หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. รวมใจจิตอาสามอบริบบิ้นให้ทีมสนับสนุนการทำงาน และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ดร.กัลยา อุดมวิทิต รอง ผพว. นายโกเมศ สุขบัติ รก. ผอ. ฝ่ายกลยุทธ์บุคคลและพัฒนาองค์กร (HROD) นางศศิธร เทศน์อรรถภาคย์ ผจก. งานสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ (PCS) ตัวแทนสโมสรพนักงาน สวทช. พร้อมเพื่อนพนักงาน ได้นำริบบิ้นถวายความอาลัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่จัดทำขึ้นโดยผู้บริหารและเพื่อนพนักงานจิตอาสาทุกท่าน มอบให้กับผู้สนับสนุนการทำงาน สวทช. ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ช่างอาคาร/ช่างเทคนิค แม่บ้าน คนสวน และพนักงานขับรถ จากนั้นได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นหน่วยงานพันธมิตรและเพื่อนบ้านใกล้เคียงของ สวทช. โดยมี อ.พญ.ทัสมา พู่ทรงชัย ผู้ช่วยรองผู้อำนวยการฝ่ายการคลัง และทีมงานของโรงพยาบาลฯ เป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งต่อริบบิ้นให้กับผู้ป่วยและผู้มาใช้บริการที่มีจำนวนมาก
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
AI & Hackathon by MIT Media Lab@Bangkok 2025
🎯 โอกาสครั้งสำคัญสำหรับสายเทคโนโลยี! เข้าร่วมสุดยอด Hackathon ระดับโลกจาก MIT Media Lab ในงาน AI & Robotics Hackathon @ Bangkok 2025 ภายใต้แนวคิด “Building a Better Future for All” กับโจทย์: How might emerging technologies shape our everyday lives while also creating new employment opportunities for local communities? ผู้เข้าร่วมจะแข่งขันโดยการนำ AI, Robotics และ Sensor Technology มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาใน 3 ด้าน (เลือกแข่งขันได้เพียง 1 ด้าน) 💡 เมือง (City): วางผังเมืองอัจฉริยะ, ที่อยู่อาศัยเท่าเทียม, ระบบคมนาคม และการจัดการชุมชน 📚 การศึกษา (Education): การเรียนรู้ที่เข้าถึงทุกช่วงวัยอย่างครอบคลุม (Inclusive Learning) 🏥 สุขภาพ (Health): เทคโนโลยีเพื่อชีวิตที่ดี การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสุขภาพ   🏆 รางวัลรวมมูลค่ากว่า 600,000 บาท ชนะเลิศ: 300,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1: 150,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2: 75,000 บาท   🌟 คุณสมบัติผู้สมัคร ระดับการศึกษา: ปริญญาโทขึ้นไป (ไม่จำกัดสาขาวิชา) สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมาก สนใจด้าน AI, Robotics, Sensor Tech หรือการพัฒนาสังคม เคยผ่าน Hackathon จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ สมัครรายบุคคล (ทีมจะจัดในวันแข่งขัน: 4 คน + สมาชิก MIT Media Lab 1 คน)   📅 จัดแข่งขันวันที่ 17–19 ธ.ค. 2568 ณ Cloud11 กรุงเทพฯ 📌 สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – ถึง 23 พฤศจิกายน 2568 🔗 สมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติม: 👉 https://www.media.mit.edu/events/ai-robotics-hackathon-bangkok/ 📩 ติดต่อ: hack-at-bkk@media.mit.edu | ☎️ 02-626-4150 📌 หมายเหตุ: การแข่งขันดำเนินการเป็นภาษาอังกฤษ
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
คสร. เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมีหน่วยงานพันธมิตรร่วมสนับสนุนกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้บริจาค
  คณะกรรมการคู่สมรสคณะรัฐมนตรี (คสร.) จัดกิจกรรมเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมีหน่วยงานพันธมิตรร่วมสนับสนุนกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้บริจาค โดย สวทช. นำเสนอผลงานนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ได้แก่ “ชุดตรวจโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน AL-Strip” ที่ใช้งานง่าย รู้ผลได้รวดเร็ว และช่วยประหยัดเวลา พร้อมด้วยแพลตฟอร์ม “ไทยสุข” เครื่องมือส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกในองค์กรและชุมชน มาพร้อมฟังก์ชันบันทึกข้อมูลสุขภาพ เชื่อมต่อกับ Smart Watch ระบบแข่งขันสร้างแรงจูงใจ และการติดตามพฤติกรรมเพื่อการปรับเปลี่ยนอย่างยั่งยืน ภายในงานยังมีบูธจากหน่วยงานพันธมิตรนำเสนอหลากหลายนวัตกรรม เช่น Super App หมอพร้อม, ระบบคัดกรองมวลกระดูก, ชุดตรวจสุขภาพอัจฉริยะแบบพกพา, และ ระบบคัดกรองโรคปอดด้วย AI เพื่อให้ผู้ร่วมบริจาคได้เข้าถึงเทคโนโลยีด้านสุขภาพรูปแบบใหม่ กิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19–21 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00–12.00 น. ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติและสืบสานพลังแห่งการให้ เพื่อชีวิตและสุขภาพของเพื่อนมนุษย์    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. และ TCCA ร่วมกับสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ผสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) หนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านพลังงาน
19 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) และสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ UK–Thailand Technical Exchange Workshop: Towards a National Roadmap on Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) เสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยได้รับเกียรติจากนายมาร์ค กูดดิ้ง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และนายวุฒิกร สติฐิต ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นประธานเปิดงาน การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นเวทีที่ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของไทยจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษากว่า 70 คน ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน CCUS ในประเทศไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านนโยบายและเทคนิค ตลอดจนร่วมกันสนับสนุนการจัดทำโรดแมป CCUS ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดยเป็นกิจกรรมต่อยอดจากการเดินทางศึกษาดูงานด้าน CCUS ของ TCCA ที่สหราชอาณาจักรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 และการจัดงาน UK – Thailand CCUS Roundtable ในโอกาสที่ศาสตราจารย์เอลิสัน ฟลาวเวอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพลังงานของกระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนา เดินทางเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ชี้ให้เห็นถึงการร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งสหราชอาณาจักรยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างความร่วมมือด้าน CCUS กับประเทศไทยต่อไป เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและปล่อยคาร์บอนต่ำ นายมาร์ค