หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ และสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนเครือข่ายวิจัยเพื่อศึกษาไบโอชาร์ (Biochar) สำหรับการเป็นนวัตกรรมกักเก็บคาร์บอน
วันที่ 27 มกราคม 2568 ณ สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MoU) เพื่อขับเคลื่อนเครือข่ายวิจัยด้านถ่านชีวภาพ (BioChar) สำหรับการพัฒนาเป็นนวัตกรรมกักเก็บคาร์บอน เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ณ สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายในพิธีลงนามดังกล่าว ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ เอ็มเทค และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สัญชัย จตุรสิทธา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล ผู้อำนวยการสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารและนักวิจัยจากทั้งสามหน่วยงานเข้าร่วม โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไบโอชาร์จากขยะที่ผ่านการคัดแยก รวมถึงการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมดังกล่าวในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไ ในช่วงบ่ายได้มีการจัดกิจกรรม "Kick Off Thai BioChar Consortium" ซึ่งเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สามารถอ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – ผนึกพันธมิตร พร้อมเปิดรับสมัครโครงการ IDEx 2025 พัฒนาผู้ประกอบการไทยด้านการส่งออก ให้สามารถแข่งขันในระดับสากล
(วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568) ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 5 โรงแรม S31 Sukhumvit Hotel: ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โดยมี ม.ล. ภาสกร อาภากร ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ คุณสิริกาญจน์ ประเสริฐยิ่ง ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) คุณประเสริฐจิต ศรีนิลทา ผู้บริหารธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ผู้บริหารสำนักงานนโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ผู้บริหาร ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย นายกสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด เข้าร่วมงาน ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของการดำเนินโครงการ IDEx (ไอ-ดี-อี-เอ็กซ์) ปี 2024 และการเปิดตัวโครงการ IDEx 2025 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเป็นที่ 2 โครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการ Flagship project ของประเทศ เพื่อนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยผู้ประกอบการ SMEs ไทยในการสร้างความพร้อม สู่การส่งอออกต่างประเทศ โดยการดำเนินงานในโครงการ IDEx 2024 แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี วิจัยและพัฒนาด้วยผลงานวิจัย สวทช. โดยใช้กลไก ITAP ด้วยการคัดสรรผู้เชี่ยวชาญที่จำเป็นมาร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมความพร้อมการส่งออก และใช้เครือข่ายทางธุรกิจ ที่ปรึกษา ที่เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศของฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) ให้เข้าใจตลาดและธุรกิจในประเทศเป้าหมาย ออกแบบโครงการตลอดจนผสมผสานกลไกต่าง ๆ ทั้งใน สวทช. และพันธมิตร ในหลายมิติ เพื่อเชื่อมโยงสร้างโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล เกิดความร่วมมือกันเพื่อจะทำธุรกิจกับต่างประเทศได้ ซึ่งความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้นำศักยภาพด้านนวัตกรรมไปสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ สำหรับปีนี้ IDEx 2025 ได้ถูกออกแบบให้ต่อยอดความสำเร็จเดิม พร้อมทั้งเพิ่มแนวทางใหม่ ๆ พันธมิตรใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ สวทช. ในฐานะองค์กรหลักในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย พร้อมที่จะให้บริการ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตในตลาดสากล โดยนำงานวิจัยที่พร้อมใช้และพร้อมให้บริการ SMEs อาทิ การให้คำปรึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำหรับงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอด การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ โดยทีมวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อใหธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ “สวทช.พร้อมนำความสามารถของนักวิจัยมาเป็นขุมพลังขับเคลื่อน สนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถยกระดับการแข่งขันในระดับสากลได้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ IDEX 2025 จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทย สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเครื่องมือในการขยายตลาดต่างประเทศ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลก” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สวทช. กล่าวว่า โครงการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ผู้ประกอบการไทยยุคใหม่ เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ IDEx ได้ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งนับได้ว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสองหน่วยงานของ สวทช. ได้แก่ ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) และ ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างเข้มแข็ง ผ่านกลไกการสนับสนุนที่ สวทช. มีความเชี่ยวชาญ อาทิ การสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การให้คำแนะนำในการจัดทำแผนธุรกิจ การเชื่อมโยงการเปิดตลาดต่างประเทศผ่านกิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจโดยผู้เชี่ยวชาญในตลาดเป้าหมาย ทั้งนี้ผลสำเร็จเป็นรูปธรรมที่ผ่านมาของ IDEx 2024 คือ ผู้ประกอบการมากกว่า 67 ราย ได้รับการประเมินความพร้อมด้านการส่งออก และสามารถขยายตลาดไปสู่ระดับสากลได้จำนวน 11 บริษัท ใน 4 ประเทศ (ไต้หวัน เวียดนาม เกาหลีใต้ บาห์เรน) นอกจากนี้ผู้ประกอบการมากกว่า 35 บริษัท ยังได้รับคำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นกำลังใจให้เราเร่งดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องในปี 2568 แต่ยังทำให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้โครงการ IDEx 2025 สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ ทั้งในด้านการลงทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สำหรับในปีนี้ IDEx 2025 ได้รับความอนุเคราะห์จากพันธมิตรที่ดีของ สวทช. ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่จะร่วมมือกันนำพาผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดสากล ผ่านกลไกต่าง ๆ เท่าที่ภาครัฐจะสามารถสนับสนุนให้ท่านเติบโตได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งโครงการฯ ยังมีแผนที่จะนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น Big Data, AI, Social Listening พร้อมกลไกสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญของ ITAP และทีมวิจัยจากแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) มาร่วมให้คำปรึกษาอีกด้วย “IDEx 2025 ยังเน้นความสำคัญของการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติ โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการค้ำ การลงทุน และเทคโนโลยีจากประเทศ เกาหลีใต้ จีน และฮ่องกง มาร่วมแบ่งปันความรู้และแนวปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดได้อย่างเป็นระบบ ทั้งกลยุทธ์การเจาะตลาด การบริหารความเสี่ยงด้านการค้าระหว่างประเทศ หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม เป็นต้น ทั้งนี้ขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ IDEx 2025 ซึ่งกำลังเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพันธมิตรทุกภาคส่วนระร่วมกันเป็รเพื่อส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากลได้อย่างยั่งยืน” ผู้อำนวยการฝ่าย BID สวทช. กล่าวทิ้งท้าย โครงการ IDEx 2025 เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel : 0 2564 7000 ต่อ 71746,71748,71749 อีเมล: idex@nstda.or.th     
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ฝีมือนักวิจัยไทย! นวัตกรรมเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง OSSICURE Bone Graft
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (MTEC สวทช.) ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามสัญญาร่วมทดสอบทางคลินิกผลิตภัณฑ์ OSSICURE Bone Graft เพื่อนำไปศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลและความปลอดภัยกับผลิตภัณฑ์อ้างอิง Infuse Bone Graft ในการเชื่อมข้อกระดูกสันหลังส่วนเอว   สำหรับ OSSICURE Bone Graft เป็นนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ฝังใน พัฒนาโดยนักวิจัย MTEC สวทช. สามารถใช้ทดแทนกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง ซึ่งปัจจุบันผ่านการศึกษาในห้องปฏิบัติการและสัตว์ทดลองแล้วพบว่ามีความปลอดภัย และจะดำเนินการทดสอบทางคลินิกเป็นเวลา 3 ปี เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้งานจริง
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
University of Luxembourg x Nectec เดินหน้าขยายความร่วมมือการวิจัยด้าน Electronics, Computer, Telecommunications และ Information Technologies
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 H.E. Mr. Patrick Hemmer เอกอัครราชทูตราชรัฐลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการวิจัยและพัฒนาด้าน Electronics, Computer, Telecommunications และ Information Technologies ระหว่าง University of Luxembourg และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พิธีลงนามจัดขึ้น ณ ห้องบุษกร อาคารเนคเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมี Professor Marie - Hélène Jobin, Vice Rector for Partnerships and International Relations และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ร่วมในพิธีลงนามในข้อตกลง พร้อมด้วย Professor Pascal Bouvry, Dean of the Faculty of Science, Technology and Medicine (FSTM) และ ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี โดย MOU ฉบับนี้เป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่างเนคเทค สวทช. และ University of Luxembourg ซึ่งได้เริ่มต้นความร่วมมือในด้าน High-Performance Computing และ Cloud Computing ตั้งแต่ปี 2561 และครั้งนี้เป็นการลงนามเพื่อขยายกรอบความร่วมมือของ MOU ให้กว้างขึ้นให้ครอบคลุมในด้าน Electronics, Computer, Telecommunications และ Information Technologies เพื่อพัฒนางานวิจัยร่วมกันและแลกเปลี่ยนความรู้ บุคลากร รวมถึงการจัดฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เป้าหมายสำคัญของความร่วมมือนี้คือการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย การบริหารจัดการเทคโนโลยี และการวิจัยร่วมกันในระยะยาว เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือประเทศทั้งสองฝ่ายในด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีแถลงผลงานที่ผ่านมา ผลลัพธ์จากการประชุมเชิงปฏิบัติ และทิศทางในอนาคตสำหรับโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น อาทิ ในด้าน AI, Big data, HPC และ Security เป็นต้น  รวมถึงการแนะนำทุนสนับสนุนจากยุโรปที่สามารถยื่นขอร่วมกันได้ (โดยวิทยากร Dr. K.R.M.H. Tatas H.P. Brotosudarmo,​ EURAXESS Worldwide Representative for ASEAN) ตลอดจนการอภิปรายเพื่อพัฒนากลยุทธ์ในการทำงานร่วมกัน [caption id="attachment_66078" align="aligncenter" width="300"] Screenshot[/caption] [caption id="attachment_66079" align="aligncenter" width="300"] Screenshot[/caption] [caption id="attachment_66080" align="aligncenter" width="300"] Screenshot[/caption] พิธีลงนามและการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง University of Luxembourg และ เนคเทค เพื่อขยายขอบเขตการวิจัยและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากลต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดเวทีใหญ่แห่งปี “NAC2025” ผนึกพลังวิจัย ‘ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI’ 26-28 มีนาคมนี้ ที่ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
