ผลการค้นหา :

ชุดหนังสือเศรษฐกิจแห่งอนาคต 7 เล่ม เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี
สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมจัดทำ eBook ชุดหนังสือเศรษฐกิจแห่งอนาคต 7 เล่ม เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี 1. หนังสือเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจชีวภาพ เป็นระบบเศรษฐกิจที่นำความรู้และนวัตกรรมทางด้านชีววิทยาหรือวิทยาศาสตร์ชีวภาพอื่นๆ มาช่วยพัฒนาการผลิตสินค้าและบริการที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ เช่น การเกษตร อาหาร สุขภาพ การแพทย์ และพลังงาน ให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ประเทศไทยมีต้นทุนทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพสูง จึงนับเป็นจุดแข็งในด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพได้เป็นอย่างดี 2. หนังสือเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ได้มากที่สุด โดยการลดของเสียและการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ ก่อให้เกิดวงรอบของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้ได้มากที่สุด 3. หนังสือเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจสีเขียว เป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่คำนึงถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ เพื่อสร้างให้เกิด “การเติบโตสีเขียว” การใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมและรู้คุณค่า ลดการใช้พลังงาน ลดความเสี่ยงที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย และตอบสนองการพัฒนาที่ยั่งยืน 4. หนังสือเศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ (Sharing Economy) เศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์เป็นแนวคิดใหม่ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยกร ผ่านกระบวนการจัดสรรทรัพยกรที่มีประสิทธิภาพ ทั้งบริการเช่ารถ เช่าที่พัก เช่าอุปกรณ์ เช่าพื้นที่ทำงาน เมกเกอร์สเปซ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น โมเดลเศรษฐกิจรูปแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะเปลี่ยนแปลงโลกของเราไปในทิศทางไหน แนวโน้มเศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้างสามารถค้นหาคำตอบได้จากหนังสือเล่มนี้ 5. หนังสือเศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy) การเตรียมการรับมือกับวัยชรา เมื่อประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว การมีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าวัยแรงงานจะส่งผลทางบวกหรือทางลบต่อประเทศไทยอย่างไร ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือในเรื่องใดบ้าง หนังสือเล่มนี้อธิบายแนวคิดและการเตรียมตัวของประเทศเพื่อรองรองเศรษฐกิจผู้สูงวัย 6. หนังสือเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Intelligent Economy) มุ่งให้เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ AI ที่อยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน และที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของเราในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้การดำเนินชีวิตประจำวันสะดวกสบายยิ่งขึ้น อาทิ ในภาคธุรกิจ AI มีบทบาทสำคัญในการทำการตลาดดิจิทัล ช่วยผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจไปในทิศทางที่เหมาะสม และทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว 7. หนังสือเทคโนโลยีควอนตัม (Quantum Technology) สร้างความรู้ ความเข้าใจ และเตรียมเยาวชนไทยและคนไทยทั่วไปให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนประเทศในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ผ่านการเรียนรู้คำศัพท์และแนวคิดมุมมอง โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งใกล้ตัวคนไทย และจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญสำหรับระบบเศรษจูกิจประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
นานาสาระน่ารู้

การถ่ายรูปเด็กกับสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว
การถ่ายรูปเด็กมักเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างมาก ในบทความนี้ขอนำเสนอ เรื่อง การถ่ายและใช้รูปถ่ายเด็ก กับ ประเด็นกฎหมายสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว รวมถึงปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึง จากการทบทวนบทความออนไลน์ของช่างภาพ นักกฎหมาย และอื่นๆ ในต่างประเทศ กฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล สิทธิส่วนบุคคล (Right to Privacy) หมายถึง สิทธิที่จะอยู่โดยลำพัง หรือ สิทธิที่จะได้อยู่โดยลำพังโดยปราศจากการรบกวน (The Right to Be Left Alone) ซึ่งกฎหมายที่บัญญัติถึงการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของไทยคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 32 ดังนี้ “บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว การกระทําอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือการนําข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใดๆ จะกระทํามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จําเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ” (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560, 2560) ส่งผลให้ประชาชนทุกคนต้องเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่น เพื่อยับยั้งการกระทำที่คุกคามหรือละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล ในกฎหมายสากลก็ได้บัญญัติเรื่องการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล เช่นใน UN Universal Declaration of Human Rights 1948 มาตรา 12 บัญญัติว่า “ไม่มีบุคคลใดที่จะถูกแทรกแซงในความเป็นส่วนตัว ครอบครัวบ้านหรือการติดต่อระหว่างกันหรือทั้งสิทธิในเกียรติยศชื่อเสียงของเขา ทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายหากมีการถูกแทรกแซงเช่นว่านั้น” (บุญยศิษย์, 2553) นโยบายทางกฎหมายร่วมสมัยที่สุดเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลคือการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Information Privacy) ซึ่งนำมาสู่การมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) สัมพันธ์กับข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) คือ ความเป็นส่วนตัว เช่น สิทธิที่จะอยู่โดยลำพัง หรือ สิทธิที่จะได้อยู่โดยลำพังโดยปราศจากการรบกวน (The Right to Be Left Alone) ส่วนข้อมูลส่วนบุคคล คือ ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม (ศุภวัชร์, 2562) เด็กก็มีสิทธิ์ในความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ มีกฎหมายสำคัญจำนวนหนึ่งที่ปกป้องสิทธิ์ของเด็กในความเป็นส่วนตัว เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก (UN Convention on the Rights of the Child : UNCRC) มาตรา 16 การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว ซึ่งระบุว่า “เด็กทุกคนมีสิทธิได้รับความเป็นส่วนตัว กฎหมายต้องให้ความคุ้มครองเด็กจากการถูกละเมิดชื่อเสียง ความเป็นส่วนตัว หรือการดูหมิ่น” (กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ, 2562) ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรูปถ่าย ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรูปถ่ายบุคคลรวมถึงเด็ก ได้แก่ 1. สถานที่ที่ถ่ายรูป และ 2. จุดประสงค์ของการถ่ายรูป สถานที่ที่ถ่ายรูป : สถานที่สาธารณะ VS สถานที่ส่วนบุคคล โดยทั่วไปการถ่ายรูปบุคคลในสถานที่สาธารณะสามารถกระทำได้อย่างถูกกฎหมายโดยไม่ต้องขออนุญาต เช่น ถนน สวนสาธารณะ หรือชายหาด หากไม่ได้ถ่ายรูปคนเหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ขณะที่การถ่ายรูปบุคคลในสถานที่ส่วนบุคคล ผู้ถ่ายภาพต้องได้รับอนุญาตในการเข้าสถานที่จากเจ้าของสถานที่ก่อน (ไม่เช่นนั้นอาจโดยข้อหาบุกรุกสถานที่) และการถ่ายรูปก็ต้องขออนุญาตและได้รับความยินยอมจากเจ้าของก่อน เพราะการได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สถานที่ไม่ได้หมายความว่าผู้ถ่ายภาพจะมีสิทธิ์ถ่ายและเผยแพร่รูปถ่ายได้ตามต้องการ ดังนั้น แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่มีการแนะนำสำหรับช่างภาพ คือ เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังสถานที่ส่วนบุคคลแล้ว ควรถามว่า “คุณรังเกียจไหมถ้าฉันจะขอถ่ายรูปคุณ และ/หรือ ครอบครัวของคุณ?” ทั้งนี้ มีข้อควรตระหนักถึงคำว่า “สถานที่สาธารณะ” เพราะบางสถานที่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่สาธารณะแต่ในความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่เป็นของเอกชนหรือสถานที่ส่วนบุคคล เช่น สวนสาธารณะในศูนย์การค้า คอนเสิร์ตฮอลล์ หรือ สนามกีฬา ซึ่งสองสถานที่หลังนั้นโดยทั่วไปจะเข้าไปได้จะต้องซื้อตั๋ว มีเงื่อนไขของสัญญากับเจ้าของหรือผู้ดำเนินการ และเงื่อนไขเหล่านั้นอาจรวมถึงการห้ามถ่ายรูป หรือสถานที่สาธารณะบางแห่งมีข้อบังคับป้องกันการถ่ายรูปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า เช่นใน Trafalgar Square และ Parliament Square ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดังนั้นก่อนจะถ่ายรูปใดๆ จะต้องเข้าใจนโยบายและเงื่อนไขของแต่ละสถานที่ที่เข้าไปเสียก่อน จุดประสงค์ของการถ่ายรูป : เพื่อการค้า VS เพื่อการใช้งานส่วนตัว การถ่ายรูปที่มีจุดประสงค์เชิงพาณิชย์หรือเพื่อการค้าใดๆ ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าเสมอ การถ่ายรูปเด็กและคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี การถ่ายรูปเด็กและคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ในที่สาธารณะ สามารถกระทำได้อย่างถูกกฎหมายโดยไม่ต้องขออนุญาต หากการถ่ายรูปนั้นไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์ทางการค้า (Bottoms, 2018; Vishneski, 2018; Krages, 2016; Meyer, 2012) ส่วนการถ่ายรูปเด็กเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตามกฎหมายเสมอ (Meyer, 2012) ตัวอย่างเช่น หากเด็กอยู่ในสวนสาธารณะที่เป็นของสาธารณะ ช่างภาพสามารถถ่ายรูปของเด็กได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตหากการถ่ายรูปนั้นไม่ได้กระทำขึ้นเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ แต่หากเด็กอยู่ในสวนหลังบ้าน ช่างภาพไม่สามารถถ่ายรูปของเด็กได้ เพราะจะละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของเด็ก (Farkas, n.d.) ในสหราชอาณาจักรพบว่าไม่มีกฎหมายใดที่ระบุว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายสำหรับคนแปลกหน้าที่ถ่ายรูปเด็ก โดยกฎหมายของสหราชอาณาจักรครอบคลุมเฉพาะภาพลามกอนาจารของเด็กเท่านั้น โดยกฎหมายระบุว่า “การถ่าย ทำ แบ่งปัน และมีรูปลามกอนาจารของเด็ก และการตัดต่อรูป การทำรูปด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกหรืออื่นๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นรูปถ่ายของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย” (Davies, 2019 ; GOV.UK, 2019) การถ่ายรูปเด็กเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างหนัก เพราะนอกจากการหยิบยกกฎหมายขึ้นมาถกเถียงกันแล้ว ยังมีประเด็นทางศีลธรรมและจริยธรรมที่มักถูกยกมาประกอบ โดยเฉพาะการเสนอให้พิจารณาในมุมของการเป็นผู้ปกครองของเด็ก หรือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา คงไม่มีใครต้องการให้ใครสักคนมาถ่ายรูปลูกของเราโดยไม่ถามเราก่อน (Krages, 2016) อ้างอิง กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ. (2562). อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก. https://www.unicef.org/thailand/th/reports/convention-on-the-right-of-the-child บุญยศิษย์ บุญโพธิ. (2553). สื่อมวลชนกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล. Executive Journal.https://www.bu.ac.th/knowledgecenter/executive_journal/oct_dec_09/pdf/86-88.pdf รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. ราชกิจจานุเบิกษา. เล่ม 134 ตอนที่ 40 ก. 6 เมษายน 2560.http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF ศุภวัชร์ มาลานนท์. (14 ธันวาคม 2562). Privacy v. Security.https://www.kaohoon.com/content/331258 Amateur Photographer. (2016, October 28). Street photography and the law.https://www.amateurphotographer.co.uk/technique/expert_advice/street-photography-and-the-law-96304 Bottoms, D. (2018, August 11). Street photography and photographing children.https://petapixel.com/2018/08/11/street-photography-and-photographing-children/ Davies, E. (2019, June 26). Is it illegal to take a picture of a child or young person under 18?.https://www.anncrafttrust.org/is-it-illegal-to-take-a-picture-of-a-child-or-young-person-under-18/ Farkas, B. (n.d.). Child photography or videotaping consent laws.https://www.lawyers.com/legal-info/personal-injury/types-of-personal-injury-claims/child-photography-or-videotaping-consent-laws-are-changing.html GOV.UK (2019, November 21). Guidance indecent images of children: guidance for young people.https://www.gov.uk/government/publications/indecent-images-of-children-guidance-for-young-people/indecent-images-of-children-guidance-for-young-people Krages, B. (2016). Your rights and remedies when stopped or confronted for photography.http://www.krages.com/ThePhotographersRight.pdf Meyer, J. (2012, April 14). Photographers rights: the ultimate guide.https://www.techradar.com/how-to/photography-video-capture/cameras/photographers-rights-the-ultimate-guide-1320949 Vishneski, B. (2018). Know your rights as a photographer!.https://photographylife.com/know-your-rights-as-a-photographer
นานาสาระน่ารู้

การออกแบบห้องสมุดสำหรับ Social distancing
คำแนะนำแนวทางการออกแบบห้องสมุดสำหรับ Social distancing ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดย รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรม ม.เกษตรศาสตร์ และ ผศ.นพ. อนุแสง จิตสมเกษม รองคณบดี คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ม.นวมินทราธิราช ในการเสวนาออนไลน์ เรื่อง ความท้าทายในการออกแบบห้องสมุดสำหรับ Social distancing เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 จัดโดยสำนักหอสมุด ม.เกษตรศาสตร์ การแพร่ระบาดของ COVID-19 สร้างความท้าทายให้แก่ห้องสมุดในการบริหารจัดการในหลากหลายด้าน เช่น พื้นที่ทำงาน พื้นที่ให้บริการ รูปแบบและช่องทางในการให้บริการ และทรัพยากรสารสนเทศที่ให้บริการ ที่สำคัญคือมีความไม่แน่นอนและความไม่รู้ที่แน่ชัดเกี่ยวกับ COVID-19 เนื่องจากการเกิดขึ้นและการพัฒนาตัวเองของไวรัส ยิ่งเพิ่มความท้าทายอีกเท่าตัว รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรม ม.เกษตรศาสตร์ แนะนำว่าการออกแบบสามารถแบ่งมี 2 แนวคิดหลัก คือ Design for isolation คือ การออกแบบเพื่อแยกคนออกจากกัน เช่น การออกแบบเพื่อแยกผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อออกจากผู้ป่วยคนอื่นๆ หรือคนปกติคนอื่นๆ ซึ่งการออกแบบนี้มักใช้และพบในสถานพยาบาล Design for distancing คือ การออกแบบเพื่อให้คนอยู่ห่างกัน ซึ่งการนำแนวคิดนี้มาใช้ในอาคารทั่วไปรวมถึงห้องสมุดพบว่าติดปัญหาเรื่องการใช้ระบบแอร์หรือเครื่องปรับอากาศแบบรวม เนื่องจาก COVID-19 มักติดต่อและแพร่กระจายในพื้นที่แคบ ดังนั้นการใช้ระบบแอร์หรือเครื่องปรับอากาศแบบรวมเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายเทอากาศและสนับสนุนการหมุนเวียนของละอองไวรัสในพื้นที่ ตัวอย่างที่คุ้นเคยกันคือเมื่อมีเพื่อนพนักงานป่วยเป็นหวัด 1 คน แล้วเพื่อนคนอื่นๆ ในชั้นหรือในห้องนั้นก็ติดหวัดกันไปด้วย ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือปัญหาการระบายและถ่ายเทอากาศภายในพื้นที่นั้นๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับห้องสมุด คือ การออกแบบพื้นที่ให้อากาศสามารถถ่ายเทและระบายได้สะดวกและรวดเร็วมากที่สุด จากประตูหรือหน้าต่างด้านหนึ่ง ออกสู่ประตูหรือหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง ดังเช่นการออกแบบบ้านเรือนไทยในสมัยโบราณที่ไม่มีแอร์หรือเครื่องปรับอากาศแต่อาศัยการมีหน้าต่างบ้านด้านซ้ายและด้านขวาในทางตรงข้ามกัน เพื่อเปิดรับและระบายออกของอากาศ ทั้งนี้ ศ.นพ. อนุแสง จิตสมเกษม รองคณบดี คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ม.นวมินทราธิราช และ รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการของห้องสมุดเพื่อลดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้แก่ สวมหน้ากากทุกคน จากการศึกษาวิจัยพบว่าหน้ากากที่สามารถป้องกัน COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ หน้ากากอนามัย N95 รองลงมาคือ หน้ากากอนามัย และหน้ากากผ้า ตรวจคัดกรองอุณหภูมิของทุกคนก่อนเข้าพื้นที่ห้องสมุด (ยังมีประเด็นเรื่องความเที่ยงตรงและแม่นยำของเครื่องวัดอุณหภูมิ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคาลิเบรท (Calibration) หรือการสอบเทียบเครื่องมือวัด) จัดให้มีอ่างล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์ 70% ณ จุดทางเข้า-ออกห้องสมุด รวมถึงจุดอื่นๆ ที่สามารถทำได้ภายในอาคาร จัดให้มีการบันทึกชื่อ เบอร์โทร วันเวลาของผู้มาใช้บริการทุกคนเพื่อให้สามารถติดตามตัวได้กรณีต้องมีการสอบสวนโรค เช่น แอปพลิเคชันไทยชนะ ไม่ควรให้ผู้ที่มีอาการไข้ ไอ และมีน้ำมูกเข้าห้องสมุด เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย COVID-19 หมั่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือ สบู่กับน้ำเปล่าแล้วเช็ดมือให้แห้ง เว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร การใช้สารทำความสะอาด คือ แอลกอฮอล์ 70% ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือน้ำยาฟอกขาว ทำความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น พื้น ทางเดิน ราวบันได ลูกบิดจับประตู เคาท์เตอร์ โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ เปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อให้อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก พักหนังสือหรือสื่ออื่นๆ ที่ได้รับคืนก่อนออกให้บริการอีกครั้ง โดย COVID-19 สามารถตรวจพบบนกระดาษแข็ง 1 วัน และบนพลาสติก 2-3 วัน ดังนั้นจึงควรพิจารณาระยะเวลาการพักให้สัมพันธ์กับระยะเวลาของไวรัสที่สามารถอยู่บนพื้นผิว ไม่แนะนำให้เจ้าหน้าที่ห้องสมุดสวมถุงมือ เพราะอาจไปสัมผัสสิ่งต่างๆ ทำให้เกิดการแพร่กระจายของ COVID-19 แต่แนะนำให้หมั่นล้างมือ พิจารณาความเป็นไปได้ในการแยกพื้นที่ชั้นหนังสือกับพื้นที่นั่งอ่านของผู้ใช้บริการ พิจารณาการจัดสัดส่วนจำนวนคนกับพื้นที่ เช่น 1 คน ต่อ 4 ตารางเมตร มีมาตราการการจัดการขยะปนเปื้อนเพื่อความปลอดภัยของทุกคนโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ต้องจัดเก็บขยะ ส่วนการใช้ UVC นั้น พบว่าจะทำงานได้ผลเมื่อแสงสัมผัสกับอากาศอย่างน้อย 20 นาที หากไม่สามารถค้างอากาศให้โดนแสงสัมผัสได้ และแสงไม่สัมผัสหรือกระทบผิววัสดุ ก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสอย่างได้ผล อีกทั้ง UVC มีผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์ที่สัมผัส คือ กระจกตาอักเสบ ผิวหนังอักเสบ และเป็นสาเหตุมะเร็งผิวหนัง รวมถึงการใช้ UVC ซ้ำๆ ในพื้นที่เดิมก็จะทำลายพื้นผิววัสดุในพื้นที่นั้นๆ ได้ ดังนั้นเครื่อง UVC ควรเป็นอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีเสริม (Supplementary technology) มากกว่า เนื่องจาก COVID-19 เป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกคน นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ต่างเร่งศึกษาที่มาและแนวทางการป้องกัน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในขณะนี้สำหรับทุกคนบนฐานของความไม่แน่นอนและความไม่รู้ที่ชัดเจน คือ การหมั่นติดต่อข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องและการปฏิบัติตามหน่วยงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแนะนำ
นานาสาระน่ารู้

สร้างคลิปการสอนด้วย Open Broadcaster Software (OBS)
ในกลุ่มผู้สร้างบทเรียน e-learning นั้น ในหลายๆ ครั้ง บทเรียนที่ทำมีลักษณะการสอนในแบบ การบรรยายตามสไลด์ หรือสอนตัวอย่างการใช้โปรแกรมหรือระบบ ในลักษณะเช่นนี้จำเป็นต้องใช้โปรแกรมที่สามารถบันทึกหน้าจอและเสียงบรรยายได้ แล้ว Export เป็นไฟล์ VDO ที่ถูกต้อง เพื่อนำมาเข้าระบบ โปรแกรม OBS เป็นโปรแกรมที่ได้รับการยอมรับและใช้งานง่าย จึงแนะนำให้เป็นโปรแกรมหนึ่งสำหรับใช้สร้างบทเรียนได้ Open Broadcaster Software หรือ OBS เป็นโปรแกรม Open-Source สำหรับใช้บันทึกหน้าจอเป็น VDO ได้ จึงถูกนำไปใช้ในการสตรีม (Live Stream) อยู่บ่อยครั้ง เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถสูง ใช้งานได้ฟรี และทำงานได้บนหลายแพลตฟอร์ม วิธีการติดตั้งโปรแกรม OBS สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://obsproject.com/download คลิกที่ Download Installer เมื่อ Download ได้แล้ว ให้คลิกทำการ Install และติดตั้งไปตามขั้นตอนจนสำเร็จเมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อย ส่วนประกอบของโปรแกรม ในโปรแกรมประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ Menu bar เป็นเมนูคำสั่งทั้งหมด Monitor เป็นตัวอย่างการแสดงผล (1) Scene คือ การจัดฉากที่ใช้บันทึก โดยในฉากนึงจะประกอบไปด้วย source หลายๆชิ้นรวมกัน สามารถบันทึกได้หลาย scene และสลับไปมาระหว่างบันทึกได้(2) Source คือส่วนประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในฉากหนึ่ง อาจเป็นรูป เสียง webcam หรือโปรแกรมในเครื่องที่กำลังใช้งานอื่น ๆ(3) Audio Mixer เป็นส่วนจัดการเรื่องเสียง ให้ปิดในส่วนที่ไม่ใช้ได้(4) Scene Transitions คือการกำหนดรูปแบบการเปลี่ยน Scene(5) Control ส่วนเริ่ม record , stop และการตั้งค่าส่วนต่างๆ หลักการทำงานของโปรแกรม ทำความรู้จัก Scene และ Source Scene หนึ่ง scene คือ Source หลายชิ้นประกอบกัน เราเริ่มด้วยการเพิ่ม source ที่ต้องการในฉากนั้นเข้าไปใน scene แล้วจัดตำแหน่งตามที่ต้องการได้ ตัวอย่างจากภาพข้างบน เป็นการแสดงภาพจาก scene ที่1 (กรอบเลข 1) โดยใน scene นั้นประกอบด้วย source หลายอย่าง(กรอบเลข 2) คือ Text คือ ตัวหนังสือที่เขียนว่า สอนการใช้งาน OBS Video Capture Device คือ ภาพจากกล้อง webcam Display Capture คือ ภาพที่จับหน้าจอทั้งหมด (ในที่นี้ ปิดการการมองเห็นไว้ได้) Image คือ ภาพที่เราเลือกให้แสดง ในที่นี้คือภาพที่ใช้เป็น Background Audio input capture คือ แหล่งเสียงที่ต้องการ ตัวอย่างการตั้งค่า scene ที่ 2 การกำหนด Scene ในการเริ่มต้นใช้งานโปรแกรม จะมี Scene ตั้งต้นให้แล้ว 1 Scene ซึ่งยังไม่มี source ใดๆ การเพิ่ม scene ให้กดที่เครื่องหมาย + แล้วทำการตั้งชื่อ scene หากต้องการลบให้กดปุ่มลบ - หากคลิกขวาที่ชื่อ Scene สามารถเปลี่ยนชื่อ Scene ได้ ด้วยการเลือก Rename สามารถเลื่อนลำดับของ scene ได้ โดยใช้ปุ่มลูกศรขึ้น-ลง การเพิ่ม Source ใน Scene Source ของโปรแกรมที่สำคัญ แบ่งได้ตามนี้ - Audio Input Capture สำหรับแหล่งเสียงขาเข้าในการบันทึก เช่น ไมโครโฟน- Audio Output Capture คือแหล่งเสียงขาออกที่ออกจากอุปกรณ์ Output ประเภทเสียง เช่น เสียงโปรแกรมที่เปิดออกลำโพง หูฟัง- Browser ใช้แสดงผลเว็บไซต์จาก Browser- Color Source เป็นการเติมพื้นสี- Display Capture ใช้แสดงหน้าจอของเราโดยการจับภาพทั้งหน้าจอ- Game Capture แสดงภาพจากการเล่นเกม - Image นำรูปที่ต้องการมาแสดง- Image Slide show การแสดงชุดภาพตามลำดับนำเสนอ- Media Source ใช้เปิดไฟล์ media ที่อยู่ในเครื่อง เช่น ไฟล์เสียง ไฟล์วีดีโอ เป็นต้น- Scene การเพิ่ม scene อื่นเข้ามาใน scene นี้- Text (GDI+) ใช้สร้างตัวอักษรได้ตามที่ต้องการ- VLC Video Source ภาพจากโปรแกรม VLC เล่นไฟล์ VDO- Video Capture Device สัญญาณภาพจากอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น กล้อง webcam- Window Capture แสดงหน้าจอโปรแกรมที่ต้องการ เช่น PowerPoint , PDF การจัดลำดับ Source Source ลำดับบนจะแสดงอยู่เหนือ Source ลำดับล่าง จัดลำดับได้โดยการกดลูกศรขึ้น-ลง ที่ปุ่มด้านล่างSource ที่ไม่ได้ใช้งานหรือยังไม่ใช้สามารถ disable ไม่ให้โชว์ก่อนได้ โดยการคลิกที่รูปดวงตาเพิ่มและลด source ได้โดยใช้ปุ่ม + และ – ที่อยู่ด้านล่างเครื่องหมาย Lock คือจะไม่มีอนุญาตเปลี่ยนแปลงใดๆ ใน source ตัวนี้ การแสดงผลเมื่อจัดตำแหน่งและลำดับของ source . Download เนื้อหาทั้งหมดได้ที่นี่ แหล่งศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม https://obsproject.com/ https://medium.com/@witchaya.to/วิธีการใช้โปรแกรม-open-broadcaster-software-obs-เบื้องต้นสำหรับการเรียนการสอนออนไลน์-cb21d628815f#bb6e https://muit.mahidol.ac.th/online-learning-tools.html
นานาสาระน่ารู้

หนังสืองานวิจัยสู่นวัตกรรมรับมือ
COVID-19
COVID-19
ดาวน์โหลดหนังสือ
คลิกที่นี่เพื่อแสดงผลในรูปแบบ e-Book แบบ Flip
หนังสือ งานวิจัยสวทช.สู่นวัตกรรมรับมือ COVID-19
ผลงานนวัตกรรม/บริการ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
DDC-Care ระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อก่อโรคโควิด-19
Traffy Fondue
NIEMS-Care ระบบจัดการสถานการณ์โควิด-19 ในระดับชุมชน ระบบติดตามการกระจายหน้ากากอนามัย
หน้ากากอนามัย N-Breeze
หน้ากากอนามัย Safie Plus
Face Shield from FabLab
หมวกแรงดันลบ Negative Pressure Helmet
Germ Saber UVC Sterilizer
Germ ZerO3 Sterilizer ตู้อบโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อโรค
MagikTuch ลิฟต์ไร้สัมผัส ขจัดโควิด-19
BodiiRay S เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลสำหรับถ่ายทรวงอก
AI วินิจฉัยภาพถ่ายเอกซเรย์ทรวงอก
แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เพื่อรับมือการระบาดของโควิด-19
MuTherm-FaceSense
การสกัด RNA เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิค RT-PCR
ชุดตรวจหาเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ด้วยเทคนิคแลมป์ (LAMP)
ชุดตรวจเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 แบบรวดเร็วด้วยเทคนิค LFIA
การคัดแยกผู้ป่วยด้วยลายพิมพ์เปปไทด์ (Peptide barcode)
วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ห้องกักตัวภาคสนามจากตู้คอนเทนเนอร์
ต้นแบบเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบความดันลบ
ต้นแบบอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบจ่ายอากาศบริสุทธิ์ (PAPR) อย่างง่าย
ต้นแบบรถเข็นควบคุมระยะไกล
Research Gap Fund fights COVID-19
บริการคำบรรยายแทนเสียงแบบสด
Fun Science @ Home by NSTDA
ผลงานนวัตกรรมที่ร่วมพัฒนากับหน่วยงานภาคี
Medical Devices Demand-Supply Matching
EP Kare หน้ากากเอนกประสงค์
HAPYBOT หุ่นยนต์ขนส่งในโรงพยาบาล
Wristband ติดตามตำแหน่งผู้กักตัว
เครื่องทดแทนเครื่องช่วยหายใจ Chula-PRANA
รวมงานวิจัย สวทช. สู้ภัยโควิด-19
เอกสารเผยแพร่

โลกเปลี่ยน คนปรับ : หลุดจากกับดัก..ขยับสู่ความยั่งยืน (e-book ฉบับสมบูรณ์)
โลกเปลี่ยน คนปรับ : หลุดจากกับดัก..ขยับสู่ความยั่งยืน โดย ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์
ในสถานการณ์โรคโควิด-19 ผมได้นำเสนอแนวความคิดในการขับเคลื่อนประเทศไทย เป็นหนังสือสั้น ๆ จำนวนสามเล่ม หนังสือเล่มแรกคือ ความพอเพียงในโลกหลังโควิด อธิบายความเชื่อมโยงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในโลกหลังโควิด หนังสือเล่มที่สองคือ เตรียมคนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในโลกหลังโควิด อธิบายโมเดลการเรียนรู้และการพัฒนาคนในโลกหลังโควิด และหนังสือเล่มที่สามคือ “สังคมของพวกเรา” ในโลกหลังโควิด อธิบายสัญญาประชาคมใหม่เพื่อสร้างสังคมที่เกื้อกูลและแบ่งปัน
หนังสือทั้ง 3 เล่ม ได้ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่ และเพิ่มเนื้อหาวาระขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อเตรียมพร้อมสู่โลกหลังโควิด เป็นหนังสือ “โลกเปลี่ยน คนปรับ : หลุดจากกับดัก ขยับสู่ความยั่งยืน” โดยผมขอมอบหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญให้แก่ทุกท่านเนื่องในโอกาสที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สถาปนาครบรอบ 1 ปี (วันที่ 2 พฤษภาคม 2563) ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยจุดประกายให้ทุกท่านได้ช่วยกันใช้ปัญญาและแสวงหาโอกาสเพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตในโลกหลังโควิดครับ
Download หนังสือโลกเปลี่ยน คนปรับ : หลุดจากกับดัก..ขยับสู่ความยั่งยืน (e-book ฉบับสมบูรณ์)
คลิกที่นี่เพื่อแสดงผลในรูปแบบ e-Book แบบ Flip
เอกสารเผยแพร่

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ เดือนมีนาคม 2563
