ผลการค้นหา :
ฝึกอบรม Advanced Blockchain และ AI Applications in Service Design สำหรับ Royal University of Bhutan เสริมความรู้และพัฒนานวัตกรรม
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA) สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STIS) ได้จัดฝึกอบรมภาคภาษาอังกฤษ Training Course on Future-Ready Skills: Enhancing Technology and Innovation with Advanced Blockchain and AI Applications in Service Design สำหรับคณาจารย์ และบุคลากรจาก College of Science and Technology, Royal University of Bhutan รวมจำนวน 18 ท่าน ระหว่างวันที่ 20-25 ธันวาคม 2567 ณ ชั้น 6 อาคาร สวทช.(โยธี) โดยได้รับเกียรติจาก ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาเป็นประธานเปิดการฝึกอบรม
การฝึกอบรมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับการออกแบบบริการ พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดระหว่างผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าร่วมอบรม โดยมีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อสำคัญ ดังนี้
1. Advanced Blockchain ครอบคลุมแนวคิดพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในระดับองค์กร ความปลอดภัยของข้อมูล การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และกรณีศึกษาในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงเทคโนโลยี Blockchain โดยตรง มาเป็นวิทยากร ถ่ายทอดเนื้อหาที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ผ่านการบรรยาย กรณีศึกษา และ Hands on เข้มข้น ได้แก่
1) ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด จาก สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
2) ดร.ภาสกร ประถมบุตร จาก สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
3) รศ.ดร.คณิสร์ แสงโชติ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4) ดร.ฉกรรจ์ พราหมณ์แก้ว จาก บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด
5) คุณคเณศ มณีรัตน์ จาก KBTG: Orbix Tech
6) นายแพทย์ เดโชวัต พรมดา จาก BKGI-HealthTAG
7) คุณชาคริต อิ้มพัฒน์ และ คุณ ทาร์ เท็ท จาก บริษัท แอสเซนต์ บิท จำกัด
2. การประยุกต์ใช้ AI ในการออกแบบบริการ เน้นการพัฒนานวัตกรรมบริการ การใช้แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการออกแบบบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ โดยได้รับเกียรติจากทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน AI Applications in Service Design ได้แก่
1) ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ จาก บริษัท เอไอไนน์ จำกัด (Ai9)
2) ทีมกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นำโดย ดร. เทพชัย ทรัพย์นิธิ, ดร. กริช นาสิงขันธุ์, ดร. ชัยอนันต์ ดำรงรัตน์ และคุณวสันต์ ณ ชัย
ตลอดระยะเวลา 5 วัน ผู้เข้าร่วมอบรมได้เข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการที่เข้มข้นทั้งในเชิงวิชาการและการนำไปใช้จริง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความพร้อมให้กับบุคลากรของประเทศภูฏานสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล นอกจากนี้ ประเทศไทยและราชอาณาจักรภูฏานถือเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งในระดับพระราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน จึงเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ และเน้นย้ำความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระดับภูมิภาค
สำหรับการจัดฝึกอบรมภาคภาษาไทยเกี่ยวกับ Blockchain Technology เพื่อคนไทยนั้น สถาบันฯ ได้จัดเตรียมที่จะเปิดหลักสูตรอบรมในเร็ว ๆ นี้
สามารถติดตามข้อมูลหลักสูตรอบรมทั้งหมดของสถาบันฯ ได้ที่ https://www.career4future.com/home/
ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ Email: npd@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. โดย ไบโอเทค ถวายรายงานความก้าวหน้าโครงการเหมืองผาแดง และร่วมรับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมด้วยคณะวิจัยจากไบโอเทค ดร.นัฐวุฒิ บุญยืน นางสาวเชษฐ์ธิดา ศรีสุขสาม นางสาวสมฤทัย ใจเย็น และนางสาววรางคณา จันดา ร่วมรับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดตาก ณ โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านพะเด๊ะ หมู่ที่ 4 ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
ไบโอเทค สวทช. เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ผ่าน สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) มีงานวิจัยและการทำงานร่วมมือผ่านโครงการ “ส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก” ภายใต้แผนแม่บทและกรอบความร่วมมือระหว่างโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก และ สวทช. ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2565 - 2569) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และนวัตกรรมที่สนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ในพื้นที่ “เหมืองผาแดง” สำหรับในปีนี้ ทีมวิจัยจากไบโอเทค สวทช. และพันธมิตร ได้ดำเนินโครงการ “การอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ และเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนในพื้นที่เหมืองผาแดง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ตามโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG”
ในการดำเนินโครงการวิจัยมีความเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวจังหวัดตาก รวมถึงสามารถนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป อาทิ การสร้างคลังข้อมูลเห็ดกินได้และราแมลง การใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การสร้าง seed ball เพื่อเร่งการงอกของเมล็ดป่าไม้ การผลิตอิฐชีวภาพจากเห็ดราและขยะทางการเกษตร การผลิตกาแฟหมักยีสต์ การผลิตไซเดอร์จากเปลือกผลกาแฟ การใช้จุลินทรีย์หรือชีวภัณฑ์เพื่อควบคุมโรคพืชและแมลง รวมถึงการส่งเสริมพันธุ์พืช โดยแนะนำพันธุ์มะเขือเทศที่เหมาะสมแก่เกษตรกร
โดยหนึ่งในความก้าวหน้าของผลงานจากโครงการดังกล่าว คือ การรวบรวมข้อมูลเห็ดราและราแมลง จากพื้นที่เหมืองผาแดงและพื้นที่ใกล้เคียงในฐานะพันธมิตรภาคีเครือข่ายของผาแดง ทางคณะวิจัยจากไบโอเทค สวทช. รวบรวมตัวอย่างเห็ดราได้มากกว่า 130 ตัวอย่าง และตัวอย่างราแมลงมากกว่า 200 ตัวอย่าง โดยผลการศึกษาในพื้นที่เหมืองผาแดงก่อนหน้านี้ มีการรายงานการค้นพบเห็ดรากลุ่มย่อยสลายไม้และราแมลงในพื้นที่จากนักวิจัยของ สวทช. ว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ของโลกและได้ถูกตีพิมพ์ไปแล้วในวารสารทางวิชาการในระดับนานาชาติ จำนวนทั้งหมด 7 ชนิด ประกอบด้วย 1) Daldinia phadaengensis BBH 47511, 2) Daldinia flavogranulata BBH47510, 3) Pyrenopolyporus laminosus BBH47928, 4) Purpureomyces maesotensis BBH 44500, 5) Pyrenopolyporus bambusicola BBH47923, 6) Pyrenopolyporus cinereopigmentosus BBH47927 และ 7) Pyrenopolyporus macrosporus BBH47924
นอกจากนี้ ในคลังข้อมูลราแมลงของไบโอเทค ยังพบราแมลงที่คาดว่าเป็นชนิดใหม่ของโลกอีก 3 ชนิดจากพื้นที่เหมืองผาแดง ได้แก่ Metarhizium phadaengense, Metarhizium pseudoniveum และ Ophiocordyceps phadaengense ซึ่งขณะนี้ทีมนักวิจัยอยู่ระหว่างการรวบรวมผลและเตรียมตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ โดยราแมลงที่พบส่วนใหญ่จัดอยู่ในสกุลบิวเวอเรียและเมตาไรเซียม ซึ่งมีคุณสมบัติในการจัดการแมลงศัตรูพืชได้หลากหลายชนิด นำไปสู่การต่อยอดทางการเกษตรได้ ดังตัวอย่างในโครงการนี้ซึ่งได้นำเทคโนโลยีการจัดการศัตรูพืชด้วยชีวภัณฑ์เผยแพร่สู่พื้นที่ชุมชนชาวจังหวัดตาก ภายใต้ความร่วมมือโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (เหมืองผาแดง) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ มีแนวทางการดำเนินงาน 3 แนวทาง ดังนี้
