หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช’ ยกระดับเกษตรกรรมไทยให้ปลอดภัยและยั่งยืน
  ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ทั่วทุกภูมิภาค และมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญหลายชนิด แต่ในระหว่างการผลิต เกษตรกรต้องเผชิญกับปัญหาศัตรูพืช ทั้งโรค แมลง และวัชพืช ซึ่งบางฤดูกาลอาจพบการระบาดรุนแรงและสร้างความเสียหายให้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจำนวนมากเช่นเดียวกัน และเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะส่งผลให้เกิดการดื้อยา มีสารพิษตกค้างในผลิตภัณฑ์ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกร รวมถึงปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เป็นอันตรายต่อทั้งคน สัตว์ ระบบนิเวศ และกระทบต่อการทำเกษตรในระยะยาว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มุ่งวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์ทางการเกษตรสำหรับใช้ในไม้ผล พืชผัก พืชสวน พืชไร่ โดยเฉพาะนาข้าว เพื่อช่วยเกษตรกรแก้ปัญหาศัตรูพืชในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และลดต้นทุนจากการใช้สารเคมี โดยชีวภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช และชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช   คัดเลือกจุลินทรีย์พัฒนาเป็นชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช   [caption id="attachment_51700" align="aligncenter" width="750"] ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในพื้นที่เพาะปลูกเป็นปริมาณมาก โดยสารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ทีมวิจัยจึงได้ดำเนินการคัดเลือกจุลินทรีย์จากคลังจุลินทรีย์ของประเทศที่มีประสิทธิภาพควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชได้สูงในระดับห้องปฏิบัติการ นำมาพัฒนาเป็นชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช เช่น ราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana สายพันธุ์ BCC 2660) สำหรับควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไก่แจ้ แมลงหวี่ขาว แมลงวันผลไม้ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนผลิตเป็นชีวภัณฑ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนกรมวิชาการเกษตรแล้ว   [caption id="attachment_51701" align="aligncenter" width="750"] ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ[/caption]   นอกจากนี้ยังมีราเมตาไรเซียม (Metarhizium สายพันธุ์ BCC 4849) เพื่อควบคุมไรแดง แมลงวันผลไม้ แมลงปีกแข็งชนิดต่างๆ โปรตีนวิป (VIP) จากแบคทีเรียบีที ใช้ควบคุมหนอนผีเสื้อต่าง ๆ และไวรัสเอ็นพีวี (NPV) 3 ชนิด ใช้ควบคุมหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก และหนอนเจาะสมอฝ้ายได้อย่างจำเพาะเจาะจง โดยนำชีวภัณฑ์ผสมน้ำและฉีดพ่นให้ทั่วแปลงปลูกในช่วงเวลาเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนและแสงยูวีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์   ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช ช่วยชาวสวนทุเรียนสู้โรครากเน่า-โคนเน่า โรครากเน่า-โคนเน่าถือเป็นปัญหาโรคพืชที่ร้ายแรงของชาวสวนทุเรียนที่มักระบาดหนักในฤดูฝน หากต้นทุเรียนเป็นโรครุนแรงอาจทำให้ยืนต้นตายได้ ทีมวิจัยได้พัฒนาชีวภัณฑ์จากเชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma asperellum สายพันธุ์ TBRC 4734) ที่ควบคุมราก่อโรคพืชได้หลายชนิด เช่น โรครากเน่า-โคนเน่าจากเชื้อไฟทอปธอรา (Phytophthora) โรคเน่าคอดินที่เกิดจากเชื้อพิเทียม (Pythium) และ โรคราน้ำค้างที่เกิดจากเชื้อราเพอโรโนสปอรา (Peronospora)   [caption id="attachment_51702" align="aligncenter" width="450"] การใช้ชีวภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรครากเน่าโคนเน่าในต้นทุเรียนที่เกิดจากเชื้อไฟทอปธอรา ช่วยหยุดการตายของต้นทุเรียนและทำให้ต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว[/caption]   “เราได้นำชีวภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาไปทดสอบในสวนทุเรียนของเกษตรกรที่มีปัญหาโรครากเน่าโคนเน่าอย่างรุนแรงในจังหวัดระยอง พบว่าชีวภัณฑ์สามารถหยุดการตายของต้นทุเรียนได้ และทำให้ต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว ดังนั้นทีมวิจัยจึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรฉีดพ่นไตรโคเดอร์มาแบบปูพรมทั้งสวน เพื่อลดความรุนแรงของเชื้อราไฟทอปธอร่า และยังส่งเสริมความแข็งแรงของพืชได้อีกด้วย ช่วยเกษตรกรลดความเสียหายจากโรครากเน่าโคนเน่าได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี” ดร.อลงกรณ์ กล่าว นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนาชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืชอีกหลายชนิด ทั้งโรคพืชที่เกิดจากแบคทีเรียและถ่ายทอดผ่านเมล็ดได้ เช่น โรคกล้าไหม้และผลเน่าของแตง โรคไหม้ของพืชตระกูลพริกและกะหล่ำ โรคเหี่ยวเขียวของพืชหลายตระกูล   ค้นหาเชื้อรา พัฒนาสารสกัดคุมวัชพืช ดร.อลงกรณ์ ให้ข้อมูลว่า วัชพืชเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่พบได้ทั่วไปในแปลงเกษตร โดยที่ผ่านมาประเทศไทยนำเข้าสารเคมีกำจัดวัชพืชมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของสารเคมีเกษตรทุกชนิด ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวรค้นหาสารกำจัดวัชพืชจากธรรมชาติ โดยคัดแยกจุลินทรีย์จากตัวอย่างวัชพืชที่เป็นโรค นำมาเพาะเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อและสกัดสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต่อวัชพืชมาพัฒนาสูตรชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช “สารชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืชที่เราผลิตได้เป็นสารสกัดจากกลุ่มเชื้อราที่แยกได้จากวัชพืช เช่น ราลาซิโอไดโพลเดีย (Lasiodiplodia theobromae) เมื่อเลี้ยงในอาหารต้นทุนต่ำจากวัสดุเหลือใช้ทางอุตสาหกรรมจะผลิตสารได้หลายชนิด นำมาผสมเป็นสูตรชีวภัณฑ์ในรูปแบบไมโครอิมัลชัน ใช้ฉีดพ่นในแปลงเกษตรควบคุมวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้กันทั่วไป ควบคุมได้ทั้งวัชพืชใบกว้างและใบแคบ เช่น ตีนตุ๊กแก หญ้าปากควาย สาบม่วง และผลการทดสอบพิษวิทยาในสัตว์ทดลองพบว่ามีความปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) พัฒนากระบวนการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อเตรียมพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการ”   [caption id="attachment_51703" align="aligncenter" width="750"] สารชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช ควบคุมได้ทั้งวัชพืชใบกว้างและใบแคบ[/caption]   นอกจากการพัฒนาสารชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชแล้ว ทีมวิจัยยังได้รวบรวมองค์ความรู้จากการทำงานด้านชีวภัณฑ์ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรและเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อจัดทำคู่มือการจัดการศัตรูพืชด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร (SOP) สำหรับทุเรียนและถั่วฝักยาวเผยแพร่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของทีมวิจัยและพันธมิตร เพื่อส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้ชีวภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ถูกกับชนิดศัตรูพืช ถูกวิธี และถูกเวลา   [caption id="attachment_51704" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ถ่ายทอดความรู้ด้านการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชแก่เกษตรกร[/caption]   [caption id="attachment_51705" align="aligncenter" width="750"] : ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ถ่ายทอดความรู้ด้านการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชแก่เกษตรกร[/caption]   [caption id="attachment_51706" align="aligncenter" width="750"] : ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ถ่ายทอดความรู้ด้านการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชแก่เกษตรกร[/caption]   การใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชจะส่งผลดีในหลายด้าน ทั้งช่วยลดการใช้สารเคมีในแปลงเกษตร ลดสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีจากต่างประเทศ ไม่พบปัญหาแมลงศัตรูพืชดื้อต่อชีวภัณฑ์ ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศด้านเกษตรปลอดภัยและการผลิตผักผลไม้อินทรีย์ สอดรับกับนโยบาย BCG Economy Model ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผู้สนใจเทคโนโลยี ‘ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช’ ติดต่อได้ที่ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก ‘ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย’     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยเด็กเยอรมนี ยกย่องแนวทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากอาหารไทย
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ณ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา : รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) พร้อมด้วย นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร. รูดอล์ฟ เฮอร์เบอร์ส หัวหน้าห้องปฏิบัติการทอยโทแลป แห่งมหาวิทยาลัยบีเลเฟลด์ โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ ไฮดี้ สตาร์ค ผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรในโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้การทำอาหารไทย เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านการทำอาหารไทยเมนูต่าง ๆ ได้แก่ ส้มตำ กุ้งทอดราดซอสมะขาม ต้มข่าไก่ แกงเขียวหวาน และขนมทับทิมกรอบ รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการสอนทำอาหารไทยครั้งนี้ กล่าวว่า อาหารไทยเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์และมีลักษณะพิเศษที่บ่งบอกว่าเป็นอาหารไทยที่เป็นที่ชื่นชอบของคนหลายประเทศ โดยเฉพาะวัตถุดิบและเครื่องปรุง ตลอดจนขั้นตอนในการทำอาหารไทยแต่ละชนิด ทำให้ได้อาหารที่มีลักษณะและรสชาติเฉพาะแตกต่างกันในแต่ละเมนู และความน่าอัศจรรย์ของวัตถุดิบที่ใส่ลงในอาหารไทยถึงแม้ว่าวัตถุดิบนั้นจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่เมื่อใส่ลงไปในอาหารแล้วทำให้รูปร่างหรือรสชาติอาหารไม่เหมือนกัน ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากอาหารไทยได้เป็นอย่างดี สำหรับกิจกรรมทำอาหารไทยครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้ทดลองทำอาหารไทยที่สามารถเชื่อมโยงกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เช่น การทำส้มตำ จะได้เรียนรู้ผ่านอุปกรณ์ที่ใช้ตำส้มตำ ครกควรเป็นครกดินเผา