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มีนาคม 2563พัฒนาการด้านระบาดวิทยาในโลกของ COVID-19 และแนวทางรับมือของประเทศต่างๆ การระบาดของ Coronavirus หรือ COVID-19 เริ่มต้นในจีนตั้งแต่ปลายปี 2562 แต่เพิ่งมีการรายงานอย่างเป็นทางการและเก็บข้อมูลในเดือนมกราคม 2563 ทั้งนี้ ได้มีผู้เชี่ยวชาญได้ทำสรุปการระบาดของไวรัสเป็นภาพในช่วงเวลาหนึ่งได้ดังนี้ ปลายเดือน มกราคม 2563 พบว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2563 COVID-19 ได้มีการระบาดไปแล้วในประเทศที่มีคนจีนและนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางไปมาก เช่น ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐฯ จากนั้นได้มีการระบาดเพิ่มไปในประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา อิตาลี สหราชอาณาจักร และหลายประเทศในยุโรปในช่วงนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า COVID-19 ไม่ถูกกับอากาศร้อน ทำให้การระบาดที่แพร่ขยายเร็ว อาทิ ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และทวีปยุโรปที่เริ่มมีการติดเชื้อในบางประเทศ เขตร้อนอย่างเช่น ในเอเชียใต้ และเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่นประเทศไทย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก กลับมีการแพร่กระจายที่น้อยมาก เช่นเดียวกับประเทศที่มีประชากรมาก และสาธารณสุขไม่ทันสมัยนัก เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2563ในช่วงกุมภาพันธ์ เริ่มมีผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในประเทศต่างๆ และมีการระบาดในประเทศยุโรป โดยเฉพาะในแคว้นลอมบาร์ดี ของอิตาลี ที่มีจำนวนคนติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มอย่างรวดเร็วและแพร่ไปในประเทศกลุ่ม EU รวมทั้งมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในประเทศที่ได้คาดการณ์มาก่อน เช่น อิหร่าน ซึ่งไม่น่าจะมีนักท่องเที่ยวมากนัก และเริ่มมีการข้ามไปยังประเทศในทวีปอเมริกาใต้เริ่มจากบราซิลปลายเดือน มีนาคม 2563 ช่วงเดือนมีนาคม COVID-19 ได้ระบาดไปยังหลายๆ ประเทศแม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีการปฏิสัมพันธ์กับต่างชาติน้อย หรือประเทศที่เป็นเกาะ ก็หนีไม่รอดไปจากการระบาดได้ และปรากฎการณ์น่ากลัวยิ่งขึ้น คือยอดผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีน ได้เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และแซงหน้าประเทศจีน จากยอดสถิติจำนวนผู้ป่วย COVID-19 สะสมในประเทศต่างๆ พบว่า หลายประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริการมีอัตราการระบาดที่ใกล้เคียงกัน โดยมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในทุกวัน อย่างไรก็ตาม มี 3 ประเทศที่ดูเหมือนจะมีอัตราการระบาดที่ช้ากว่าประเทศอื่นๆ คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง โดยไทยอยู่ระหว่างกลางของประเทศทั้งสองกลุ่ม ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น และระดับการพัฒนาเช่นเดียวกับยุโรป กลับมีการแพร่ระบาดที่ควบคุมได้ สัดส่วนของผู้ติดเชื้อ COVID-19 กรณีของสหรัฐอเมริกาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่เริ่มต้นระบาดอย่างหนักที่ประเทศจีน และลุกลามจนถึง 225 ประเทศ และดินแดน ในทั่วโลกขณะนี้ มีจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก 1,803,091 ราย และมีผู้เสียชีวิต 119,617 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 14 เมษายน 2563) โดยสหรัฐฯ ซึ่งได้กลายมาเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมสูงที่สุด ทั้งๆ ที่ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีระบบการสาธารณสุขและการค้นคว้าวิจัยที่ดีที่สุดในโลก ในช่วงนี้ เราลองมาดูรายละเอียดของสถิติการป่วยและติดเชื้อในสหรัฐฯ กัน สถิติการป่วย แบ่งตามรัฐ (ณ วันที่ 14 เมษายน 2563)นิวยอร์กNew York มหานครที่รุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความบันเทิง แต่ในตอนนี้กลับเป็นเมืองที่ต้องเฝ้าระวังที่สุด เนื่องจากมียอดผู้ป่วยติดเชื้อCOVID-19 สูงที่สุดในสหรัฐฯ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 200,000 ราย แต่ทั้งนี้ โรงพยาบาลใน New York สามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 50,000 ราย รองรับผู้ป่วยฉุกเฉินได้ราว 3,000 ราย ซึ่งการระบาดที่รุนแรงในตอนนี้ เกินความสามารถของโรงพยาบาลที่จะสามารถรองรับได้ นิวเจอร์ซีNew Jersey รัฐอันดับ 2 ที่มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อรองจาก New York ปัจจุบันมีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 68,400 ราย ซึ่งโรงพยาบาลใน New Jersey สามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 18,000 ราย รองรับผู้ป่วยฉุกเฉินได้ราว 2,000 รายแคลิฟอร์เนีย California ปัจจุบันมีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 25,500 ราย และคาดว่าจะมีผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จากข้อมูล ณ วันที่ 26 มีนาคม 2563 ของสหรัฐฯ จะเห็นได้ว่า- กลุ่มรักษาตัวในโรงพยาบาล (Hospitalizations) ผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรงที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 85 ปีขึ้นไป มีสัดส่วน 90%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 65-84 ปี มี 36%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 55-64 ปี มี 17%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 45-54 ปี มี 18%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 20-44 ปี มี 20%, และกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 0-19 ปี มี 1% - กลุ่มรักษาตัวในห้องผู้ป่วยหนัก (Intensive care unit) ผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงและเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน (ICU) โดยกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 85 ปีขึ้นไป มีสัดส่วน 70%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 65-84 ปี มี 46%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 20-64 ปี มี 47%, และกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 0-19 ปี ไม่มีรายงานการเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน - กลุ่มเสียชีวิต (Deaths) ผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 85 ปีขึ้นไป มีสัดส่วน 34%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 65-84 ปี มี 46%, กลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 20-64 ปี มี 20%, และกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 0-19 ปีไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต จากข้อมูล ช่วงอายุของผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ สูงที่สุด คือ ช่วง 50-59 ปี มี 18.3%, จีน ช่วงอายุของผู้ติดเชื้อสูงที่สุด คือ ช่วง 50-59 ปี มี 22.4% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสหรัฐฯ แต่ทั้งนี้ สเปนพบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป มี 32% สำหรับอิตาลี ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ และผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกในขณะนี้ พบว่า ช่วงอายุของผู้ติดเชื้อสูงที่สุด คือ ช่วง 51-70 ปี มี 37.3%Virus กับเชื้อโรค (bacteria) ต่างกันอย่างไร? Bacteria เป็นสิ่งมีชีวิต มี nucleus ที่มี DNA อยู่ข้างใน ล้อมรอบโดย cytoplasm และหุ้มด้วย membrane ส่วน virus เป็นแค่ DNA หรือ RNA หุ้มด้วยไขมันบางๆ คือเป็นแค่รหัสของสิ่งมีชีวิต แต่ตัวมันเองไม่มีชีวิต เป็นเหมือนกาฝากที่ต้องอาศัยเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่น ขยายพันธุ์โดยการฉีดตัวเองเข้าไปและหลอกให้เซลล์ผลิตก็อปปี้ของตัวมันเองออกมา (replicate) โดย Covid-19 นี้ เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสชื่อ SARS CoV2 คือ ตระกูลเดียวกับ SARS และ MERS หรือ โรคที่เกี่ยวกับ ทางเดินหายใจอื่นๆ อีก 2-3 อย่าง Coronavirus ตัวนี้เป็น RNA คือ เป็นรหัสเส้นเดียว ต่างจาก DNA ซึ่งเป็นรหัสที่มี 2 เส้น ไขว้กันเป็น helix การที่มีเส้นเดียว ทำให้มันกลายพันธุ์ง่าย (mutate) ลักษณะของ coronavirus เป็น RNA ที่ล้อมรอบด้วยโปรตีน (spike protein) ที่เหมือนกุญแจเซลล์ปอดของเรามี ACE2 Receptor ที่เป็นเหมือนรูกุญแจที่ไวรัสนี้มาไขได้พอดี ไวรัสเลยฉีดตัวเองเข้าไปและเริ่มหลอกให้เซลล์ของเราก็อปปี้ตัวมันออกมา เพราะเซลล์ของเรา โดยปกติจะส่งmRNA (messenger RNA) ออกมาจาก nucleus ออกมาใน cytoplasm เพื่อเป็นแบบกรรมพันธุ์ ให้เซลล์ของเราสร้างต่อๆ ไป ต่อพอเจอ RNA ของไวรัส เซลล์ก็เหมือนถูกหลอก ให้เป็นเครื่อง Xerox ก๊อปปี้มันออกมาเต็มไปหมด และ การก็อปปี้ของมัน (replicates) ก็จะออกมาโจมตีเซลล์ตัวอื่นๆ ต่อไป ร่างกายของมนุษย์ภูมิคุ้มกัน โดยมีเซลล์ชนิดหนึ่งที่จะสร้าง antibody ออกมาเมื่อเจอสิ่งแปลกปลอม (antigen) Antibody เปรียบเสมือนกับตัวปิดหัวกุญแจ ที่จะล็อกกับ spike protein ของไวรัส ทำให้ไวรัสเกาะกับเซลล์ไม่ได้ แต่เพราะ SARS CoV2 นี้เป็นตัวใหม่ ร่างกายของเราไม่เคยรู้จักเพราะเพิ่งโดดข้ามสายพันธุ์ ร่างกายจึงไม่สามารถสร้าง antibody ได้ทัน ทำให้ไวรัสขยายพันธุ์เร็ว ร่างกายกำจัดมันไม่ทัน ก็เลยทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดก่อน แนวทางการตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่ใช้อยู่ในสหรัฐอเมริกาปัจจุบันการตรวจหาเชื้อ COVID-19 ของสหรัฐอเมริกามี 2 วิธี คือ 1. การตรวจหาเชื้อในทางเดนหายใจ (Real-time-Polymerase Chain Reaction : RT-PCR) โดยการป้ายเนื้อเยื่อโพรงจมูก หรือเยื่อบุในคอ เพื่อตรวจหากรดนิวคลีอิก (nucleic acid) ซึ่งเป็นสารประกอบในเซลล์สิ่งมีชีวิต วิธีการนี้จะตรวจหาเชื้อไวรัสที่อาศัยอยู่ในเซลล์บริเวณทางเดินหายใจ ผู้รับการตรวจจะต้องเริ่มมีอาการของการติดเชื้อ เนื่องจากนับจากวันแรกที่มีการติดเชื้อไปจนถึงวันที่แสดงอาการ เป็นระยะฟักตัวของเชื้อ หากตรวจในช่วงนี้จะแปลผลค่อนข้างยากและโอกาสเจอเชื้อค่อนข้างน้อยหรืออาจตรวจไม่พบเชื้อ 2. การตรวจหาเชื้อโดยการเจาะเลือด (Rapid test) การเจาะเลือดไม่ใช่วิธีที่ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นหลังการติดเชื้อ การตรวจด้วยวิธีนี้ควรตรวจหลังจากที่เริ่มแสดงอาการติดเชื้อเช่นเดียวกัน เนื่องจากในระยะฟักตัวของเชื้อ ร่างกายจะยังไม่สร้างภูมิคุ้มกันเชื้อนี้ขึ้นมา ผลที่ได้อาจจะแสดงผลว่าไม่มีการติดเชื้อใดๆ การตรวจหาเชื้อจากการตรวจภูมิต้านทาน หรือ Antibody นี้ เป็นการตรวจที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง นิยมตรวจกับผู้ป่วยที่เกิดจากการติดไวรัสตับอักเสบ มาตรการรับมือ COVID-19 ของประเทศต่างๆ ที่น่าสนใจ1. จีน มังกรป่วย ฟื้นทะยานประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่พบการระบาดของ COVID-19 ในช่วงปลายปี 2562 และมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมากมาถึงกลางเดือนมีนาคม 2563 การระบาดที่เริ่มต้นจากจีน ทำให้หลายประเทศโดยเฉพาะตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์ ระบบสาธารณสุข และรสนิยมการบริโภคของจีน