ผลการค้นหา :
สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีอัปไซเคิลน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ หอมกรุ่น กลมกล่อมสไตล์เอเชีย
โดยทั่วไปในกระบวนการผลิตลูกชิ้นจากเนื้อปลาจะมีน้ำที่ได้จากการต้มลูกชิ้นมากกว่า 3-6 ตันต่อวัน ซึ่งโรงงานจะเก็บน้ำส่วนหนึ่งไว้ในห้องเย็นเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการประเภทจัดเลี้ยงหรือร้านอาหารที่ต้องการใช้น้ำชนิดนี้ทำอาหาร อย่างไรก็ตามความต้องการเหล่านั้นยังคงไม่มากพอ ส่งผลให้โรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการบำบัดน้ำทิ้งโดยเปล่าประโยชน์เป็นประจำทุกวัน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการแปรรูปน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ ประเภทพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) กลิ่นหอมกรุ่น รสกลมกล่อมสไตล์เอเชีย เหมาะแก่การผลิตเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ
[caption id="attachment_58247" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลารูปแบบต่าง ๆ[/caption]
[caption id="attachment_58245" align="aligncenter" width="750"] ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์, ดร.ยุวเรศ มลิลา และคุณญาณี ศรีมารุต (ซ้าย-ขวา)[/caption]
คุณญาณี ศรีมารุต ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยด้านการลดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม ทีมวิจัยได้ดำเนินการพัฒนากระบวนการผลิตหัวน้ำซุปปลาจากน้ำต้มลูกชิ้นขึ้นด้วยกระบวนการทำเข้มข้นที่อุณหภูมิต่ำเพื่อรักษากลิ่นรสของวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร นอกจากนี้ยังนำน้ำซุปไปเข้ากระบวนการสเตอริไลซ์เพื่อยืดอายุได้โดยไม่เสียรสชาติ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นเก็บรักษาในบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องแช่เย็นและใส่สารกันบูดได้นานกว่า 1 ปี เหมาะแก่การผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทีมวิจัยได้จดความลับทางการค้าเรียบร้อยแล้ว และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งนี้ในขั้นตอนของการทดลองขยายขนาดการผลิตทีมวิจัยได้รับทุนจากโครงการสนับสนุนเร่งการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (Research gap fund) ประจำปีงบประมาณ 2563
ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้ออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์ไว้ที่ปริมาตร 150 กรัมต่อซอง ใช้เป็นหัวน้ำซุปสำหรับทำน้ำแกงได้ประมาณ 5 ถ้วย หรือใช้ทำชาบูได้ 1 มื้อ (2-3 คน) ทั้งนี้การออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์สามารถปรับได้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบการผลิตเป็นซองขนาดเล็กสำหรับบริโภค 1 คนต่อ 1 มื้อ หรือเป็นบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่สำหรับจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารหรือร้านจัดเลี้ยง ซึ่งหัวน้ำซุปแบบ RTC จะช่วยให้ผู้ประกอบการรักษาความคงที่ของรสชาติอาหาร ลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บวัตถุดิบสด และระยะเวลาการต้มน้ำซุป รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต อาทิ แรงงาน เชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี
ผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นในประเทศไทยรวมถึงอีกหลายประเทศทั่วโลก และจะยิ่งเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้นหากผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านั้น ‘ช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบาย’
ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า ในปี 2566 ผลิตภัณฑ์น้ำซุปใสมีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึงราว 1.8 แสนล้านบาท (4.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยในช่วงปี 2567-2576 มีแนวโน้มอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ปีละ 5.1% โดยหน่วยงานด้านการวิเคราะห์มูลค่าทางเศรษฐกิจได้ประมาณการไว้ว่าในปี 2576 ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 2.3 แสนล้านบาท (6.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากผลิตภัณฑ์เป็น clean label หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร (เช่น ผงชูรส สารแต่งกลิ่นรส สารแต่งสี สารกันบูด) และเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท RTC จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับตนเอง เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ รวมไปถึงผู้ที่มองหาผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารที่ใช้งานได้สะดวก สามารถจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุ ที่สำคัญผลิตภัณฑ์อาหารที่ให้กลิ่นรสแบบเอเชียยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศซึ่งมีกำลังซื้อสูง อาทิ ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์นี้มีแนวโน้มที่จะมีศักยภาพในการทำการตลาดทั้งในไทย (ตลาดพรีเมียม) และต่างประเทศ
“นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์หัวน้ำซุปปลาเข้มข้นที่ปัจจุบันพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ขณะนี้ทีมวิจัยยังพร้อมเปิดรับโจทย์วิจัยการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารประเภทน้ำซุปและน้ำแกงในระดับอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อร่วมวิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งด้านความคุ้มค่าในการผลิตและโอกาสทางการตลาดก่อนลงทุนทำวิจัยได้” ดร.ยุวเรศกล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล bbd@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เอ็มเทค สวทช. ต่อยอด ‘Ve-Chick’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทาน แค่ฉีกซอง ก็อิ่มอร่อยได้ทันที
‘อาหารดี’ ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อม คือ เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาวะที่ดี (well-being) 3 ด้าน ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะบทบาทของอาหารแห่งอนาคตไม่ควรตอบโจทย์ได้เพียงความอิ่มอร่อย แต่ควรดีต่อร่างกาย และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเกินความจำเป็น นอกจากนี้หากมองในมุมเศรษฐกิจ อาหารไทยยังมีศักยภาพที่จะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ก่อให้เกิดเงินตราสะพัดในระบบ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และการท่องเที่ยวของประเทศตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้อีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยความสำเร็จในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทานในรูปแบบซอง ที่แค่ฉีกเปิดซองก็อิ่มอร่อยได้ทันที ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้พกพาสะดวก ไม่ต้องแช่แข็ง เก็บได้นานถึง 1 ปี