ไม่ใช้ครกหิน เพราะจะทำให้พริก กระเทียม และเนื้อมะละกอ ไม่ช้ำมากเกินไป ดูน่ารับประทาน รวมทั้งได้เรียนรู้ปฏิกิริยาเคมีและการเปลี่ยนแปลงสสาร เช่น การเปลี่ยนแปลงของแป้งชนิดต่าง ๆ เมื่อได้รับความร้อน แป้งที่นำมาใช้เป็นองค์ประกอบในเมนูกุ้งทอดราดซอสมะขาม และแป้งที่ใช้ในเมนูขนมทับทิมกรอบ ใช้ชนิดแป้งต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเยอรมันกล่าวว่าลักษณะแป้งภายนอกที่ดูเหมือนกัน แต่เมื่อใส่ลงในเมนูอาหารแล้ว เมนูหนึ่งช่วยทำให้กุ้งแข็งกรอบ แต่แป้งอีกชนิดที่ใส่ทำให้อีกเมนูมีความนุ่มลื่น คุณสมบัติของแป้งทั้งสองที่แตกต่างกันนี้ สามารถนำมาเรียนรู้และอธิบายในเรื่องของวิทยาศาสตร์ได้ นายพงศ์ภัค เชิงชาญกิจ อาจารย์ประจำโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ และเชฟใหญ่ฝีมือเยี่ยมประจำร้านปรุงสารพัด สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา กล่าวว่า แป้งที่ใส่ลงในเมนูกุ้งทอดราดซอสมะขามนั้น เป็นแป้งสาลีที่มีคุณสมบัติยึดจับกับอาหารได้ดีและทำให้อาหารมีความกรอบร่วนเหมาะสำหรับนำมาใช้ทำอาหารจำพวกทอด ส่วนแป้งที่ใช้ห่อแห้วในเมนูขนมทับทิมกรอบนั้น คือแป้งมันสำปะหลัง เมื่อนำไปต้มในน้ำเดือดจะมีความอ่อนนุ่มใส ให้สังเกตว่าถ้าแป้งสุกแล้วจะใสและตัวทับทิมกรอบจะลอยขึ้นมา อีกเมนูที่สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาได้เตรียมให้ลองทำคือ แกงเขียวหวาน มีการใส่น้ำกะทิ 2 ครั้ง ซึ่งสามารถเชื่อมโยงและอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ว่า การใส่กะทิลงในแกงเขียวหวานครั้งแรก เป็นการใส่หัวกะทิ และครั้งที่ 2 ใส่หางกะทิ ซึ่งน้ำกะทิทั้งสองมีความเข้มข้นที่ต่างกัน หัวกะทิเป็นน้ำกะทิได้จากการคั้นมะพร้าวครั้งแรกและมีความเข้มข้นสูงที่สุด ส่วนหางกะทิเป็นการคั้นมะพร้าวครั้งที่ 2 หรือ 3 จะมีน้ำผสมอยู่มากกว่า ความเข้มข้นของกะทิจะลดลง การทำเมนูแกงเขียวหวานจะนำหัวกะทิที่มีความเข้มข้นผัดพร้อมพริกแกงเขียวหวานให้แตกมันก่อน แล้วค่อยเติมเนื้อสัตว์ ต่อจากนั้นจึงค่อยเติมหางกะทิเพื่อลดความเข้มข้นของหัวกะทิและได้เป็นน้ำแกงเขียวหวาน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเยอรมันได้ทดลองและชื่นชมอาหารไทยมีความน่าอัศจรรย์ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ศาสตราจารย์ ดร. รูดอล์ฟ เฮอร์เบอร์ส กล่าวว่า จุดประสงค์ของการทำอาหารไทยครั้งนี้ คืออยากเรียนรู้พื้นฐานการทำอาหารไทย และทำเมนูง่าย ๆ ได้ แต่เมื่อได้มาลองทำจริงที่สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ก็พบว่า เรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการทำอาหารได้อย่างสนุกและน่าสนใจ พ่อครัวที่ดีจะมีความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาสูตรอาหารที่ยอดเยี่ยมที่คนอื่นสามารถปรุงอาหารตามได้ นักวิทยาศาสตร์ก็เช่นเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ที่ดีจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต่อยอดจากนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นได้ ถึงแม้การเป็นเชฟและนักวิทยาศาสตร์จะมีความแตกต่างกันแต่ก็สามารถเรียนรู้จากกันและกันได้ ขอขอบคุณเชฟจากสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาที่ช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบในการทำอาหารเป็นอย่างดี และช่วยอธิบายถึงความสำคัญของลำดับและกระบวนการทำอาหารได้เหมือนนักวิทยาศาสตร์ และสามารถอธิบายได้ดีเหมือนนักการศึกษาด้วย ไฮดี้ สตาร์ค ผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรในโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก กล่าวว่า รู้สึกประทับใจมากที่ได้มาลองทำอาหารไทยที่สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากการทำอาหารในครั้งนี้ และจะลองกลับไปทำอาหารที่เยอรมันด้วย แต่สิ่งสำคัญที่น่าสนใจมากคือการทำอาหารเกี่ยวข้องกับกระบวนการเคมีได้อย่างไร และการเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์กับการทำอาหารเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับนักเรียน เพราะสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงอยู่ในชีวิตประจำวันของนักเรียนอยู่แล้ว และสามารถนำไปเป็นกิจกรรมการทดลองแบบ hands-on ให้นักเรียนได้เรียนรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์จากอาหารได้อีกด้วย.  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค พร้อมพันธมิตร รุกพื้นที่ทุเรียนเมืองจันท์ นำชีวภัณฑ์จัดการศัตรูพืชและแมลงธรรมชาติ หนุนสู่ระบบเกษตรปลอดภัย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรี ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช (ศทอ.) จังหวัดชลบุรี และศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริจังหวัดจันทบุรี จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การจัดการโรคและแมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์” ณ ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนบ้านมาบโอน จังหวัดจันทบุรี และทางออนไลน์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ (17 ม.