1.“สอนให้รู้” ผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ด้วยเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเกษตรกร โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรพื้นที่สูงและกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งชาวเผ่าม้ง มูเซอ และลีซอ เน้นสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของสารเคมีเกษตร การป้องกันตนเองและการจัดการของเสียปนเปื้อนสารเคมี แนะนำองค์ความรู้ เสนอทางเลือกโดยใช้ ชีวภัณฑ์เกษตรและการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน โดยดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ อาทิ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก มุ่งหมายจัดตั้งศูนย์การผลิตชีวภัณฑ์ราบิวเวอเรีย เมตาไรเซียม และไตรโคเดอร์มา ในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่องยั่งยืน
2.“ทำให้ดู” การแสดงประสิทธิภาพของการใช้ชีวภัณฑ์ในการจัดการศัตรูพืชเชิงประจักษ์ ผ่านพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงของจังหวัดตาก คือ กาแฟ โดยจัดทำแปลงทดสอบสาธิตการจัดการแปลงกาแฟต้นน้ำ ในพื้นที่ดอยมูเซอและดอยห้วยเหลือง ทำงานร่วมกับเกษตรกร สำรวจประชากรแมลง ทั้งแมลงศัตรูพืช และแมลงที่มีประโยชน์ เช่น แมลงศัตรูธรรมชาติที่คอยกำจัดแมลงร้าย แมลงผสมเกสรต่าง ๆ เป็นต้น ติดตามการปรากฏของโรคพืชต่าง ๆ การศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่และการทดสอบประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์นี้ มีวัตถุประสงค์หลักจะสร้างองค์ความรู้การจัดการสวนกาแฟด้วยชีวภัณฑ์ทดแทนสารเคมี อันจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอินทรีย์หรือกาแฟปลอดภัย ส่งผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกรในพื้นที่ และยังส่งผลดีต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากกาแฟนี้มักจะปลูกร่วมหรือปลูกในพื้นที่ป่าไม้
3.“วางรากฐาน” การอบรมเชิงปฏิบัติการ เน้นการเรียนรู้และลงมือทำจริงให้กับเยาวชน และนักเรียน นักศึกษา เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้สามารถต่อยอดและนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้กับครอบครัวของตน “จะทำการเกษตรอย่างไรที่ไม่ต้องใช้สารเคมีหรือใช้น้อยลง” ซึ่งการจะใช้ชีวภัณฑ์ให้ได้ผล อย่างแรกคือต้องวินิจฉัยอาการผิดปกติของพืชได้ คือ โรคร้าย แมลงดี แมลงร้าย เพราะแมลงมีหลายชนิด ตัวไหนดีต้องเก็บไว้ ตัวไหนร้ายต้องรีบควบคุม รวมไปถึงการเชื่อมโยงเรื่องการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพที่สำรวจได้ในพื้นที่ผาแดง คือ เรื่องเห็ดราและราแมลง นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ดำเนินการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการแบบเข้มข้นให้กับนักเรียนโรงเรียนป่าไม้อุทิศ 4 เพื่อเป็นศูนย์ผลิตชีวภัณฑ์อีกหนึ่งแห่งของจังหวัดตากต่อไป
กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานท้องที่นี้ จำเป็นต้องกระทำอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง เพื่อการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญและการใช้ประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพ การทำการเกษตรปลอดภัย การยกระดับความสามารถของเกษตรกรด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะนำไปสู่วิถีชีวิตที่มีกินมีใช้อย่างยั่งยืนปลอดภัยต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘นายกฯ แพทองธาร’ ประกาศ ‘30 บาทรักษาทุกที่ครอบคลุมทั่วไทย 1 ม.ค. 68’ ปี 68 พัฒนาอีก 6 ด้าน สร้างนักบริบาลผู้สูงอายุ 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ สวทช. หนุน AMED ตัวช่วยเปลี่ยนผ่านระบบสุขภาพสู่ระบบดิจิทัล
‘นายกฯ แพทองธาร’ คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ เฟส 4 อีก 31 จังหวัด ครอบคลุมทั่วประเทศ 1 ม.ค. 68 เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพคนไทย 100% ประชาชนมี Health ID ประจำตัว รัฐบาลทำสำเร็จใน 1 ปีแรก เปลี่ยนผ่านระบบสุขภาพสู่ระบบดิจิทัล จาก 30 บาทรักษาทุกโรคสู่ 30 บาทรักษาทุกที่ พร้อมประกาศปี 68 เดินหน้าสร้าง นักบริบาลผู้สูงอายุ จ้างงานในชุมชน 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ 50 รพ. 50 เขตในกรุงเทพ ดูแลสุขภาพจิตครบวงจร บำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยติดสารเสพติดกลับสู่สังคม เป็นต้น
(วันที่ 25 ธันวาคม 2567) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า ระยะที่ 4 ครอบคลุมทั่วประเทศ 1 มกราคม 2568 โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี หน่วยงานราชการ เครือข่ายประชาชน ภาคเอกชนเข้าร่วมกว่า 200 คน
นางสาวแพทองธาร กล่าวปาฐกถา 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้าว่า วันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เดินทางมาถึงระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายที่ประชาชนอีก 31 จังหวัด จะได้ใช้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งทำได้สำเร็จตามเป้าหมายใน 1 ปีแรก เท่ากับว่าเราใช้เวลาประมาณ 2 ทศวรรษ เปลี่ยนจาก 30 บาทรักษาทุกโรคเมื่อ 22 ปีที่แล้ว มาสู่การเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ในวันนี้ ซึ่งเป็นการ Digital Transformation หรือการเปลี่ยนผ่านระบบสุขภาพสู่ระบบดิจิทัล
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในวันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนแล้ว 100% ประชาชนทุกคนมี Health ID ประจำตัว ได้รับบริการรักษาพยาบาลที่สะดวกรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอคิวตรวจนานที่โรงพยาบาลอีกต่อไป เราใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการให้บริการแก่ประชาชน เกิดเป็นใบส่งตัวในรูปแบบดิจิทัล การแจ้งเตือนนัดหมอผ่านไลน์ การหาหมอผ่านออนไลน์
การเปิดให้ร้านยาและคลินิกเอกชนเข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิดูแลประชาชน เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนรับบริการใกล้บ้านตามเวลาราษฎรไม่ใช่เวลาราชการ ผลจากการที่มีทางเลือกใหม่ๆ พบว่าทำให้ประชาชนกว่า 80,000 คนที่ไม่เคยใช้สิทธิมาก่อน มาใช้ 30 บาทรักษาทุกที่ ที่ร้านยาและคลินิกเอกชน อีกทั้งการมีนัดหมายออนไลน์ และใบส่งตัวดิจิทัล ได้ช่วยลดระยะเวลารอคอยของประชาชน เพราะไม่ต้องไปรอคิวแต่เช้า การมีระบบไอทีใน 30 บาทรักษาทุกที่ ผลวิจัยพบว่าทำให้ประชาชนในพื้นที่นำร่องมีความรอบรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่าพื้นที่อื่น
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า หลังจากความสำเร็จของ 30 บาทรักษาทุกที่ในปีแรกแล้ว ในปี 2568 นี้ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบสาธารณสุข 6 ด้านดังนี้ 1. ระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุ จัดตั้งสถานชีวาภิบาลทั่วประเทศ 2. สร้าง Care Giver หรือนักบริบาลผู้สูงอายุ 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานในชุมชน โดยจะเน้นกลุ่มที่เป็นนักศึกษาจบใหม่และผู้สูงอายุหลังเกษียณเพื่อให้มีงานทำ
เพิ่มความเข้มแข็งการดูแลสุขภาพของประชาชน คัดกรองเร็ว รู้เร็ว รักษาง่าย ปัจจุบันมีชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเองที่ประชาชนใช้แค่บัตรประชาชนไปขอรับได้ที่ร้านยาคือชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก ชุดตรวจการติดเชื้อเอชไอวี ชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในปีนี้จะเพิ่ม ชุดตรวจไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ ป้องกันโรคไตเสื่อมจากเบาหวาน
การดูแลสุขภาพจิตของคนไทย ด้วยบริการจิตเวชครบวงจรตั้งแต่การป้องกัน รักษา และการให้คำปรึกษาบำบัด ทั้ง ศูนย์ให้ปรึกษาทางจิตเวช และการรับการปรึกษาทางสุขภาพจิตผ่านแอปพลิเคชัน 5. การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยติดสารเสพติดกลับสู่สังคม และ 6. ขับเคลื่อน 50 โรงพยาบาล 50 เขต เพื่อคนกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลใกล้บ้านเป็นที่พึ่ง
ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาลเพื่อดูแลคนไทยให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน สะดวก รวดเร็ว ใกล้บ้าน ด้วยแนวทาง “30 บาทรักษาทุกที่” กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 เริ่มเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ที่ 4 จังหวัด ระยะที่ 2 เริ่มเมื่อ 1 มีนาคม 2567 เพิ่มเติมอีก 8 จังหวัด และระยะที่ 3 เริ่มเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ขยายอีก 33 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร
รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา 30 บาทรักษาทุกที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ประชาชนมีความพึงพอใจอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้มีทางเลือกในการรับบริการสุขภาพมากขึ้น นอกจากรับบริการตามขั้นตอนเดิมแล้ว ได้ร่วมกับสภาวิชาชีพทางการแพทย์ เพิ่มหน่วยบริการนวัตกรรมอีก 7 ประเภท โดยขึ้นทะเบียนในระบบแล้วประมาณ 13,000 แห่ง มีประชาชนรับบริการแล้วกว่า 6 ล้าน 5 แสนคน หรือประมาณ 15 ล้านครั้ง นอกจากนี้ ยังมี 14 บริการนวัตกรรมทางเลือกใหม่ เช่น ระบบการแพทย์ทางไกล หาหมอผ่านแอปพลิเคชัน รถทันตกรรมเคลื่อนที่ คลินิกเวชกรรมเชิงรุก ตู้ห่วงใย เจาะเลือดที่บ้าน รถรับส่งผู้ป่วย เป็นต้น
ทั้งนี้ภายในงานได้มีการแสดงนวัตกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ เช่น หมอพร้อม กระทรวงสาธารณสุข, Health Link โดยสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กระทรวงดิจิทัลฯ, ระบบ AMED โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีนายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นำนายกรัฐมนตรีและคณะเข้าเยี่ยมชมระบบ AMED ของ สวทช. โดยมี ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร. กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. ให้การต้อนรับเยี่ยมชม “แพลตฟอร์มสุขภาพการแพทย์ AMED Care” แพลตฟอร์มด้านสุขภาพการแพทย์ที่ให้บริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุข ที่สะดวก รวดเร็ว และใกล้บ้าน
นอกจากนี้ ยังมีระบบ Dent Cloud ทันตแพทยสภา, Krungthai digital health platform โดยธนาคารกรุงไทย และบริการ 30 บาทรักษาทุกที่ แอปพลิเคชันทางรัฐ รวมถึงนวัตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ เช่น ตู้ห่วงใยหรือหมอตู้ หาหมอออนไลน์ แจกชุดตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง และชุดตรวจคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ในตับและมะเร็งท่อน้ำดีด้วยตนเอง เครื่องล้างไตอัตโนมัติ GPO Life และระบบส่งต่อดิจิทัล เป็นต้น
31 จังหวัดพร้อมให้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ 1.ตาก2.สุโขทัย 3.พิษณุโลก 4.อุตรดิตถ์ 5.ขอนแก่น 6.มหาสารคาม 7.กาฬสินธุ์ 8.มุกดาหาร 9.ยโสธร 10.ศรีษะเกษ 11.อุบลราชธานี 12.สมุทรปราการ 13.ปราจีนบุรี 14.ฉะเชิงเทรา 15.ชลบุรี 16.ระยอง 17.จันทบุรี 18.ตราด 19.กาญจนบุรี 20.สุพรรณบุรี 21.นครปฐม 22.สมุทรสาคร 23.สมุทรสงคราม 24.ราชบุรี 25.ประจวบคีรีขันธ์ 26.ชุมพร 27.ระนอง 28.สุราษฎร์ธานี 29.กระบี่ 30.นครศรีธรรมราช 31.ภูเก็ต
สอบถามเพิ่มเติม
1.สายด่วน สปสช. 1330
2.ช่องทางออนไลน์
ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ศาลยุติธรรม ร่วมมือ สวทช. นำ AI สนับสนุนภารกิจศาลฯ ลดระยะเวลาการพิจารณาคดี
วันที่ 24 ธันวาคม 2567 สำนักงานศาลยุติธรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อสนับสนุนภารกิจศาลยุติธรรม โดยมีนายธีรทัย เจริญวงศ์ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานการลงนามความร่วมมือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับการสนับสนุนภารกิจของศาลยุติธรรมในการเสริมสร้างประสิทธิภาพการพิจารณาคดีและการบริหารงานยุติธรรมให้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ T: เปลี่ยนผ่านสู่อนาคต (Transformation) โดยมี ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. และนายภพ เอครพานิช รองเลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ณ อาคารสำนักงานศาลยุติธรรม ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
นายธีรทัย เจริญวงศ์ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ และแผนยุทธศาสตร์ พ.ศ. 2565 – 2568 ยุทธศาสตร์ T เปลี่ยนผ่านสู่อนาคต (Transformation) ซึ่งมีเป้าหมายในการเสริมสร้างการอำนวยความยุติธรรมและการคุ้มครองสิทธิของประชาชนด้วยระบบดิจิทัล ผ่านการพัฒนาระบบการใช้เทคโนโลยีที่อาศัยปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในศาลยุติธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อสนับสนุนการพิจารณาพิพากษาคดี และบริการจัดการ การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ยังรวมถึงการร่วมกันสนับสนุนและจัดหาคลังข้อมูลเกี่ยวกับศาลยุติธรรมสำหรับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่มีบทบาทในการเสริมประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมสนับสนุนภารกิจและงานต่าง ๆ ของศาลยุติธรรม เพื่อลดขั้นตอน ลดระยะเวลา การเชื่องโยงข้อมูล การสืบค้นข้อมูลคำสั่ง และคำพิพากษาของศาล ควบคู่ไปกับระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสม และเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการให้บริการประชาชน
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) กล่าวว่า เนคเทค สวทช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับสำนักงานศาลยุติธรรมในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยความเชี่ยวชาญด้าน AI ที่สั่งสมมามากกว่า 20 ปี เนคเทคได้พัฒนาระบบ AI ต่าง ๆ ทั้งการประมวลผลข้อความ/ เสียงพูด, งานด้าน Image Processing, การพัฒนา Chat bot, งานด้านประมวลผลภาษา เช่น NLP, Machine Translation, Word Segmentation, การพัฒนาแพลตฟอร์ม AI for Thai ให้บริการ AI APIs ต่อยอดไปสู่การพัฒนาบริการ/ นวัตกรรม AI มาถึงในปัจจุบันกับการพัฒนา “Pathumma LLM” Generative AI สัญชาติไทยที่สามารถประมวลข้อมูลภาษาไทยได้หลากหลาย ทั้งรูปภาพ เสียง ข้อความ เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างงานวิจัยพัฒนาด้าน AI ที่ทีมวิจัย สั่งสม เพิ่มเติมกันมาอย่างต่อเนื่อง
เนคเทค สวทช. ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะเลขานุการร่วม ในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (พ.ศ. 2565–2570) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในมิติต่าง ๆ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาต่อยอดและถ่ายทอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับศาลยุติธรรมในครั้งนี้ เนคเทค สวทช. จะได้นำองค์ความรู้ และงานวิจัยทางด้าน AI มาใช้ในการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการสนับสนุนภารกิจหลักของศาลยุติธรรม ได้แก่ ระบบช่วยร่างคำฟ้อง, ระบบค้นหาและเข้าถึงข้อมูลในวิดีโอ, ระบบถาม – ตอบข้อมูลของศาล, ระบบถอดความการพิจารณาคดี onsite และ online, ระบบแนะนำกระบวนการดำเนินการในศาล, ระบบสืบค้นข้อมูลทางวิชาการผ่านระบบ RAG (Retrieval Augmented Generation) ระบบเปลี่ยนแปลงข้อมูลภาพให้เป็นตัวอักษร (Optical Character Recognition : OCR) และระบบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อื่น ๆ สำหรับสนับสนุนภารกิจงานของศาลยุติธรรม
นอกจากนี้ เนคเทค สวทช. ยังวางแผนร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรมในการสนับสนุนและจัดการคลังข้อมูลเกี่ยวกับศาลยุติธรรม เพื่อพัฒนา AI ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มความรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม ในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน รวมถึงความร่วมมือครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้บุคลากรจากทั้งสองหน่วยงานได้แลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลวิชาการและประสบการณ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาระบบงานและเสริมสร้างศักยภาพก่อให้เกิดประโยชน์ของแต่ละหน่วยงานต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เครือข่าย Thailand CCUS Alliance (TCCA) จัดกิจกรรมการประชุมรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มหน่วยงานภาคอุตสาหกรรม (Focus Group: Industrial Sector) หนุนการขับเคลื่อนโครงการ TCCA และการประยุกต์ใช้ CCUS Technology ในภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อส่งเสริมนโยบาย Carbon Neutrality และ Net zero emission