[caption id="attachment_57961" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า Ve-Chick เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลือง ที่ทีมวิจัยเปิดตัวผลงานและเปิดรับถ่ายทอดเทคโนโลยีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2564 โดยผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบแรกที่เปิดตัว คือ รูปแบบ premix ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แบบผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่รูปแบบต่าง ๆ ก่อนนำไปปรุงเป็นอาหาร และรูปแบบ precook ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อไก่พร้อมนำไปปรุงเป็นอาหารต่อทันที (ready-to-cook : RTC) และยังผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานในรูปแบบแช่แข็ง (frozen food) ที่เพียงแค่นำไปอุ่นร้อนก็อิ่มอร่อยได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงมือปรุงได้อีกด้วย
“ผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นด้านการมีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อไก่จริง แต่ปราศจากคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจพบได้ในเนื้อไก่ ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์มาได้ประมาณ 3 ปี ทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการไปแล้ว 3 แห่ง คือบริษัทปรายา จำกัด, บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Green Spoons) และบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Gin Zhai และ FoodFill)”
ทั้งนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ทีมวิจัยไม่ได้มุ่งเป้าตอบโจทย์เพียงเทรนด์ ‘อาหารดี’ 3 ด้าน ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ ‘ดีที่ 4 หรือดีต่อเวลา’ เพิ่มเติมด้วย โดยทีมวิจัยได้พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick สู่ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เป็น ‘อาหารประเภทพร้อมรับประทาน (ready-to-eat : RTE)’ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบและมองหาความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้น โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ประมาณการไว้ว่าในช่วงปี 2567-2569 ประเทศไทยจะมีปริมาณการจำหน่ายอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 3-4% และมีปริมาณการส่งออกอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 5-6%
ดร.กมลวรรณ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชรูปแบบ RTE จนประสบความสำเร็จในระดับ TRL6-7 หรือพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการเรียบร้อยแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ Ve-Chick รูปแบบ RTE ที่พัฒนาขึ้นนี้ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารประเภทที่ฆ่าเชื้อด้วยเครื่องรีทอร์ต (retort) ซึ่งใช้แรงดันและอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียสฆ่าเชื้อโรค โดยไม่ทำให้อาหารมีลักษณะเนื้อสัมผัสและกลิ่นรสที่เปลี่ยนแปลงไป และเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการรังสรรค์อาหารเมนูต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ รวมถึงเลือกใช้กรรมวิธีในการปรุงอาหารได้หลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เมนูผัด หรือแกงกะทิ ดังตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ทีมวิจัยพัฒนาไว้แล้วอย่าง ‘กะเพราไก่สับจากโปรตีนพืช’ และ ‘แกงเขียวหวานไก่จากโปรตีนพืช’
“Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อใจ เพราะมีรสชาติที่อร่อยและเนื้อสัมผัสสมจริง เป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเนื้อไก่จากโปรตีนพืชสำหรับผลิตภัณฑ์ RTE มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 20 หรือเทียบเท่าเนื้อไก่ แต่มีปริมาณใยอาหารสูงกว่า และปราศจากคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตแข่งขันกับเวลาอีกด้วย เพราะแค่ฉีกซองก็รับประทานได้ทันที หรือจะอุ่นร้อนเพื่อเสริมความอร่อยก็ได้เช่นกัน ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์มาติดบ้านเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเสีย เพราะเก็บได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ที่สำคัญกระบวนการผลิตและเก็บรักษาอาหารประเภทนี้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าอาหารจากเนื้อไก่จริง”
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุนเครื่องจักรราคาสูง เพราะกระบวนการผลิตทั้งหมดผ่านการวิจัยและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘ผู้ประกอบการไทยในระดับ SME ต้องเข้าถึงได้’
ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นวัตถุดิบที่หาซื้อได้ทั่วไปในประเทศ ส่วนเครื่องจักรที่ใช้ผลิตก็เป็นเครื่องจักรราคาจับต้องได้ที่ใช้งานอยู่ทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหารไทย ดังนั้นหากผู้ประกอบการยังไม่มีเครื่องจักรเป็นของตนเองและไม่พร้อมจะลงทุน ก็สามารถจ้างโรงงานผลิตอาหารทั่วไปในการผลิตได้
“ทั้งนี้เทรนด์อาหารดีที่ดีต่อทั้งใจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเวลา ไม่ได้เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น Ve-Chick รูปแบบ RTE อาจเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยนำเมนูอาหารไทยไปสร้างซอฟต์พาวเวอร์ในระดับนานาชาติได้ เพราะปัจจุบันแม้จะเริ่มมีผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบ RTE จำหน่ายแพร่หลายแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์ RTE ที่เป็นอาหารโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงยังคงมีน้อย ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังมีความต้องการสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Chick ทั้งแบบ premix, RTC, frozen food และ RTE ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ประกอบการที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารติดต่อได้ผ่านแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช. อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แนะนำข้อมูลเปิดภาครัฐ – การเปิดเผยชุดข้อมูล
ขั้นตอนการเปิดเผยชุดข้อมูลสำหรับข้อมูลเปิดภาครัฐ
จากบทความแนะนำข้อมูลเปิดภาครัฐ หลังจากพิจารณาเตรียมข้อมูลเพื่อเปิดเผย ต่อไปเป็นขั้นตอนเปิดเผยชุดข้อมูล ที่หน่วยงานจะต้องดำเนินการเพื่อเปิดเผยสู่สาธารณะ โดยมีทั้งหมด 10 ขั้นตอน
ขั้นตอน 1 สำรวจชุดข้อมูลที่มีอยู่ในหน่วยงาน
พิจารณาในหน่วยงานของท่านว่า มีการทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) แล้วหรือไม่
กรณี หน่วยงานมีการทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance)
- เข้าไปดูที่ Data Catalog ที่ได้จัดทำไว้ และนำข้อมูลที่ถูกจัดชั้นความลับว่าเป็น “ข้อมูลสาธารณะ” แล้วนำเข้าสู่ ขั้นตอน 2 เพื่อพิจารณาเพิ่มเติมชุดข้อมูลที่ ควรนำมาเปิดเผย
กรณี หน่วยงานไม่มีการทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance)
- ให้ทำการสำรวจข้อมูลภายในหน่วยงาน ให้นำข้อมูลที่เป็น “ข้อมูลสาธารณะ” สามารถเปิดเผย ไปพิจารณาเพิ่มเติมตาม ขั้นตอน 2
ขั้นตอน 2 พิจารณาชุดข้อมูลที่ควรจะนำมาเปิด
หลังจากได้ “ข้อมูลสาธารณะ” มาแล้ว ก็ต้องมาระบุชุดข้อมูลที่จะนำไปเปิดเผยว่าเป็นชุดข้อมูลประเภทใด มีความสำคัญอย่างไร และนำไปใช้ในทิศทางใด โดยพิจารณาตาม
ลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
กฎหมายกำหนดให้เปิดเผย เช่น ข้อมูลแผนงาน โครงการ สัญญาสัมปทาน
เปิดตามภารกิจของหน่วยงาน เช่น ข้อมูลเชิงสถิติการให้บริการ
มีประโยชน์ต่อผู้พัฒนาในการนำไปพัฒนาบริการภาครัฐ เช่น ข้อมูลสถิติต่าง ๆ
มีประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ใช้งาน เช่น ข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท ข้อมูลการขนส่ง ข้อมูลการเกิดอาชญากรรม
สร้างความโปร่งใส คือ ผู้ใช้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อป้องกันการทุจริต เช่น ข้อมูลด้านงบประมาณ ค่าใช้จ่ายของภาครัฐ และการจัดซื้อจัดจ้าง
ขั้นตอน 3 จัดลำดับความสำคัญ
โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
คุณค่าของแต่ละชุดข้อมูล
คุณภาพของชุดข้อมูล
การบริหารจัดการของชุดข้อมูลเปิด
หากมีคุณค่าสูง ข้อมูลที่มีอยู่มีคุณภาพ และอยู่ในรูปแบบที่สามารถเปิดเผยได้ ก็ควรพิจารณาให้เปิดเผยก่อน
ขั้นตอน 4 การรวบรวมจัดทำชุดข้อมูล
เนื่องจากข้อมูลอาจจะมาจากหลายส่วนงานภายใน จึงต้องมีการจัดทำออกมาเป็นชุดข้อมูลก่อนเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอน 5 การจำแนกประเภทข้อมูลและตัวอย่าง
ต้องทำให้มั่นใจก่อนว่า ข้อมูลที่จะนำมาเปิดเผยถูกจำแนกว่าเป็นข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้ โดยสามารถพิจารณาตามคำถามต่อไปนี้
เป็นข้อมูลเปิดตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ใช่หรือไม่
หากใช่ สามารถเปิดเผยได้
หากไม่ใช่ ให้พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงฯ ตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และพ.ร.บ.ข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ. 2562ใช่หรือไม่
หากใช่ ไม่สามารถเปิดเผยได้
หากไม่ใช่ ให้พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
เป็นข้อมูลส่วนบุคคลฯ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540ใช่หรือไม่
หากใช่ ให้พิจารณาว่าได้รับอนุญาตให้เปิดเผยได้ ใช่หรือไม่
หากใช่ สามารถเปิดเผยได้
หากไม่ใช่ ไม่สามารถเปิดเผยได้
หากไม่ใช่ ให้พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
เป็นข้อมูลที่มีกฎหมายเฉพาะให้เปิดเผย ใช่หรือไม่
หากใช่ สามารถเปิดเผยได้
หากไม่ใช่ ไม่สามารถเปิดเผยได้
ทั้งนี้หลังจากจำแนกชุดข้อมูล จะต้องพิจารณาเรื่องต่อไปนี้ด้วย
คุณภาพของชุดข้อมูล ชุดข้อมูลที่คุณภาพต่ำไม่ควรนำมาเปิดเผยหรือเผยแพร่จนกว่า จะมีการควบคุมคุณภาพของข้อมูลให้สูงขึ้นในระดับที่ยอมรับให้เปิดเผยได้
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ข้อมูลเปิดภาครัฐจะต้องไม่มีข้อห้ามเรื่องลิขสิทธิ์สิทธิบตัรเครื่องหมายการค้า หรือข้อจ ากัดในเชิงการค้า (Open License) ในการนำชุดข้อมูลดังกล่าว ไปเปิดเผย และสามารถใช้งานได้โดยอิสระ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
ขั้นตอน 6 การเตรียมความพร้อมก่อนนำขึ้นเผยแพร่
ทำให้อยู่ในรูปแบบเปิด ทำให้อยู่ในรูปแบบเปิดมากที่สุด เช่น มีชุดข้อมูลอยู่ในไฟล์ .pdf ก็ให้ทำการแปลงเป็นไฟล์รูปแบบอื่น เพื่อทำให้เครื่องอ่านได้ เช่น .csv
การแปลงไฟล์ ที่ทำให้สามารถเปิดเผยได้
ตรวจสอบคุณภาพ – กำจัดข้อมูลซ้ำ ทำให้ไม่มีข้อมูลว่าง
ตรวจสอบความต้องกัน – รูปแบบวันที่ รูปแบบเวลา
ตรวจสอบมาตรฐาน – รหัสมาตรฐาน เช่น UN/LOCODE
กำหนดความถี่ในการปรับปรุง กำหนดว่าชุดข้อมูลนี้ ต้องปรับปรุงหรือไม่ หากมี ความถี่เป็นอย่างไร จะใช้วิธีใดในการปรับปรุง
Metadata ต้องมีการจัดทำเมทาดาตาเพื่อความสะดวกกับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นความต้องการขั้นต่ำในการเปิดเผยชุดข้อมูลเปิด
ขั้นตอน 7 การขออนุมัติ
การเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐจะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐในการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ
ขั้นตอน 8 เปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐผ่านช่องทาง
มี 2ช่องทาง หลัก ๆ ที่แนะนำเพื่อให้ข้อมูลไม่ซ้ำซ้อนกัน
ผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการเผยแพร่ชุดข้อมูลให้เป็นไปตามกลุ่มข้อมูลเปิดภาครัฐที่ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐได้มีการกำหนดไว้ โดย สพร.
ผู้พัฒนาศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ (Data.go.th) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานสามารถนำข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้มาเปิดเผย
ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานเอง หากหน่วยงานของรัฐมีชุดข้อมูลที่เปิดเผยไปแล้วผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานเอง ผู้รับผิดชอบในการนำข้อมูลเปิดของหน่วยงานสามารถ
เชื่อม API มาที่ทางแพลตออร์มที่ สพร. มีให้บริการได้
ขั้นตอน 9 การวัดผล
ต้องกำหนด “แผนการวัดผล” เพื่อนำแผนการไปปรับปรุง และพัฒนาข้อมูลเปิดภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น
กำหนดแผนปรับปรุง ชุดข้อมูลที่นำขึ้นเปิดเผยแล้ว (Existing Datasets) โดยพิจารณาจาก
ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับชุดข้อมูล
ข้อร้องเรียน
กำหนดแผนการนำเข้าชุดข้อมูลใหม่ ๆ โดยพิจารณาชุดข้อมูลที่มีแนวโน้มควรเปิดเผย (Potential Datasets) ตัวอย่างข้อมูลเหล่านี้ หาได้จาก
ชุดข้อมูลภายในประเทศที่มีคนต้องการ แต่ยังไม่มีการเปิดเผย
ชุดข้อมูลที่มีคุณค่าของต่างประเทศ