ค. 67) เพื่ออบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่เกษตรในพื้นที่เกี่ยวกับการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชในสวนทุเรียน การผลิตชีวภัณฑ์เบื้องต้นสำหรับใช้ในสวนทุเรียน เพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัยต่อตัวเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมจากการใช้ชีวภัณฑ์ ทำให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจและมั่นใจที่จะใช้ชีวภัณฑ์เพื่อจัดการศัตรูพืชในสวนทุเรียนมากขึ้น รวมถึงสามารถนำชีวภัณฑ์ไปปรับใช้กับสวนทุเรียนและผลิตชีวภัณฑ์ใช้เองได้ ส่งเสริมเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตในพื้นที่ ตามนโยบาย BCG สาขาเกษตร ด้วยการสร้างความพร้อมและความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตชีวผลิตภัณฑ์สำหรับพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ นำสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดต่อไป ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ (IBCT) ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการจัดการโรคและแมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ เป็นการส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชในทุเรียนอย่างถูกวิธี ให้แก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่เกษตรในพื้นที่ได้รับความรู้เรื่องการใช้ชีวภัณฑ์ที่ “ถูกชนิด ถูกเวลา ถูกวิธี” ด้วยการจัดการที่ดีในสวนทุเรียน และการผลิตชีวภัณฑ์ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ในพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย ซึ่งทุเรียนนับเป็นผลไม้ที่มีมูลค่าสูงมาก แต่ติดปัญหาหนึ่งที่สำคัญคือโรครากเน่าโคนเน่า ปกติเกษตรกรมักใช้สารเคมีปริมาณสูงมากเพื่อกำจัดแม้กระทั่งการฉีดเข้าไปที่ลำต้น สิ่งที่ทีมวิจัยฯ พยายามเข้าไปนําเสนอคือ การใช้จุลินทรีย์ เช่น ราไตรโครเดอร์มา เพื่อมาจัดการโรครากเน่าโคนเน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถากทาที่แผล ร่วมกับการฉีดพ่นลงดินและบริเวณโคนต้น ในระยะยาวพบว่าเมื่อใช้ไปแล้ว 3-4 เดือน แผลแห้งลง ต้นที่มีการเหี่ยวเฉาจะฟื้นฟูขึ้นมา มีใบผลิงอกขึ้นชัดเจน รวมถึงยังมีชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น ราบิวเวอเรียที่ใช้จัดการเพลี้ยไก่แจ้ เพลี้ยไฟและเพลี้ยจักจั่น และราเมตาไรเซียมที่ใช้กำจัดไรแดงและแมลงปีกแข็งชนิดต่าง ๆ เป็นต้น “จันทบุรีนับเป็นพื้นที่สำคัญในภาคตะวันออกที่มีการผลิตทุเรียนในพื้นที่มาก เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทีมวิจัยจึงได้บูรณาการเชิงพื้นที่ (Area-Based) กับหน่วยงานหลายภาคส่วน ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มในพืชเศรษฐกิจของจังหวัดอย่างทุเรียน ด้วยการใช้ชีวภัณฑ์จัดการศัตรูทุเรียน เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรที่มีประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และรายได้สูง” ด้าน นายปัญญา ประดิษฐสาร เกษตรจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ทิศทางตลาดทุเรียนปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่จังหวัดได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ชีวภัณฑ์ในสวนทุเรียน เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับต้นทุเรียนและลดต้นทุนให้กับพี่น้องเกษตรกร เพราะหากต้นทุเรียนมีความแข็งแรง จะสามารถติดดอก ออกผลได้อย่างเต็มที่ แล้วคงต้นอยู่ได้อย่างยาวนาน ต่างจากการใช้สารเคมีอย่างพร่ำเพรื่อ ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและต้นทุเรียนจะอ่อนแอลงไปด้วย ในการสนับสนุนตรงนี้เรามีกลไกลผ่านทางศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนที่มีสมาชิกอยู่ในทุกอำเภอ ในทุกตำบล เพื่อให้การใช้สารชีวภัณฑ์เข้าไปช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัย และทำให้ผลผลิตมีคุณภาพยาวนาน ทั้งนี้ การอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว มีการให้ความรู้เรื่องการใช้ชีวภัณฑ์และคู่มือปฏิบัติงานเบื้องต้นในสวนทุเรียน การสำรวจและควบคุมแมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียน การควบคุมโรครากเน่าโคนเน่าในสวนทุเรียนด้วยราไตรโคเดอร์มา พร้อมติดอาวุธความรู้ด้วยฐานกิจกรรมเชิงปฏิบัติการอย่างเข้มข้นให้เกษตรกรได้ลงมือทำจริง ได้แก่ การใช้และการผลิตชีวภัณฑ์เบื้องต้น การสำรวจประเมินแมลงศัตรูพืชและศัตรูธรรมชาติในสวนทุเรียน และการสำรวจประเมินโรคพืชและใช้ราไตรโคเดอร์มาในสวนทุเรียน รวมถึงยังนำเกษตรกรเข้าเยี่ยมชมสวนทุเรียนตัวอย่างที่มีการใช้ชีวภัณฑ์เทียบกับการใช้สารเคมี และใช้แบบผสมผสานด้วย เพื่อให้ทราบถึงแบบแผนการจัดการศัตรูพืชแบบครบวงจรในทุเรียนและองค์ความรู้ในการจัดการศัตรูพืชอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ในงานยังมีการออกบูธของผู้ประกอบการที่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านชีวภัณฑ์จาก สวทช. ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ด้านชีวภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน ทำให้เกษตรกรได้ใช้ชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปริมาณตามที่กรมวิชาการเกษตรได้แนะนำ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถศึกษาและอ่านคู่มือการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ในรูปแบบ e-book ได้ที่ลิงค์ https://anyflip.com/bookcase/buxwn พร้อมติดตามข่าวสารเกี่ยวกับชีวภัณฑ์เพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ทางเพจ https://www.facebook.com/BIOTEC.Biocontrol
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดรับสมัคร นักศึกษาทำวิจัยระยะสั้นที่ A-STAR !!!
. มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ เปิดรับสมัคร นักศึกษาระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโทไปทำวิจัยระยะสั้น ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของสำนักงาน A-STAR สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2567 (ค.ศ. 2024) โดยทุนดังกล่าวเป็นทุนภายใต้ Singapore International Pre-Graduate Award (SIPGA) ที่ทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 4 ทุน ระยะเวลา 2 – 6 เดือน ทำวิจัยใน 4 สาขาดังนี้ (1) Biomedical Sciences (2) Computing and Information Sciences (3) Engineering and Technology (4) Physical Sciences . เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 15 มีนาคม 2567 . รายชื่อโครงการวิจัยที่นักศึกษาสามารถเลือกไปปฏิบัติการวิจัย (SIPGA Projects List) ดูได้ที่ https://psit.e-office.cloud/d/0ce28d48 · สนใจประกาศรับสมัคร ดูและสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/a-star/ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โทร. 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : info@princess-it.org สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/
ปฏิทินกิจกรรม
 
EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก จากปาล์มน้ำมันไทย
นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. พัฒนา EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก ผลิตจากปาล์มน้ำมันไทย เพื่อลดโอกาสการเกิดเหตุไฟไหม้ลุกลามในกรณีหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน อีกทั้งยังส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย ปัจจุบันทีมนักวิจัยร่วมกับหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐ เตรียมนำไปทดสอบการใช้งานจริงในพื้นที่นำร่องเป็นเวลา 1 ปี ก่อนขยายผลการใช้งานต่อไป
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เดินหน้าขยายผล! HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ
นักวิจัยเนคเทค สวทช. เดินหน้าพัฒนาและขยายผลการใช้งาน HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ เป็นเทคโนโลยีเซนเซอร์และระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูก ปัจจุบันมีศูนย์ต้นแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิดเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ผู้ที่สนใจสามารถติดตามได้ที่ https://handysense.io หรือ https://www.facebook.com/groups/handysense/
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาในรูปแบบ ONSITE ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ในหัวข้อ Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates 2024
FREE ONSITE SEMINAR ❗ หัวข้อ: Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates 2024  ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาในรูปแบบ ONSITE ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ! เดินทางมาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู 🚝 ขอเชิญทุกท่านมาร่วม Update ความรู้และทักษะใหม่ๆ 🔵วิเคราะห์ก้าวต่อไปของเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2024 🟢พร้อมประเด็นกระแสความแรงของ Generative AI อย่าง ChatGPT และเครื่องมืออื่นๆ ที่หลายๆ อาชีพนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งในวงการธุรกิจและการศึกษา 🟡Platform Development Trends 2024 ที่นักพัฒนาโปรแกรมควรรู้ 🔴รวมไปถึงอัปเดตเรื่อง Cybersecurity และ Digital Risks ที่ยังคงคุกคามภาคธุรกิจและประชาชนในรูปแบบต่างๆ จะได้รู้เท่าทัน และมีภูมิคุ้มกันต่อ Cyber Threats 👉พบคำตอบจากกูรูระดับ Top ของประเทศ และเคลียร์ทุกคำตอบแบบ INSIGHT ได้ในงานนี้ Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates 2024 📅วันที่: วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 🕛เวลา: 12.00 - 16.30 น. 📍สถานที่: ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 3 อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค ถ.แจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ปฏิทินกิจกรรม
 
7 ข้อเท็จจริงควรรู้เกี่ยวกับลิเทียมและอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
ข่าวการค้นพบแหล่งแร่ลิเทียมในประเทศไทยในช่วงราววันที่ 17-18 มกราคม พ.ศ. 2567 ทำให้คนไทยจำนวนมากสนใจ และอาจเกิดข้อสงสัยว่าการค้นพบครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าของไทยหรือไม่ อย่างไร  ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอให้ข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญโดยสังเขป ดังนี้ 1 ) ลิเทียมเป็นธาตุหลักที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Li-ion battery) ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่นิยมใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในยานยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ หลายประเภท ทั้งนี้ลิเทียมถูกใช้งานในรูปของสารประกอบ โดยสารประกอบลิเทียมเป็นองค์ประกอบหลักของแคโทดในเซลล์แบตเตอรี่ 2 ) สารประกอบของลิเทียมที่ใช้ทำแคโทดมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของแบตเตอรี่ ที่น่ารู้จัก เช่น แบตเตอรี่ชนิด NMC ใช้สารประกอบ LiNiMnCoO2 ซึ่งมีธาตุลิเทียม นิกเกิล แมงกานีส และโคบอลต์ในรูปของออกไซด์ หรือแบตเตอรรี่ชนิด LFP ใช้สารประกอบ LiFePO4 ซึ่งมีธาตุลิเทียม เหล็ก และฟอสฟอรัสในรูปของออกไซด์ เป็นต้น  จะเห็นว่าในการผลิตแบตเตอรี่จำเป็นต้องใช้ธาตุหลายชนิดเพื่อผลิตขั้วแคโทด นอกจากนี้ชิ้นส่วนอื่นๆ ในแบตเตอรี่ยังจำเป็นต้องใช้ธาตุอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าขั้วแอโนด สารอิเล็กโทรไลต์ เมมเบรน วัสดุหุ้มเซลล์ ขั้วนำไฟฟ้าทั้งฝั่งแคโทดและแอโนด รวมทั้งส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ  นั่นคือ ธาตุลิเทียมเพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถผลิตออกมาเป็นแบตเตอรี่ที่สมบูรณ์ได้ 3 ) การผลิตลิเทียมในปัจจุบันมาจากสองรูปแบบหลัก ได้แก่ น้ำเกลือ (brine) และ หินแร่ (hard rock) โดยน้ำเกลือลิเทียมพบมากในแถบอเมริกาใต้ เช่น ชิลี โบลิเวีย