเข้มข้นของข้อมูลในพื้นที่ต่างๆ
Dot Density Map: แสดงการกระจายของข้อมูลในพื้นที่หนึ่งๆ โดยใช้จุดแทนข้อมูลแต่ละจุด
การเลือกใช้กราฟหรือแผนภูมิที่เหมาะสมกับข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การสื่อสารข้อมูลนั้นๆ มีประสิทธิภาพและชัดเจนมากที่สุด ปัจจุบันมีเครื่องมือ Data Visualization ที่หลากหลายทั้งที่เป็นแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถเลือกใช้งานตามความต้องการและความสามารถของเครื่องมือแต่ละตัว ดังนี้:
เครื่องมือ Data Visualization แบบใช้ได้ฟรี
Google Data Studio
ใช้งานฟรีสำหรับการสร้างรายงานและแดชบอร์ด สามารถเชื่อมต่อกับ Google Sheets, Google Analytics, และแหล่งข้อมูลอื่นๆ
Tableau Public
รุ่นฟรีของ Tableau ที่ให้คุณสร้างและแบ่งปัน Visualizations ออนไลน์ แต่ไม่สามารถเก็บไฟล์ข้อมูลในเครื่องได้ ข้อมูลทั้งหมดจะต้องเผยแพร่ในพื้นที่สาธารณะ
Microsoft Power BI Desktop
รุ่นฟรีของ Power BI ที่มีความสามารถในการสร้างรายงานและแดชบอร์ด แต่มีข้อจำกัดในส่วนของการแชร์และการทำงานร่วมกัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในเวอร์ชันเต็ม
Plotly
แพลตฟอร์มโอเพนซอร์สที่ช่วยสร้างกราฟเชิงโต้ตอบได้ทั้งใน Python, R, และ JavaScript สามารถใช้งานฟรีได้ในระดับพื้นฐาน
D3.js
ไลบรารี JavaScript แบบโอเพนซอร์สที่ทรงพลังสำหรับการสร้าง Data Visualizations ที่ปรับแต่งได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะต้องใช้ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม
Chart.js
ไลบรารี JavaScript แบบโอเพนซอร์สที่เหมาะสำหรับการสร้างกราฟพื้นฐาน เช่น กราฟแท่ง กราฟเส้น กราฟวงกลม เป็นต้น
เครื่องมือ Data Visualization ที่มีค่าใช้จ่าย
Tableau
เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการสร้าง Visualizations แบบมืออาชีพ รองรับการเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลหลากหลาย สามารถสร้างแดชบอร์ดเชิงโต้ตอบได้ง่าย ใช้ได้ทั้งแบบ Desktop, Online และ Server
Microsoft Power BI Pro
เป็นเวอร์ชันที่มีค่าใช้จ่ายของ Power BI ซึ่งเพิ่มความสามารถในการแชร์และทำงานร่วมกับทีม และการใช้งาน Power BI Service ในคลาวด์
QlikView/Qlik Sense
เครื่องมือ Data Visualization ที่เน้นการทำงานเชิงวิเคราะห์ด้วยความสามารถในการดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และสร้าง Visualizations ที่ซับซ้อนได้
Looker (Google Cloud)
แพลตฟอร์ม BI ที่เน้นการสร้างรายงานและแดชบอร์ดเชิงโต้ตอบที่มีการรวมการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-time
SAP Analytics Cloud
เครื่องมือ BI บนคลาวด์ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล, การสร้างรายงาน และการวางแผนที่ครอบคลุมทั้งในด้านการวิเคราะห์และการสื่อสารข้อมูล
Sisense
เครื่องมือ BI ที่มีความสามารถสูงในการรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และสร้าง Visualizations ที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ
นานาสาระน่ารู้
CRO (Conversion Rate Optimization)
CRO (Conversion Rate Optimization) คือกระบวนการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์หรือหน้า Landing Page เพื่อเพิ่ม Conversion Rate) ซึ่งหมายถึงการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมที่ทำตามเป้าหมายที่คุณกำหนด เช่น การสมัครสมาชิก การซื้อสินค้า หรือการกรอกแบบฟอร์ม
หลักการสำคัญของ CRO:
การทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้: ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics, Heatmaps, หรือ Session Recordings เพื่อเข้าใจว่าผู้ใช้ทำอะไรบนเว็บไซต์ คุณสามารถดูว่าเขาคลิกอะไร ติดขัดตรงไหน หรือทำไมถึงออกจากเว็บไซต์
การทดสอบ A/B Testing: การทดลองเปรียบเทียบระหว่างสองเวอร์ชันของหน้าเว็บเพื่อดูว่าเวอร์ชันใดทำงานได้ดีกว่า เช่น การเปลี่ยนแปลงสีของปุ่ม การใช้ข้อความที่แตกต่าง หรือการปรับตำแหน่งขององค์ประกอบ
การปรับปรุง UX/UI: การทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ราบรื่นและมีความสุขจะช่วยเพิ่มอัตราการแปลง เช่น การลดจำนวนขั้นตอนในการกรอกแบบฟอร์ม การเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ หรือการปรับหน้าเว็บให้เหมาะกับอุปกรณ์พกพา