มีการตอกย้ำจีนเป็น The Real Sick Man of Asia มีรายงานเรื่องการถูกทำร้ายและการรังเกียจคนผิวเหลืองในประเทศตะวันตกหลายครั้ง ด้วยรูปแบบการปกครองของจีนทำให้ประเทศสามารถบังคับใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการรับมือการระบาดของโรคได้ จีนมีความชัดเจนและมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ แนวทางการดำเนินงานของภาครัฐ และการบังคับใช้กฏหมาย มาตรการต่างๆ “ทุกคนรู้หน้าที่ของตน” 2. สหรัฐอเมริกา อินทรียโส ผู้เพลี้ยงพล้ำสหรัฐฯ ประเทศยักษ์คู่ปรับของจีน หนีไม่พ้นการถูกจับตามองว่าจะรับมือกับปัญหาการระบาดนี้อย่างไร ในขณะที่จีนเริ่มฟื้นตัวจาก COVID-19 แล้ว สหรัฐฯกลับมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะรัฐ New York, New Jersey, California, Washington และ Florida ซึ่งเป็นรัฐที่คนต่างชาติและนักท่องเที่ยวอยู่จำนวนมาก3. อิตาลี หมาป่าเฒ่า ผู้หายใจรวยริน อิตาลีเป็นประเทศที่ประสบกับสภาวะที่หนักหนาสาหัสจากปรากฏการณ์แพร่ระบาดครั้งนี้ที่สุด สาเหตุที่ทำให้มีการระบาดรุนแรงของ COVID-19 ในอิตาลีเกิดจากวัฒนธรรมและพฤติกรรมของชาวอิตาเลียน ไม่ว่าจะเป็นการทักทายด้วยการกอดหอม การชอบเข้าสังคมและรักสนุก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อิตาลีไม่สามารถรับมือกับการระบาดได้คือนโยบายของภาครัฐไม่สอดคล้องกับความรุนแรงของไวรัส อิตาลีเน้นการตรวจหาผู้ติดเชื้อไปที่มีอาการรุนแรงแล้ว ทำให้ไม่มีการหยุดระบาด เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ กว่าจะได้รับการตรวจและรักษาก็มักมีอาการหนักแล้วประเทศไทย...ช้างน้อยที่ไม่ธรรมดาภาครัฐของไทยให้ความร่วมมือในการวางมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ กระทรวงสาธารณสุขพบยาต้านไวรัสที่อาจจะใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อได้ ประเทศต้องเจอกับปัญหาด้านบริหารต่างๆ เช่น การเปิดรับและการกักตัวคนไทยจากต่างประเทศกลับไทย การแจกหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือให้กับประชาชน การให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่กำลังเดือดร้อน รวมถึง มาตรการควบคุมการเดินทางและกิจกรรมต่างๆ ของประชาชน จากสถานการณ์ตึงเครียดที่ทั่วโลกต่างหวาดกลัว หากมองในการจัดการในภาพรวมของไทยแล้ว ไทยได้รับการชื่นชมจากนานาชาติ ในการจัดการควบคุมเชื้อไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพ ไทยสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยให้มีจำนวนน้อยลงในแต่ละวัน COVID-19 กับผลกระทบโอกาสในวิกฤต และโลกหลังโควิด COVID-19 ความท้าทายต่อการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ในยุค Globalization และสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อาการป่วยจาก COVID-19 อาจจะไม่รุนแรงสำหรับคนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 81) แต่กลับเป็นโรคที่น่ากลัวสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคหอบ ฯลฯ และสิ่งที่จะช่วยลดหรือป้องกันการระบาดของไวรัสเพื่อมิให้ระบาดไปถึงกลุ่มเสี่ยง คือ การหลีกเลี่ยงการปฎิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมด้วยความสามารถในการปฎิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของมนุษย์ ทำให้สังคมมนุษย์มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการพบปะหารือเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและเจรจาต่อรอง การรวมตัวเพื่อถ่ายทอดความรู้เช่นในห้องเรียน และการเดินทางข้ามรัฐข้ามแดนด้วยเทคโนโลยีคมนาคมต่างๆ โดยเฉพาะในยุค globalization ที่มนุษย์ทั่วโลกเชื่อมต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ตอนนี้กิจกรรมทางสังคมได้กลายเป็นการสนับสนุนการระบาด รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกขอความร่วมมือให้งดการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ งดการออกจากบ้าน งดการรวมกลุ่ม ทำให้การดำเนินชีวิตและการเข้าสังคมของมนุษย์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาชีพที่จำเป็นในช่วงวิกฤตอาชีพที่มีความสำคัญอย่างมากในช่วงวิกฤตการระบาดของ coronavirus แพทย์ พยาบาล และผู้ให้บริการทางการแพทย์ในส่วนต่างๆ เป็นกลุ่มแรกที่ทุกคนนึกถึงเพราะเป็นสายอาชีพที่เป็นด่านหน้าในการรับมือกับไวรัสและผู้ป่วย ในขณะที่คนส่วนใหญ่สามารถเก็บตัวในบ้านหรือทำงานจากที่บ้านเพื่อป้องกันตัวเองจากการระบาด ยังมีหลายอาชีพที่ต้องทำงานเผชิญความเสี่ยง เช่น พนักงานในห้างสรรพสินค้าแผนกอาหาร และซุปเปอร์มาร์เก็ตพนักงานทำความสะอาดและเก็บขยะ คนขับรถแท็กซี่และบริษัทขนส่งต่างๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่ภาครัฐบางส่วน ที่มีหน้าที่ให้ข้อมูลให้ความช่วยเหลือประชาชน ในขณะเดียวกัน มีหลายอาชีพที่เป็นยอมรับกันว่าสามารถทำเงินได้มากกว่าอาชีพอื่นๆ หรือมีความมั่นคงแต่กลับเป็นอาชีพแรกๆ ที่ถูกกระทบโดยวิกฤตCOVID-19 ก่อนใคร เช่น นักบินสายการบินพาณิชย์ซึ่งจะมีนักบินจำนวนมากต้องตกงานเนื่องจากสายการบินไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ วิกฤติครั้งนี้ทำให้เห็นว่าอาชีพที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่และความอยู่รอดของมนุษย์เป็นอาชีพที่จะยังอยู่ต่อไปได้โดยเฉพาะในสถานการณ์ไม่ปกติเมื่อความตระหนักกลายเป็นความตระหนกประชาชนต้องปรับตัวและเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างเพื่อป้องกันตัวเองและช่วยลดการระบาดจนก่อให้กลายเป็นความตระหนกและก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม ปรากฏการแรกคือการเหยียดเชื้อชาติในสถานการณ์ COVID-19 การเกลียดกลัวชาวต่างชาติหรือคนจีน (Xenophobia) เกิดจากความไม่รู้ ความกลัว และการตัดสินคนที่ stereotype ซึ่งชาวตะวันตกมองว่า COVID-19 เป็นโรคที่เกิดจากคนจีนจึงเกิดความกลัวและเกลียดชังคนเอเชีย แต่ในปัจจุบัน เหตุการณ์กลับตาลปัตรกลายเป็นคนเอเชียเริ่มกลัวฝรั่งบ้างเพราะการแพร่ระบาดในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โลกหลังโควิด ในช่วงการระบาดของ coronavirus ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและการดำเนินธุรกิจหลายอย่าง ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะยังคงอยู่แม้การระบาดจะสิ้นสุดลงการทำงานที่บ้านและวัฒนธรรมการทำงานที่ให้ความไว้วางใจพนักงานการทำงานที่บ้าน แม้ว่าจะเป็นแนวปฏิบัติที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีข้อดีหลายประการ ทั้งการประหยัดเวลาการเดินทาง และลดรายจ่ายบางประการของบริษัท และประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นจากการให้อิสรภาพการทำงานแก่พนักงาน แต่ในองค์กรจำนวนมากการทำงานที่บ้านยังถือเป็นเรื่องใหม่เพราะขาดความพร้อมด้านเทคโนโลยีและการยึดติดกับวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม การระบาดของ coronavirus จึงเป็นสถานการณ์บังคับให้บริษัทส่วนใหญ่ต้องปรับตัวนำเอาวัฒนธรรมใหม่นี้มาใช้ คาดว่าหลังจากการระบาด แนวทางการทำงานจากที่บ้านน่าจะเป็นที่ปฏิบัติมากยิ่งขึ้น และการปฎิสัมพันธ์แบบ face-to-face จะมีความสำคัญน้อยลงเพราะหลายคนได้มีประสบการณ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนการประชุม ผ่านระบบ teleconference หรือ การแสดงคอนเสริตผ่านระบบ live video วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ได้สอนให้บุคลากรของรัฐทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา หันมาศึกษาเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนน้อยลง ความตระหนักรู้ด้านสุขอนามัยและสภาพความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปการระบาดของ COVID-19 ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับการรักษาสุขอนามัยมากขึ้นและตระหนักสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น แบคทีเรียและเชื้อไวรัสที่อยู่รอบตัวเรา มีการระมัดระวังตัวมากขึ้น การล้างมือ การใส่หน้ากากอนามัย เป็นต้น ความสำคัญของ data scienceสิ่งสำคัญในสถานการณ์ระบาดครั้งนี้คือ ข้อมูลผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต และกลุ่มเสี่ยง รวมถึงข้อมูลการกระจายสินค้าและบริการบางอย่าง การเก็บข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการนำเสนอข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์จริง สาขา data science จะกลายเป็นสาขาวิชาที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในอนาคตการเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ และคำว่า “ความดี” จะมีนิยามที่ชัดเจนขึ้นยุคหลังการระบาดของ COVID-19 ผู้คนในหลายประเทศคงได้ตระหนักและสนใจในการทำความดีและร่วมด้วยช่วยกันมากขึ้นทำความดีได้มากมาย หากเป็นคนพุทธ ก็ตั้งสติ คิดดี แผ่เมตตา ฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน = สิ่งที่ไม่เห็น ไม่ใช่ไม่มี สำหรับโลกนั้น การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง มนุษย์ได้รับโอกาสจากธรรมชาติ ให้ปรับเปลี่ยนสรรพสิ่งบนโลกให้เป็นไปตามความต้องการของตน แต่มนุษย์ไม่สามารถมีอำนาจเหนือธรรมชาติได้ทั้งหมดเพราะเมื่อเราทำร้ายธรรมชาติก็เหมือนเราทำร้ายตัวเอง เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติบนโลกใบนี้ ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-mar2020.pdf
นานาสาระน่ารู้

โควิด-19 จะระบาดระลอก 2 และ 3 หรือไม่
โควิด-19 จะระบาดระลอก 2 และ 3 หรือไม่
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์
18 พ.ค. 2563
การที่จะตอบคำถามนี้ได้ ต้องตรวจสอบเรื่องที่เรารู้แล้ว และเรื่องที่เรายังไม่รู้ หรือไม่แน่นอน
ดาวน์โหลดเอกสาร
เรื่องที่ยังไม่รู้ หรือยังไม่แน่นอน
1. การที่คิดกันว่าจะเกิดการระบาดรอบ 2 และ 3 ตามมา อิงจากข้อมูลโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) และการทำแบบจำลองการระบาด
โดยเฉพาะการอ้างอิงจากการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สเปนเมื่อร้อยปีที่แล้ว ซึ่งรอบ 2 และ 3 ทำให้มีคนตายมากว่ารอบแรกเสียอีก ข้อมูลเรื่องนี้ชัดเจนมากในสหรัฐ (ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นประเทศแรกสุดที่เกิดการระบาดในคราวนั้น หรือพูดง่ายๆ เป็น "ต้นตอโรค" นั่นเอง)