อาร์เจนตินา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนหินแร่พบกระจายอยู่ทั่วไปในรูปของสโปดูมีน (spodumene) และหินแร่อื่นๆ เช่น เลพิโดไลต์ (lepidolite)  ทั้งนี้ในประเทศไทยมีการพบแร่เลพิโดไลต์ (lepidolite) ในหินเพกมาไทต์ (pegmatite) โดยแร่ดังกล่าวมีความสมบูรณ์ของลิเทียมหรือเกรดลิเทียมออกไซด์เฉลี่ย 0.45% 4 ) ประเด็นสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไออนคือ จะต้องผลิตธาตุลิเทียมที่มีความบริสุทธิ์ในปริมาณที่สูงเพียงพอ และลิเทียมต้องอยู่ในรูปสารประกอบที่เหมาะสมสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ชนิดที่ต้องการ เช่น การผลิตแบตเตอรี่ชนิด NMC ใช้ลิเทียมไฮดรอกไซด์ และการผลิตแบตเตอรี่ชนิด LFP ใช้ลิเทียมคาร์บอเนต เป็นต้น ดังนั้น จึงยังมีข้อพิจารณาสำคัญว่าในกระบวนการถลุงและแต่งแร่ที่ค้นพบนี้จะได้ธาตุลิเทียมและสารประกอบที่ต้องการมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่เหมาะสมและปริมาณมากเพียงพอแก่การผลิตแบตเตอรี่หรือไม่ 5 ) อีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการสร้างเหมืองและระยะเวลาที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตแร่ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาราว 5-10 ปี อันเป็นระยะเวลาที่นานกว่าการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่หรือโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 6 ) นอกจากการผลิตลิเทียมจากแหล่งแร่ใหม่ๆ แล้ว การรีไซเคิลลิเทียมจากแบตเตอรี่ใช้แล้วก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นอย่างดี 7 ) อุตสาหกรรมแบตเตอรี่มีห่วงโซ่คุณค่าที่ยาวและค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่นี้ได้ในหลายจุดหากมีการให้ความสำคัญ ดำเนินการศึกษาและส่งเสริมในทิศทางนี้อย่างจริงจัง ทั้งนี้พึงระลึกว่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สามารถเป็น New S-curve ได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องอิงกับยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากการใช้งานแบตเตอรี่มีความหลากหลายไม่จำเพาะแต่เพียงยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น เรียบเรียงโดย สุมิตรา จรสโรจน์กุล และ พิมพา ลิ้มทองกุล ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช อ้างอิงจาก Gielen, D. and M. Lyons (2022), Critical Materials for the Energy Transition: Lithium, International Renewable Energy Agency, Abu Dhabi.  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. นำแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ : คลังข้อมูลวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ ร่วมจัดแสดงนิทรรศการก่อนการประชุม ครม.สัญจร จ.ระนอง เพื่อร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและนโยบาย Soft Power ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
วันที่ 19 ม.ค. 2567 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัด อว. และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของ อว. ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา และระนอง ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 ณ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) โดยมี นายสุวิทย์ สุริยะวงค์ ปลัดจังหวัดภูเก็ต ผศ.ดร.หิรัญ ประสารการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และคณะ ให้การต้อนรับ การลงพื้นที่ในครั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำผลงานวิจัยร่วมแสดงนิทรรศการสนับสนุนการท่องเที่ยวและนโยบาย Soft Power โดยมี ดร.กัลยา อุดมวิทิต รักษาการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และทีมนักวิจัย นำเสนอ "แพลตฟอร์มนวนุรักษ์" ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับบริหารจัดการข้อมูลวัฒนธรรม ซึ่งอาจจะเป็นโบราณวัตถุ ใบลาน จดหมายเหตุ ประเพณี วิถีชีวิต รวมถึงข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นพืชและสัตว์ท้องถิ่นที่จัดเก็บข้อมูลได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังสามารถใช้งานทางด้านการท่องเที่ยวได้และการนำชมได้ด้วยตัวเอง แนะนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงมีการจัดเก็บข้อมูลผู้เยี่ยมชม และการตอบนับจากผู้เยี่ยมชม และมีส่วนของ playground ที่สามารถสร้างเกมสำหรับการจัดกิจกรรมได้ โดยแพลตฟอร์นวนุรักษ์ได้จัดเก็บข้อมูลของ จ.ภูเก็ตไว้ 2 แห่ง คือ ย่านเมืองเก่าโดยได้รวบรวมข้อมูลอาคารสถาปัตยกรรม ผ้า วัฒนธรรม เส้นทางการท่องเที่ยว และอีกสถานที่สำคัญคือหาดไม้ขาว ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลทางชีวภาพ รวมถึงเส้นทางการท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Rachel ชุดเสริมแรงเคลื่อนไหว สำหรับผู้สูงอายุ
นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. พัฒนา Rachel ชุดบอดี้สูทช่วยในการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ สามารถสวมใส่ทำกิจวัตรต่างๆ ได้ตลอดวัน โดยใช้เทคโนโลยีกล้ามเนื้อจำลองในการช่วยเสริมแรงการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตอบโจทย์และรองรับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการเพื่อขยายผลในเชิงพาณิชย์ มีเป้าหมายให้มีราคาที่คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
‘M Sense’ ชุดตรวจโลหะปนเปื้อนในน้ำ ลดค่าตรวจ เพิ่มคุณภาพน้ำกินน้ำใช้ให้ประชาชนไทย