กูดดิ้ง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 170 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทย ผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันคิดอย่างกล้าหาญว่า เราจะสามารถยกระดับความร่วมมือด้านเทคโนโลยี CCUS และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร สหราชอาณาจักรยังคงยืนหยัดในฐานะพันธมิตรที่เข้มแข็งของไทยเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ที่จะช่วยสร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป นายวุฒิกร สติฐิต ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากแนวทางในช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้พลังงานในสหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีแนวทางที่สอดคล้องใกล้เคียงกัน ผมมีความเห็นว่าโครงการแผนพัฒนา CCUS ร่วมกันระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทยไม่เพียงแต่สนับสนุนนโยบาย Quick Big Win ทั้งด้าน CCU และ CCUS เพื่อส่งเสริมด้านพลังงานของทางรัฐบาลไทย แต่ยังสอดคล้องกับแผน UK's Clean Power 2030 Action Plan ของสหราชอาณาจักรอีกด้วย ดร. ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติด้านพลังงานและบูรณาการในยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมขององค์กร ทั้งในด้านการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมเข้าใจการปล่อยคาร์บอนและตั้งเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน ไปพร้อมกับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์คาร์บอน ซึ่งเป็นทางออกสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ยาก ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 การบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่น นวัตกรรม และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและปล่อยคาร์บอนต่ำ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งโครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรระดับชาติ ซึ่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ผ่านศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้ริเริ่มจัดตั้งร่วมกับภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา โดยได้รับทุนสนับสนุนภายใต้หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา CCUS ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม “เป้าหมายหลักของกิจกรรมนี้คือ การรวมตัวของทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ รับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ให้กับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ภารกิจนี้ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยความพยายามของประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงลำพัง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลก ดังนั้นจึงเป็นเกียรติที่ได้ทำงานร่วมกับสหราชอาณาจักร ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้าน CCUS เชื่อว่าการเรียนรู้จากความสำเร็จของสหราชอาณาจักรและปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทย จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเติบโตของนวัตกรรม ตลอดจนผลักดันให้เทคโนโลยีและนโยบายเดินหน้าไปด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน” ดร. ภญ.อุรชาย้ำ กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม UK – Thailand CCS Knowledge Exchange Week: Towards a National CCS Roadmap ซึ่งประกอบด้วยการเยี่ยมชมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในจังหวัดระยอง และการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเป็นเวลาสองวันครึ่ง คณะผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักรประกอบด้วย ศาสตราจารย์ จอน กิบบินส์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนแห่งสหราชอาณาจักร (UK Carbon Capture and Storage Research Centre) และอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโรงไฟฟ้าและการกักเก็บคาร์บอนจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ เคท พิลลิ่ง ผู้เชี่ยวชาญนโยบายด้านการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน กระทรวงความมั่นคงทางพลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ลอร่า ฮาร์ดิแมน ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากบริษัท Crondall Energy ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักรได้แบ่งปันประสบการณ์จากการพัฒนายุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับ CCUS และการถอดบทเรียนที่สำคัญของสหราชอาณาจักร ตั้งแต่การสร้างกรอบกฎหมายที่เข้มแข็ง การออกแบบโครงการเพื่อดึงดูดการลงทุน ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ ซึ่งบทเรียนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญ ถูกนำมาใช้เป็นกรอบกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม CCUS ในบริบทของประเทศไทย จากการระดมสมองร่วมกันของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน กิจกรรมครั้งนี้จึงสอดคล้องโดยตรงกับนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงานที่มุ่งเร่งพัฒนาการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมกับพันธมิตรจัดงานประชุมนานาชาติ  ASEANSafe 2025 แลกเปลี่ยนองค์ความรู้-ความปลอดภัยของอาหาร รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568) ณ โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงอาหาร (IJC-FOODSEC), สหภาพยุโรป, หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.), มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.), จัดงานประชุมนานาชาติ ASEANSafe 2025: Building Resilient Communities for a Safe ASEAN ระหว่าง วันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเป็นเวทีระดับนานาชาติในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยอาหารภายใต้ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมทุกห่วงโซ่อาหาร พร้อมผลักดันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในภูมิภาค ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า งานประชุมนานาชาติ ASEANSafe 2025 สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมของประเทศในอาเซียนในการยกระดับความปลอดภัยอาหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของทั้งระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค “ในแต่ละปี มีประชากรกว่า 50 ล้านคนในภูมิภาคอาเซียนได้รับผลกระทบจากโรคที่เกิดจากอาหาร และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 175,000 คน จากอาหารที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นภายใต้ภาวะโลกร้อน