(25 กุมภาพันธ์ 2568) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พร้อมด้วยทีมนักวิจัย สวทช. ภายใต้กระทรวง อว. และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมงานแถลงข่าวการจัดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 (20th NSTDA Annual Conference: NAC2025) ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน: AI-driven Science and Technology for Sustainable Thailand” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2568 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ในการขับเคลื่อนการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน หรือ S&T Implementation for Sustainable Thailand ด้วยตระหนักดีว่า วทน. เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นขุมพลังในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยอย่างทั่วถึง และสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศ การจัดงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NSTDA Annual Conference: NAC) จึงเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญที่ สวทช. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นเวทีระดับประเทศในการนำเสนอความก้าวหน้าทาง วทน. ที่ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย ซึ่งในปีนี้จัดภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน”(AI-driven Science and Technology for Sustainable Thailand) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ งานวิจัยและพัฒนาด้าน AI แนวทางการบูรณาการเข้ากับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ ภายใต้การดำเนินงานของ 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติภายใต้สังกัด สวทช. ได้แก่ BIOTEC, MTEC, NECTEC, NANOTEC และ ENTEC เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชน รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนด้าน AI เพื่อรองรับความต้องการตลาดแรงงานและสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสอดคล้องกับนโยบาย อว.For AI ของกระทรวง อว. “ในโอกาสนี้ สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 และทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” ในวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568 เวลา 09.00-14.00 น. นอกจากนี้ไฮไลต์สำคัญของปีนี้ยังมีการสัมมนาพิเศษ “Decoding Thailand’s AI Future: Strategy for Competitive Edge ” (วันที่ 26 มีนาคม 2568) ซึ่ง สวทช. ผนึกกำลังกับ Techsauce เชิญวิทยากรชั้นนำของประเทศมาร่วมถอดรหัสและวางยุทธศาสตร์เส้นทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่การวางรากฐานนโยบาย ค้นหาโอกาส Quick Win ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เรียนรู้บทเรียนจากทั่วโลกเพื่อกำหนดทิศทางที่เหมาะสมกับไทย เจาะลึกปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านกรณีศึกษาจากภาคธุรกิจชั้นนำ รวมถึงตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI จริงในภาคส่วนต่าง ๆ ผ่านผลงานวิจัย สวทช.” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว ด้าน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า ในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม การพัฒนา AI Ecosystem อย่างเข้มแข็ง เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับภูมิภาคและระดับโลก ดังนั้นการจัดงานประชุม NAC2025 ถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันระบบนิเวศ AI ของไทย ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังเปิดโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และเตรียมความพร้อมให้ทุกภาคส่วนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การพัฒนา AI Ecosystem ของประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคจะเกิดผลสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. จริยธรรม AI 2. โครงสร้างพื้นฐาน 3. การพัฒนาบุคลากร 4. วิจัยและนวัตกรรม และ 5. การส่งเสริมธุรกิจ AI อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง เพื่อทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลาง AI ในระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคง แข็งแกร่งและเกิดความยั่งยืนได้ในอนาคตอันใกล้ ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอด 3 วันของการจัดงาน NAC2025 ผู้เข้าชมงานทุกท่านจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของงานประชุมวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ครบรส โดยมุ่งเน้นการนำเสนอศักยภาพ ของ สวทช. ผ่านผลงานวิจัยในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ สัมมนาวิชาการ 40 หัวข้อ  ซึ่งเป็นเวทีการอภิปรายและบรรยายพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นิทรรศการกว่า 100 บูท ที่จัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร ที่เน้นการพัฒนา AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมของประเทศ ทั้งนี้ภายในงานแถลงข่าวยังมีการนำเสนอ 5 ผลงานวิจัยเด่น ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน วทน. ด้วย AI ได้แก่ Pathumma LLM: โมเดล AI ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง โดยใช้เทคโนโลยี Multi-Modal AI ซึ่งรวม 3 ความสามารถหลัก ได้แก่ Text LLM สำหรับประมวลผลภาษาไทย Vision LLM สำหรับวิเคราะห์และเข้าใจภาพ และ Audio LLM สำหรับจดจำและตอบสนองต่อเสียงภาษาไทย ระบบถูกพัฒนาแบบ Open Source เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน ขับเคลื่อนการพัฒนา AI ไทย และรองรับการใช้งานในทุกภาคอุตสาหกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของสังคมไทย Genomics Medicine: การใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านพันธุกรรมมนุษย์ (Genomics Medicine) เพื่อยกระดับการแพทย์ไทย ระบบสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์แบบเดิมร่วมกับข้อมูลพันธุกรรม ช่วยให้แพทย์ระบุตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของโรคได้แม่นยำ นำไปสู่การวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย Hydrogen Economy: สวทช. ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนแบบองค์รวม โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการพัฒนาไฮโดรเจนชีวภาพ (Biohydrogen) และไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) จากกระบวนการทางชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ในระบบเศรษฐกิจแบบ BCG ทั้งภาคพลังงาน การขนส่ง และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการพัฒนายานยนต์ไฮโดรเจน (FCEV) ที่เป็นเทคโนโลยีสะอาดช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การประยุกต์ใช้ AI เพื่อตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ: นวัตกรรมตรวจวัดไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำที่ประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ ระบบสามารถจำแนกชนิดพลาสติก (PE, PP, PET, PS และ PVC) และปริมาณได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที ด้วยอุปกรณ์แบบพกพาราคาประหยัด ทำให้การติดตามตรวจสอบไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำต่างๆ มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงขึ้น Gunther อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และแอปพลิเคชัน Janine: นวัตกรรมเฝ้าระวังการหกล้มและเคลื่อนไหวผิดท่าสำหรับผู้สูงอายุ ผสานการทำงานระหว่างเซนเซอร์ Gunther IMU ที่ช่วยบ่งชี้ท่าทางและการเคลื่อนไหว และแอปพลิเคชัน Janine ที่ประมวลและแสดงผลแบบเรียลไทม์ โดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ในการเรียนรู้ท่าทางจึงไม่ต้องตั้งโปรแกรมเฉพาะ ช่วยให้ผู้สูงอายุและผู้ดูแลติดตามและป้องกันความเสี่ยงต่อการหกล้มและการบาดเจ็บระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม OPEN HOUSE จำนวน 9 เส้นทาง  ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้าถึงห้องปฏิบัติการวิจัย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ จำนวน 2 วัน คือ วันที่ 26 และ 28 มีนาคม 2568  โดยมีเส้นทางที่น่าสนใจ อาทิ กลุ่มเกษตรอัจฉริยะ, กลุ่มเครื่องสำอางเพื่ออนาคต, กลุ่ม Wellness Tech เส้นทางสู่ “Thailand Health Hub” และกลุ่มอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมทั้ง กิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจด้าน AI และนวัตกรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านเวิร์กช็อปและการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่เยาวชนสามารถมาทดลองเล่นและเรียนรู้ได้ในงาน คือ หุ่นยนต์นำทางในเขาวงกต NSTDA Micro-Mouse ที่จะช่วยส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนวัตกรรม โดยเยาวชนที่เข้าร่วมงานประชุมวิชาการ สวทช. สามารถเข้าร่วมกิจกรรมกระทบไหล่ ‘ทีม BRR ROBOT’ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา แชมป์การแข่งขันหุ่นยนต์นำทางในเขาวงกต NSTDA Micro-Mouse Contest ครั้งที่ 1 โดยสามารถร่วมกิจกรรมและทดลองเล่นจากสนามจริง ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 และ 28 มีนาคม 2568 ตลอดวัน เป็นต้น ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและลงทะเบียนร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ www.nstda.or.th/nac/    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2564 8000
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
TIIS สวทช. ร่วม COP29 ขับเคลื่อนเป้าหมายลดโลกร้อน พร้อมเดินหน้าสนับสนุนข้อมูลก๊าซเรือนกระจกต่ออย่างเต็มกำลัง
  COP หรือ Conference of the Parties คือ การประชุมระหว่างสมาชิก 198 ภาคี เพื่อกำหนดแนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน ซึ่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมครั้งที่ 29 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ทั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เป็นหนึ่งในตัวแทนองค์กรจากประเทศไทยเข้าร่วมรับฟังและนำเสนอแนวทางการทำงานขับเคลื่อนประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก   [caption id="attachment_65955" align="aligncenter" width="400"] ดร.จิตติ มังคละศิริ หัวหน้าทีมวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตและการประยุกต์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการค้า TIIS สวทช.[/caption]   ดร.จิตติ มังคละศิริ หัวหน้าทีมวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตและการประยุกต์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการค้า TIIS สวทช. อธิบายว่า ในการประชุม COP29 มีการพูดคุยหลายประเด็นสำคัญ เช่น การเพิ่มเพดานเป้าหมายการสนับสนุนทางการเงินเพื่อภูมิอากาศ (climate finance) ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาจาก 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) หรือประมาณ 3 เท่าตัว เพื่อช่วยเหลือด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีการทำข้อตกลงด้านการดำเนินการซื้อขายคาร์บอนจนเสร็จสมบูรณ์ พร้อมวางแนวทางสนับสนุนให้ประเทศกำลังพัฒนามีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ มีการหารือเรื่องความโปร่งในการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และอีกหนึ่งประเด็นที่เป็นวาระสำคัญของการประชุมครังนี้คือ การก่อตั้งกองทุนเพื่อรับมือความสูญเสียและเสียหาย (Fund for Responding to Loss and Damage) ที่จะเริ่มดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบหลังการหารือครั้งนี้ ในการประชุมครั้งนี้ สวทช. ได้รับเชิญให้ร่วมจัดกิจกรรมคู่ขนานในศาลาไทย (Thailand pavilion) เพื่อสร้างการรับรู้ต่อประเทศภาคี COP29 เกี่ยวกับประโยชน์ของการดำเนินงานด้านการจัดทำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตและค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือ Greenhouse Gases Emission Factor (GHGs EF) เพื่อสนับสนุนการวางแผนบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนด้วย   [caption id="attachment_65960" align="aligncenter" width="400"] วันวิศา ฐานังขะโน ทีมวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตและการประยุกต์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการค้า TIIS สวทช.[/caption]   วันวิศา ฐานังขะโน ทีมวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตและการประยุกต์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการค้า TIIS สวทช. อธิบายว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของ TIIS ที่ดำเนินงานมาเป็นเวลากว่า 15 ปี คือการจัดทำค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากภาคการผลิตหรือบริการที่คิดรวมการปล่อยก๊าซต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ โดยมุ่งเน้นการจัดเก็บข้อมูลที่ทันสมัยจากแหล่งการผลิตจริงตามมาตรฐาน ISO 14040 และ 14044 “ที่ผ่านมา TIIS ได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้สนับสนุนภาครัฐในการวางแผนนโยบายสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการก้าวผ่านข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศมาโดยตลอด ตัวอย่างการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การสนับสนุนฐานข้อมูลให้แก่สำนักงานส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อม (TGO) เพื่อจัดทำฉลากคาร์บอนหรือฉลากรับรองปริมาณการปล่อยคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ สำหรับให้ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม     “อีกตัวอย่างเด่นคือ การสนับสนุนข้อมูลการปล่อยคาร์บอนให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมเพื่อใช้จัดทำเอกสารรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสำหรับจัดส่งให้แก่ EU ตามมาตรการ CBAM​ (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ซึ่งมีผลบังคับใช้กับ 6 อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ผลจากการสนับสนุนฐานข้อมูลนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินการค้ากับ EU ได้ต่อเนื่องแบบไร้รอยต่อ แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการตระหนักรู้ถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละกิจกรรมการผลิตของตน เพื่อใช้หาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเหมาะสมต่อไป โดยหากผู้ประกอบการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันกับทั้ง EU และตลาดโลกด้วย”     บทบาทการทำงานของ TIIS ด้านการจัดทำฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้สิ้นสุดแค่เพียงการสนับสนุนข้อมูล เพราะ TIIS ยังทำหน้าที่ช่วยชี้โอกาสการปรับเปลี่ยนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย ดร.จิตติ กล่าวเสริมว่า บุคลากรของ TIIS มีประสบการณ์การทำงานที่ครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญของประเทศไทย เช่น ไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง เกษตร สิ่งทอ ทำให้มีศักยภาพที่จะช่วยชี้ให้เห็นจุดที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และจุดที่มีโอกาสบริหารจัดการเพื่อนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย TIIS จะช่วยแนะนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม และเชื่อมต่อกับนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งจากภายใน สวทช. และหน่วยงานวิจัยภายนอกในการร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอน     “TIIS คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยเหลือหน่วยงานต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ได้ อย่างไรก็ตามการดำเนินงานจะเป็นไปด้วยความราบรื่นไม่ได้หากขาดนโยบายและการสนับสนุนที่เหมาะสมจากทั้งผู้บริหารทั้งในระดับชาติ กระทรวง กลุ่มอุตสาหกรรม และองค์กร เพราะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่แก้ไข้ได้ง่ายด้วยใครเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่จะทำได้หากเราทุกคนร่วมมือกัน” สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TIIS เข้าชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nstda-tiis.or.th เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย TIIS สวทช. และ Adobe Stock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อว. โดย สกสว.- สวทช. โชว์วิสัยทัศน์พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น เรื่อง “Offset Policy เครื่องมือสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยให้สูงขึ้น”
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องคริสตัล 3-4 ชั้น 3 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย รศ. ดร.นพพร  ลีปรีชานนท์ ​รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็น เรื่อง “Offset Policy เครื่องมือสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยให้สูงขึ้น” และ รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ บรรยายพิเศษ เรื่อง “Offset Policy มาตรการสร้างความร่วมมือและพัฒนาอุตสาหกรรมไทย” และมี ทีมนักวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมนำเสนอผลการศึกษา เรื่อง “แนวปฏิบัตินโยบายการชดเชยกับการสร้างความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ อันเกิดจากการจัดซื้อขนาดใหญ่ของภาครัฐ : กรณีศึกษาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมระบบรางไทย” มีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานวิจัยของภาครัฐ และบริษัทเอกชน ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานกลางที่ดูแลด้าน พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เข้าร่วมรับฟัง ภายในงานยังมีการเสวนาพิเศษ เรื่อง “Offset Policy เครื่องมือสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยให้สูงขึ้น” โดยมี รศ. ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) การพัฒนาเศรษฐกิจไทย สกสว. กล่าวถึงแนวทางการจัดสรรงบประมาณ ววน. และเครื่องมือสร้างแรงจูงใจให้เกิดการกำหนดกิจกรรมชดเชยในโครงการภาครัฐและสนับสนุนผู้ประกอบการเอกชน นาวาอากาศเอก สุรพงษ์ ศรีวนิชย์ รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารอากาศ บอกเล่าถึงที่มาที่ไป แรงผลักดันในการกำหนด Offset ในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ว่าเป็นเรื่องที่กองทัพอากาศให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด และ นาวาเอก ชัยยุทธ์ คลังเงิน รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารเรือ บอกเล่าถึงประสบการณ์และแนวทางการใช้ Offset ต่อการสร้างประโยชน์และพัฒนาประเทศ คุณอดิศร สิงหกาญจน์ วิศวกรอำนวยการศูนย์ซ่อมรถดีเซลรางและรถปรับอากาศ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แสดงความเห็นต่อความเป็นไปได้ในการใช้การชดเชยในการจัดซื้อรถไฟ คุณศมาธร เทียนกิ่งแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด เน้นย้ำถึงประโยชน์และโอกาสของภาคเอกชนหากรัฐมีการดำเนินนโยบาย Offset อย่างจริงจัง และ คุณบุษรา ลำพูน นักวิชาการคลังชำนาญการพิเศษ กองการพัสดุภาครัฐ กรมบัญชีกลาง กล่าวถึงแผนและแนวทางการผลักดันเรื่องนี้ในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะออกเป็นกฎกระทรวงภายใต้กระทรวงการคลัง รศ. ดร.นพพร  ลีปรีชานนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า นโยบายการชดเชย หรือ Offset Policy เป็นมาตรการกำหนดเงื่อนไขให้โครงการภาครัฐที่ซื้อจากต่างประเทศและมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ต้องกำหนดกิจกรรมการชดเชย ซึ่งที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยมีนโยบายนี้เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 และมอบหมาย สกสว.  สอวช. และกรมบัญชีกลาง ไปจัดทำแนวปฏิบัติและยกร่างกฎระเบียบรองรับการดำเนินนโยบาย โดยมี สวทช. เป็นหน่วยศึกษาวิจัย ซึ่งถือเป็นกลไกใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากการที่รัฐต้องลงทุนจัดซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ให้สามารถสร้างความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐให้เกิดประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเปิดโอกาสให้เอกชนมีโอกาสเข้าร่วมในการเป็นผู้รับการดูดซับความรู้ เทคโนโลยี และกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้โดยตรง เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่เป็นมาตรการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ “เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม” มาสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้กับอุตสาหกรรมไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยรัฐทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุน และเอกชนเป็นผู้เล่นหลักในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจประเทศ “เรื่องนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ที่ช่วยสนับสนุนในการนำไปออกกฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนกลไกสู่ภาคปฏิบัติ และปลดล็อคปัญหาในการซื้อสินค้าจากต่างประเทศของระบบราชการให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ ตรวจสอบได้ มีความโปร่งใส และปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมไทยเป็นผู้ซื้ออย่างเดียว เป็นการเป็นผู้ซื้ออย่างชาญฉลาด สามารถใช้โครงการมูลค่าสูงต่อรองให้เราได้ประโยชน์ในเรื่องที่ไทยมีน้อย หรือยังขาดด้วย ทั้งนี้ สิ่งสำคัญ เอกชนไทย สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต้องเร่งพัฒนาตนเอง ซึ่งอาจร่วมมือกันเป็นองคาพยพในการระดมทรัพยากรต่าง ๆ ให้พร้อมเป็นผู้รับการถ่ายโอนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและเทคโนโลยีเป้าหมายอย่างเข้มข้นและจริงจังด้วย  ผลจากการศึกษาปรากฏให้เห็นชัดว่า การมีหน่วยทำหน้าที่บริหารจัดการเรื่อง Offset Policy เป็นการเฉพาะเป็นเรื่องที่ประเทศจำเป็นต้องมี เพื่อให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบนิเวศ โดยมีระบบติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลตลอดจนการดำเนินงานแล้วเสร็จ” รศ.ดร.นพพร  กล่าว ดร.บัญชา ดอกไม้ และคุณวทัญญู พุทธรักษา นักวิจัยโครงการ สวทช. กล่าวว่า การประชุมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ เพื่อนำเสนอผลการศึกษาและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น รับฟังข้อเสนอแนะต่อการจัดทำคู่มือ หลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติ และผลการศึกษาศักยภาพของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย ซึ่งพบได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และเข้าข่ายเหมาะสมต่อการใช้นโยบายการชดเชย (Offset) มากที่สุด อันเป็นการสร้างความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณในการยกระดับการพัฒนาประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น คุณดารารัตน์ รัชดานุรักษ์ หัวหน้าโครงการวิจัย สวทช. กล่าวว่า จากข้อเสนอผลการศึกษาในโครงการนี้คาดหวังว่า ประเทศไทยจะมีคู่มือแนวปฏิบัติประกอบการดำเนินนโยบายการชดเชย (Offset Policy) ของประเทศ สำหรับการนำไปใช้พิจารณาประกอบการออกกฎ ระเบียบที่มีผลบังคับใช้และปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐจะมีข้อมูลสถานภาพและศักยภาพของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมระบบรางไทย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เชิญชวนผู้ประกอบการร่วมโครงการ DE4CE ครั้งที่ 4 : Design 4 Circular Economy Challenge Season IV
📢 โอกาสทองสำหรับ Startups และผู้ประกอบการ! 🚀 📣 สวทช. ขอเชิญ Startups และผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนา ผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต หรือบริการ ตามแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (CE) 🌱 เข้าร่วม Design 4 Circular Economy Challenge Season 4 🔍 ค้นหานวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน!✅ ที่ปรึกษาระดับผู้เชี่ยวชาญจากไทยและต่างประเทศ✅ โอกาสพัฒนาแนวคิดและต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์✅ ได้รับทุนสนับสนุนพัฒนาต้นแบบสูงสุด 100,000 บาท! 📆 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ. 2568💡 ร่วมเป็น Challenger เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน! 📲 สมัครเลย >> https://bit.ly/48fLBWz 📞 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม☎️ 08-0569-9195 (คุณชนิต) ☎️ 08-9143-3927 (คุณณัฐกร)📧 DE4CE@mtec.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
ครั้งแรกในไทย ! แข่งขันหุ่นยนต์นำทางพิชิตเขาวงกต NSTDA Micro-Mouse Contest
ผ่านพ้นไปแล้ว! สำหรับกิจกรรมค่าย และ การแข่งขันหุ่นยนต์นำทางพิชิตเขาวงกต NSTDA Micro-Mouse Contest ครั้งที่ 1 (The 1st NSTDA Micro-Mouse Contest : NMMC2025 ) จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. จ.ปทุมธานี มีทีมเยาวชน 20 ทีม จากการคัดเลือกผู้สมัครแข่งขันกว่า 400 ทีมทั่วประเทศ มาเข้าค่ายกิจกรรมบ่มเพาะเป็นเวลา 3 วัน เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบและควบคุมหุ่นยนต์ รวมถึงเรียนรู้ทักษะการแก้ปัญหา และฝึกการทำงานเป็นทีม เพื่อสร้างหุ่นยนต์นำทางไปพิชิตสนามเขาวงกต ในการแข่งขันรอบสุดท้ายเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา   โดยบรรยากาศการแข่งขันตลอดทั้งวัน เป็นไปอย่างเข้มข้นและสนุกตื่นเต้น ผลปรากฏว่า ทีม BRR ROBOT1 จากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา สามารถนำหุ่นยนต์พิชิตเขาวงกตไปถึงจุดหมายได้สำเร็จ ได้รับรางวัลชนะเลิศไปครอง จะได้เข้ารับรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในงาน การประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2568 หรือ NAC2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
‘Super AI Engineer Season 5’ รวมพลังรัฐ-เอกชน-ประชาสังคม ปั้นบุคลากร AI เสริมขีดความสามารถแข่งขันไทย
(เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568) สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (RMUTT) จัดงานแถลงข่าวความร่วมมือการขับเคลื่อนพัฒนากำลังคนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภายใต้โครงการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดนวัตกร วิศวกร และนักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว (Super AI Engineer Season 5) โดยได้รับเกียรติจาก นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในงาน พร้อมกับการกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "แนวทางนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI Disruption)" นอกจากนี้ ดร.ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ได้กล่าวปาฐกถา ในหัวข้อ “บพค. กับ การพัฒนาคนสมรรถนะสูงด้านปัญญาประดิษฐ์” ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ปาฐกถา ในหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์กับการพัฒนาคนเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน” และการเสวนาพิเศษในหัวข้อ “การพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์จะช่วยประเทศไทยได้อย่างไร ? โดย ดร. ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช, รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, คุณกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร Chief Innovation Officer, SCBX, คุณอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งภายในงาน ได้สะท้อนถึงความร่วมมือในการขับเคลื่อนพัฒนากำลังคนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ, ภาคเอกชน, และภาคประชาสังคม อย่างแท้จริง โดยมีผู้บริหารระดับสูงทั้งจากหน่วยงานที่ดำเนินโครงการ Super AI Engineer Season 5 และหน่วยงานผู้ให้การสนับสนุน มาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก อาทิ ผศ.ดร.นงนุช เกตุ้ย หัวหน้าโครงการ Super AI Engineer Season 5, ผู้บริหารจาก LG, SCBX, บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด, AXONS Corporate, เดอะไพน์ รีสอร์ท, บริษัท อัลโต้เทค โกลบอล จำกัด, SCG, บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด, บริษัท ทัชเทค โซลูชั่น จำกัด, ศูนย์ประสานงานเครือข่ายภูมิภาค 5 ศูนย์ และมหาวิทยาลัยในเครือข่าย, ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC, สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), ธนาคารแห่งประเทศไทย, โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน, สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย เป็นต้น นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "แนวทางนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI Disruption)" ว่า ปัญหาด้าน AI ของประเทศไทย พบว่ามี 2 ปัญหาหลัก คือ การขาดแคลนบุคลากรและการประยุกต์ใช้ AI ยังมีน้อย รวมไปถึงแผนพัฒนา ทางกระทรวง อว. จึงได้กำหนดนโยบาย อว. for AI มุ่งเน้นการดำเนินการใน 3 เสาหลัก ได้แก่ 1. AI for Education: การใช้ AI ในการเรียนการสอนให้คนไทยมีศักยภาพสูงสุด และเร็วที่สุด 2. AI Workforce Development: การพัฒนาบุคลากรด้าน AI และการสร้างพื้นฐานด้าน AI ให้คนไทยในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน และ 3. AI Innovation: การสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่ตลาด การพัฒนามาตรฐานและทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดความแพร่หลายเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากดูข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ปัจจุบันมีการขาดแคลนคนทำงานด้าน AI กว่า 8 หมื่นคน แต่คน AI กว่าครึ่งไม่ได้ทำงานด้าน IT และธุรกิจยังมีความต้องการจ้างคนไปทำวิจัยพัฒนาในสัดส่วนที่สูงที่สุด (ร้อยละ 35) ในขณะที่ ดร.ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการ บพค. เน้นย้ำว่า วิสัยทัศน์ของ บพค. ที่เป็นหน่วยงานขับเคลื่อน ส่งเสริม สานพลัง ระบบ ววน. ในการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงและงานวิจัยขั้นแนวหน้า เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทยสู่อาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ อว. ด้าน AI Workforce Development ดังนั้น การพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของประเทศแบบ demand driven ให้พร้อมรับการ disruption ของโลก จึงมีความสำคัญ ซึ่งเห็นได้จากการสนับสนุนทุนด้านพัฒนากำลังคน ด้าน AI ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ภายใต้โครงการ AI for All โดยเฉพาะโครงการ Super AI Engineer ได้พัฒนาวิศวกรด้าน AI และกลุ่มผู้ใช้เครื่องมือ AI Tools (AI Beginner/Prompt Engineer) จำนวนมาก โดยจากข้อมูลสถิติของสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ปีการศึกษา 2565-2566 มีบัณฑิตที่จบหลักสูตรสาขาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์โดยตรง ไม่ถึง 500 คน โครงการ Super AI Engineer จึงมีส่วนในการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนคนทำงานด้าน AI ด้าน รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า ในบทบาทของ บพท. มุ่งเน้นการสร้างงาน เพื่อต่อยอดกำลังคนด้าน AI ที่มีอยู่สู่ชุมชน หรือ AI Localization ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงการพัฒนากำลังคน จาก บพค. สู่การสร้างงาน ในชุมชน ด้วย บพท. นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเสวนาพิเศษในหัวข้อ “การพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์จะช่วยประเทศได้อย่างไร ? โดย ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า ในฐานะที่เนคเทคเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570)” หรือ แผน AI แห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญา ประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและนําไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งการพัฒนากำลังคนด้าน AI เป็นประเด็นสำคัญของยุทธศาสตร์ที่ 3 เป้าหมายในการพัฒนากำลังคนจำนวน 30,000 คนในระยะเวลา 3 ปี โดยเน้นการสร้างบุคลากรใน 3 ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน (Beginner) ระดับวิศวกร (Engineer) ระดับผู้เชี่ยวชาญ (Researcher) กำลังคนในที่นี้ ครอบคลุมถึงคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อุดมศึกษา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต กลุ่มเป้าหมายนักเรียน นักศึกษา รวมถึงกลุ่มแรงงานของประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชน เรียกย่อว่า AI@School, AI@University และ AI for Life Long Learning “โดยเนคเทคได้ร่วมสนับสนุนด้านงานวิชาการตั้งแต่เริ่มต้นโครงการในการพัฒนาบุคลากรระดับ AI Engineer และงานด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ Lanta ที่ให้บริการในการทำกิจกรรมของค่าย Super AI ซึ่งโครงการในปีนี้ เนคเทคสนับสนุนการขับเคลื่อนกลุ่ม AI Innovator ซึ่งเป็นกิจกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมโดยใช้ผลงานคนไทยหรือ open source เนคเทคส่งเสริมการใช้งานแพลตฟอร์ม AI for Thai เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม AI Innovator ได้นำไปประยุกต์เข้ากับโจทย์ขององค์กร กลุ่มหรือชุมชนท้องถิ่น” ดร.ศวิตกล่าวเสริม  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สำนักงานสถิติแห่งชาติ – เนคเทค สวทช. ผนึกกำลังพัฒนาเทคโนโลยีบูรณาการข้อมูลภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ด้วย AI