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้องพระพรหม ชั้น 3 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร สวทช. โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ภายใต้โครงการการจัดตั้งเครือข่ายพันธมิตรด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย หรือ Thailand CCUS Alliance (TCCA) สนับสนุนโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนา สถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มหน่วยงานภาคเอกชนและอุตสาหกรรม โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ช่วง คือ กิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing Session) ในช่วงเช้า และกิจกรรมการประชุมรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มหน่วยงานภาคเอกชนและอุตสาหกรรม (Focus Group Meeting) ในช่วงบ่าย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานให้ทุน ทั่วประเทศรวม 46 หน่วยงาน/บริษัท จำนวน 123 คน
ภายในงาน ได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติทำหน้าที่ประธานดำเนินรายการในช่วงประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนภาคอุตสาหกรรม พร้อมด้วย ดร.ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) และ
คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ให้เกียรติกล่าวเปิดงานและกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมในช่วง Knowledge Sharing Session โดยวิทยากรทั้ง 3 ท่าน ทั้งจากภาคการศึกษา และภาครัฐ ประกอบด้วย
ศ. ดร.วรงค์ ปวราจารย์ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สส.)
คุณศิริพร ภาวิขัมภ์ หัวหน้ากลุ่มงานการลดคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรม โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมันด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (TGC EMC)
ภายใต้การดำเนินกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนภาคอุตสาหกรรม ยังได้มีการนำเสนอผลและแผนการดำเนินงานของโครงการ TCCA โดย ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ หัวหน้าโครงการ และผู้แทนคณะทำงานฯ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ร่วมด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อคิดเห็นร่วมกับภาคอุตสาหกรรม นำโดยผู้เชี่ยวชาญ และที่ปรึกษาของโครงการ TCCA ประกอบด้วย ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. และประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มเศษฐกิจหมุนเวียน บพข.
กิจกรรมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างระบบและกลไกการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งในรูปแบบภาคี เครือข่าย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระหว่าง ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม สถาบันวิจัย และสถาบันการศึกษา ที่มีพันธกิจร่วมในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี ด้าน Carbon capture, utilization and storage (CCUS) เพื่อลดการปล่อย CO2 ตามเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศไทย โดยเน้นรับฟังสถานภาพด้านการประยุกต์ใช้ CCUS Technology และความต้องการจากภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ภายใต้กิจกรรม มีการนำเสนอข้อมูลการดำเนินงานด้านแผนนโยบายและการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS โดยตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมแต่ละบริษัท อาทิเช่น CO2 capture Utilization Without Hydrogen, CO2 VSA Technology, Blue Hydrogen and Blue Ammonia, CO2 Storage: Saline Aquifer Carbon offset with projects or credits เป็นต้น ตลอดจนโอกาสในการร่วมขับเคลื่อนเครือข่าย TCCA และความต้องการให้เครือข่าย TCCA ส่งเสริมหรือสนับสนุนการดำเนินงาน รวมทั้งความต้องการการสนับสนุนด้านประสานงานกับหน่วยงานด้าน CCUS กับทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากการประชุม มีข้อสรุปสำคัญ เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนเครือข่าย TCCA ได้แก่ 1.บทบาทของภาคอุตสาหกรรมในการรวมกลุ่มผลัดดันเทคโนโลยีด้าน CCUS และการเป็นแหล่งให้ความรู้ หรือ site visit เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สำหรับภาครัฐและภาคการศึกษา 2.บทบาทในการดำเนินงานด้านแผนนโยบายในการผลักดัน CCUS Technology รวมถึงการหา Solution และ Model ที่เหมาะสมให้กับประเทศไทย 3.แนวทางการขอรับทุนด้าน CCUS Technology และ Industrial Decarbonization จากในและต่างประเทศ โดยการบูรณาการความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา-สถาบันวิจัย
ทั้งนี้คณะทำงานโครงการมีแผนจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม (Focus Group) ร่วมกันทั้ง 3 กลุ่ม (หน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม) อีกครั้ง เพื่อตกผลึกข้อมูลและข้อคิดเห็นให้คมชัด และครอบคลุมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานรวมทั้งวางแผนการลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายใต้โครงการ TCCA เพื่อส่งมอบผลงานให้ได้ตามเป้าหมายของโครงการ ในลำดับต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนตุลาคม 2567
ข่าว
ETDA ร่วมกับ สวทช. ขับเคลื่อนความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI อย่างต่อเนื่องสู่ปีที่ 2 ชี้การประยุกต์ใช้ AI ของประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่อง
“ศุภมาส” ร่วมเวทีวิทยาศาสตร์โลก STS forum 2024 ชู “คน” ขับเคลื่อนนิเวศนวัตกรรมหนุนวิจัย ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
‘ศุภมาส’ นำผู้บริหารและคณาจารย์เยือนและเจรจากระชับความร่วมมือโครงการ TAIST-Science Tokyo ณ ประเทศญี่ปุ่น
ปลัด อว. นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ จัดพิธีบำเพ็ญกุศล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2567
ผู้บริหาร อว. เยือน Haneda Innovation City และเจรจาความร่วมมือกับเมืองโอตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการนำนวัตกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม
‘ศุภมาส’ นำคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ขอให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง
สพฉ. ผนึก ศิริราชวิทยวิจัย และ สวทช. ยกระดับความร่วมมือด้านดิจิทัลเพื่อการแพทย์ฉุกเฉิน
นักวิจัย นาโนเทค สวทช. คว้ารางวัล “นักเทคโนโลยีดีเด่น 2567”
ผู้ช่วย รัฐมนตรี อว. เป็นประธานในพิธีวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน “วันเทคโนโลยีของไทย” ประจำปี 2567
กทม. ผนึกกำลัง สวทช. สสวท. พัฒนาเยาวชน ในโรงเรียนภาษาที่สาม สู่นวัตกรยุค 4.0 ด้วย Digital Innovation Maker space นำร่องพื้นที่กรุงเทพมหานคร
สวทช.- ธ.ก.ส. จับมือขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ในพื้นที่จังหวัดยโสธร ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต
2 ปี ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เดินหน้าครบทุกมิติ พัฒนาคน สร้างนวัตกรรมหนุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ประเทศ
เนคเทค สวทช. คว้า 2 รางวัล ผลิตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรมด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประจำปี 2567
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. คว้า “ทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทยเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2567
Download เอกสารฉบับเต็ม (4.5 MB)
จดหมายข่าว สวทช.
เปลี่ยนเกมส์การตลาดของคุณ ด้วย AI Marketing ผู้ช่วยอัจฉริยะ
📢หากคุณพร้อมเรียนรู้ 📈และอยากเติบโต ในโลกตลาดออนไลน์ 🧑🏻💻
✨หลักสูตร เปลี่ยนเกมส์การตลาดของคุณ ด้วย 🧠 AI Marketing ผู้ช่วยอัจฉริยะ⚙️
จะช่วยให้คุณเข้าถึงแก่นของ 🧠 AI Marketing อย่างตรงประเด็น✨
.
🎯Key Highlights
✅️ รู้ลึก รู้จริง กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ฉบับใช้จริง
✅️ รู้ลึก รู้จริง รูปแบบและไอเดียการทำคอนเทนต์
✅️ รู้ลึก รู้จริง กลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจ
✅️ ใช้ AI ให้เป็น เพื่อเพิ่มยอดขาย กำไรปังๆ
✅️ Workshop การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
✅️ สร้าง Slide นำเสนอง่ายๆ อย่างไวใน 3 นาที
.
📅 วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2568
🕤 เวลา 09.00 – 16.30 น.
📍ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ ถนนราชปรารภ แขวงประตูน้ำ เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
.
🚩ค่าลงทะเบียน
🤵🏻บุคคลทั่วไป, หน่วยงานเอกชน, มหาวิทยาลัยเอกชน, สมาคม, มูลนิธิ
ราคา 6,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)
🤵🏻♀️บุคลากรหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่ใช่ธุรกิจซึ่งไม่แสวงหากำไร, มหาวิทยาลัยภาครัฐ
ราคา 6,074.77 บาท (ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)
.
👉ดูรายละเอียดได้ที่: https://www.career4future.com/aimkt/
📲สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81889 (คุณอริสรา)
📧 e-Mail : bas@nstda.or.th
...
ทำความรู้จัก สวทช. เพิ่มเติมได้ที่
Website: https://www.nstda.or.th
YouTube: https://www.youtube.com/@nstda
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/nstda/
Instagram: https://www.instagram.com/nstdathailand/
Twitter: https://twitter.com/nstdathailand
LINE OA: https://lin.ee/5LjT9Ny
TikTok: https://www.tiktok.com/@nstdathailand
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. แถลงสรุปผลงานปี 67 ตอบโจทย์ประเทศ 4 มิติ เผยกลยุทธ์ ปี 68 มุ่งเน้น ‘การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยยั่งยืน’
(วันที่ 24 ธันวาคม 2567) ณ ห้องกมลทิพย์ บอลรูม1-2 โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและนักวิจัย แถลงข่าวสรุปผลงาน สวทช. ปี 2567 พร้อมเผยทิศทางการดำเนินงานปี 2568 ภายใต้กลยุทธ์ คือ ‘S&T Implementation for Sustainable Thailand’ หรือ “การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยยั่งยืน” เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยระดับชาติในการพัฒนาประเทศ โดยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนภาคส่วนต่าง ๆ ให้สามารถพึ่งพาตนเองนำพาประเทศชาติให้มีความสามารถในการแข่งได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
@วิจัยตอบโจทย์ประเทศ 4 มิติ ‘สร้างการเติบโตทาง ศก.-พึ่งพาตนเอง-ลดเหลื่อมล้ำ-สร้างความยั่งยืน สวล.’
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ขับเคลื่อนโครงการ BCG Implementation ในปี 2567 เพื่อใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญให้แก่ผู้ใช้ประโยชน์ทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ผลงานในปี 2567 ที่ประชาชนและผู้ให้บริการจากภาครัฐเอกชน และภาคประชาสังคมสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดย สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรเกิดผลสำเร็จอย่างมาก โดยมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวนกว่า 8.9 ล้านคน และมีหน่วยงานนำเทคโนโลยีไปใช้มากกว่า 43,000 หน่วยงาน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มากกว่า 20,000 ล้านบาท และผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) มากกว่า 3,600 ล้านบาท โดยสามารถตอบโจทย์ประเทศทั้ง 4 มิติ ได้แก่
มิติที่ 1 สร้างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วย 3 โครงการหลัก ได้แก่
แพลตฟอร์มการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ตลอดห่วงโซ่การผลิตพร้อมผลักดันสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งมีมากกว่า 25 รายการ การลงทุนด้าน วทน. มากกว่า 200 ล้านบาท ผลกระทบด้านเศรษฐกิจมากกว่า 2,300 ล้านบาท เกิดมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 7,500 ล้านบาท ยกระดับอุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชัน อาหารและเวชสำอาง อุตสาหกรรมหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
นวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน พัฒนาเทคโนโลยียกระดับสมุนไพรไทยสู่ พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ วิจัย ‘สารสกัดมาตรฐานจากกระชายดำและบัวบก’ โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสู่ ‘ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์’ ผลักดันสารสกัดสมุนไพรไทยสู่ บริษัทชั้นนำระดับโลก 10 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น อินเดีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี และนิวซีแลนด์ เกิดการลงทุนด้าน วทน. 152 ล้านบาท สร้างมูลค่าทางธุรกิจ มากกว่า 320 ล้านบาท เป็นการพลิกโฉมสมุนไพรไทยสู่สารสกัดมูลค่าสูง พัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงามระดับมาตรฐานสากล
EV การพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าเพื่อการแข่งขันที่ยั่งยืน มีการพัฒนาคน โดยการ Upskill/Reskill กำลังคนด้าน EV สร้างเทคโนโลยีสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย “อว. For EV” มีผู้ใช้ประโยชน์ 36 หน่วยงาน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า 860 ล้านบาท เกิดการลงทุนด้าน วทน. มากกว่า 640 ล้านบาท
มิติที่ 2 เพิ่มการพึ่งพาตนเอง ด้วย 4 โครงการหลัก ได้แก่
1.ชุดตรวจติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. และกำลังเข้าสู่ระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยชุดตรวจติดตามโรคไต Al-Strip เป็นชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนใช้ตรวจคัดกรองโรคด้วยตัวเองอย่างง่าย รู้ผลตรวจภายใน 5 นาที เพื่อคัดกรองภาวะเสื่อมของไตในระยะเริ่มต้น เพิ่มโอกาสให้คนไทยรอดพ้นจากโรคไตเรื้อรัง โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยไตเรื้อรังทั้งประเทศมากกว่า 9 ล้านคน ซึ่งทำให้รัฐต้องจ่ายงบประมาณค่ารักษามากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
สำหรับชุดตรวจคัดกรองโรคไต ปัจจุบันนาโนเทค สวทช. สภาเภสัชกรรม และ สปสช. ผลักดันการใช้ประโยชน์ชุดตรวจคัดกรองโรคไต เข้าสู่ระบบ สปสช. ผ่านร้านขายยาในโครงการพื้นที่ สปสช.เขต 7 จ.ขอนแก่น นำร่อง 3,000 ชุด ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคไตแบบครบวงจร โดยคาดว่าจะนำร่องแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 ก่อนจะผลักดันเข้าเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ
2.Digital Healthcare Platform ขยายผลแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิ สนับสนุนหน่วยบริการนวัตกรรมตามนโยบาย สปสช. และบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ช่วยคนไทยได้ใช้ประโยชน์กว่า 3 ล้านคน จำนวนการใช้บริการมากกว่า 8 ล้านครั้ง สนับสนุนหน่วยบริการทางการแพทย์มากกว่า 6,200 แห่ง รวมถึงสนับสนุนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ของรัฐบาล
3.วัคซีนสัตว์ พัฒนาวัคซีน ASF สายพันธุ์ไทย เพื่อเป็นความหวังใหม่ในการสู้กับโรคระบาดในสุกร จากการที่ประเทศไทยประกาศการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Africa Swine Fever: ASF) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 สร้างความเสียหายในอุตสาหกรรมมากกว่า 1.5 แสนล้านบาท แม้ว่าหลายประเทศได้เร่งพัฒนาวัคซีน แต่ยังคุณภาพไม่ดีพอ สวทช. โดยไบโอเทค เร่งพัฒนาวัคซีน ASFV ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ จากไวรัสสายพันธุ์ไทย เพื่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และลดการนำเข้าวัคซีน ปัจจุบันวางแผนทดสอบต้นแบบวัคซีนในฟาร์มสุกร 12 แห่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐและเอกชน 80 ล้านบาท