ชุดข้อมูลที่ถูกนำไปใช้พัฒนาบริการต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ขั้นตอน 10 การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ผลที่ได้จาก ขั้นตอน 8 ต้องนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลที่ได้มีการเปิดเผยไปแล้วมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีหลักการปรับปรุงเบื้องต้นดังนี้
แก้ไข ปรับปรุง ข้อมูลเดิม ที่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่
ปรับปรุง ข้อมูลเดิมให้มีคุณภาพมากขึ้น
เพิ่มชุดข้อมูลตามความต้องการของผู้ใช้
เพิ่มชุดข้อมูลให้ทันสมัย
กำหนดเป้าหมายให้เปิดเผยเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี
จัดทำ High Value Datasets
แหล่งข้อมูล : https://www.dga.or.th/wp-content/uploads/2021/03/ราชกิจจานุเบกษา_เปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลต่อสาธารณะ.pdf
นานาสาระน่ารู้
แนะนำข้อมูลเปิดภาครัฐ – คุณลักษณะและการประเมินความพร้อม
ข้อมูลเปิดภาครัฐ
ข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยต่อสาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงและใช้ได้อย่างเสรี ไม่จำกัดแพลตฟอร์ม ไม่เสียค่าใช้จ่าย เผยแพร่ ทำซ้ำหรือใช้ประโยชน์ได้โดยไม่จำกัดวัตถุประสงค์
คุณลักษณะแบบเปิด โดยคุณลักษณะของไฟล์ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ จากเจ้าของข้อมูล สามารถเข้าถึงได้อย่างเสรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใช้งานหรือประมวลผลได้หลากหลายซอฟต์แวร์
ประโยชน์ของการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ
ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารประเทศ
ช่วยสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารประเทศ
ขั้นตอนสำคัญของการเตรียมข้อมูลเพื่อเปิดเผย
ขั้นตอนที่ 1 การพิจารณาคุณลักษณะข้อมูลเปิดภาครัฐ คุณลักษณะข้อมูลเปิดภาครัฐ 10 ประการ ที่จะนำมาเปิดเผย ควรมีลักษณะดังนี้
สมบูรณ์ (Complete) คือ ข้อมูลเปิดต้องพร้อมใช้งาน และไม่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลความมั่นคง หรือมีข้อยกเว้นในการเปิดเผยข้อมูล
ปฐมภูมิ (Primary) คือ ข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลโดยตรง ไม่มีการปรับแต่ง หรืออยู่ในรูปแบบข้อมูลสรุป
เป็นปัจจุบัน (Timely) คือ ข้อมูลต้องเป็นปัจจุบัน และเปิดเผยในเวลาที่เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อเพิ่มประโยชน์ให้กับผู้ใช้ข้อมูล
เข้าถึงได้ง่าย (Accessible) คือ ข้อมูลต้องเข้าถึงได้ง่าย ผู้ใช้ข้อมูลสามารถค้นหา เข้าถึง และใช้งานชุดข้อมูลได้หลายช่องทาง
อ่านได้ด้วยเครื่อง (Machine-readable) คือ ข้อมูลต้องมีโครงสร้าง สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง และนำข้อมูลไปใช้งานต่อได
ไม่เลือกปฏิบัติ (Non-discriminatory) คือ ผู้ใช้ข้อมูลต้องสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องระบุตัวตน หรือเหตุผลของการนำไปใช้งาน
ไม่จำกัดสิทธิ (Non-proprietary) คือ ข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบมาตรฐานเปิดที่สามารถใช้ได้หลายแพลตฟอร์ม และต้องไม่ถือครองกรรมสิทธิ์หลังจากนำข้อมูลเปิดไปใช้ประโยชน์
ปลอดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (License-free) คือ ข้อมูลต้องไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือความลับทางการค้า
คงอยู่ถาวร (Permanence) คือ ข้อมูลต้องสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา และมีการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของชุดข้อมูล
ไม่มีค่าใช้จ่าย (Free of charge) คือ ผู้ใช้ข้อมูลต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงข้อมูล
ขั้นตอนที่ 2 ประเมินความพร้อมของการเปิดเผยข้อมูล ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนถัดไปหรือ กระบวนการเตรียมการเปิ ดเผยข้อมูล จะต้องประเมินความพร้อมของการเปิดเผยข้อมูลภายในหน่วยงาน โดยจะประเมินจาก 5 กิจกรรมนี้
การบริหารจัดการข้อมูลเปิด จัดทำแผนในการบริหารจัดการและเปิดเผยข้อมูล
การสร้างองค์ความรู้และทักษะ จัดกิจกรรมส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐภายในหน่วยงาน
การสนับสนุนและส่งเสริมการนำข้อมูลไปใช้ ส่งเสริมให้เกิดการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
งบประมาณ กำหนดงบประมาณที่จำเป็นต่อการเปิดเผย
การกาหนดกลยุทธ์ กำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน
หลังจากผ่านการเตรียมการทั้ง 2 ขั้นตอนแล้ว สามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เพื่อเตรียมการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ
แหล่งข้อมูล : https://www.dga.or.th/wp-content/uploads/2021/03/ราชกิจจานุเบกษา_เปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลต่อสาธารณะ.pdf
นานาสาระน่ารู้
ชาร์จแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนอย่างไรให้ใช้ได้ยืนยาว ?
หากต้องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสามารถปฏิบัติดังนี้
• ไม่ควรใช้แบตเตอรี่จนหมด และต้องชาร์จจาก 0% บ่อยๆ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว
• การชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ข้ามคืนจะมีผลต่ออายุการใช้งานบ้างเล็กน้อยถึงน้อยมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และระบบในการชาร์จ
• การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้วทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ใช้งานจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานานควรชาร์จแบตเตอรี่ไว้เพียงครึ่งเดียว แต่ถ้าใช้งานเป็นประจำสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ แต่ควรใช้และชาร์จแบตเตอรี่สลับไปมาอย่างเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องให้แบตเตอรี่อยู่ในสถานะที่เต็มอยู่ตลอดเวลา
• ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่และใช้งานพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่คือ อุณหภูมิ กระแส และแรงดันในการชาร์จ ดังนั้นการชาร์จแบตเตอรี่ให้ปลอดภัย และถนอมแบตเตอรี่มีข้อแนะนำดังนี้
• เลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่ โดยเลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จที่ได้รับการรับรองว่าใช้กับอุปกรณ์นั้นๆ โดยเฉพาะ
• ไม่ควรใช้อุปกรณ์ที่ห่อหุ้ม (เช่น เคสมือถือ) ที่ไม่สามารถระบายความร้อนได้ หรือหากใช้ ควรเลือกใช้อุปกรณ์ห่อหุ้มที่สามารถระบายความร้อนได้บ้าง และไม่ควรวางอุปกรณ์พร้อมแบตเตอรี่ที่กำลังชาร์จในพื้นที่ปิดหรือไม่มีการระบายความร้อน เช่น ใต้หมอน ใต้ผ้าห่ม
• ไม่ชาร์จแบตเตอรี่ในสถานที่ที่มีความร้อนสูง เช่น ชาร์จทิ้งไว้กลางแดด
ข้อมูลจาก : ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.