ปัญหานี้ไม่หยุดอยู่แค่พรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง และแนวทางแก้ไขของเราก็จำเป็นต้องก้าวข้ามพรมแดนเช่นเดียวกัน” ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เชื่อมั่นว่า “การทูตวิทยาศาสตร์” และ “ความร่วมมือระหว่างประเทศ” คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง การประชุมนี้จึงเป็นเวทีที่มีความสำคัญยิ่งในการรวบรวมนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และพันธมิตรจากหลายประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมกันกำหนดทิศทางในอนาคต จึงขอให้ทุกคนร่วมกันให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างงานวิจัย การพัฒนามาตรฐานที่สอดคล้องกัน และการสร้างระบบอาหารที่เข้มแข็งและยั่งยืนด้วยองค์ความรู้และนวัตกรรม “ขอบคุณทีมผู้จัดงานทุกท่าน ประกอบด้วย สวทช., มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงอาหาร (IJC-FOODSEC), สหภาพยุโรป, บพค., มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.), และหน่วยงานที่เข้าร่วมทุกแห่ง สำหรับการทำงานอย่างทุ่มเทและความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนประเด็นความปลอดภัยอาหารในอาเซียนและในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์ IJC-FOODSEC ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการศึกษาความท้าทายด้านความปลอดภัยอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นไมโคท็อกซินที่ทวีความรุนแรงจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผ่านความร่วมมือด้านการวิจัยและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ศูนย์ฯ มีบทบาทในการเชื่อมโยงงานวิทยาศาสตร์สู่การกำหนดนโยบาย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยอาหารและความเข้มแข็งของระบบอาหารในภูมิภาคอย่างแท้จริง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการการประชุมครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือใหม่ ๆ และยกระดับความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความปลอดภัยอาหารเพื่อทุกคน ขอให้ ASEANSafe 2025 เป็นหมุดหมายสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือและความปลอดภัยด้านอาหารของประชาชนในภูมิภาคของเราอย่างยั่งยืน” ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวถึงบทบาทของ สวทช. ว่า มุ่งขับเคลื่อนประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารในอาเซียนผ่านงานวิจัยและนวัตกรรม “ไบโอเทค สวทช. ภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าภาพหลักการประชุมครั้งนี้ และร่วมทำงานกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ความร่วมมือเชิงรูปธรรม เช่น โครงการ Mycobean และ mycoSMART ภายใต้โครงการ EU RISE scheme แสดงให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจภูมิภาคได้อย่างเป็นรูปธรรม” ทั้งนี้ ดร.วรินธร กล่าวว่า บทบาทของศูนย์วิจัยร่วมระหว่างประเทศด้านความมั่นคงอาหาร (IJC-FOODSEC) ซึ่งเป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง ไบโอเทค มหาวิทยาลัยควีนส์เบลฟาสต์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ฯ แห่งนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง (Real-world problems) ตั้งแต่การทำความเข้าใจความเสี่ยงของการปนเปื้อนในอาหาร การพัฒนาเครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจจับและป้องกันอันตราย ไปจนถึงการสร้างกลไกในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กฎระเบียบและภาคอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบอาหารที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในสถานการณ์โลกที่มีความท้าทาย พร้อมย้ำว่าความปลอดภัยอาหารและความมั่นคงอาหารเป็นประเด็นที่แยกจากกันไม่ได้ จึงต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า เราทุกคนต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “ความปลอดภัยทางอาหาร” และ “ความมั่นคงทางอาหาร” นั้นเป็นเสมือนสองสิ่งที่มิอาจแยกออกจากกันได้ ความเสี่ยงหรืออันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อาหาร ไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ย่อมสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพและความมั่นคงด้านอาหารของภูมิภาคอาเซียนได้ในวงกว้าง ดังนั้นการประชุม ASEANSafe 2025 จึงเป็นอีกหนึ่งเวทีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความร่วมมือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งจะยังประโยชน์อย่างครอบคลุมต่อทั้งเกษตรกร หน่วยงานกำกับดูแล และผู้บริโภคไปพร้อมกัน ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กล่าวว่า บพค. หรือ PMU-B ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อทีมงานโครงการ mycoSMART และพันธมิตรทุกท่านภายใต้โครงการ Global Partnership Scheme โครงการ mycoSMART ได้แสดงให้เห็นถึงผลงานที่เป็นประจักษ์และความสำเร็จอันโดดเด่นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง การพัฒนาต้นแบบที่ชัดเจน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการสร้างเครือข่ายความร่วมมืออันแข็งแกร่งระหว่างนักวิจัยไทยกับสถาบันชั้นนำหลายแห่งในทวีปยุโรป “IJC-FOODSEC มีบทบาทสำคัญในการยกระดับและส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ผ่านการจัดการประชุมนานาชาติ เวิร์กชอป และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลายครั้ง อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการแสวงหาแหล่งทุนวิจัยจากภายนอก ทั้งจากสหภาพยุโรป (European Union) และ The Global Challenge Research Fund บพค. (PMU-B) มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนสนับสนุนโครงการความร่วมมือที่มีผลสัมฤทธิ์ต่อสังคมเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก ในประเด็นสำคัญอย่างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน” ดร.ณิรวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย           
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดเวทีความร่วมมือ CCUS โดย สวทช. TCCA และสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย
18 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเปิดงานและกล่าวต้อนรับในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “UK–Thailand Technical Exchange Workshop: Towards a National Roadmap on Carbon Capture, Utilization, and Storage” ซึ่งจัดขึ้นโดย สวทช. และโครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตรด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย โดยมีนายเบน มอร์เลย์ ที่ปรึกษาด้านพาณิชย์ และผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจและการค้า (DBT) สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน และ ดร.ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวแนะนำโครงการ TCCA “ภารกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักด้านการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมของ สวทช. ปัจจุบันนักวิจัยกำลังพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมเข้าใจข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างแม่นยำและตั้งเป้าลดการปล่อยได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่เซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่รุ่นใหม่ ระบบขนส่งสีเขียว ไปจนถึงการวิจัยการผลิตไฮโดรเจนเพื่อช่วยลดคาร์บอนในภาคพลังงาน และที่สำคัญคือการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการลดการปล่อยของอุตสาหกรรมที่ยากต่อการปรับเปลี่ยน” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าว โครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตรด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) เป็นเครือข่ายพันธมิตรระดับชาติที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรวมพลังของภาครัฐ เอกชน และสถาบันวิจัย โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ บรรเทาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีศักยภาพการแข่งขันสูง ทั้งนี้ TCCA ดำเนินการโดย สวทช. ผ่านศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับภาคีเครือข่าย และได้รับทุนสนับสนุนจาก บพค. โครงการนี้จึงนับเป็น “จิ๊กซอว์สำคัญ” ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำหน้า พันธมิตร และช่วงเวลา-นโยบายที่เอื้อต่อการขับเคลื่อน เพื่อผลักดันเทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดเวทีรับฟังมาตรการภาษีส่งเสริมบริจาคอาหาร พร้อม 3 แพลตฟอร์ม Tech หนุนตั้ง “ธนาคารอาหารแห่งชาติ”
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมกับมูลนิธิ Scholars of Sustenance (SOS) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อมาตรการสนับสนุนทางภาษีเพื่อส่งเสริมการบริจาคอาหารส่วนเกิน มุ่งลดขยะอาหาร เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร และนำร่องสู่การจัดตั้ง "ธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศไทย (Thailand's Food Bank)" สวทช. นำ วทน. แก้โจทย์ขยะอาหารเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงอาหาร ดร.นวลวรรณ สงวนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์องค์กร สวทช. ได้กล่าวเปิดงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับโอกาสในการเข้าถึงอาหารของชุมชนและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างเป็นรูปธรรม สวทช. เล็งเห็นว่าปัญหาขยะอาหารที่สูงถึง 10 ล้านตันต่อปี ในประเทศไทย อาหารส่วนเกินที่สามารถบริจาคได้ 4 ล้านตันต่อปี แต่ปัจจุบันมีการบริจาคเพียง 2,000 ตันต่อปี (คิดเป็น 0.05%) เป็นโจทย์เร่งด่วนที่ต้องอาศัยกลไกเชิงนโยบายควบคู่กับฐานความรู้ทางเทคนิคเข้ามาจัดการ เวทีเสวนาในหัวข้อ “สถานการณ์และความท้าทายของมาตรการ กฎระเบียบทางด้านภาษีต่อการบริจาคอาหารส่วนเกินในประเทศไทย” ซึ่งมี ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส และหัวหน้าโครงการ สวทช. เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้รับการสะท้อนประเด็นสำคัญจากผู้แทนภาคเอกชนชั้นนำ ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): คุณมณีสุดา ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า การบริจาคอาหารส่วนเกินที่มี VAT ถือเป็น "การขาย" ในทางภาษี ทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีขาย แม้จะไม่มีรายรับ ส่งผลให้การทำลายอาหารที่ไม่มีภาระ VAT เป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า เพดานการหักค่าใช้จ่าย: คุณอัตถสิทธิ์ เจียมฉวี ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายประสานรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ระบุถึงความท้าทายจากเพดานการหักค่าใช้จ่ายในการบริจาคที่จำกัดเพียง 2% ของกำไรสุทธิ ซึ่งรวมกับกิจกรรมบริจาคอื่น ๆ ทำให้บริษัทที่มีอาหารส่วนเกินปริมาณมาก (เช่น 700-800 กิโลกรัมต่อวันในสาขาใหญ่) สามารถบริจาคได้เพียงหลักสิบกิโลกรัมต่อวัน ด้าน คุณทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของมูลนิธิ SOS ย้ำว่า ปัจจุบัน 90% ของอาหารที่ได้รับบริจาคเป็นอาหารที่ไม่มี VAT ชัดเจนว่าหากมีการแก้ไขปัญหาภาษี จะสามารถเพิ่มปริมาณการบริจาคได้อย่างก้าวกระโดด   สวทช. ไม่เพียงแค่เสนอนโยบาย แต่พร้อมเครื่องมือ วทน. รองรับ คุณรชฏ ตันธสุรเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์ สวทช. นำเสนอร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านมาตรการภาษี โดยเสนอให้จัดการบริจาคอาหารส่วนเกินแก่หน่วยงานที่ได้รับการรับรองเทียบเท่ากับการทำลายอาหารในทางภาษี เพื่อปลดล็อกเพดานการหักค่าใช้จ่าย 2% และยกเว้นภาระ VAT การบูรณาการบทบาทของศูนย์แห่งชาติ สวทช. ในการสนับสนุน Food Bank นอกจากมิติเชิงนโยบายแล้ว สวทช. ยังพร้อมด้วยนวัตกรรมและเครื่องมือเทคโนโลยีรองรับ ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการวิจัยพัฒนาของศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ โดย ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส และหัวหน้าโครงการ สวทช. ได้นำเสนอ 3 แพลตฟอร์มหลัก ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของธนาคารอาหารแห่งชาติ Food Safety Guideline: แนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับการบริจาค ครอบคลุมการรับ–เก็บ–ขนส่ง–แจกจ่าย เพื่อให้ผู้บริจาคและผู้รับมั่นใจในความปลอดภัย (พัฒนาโดย BIOTEC) แพลตฟอร์มดิจิทัลจับคู่ผู้บริจาคและผู้รับ: ระบบบันทึกข้อมูล จับคู่และตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) เพื่อความรวดเร็ว โปร่งใส และการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการบริจาคอาหารเพื่ออ้างอิงกับการขอใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีได้ (พัฒนาโดย NECTEC) แพลตฟอร์มคำนวณ Carbon Footprint: ระบบประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกจากการนำอาหารส่วนเกินกลับมาใช้ประโยชน์ รองรับการต่อยอดสู่กลไกคาร์บอนเครดิตในอนาคต (ดำเนินการโดย MTEC) ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เพิ่มการบริจาคจาก 2,000 เป็น 20,000 ตันต่อปี หากข้อเสนอเชิงนโยบายได้รับการผลักดัน คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 การบริจาคอาหารส่วนเกินจะเพิ่มขึ้นจาก 2,000 ตัน/ปี เป็น 20,000 ตัน/ปี ซึ่งจะสามารถนำไปแปลงเป็น 84 ล้านมื้ออาหารต่อปี สำหรับกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกที่วัดค่าได้ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ลดภาระรัฐ: เทียบเท่ากับการลดภาระในการจัดหาอาหารมูลค่า 3,000 ล้านบาทต่อปี ลดก๊าซเรือนกระจก: ประมาณ 50,000 ตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี ประหยัดงบท้องถิ่น: ประหยัดค่ากำจัดขยะ 45 ล้านบาทต่อปี สวทช. จะเร่งนำผลการหารือและข้อเสนอแนะทั้งหมดไปสังเคราะห์เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายอย่างเป็นทางการ และนำเสนอผ่านกระทรวง อว. ไปยังกระทรวงการคลังภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้มาตรการนี้กลายเป็นกลไกสำคัญในการสร้าง "ธนาคารอาหารแห่งชาติ" และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศอย่างแท้จริง ผู้สนใจติดตามความคืบหน้าหรือร่วมสนับสนุนโครงการ สามารถติดต่อ สวทช. ได้ที่ โทร. 02 5647000 อีเมล foodbank@nstda.or.th เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/foodbank/ มูลนิธิ SOS โทร. 02 0751417 และ Facebook: @sosfoundationthai
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
งาน FoodX Business of Food Forum – Premiumization Day
🍽️FoodX Business of Food Forum – Premiumization Day🍲 🚨สวทช. โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ขอเชิญผู้ที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงาน FoodX Business of Food Forum – Premiumization Day 🗓วันพุธที่ 3 ธันวาคม 2025 🕣 เวลา 09.00 – 18.00 น. 📍ณ บอลรูม ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 🆓ลงทะเบียนเข้างานฟรี https://foodx.co.th/ . 🚀พบกับงานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมทางธุรกิจ และการรวมตัวของ Stakeholder ของอุตสาหกรรมการผลิตอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่เทคโนโลยีด้านการผลิต บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนดิจิทัลโซลูชั่นและบริการด้านการตลาด มาร่วมกันถก Insight และถอดรหัสวิถีการเพิ่มคุณค่าช่วงกลางน้ำของระบบนิเวศภาคการผลิตอาหารในประเทศไทย เพื่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่วัดผลได้ 💡คุณจะได้พบกับ ✅ TOP 100 RESEARCHERS พบปะนักวิจัยชั้นนำ 100 อันดับแรกของวงการอาหาร ผู้บุกเบิกนวัตกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอนาคต ของอุตสาหกรรม ✅ VISIONARY STAGE รับฟังวิสัยทัศน์จากผู้นำธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญที่กำลังสร้างอนาคตของอุตสาหกรรมอาหาร ✅ MARTECH STAGE เรียนรู้เทคโนโลยีการตลาดล่าสุดที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณสู่ยุคดิจิทัล ✅ TECH TALK ร่วมเสวนาและแลกเปลี่ยนไอเดียเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่กำลังมาแรง ✅  DISPLAY SALE สำรวจและช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารและเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการชั้นนำ 🎯**พร้อมส่งท้ายงานกับกิจกรรมพิเศษ HAPPY HOURS by Food Innopolis ที่รวบรวมพาร์ทเนอร์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมนวัตกรรมอาหาร ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพบความร่วมมือใหม่ ๆ ในบรรยากาศสบาย ๆ พร้อมเครื่องดื่มและอาหารว่าง . FoodX – Business of Food Forum is taking place 🗓on 3 December 2025 🕣 09.00 – 18.00 hrs. 📍 at Ballroom, Queen Sirikit National Convention Center (QSNCC), Bangkok 🔗 https://foodx.co.th/
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. นำ “แอปพลิเคชันไทยสุข” ร่วมจัดแสดงในงานนิทรรศการวิชาการเฉลิมพระเกียรติฯ ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวง อว. ได้นำผลงานวิจัยเด่น แอปพลิเคชัน "ไทยสุข (ThaiSook)" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพดิจิทัล เพื่อลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เข้าร่วมจัดแสดงในงานนิทรรศการวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พลเอกหญิง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 70 พรรษา และครบรอบ 45 ปีแห่งการเสด็จพระราชดำเนินทรงสอนนักเรียนนายร้อย ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก ระหว่างวันที่ 16 – 17 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อ "AI Technology: Military/Thaharn Phandee Project (The Good Farmer Soldiers)/Other Applications" โดยในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานนิทรรศการฯ และพระราชทานเกียรติบัตรแก่หน่วยงานที่เข้าร่วม ซึ่งในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร จากนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการผลงานทางวิชาการต่าง ๆ โดยที่บูธนิทรรศการของ สวทช. คณะผู้บริหารและนักวิจัยได้เฝ้ารับเสด็จอย่างพร้อมเพรียง นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช., ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช., และ ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้กราบบังคมทูลถวายรายงานเกี่ยวกับการทำงานและประโยชน์ของแอปพลิเคชัน "ไทยสุข (ThaiSook)" แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนของคนไทย แอปพลิเคชัน “ไทยสุข (ThaiSook)" เป็นแพลตฟอร์มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการลดความเสี่ยงจากกลุ่มโรค NCDs ผ่านการใช้กลไกการแข่งขันออนไลน์และ AI Coach ในการกระตุ้นและส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพอย่างยั่งยืน แอปพลิเคชันสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์และอุปกรณ์สวมใส่ เช่น ThaiSook Watch เพื่อดึงค่ากิจกรรมทางกายและก้าวเดินได้อย่างอัตโนมัติ และรองรับกิจกรรมการแข่งขันที่หลากหลาย เช่น การเดิน การวิ่ง การสะสมคะแนนสุขภาพ และการกินผักผลไม้ นอกจากนี้ “ไทยสุข (ThaiSook)” ยังถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับเครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer: BCA) เพื่อนำผลการวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (เช่น เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย, มวลกล้ามเนื้อ) ซึ่งมีความแม่นยำกว่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) มาใช้ในการประเมินและวางแผนดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และยังมีระบบ Dashboard สำหรับองค์กรที่ต้องการจัดกิจกรรมแข่งขันเพื่อดูภาพรวมและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
2 นักวิจัยหญิง สวทช. คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย พิสูจน์ผลงานวิจัยสร้างคุณค่าแก่ประเทศ