การทำ Content Optimization: การปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้และมีความน่าสนใจ เช่น การใช้ข้อความที่กระชับและชัดเจน การใช้ภาพที่ดึงดูด หรือการนำเสนอข้อเสนอที่มีคุณค่า
การใช้ Social Proof และ Trust Signals: การเพิ่มรีวิวจากลูกค้า การใช้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือการแสดงโลโก้ของลูกค้าที่เคยใช้บริการ เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ใหม่
การวัดผลและการวิเคราะห์: หลังจากทำการปรับปรุงแล้ว คุณต้องติดตามและวัดผลว่าอัตราการแปลงเพิ่มขึ้นหรือไม่ และใช้ข้อมูลนี้ในการทำการตัดสินใจเพื่อปรับปรุงเพิ่มเติม
CRO เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและควรทำเป็นประจำเพื่อให้เว็บไซต์หรือแคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องอาศัยข้อมูลหลายประเภทเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ตัวอย่างของข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้ใน CRO มีดังนี้:
ข้อมูลที่ใช้ใน CRO:
พฤติกรรมผู้ใช้ (User Behavior)
ข้อมูลเกี่ยวกับการคลิก การเลื่อนหน้า (scrolling) และการโต้ตอบกับหน้าเว็บ
ข้อมูลจาก Heatmaps หรือ Session Recordings ที่แสดงว่าผู้ใช้โฟกัสที่ส่วนใดของหน้าเว็บ
ข้อมูลเชิงประชากร (Demographics)
อายุ เพศ ตำแหน่งที่อยู่ของผู้ใช้
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่ใช้ (Desktop, Mobile, Tablet)
ข้อมูลการนำทาง (Navigation Data)
หน้าเว็บที่ผู้ใช้เยี่ยมชมก่อนทำการแปลง (Conversion Path)
Bounce Rate หรืออัตราการออกจากหน้าเว็บ
ข้อมูลทางเทคนิค (Technical Data)
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Load Time)
ปัญหาทางเทคนิคที่อาจขัดขวางการแปลง เช่น ปุ่มที่ไม่สามารถคลิกได้
ข้อมูลเชิงจิตวิทยา (Psychographics)
แรงจูงใจ ความต้องการ และข้อกังวลของผู้ใช้
ข้อมูลจากการสอบถามหรือแบบสำรวจ
เครื่องมือที่ช่วยในการทำ CRO:
Google Analytics
วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ ดู Conversion Rate ของแต่ละหน้า และติดตามเส้นทางการแปลง
Hotjar
เครื่องมือ Heatmaps และ Session Recordings ที่ช่วยให้เห็นว่าผู้ใช้คลิกและเลื่อนหน้าอย่างไร รวมถึงการสอบถามผ่าน Polls และ Surveys
Optimizely
แพลตฟอร์มสำหรับ A/B Testing และการทดสอบหลายตัวแปร (Multivariate Testing) ช่วยในการทดลองและวิเคราะห์ผลลัพธ์
Crazy Egg
เครื่องมือ Heatmaps และการทดสอบ A/B ที่ช่วยในการวิเคราะห์และปรับปรุงหน้าเว็บ
VWO (Visual Website Optimizer)
แพลตฟอร์ม CRO ครบวงจรที่มี A/B Testing, Heatmaps, และการวิเคราะห์ Funnel
Google Optimize
เครื่องมือสำหรับทำ A/B Testing ที่เชื่อมต่อกับ Google Analytics เพื่อการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งขึ้น
Mouseflow
เครื่องมือสำหรับการบันทึกการโต้ตอบของผู้ใช้ (Session Recording) และการสร้าง Heatmaps รวมถึงการทำ Form Analytics
Unbounce
เครื่องมือสร้างและทดสอบหน้า Landing Page แบบไม่มีโค้ด พร้อมกับการทำ A/B Testing
นานาสาระน่ารู้
SXO (Search Experience Optimization)
SXO (Search Experience Optimization) เป็นแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ที่เน้นทั้งการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในเครื่องมือค้นหา และประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience: UX) ที่ดี เพื่อให้เกิดการ Conversion สูงสุด เช่น การซื้อสินค้าหรือการกรอกข้อมูลในฟอร์ม โดย SXO รวมการปรับปรุงทั้ง SEO และ UX เข้าด้วยกันเพื่อสร้างทั้งการเข้าชมที่มีคุณภาพและเพิ่มโอกาสในการแปลงผล (Conversions) เช่น การสมัครสมาชิก, การซื้อสินค้า, หรือการดาวน์โหลดเนื้อหา
ความสำคัญของ SXO
เน้นประสบการณ์ผู้ใช้เป็นหลัก
SXO ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้เมื่อเข้าชมเว็บไซต์ ไม่ใช่เพียงแค่การติดอันดับในเครื่องมือค้นหาเท่านั้น ผู้ใช้ควรมีประสบการณ์ที่ราบรื่นและสะดวกในการใช้งาน เช่น เว็บไซต์โหลดเร็ว, การออกแบบที่เข้าใจง่าย, และการแสดงผลที่ดีบนทุกอุปกรณ์ ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างความพึงพอใจและทำให้ผู้ใช้ต้องการกลับมาเยี่ยมชมอีก
เพิ่ม Conversion Rate
SXO ช่วยให้ผู้ใช้ที่เข้ามาผ่านการค้นหาทำสิ่งที่คุณต้องการได้ง่ายขึ้น เช่น การกรอกแบบฟอร์ม การซื้อสินค้า หรือการสมัครสมาชิก โดยไม่เพียงแค่ดึงดูดผู้เข้าชม แต่ยังทำให้ผู้เข้าชมมีแนวโน้มที่จะดำเนินการบนเว็บไซต์มากขึ้น
สร้างความสมดุลระหว่าง SEO และ UX
ในขณะที่ SEO มุ่งเน้นที่การปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหา SXO จะเพิ่มการใส่ใจ UX เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นการทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่การค้นหาจนถึงการใช้งานเว็บไซต์ ผลที่ได้คือทั้งการเข้าชมที่มากขึ้นและผู้ใช้ที่มีความสุขมากขึ้น
ลดอัตราการเด้งออก (Bounce Rate)
การปรับปรุง UX ให้ผู้ใช้มีความสะดวกสบายในการใช้งาน จะช่วยลดอัตราการเด้งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เครื่องมือค้นหาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ ยิ่งผู้ใช้ใช้เวลาบนเว็บไซต์นานเท่าไร ก็จะยิ่งส่งสัญญาณเชิงบวกต่อเครื่องมือค้นหา
เพิ่มความเกี่ยวข้องและคุณภาพของเนื้อหา
SXO เน้นการสร้างเนื้อหาที่ไม่เพียงแต่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (SEO) แต่ยังต้องให้ข้อมูลที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ด้วย การทำให้เนื้อหาน่าสนใจและมีคุณภาพช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้และทำให้เว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องมากขึ้นกับคำค้นหา
สร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ
เมื่อผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีบนเว็บไซต์ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะไว้วางใจในแบรนด์หรือธุรกิจของคุณมากขึ้น ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อเว็บไซต์สามารถนำเสนอเนื้อหาและประสบการณ์ที่ดี
เครื่องมือที่ช่วยในการทำ SXO (Search Experience Optimization) นอกจากเครื่องมือ SEO ปกติแล้วยังมีเครื่องมือที่เน้นการวิเคราะห์ประสบการณ์ผู้ใช้และการเพิ่ม Conversion โดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น:
Google Analytics
ใช้ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ เช่น อัตราการคลิก (CTR), เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ (Time on Site), Bounce Rate และ Conversion Rate เพื่อให้รู้ว่าผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บไซต์อย่างไรและทำอย่างไรจึงจะทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้น
Hotjar
เป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น Heatmaps, Recordings, และแบบสอบถาม ซึ่งช่วยให้เห็นว่า ผู้ใช้คลิกหรือเลื่อนหน้าจอในส่วนไหนบ้าง เพื่อให้สามารถปรับปรุง UX ตามพฤติกรรมของพวกเขาได้
Crazy Egg
เครื่องมือที่ใช้สร้าง Heatmaps และ Scrollmaps เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ ทำให้สามารถเข้าใจว่าผู้ใช้สนใจส่วนไหนของเว็บไซต์และออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการได้
A/B Testing Tools (เช่น Optimizely, VWO)
ใช้สำหรับการทดสอบ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบหน้าตาและฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ของเว็บไซต์ ว่าเวอร์ชันใดที่ช่วยเพิ่ม Conversion หรือให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ใช้
PageSpeed Insights
เป็นเครื่องมือของ Google ที่ช่วยวิเคราะห์ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเครื่องมือนี้จะบอกว่าคุณควรปรับปรุงอะไรเพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
Google Optimize
เครื่องมือของ Google ที่ช่วยให้คุณสามารถทำการทดลองกับหน้าเว็บเพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงใดจะช่วยเพิ่ม Conversion มากที่สุด
SXO เป็นการรวม SEO และ UX เข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายไม่เพียงแค่การดึงดูดผู้เข้าชมผ่านเครื่องมือค้นหา แต่ยังมุ่งเน้นให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีและทำการแปลงผล (Conversion) บนเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นแนวทางที่สำคัญในการเพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของการเข้าชม พร้อมกับการสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้
นานาสาระน่ารู้