https://www.cdc.gov/flu/pandemic-resources/1918-commemoration/three-waves.htm
2. มีนักวิจัยทำแบบจำลองไว้ พบว่าหากมาตรการของประเทศต่างๆ เข้มข้นลดลง จะทำให้ค่าความสามารถในการติดเชื้อของโควิด (ค่า R0) เกิน 1 ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นการระบาดรอบ 2 ได้
https://www.thelancet.com/action/showPdf?pii=S0140-6736%2820%2930845-X
(more…)
นานาสาระน่ารู้

การใช้งาน SciVal เพื่อการวิเคราะห์ศักยภาพทางการวิจัย
“SciVal” ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ช่วยในการวิเคราะห์ศักยภาพทางการวิจัย โดยเน้นการนำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจ และเข้าใจง่าย ทำให้เข้าถึงผู้ใช้งานได้ไม่ยาก ฐานข้อมูลนี้จะทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นถึงศักยภาพทางการวิจัยในระดับต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์สำหรับการติดตาม และประเมินศักยภาพทางการวิจัย ตลอดจนการการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการวิจัย Scival for Research Performance from Boonlert Aroonpiboon
นานาสาระน่ารู้

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ เดือนกุมภาพันธ์ 2563
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2563 ภาวะโรคระบาดใหญ่ (Pandemics) การระบาดใหญ่ หรือ Pandemics คือปรากฎการณ์ที่โรคติดเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่ง ได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคขนาดใหญ่เช่นหลายทวีปหรือทั่วโลก ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มีการระบาดใหญ่ของโรค เช่นไข้ทรพิษ อหิวาตกโรค และวัณโรค อยู่บ่อยครั้ง และหนึ่งในโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดคือกาฬโรค(Black Death) ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 75-200 ล้านคนในคริสต์ศตวรรษที่ 14 การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ (ไข้หวัดสเปน) ในปี 1918 และการระบาดของโรคเอดส์ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 30 ล้านคน ที่เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการวิจัยใหญ่ทางไวรัสวิทยา โดยเฉพาะการผลิตยาต้านไวรัสที่มีผลต่อการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสในปัจจุบัน สถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในจีนและเอเชียตะวันออก 8 ธ.ค.62 เจ้าหน้าที่จีนได้การบันทึกผู้ป่วยรายแรกที่แสดงอาการของโรคจากโคโรน่าไวรัส ซึ่งในตอนนั้นยังไม่ทราบสาเหตุ 30 ธ.ค.62 การบริหารทางการแพทย์ของคณะกรรมการอนามัยเทศบาลอู่ฮั่นประกาศฉุกเฉินเกี่ยวกับการรักษาโรคปอดโดยไม่ทราบสาเหตุไปยังองค์การอนามัยโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดอาหารทะเลจีนใต้อู่ฮั่น 2 ม.ค.63 มีการยืนยันจากห้องปฎิบัติการว่า ผู้ป่วย 41 คนในอู่ฮั่นติดเชื้อไวรัส 2019-nCoV (โคโรน่าไวรัสอู่ฮั่น) 3 ม.ค.63 ไทยและสิงคโปร์เริ่มมีการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ณ ท่าอากาศยานสำคัญ 9 ม.ค. 63 องค์การอนามัยโลกยืนยันว่ามีโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในมนุษย์ และมีผู้เสียชีวิตรายแรกเป็นชายอายุ 61 ปี ซึ่งเป็นลูกค้าประจำที่ตลาดอาหารทะเลดังกล่าว 16 ม.ค. 63 ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อไวรัส 2019-nCoV เป็นรายแรก เป็นชายสัญชาติจีนอายุ 30 ปี 20 ม.ค. 63 ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อเป็นหญิงอายุ 74 ปี ซึ่งเดินทางมาจากจีน 21 ม.ค. 63 มีรายงานผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันครั้งแรกในประเทศเกาหลีใต้ 22 ม.ค. 63 มาเก๊าและฮ่องกงมีรายงานผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฎิบัติการ 24 ม.ค. 63 ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไทย และฮ่องกง เริ่มพบผู้ติดเชื้อรายต่อๆ ไป แสดงให้เห็นการระบาด ที่ใหญ่ขึ้น ไวรัส อีกหนึ่ง “สิ่งที่ไม่เห็น ไม่ใช่ไม่มี” ไวรัส จะมีองค์ประกอบของไวรัส มีด้วยกัน 3 ส่วน 1. ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นสารพันธุกรรมหรือจีโนม ซึ่งมีทั้งที่เป็นดีเอ็นเอสายเดี่ยว ดีเอ็นเอสายคู่ อาร์เอ็นเอ สายเดี่ยว หรือ อาร์เอ็นเอสายคู่ ที่แตกต่างออกไปตามชนิด 2. ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นโปรตีนห่อหุ้ม มีลักษณะเป็นก้อนโปรตีนมาเรียงต่อกัน แต่ละก้อนประกอบขึ้นจากสายโพลีเปปไทด์ที่ขดกันจนดูคล้ายเป็นก้อน แต่ละก้อนเรียกแคปโซเมียร์ หลายๆ ก้อนที่มาเรียงต่อกันเรียก แคปซิด 3. ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต รวมถึงโปรตีนชนิดอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นเอมไซม์ ที่สำคัญส่วนประกอบพวกนี้โดยทั่วไปมีองค์ประกอบที่มีลักษณะแบบเดียวกับเซลล์ที่ไวรัสจะเข้าไปอาศัยไวรัสเพิ่มจำนวนได้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น อาหารที่ใช้เพาะเลี้ยงแบคทีเรีย ใช้เพาะเลี้ยงไวรัสไม่ได้ นอกจากจะเพาะเลี้ยงในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต รหัสพันธุกรรมของไวรัสเมื่อผันแปร ไวรัสก็ผันแปรด้วยไวรัสที่ผันแปรแตกต่างไปจากไวรัสปกติอาจตรวจสอบได้โดยเลี้ยงกับเซลล์ต่างๆ และเปรียบเทียบไวรัสดูตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆ เช่นจัดเป็นจุลินทรีย์ที่มีโครงสร้างแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน นอกจากนั้นไวรัสแต่ละชนิดยังมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น - คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของไวรัส เช่น ความทนของไวรัสต่อรังสี ความทนของไวรัสต่ออุณหภูมิระดับต่างๆ - คุณสมบัติทางเคมีของไวรัส เช่น ความทนของไวรัสต่อสารเคมี ต่อสารฆ่าเชื้อต่างๆ - คุณสมบัติทางชีววิทยาของไวรัส เช่น ความสามารถในการสังเคราะห์ไวรัส ความสามารถของไวรัสในการทำลายเซลล์รุนแรงมากน้อยเพียงใด ความสามารถในการสังเคราะห์เอ็นไซม์ สังเคราะห์แอนติเจนที่เฉพาะของไวรัส ยีนที่ควบคุมชนิดของเซลล์ที่ไวรัสจะเจริญยีนที่ทำให้เกิดการสลายเซลล์ที่ผันแปรจากเซลล์ปกติ โดยเปรียบเทียบความสามารถของไวรัสที่จะแพร่พันธุ์ COVID-19 ไวรัสเขย่าโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ไวรัส COVID-19 เป็นไวรัส RNA ในกลุ่ม Coronavirus หรือชื่ออย่างเป็นทางการที่วงการวิทยาศาสตร์อเมริกันนิยมใช้คือ SARS-CoV-2 (ส่วนวงการเมืองระดับผู้นำใช้ Wuhan Virus หรือ Chinese Virus) เนื่องจากไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคซาร์ (Severe Acute Respiratory Syndrome) ที่เริ่มต้นจากมณฑลกวางตุ้งของจีนเช่นเดียวกันเมื่อสิบกว่าปีกว่า และก็เป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรค MERS (Middle East Respiratory Syndrome) ซึ่งเป็นไวรัสโคโรนาที่ติดต่อมาจากอูฐ โดยกรณี COVID-19 ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าต้นตอของไวรัสมาจากค้างคาว และพบว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับงู และตัวนิ่ม รวมแม้กระทั่งมีการลือว่าเป็นไวรัสสังเคราะห์โดยฝีมือมนุษย์จากห้องปฎิบัติการ อันที่จริง ไวรัสกลุ่มนี้ ก็คือไวรัสกลุ่มเดียวกับไวรัสตระกูลใหญ่หรือตระกูลหวัดที่อยู่กับอารยธรรมมนุษย์มานมนาน และได้ชื่อที่ไพเราะว่า corona virus เพราะว่ามีหนามแหลมคล้ายมงกุฎบนพื้นผิวของมัน ซึ่งภาษาจีนได้เรียกขานเจ้าไวรัสนี้ ว่า ซินกวนปิ้งตู๋ หรือไวรัสมงกุฎใหม่ ไวรัสกลุ่มหวัดนี้ โดยธรรมชาติจะมุ่งเป้าการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ โดยกรณีปกติ ก็เป็นสาเหตุของการทำให้เกิดอาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ไปจนถึง ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เจ็บคอ โดยอาการปกติก็สามารถทุเลาได้เอง แต่ในกรณีของอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อ Coronavirus ในปลายปี 2019 การตระหนักเกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้ มีขึ้นหลังจากพบว่า มีผู้คนในนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีน จำนวนมากมีอาการปอดอักเสบรุนแรง และเสียชีวิตจำนวนมากโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยการแพร่ระบาดในจีนได้อยู่ในช่วงวิกฤตในช่วง ปลายเดือน ธ.ค. 2562 จนถึงกลางเดือน มี.ค.2563 โดยกว่าที่สถานการณ์จะเข้าสู่ระยะควบคุมได้ ก็มีผู้ป่วยมากกว่า 80,000 คนทั่วประเทศ และเสียชีวิตกว่า 3,000 คน แต่สถานการณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะแม้ว่าสถานการณ์จากจุดแพร่ระบาดเริ่มต้นจะสงบลง แต่สถานการณ์ที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเพื่อนบ้านเอเชียตะวันออกอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น กลับทวีความรุนแรงขึ้น และกระจายไปในหลายพื้นที่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกกลาง จนถึงยุโรปและข้ามมายังทวีปอเมริกา ซึ่งในบางพื้นที่ อาทิ สถานการณ์ในยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี สเปน รวมทั้งประเทศที่ได้รับการประเมินว่า มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา กลับมีสถานการณ์การติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิต อยู่ในระดับที่น่าหวั่นเกรง องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อยู่ในระดับของการแพร่ระบาดในวงกว้าง หรือการระบาดใหญ่ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Pandemic นั่นเอง อาการของผู้ติดเชื้อ COVID-19 อาการของผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 ในระยะเริ่มต้นจะมีความรุนแรงของอาการแตกต่างกัน ผู้ติดเชื้อบางรายจะไม่แสดงอาการใดๆ บางรายจะมีอาการคล้ายกับอาการของไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาเจียน หรือท้องเสีย หรือบางรายมีอาการที่รุนแรงขึ้น คือ หายใจถี่ เหนื่อยหอบ จากข้อมูลของหน่วยงานป้องกันโรคติดต่อสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) ระบุว่า อาการหลักของผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 ในเบื้องต้น ที่จะแสดงอาการภายใน 2 - 14 วัน คือ 1. มีไข้ อุณหภูมิสูงกว่า 38องศาเซลเซียส หรือ 100.4 องศาฟาเรนไฮต์ 2. เจ็บคอ ไอแห้ง และเสียการรับรู้กลิ่น-รสชาติ 3. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดเมื่อยร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าทำลายปอดก็จะมีการหายใจถี่ เหนื่อยหอบ (หากมีอาการดังกล่าว ควรต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว เนื่องจากเชื้อได้ลงไปทำลายเซลล์และระบบการทำงานของปอด) ส่วนอาการที่ค่อนข้างขัดแย้งกับอาการติดเชื้อ COVID-19 คือ การมีน้ำมูก ซึ่งมักเป็นอาการของหวัดธรรมดา และการแพ้อากาศ โดยอาการเบื้องต้นทั้ง 3+1 อาการนี้ จะแสดงอาการในผู้ป่วยแต่ละคนมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก ปวดหน้าอก เมื่อร่างกายนำพาออกซิเจนมาไหลเวียนในระบบโลหิตไม่พอ ก็จะมีอาการเพ้อหรือขาดสติ ริมฝีปากและใบหน้าหมองคล้ำรวมถึง ภาวะแทรกซ้อน ปอดอักเสบ โดยเชื้อไวรัสนี้จะทำลายการทำงานของปอด หากพบว่าติดเชื้อในระยะหลังแล้ว อาจทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว เช่น ไตวาย และเสียชีวิตในที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน และผู้ที่ปอดมีการทำงานไม่สมบูรณ์ อาทิ จากสาเหตุการสูบบุหรี่จัด แนวทางปฎิบัติตนของผู้มีอาการติดเชื้อโดย CDC 1. พักอยู่ที่บ้าน สำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการ หรือติดเชื้อ COVID-19 ในระยะเริ่มต้น สามารถฟื้นตัวได้เอง หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน ยกเว้นในกรณีจำเป็นที่จะต้องพบแพทย์ หลีกเลี่ยงการใช้รถโดยสารสาธารณะ/แท็กซี่ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ 2. กันพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนแยกออกจากผู้อื่นในบ้าน (Self-isolate) แยกการใช้พื้นที่ในบริเวณบ้าน ห้องน้ำจากผู้อื่นภายในบ้าน เป็นระยะเวลา 14 วัน เพื่อให้ผ่านระยะเชื้อฟักตัว และเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอาการของโรค รวมทั้ง ลดการสัมผัสสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการติดเชื้อ COVID-19 ในสัตว์เลี้ยงก็ตาม ถ้าหากจำเป็นที่จะต้องดูแลหรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง ควรล้างมือก่อนและหลังการสัมผัสสัตว์เลี้ยง 3. ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อรู้สึกไม่สบายและเมื่อต้องอยู่รวมกับผู้อื่น ถ้าหากผู้ป่วยไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยได้ เนื่องจากปัญหาการหายใจติดขัด ผู้ที่เข้าใกล้หรือผู้ที่ให้การดูแลผู้ป่วยควรใส่หน้ากากอนามัย 4. เมื่อมีอาการไอ หรือจาม ควรปิดจมูกและปากด้วยกระดาษทิชชูและทิ้งลงถังขยะ และล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที หรือล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อย่างน้อย 60% 5. ล้างมือบ่อยครั้ง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า ตา จมูก และปาก 6. การล้างมือด้วยสบู่และน้ำ ควรล้างมือให้สะอาดใช้เวลาอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะเมื่อมีการจาม หรือไอ รวมถึง ก่อนการเตรียมและก่อนรับประทานอาหาร 7. การใช้แอลกอฮอล์เจลที่มีปริมาณแอลกอฮลล์อย่างน้อย 60% ควรถูให้รอบทั้งบริเวณฝ่ามือและหลังมือ จนแห้ง 8. หลีกเลี่ยงการใช้ของภายในบ้านร่วมกัน เช่น จาน แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดตัว และเครื่องนอน และควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาล้าง 9. ทำความสะอาดบริเวณที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง ในบริเวณห้องนอน ห้องน้ำของผู้ป่วย ควรทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อยๆ เป็นประจำทุกวัน รวมถึงในพื้นที่หรืออุปกรณ์ที่มีการใช้ร่วมกัน เช่น บริเวณโต๊ะ รีโมทโทรทัศน์ กลอนประตูห้องน้ำ โทรศัพท์ เป็นต้น 10. มั่นตรวจสอบอาการของตนเอง ถ้าหากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ รวมถึงใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกนอกบ้าน และอยู่ห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 6 ฟุต การรักษาการติดเชื้อไวรัส COVID-19 กรณีของสหรัฐอเมริกา หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention – CDC) แนะนำการรักษาในเบื้องต้น หากผู้ป่วยมีอาการไอ หรือมีไข้ให้ทานยาตามอาการ ดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งอาการในเบื้องต้นนี้สามารถหายได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ทั้งนี้ หากมีอาการรุนแรง หรือหายใจลำบากควรโทรปรึกษาแพทย์หรือหน่วยสาธารณสุขของรัฐทันที นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีไข้ European Medicines Agency (EMA) แนะนำให้ใช้ยาที่มีส่วนประกอบของสาร Acetaminophen (APAP) เช่น ไทลินอล พาราเตมอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้ที่มีส่วนประกอบของสาร Ibuprofen และ NSAIDs เนื่องจากฤทธิ์ยาจะทำให้ร่างกายผลิตเอมไซม์เคลือบผิวเซลล์ทำให้ไวรัสสามารถเข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่มีการยืนยันการห้ามใช้ยาลดไข้ที่มีส่วนประกอบของสาร Ibuprofen และ NSAIDs ซึ่งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจเกิดเฉพาะรายบุคคล ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนการใช้ยา สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง ถึงแม้ว่าจะยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคนี้ได้โดยตรง แต่ได้มีการประยุกต์ใช้ยาที่มีอยู่แล้วหลายประเภทในการรักษาอาการติดเชื้อในขณะนี้ ได้แก่ ยาต้านไวรัส เรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) Remdesivir (รหัสพัฒนา GS-5734) เป็นยาต่อต้านไวรัสตัวใหม่ในคลาส Analogs นิวคลีโอไทด์ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Gilead Sciences คุณสมบัติดั้งเดิมเพื่อเป็นยาต้านไวรัสอีโบลาและการติดเชื้อไวรัส Marburg บริษัทได้แจกจ่ายยาครั้งแรกให้กับศูนย์การแพทย์ในรัฐวอชิงตันที่มีผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงจำนวนมากเพื่อทำการศึกษาทดลองนำมาใช้ต้านไวรัส COVID-19 ดังนั้น จากเว็บไซต์ของ CDC ยา Remdesivir นี้ เป็นยาต้านไวรัสที่เคยมีการรายงานว่าสามารถต้านเชื้ออีโบลาได้เมื่อปี 2557 ทำให้นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจในการศึกษาทดลองยาตัวนี้เพื่อใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อจากไวรัสอื่นๆ รวมถึง COVID-19 ในปัจจุบันผู้ป่วยจาก COVID-19 จำนวนหนึ่งได้รับ Remdesivir เพื่อทดลองประสิทธิภาพของยา โดยการทดลองใช้ Remdesivir ในผู้ป่วยของ U.S. National Institutes of Health (HIH) ซึ่งเพิ่งได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) แล้วเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ Remdesivir กับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง การรักษาการติดเชื้อไวรัส COVID-19 กรณีของสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันโรงพยาบาลในสหรัฐฯ มีการทดลอง Remdesivir ภายใต้โครงการวิจัยของ NIH โรงพยาบาล Massachusetts General Hospital ในเมือง Boston ซึ่งพบว่าผู้ป่วยดีขึ้นในวันที่ 8 หลังจากได้รับ Remdesivir ผุ้ป่วยเริ่มทานอาหารได้ ไข้ลดลง และไอน้อยลง แม้ว่าแพทย์ยังไม่กล้ายืนยันว่าจะมีผลข้างเคียงอื่นตามาหรือไม่ ยา Chloroquine และ Hydroxychloroquine เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ได้ประกาศเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่น่ายินดีของการใช้ยารักษามาลาเรียสองชนิดที่เรียกว่า Chloroquine และ Hydroxychloroquine ว่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับการรักษาโรคติดเชื้อ COCID-19 โดยเขาได้สนับสนุนการใช้ยานี้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ออกแถลงการณ์อย่างรวดเร็วเพื่อชี้แจงว่ายาเหล่านี้ไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษา COVID-19 ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจาก Coronavirus SARS-CoV-2 ยาทั้งสองชนิดนี้ ยาโลพินาเวียร์ (Lopinavir) และ ริโทนาเวียร์ (Ritonavir) ยาสองชนิดนี้ หรือรู้จักในชื่อ Kaletra เป็นยาสำหรับใช้รักษาผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งในเกาหลีใต้และไทยได้ใช้ยานี้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 พบว่า มีอาการดีขึ้น หลังจากได้รับยาสองตัวนี้ ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับการยืนยันประสิทธิภาพของการใช้ Kaletra ในการรักษาโรค COVID-19 จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยากลุ่มนี้ เป็นยาต้านไวรัส ที่มีการคิดค้นออกมามากในช่วงที่มีการระบาด ยาฟาวิไฟเรเวียร์ (Favipiravir) หรือ ฟาวิลาเวียร์ (Favilavir) หรือ Avigan ยานี้ เป็นยาใช้ในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ คิดค้นโดยบริษัท Fujifilm Toyama Chemical ญี่ปุ่น ที่ผ่านมา การใช้ยาตัวนี้ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก เนื่องจากมีรายงานถึงประสิทธิภาพ และผลข้างเคียง แต่ยาตัวนี้ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคอีโบลา รวมถึงโรค COVID-19 โดยญี่ปุ่นและจีนได้้ใช้ยาตัวนี้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อ พบว่า บรรเทาอาการปอดบวมได้ และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว แต่มีรายงานว่ายานี้ยังไม่มีประสิทธิภาพพอในการรักษาผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง ในเดือน ก.พ. 2563 ที่ผ่านมา จีนได้อนุมัติยานี้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ COVID-19 อย่างเป็นทางการและส่งออกเพื่อช่วยเหลือนานาประเทศ โดยยานี้ ถือว่าเป็นยาที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาโรคติดเชื้อจาก COVID-19 ทั้งนี้ไวรัสชนิดนี้ เป็นกลุ่มเดียวกับไวรัส CORONA ที่ทำให้เกิดไข้หวัด และหวัด แม้ว่า เมื่อเดือนมี.ค. 2558 แต่ทั้งนี้ ยานี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) สำหรับการรักษาการติดเชื้อ COVID-19 แต่อาจจะมีการพิจารณาเร็วๆ นี้ จากกระแสที่หลายประเทศรับรองคุณสมบัติของยาดังกล่าวโดยเฉพาะจากการทดลองขนาดเล็กที่มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 80 คน เมื่อต้นเดือน มี.ค. 2563 พบว่า Favipiravir มีฤทธิ์ต้านไวรัส COVID-19 มีศักยภาพมากกว่า Lopinavir/Ritonavir เจ้าหน้าที่ของจีนแนะนำว่า Favipiravir ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการรักษา COVID-19 การตรวจหา COVID-19 การตรวจวินิจฉัยหา COVID-19 มีหลายวิธีซึ่งพัฒนาขึ้นโดยทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งการตรวจวิเคราะห์สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ใช้เทคนิคการตรวจในห้องปฏิบัติการที่เรียกว่า Realtime RT-PCR หรือการตรวจรหัสพันธุกรรมเฉพาะตัวไวรัสอู่ฮั่น RT คือ Reverse transcriptase เป็นกระบวนการเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมอาร์เอ็นเอ (RNA) ของไวรัสให้เป็นสายคู่แบบดีเอ็นเอ (DNA) ก่อน แล้วจึงเข้าสู่กระบวนการตรวจแบบ PCR (Polymerase chain reaction) ซึ่งแม่นยำ เชือถือได้ และใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง ผู้เข้าข่ายที่ควรรับการตรวจ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อยและสามารถรักษาตัวได้ด้วยตนเอง แม้ว่ากรมควบคุมโรคติดต่อจะได้กำหนดลักษณะชองผู้ที่ควรได้รับการตรวจ COVID-19 การตัดสินใจขึ้นอยู่กับหน่วยงานท้องถิ่นหรือโรงพยาบาลนั้นๆ ดังนั้น หากสงสัยว่าอาจติดเชื้อ coronavirus เช่น มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ หรือมีประวัติใกล้ชิดผู้ที่สงสัยติดเชื้อ COVID-19 ควรติดต่อไปยังสถานพยาบาลในพื้นที่และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ สถิติผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในเอเชีย สถานการณ์ COVID-19 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 ยังถือว่าเป็นที่น่ากังวลในหลายประเทศทั่วโลก บางประเทศสามารถกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการระบาดได้ บางประเทศยังอยู่ในวิกฤต บทความนี้จะเจาะไปที่ประเทศในทวีปเอเชียที่น่าสนใจในการเผชิญกับวิกฤตในครั้งนี้ โดยเน้นประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงสุด 20 ประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านของไทย จีน จีนเป็นประเทศจุดเริ่มต้นของการระบาดครั้งนี้และยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 สูงที่สุดในทวีปเอเชีย โดยยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.พ. และเริ่มชะลอตัวในเดือน ม๊.ค. แม้ว่าหลายฝ่ายจะยอมรับว่ามาตรการเด็ดขาดของจีนเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่า จีนยังไม่ควรประมาท เพราะ coronavirus อาจจะกลับมาระบาดได้อีกครั้ง หากประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ จำนวนผู้ติดเชื้อ 82,465 คน (3/4/2563) อิหร่าน อิหร่านเป็นอีกประเทศที่มีการระบาดอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ากิจกรรมทางศาสนาเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาด เช่น ศาสนสถานแห่งหนึ่งในเมืองกอมทางใต้ของกรุงเตหะรานที่ประชาชนจำนวนมากเข้าไปสักการะ และมีการสัมผัสและจูบผิวของศาสนสถาน ปัจจุบัน จำนวนผู้ติดเชื้อในอิหร่านยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีบุคคลสำคัญของประเทศ เช่น นักการเมือง ติดเชื้อและเสียชีวิตด้วย COVID-19 จำนวนผู้ติดเชื้อ 50,468 คน (3/4/2563) ตุรกี ตุรกีประกาศยืนยันพบผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 เป็นรายแรกเมื่อวันที่ 11 มี.ค.63 ซึ่งเป็นชายที่เพิ่งเดินทางกลับจากยุโรป หลังจากนั้น อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในตุรกีก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นับเป็นประเทศที่มีอัตราเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อสูงสุดในโลก ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าสาเหตุคือ การเริ่มการตรวจหาผู้ติดเชื้อและการออกมาตรการระงับการเดินทาง และการปฏิสัมพันธ์ของคนในสังคม เริ่มต้นขึ้นช้ากว่าที่ควร จำนวนผู้ติดเชื้อ 18,135 คน (3/4/2563) เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 เกาหลีใต้เคยประสบปัญหาการระบาดของ MERS (Middle East respiratory syndrome) จากบทเรียนครั้งนั้น ทำให้เกาหลีใต้้รู้ว่าสิ่งที่ต้องทำคือ การผลิตอุปกรณ์ตรวจคัดกรองให้มากที่สุดเพื่อตรวจหาและแยกตัวผู้ติดเชื้อออกจากสังคมให้เร็วที่สุด และการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการระบาด ซึ่งแนวปฏิบัตินี้ ทำให้เกาหลีใต้สามารถชะลอการระบาดของ coronavirus ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อ 10,062 คน (3/4/2563) มาเลเซีย มาเลเซียมีการออกมาตรการต่างๆ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตามความท้าทายหนึ่งของประเทศนี้คือ ปัญหาผู้ลี้ภัยกว่า 180,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพม่าและกว่า 80,000 คนยังไม่มีการลงทะเบียนและข้อมูลใดๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจจะไม่สามารถเข้าถึงการคัดกรองและการรักษา ทำให้การควบคุมการระบาดเป็นไปได้ยาก จำนวนผู้ติดเชื้อ 3,116 คน (3/4/2563) ฟิลิปปินส์ แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่หากดูจากพื้นที่ของประเทศแล้ว ฟิลิปปินส์มีจำนวนผู้ติดเชื้อค่อนข้างเยอะ ทำให้ประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เต ต้องใช้มาตรการเด็ดขาดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนไม่ออกจากบ้าน รวมถึงการให้อำนาจผู้รักษากฏหมายในการสังหารผู้ที่ขัดขืนได้ทันที จำนวนผู้ติดเชื้อ 2,633 คน (3/4/2563) ญี่ปุ่น ในช่วงแรก ญี่ปุ่นทำให้หลายคนประหลาดใจกับจำนวน ผู้ติดเชื้อที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการพยายามรักษาระดับจำนวนผู้ติดเชื้อ เพื่อป้องกันการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวและการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นก็หนีไม่พ้นชะตากรรม และต้องเริ่มต้นใช้มาตรการปิดประเทศและควบคุมประชากรเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ จำนวนผู้ติดเชื้อ 2,617 คน (3/4/2563) อินเดีย อินเดีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน เพราะทั้งพื้นที่ ความหนาแน่นของประชากร วิถีชีวิตของประชากร ฯลฯ อินเดียกลับมีจำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่าหลายๆ ประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐบาลอินเดียก็ไม่นิ่งนอนใจ มีการบังคับใช้มาตรการปิดเมือง การยกเลิกการเดินทางและบริการต่างๆ ฯลฯ จำนวนผู้ติดเชื้อ 2,301 คน (3/4/2563) เวียดนาม – กัมพูชา – พม่า – ลาว ประเทศเพื่อนบ้านสี่ประเทศนี้ แม้ว่าบางประเทศจะมีพรมแดนติดกับจีน และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกในช่วงเริ่มต้นการระบาด แต่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมีจำนวนต่ำมากในระดับหลักสิบและหลักร้อย ไม่น่าแปลกใจที่หลายฝ่ายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวเลขที่ทางการรายงาน จึงเป็นกลุ่มประเทศที่ไทยควรจะต้องจับตามอง เพราะไทยมีพรมแดนที่เชื่อมต่อกับทั้ง 4 ประเทศนี้ ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-feb2020.pdf
นานาสาระน่ารู้

โลกเปลี่ยน คนปรับ เตรียมคนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในโลกหลังโควิด-19
โรคระบาดโควิด-19 อาจเป็นสิ่งนำโชคในสถานการณ์ที่เลวร้าย (Blessing in Disguise) ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย ทั้งใน “เชิงโครงสร้าง” และ“เชิงพฤติกรรม” โควิด-19 ก่อให้เกิดโลกใหม่ที่ย้อนแย้งในตัวเอง กล่าวคือ ในขณะที่แต่ละคนต้องทิ้งระยะห่างทางกายภาพแต่กลับต้องอิงอาศัยกันมากขึ้น ปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในเชิงกายภาพอาจจะลดลงแต่ปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในโลกเสมือนกลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย Many 2 Many ที่เพิ่มขึ้นในโลกเสมือนจะถูกเติมเต็มด้วย Mind 2 Mind ทั้งนี้เนื่องจากในโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างสนิท การกระท าของบุคคลหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบได้ทั้งทางบวกและทางลบต่อผู้อื่นไม่มากก็น้อย จนอาจกล่าวได้ว่า “จํากนี้ไป ผู้คนในโลก สุขก็จะสุขด้วยกัน ทุกข์ก็จะทุกข์ด้วยกัน”
ดาวน์โหลด link1 | link2
เอกสารเผยแพร่

โลกเปลี่ยน คนปรับ “สังคมของพวกเรา” ในโลกหลังโควิด
โลกมีพลวัตอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่จะมีนานๆ ครั้งที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน การเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ก่อให้เกิดการจบสิ้นของบางสิ่ง พร้อมๆ กับการอุบัติขึ้นของสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านั้น การเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนจนไม่เหลือเค้าโครงสร้างเดิมในทางชีววิทยาเรียกว่า “การปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง” (Metamorphosis) ดังเช่น ตัวหนอนที่ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นดักแด้ ก่อนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองอีกครั้งเป็นผีเสื้อในที่สุด การเปลี่ยนแปลงในพลวัตของโลก ก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากการเปลี่ยนแปลงจากตัวหนอนเป็นผีเสื้อ นี่คือปรากฏการณ์ที่อาจเรียกว่า “การปรับโครงสร้างโลก” (Global Metamorphosis) ภายใต้การปรับโครงสร้างโลก อารยธรรมกำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน ที่มิได้มีแต่เพียงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่เท่านั้น แต่เกิดการปฏิวัติทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ขนานใหญ่ตามมา... และนี่คือที่มาของการอุบัติขึ้นของ “สังคมของพวกเรา” ในโลกหลังโควิด
ดาวน์โหลด link1 | link2
เอกสารเผยแพร่