 2 นักวิจัยหญิง สวทช. เจ้าของผลงานการวิจัยพัฒนา “ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” และ “การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 จัดโดยลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำอุดมการณ์ สวทช. ที่มุ่งสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนางานวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของชาติ และนำพาประเทศสู่ความยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)   วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (ASF) สายพันธุ์ไทย ความหวังควบคุมโรคระบาด โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ African Swine Fever (ASF) เป็นโรคระบาดรุนแรงในสุกรที่เกิดจากเชื้อไวรัส African swine fever virus (ASFV) พบระบาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2565 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทย โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดเล็กหรือขนาดกลาง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้เกษตรกรจำนวนมากต้องปิดฟาร์ม ขาดรายได้ และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องประสบปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง รวมถึงการนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงต่อโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น โรคหูดับ หากมีการบริโภคเนื้อสุกรที่ปรุงไม่สุก ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเป็นโรคอุบัติใหม่ ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยีพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการพัฒนาวัคซีนที่แทบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ ดังนั้นมาตรการที่ใช้ควบคุมการระบาดของโรค ASF ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังทำได้เพียงการสร้าง “ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity” เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่เข้าหรือออกจากฟาร์ม แต่ด้วยต้นทุนการจัดการฟาร์มที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นเรื่องยากที่ฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางจะลงทุนเพื่อหวนกลับเข้าสู่วงจรธุรกิจได้ การวิจัยพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาโรคระบาด ASF ได้ และนั่นคือโจทย์เร่งด่วนให้ ดร. สพญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ และทีมวิจัยเดินหน้าพัฒนา “วัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF” หนึ่งในแผนงานการพัฒนา “วัคซีนสัตว์” ภายใต้กลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand ของ สวทช. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัยแก้ปัญหาสำคัญของชาติ และตอบโจทย์มิติการพึ่งพาตนเองดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า ทีมวิจัยเร่งศึกษาสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัส ASF เทคโนโลยี จนถึงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบ โดยอาศัยฐานเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ไบโอเทค สวทช. สั่งสมมายาวนาน จนกระทั่งพัฒนา “วัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์” จาก “ไวรัสสายพันธุ์ไทย” ได้สำเร็จ รวมทั้งมีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน “ผลการศึกษาเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70–100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง โดยจะเริ่มทดสอบในฟาร์มขนาดเล็กภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนต้นแบบในการป้องกันโรค ASF อย่างละเอียดก่อนที่จะขยายผลในวงกว้างต่อไป” ทั้งนี้หากผลการทดสอบวัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในฟาร์มจริงประสบความสำเร็จ จะเป็นความหวังในการพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยฟื้นฟูฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางให้หวนกลับมาทำอาชีพได้อีกครั้ง “ทุกวันนี้แรงบันดาลใจสำคัญในการทำวิจัยคือ “เกษตรกรไทย” เพราะแม้พวกเขาจะเคยสูญเสียทุกอย่างจากโรค ASF แต่จากการลงพื้นที่สัมผัสได้ว่า พวกเขายังคงมีความหวังที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรซึ่งเป็นอาชีพหลักและอาจเป็นอาชีพเดียวได้อีกครั้ง ดังนั้นถ้าวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้ฟาร์มเล็ก ๆ ของเกษตรกรฟื้นคืนกลับมาได้ และช่วยให้พวกเขามีรายได้และชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นความภูมิใจสูงสุดในฐานะนักวิจัย” การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF นอกจากจะเป็นความหวังที่ช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมสุกรแล้ว ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงลดการพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศในอนาคต ที่สำคัญองค์ความรู้ เครื่องมือและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการวิจัยครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่น ๆ เพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้ด้วยตนเองในอนาคต ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF และการวิจัยพัฒนาวัคซีนสัตว์อื่น ๆ ในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือและผลักดันจากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และบริบทของกฎหมายที่จะช่วยส่งเสริมการผลิตวัคซีนสัตว์ที่มีมาตรฐานสากลและการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะทำให้ทีมวิจัยสามารถต่อยอดจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมได้ เป็นความหวังที่อยากให้เกิดการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนสัตว์เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันในภูมิภาคได้ “การได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทยในครั้งนี้ ทำให้รู้สึกดีใจและภูมิใจที่แม้งานวิจัยการพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ยังมีคนมองเห็นคุณค่าในความพยายามและความอดทนในการทำงานวิจัยที่เป็นเรื่องใหม่ โดยเฉพาะการทดสอบในสุกรซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญและทำงานภายใต้ข้อจำกัดมากมาย ก็ทำให้หายเหนื่อยและเป็นกำลังใจให้ทีมวิจัยก้าวต่อไปในโจทย์ที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยให้สามารถแก้ปัญหาแก่เกษตรกรไทยได้จริง” ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวทิ้งท้าย   “อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว” ความหวังส่งยาแม่นยำ รักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ตรงจุด ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) เช่น มะเร็ง สมองเสื่อม เบาหวาน ไขมันและหลอดเลือด เป็นปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของทั้งหมดหรือประมาณ 41 ล้านคนต่อปี ขณะที่ประเทศไทยพบจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDs เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่า 75% ของผู้เสียชีวิตต่อปี นอกจากนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยประชากรกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค NCDs ได้ง่าย ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับกลุ่มโรค NCDs เป็นโจทย์สำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากขึ้น ดร.