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานสถิติแห่งชาติ และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการวิจัยและพัฒนาโดยมุ่งเน้นการส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ โดยมีนายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานการลงนามความร่วมมือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือในการส่งเสริม สนับสนุน วิจัยและพัฒนาร่วมกันในการสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถิติและสารสนเทศ ตลอดจนการพัฒนาระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของประเทศ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการบูรณาการข้อมูลของประเทศ โดยมี ดร.มารุต บูรณรัช นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ เนคเทค สวทช. และนายจำลอง เก่งตรง รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ บทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน งานวิจัยและพัฒนา ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อบูรณาการข้อมูลภาครัฐ รองรับการจัดการข้อมูลปริมาณมาก พร้อมนำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาบริการข้อมูลให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับ การพัฒนาข้อมูล เพื่อให้สารสนเทศพร้อมใช้งาน สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์การใช้งานสูงสุด รวมถึง การพัฒนาบุคลากร โดยยกระดับทักษะให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล อีกทั้งยังส่งเสริม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผ่านกิจกรรมฝึกอบรมและสัมมนา เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคลากรของทั้งสององค์กร พร้อมทั้ง สนับสนุนทรัพยากร ทั้งงบประมาณ บุคลากร และอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลภาครัฐ และเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ภายในงานมีการจัดสัมมนา Government Data Catalog Day และบูธนิทรรศการ โดย ดร.มารุต บูรณรัช นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ เนคเทค สวทช. บรรยายในหัวข้อ ระบบบัญชีข้อมูลเพื่อการกำกับดูแลข้อมูลสำหรับ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดระบบบัญชีข้อมูล (data catalog) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลข้อมูลของหน่วยงานซึ่งจะนำไปสู่การแบ่งปันข้อมูลทั้งภายในหน่วยงานและให้กับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีธรรมาภิบาลเพื่อการพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอข้อมูลแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการใช้ประโยชน์จาก AI และ Smart Data Analytics โดยผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างข้อมูลภาครัฐที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เนคเทค สวทช. เปิดตัว “HandySense B-Farm” ฟาร์มอัจฉริยะ สร้างง่าย ได้อย่างใจ ยกระดับเกษตรกรไทย สู่ยุคดิจิทัล
(19 กุมภาพันธ์ 2568) ณ ห้อง 601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี:   กระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดตัว“HandySense B-Farm ฟาร์มอัจฉริยะ สร้างง่าย ได้อย่างใจ” นวัตกรรมเกษตรดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเกษตรกรไทยให้ก้าวสู่ยุคเทคโนโลยีเต็มตัว ด้วยระบบฟาร์มอัจฉริยะ Smart Farm ซึ่งตอบโจทย์ ความต้องการของเกษตรกร สามารถตั้งค่าที่ง่ายขึ้น แก้ไข จัดการระบบได้ด้วยตนเอง โดยมีดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายรุ่งศักดิ์ พงษ์ไสว ผู้บริหารทีมงาน สำนักพัฒนา SME และ Startup ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นักวิจัยเนคเทค และผู้แทนจากภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมงาน ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวถึงบทบาทด้านการวิจัยพัฒนาด้านเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farm) ของเนคเทค สวทช. ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัล กลายเป็นตัวแปรสำคัญของการพัฒนาในทุกภาคส่วน เพื่อตอบโจทย์งานวิจัยพัฒนาให้แก่ภาคเกษตรกรรม เนคเทค จึงได้จัดตั้งทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ ที่จะช่วยเปิดประตูสู่ การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)  ด้วยการนำเทคโนโลยีแกนหลักของเนคเทค ทั้งด้าน Sensor, IoT Network, AI และ Big Data พร้อมกับความเชี่ยวชาญในสาขาอื่นๆ เช่น Embedded System, Machine Vision, Photonic, Phonotype เพื่อมาผสมผสานพัฒนาเป็นผลงานเพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตร โดยในปัจจุบันมีผลงานวิจัยใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) ระบบตรวจวัด (2) ระบบควบคุมความแม่นยำสูง และ (3) ระบบช่วยตัดสินใจ  ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยังช่วยสร้างความแม่นยำ ลดการสูญเสีย ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีรายได้จากผลผลิตที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งตอบโจทย์ มิติเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในโครงการการผลิตพืชสมุนไพรและเกษตรอัจฉริยะ ตามกลยุทธ์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช. ระบบ HandySense B-Farm ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เซนเซอร์อัจฉริยะ, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้เกษตรกร หรือผู้ประกอบการด้านเกษตร สามารถนำไปใช้ควบคุม บริหารจัดการระบบฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ นำไปสู่การพัฒนาเกษตรกรรมไทยให้ก้าวไกลและแข่งขันได้ในตลาดโลก “การเปิดตัว HandySense B-Farm ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของวงการเกษตรไทย ที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคการเกษตรของประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายของเนคเทค และหน่วยงานพันธมิตรทุกหน่วยที่เล็งเห็นความสำคัญ และมีส่วนร่วมในระบบนิเวศในการผลักดันเกษตรกรไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพ เราเชื่อว่าเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็น "โอกาส" ที่จะช่วยให้ภาคเกษตรกรรมไทยสามารถแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน” ดร.พนิตา กล่าวย้ำ นอกจากนี้ภายในงานยังเปิดเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร พร้อมจัดแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากศูนย์วิจัยฯ และพันธมิตร เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์