  ‘โลหะ’ เป็นแร่ธาตุที่พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก จึงพบการปนเปื้อนของโลหะในแหล่งน้ำธรรรมชาติทั้งน้ำบาดาลและน้ำผิวดินได้อยู่เสมอ นอกจากนี้การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งการทำการเกษตร อุตสาหกรรม รวมถึงกิจกรรมในครัวเรือนล้วนทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติเกิดการปนเปื้อนโลหะได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วผู้ผลิตน้ำประปาจึงควรหมั่นตรวจสอบคุณภาพแหล่งน้ำที่นำมาใช้ผลิต เพราะหากผู้บริโภครับประทานน้ำที่มีโลหะปนเปื้อนเข้าไปมากเกินขนาด หรือบริโภคต่อเนื่องจนเกิดการสะสม ‘โลหะเหล่านั้นอาจเป็นพิษต่อร่างกายของผู้บริโภคจนถึงขั้นเสียชีวิตได้’ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนา ‘M Sense’ ชุดตรวจโลหะปนเปื้อนในน้ำ อาทิ แมงกานีส  ทองแดง เหล็ก และพัฒนาอุปกรณ์เสริม ‘DuoEye Reader’ อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) สำหรับประมวลผลปริมาณโลหะปนเปื้อนในน้ำชนิดแจ้งผลการตรวจได้ทันที พร้อมจัดเก็บข้อมูลเข้าสู่ระบบคลาวด์ (cloud) โดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดภาระงานให้แก่เจ้าหน้าที่ภาคสนาม และเป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้ติดตามการปนเปื้อนของโลหะด้วยตนเอง ทั้งนี้ในการวิจัย สวทช. ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และหน่วยงานพันธมิตร     ดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์ หัวหน้าทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการพัฒนาชุดตรวจคุณภาพน้ำในรูปแบบใช้งานง่ายและมีราคาจับต้องได้ มาจาก รศ. นสพ. ดร.ศุภชัย เนื้อนวลสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิเคราะห์ความเสี่ยงอาหารและน้ำ (Center of Excellence in Food and Water Risk Analysis: FAWRA) คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยด้านอาหารและน้ำดื่ม (ทั้งทางชีวภาพและกายภาพ) จึงได้ชี้ให้ทีมวิจัยทราบถึงปัญหาด้านการตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาของประเทศไทยที่ปัจจุบันระบบผลิตน้ำประปาส่วนใหญ่เป็นรูปแบบประปาหมู่บ้าน (นอกเหนือจากการประปาส่วนภูมิภาคและการประปานครหลวงซึ่งมีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน) ซึ่งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำเฉลี่ยเพียงปีละ 1 ครั้งตามกฎหมายกำหนดเท่านั้น เนื่องจากการส่งตรวจตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานมีราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และต้องใช้เวลารอผลตรวจนาน ส่วนอุปกรณ์ภาคสนามที่ใช้ตรวจได้ด้วยตัวเอง ทราบผลการตรวจได้รวดเร็วกว่า ก็มีราคาเครื่องมือที่สูงเกินกว่าที่ผู้ประกอบการรายย่อยจะลงทุนไหว “อย่างไรก็ตามการติดตามการปนเปื้อนในแหล่งน้ำเพียงปีละ 1 ครั้งอาจไม่เพียงพอ เพราะตามธรรมชาติแล้วคุณภาพของน้ำจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล รวมถึงการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ อาทิ การทำการเกษตร การขุดลอก การทำเหมืองแร่ ตัวอย่างชนิดของโลหะที่พบการปนเปื้อนได้บ่อยครั้งและมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ‘แมงกานีส (manganese: Mn)’ ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เยื่อบุในระบบทางเดินอาหารอักเสบ และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นอัมพาต เนื่องจากระบบประสาทถูกทำลาย ‘ทองแดง (copper: Cu)’ ก่อให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อาเจียน อ่อนเพลีย เม็ดเลือดแดงแตกตัว และส่งผลต่อการทำงานของตับ” จากปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการสังเคราะห์โมเลกุลสารอินทรีย์ในระดับนาโนที่พัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในงานด้านการแพทย์มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา ‘โมเลกุลเซนเซอร์ที่ทำปฏิกิริยาจำเพาะกับโลหะแต่ละชนิด ซึ่งแสดงสีเฉพาะตัวได้หลังทำปฏิกิริยากับโลหะที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ’ โดยทีมได้ตั้งชื่อชุดเทคโนโลยีนี้ว่า ‘M Sense (Metal Sense)’ ปัจจุบันเทคโนโลยีในกลุ่ม M Sense ที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วมี 3 ชนิด คือ ‘Mn Sense (Manganese Sense)’ ชุดตรวจการปนเปื้อนของแมงกานีส ‘Cu Sense (Copper Sense)’ ชุดตรวจการปนเปื้อนของทองแดง และ ‘Fe Sense (Iron Sense)’ ชุดตรวจการปนเปื้อนของเหล็ก           [caption id="attachment_51752" align="aligncenter" width="750"] ทีมพัฒนาโมเลกุลเซ็นเซอร์ M Sense[/caption]   ดร.วีรกัญญา อธิบายว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม M Sense ผ่านการออกแบบให้ใช้งานง่าย เพียงผู้ทดสอบเก็บตัวอย่างน้ำมาใส่ในขวดทดลองตามปริมาณที่กำหนด เติมน้ำยาทดสอบลงในขวดแล้วรอเวลา 1-3 นาที (ระยะเวลาการตรวจขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะที่ต้องการตรวจ) หากสีของน้ำเปลี่ยนแปลงไปแสดงว่ามีการปนเปื้อนของโลหะชนิดที่ตรวจ ซึ่งผู้ตรวจสามารถตรวจสอบปริมาณการปนเปื้อนเชิงคุณภาพหรือเชิงกึ่งปริมาณได้จากการนำขวดการทดลองไปวางเทียบกับชาร์ตสีของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้เพื่อให้ผู้ตรวจทราบถึงผลเชิงปริมาณสำหรับนำไปใช้วางแผนปรับปรุงคุณภาพน้ำได้อย่างเหมาะสม ทีมวิจัยได้ร่วมกับกลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ (SSDRG) จากเนคเทค สวทช. สร้างเครื่องอ่านปริมาณสารเคมีในน้ำแบบพกพา DuoEye Reader เพื่อใช้คำนวณปริมาณโลหะปนเปื้อนในน้ำและแจ้งผลโดยระบุปริมาณการปนเปื้อน   [caption id="attachment_51748" align="aligncenter" width="500"] DuoEye Reader ผลงานต้นแบบโดย เนคเทค สวทช.[/caption]   “DuoEye Reader เป็นอุปกรณ์ IoT ที่ผ่านการออกแบบให้ใช้งานง่าย เพียงนำขวดทดสอบที่บรรจุน้ำตัวอย่างใส่ในเครื่องอ่านแล้วกดปุ่ม ‘blank’ เพื่อบันทึกค่าสีเริ่มต้น จากนั้นนำขวดทดสอบออกมาเติมสารทดสอบ M Sense แล้วนำกลับไปใส่ในเครื่องอ่านฯ อีกครั้ง แล้วกดปุ่ม ‘measure’ เพื่อเริ่มประมวลผล เครื่องอ่านจะคำนวณค่าสีที่เปลี่ยนแปลงไปและแสดงผลการปนเปื้อนออกมาเป็นตัวเลข (ใช้เวลาในการประมวลผล 1-3 นาที ขึ้นอยู่กับชนิดของสารปนเปื้อนที่ตรวจ) พร้อมจัดส่งข้อมูลการตรวจวัดทั้งวันที่ เวลา พิกัด และปริมาณการปนเปื้อนเข้าสู่ระบบคลาวด์โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ได้รับสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลการตรวจสอบได้จากทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์ ปัจจุบัน DuoEye Reader ผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ IEC/EN 61010-1 จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. เรียบร้อยแล้ว”     [caption id="attachment_51751" align="aligncenter" width="750"] ทีมพัฒนา DuoEye Reader[/caption]   ชุดตรวจโลหะปนเปื้อนในน้ำ M Sense ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพการตรวจสอบการปนเปื้อนเทียบเท่ากับชุดตรวจมาตรฐานสากลที่ประเทศไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีจุดแข็งที่โดดเด่นกว่าหลายประการ อาทิ มีความจำเพาะกับชนิดของโลหะ มีความปลอดภัยในการใช้งานสูงเนื่องจากหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีอันตรายในการทดสอบ การตรวจแต่ละตัวอย่างใช้เวลาในการตรวจสั้น เพียงประมาณ 3-5 นาทีเท่านั้น ขณะที่ชุดตรวจทั่วไปใช้เวลา 15-30 นาที นอกจากนี้ทั้ง M Sense และ DuoEye Reader ยังผ่านการออกแบบให้ใช้งานง่ายเหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ด้วย ทั้งนี้หากพิจารณาเพิ่มเติมในมุมของการลงทุนค่าอุปกรณ์เพื่อการใช้งานในระยะยาวแล้ว เครื่อง DuoEye Reader ยังมีอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญ คือ ออกแบบให้ใช้งานร่วมกับชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำทุกประเภทที่ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นได้ ภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอุปกรณ์นี้แล้วไม่ต้องลงทุนค่าอุปกรณ์เพิ่มเติมเมื่อต้องการตรวจสารปนเปื้อนชนิดอื่น ๆ ที่ทีมวิจัยพัฒนาออกมาใหม่ ทำให้ช่วยประหยัดงบประมาณได้เป็นอย่างดี ดร.วีรกัญญา เล่าว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้นำทั้ง ‘M Sense’ และ ‘DuoEye Reader’ เข้าทดสอบการใช้งานจริงร่วมกับการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ศูนย์อนามัยที่ 7 จังหวัดขอนแก่น และสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษจังหวัดขอนแก่นเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือทดสอบการใช้งานจริงจากภาคประชาชน ชุมชน หมู่บ้าน องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น และภาคการศึกษาซึ่งเป็นครูและนักเรียนในจังหวัดลำปางมากกว่า 20 โรงเรียน ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่ออุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นได้รับการยอมรับจากภาครัฐและภาคประชาชนแล้ว จะมีโอกาสขึ้นทะเบียนเป็นชุดตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ใช้ยื่นผลการตรวจต่อภาครัฐได้ตามกฎหมาย เพื่อให้ภาคเอกชนและองค์กรส่วนท้องถิ่นเข้าถึงอุปกรณ์ในราคาย่อมเยา ทำให้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำได้บ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งจะเกิดผลดีต่อผู้บริโภคต่อไป   [caption id="attachment_51750" align="aligncenter" width="750"] ทีมทดสอบภาคสนามและถ่ายทอดเทคโนโลยี[/caption]   นอกจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม M Sense ทั้ง 3 ชนิดดังที่กล่าวถึงข้างต้น​ ปัจจุบันทีมวิจัยยังกำลังดำเนินงานพัฒนาชุดตรวจการปนเปื้อนเคมีในน้ำอีกหลายชนิด เพื่อให้ครอบคลุมการตรวจสอบคุณภาพน้ำในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยได้เลือกใช้เทคโนโลยีหลักที่มีขั้นตอนการทดสอบเหมือนชุดตรวจที่ผ่านมาหรือมีความคล้ายคลึงกันสูง เพื่อให้ประชาชนใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องเรียนรู้การใช้งานใหม่ ดร.วีรกัญญา เสริมว่า ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว คือ ‘F Sense ชุดตรวจฟลูออไรด์ในน้ำ’ ซึ่งมักตรวจพบการปนเปื้อนเกินมาตรฐานในน้ำอุปโภคและบริโภคโดยเฉพาะน้ำบาดาล นอกจากนี้ยังมีชุดตรวจอื่นที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและคาดว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ในอนาคตอันใกล้ เช่น ชุดตรวจการปนเปื้อนของโลหะหรือโลหะหนักชนิดอื่น ๆ อาทิ ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท สารหนู ชุดตรวจการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีการใช้งานมากในประเทศไทย ส่วนด้านการแสดงผลผ่านช่องทางออนไลน์ของเครื่อง DuoEye Reader ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังพัฒนาระบบแสดงผลข้อมูลจากรูปแบบตารางให้เป็นรูปแบบ web dashboard เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกดูข้อมูลตามความสนใจได้ง่ายยิ่งขึ้น และจะเปิดให้บริการการเข้าถึงข้อมูลในรูปแบบ API (application programming interface) เพื่อให้องค์กรที่ใช้บริการดึงข้อมูลไปแสดงผลในระบบของตัวเองแบบเรียลไทม์ได้ด้วย โดยคาดว่าระบบทั้งสองจะพร้อมให้บริการภายในไตรมาสแรกของปีนี้   [caption id="attachment_51753" align="aligncenter" width="1000"] ภาพตัวอย่าง web dashboard ที่กำลังพัฒนา[/caption]   ชุดตรวจการปนเปื้อนเคมีในน้ำและ DuoEye Reader เป็นตัวอย่างความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนไทย ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข และยังช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน สวทช. พร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตทั้ง M Sense, F Sense และ DuoEye Reader แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ เพื่อรับช่วงต่อในการผลิตอุปกรณ์สำหรับจำหน่ายให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความต้องการสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพร้อมให้บริการวิจัยเพื่อพัฒนาชุดตรวจตามความต้องการเฉพาะด้วย สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อได้ที่ งานพัฒนาธุรกิจ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ โทรศัพท์ 0 2564 7100 ต่อ 6504, 6770 อีเมล bitt-bdv@nanotec.or.th หรือ อีเมล weerakanya@nanotec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย นาโนเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“ชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพรและน้ำ” ใช้งานง่าย ได้ผลแม่นยำ-รวดเร็ว
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนา ชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพรและน้ำ สำหรับวิเคราะห์สารปนเปื้อนในรูปแบบต่างๆ นำร่องตรวจวัดไอออนแมงกานีส (Mn Sense) ฟลูออไรด์ (F Sense) และทองแดง (Cu Sense) มุ่งเน้นการใช้งานภาคสนาม มีความไวและความจำเพาะสูง ใช้งานง่าย สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม บอกผลการวิเคราะห์ได้ทั้งการเปรียบเทียบแถบสี หรือใช้ร่วมกับเครื่องอ่านแบบพกพา DuoEye Reader ที่มีความถูกต้องแม่นยำ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์