มัตถกา คงขาว ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า ปัจจุบันการรักษาโรคในกลุ่ม NCDs แบบเดิมยังมีข้อจำกัดมาก เช่น ยาดูดซึมได้ไม่ดี มีการกระจายไปทั่วร่างกายแบบไม่จำเพาะ ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ตัวยาสำคัญเกิดการสลายตัวในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่จำเพาะเจาะจง นอกจากนี้ตัวยาหรือสารออกฤทธิ์บางตัวที่ไวต่อสภาพแวดล้อม เช่น เพปไทด์หรือสารสมุนไพร มักเสื่อมสลายง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง ที่สำคัญผู้ป่วยบางรายมีโรคร่วมหลายอย่าง ทำให้ต้องรับประทานยาจำนวนมาก “การนำเทคโนโลยีนาโนมาใช้พัฒนาระบบนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง คือหนทางควบคุมการปลดปล่อยยาได้ตรงจุด เพิ่มเสถียรภาพของยา และช่วยให้ยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยนาโนเทคทำงานอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปีในการพัฒนา “อนุภาคนาโนไขมันกักเก็บยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API)” โดยดัดแปลงพื้นผิวของอนุภาคนาโนไขมันให้มีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงกับโรคนั้น ๆ เช่น การเพิ่มอนุภาคที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ การเพิ่มตัวจับเฉพาะกับเซลล์เป้าหมาย การปรับประจุพื้นผิวให้เกาะกับเนื้อเยื่อดีขึ้นเพื่อให้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี” ปัจจุบันอนุภาคนาโนไขมันที่ออกแบบมีความจำเพาะกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคทางระบบประสาทเสื่อม มะเร็ง การอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ไขมันช่องท้องและในเลือด รวมถึงความชราของผิวหนัง และอื่น ๆ “ยกตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องให้ยาคีโมซึ่งปัจจุบันยาคีโมมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวผิดปกติอย่างไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ยาคีโมไปทำลายเซลล์รากผมหรือเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงหรืออาเจียน ดังนั้นหากใช้อนุภาคนาโนไขมันนำส่งยาไปยังเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง จะช่วยลดผลข้างเคียงและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยก็ดีขึ้น หรือในกรณีผู้ป่วยสูงอายุกลุ่มโรค NCDs ที่มักมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไตวายเรื้อรัง อาจต้องรับประทานยาปริมาณมาก ขณะที่ยาเหล่านั้นอาจออกฤทธิ์แค่ 10-20% เท่านั้น การใช้อนุภาคนาโนไขมันเข้าไปช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหาร จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สามารถลดปริมาณยาและลดการได้รับผลข้างเคียงจากยา ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น” ขณะนี้เทคโนโลยีผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับ Pre-Clinic ในสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างต่อยอดการทดสอบทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีร่วมกับพันธมิตรและเครือข่าย ทั้งคณะเภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หากได้ผลดีจะมีการทดสอบในอาสาสมัครที่มีแนวโน้มเป็นโรคในกลุ่ม NCDs และผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่ม NCDs ต่อไป โดยทีมวิจัยคาดว่าจะผลักดันเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ได้ภายในระยะเวลา 3-5 ปี “การออกแบบการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแบบมุ่งเป้าด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บยาหรือสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในอนุภาคนาโนไขมันที่ดัดแปลงพื้นผิวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา บรรเทาอาการเจ็บปวด ลดผลข้างเคียงของยา และช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญหากประเทศพัฒนานวัตกรรมได้เอง จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น” อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอนุภาคนาโนที่ ดร.มัตถกา พัฒนาขึ้น ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การรักษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีแผนนำไปใช้ในเชิงเวชศาสตร์ป้องกันในด้านการชะลอและป้องกันการเกิดโรค NCDs รวมถึงประยุกต์ใช้ในการกักเก็บสารสกัดหรือสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย “อนุภาคนาโนไขมันที่พัฒนาขึ้นยังใช้กักเก็บสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive) จากสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ในเรื่องการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคในกลุ่ม NCDs รวมถึงกักเก็บสารสกัดสำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำอนุภาคนาโนไขมันไปใช้กักเก็บสารสกัดกระชายดำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และปัจจุบันสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกระชายดำในเชิงเวชสำอางและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของผลงานวิจัยภายใต้แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทยเพื่อความงาม สุขภาพ และอายุยืนยาว (PhytoEX) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในมิติเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย และสอดรับกับแผนนโยบายประเทศในการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยที่มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน” อนุภาคนาโนไขมันไม่เพียงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสุขภาพของคนไทย แต่ยังเป็นองค์ความรู้ที่ช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางคุณภาพสูงในอนาคต ดร.มัตถกา กล่าวว่า การได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทยจากลอรีอัลในครั้งนี้ รู้สึกภูมิใจและปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นรางวัลที่มีคุณค่าสูงสุดแล้วสำหรับนักวิจัยหญิง ดีใจที่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเห็นคุณค่าในผลงานวิจัย เนื่องจากรางวัลนี้มีการพิจารณาจากผลงานที่ตอบโจทย์หรือสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้จริง ฉะนั้นการได้รางวัลจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันหรือสะท้อนให้เห็นว่า งานวิจัยและแผนกลยุทธ์ที่ สวทช. ผลักดันนั้นมาถูกทาง และสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้จริง “ในฐานะนักวิจัยรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เห็นงานวิจัยไปถึงมือผู้ใช้ หรือถ่ายทอดสู่ผู้ประกอบการเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ ปัจจุบันพยายามผลักดันอนุภาคนาโนไขมันเพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากสมุนไพร และยาสมุนไพรให้สำเร็จ รวมทั้งวางแผนวิจัยต่อยอดในกลุ่มโรคติดเชื้อ เพราะทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยามากขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายสูงสุดของการทำวิจัยที่มุ่งหวังไว้คือให้คนไทยได้ใช้นวัตกรรมแล้วมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นักวิจัย สวทช. รับรางวัล PVSEC Award ในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ครั้งที่ 36