อ้างอิงข้อมูลจาก MTEC
นานาสาระน่ารู้
บทความ
SageMath Opensource Software สำหรับนักคณิตศาสตร์
SageMath เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ใช้สำหรับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ที่สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งาน และผู้ใช้สามารถเข้าถึงและแก้ไขโค้ดได้ตามต้องการ มันรวมฟังก์ชันจากหลายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น MATLAB, Maple, Mathematica, และ R โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ SageMath ใช้ภาษา Python เป็นหลักในการเขียนโค้ด ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมและง่ายต่อการเรียนรู้ โดยมีคุณสมบัติสำคัญคือ
การคำนวณพีชคณิตและการแก้สมการ
การวิเคราะห์เชิงตัวเลขและสถิติ
การสร้างกราฟและการวิเคราะห์ทางเรขาคณิต
การจัดการกับโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น พื้นที่เวกเตอร์, แมทริกซ์, และวงแหวน
การใช้ SageMath สามารถทำได้ผ่านทางกราฟิก (SageMath Notebook) หรือผ่านทางใช้คำสั่ง (SageMath Command Line) นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันที่สามารถใช้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ที่เรียกว่า SageMathCloud หรือ CoCalc ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันและเข้าถึงเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ได้จากทุกที่
นานาสาระน่ารู้
แกะกล่องงานวิจัย : ชีวภัณฑ์ NPV ปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา #หนอนเริ่มบุกอีกแล้วนะ เตรียมรับมือกันหรือยัง
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
มันสำปะหลัง เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยที่มีมูลค่าการส่งออกในปี 2565 มากกว่า 1.5 แสนล้านบาท แต่กระนั้นในปี 2567 นี้ เกษตรกรกลับต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เพราะศัตรูพืชตัวร้ายอย่าง ‘หนอนกระทู้หอม’ และ ‘หนอนกระทู้ผัก’ ได้บุกเข้ากัดกินจนต้นมันสำปะหลังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกษตรกรตั้งรับได้ไม่ทัน ‘สารเคมี’ จึงกลายมาเป็นตัวเลือกแรกในการแก้ปัญหา
อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีไม่ได้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะหนอนศัตรูพืชกลุ่มนี้มีการพัฒนาจนมีอัตราการดื้อยาค่อนข้างสูง ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีในปริมาณที่มากขึ้น หรือต้องเปลี่ยนไปใช้สารชนิดใหม่ที่มีความรุนแรงกว่าเดิม ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านต้นทุนการผลิต และการเป็นอันตรายต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ในการนี้ สวทช. จึงขอเสนอชีวภัณฑ์ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในหนอนแมลงให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการในการปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา โดยไวรัสชนิดนี้จะทำให้หนอนที่กินไวรัสเข้าไปป่วย กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ทำให้เกิดการดื้อยา อีกทั้งยังไม่มีสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม
📌 2) ดีอย่างไร ?
ไวรัสเอ็นพีวีเป็นไวรัสที่มีความจำเพาะกับสายพันธุ์ของหนอน จึงไม่ก่อให้เกิดการทำลายระบบนิเวศเกินความจำเป็น ลดการสร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
การใช้งานทำได้ง่าย เพียงผสมไวรัสเอ็นพีวีกับน้ำสะอาดตามสัดส่วนที่กำหนดแล้วฉีดพ่นให้ทั่วใบตามความถี่ที่เหมาะสม ปัญหาหนอนบุกที่ต้องเผชิญอยู่จะค่อย ๆ ลดลงจนหายไปในที่สุด อย่างไรก็ตามยังคงต้องดูแลฉีดพ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันหนอนที่ติดมาจากต้นพันธุ์ใหม่หรือแมลงจากที่อื่นบินมาวางไข่
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ลดละเลิกการใช้สารเคมีอันตราย เพื่อสุขภาวะที่ดีของแรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่เพาะปลูก ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว จากการลดปริมาณสารกำจัดศัตรูพืช รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีทั้งทางตรงและทางอ้อม
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
ปัจจุบัน สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ NPV ให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด (06 4536 3549) และบริษัทบีไบโอ จำกัด (08 1806 1268) ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทได้โดยตรง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : รู้จัก-รู้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Mesh PV แผงโซลาร์เซลล์เสริมความแข็งแรงด้วยชั้นรองรับน้ำหนักแบบใหม่ ประยุกต์ใช้งานได้สะดวกทั้งกับอาคารและยานพาหนะ
ปัจจุบันโซลาร์เซลล์ได้รับความนิยมในการใช้งานตามบ้านเรือนอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามโซลาร์เซลล์มาตรฐานที่ผลิตและจำหน่ายทั่วไปยังมีจุดอ่อนสำคัญด้านรูปลักษณ์ที่มีลักษณะเป็น ‘แผงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ทึบแสง ต้องใช้โครงเหล็กขนาดใหญ่แข็งแรงสูงในการรับน้ำหนัก’ ส่งผลให้การออกแบบติดตั้งแผงทำได้ไม่หลากหลาย การจัดวางให้สวยงามกลมกลืนกับอาคาร บ้านเรือน หรือสภาพแวดล้อมทำได้ลำบาก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘Mesh PV (เมช พีวี)’ แผงโซลาร์เซลล์เสริมความแข็งแรงด้วยชั้นรองรับน้ำหนักแบบใหม่ เพื่อประยุกต์ใช้กับงานอาคารและยานพาหนะ
[caption id="attachment_57729" align="aligncenter" width="750"] ว่าที่ร้อยตรี นพดล สิทธิพล ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ว่าที่ร้อยตรี นพดล สิทธิพล ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. อธิบายว่า แท้จริงแล้วอุปสรรคด้านรูปลักษณ์ของแผงโซลาร์เซลล์ไม่ได้มาจากเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่มาจากกรอบโลหะที่ใช้ยึดติดองค์ประกอบของแผงเข้าด้วยกัน เพราะกรอบซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของแผงจะต้องรับน้ำหนักได้มาก แข็งแรง และทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง
“ทีมวิจัยจึงได้ออกแบบโครงสร้างสำหรับยึดองค์ประกอบแผงโซลาร์เซลล์ขึ้นใหม่ ให้มีลักษณะเป็นตาข่าย (mesh) ชนิดพิเศษที่รับน้ำหนักได้มาก มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อมในระดับทัดเทียมกับโครงสร้างที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป ใช้เสริมความแข็งแรงให้แผงโซลาร์เซลล์ได้หลายประเภท ทั้งแบบโปร่งแสงและทึบแสง แบบโค้งงอได้และแบบโค้งงอไม่ได้ และสามารถผลิตสีของตาข่ายให้กลมกลืนกับพื้นที่ที่จะติดตั้งได้อีกด้วย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Mesh PV อยู่ระหว่างขอความคุ้มครองสิทธิกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา”
[caption id="attachment_57730" align="aligncenter" width="450"] Mesh PV[/caption]
Mesh PV เหมาะกับการใช้งานทั้งกับบ้านเรือนและอาคารสูงที่ต้องรองรับแรงกระแทกจากกระแสลมรุนแรง โดยติดตั้งได้ทั้งบนดาดฟ้า ลานกลางแจ้ง หรือจะประยุกต์ใช้เป็นหลังคาทรงโค้งบริเวณแนวทางเดิน กันสาด หรือหน้าต่างบานกระทุ้งก็ได้เช่นกัน โดยหากมองไปถึงการเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าให้แก่ยานยนต์ Mesh PV ก็เหมาะอย่างยิ่งกับ camper van หรือรถบ้านสำหรับทำกิจกรรมตั้งแคมป์ และ
ฟูดทรัก (food truck) ที่ผู้ใช้งานต้องใช้ไฟฟ้าในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
ว่าที่ร้อยตรี นพดล อธิบายต่อว่า ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ Mesh PV ประสบความสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว อยู่ในขั้นตอนทดสอบประสิทธิภาพความแข็งแรงคงทนของผลิตภัณฑ์ในภาคสนามและการทดสอบตามมาตรฐาน IEC61215 ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะทดสอบแล้วเสร็จภายในปี 2567 โดยหากการทดสอบประสบความสำเร็จก็พร้อมเปิดถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ต่อทันที แต่หากมีผู้ประกอบการท่านใดสนใจผลิตภัณฑ์ Mesh PV สามารถติดต่อเพื่อร่วมวางแผนการวิจัยผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ก่อนได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินงานวิจัย และเพิ่มโอกาสผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดที่กำลังมีความต้องการสูง
“ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์จำหน่ายอยู่เดิมและสนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Mesh PV ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือก ไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าจะต้องปรับเปลี่ยนสายการผลิตใหม่ หรือไม่สามารถสั่งผลิตภายในประเทศได้ เพราะเทคโนโลยีการผลิต Mesh PV ผ่านการออกแบบให้มีขั้นตอนการผลิตที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และวัสดุที่ใช้ในการผลิตทั้งหมดหาได้สะดวกภายในประเทศไทย” ว่าที่ร้อยตรี นพดล กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) เบอร์โทรศัพท์: 0 2564 6500 หรืออีเมล info@entec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็นเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : แบตเตอรี่อุปกรณ์พกพา ปลอดภัย ยืดหยุ่นสูง
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
หนึ่งในสินค้าที่คอ IT ทั่วโลกจับตาการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ คือ wearable devices หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดสวมใส่ไว้กับร่างกาย อาทิ smart watch, หูฟังไร้สาย
แต่รู้หรือไม่ว่า จนถึงปัจจุบันผู้พัฒนายังคงต้องเผชิญข้อจำกัดในการออกแบบผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมาก เพราะแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ยังมีข้อจำกัดเรื่องไม่สามารถบิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูงได้ เพราะอาจทำให้เกิดเหตุระเบิดดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ
ในการนี้ สวทช. จึงร่วมกับ North Calorina State University พัฒนากระบวนการผลิต 'แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล (cable-shaped zinc-ion battery)’ ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดในการออกแบบอุปกรณ์ โดยแบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้งานได้กับทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดสวมใส่ไว้กับร่างกาย และอุปกรณ์ IoT ขนาดเล็ก (ใช้กำลังไฟต่ำ) ชนิดต่าง ๆ ที่ต้องการความคงทนต่อสภาพแวดล้อมสูง เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
📌 2) ดีอย่างไร ?
ปลอดภัยสูงไม่ระเบิด วัสดุทั้งหมดที่ทีมวิจัยเลือกใช้มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม ทำให้เมื่อเกิดเหตุชำรุดจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ในการผลิตยังมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นยังมี 3 จุดเด่นที่สำคัญ คือ เล็ก บิดงอได้ และน้ำหนักเบา เอื้อให้นักออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ผลงานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
การที่ประเทศไทยพัฒนาอุปกรณ์ประเภทแบตเตอรี่ได้เอง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากล ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็น 2 อุตสาหกรรมที่ในระดับตลาดโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเสมอมา
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
ปัจจุบันทีมวิจัยประสบความสำเร็จในระดับห้องทดลองแล้ว (TRL4) อยู่ในขั้นตอนการทำวิจัยเพื่อผลักดันผลงานวิจัยสู่ระดับอุตสาหกรรม
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ชวนติดตามนวัตกรรมไทย ‘แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล’ แบตเตอรี่ชนิดปลอดภัยสูง ตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด wearable devices
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
นาโนเทค สวทช. พัฒนาสเปรย์และแชมพูสมุนไพรช่วยต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมว
หนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มสัตว์เลี้ยงขนยาวอย่างสุนัขและแมว คือ ‘โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา’ โดยเมื่อสุนัขและแมวติดโรคจะแสดงอาการได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ เช่น ขนร่วงเป็นวง มีผื่นแดง มีสะเก็ดหนอง ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถติดต่อไปยังเจ้าของที่มีพฤติกรรมการเลี้ยงแบบใกล้ชิดได้อีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตต้นแบบสเปรย์และแชมพูจากสมุนไพรไทยช่วยต้านการเจริญเติบของเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมว โดยผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบแล้วว่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราก่อโรคกลุ่มสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง
[caption id="attachment_56631" align="aligncenter" width="750"] คุณวลัยลักษณ์ ชนนิยม, คุณณัฎฐิกา แสงกฤช และคุณธนัชชา ปานมา (ซ้าย-ขวา) ทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.ณัฎฐิกา แสงกฤช หัวหน้าทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยได้เลือกสมุนไพรไทย 2 ชนิดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคมาใช้ประโยชน์ สมุนไพรชนิดแรก คือ ‘กากเมล็ดชาน้ำมัน’ ผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันเพื่อใช้ประกอบอาหาร ซึ่งทีมได้รับการอนุเคราะห์วัตถุดิบสำหรับทำวิจัยจากมูลนิธิชัยพัฒนา โดยในกากเมล็ดชาน้ำมันมีสารสำคัญ คือ ‘ซาโปนิน (saponin)’ ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราก่อโรคผิวหนังชนิด Trichophyton rubrum และ Trichophyton mentagrophytes อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสมุนไพรชนิดที่สองที่นำมาใช้ คือ ‘ทองพันชั่ง’ มีสารสำคัญเด่นคือ ‘ไรนาแคนทิน (rhinacanthin)’ หรือสารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราก่อโรคผิวหนังทั้งในคนและสัตว์ อาทิ Trichophyton rubrum, Trichophyton mentagrophytes และ Microsporum gypseum
[caption id="attachment_56626" align="aligncenter" width="750"] ชาน้ำมัน[/caption]
[caption id="attachment_56625" align="aligncenter" width="750"] ทองพันชั่ง[/caption]
“ทั้งนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยได้ร่วมกับ ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. คัดเลือกชนิดของสมุนไพร การทดสอบประสิทธิภาพของสารสำคัญ และการพัฒนากระบวนการสกัดให้ได้สารประสิทธิภาพสูงในปริมาณมาก ก่อนนำสารสำคัญที่ได้มาพัฒนากระบวนการปรับสภาพให้อยู่ในรูปนาโนอิมัลชัน (nanoemulsion) ซึ่งจากกระบวนการทั้งหมดนี้จะทำให้ได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติซึมผ่านผิวหนังที่มักมีการสะสมของเชื้อราก่อโรคได้ดี รวมถึงช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และสีของสมุนไพรที่อาจติดบนเส้นขนของสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย”
ต้นแบบนาโนอิมัลชันที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นผ่านการทดสอบแล้วว่า ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ปัจจุบันทีมวิจัยนำสารที่พัฒนาขึ้นมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบแล้วสองชนิด ประกอบด้วย ‘สเปรย์’ สำหรับฉีดพ่น และ ‘แชมพู’ สำหรับอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยง
ดร.ณัฎฐิกา อธิบายถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ทั้งสองว่า การใช้งานผลิตภัณฑ์สเปรย์ เจ้าของควรทำความสะอาดบริเวณรอยโรคด้วยน้ำเกลือ ซับให้แห้ง จากนั้นจึงพ่นสเปรย์ลงบริเวณรอยโรค 1-2 ครั้งต่อวัน ร่วมกับการรักษาทางยาและควรใช้ต่อเนื่องตามสัตวแพทย์แนะนำ ส่วนผลิตภัณฑ์แชมพูอาบน้ำสัตว์เลี้ยงหากใช้เพื่อทำความสะอาด ควรใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่หากใช้เพื่อบรรเทาอาการโรคผิวหนัง ควรใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ร่วมกับการรักษาทางยา ทั้งนี้กระบวนการประเมินอาการและรักษาสัตว์เลี้ยงทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์
“ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งหมดสำเร็จและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งสองนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อสัตว์เลี้ยงด้านยับยั้งการติดโรคและลดการใช้ยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาวเท่านั้น เพราะยังมีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสัตว์เลี้ยงให้แก่เจ้าของได้อีกด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้มีราคาค่อนข้างสูง แต่ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นใช้สารสำคัญจากสมุนไพรไทยเป็นหลัก และผ่านการพัฒนากระบวนการผลิตให้ผลิตได้ภายในประเทศ ทำให้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งสองผ่านการประเมินแล้วว่ามีราคาที่จับต้องได้” ดร.ณัฎฐิกา กล่าวทิ้งท้าย
ผลิตภัณฑ์ต้นแบบสเปรย์และแชมพูสมุนไพรช่วยเสริมการยับยั้งโรคเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมวเป็นตัวอย่างสองผลงานวิจัยเด่นที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดรับกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง โดยคำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ผู้ดูแล และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัตถุดิบทางการเกษตรไทย เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตามหลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย ถูกหลักโภชนาการ รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
หนึ่งในมาตรการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้เด็กไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2530 คือ การจัดเตรียมอาหารกลางวันให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษารับประทานทุกวันที่มาโรงเรียน เพื่อให้พวกเขาได้รับสารอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ ซึ่งหากพิจารณาเพียงเฉพาะด้านพลังงาน การจัดเตรียมอาหารทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วการจัดสำรับอาหารให้เด็กมีปัจจัยที่จะต้องพิจารณาหลายส่วน ทั้งคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย สำรับอาหารที่ไม่จำเจ และการควบคุมรายจ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่ได้รับ โดยภารกิจเหล่านี้มักตกเป็นภาระหน้าที่เสริมของครูกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้พวกเขาอาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้มาก่อนเลยก็ตาม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา ‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย โดยเปิดให้บริการแก่สถานศึกษาทั่วประเทศแล้วตั้งแต่ปี 2555 และพัฒนายกระดับแพลตฟอร์มต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
Thai School Lunch ระบบจัดสำรับอาหารคุณภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระครู
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบ Thai School Lunch มาจากนักวิจัย เนคเทค สวทช. และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เล็งเห็นว่าการจัดสำรับอาหารที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละช่วงวัย รวมทั้งการจัดทำอาหารให้นักเรียนจำนวนมากตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันคนเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อีกทั้งยังเป็นภาระงานที่ค่อนข้างหนักสำหรับครู จึงได้บูรณาการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางออกแบบและพัฒนาระบบ Thai School Lunch แพลตฟอร์มออนไลน์ที่จะช่วยให้ครูจากทุกสถาบันการศึกษาภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดสำรับอาหารคุณภาพได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้แพลตฟอร์มได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2555 และให้บริการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้สังกัด ศธ. แต่มีความประสงค์ที่จะร่วมใช้งาน สามารถแจ้งความจำนงเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้ระบบได้
[caption id="attachment_57155" align="aligncenter" width="750"] ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า Thai School Lunch เป็นระบบสำหรับช่วยคำนวณการจัดสำรับอาหาร ทั้งด้านคุณค่าโภชนาการที่เหมาะสม ปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดซื้อ และค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ซึ่งเลือกคำนวณตามจำนวนนักเรียนที่ต้องดูแลและงบประมาณที่โรงเรียนได้รับได้ โดยครูเลือกจัดสำรับได้ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือเลือกจากเมนูอาหารที่ระบบคำนวณข้อมูลด้านต่าง ๆ ไว้ให้แล้ว ส่วนรูปแบบที่สองคือครูเป็นผู้นำเข้าเมนูอาหารใหม่ด้วยตัวเอง จากนั้นระบบจะคำนวณข้อมูลต่าง ๆ ให้อัตโนมัติ ยกเว้นกรณีเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบ อาทิ วัตถุดิบท้องถิ่นที่ไม่ได้รับประทานอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ขึ้นครูสามารถแจ้งความจำนงขอให้เก็บตัวอย่างวัตถุดิบไปวิเคราะห์ข้อมูลทางโภชนาการเพื่อนำข้อมูลเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมได้
“ทั้งนี้ข้อมูลสำรับอาหารที่ครูจัดให้เด็กรับประทานในแต่ละวันจะบันทึกไว้ทั้งหมดเพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดรวมถึงประชาชนทั่วไปตรวจสอบข้อมูลได้ผ่านแดชบอร์ด (dashboard) ของแพลตฟอร์ม โดยตั้งแต่ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป ระบบจะไม่อนุญาตให้ครูบันทึกข้อมูลย้อนหลัง ดังนั้นข้อมูลของทุกโรงเรียนจะเป็นข้อมูลที่ตรงกับสำรับอาหารวันนั้นจริง ๆ”
นอกจากฟังก์ชันหลักที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ผลจากการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการให้บริการระบบต่อเนื่องมากว่า 11 ปี ทำให้ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Thai School Lunch มีฐานข้อมูลรูปแบบสำรับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมและมีความเข้ากันได้ของรสชาติมากกว่า 1,000 สำรับ เพียงพอแก่การนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาระบบ AI จัดสำรับอาหารอัตโนมัติ เพื่อให้ครูทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น
ดร.สุปิยา อธิบายว่า ปัจจัยที่อยู่ภายใต้การคำนวณของ AI ประกอบด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ความหลากหลายของสำรับอาหาร และค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับงบประมาณ ดังนั้นต่อไปนี้ครูจะวางแผนจัดสำรับอาหารให้เด็กรับประทานล่วงหน้าได้ทั้งแบบรายวัน รายเดือน รายภาคการศึกษา หรือกระทั่งรายปีการศึกษา ที่สำคัญระบบผ่านการออกแบบให้ครูปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงเพื่อรองรับปัญหาวัตถุดิบมีราคาผันผวนได้ด้วย ดังนั้นการจัดสำรับอาหารให้เด็กนักเรียนรับประทานจึงไม่ใช่เรื่องยากและต้องใช้เวลามากอีกต่อไป
Thai School Lunch for BMA รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
นอกจากการให้บริการระบบ Thai School Lunch แล้ว ในปี 2563 หรือประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยยังได้เปิดให้บริการระบบ Thai School Lunch for BMA เพิ่มเติม เพื่อให้บริการแก่โรงเรียน 437 แห่งภายใต้สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เนื่องจาก กทม. ต้องการใช้งานฟังก์ชันเสริมเพิ่มเติมจากแพลตฟอร์มหลัก โดย 2 ฟังก์ชันนั้นประกอบด้วย การจัดสำรับอาหารเช้าให้แก่นักเรียนและการออกแบบให้การจัดทำรายงานและการตรวจสอบเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง
ดร.สุปิยา อธิบายว่า ด้วยโรงเรียนในสังกัด กทม. มีมาตรการจัดเตรียมอาหารเช้าให้นักเรียนซึ่งเป็นมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากมาตรการของโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับ กทม. พัฒนาระบบเฉพาะ Thai School Lunch for BMA ขึ้น เพื่อให้ครูใช้แพลตฟอร์มนี้วางแผนจัดสำรับอาหารได้ทั้งมื้อเช้าและกลางวันครบจบในแพลตฟอร์มเดียว ส่วนอีกฟังก์ชันที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ การทำให้การรายงานผลและการตรวจสอบการดำเนินงานเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปีการศึกษา 2567 หรือที่กำลังเริ่มเปิดภาคเรียน ณ ขณะนี้ กทม. ได้กำหนดมาตรการให้บริษัทที่ทำสัญญาจัดส่งวัตถุดิบให้แก่โรงเรียนภายใต้สังกัด กทม. ต้องใช้งานแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ซึ่งเชื่อมโยงกับ Thai School Lunch for BMA ในการทำงาน
“กลไกการทำงานของระบบ คือ เมื่อครูกำหนดสำรับอาหารของแต่ละวันผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for BMA เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถคำนวณปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดส่งในแต่ละวันและสร้างใบส่งของผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งการจัดส่งวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารเช้าและกลางวันให้โรงเรียน ผู้ส่งมอบจะต้องรายงานปริมาณและวัตถุดิบอาหารสดที่จัดส่งพร้อมอัปโหลดภาพถ่ายเข้าสู่ระบบจัดเก็บข้อมูลของแพลตฟอร์ม เพื่อให้โรงเรียนกดตรวจรับทุกวัน และหน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าติดตามข้อมูลการดำเนินงานของแต่ละโรงเรียน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสั่งจ่ายเงินให้ผู้ประกอบการได้โดยสะดวก (สามารถสร้างใบส่งของและเอกสารตรวจรับจากระบบเพื่อใช้แนบฎีกาเบิกจ่ายได้) ทำให้ช่วยลดจำนวนเอกสารและเพิ่มความถูกต้องของกระบวนการตรวจรับอาหารปรุงสำเร็จของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานที่ดูแลด้านการปราบปรามทุจริตก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของแต่ละโรงเรียนได้เช่นกัน”
ปัจจุบัน ณ ปีการศึกษา 2567 มีโรงเรียนจากทั่วประเทศที่ลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch และ Thai School Lunch for BMA รวมแล้วมากกว่า 37,600 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนที่อยู่ในการดูแลมากกว่า 5 ล้านคน
“คณะผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์ม Thai School Lunch จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการขับเคลื่อนระบบต่อไปอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาระงานของครูและบุคลากรจากสังกัดต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินงานร่วมกัน และที่สำคัญคือการมั่นใจได้ว่าเด็กไทยที่กำลังเติบโตไปเป็นอนาคตของชาติจะได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพจากโรงเรียนอยู่เสมอ ทั้งนี้หากในอนาคตแต่ละโรงเรียนมีการกำหนดสำรับอาหารล่วงหน้าเป็นรายภาคเรียนหรือปีการศึกษา ก็อาจนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดการทำสัญญารับซื้อสินค้าคุณภาพ อาทิ ผักปลอดสาร เนื้อสัตว์ไร้สารเร่งการเจริญเติบโตจากเกษตรกรไทยล่วงหน้าได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเด็กแล้ว ยังทำให้เกษตรกรรู้โจทย์และวางแผนการผลิตสินค้าได้อย่างชัดเจน ช่วยลดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการหรือมีผลผลิตมากล้นตลาด จนทำให้สินค้าราคาตกต่ำได้” ดร.สุปิยา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch ลงทะเบียนเข้าใช้งานได้ที่ www.thaischoollunch.in.th (ไม่มีค่าใช้จ่าย) และสำหรับผู้ที่สนใจติดตามสำรับอาหารของเด็กนักเรียนไทยในแต่ละวันเข้าดูแดชบอร์ดได้ที่เว็บไซต์เดียวกัน
หน่วยงานร่วมวิจัยหรือสนับสนุนการใช้งานแพลตฟอร์ม
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
กรุงเทพมหานคร
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
การพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าเพื่อการแข่งขันที่ยั่งยืน (EV)
สวทช. ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าของไทยด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และเชื่อมโยงเครือข่าย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน (ตามนโยบาย อว. For EV)พันธกิจหลักดำเนินการผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนา ร่วมกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนยานพาหนะไฟฟ้า และอุปกรณ์ความปลอดภัยในการใช้รถและถนนที่ผลิตในประเทศดำเนินงานการผลักดันให้เกิดพัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าในประเทศดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการใช้ยานพาหนะไฟฟ้าและลดการปล่อย CO2 และผลักดันให้เกิดการใช้งานใน อว. และขยายผลไประดับประเทศดำเนินการสนับสนุนกิจกรรม NQI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนาสนับสนุนการสร้างเครือข่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน และดำเนินกิจกรรมบ่มเพาะให้กับผู้ประกอบการไทยดำเนินงานสนับสนุนนโยบาย อว. For EV ของกระทรวง อว. ด้วยกลไก ของ สวทช.
โครงการที่ 1 EV-HRD กิจกรรมการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้า (up-skill, re-skill)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)ร่วมพัฒนากำลังคนปีละ 500 ราย ในกลุ่มวิชาชีพขั้นสูง
โครงการที่ 2EV-Transformation แพล็ตฟอร์มสนับสนุนและดึงดูดให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน การใช้ ICE มาเป็น EV ในระดับกลุ่มองค์กรและพื้นที่เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)Platform ถูกนำไปบูรณาการใช้ในกระทรวง อว. กระทรวงอื่นๆ รวมถึงกลุ่มองค์กรเอกชนสร้าง Carbon Credit Trading Platform ร่วมกับ TGO
โครงการที่ 3EV-Innovation ผลักดันเทคโนโลยีและการให้บริการด้านวิเคราะห์ทดสอบสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าและชิ้นส่วนเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)สินค้ารถจักรยานยนต์ แบตเตอรี่แพ็ค และสถานีอัดประจุที่ใช้เทคโนโลยี swapping battery ,repropose batteryสินค้า Microbus พร้อมนำหน่าย สินค้า เรือไฟฟ้า / สินค้าชุด Conversion
โครงการที่ 4EV-Connect พัฒนาความร่วมมือ ส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการ และสร้างกลไกเชื่อมโยงอุตสาหกรรม เพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)ห่วงโซ่มูลค่า Swapping Battery ,Microbus ,เรือไฟฟ้า ,ConversionThailand EV Center of Excellence (TECE)
BCG Implementation