4.National AI Ecosystem พัฒนาระบบนิเวศส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเสริมศักยภาพคนไทยก้าวทันโลกอนาคต โดยมีการสนับสนุนแพลตฟอร์ม “AI for Thai” ที่มีสถิติการใช้งานสูงสุดมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อเดือน สนับสนุน Medical AI Data Sharing ที่มีข้อมูลมากกว่า 2 ล้านภาพครอบคลุม 9 โรคสำคัญ โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ผ่านการให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สำหรับการวิจัยด้าน AI และสนับสนุนพัฒนา Thai LLM เป็น OpenThaiGPT ที่พัฒนาโดยคนไทย
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวต่อว่า มิติที่ 3 ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ด้วย 3 โครงการหลัก ได้แก่
1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ปฏิรูปการร้องเรียน เชื่อมต่อทุกปัญหา เชื่อมโยงประชาชนเข้ากับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อยกระดับสังคมเมืองให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ปัจจุบันมีจังหวัดที่ใช้งานทุกหน่วยราชการของจังหวัดมากถึง 23 จังหวัด ผ่านการรับเรื่องแจ้งทั่วประเทศมากกว่า 1 ล้านเรื่อง ครอบคลุมประชากรมากกว่า 30 ล้านคน คิดเป็น 45% ของประชากรทั่วประเทศ ขยายผลการใช้งานแล้วมากกว่า 15,000 หน่วยงาน
2.ทุ่งกุลาม่วนซื่น ส่งเสริมเกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อย ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี สินค้าเกษตรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ มากกว่า 5,000 คน 40 หน่วยงาน ยกระดับสินค้าเกษตรและอาหารมูลค่าสูงผ่านกลไก ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เกิด 10 ผลิตภัณฑ์ สร้างรายได้ชุมชนมากกว่า 82 ล้านบาท ช่วยสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมถั่วเขียวแบบครบวงจร ช่วยพลิกผืนดินทุ่งกุลาร้องไห้ ให้เป็น “ทุ่งกุลาม่วนซื่น อยู่ดี มีแฮง”
3.แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสาร สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ เป็นแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่ออ่านง่ายสำหรับบุคคลที่บกพร่องทางการรับรู้ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสร้างงานและสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม มีหน่วยงานนำไปใช้ประโยชน์มากกว่า 130 หน่วยงาน ผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 142,000 คน
และ มิติที่ 4 สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วย 2 โครงการหลัก ได้แก่
1.การพัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูล CO2 , CE, SDGs เพื่อการค้าและความยั่งยืน โดย เอ็มเทค สวทช. สร้างฐานข้อมูลพัฒนาตัวชี้วัดสำคัญเพื่อสนับสนุนแนวทาง SDGs ปรับปรุงฐานข้อมูลวัฎจักรชีวิตระดับประเทศ สนับสนุนภาครัฐและภาคเอกชน นำพาประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ลดการกีดกันทางการค้า โดยผลักดันให้มีผู้ใช้ประโยชน์มุ่งสู่ NET ZERO 180 หน่วยงาน สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากกว่า 7 แสนตัน สร้างผลกระทบมากกว่า 5,500 ล้านบาท และช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยสู่ตลาดโลกด้วยฐานข้อมูลเพื่อตอบมาตรการ CBAM สำหรับอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เหล็ก และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต
2.Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมช่วยผู้ประกอบการไทย ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตลดต้นทุนการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดย สวทช. สนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมประเมินอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยตัวเอง (Self-assessment) ผ่านการใช้งานระบบ Thailand i4.0 CheckUp มากกว่า 405 ราย มีเป้าหมายให้ได้ 5,000 รายภายในปี 2571 โดยมีศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ที่จะช่วย Upskill/Reskill ผลักดันอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืน นอกจากนี้การดำเนินงานโครงการ IDA (Industrial IoT and Data Analytics) Platform เพื่อยกระดับโรงงานอุตสาหกรรม ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร โดยมีตัวอย่างความสำเร็จของ บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด (โรงงานน้ำมันกุ๊ก) ที่ช่วยยกระดับภาคการผลิต เกิดการลงทุนด้าน วทน. ในโรงงาน 1 ล้านบาท สร้างผลประโยชน์ 102 เท่าของเงินลงทุน ลดความสูญเสียกำลังการผลิต 126 ล้านบาท
“จะเห็นได้ว่าแต่ละโครงการ ประชาชนต้องได้ใช้ประโยชน์จากผลงานของ สวทช. ผ่านหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน ที่มีหน้าที่โดยตรง และมีความต้องการเอาผลงานของ สวทช. ไปขยายผล นั่นคือเป้าหมายที่ทำให้งานวิจัย เข้าถึงประชาชนจำนวนมาก และถึงผู้ใช้ประโยชน์จริง นั่นคือเป้าหมายหลักของ สวทช.”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ตลอดปี 2567 สวทช. นอกจากการดำเนินโครงการ BCG Implementation แล้ว สวทช. เดินหน้าดำเนินการในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพันธกิจของการเป็นหน่วยงานวิจัยแห่งชาติ อาทิเช่น ด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรม สวทช. ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้แก่ SMEs 550 ราย ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย 76 ราย และยื่นจดทรัพย์สินทางปัญญาที่มีการใช้ประโยชน์ 501 ราย
ด้านการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน สวทช. ส่งเสริมเทคโนโลยีสร้างอาชีพให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้และพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ มากกว่า 10,000 คน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมประมาณ 500 ล้านบาท
ด้านการพัฒนากำลังคนและสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. ส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนมากกว่า 17,000 คน สนับสนุนทุนให้แก่บัณฑิตและนักวิจัยอาชีพมากกว่า 500 คน
ด้านการสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 724 เรื่อง ยื่นขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 247 รายการ พร้อมทั้งได้รับรางวัลระดับนานาชาติและระดับชาติมากถึง 78 รางวัล
@ ปี 68 มุ่งเน้น S&T Implementation ‘การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยยั่งยืน’
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2568 สวทช. ยังคงมุ่งมั่นนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ขยายผลงานวิจัยไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ตามนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศุภมาส อิศรภักดี ได้เน้นย้ำให้เร่งผลักดันงานวิจัยเข้าถึงประชาชนทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งมั่นดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี สวทช. (พ.ศ. 2566-2570) ซึ่ง สวทช. ตั้งเป้าทิศทางการทำงานด้วยกลยุทธ์ “S&T Implementation for Sustainable Thailand” โดยตั้งเป้าหมายผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ S&T Implementation เพิ่มขึ้นมากกว่า 7 ล้านคน และหน่วยงานรับถ่ายทอดผลงานวิจัยมากกว่า 20,000 หน่วยงาน โดยเน้น 4 กลยุทธ์ ในการดำเนินงาน ได้แก่
ขับเคลื่อนแผนงาน S&T Implementation for Sustainable Thailand ร่วมกับพันธมิตรสำคัญในการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์
สร้างความเข้มแข็ง ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีฐานด้านที่สำคัญของประเทศ เพื่อตอบ S&T Ecosystem ของประทศ
สร้างการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. และการพัฒนาบุคลากรด้าน วทน.
เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากร
ทั้งนี้ทุกผลงานวิจัยทุกความสำเร็จเกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจของ สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรที่ได้ร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม เพื่อเป็นขุมพลังในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยอย่างทั่วถึง และสร้างความเข้มแข็งให้กับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วย วทน. เพื่อการพัฒนาประเทศไทยที่ยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
การพัฒนา ENTREPRENEURSHIPS MINDSET เพื่อต่อยอดการสร้างธุรกิจฉบับมืออาชีพ
📢 ห้ามพลาด‼️💡 อบรม การพัฒนา ENTREPRENEURSHIPS MINDSET 🧠 เพื่อต่อยอดการสร้างธุรกิจฉบับมืออาชีพ⚙️📊💼
.
💡Entrepreneurship หรือแนวคิดของผู้ประกอบการ เป็นกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มีคุณค่า ที่มุ่งเน้นการลงมือปฏิบัติจริง ตลอดจนการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ สามารถรู้วิธีการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความสำเร็จในธุรกิจและการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยนำพาธุรกิจให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “ทุกคนสามารถเป็นผู้ประกอบการได้โดยไม่จำเป็นต้องมีธุรกิจ”✨
.
🎯KEY HIGHLIGHT
✅️ENTREPRENEURSHIP MINDSET คืออะไร
✅️ENTREPRENEURSHIP MINDSET สำ คัญอย่างไรต่อการทำ ธุรกิจ
✅️ตัวอย่าง ENTREPRENEURIAL MINDSET ที่ผลักดั นเจ้าของธุรกิจให้ประสบความสำ เร็จ
.
📌🗓 วันที่ 15 – 16 มกราคม 2568
🕤 เวลา 09.00 – 16.00 น.
📍ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ ถนนศรีอยุธยา แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
.
🚩 ค่าลงทะเบียน
*** บุคคลทั่วไป, หน่วยงานเอกชน, มหาวิทยาลัยเอกชน, สมาคม, มูลนิธิ ***
ท่านละ 14,980 บาท (ราคานี้ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)
***บุคลากรหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่ใช่ธุรกิจซึ่งไม่แสวงหากำไร, มหาวิทยาลัยภาครัฐ ***
ท่านละ 14,000 บาท (ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)
.
👉ดูรายละเอียดได้ที่: https://www.career4future.com/entr/
📲สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81889 (คุณอริสรา)
📧 e-Mail : bas@nstda.or.th
...
ทำความรู้จัก สวทช. เพิ่มเติมได้ที่
Website: https://www.nstda.or.th
YouTube: https://www.youtube.com/@nstda
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/nstda/
Instagram: https://www.instagram.com/nstdathailand/
Twitter: https://twitter.com/nstdathailand
LINE OA: https://lin.ee/5LjT9Ny
TikTok: https://www.tiktok.com/@nstdathailand
ปฏิทินกิจกรรม
อบรมหลักสูตรการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO)
มาแล้ว อบรมหลักสูตรการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO)
.
หลักสูตรนี้ เป็นหลักสูตรที่ให้ความรู้และฝึกปฏิบัติเข้มข้นเกี่ยวกับการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรของประเทศไทยขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้:- - เรียนรู้หลักการและวิธีการประเมิน พร้อมกรณีศึกษา/ตัวอย่างการประเมิน และฝึกคำนวณหาปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมขององค์กร - สามารถวิเคราะห์หาแหล่งปล่อยแก๊สเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญ (Hot Spot) เพื่อหาแนวทางในการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
Key Highlights
ได้ความรู้และเข้าใจหลักการ วิธีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรของประเทศไทยของ อบก.
สามารถคำนวณหาปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรได้
สามารถวิเคราะห์หาแหล่งปล่อยแก๊สเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญ(Hot Spot) เพื่อหาแนวทางในการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิทยากรผู้สอนเป็น Registered CFO Verifier และผู้แทนศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านพลังงานเชิงนิเวศเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็น Registered Validation and Verification Bodyของ อบก.
.
รุ่นที่ 31 วันที่ 22 - 23 พฤษภาคม 2568
รุ่นที่ 32 วันที่ 16 - 17 กรกฎาคม 2568
โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
.
ค่าลงทะเบียน ท่านละ 10,700 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) **โปรโมชั่นพิเศษ!!! ลงทะเบียนหน่วยงานเดียวกันตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป รับส่วนลดทันที 10% เหลือชำระเพียงท่านละ 9,630 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
.
ดูรายละเอียดได้ที่: https://career4future.com/cfo/
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์: 0 2644 8150 ต่อ 81904, 08 4051 3564 (คุณสุรีย์)
Email: npd@nstda.or.th
...
ทำความรู้จัก สวทช. เพิ่มเติมได้ที่
Website: https://www.nstda.or.th
YouTube: https://www.youtube.com/@nstda
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/nstda/
Instagram: https://www.instagram.com/nstdathailand/
Twitter: https://twitter.com/nstdathailand
LINE OA: https://lin.ee/5LjT9Ny
TikTok: https://www.tiktok.com/@nstdathailand
ปฏิทินกิจกรรม
แกะกล่องงานวิจัย : ‘NomadML’ เทรน AI ไม่ต้องเขียนโค้ด
1) เกี่ยวกับอะไร ?
เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะด้าน computer vision เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในอนาคต เพราะนอกจากจะช่วยลดเวลาการทำงานได้แล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมได้เป็นอย่างดีด้วย โดยฟังก์ชันหลัก 3 ประเภทที่ได้รับความนิยมในการใช้งาน คือ image classification หรือการจำแนกประเภทวัตถุในภาพ object detection หรือการตรวจจับตำแหน่งวัตถุในภาพ และ image segmentation หรือการระบุพื้นที่วัตถุภายในภาพ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา NomadML (โนแมดเอ็มแอล) แพลตฟอร์มผลิตโมเดล AI ฟังก์ชัน computer vision (ทั้ง 3 ฟังก์ชันหลัก) ในรูปแบบที่ใช้งานง่าย วิธีเทรนไม่ซับซ้อน ที่สำคัญไม่ต้องเขียนโค้ด เหมาะทั้งการใช้ทดสอบระบบหรือ Proof of Concept (PoC) และการผลิตโมเดล AI เพื่อใช้งานจริง โดยแพลตฟอร์มนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก AI for Thai Platform และโครงการยกระดับแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลทางการแพทย์ภายใต้ Medical AI Consortium
2) ดีอย่างไร ?
การใช้งาน NomadML ทำได้ง่าย เพียง 3 ขั้นตอนหลัก ขั้นตอนแรกคือการนำชุดข้อมูลภาพที่ผ่านการแยกประเภทแล้วเข้าสู่ระบบ ขั้นที่สองปรับฟังก์ชันหรือพารามิเตอร์สำหรับประมวลผลหรือเลือกใช้ NomadML-Auto ฟังก์ชันปรับแต่งอัตโนมัติที่วิจัยและพัฒนาให้มีความแม่นยำสูงเสมือนผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ปรับแต่งให้ โดยหลังจากปรับแต่งเสร็จแล้วให้คลิกปุ่มเริ่มเทรนโมเดล เพื่อให้ระบบประมวลผลสร้างโมเดล AI ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบความแม่นยำของโมเดลว่าวิเคราะห์ได้มีประสิทธิภาพเพียงไร หากผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจก็โหลดโมเดลไปใช้งานจริงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ผู้ที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์มนี้แต่ไม่มีพื้นฐานด้านการเทรนโมเดล AI มาก่อน สามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานด้วยตัวเองได้จากคู่มือที่ทีมวิจัยจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนโปรแกรมเมอร์ วิศวกรซอฟต์แวร์ หรือ SI (System Integrator) แพลตฟอร์ม NomadML จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเรื่องการช่วยลดเวลาการทำงาน ทำให้มีเวลาทำ PoC หลายรูปแบบมากขึ้น และทำให้ได้โมเดล AI ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเวลาอันรวดเร็ว
3) ตอบโจทย์อะไร ?
NomadML เป็นเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโมเดล AI ที่แต่เดิมต้องใช้เวลาผลิตนานและมีค่าใช้จ่ายสูง
ปัจจุบันเริ่มทดลองใช้งาน NomadML แล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนเหล็กใช้ผลิตโมเดล AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่ามีตำหนิหรือไม่ อุตสาหกรรมอาหารแช่งแข็งใช้ผลิตโมเดล AI เพื่อตรวจสอบขนาดและรูปทรงของสินค้า อุตสาหกรรมการแพทย์ใช้ผลิตโมเดล AI เพื่อวิเคราะห์หารอยโรคจากฟิล์มรังสีเอกซ์
4) สถานะของเทคโนโลยี ?
ปัจจุบันแพลตฟอร์ม NomadML เปิดให้ทดสอบใช้งานระบบแล้ว ผู้ที่สนใจใช้บริการได้ที่ www.nomadml.in.th โดยหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบระบบ ทีมวิจัยจะเปิดให้ใช้งาน 2 รูปแบบ คือ แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับบุคคลทั่วไปและแบบเสียค่าบริการรายปี โดยสมาชิกจะได้รับพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูล ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลในระบบ และระยะเวลาการทำงานต่อครั้งมากกว่าบุคคลทั่วไป รวมถึงไม่ต้องรอคิวการใช้ระบบร่วมกับผู้ใช้งานทั่วไปด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘NomadML’ แพลตฟอร์มเทรน AI เทรนง่าย ไม่ต้องเขียนโคด
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“ศุภมาส” นำทีม อว. ปล่อยรถนำสิ่งของบริจาคไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดชุมพร 20 ธ.ค.นี้ อว.ลงพื้นที่ มอบสิ่งของบริจาคตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว.เป็นประธานปล่อยรถนำสิ่งของบริจาคไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดชุมพร โดยมี นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาการในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง อว. นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. ผู้บริหารกระทรวง อว. ข้าราชการ พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วม โดยมีสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นทั้งเสื้อผ้า ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ เครื่องมือ ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ที่ทุกหน่วยงานของกระทรวง อว. สถาบันอุดมศึกษาและภาคเอกชน นำมาร่วมส่งไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า กระทรวง อว. โดยศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว. เพื่อประชาชน” ได้มีการระดมสรรพกำลังจากทุกหน่วยงานรวมทั้งมีสิ่งของจากสถาบันอุดมศึกษาและภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน อาทิ สวทช. / TCELS / GISTDA / สสน. / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ / Ascott Embassy Sathorn Bangkok / บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) (ปุ้มปุ้ยปลายิ้ม) และบริษัทไทยนครพัฒนา จำกัด ที่สนับสนุนนำสิ่งของบริจาคประกอบด้วย น้ำดื่ม ข้าวสาร แพมเพิสผู้ใหญ่ อาหารสำเร็จรูป ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยาและเวชภัณฑ์ โดยจัดเป็นถุงยังชีพเพื่อให้การช่วยเหลือบรรเทาพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด โดยจะปล่อยรถบรรทุกลำเลียงสิ่งของที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อมอบให้แก่พี่น้องผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเบื้องต้น ที่ จ.ชุมพร รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนได้มีการสั่งการไปยัง อว.ส่วนหน้า ในพื้นที่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้-ชุมพร อว.ส่วนหน้า จ.ชุมพร มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี อว.ส่วนหน้า จ.สุราษฎร์ธานี และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อว.ส่วนหน้า จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเร่งช่วยเหลือนักศึกษา บุคลากร และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เปิดรับบริจาคเงินและสิ่งของใช้จำเป็น จัดหน่วยจิตอาสาลงพื้นที่แจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของอุปโภค บริโภค ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ เครื่องมือ ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน รวมถึงการช่วยฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด
“ที่สำคัญในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ ได้มอบหมายให้ น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรี อว. และคณะ นำทีมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ และมอบสิ่งของบริจาคให้แก่พี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชุมพร โดยมี นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมลงพื้นที่และได้ส่งทีม ผู้พันวิทย์ อว. ของกรมวิทยาศาสตร์บริการ ลงพื้นที่ติดตั้งเครื่องกรองน้ำชุมชน เพื่อดูแลระบบน้ำดื่มสะอาดปลอดภัย ทั่วทุกพื้นที่ประสบอุทกภัยอีกด้วย” น.ส.ศุภมาส กล่าวและว่า
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว. เพื่อประชาชน” ที่ได้มีการ ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำประจำวันรายงานว่ายังมีปริมาณฝนตกหนักมากในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน และแนวกลุ่มฝนที่เคลื่อนเข้าปกคลุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ส่งผลให้เกิดวิกฤตน้ำท่วมหนัก ระดับแม่น้ำสายหลักมีน้ำล้นตลิ่ง บ้านเรือนที่พักอาศัยของประชาชนถูกน้ำท่วมสูง ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง
“ดิฉันในฐานะ รมว.อว. และบุคลากรของ อว. มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยอย่างหนักในครั้งนี้ ขอยืนยันว่าการช่วยเหลือจะไปถึงมือประชาชนอย่างแน่นอน โดยการระดมสรรพกำลัง ทั้งกำลังคน เทคโนโลยีพร้อมใช้ เพื่อส่งให้ถึงมือประชาชน ผ่านช่องทางต่าง ๆและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา บรรเทาผลกระทบให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ หากผู้ใดประสงค์จะร่วมสนับสนุนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ สามารถติดต่อนำสิ่งของมาร่วมบริจาคได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว.เพื่อประชาชน ” อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. โทรศัพท์ Call center 1313” น.ส.ศุภมาส กล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้เป็นผู้แทน สวทช. ในการส่งมอบถุงยังชีพ ให้กับ นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดย สวทช. ได้นำเงินที่เปิดรับบริจาค
จากโครงการ “สวทช. รวมใจ เพื่อนช่วยเพื่อนผู้ประสบอุทกภัย 2567” จำนวน 41,978 บาท จัดทำถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค และยา จำนวน 100 ชุด ส่งมอบให้กับ ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม “อว. เพื่อประชาชน” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยที่ผ่านมา สวทช. ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย ได้มอบเครื่องกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยีร่วมกับระบบรีเวิร์สออสโมซิส 1 ชุด ประกอบด้วย 4 ไส้กรอง (เครื่องกรองน้ำด้วยนาโน ไส้กรองเกล็ดคาร์บอนที่ดัดแปรพื้นผิว ไส้กรองเรซิน และไส้กรอง Sediment) พร้อมระบบรีเวิร์สออสโมซิส ที่สามารถกรองน้ำได้สะอาด ฆ่าเชื้อโรคที่มาจากน้ำได้อย่างปลอดภัย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