เมื่อวันที่ 13-14 พฤศจิกายน 2568 ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับนักวิจัยที่ได้รับรางวัลภายในงานการประชุมวิชาการนานาชาติด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ครั้งที่ 36 (The 36th  International Photovoltaic Science and Engineering Conference: PVSEC-36) การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ENTEC และ NECTEC  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย และหน่วยงานพันธมิตร เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์และแผน นโยบาย กำกับกิจการพลังงานสะอาดจากเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ในระดับสากล ภายในงานประกอบด้วยการบรรยายพิเศษ การนำเสนอผลงานวิชาการกว่า 470 เรื่อง การจัดนิทรรศการ และกิจกรรมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ นอกจากนี้ยังจัดให้มีพิธีมอบรางวัลสำคัญระดับนานาชาติ ได้แก่ รางวัล PVSEC Special Awards, PVSEC Awards, PVSEC Hamakawa Awards และ PVSEC Young Scientist Awards ซึ่งได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์มาโกโตะ โคนากาอิ ประธาน PVSEC IAC การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมไฟฟ้าโซลาร์เซลล์นานาชาติ (PVSEC) เป็นผู้มอบรางวัลให้แก่ผู้ที่มีผลงานโดดเด่น ในโอกาสนี้ มีนักวิจัยจาก สวทช. ที่ได้รับรางวัลดังนี้ รางวัล PVSEC Award 2025 ได้แก่  ดร.กอบศักดิ์ ศรีประภา นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช. จากผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ของไทยต่อเนื่องยาวนานกว่า 26 ปี โดยมีผลงานโดดเด่นตั้งแต่การพัฒนาไลน์การผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดฟิล์มบางซิลิคอน การสร้างองค์ความรู้ด้านวัสดุซิลิคอนแถบกว้าง การประยุกต์ใช้ระบบ PV ในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน การประเมินประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์กำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ดร.กอบศักดิ์ ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันงานวิจัยสู่การใช้งานจริงผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานแสงอาทิตย์ระดับแนวหน้าของประเทศไทย รางวัล PVSEC Young Scientist Award 2025 ได้แก่  ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.  จากผลงานวิจัยด้านเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีความโดดเด่น ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ชนิดแทนเดม การศึกษาประสิทธิภาพและความเสถียรของแผงโซลาร์เซลล์ภายใต้สภาพภูมิอากาศเขตร้อน ตลอดจนงานวิจัยเชิงลึกด้านการเสื่อมสภาพของแผง PV ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ดร.อมรรัตน์ ยังขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นผู้นำโครงการจัดการแผงโซลาร์เซลล์หมดอายุในประเทศไทย โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อวางแนวทางการจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน รางวัลที่นักวิจัย สวทช. ได้รับในครั้งนี้ สะท้อนถึงศักยภาพและความเป็นเลิศของงานวิจัยด้านพลังงานสะอาดของไทยในเวทีโลก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันบทบาทของ สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยระดับชาติที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำประเทศไทยสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และสร้างความยั่งยืนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อวท. เปิดรับสมัคร Startup รุ่นใหม่ ร่วมโครงการ “TED Youth Startup 2026” รับทุนสูงสุด 1.5 ล้านบาท
  อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) หนึ่งในเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ (TED Fellow) ภายใต้โครงการ “พัฒนานวัตกรรมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (TED)” เปิดรับสมัครสตาร์ทอัปที่ต้องการยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมก้าวสู่การขยายตลาดเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม โครงการมอบการสนับสนุนทุน สูงสุด 1,500,000 บาท เพื่อช่วยต่อยอดงานวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ บ่มเพาะทักษะการทำธุรกิจนวัตกรรม และเชื่อมโยงเครือข่ายที่จำเป็นสำหรับการเติบโต   สิทธิประโยชน์ที่ผู้สมัครจะได้รับ คำปรึกษาแบบใกล้ชิดตลอดโครงการ ตั้งแต่การเตรียมเอกสารขอทุน การพัฒนาโครงการ ไปจนถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายและปิดโครงการ คำปรึกษาด้านธุรกิจนวัตกรรม และโอกาสเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรจากภาคอุตสาหกรรม การวิจัย และเทคโนโลยี พื้นที่ทำงานและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อใช้พัฒนา ต่อยอด และทดสอบผลงานด้านเทคโนโลยี   ภายใต้เงื่อนไขโครงการ ต้องเป็นสมาชิกเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการโดย อวท. (TED Fellow) ระยะเวลาดำเนินโครงการไม่เกิน 1 ปี สนับสนุนค่าใช้จ่ายในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 90 ของมูลค่าโครงการ   🚀ประเภทการสนับสนุน ✅ พัฒนาต้นแบบ ✅ การวิเคราะห์ทดสอบและขอรับรองมาตรฐาน ✅ การทดสอบตลาด ✅ การถ่ายทอดเทคโนโลยี/การซื้อสิทธิ์ ✅ ที่ปรึกษาและเชี่ยวชาญ   คุณสมบัติผู้สมัคร 👨🏻‍💼 เป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศไทย 👩🏻‍💼ต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 1 คน (ถือหุ้นรวมตั้งแต่ 31% ขึ้นไป) ที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป หรือสำเร็จการศึกษาไม่เกิน 5 ปี   เปิดรับสมัคร วันนี้ – 1 ธันวาคม 2568 ลงทะเบียนสมัครได้ที่: https://docs.google.com/forms/d/12C8BXDHxSRu0-y41fNn2zYklx-Ks6Xk62nyp81XRuH4/viewform?edit_requested=true รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.sciencepark.or.th/th/ted-fund/poc   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) คุณกฤษกรณ์ โทร. 086 362 6185 คุณปราชญ์ โทร. 095 953 9606 Email: bcd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม