หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
โครงการ Tech Entrepreneur Boot Camp ตอน Youth Cyber Exploration Program
โครงการ Tech Entrepreneur Boot Camp ตอน Youth Cyber Exploration Program วันที่ 1-2 มิ.ย. 67 (2 วัน)   🎯มีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้ด้าน Cybersecurity หรือความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับเบื้องต้นให้แก่เยาวชน ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ เน้นการสื่อสารที่ตรงประเด็น เข้าถึง และเข้าใจได้ง่าย มีความสนุกสนานจากการลงมือปฏิบัติ มุ่งเน้นในการสร้างเสริมทักษะต่างๆที่จำเป็นให้กับเยาวชนในเรื่องของ Cybersecurity สร้างเสริมไหวพริบ ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้สามารถป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   กำหนดกิจกรรม 🔺หลักสูตร 2 วัน: 1-2 มิ.ย. 2567 (เสาร์-อาทิตย์) 🔺เวลา: 09.00 น. – 16.00 น. 🔺สถานที่: อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อาคาร14)   👤โดยเปิดรับสมัครเยาวชน อายุ 14 ปีขึ้นไป ที่มีความสนใจเรียนรู้ทักษะทางด้าน Cybersecurity หรือต้องการเข้าสู่สายงานทางด้าน Cybersecurity และผู้สนใจงานด้านนี้   🌟ลงทะเบียนสมัครและดูรายละเอียดการอบรมเพิ่มเติม คลิก >>https://shorturl.at/cnzK1   ✅ค่าใช้จ่ายในการอบรม 8,000 บาท พร้อมอาหารกลางวัน และอาหารว่าง ตลอดการอบรม 💥💥#พิเศษ! เมื่อสมัครและชำระเงิน ภายในวันที่ 30 เม.ย. 67 รับส่วนลดตามเงื่อนไข ดังนี้ ✔️ส่วน 1 คน ลด 1,000 บาท เหลือชำระ 7,000 บาท ✔️สมัครจับคู่ ลดเพิ่ม 500 บาท เหลือชำระคนละ 6,500 บาท ✔️นักเรียนเก่าทุกโครงการ ลดเพิ่ม 500 บาท   🎉🎊#ส่วนลดพิเศษสำหรับบุตรหลานพนักงานของสมาชิกอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยและเครือข่าย รับส่วนลด 1,500 บาท เมื่อสมัครและชำระเงิน ภายในวันที่ 30 เม.ย. 67 เท่านั้น   📲📱สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Line@ ID: @brainadventurecamp คลิก>> http://line.me/ti/p/%40hzv1539q หรือโทร. 094-567-9199 และ 062-479-8008   https://youtu.be/8rYDKoljxRY?si=4sCyGeXNqq-hVdwt   https://youtu.be/kuPM0yrMlEc?si=2wPAceQAcugGhuP5
ปฏิทินกิจกรรม
 
ขอเชิญประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ครั้งที่ 1 โครงการวิจัยและระดมความเห็นสำหรับเทคโนโลยี BECCS สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลในภาคเหนือ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ขอเชิญร่วมการประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ครั้งที่ 1 โครงการการพัฒนารูปแบบการประเมินเทคโนโลยีและการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับภาคอุตสาหกรรมใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนเทคโนโลยีการผลิตพลังงานชีวภาพด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Bio-energy with Carbon Capture and Storage: BECCS) ในประเทศไทย เพื่อแนะนำโครงการวิจัย และระดมความเห็น สำหรับเทคโนโลยี BECCS สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลในภาคเหนือ วันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2567 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม โรงแรมเชียงกรีลา จ.เชียงใหม่ ลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุมที่ https://www.nstda.or.th/r/cRHi7 สอบถามคุณอุมาพร โทร. 0-2564-6500 ต่อ 4288, 4258 และ คุณอรอุมา โทร. 0-2564-6500 ต่อ 4377    
ปฏิทินกิจกรรม
 
“ศุภมาส” มอบนโยบาย “บอร์ด อว. For EV” เร่งดำเนินการให้ทุกมหาวิทยาลัยเปลี่ยนมาใช้รถ EV ทดแทนรถ ICE พร้อมดันอุตสาหกรรม EV ให้เป็นอุตสาหกรรมความหวังของประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรุงเทพฯ วันที่ 11 เมษายน 2567: นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวง อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ อว. For EV โดยมี รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ประธานคณะกรรมการฯ พร้อมคณะกรรมการฯ และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตามที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เกิดการผลิตการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) กำหนดนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ ZEV (Zero emission vehicle)  หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (low carbon society) และเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่ง นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอว. ในฐานะกรรมการ คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี)  ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) ซึ่ง สวทช. ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพร่วมในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) ครั้งที่ 1/2567 ในวันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567 เวลา 10.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร สวทช. ถ. พระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ  โดยมีเป้าหมายการประชุมในจัดทำแผนงานสนับสนุนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยโดยใช้กลไกของ กระทรวง อว. นางสาวศุภมาส กล่าวว่า นโยบายด้าน EV เป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ กระทรวง อว. รณรงค์ให้มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้าน EV ของประเทศเร่งดำเนินการเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ ICE มาใช้รถยนต์ EV แทน เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ให้เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นความหวังของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานภายในกระทรวง อว. ที่มีพร้อมทั้งบุคลากร องค์ความรู้ และนวัตกรรมต่าง ๆ ในการสนับสนุนการทำงาน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวง อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) มีหน้าที่ในการจัดทำแผนการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไปสู่หน่วยปฏิบัติและบูรณาการกับทุกภาคส่วน โดยมุ่งหวังการพัฒนาบุคลากรผ่านกลไก One Stop Service :STEMPlus Platform เชื่อมโยงความร่วมมือกับ 3 สภาคณบดี (คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ) และภาคีเครือข่าย พร้อมประสานงานด้านกำลังคนกับผู้ประกอบการ EV สร้างแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบการ EV เช่น มาตรการทางภาษี Thailand  Plus Package และ มาตรการที่เกี่ยวข้องของ BOI รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ของกระทรวง อว. เช่น โครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ โครงการยกระดับสมรรถนะกำลังคนวัยแรงงานเพื่ออนาคต และการใช้หลักสูตร EV ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา 51 แห่งทั่วประเทศ เป็นต้น เพื่อรองรับสถานการณ์ของตลาด และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #กระทรวงอว #อว #อุดมศึกษา #อวforev #NSTDA #สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“แคดเมียม-ตะกั่ว-ปรอท-สารหนู” ตรวจได้ใน 1 นาที นาโนเทค สวทช. พัฒนาเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักในน้ำ-สมุนไพร
ปัญหามลพิษในน้ำ ไม่เพียงส่งผลต่อมนุษย์เราที่ต้องใช้น้ำในการดำรงชีวิต ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก ตัวช่วยตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนของ 4 โลหะอันตรายอย่าง แคดเมียม ตะกั่ว ปรอท และสารหนู ในน้ำและพืชสมุนไพร ตอบโจทย์การใช้งานภาคสนามและห้องปฏิบัติการขนาดเล็ก ชูจุดเด่น ตรวจพร้อมกันได้หลายชนิดโลหะ รู้ผลเชิงปริมาณใน 1 นาที ต้นแบบเซ็นเซอร์พร้อมต่อยอดใช้งาน รับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้าน Green Economy เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ดร. วีรกัญญา มณีประกรณ์ หัวหน้าทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์พัฒนาเป็นเซ็นเซอร์ตรวจวัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำและพืชสมุนไพร โดย “เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก” นับเป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์การปนเปื้อนโลหะหนัก ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว ปรอท สารหนู อาศัยเทคนิคเคมีไฟฟ้า เพื่อวัดสัญญาณเคมีไฟฟ้า ใช้ร่วมกับเครื่องวัดแบบพกพา “ทีมวิจัยพัฒนาโดยการนำขั้วไฟฟ้านำมาปรับปรุงคุณสมบัติด้วยวัสดุนาโน ที่ออกแบบให้จำเพาะกับสารโลหะหนักแต่ละชนิด 4 ชนิดข้างต้น ออกมาในรูปเซ็นเซอร์แผ่นบาง การตรวจวิเคราะห์จะเริ่มจากนำตัวอย่างผสมกับน้ำยาที่พัฒนาขึ้น หยดลงบนขั้วไฟฟ้าในบริเวณที่กำหนด กดปุ่มตรวจวัดผ่านโปรแกรมการตรวจวัด โปรแกรมจะวิเคราะห์ปริมาณความเข้มข้นของโลหะที่อยู่ในตัวอย่างภายใน 1 นาที” ดร. วีรกัญญากล่าว พร้อมชี้ว่า ในกรณีที่เป็นพืชสมุนไพรนั้น จะนำพืชมาผสมกับน้ำยาแล้วคั้นน้ำจากพืช และใช้น้ำคั้นจากพืชหยดลงบนขั้วไฟฟ้าและตรวจวัดด้วยวิธีการเช่นเดียวกัน เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก มีจุดเด่นคือให้ผลการตรวจวัดรวดเร็ว สามารถใช้คัดกรองเบื้องต้นทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณว่ามีการปนเปื้อนสารโลหะหนักหรือไม่ ชนิดใด ในปริมาณเท่าไหร่ โดยการตรวจวัดตัวอย่างน้ำ ได้แก่ น้ำดิบ น้ำดื่ม และน้ำใช้ เซ็นเซอร์ให้ผลการตรวจวัดที่ถูกต้องและแม่นยำ สอดคล้องกับผลการตรวจด้วยเครื่องมือมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ (ICP-MS) ซึ่งมีราคาแพงและใช้เวลารอผลนาน โดยความสามารถในการตรวจวัดของเซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นนับว่ามีประสิทธิภาพดีเมื่อเทียบกับชุดตรวจที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันที่มีความถูกต้องแม่นยำต่ำ ราคาแพง ใช้เวลาแสดงผลนานประมาณ 10 – 30 นาที เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นนี้ จึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของน้ำของประชาชนผู้ใช้น้ำให้สามารถตรวจติดตามการปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำได้อย่างสม่ำเสมอด้วยตนเอง ปัจจุบัน ต้นแบบเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักที่ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นนั้น มีการนำไปใช้ตรวจวิเคราะห์น้ำในพื้นที่จริงร่วมกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ และนำไปตรวจวัดน้ำให้กับชุมชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น  นอกจากนี้ยังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในการตรวจวิเคราะห์น้ำในโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดลำปาง รวมถึงนำไปตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในพืชสมุนไพร ร่วมกับเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี “นวัตกรรมดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับชุมชนหรือหน่วยงานที่ดูแลตรวจสอบเรื่องของการปนเปื้อนโลหะหนักในแหล่งน้ำหรือพืชสมุนไพรในพื้นที่นั้น ๆ หรือนำไปใช้ตรวจคัดกรองในกรณีเร่งด่วนเพื่อป้องกันและวางแผนบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้าน Green Economy เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งนาโนเทคเอง อยู่ระหว่างเสาะหาผู้สนใจนำต้นแบบเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ เพื่อร่วมทดสอบและประเมินประสิทธิภาพร่วมกัน รวมถึงผู้ร่วมวิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น และภาคเอกชนที่จะร่วมผลักดันไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป โดยทีมวิจัยเอง มีความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ในการพัฒนาเครื่องอ่าน และโปรแกรมอ่านผล เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์และแปลผลที่แม่นยำมากขึ้นในอนาคต” ดร. วีรกัญญากล่าว ปัจจุบัน เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักเป็นต้นแบบงานวิจัยที่อยู่ระหว่างเสาะหาผู้สนใจนำต้นแบบเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ เพื่อร่วมทดสอบและประเมินประสิทธิภาพร่วมกัน รวมถึงผู้ร่วมวิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น และภาคเอกชนที่จะร่วมผลักดันไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ชวนเยาวชนร่วมแข่งขัน ‘เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ NASA’ ชิงแชมป์ระดับประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น จัดโครงการแข่งขัน The 5th Kibo Robot Programming Challenge โดยมี บริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และบริษัท 168 ลักกี้ เทรด จำกัด ให้การสนับสนุน เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยในระดับชั้นมัธยมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เข้าร่วมการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมหุ่นยนต์แอสโทรบี (Astrobee) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ทีมชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติ ร่วมกับตัวแทนเยาวชนจากทั่วโลกในเดือนตุลาคม 2567 ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ร่วมจัดโครงการแข่งขัน The 5th Kibo Robot Programming Challenge ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้ว สำหรับกติกาในปีนี้ ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันต้องมีสมาชิกจำนวน 3-4 คน และกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า โดยสมาชิกในทีมอยู่ต่างสถาบันการศึกษาและระดับชั้นเรียนได้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc-2024/ ภายในวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ก่อนเวลา 22:00 น.   “สำหรับรูปแบบการแข่งขัน ผู้เข้าร่วมต้องพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาจากเทมเพลตของแจ็กซา เพื่อควบคุมหุ่นยนต์แอสโทรบีในระบบจำลอง (Simulation) ซึ่งสร้างสถานการณ์จำลองเกิดเหตุอุปกรณ์การทดลองทางวิทยาศาสตร์ของนักบินอวกาศหายไป และต้องรีบค้นหาให้พบเพื่อทำการทดลองให้ทันเวลา ผู้เข้าแข่งขันต้องเขียนโปรแกรมด้วยภาษา JAVA สั่งการให้หุ่นยนต์แอสโทรบีเคลื่อนที่ไปค้นหาอุปกรณ์ เมื่อพบแล้วจะเคลื่อนตัวเข้าไปถ่ายภาพและกลับมารายงานผลให้นักบินอวกาศทราบ โดยคะแนนการแข่งขันจะคำนวณจากความสมบูรณ์ของภารกิจและเวลาที่ใช้ปฏิบัติภารกิจจนเสร็จสิ้น ทั้งนี้การแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทยจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 ทีมชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติในเดือนตุลาคม 2567 ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทเดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และบริษัท 168 ลักกี้ เทรด จำกัด ซึ่งในการแข่งขันจะมีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมทั้งหมด 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และไทย โดยมีนักบินอวกาศของนาซา เป็นผู้ควบคุมการแข่งขันอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีของเยาวชนไทยที่จะได้ฝึกฝนทักษะทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ หนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาและมีมูลค่ามหาศาลในอนาคต” ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc-2024/, เฟซบุ๊ก  NSTDA SPACE Education ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันและได้รับบัญชีเข้าสู่ระบบแล้ว เข้าไปทดลองประมวลผลโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาในเครื่องแม่ข่าย (Server) ของการแข่งขันได้ที่เว็บไซต์ https://jaxa.krpc.jp
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เชื่อมโยงการตลาด – การวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมสู่ความยั่งยืน
(วันที่ 9 เมษายน 2567) ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ 9 หน่วยงานนวัตกรรมและมหาวิทยาลัยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเชื่อมโยงระหว่างการค้า การตลาด การวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และ นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นสักขีพยาน  พร้อมด้วยผู้บริหารจาก 9 หน่วยงาน โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทนร่วมลงนาม ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระดับสากลด้วยการเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออกด้วยงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม เสริมสร้างช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมของไทยสามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศและก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้งานวิจัยและนวัตกรรมของไทยให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกและตอบสนองต่อความต้องการ Megatrends และ Next Normal และช่วยยกระดับภาคการส่งออกของไทยด้วยงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม และเสริมสร้างภาพลักษณ์สินค้าของประเทศไทยในตลาดโลก เพื่อเชื่อมโยงระหว่างการค้า การตลาด การวิจัย และนวัตกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนานวัตกรรมให้ตอบโจทย์ นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อให้ภาคเอกชนได้เข้าถึงบริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ของภาครัฐได้อย่างครบวงจร อีกทั้ง สวทช. ได้ร่วมดำเนินการตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม คำนึงถึงการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ซึ่งต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน เนื่องจากปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น “ในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้มุ่งไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว และการทำโครงการนวัตกรรมร่วมกับภาคเอกชนในการนำของเสียหรือวัสดุเหลือทิ้ง (by product) ของอุตสาหกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การผลิตเม็ดมวลเบาสังเคราะห์จากเถ้าลอย การนำเถ้าขยะอุตสาหกรรมมาผลิตกระเบื้องการนำเศษแก้วมาผลิตกระเบื้องและ สารเคลือบการผลิตวัสดุจีโอโพลิเมอร์จากเศษกระเบื้องและเศษแก้ว การผลิตผงสีจากกากของเสียอุตสาหกรรมเหล็ก  การนำ by product ในอุตสาหกรรมอาหารมาเป็นวัสดุ biomaterial สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ สวทช. โดยศูนย์ข้อมูลวัฏจักรชีวิตแห่งชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร สนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมและกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ให้มีข้อมูลเพื่อรองรับมาตรการ CBAM ซึ่งเป็นข้อกำหนดในการส่งออกสินค้าไปยุโรป โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลของอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมและ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ที่สามารถสะท้อนและเป็นตัวแทนของข้อมูลภาคการผลิตของกลุ่มอะลูมิเนียมและเหล็กของไทยได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับการพัฒนา ขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยด้านคาร์บอนได้เป็นอย่างดี ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. มีความพร้อมในการบูรณาการความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อตอบเป้าหมาย BCG ของประเทศ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างมั่นคง อีกทั้งยังพึ่งพาตัวเองได้ และนำนวัตกรรมไทยแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
CAS และ NSTDA สัมมนาความสำเร็จของความร่วมมือด้านการวิจัยในงาน NAC2024
เมื่อเร็วๆ นี้ (วันที่ 28 มีนาคม 2567) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยงานบริหารความร่วมมือวิจัยต่างประเทศ (IRNM) ฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม (RNM) จัดงานสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อ The success of research collaborations between the Chinese Academy of Sciences (CAS) and the National Science and Technology Development Agency (NSTDA) ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 (NSTDA Annual Conference 2024: NAC2024) โดยมี ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการสายงานบริหารของ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงานและกล่าวแนะนำภาพรวม สวทช. ทั้งนี้ Mr. Zhenyu Wang รองผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศของ CAS เป็นตัวแทนกล่าวเปิดงานการสัมมนาแลกเปลี่ยนความสำเร็จด้านการวิจัยระหว่างกัน เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยภายใต้ความร่วมมือ CAS-NSTDA จำนวน 4 โครงการ โดยคณะผู้วิจัยทั้ง 2 ฝั่ง มีการแบ่งปันผลลัพธ์ของความร่วมมือ การให้ข้อมูลเชิงเทคนิคของโครงการ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการร่วมการวิจัย การให้ข้อมูลแผนการดำเนินงานวิจัยร่วมกันในอนาคต ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ข้อมูลของแหล่งทุนหรือโครงการต่าง ๆ ของ CAS ที่นักวิจัยไทยมีสิทธิ์เข้าร่วมหรือขอรับการสนับสนุนอีกด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“เล่น” เป็นการเรียนรู้ที่ทรงพลังและเข้ากับธรรมชาติของเด็กมากที่สุด
การอบรมเชิงปฏิบัติการเฉพาะทาง สำหรับผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น (Local Network; LN) และวิทยากรเครือข่ายท้องถิ่น (Local Trainer; LT) โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับปฐมวัยและระดับประถมศึกษา ประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 18 -20 มีนาคม 2567 นางฤทัย จงสฤษดิ์ วิทยากรหลักอาวุโสประจำโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย และผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดระดมสมองและให้ผู้เข้าอบรมจำนวน 283 คน ร่วมกันแสดงความเห็นว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดว่าเด็กในระดับปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น ชอบอะไรมากที่สุด เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของเด็กมากขึ้น ผลการสรุปความเห็นจากผู้เข้าร่วมอบรมได้เห็นว่า 7 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1 เล่นของเล่น (37 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) โดยของเล่นที่เด็กชอบมีความหลากหลาย เช่น หุ่นยนต์เด็กเล่น รถเด็กเล่น เครื่องบิน ตุ๊กตา ลูกโป่ง สไลม์ ตัวต่อ เพราะของเล่นทำให้เด็ก ๆ ได้เล่นสนุกสนาน มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ของเล่นบางอย่าง เช่น ตุ๊กตาทำให้เด็กได้เล่นบทบาทสมมุติและเล่าเรื่อง และเป็นนักประดิษฐ์ เช่น ตัวต่อ อันดับ 2 ขนมอร่อยถูกใจเด็ก (11 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) เด็ก ๆ ชอบทานไอศกรีม ลูกอม เค้ก ช็อกโกแลต และขนมนานาชนิด ๆ เป็นที่สังเกตว่า เด็กหลายคนชื่นชอบขนมที่มีรสชาติหวาน เด็ก ๆ รู้สึกทานแล้วมีความสุขและชื่นใจ บางครั้งการได้รับขนมจากผู้ใหญ่เหมือนการได้รับรางวัล และการที่เห็นเพื่อนรับประทานดูน่ารับประทานทาน ก็ดึงดูดให้เด็ก ๆ สนใจรับประทานเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การให้ความรู้และสอนเด็ก ๆ ให้ทานขนมหวานในปริมาณพอเพียงและทานอาหารที่มีประโยชน์ยังเป็นเรื่องสำคัญ อันดับ 3 เล่นน้ำ ดิน และทราย (9 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) เด็กชอบเล่นอิสระในธรรมชาติโดยเล่นน้ำ ดิน และทราย เช่น ก่อกองทราย ตักทราย สร้างแหล่งน้ำเล็ก และปั้นก้อนดิน นอกจากเล่นสนุกแล้ว การลงมือสร้างและทำด้วยตนเอง ทำให้เด็กได้ฝึกความมั่นใจว่าทำอะไรด้วยตนเองได้ เด็กยังได้มีโอกาสใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และกล้ามเนื้อมัดเล็ก  ได้สังเกตและใช้ประสาทสัมผัสในการสำรวจธรรมชาติและเกิดคำถามใหม่ให้ค้นหาเพิ่มเติม อันดับ 4 เป็นกลุ่มการเล่นที่มีจำนวนโหวตเท่ากันคือ 8 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น คือ เล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นและการเล่นเกมและการละเล่นต่าง ๆ สำหรับการเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นนั้น สนามเด็กเล่นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สาธารณะ ทำให้เด็กได้พัฒนาการทางสังคม ให้ได้เจอกับเพื่อนเด็กหลากหลาย และเรียนรู้ที่จะเล่นร่วมกันอย่างไรให้สนุก และแบ่งปันกัน ครื่องเล่นหลายชนิดทำให้เด็กได้เคลื่อนไหวและออกกำลังกาย และเด็ก ๆ ชอบเล่นเกมและการละเล่นต่าง ๆ เพราะเกมได้ถูกออกแบบให้มีสนุก ความท้าทายและได้รับรางวัลในแต่ละฐานให้รู้สึกว่าทำภารกิจสำเร็จ เกมมีความหลากหลายตั้งแต่บอร์ดเกม เกมออนไลน์ และการละเล่นต่าง ๆ หลายเกมช่วยฝึกเรื่องการแก้ไขปัญหาและทักษะสำคัญต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน ต้องระวังไม่ให้เด็กติดเกมออนไลน์หรือใช้เวลากับเกมมากจนเกินไป อันดับ 5 วาดรูประบายสี (5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) ในช่วงที่เด็กได้ใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ วาดภาพ ทำให้เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ฝึกเรื่องมิติสัมพันธ์ และพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และศิลปะ อันดับ 6 ฟังนิทาน อ่านหนังสือ และดูการ์ตูน (4 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) ช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาความสามารถด้านภาษา และฝึกให้เด็กเล็กเป็นคนช่างคิด ช่างถามและช่างสังเกต มีความมั่นใจ ฉลาด กล้าแสดงความคิดเห็นในระหว่างการฟังนิทาน และส่งเสริมเด็ก ๆ มีจินตนาการและได้รับความสนุก ความอบอุ่น และสัมพันธภาพที่ดีระหว่างการฟังนิทาน อันดับ 7 เด็กชอบสองกิจกรรมนี้เท่ากันคือ 3 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น ได้แก่ ร้องเพลงและเต้น เด็ก ๆ ได้พัฒนาความสามารถการเข้าสังคม สร้างเสริมความแข็งแรงรวมทั้งความคล่องแคล่วในการบริหารร่างกายและการเคลื่อนไหว และได้ความรู้และทักษะพื้นฐานเรื่องดนตรี และเลี้ยงสัตว์และเล่นกับสัตว์ ส่งเสริมให้เด็กได้มีจิตใจอ่อนโยน มีความรัก เมตตา เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ตลอดจนการปลูกฝังความรับผิดชอบในการดูแลผู้อื่น ส่วนที่เหลืออีก 12 เปอร์เซ็นต์  เป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย เช่น ทำอาหาร สร้างบ้าน แต่งตัว เป็นต้น นางฤทัย จงสฤษดิ์ กล่าวว่า ข้อมูลจากผู้เข้าอบรมในครั้งนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาเด็ก ผู้ปกครอง ครูผู้สอน และนักการศึกษาเข้าใจธรรมชาติและความสนใจของเด็ก ๆ มากขึ้น และเห็นได้ว่าสิ่งที่เด็กสนใจและชอบเป็นพิเศษส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการเล่นในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเล่นของเล่น เล่นในธรรมชาติ เล่นในสนามเด็กเล่น เล่นเกม การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาจากประสบการณ์ที่มีความหมาย เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความสนใจมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย ไร้กลิ่นสารเคมี ไร้สารก่อมะเร็ง
  ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยางพารามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เม็ดเงินที่ไหลกลับเข้าประเทศกลับไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นวัตถุดิบในขั้นปฐมภูมิ อาทิ น้ำยางข้น ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน นักวิจัยไทยจึงคิดค้นกระบวนการแปรรูปยางพาราให้มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้นด้วยเทคนิคการวัลคาไนซ์โดยไม่ใช้สารเคมี เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะแก่การใช้งานด้านสุขภาพและการแพทย์ รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงวัยในอนาคต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคนิคการวัลคาไนซ์ผลิตภัณฑ์ยางด้วยการฉายลำอิเล็กตรอน พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งเพื่อสุขภาพ และเดินหน้าต่อยอดสู่อุปกรณ์ด้านสุขภาพและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ   [caption id="attachment_54783" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต, ดร.ธงศักดิ์ แก้วประกอบ และ ดร.กรรณิกา หัตถะปะนิตย์ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ปณิธิ วิรุฬห์พอจิต นักวิจัย ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางรูปแบบใหม่ กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการขึ้นรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะใช้กระบวนการวัลคาไนเซชัน (vulcanization) ซึ่งเป็นการสร้างพันธะเชื่อมขวางระหว่างโมเลกุลของยาง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความแข็งแรงและทนทานสูงขึ้น อย่างไรก็ตามในขั้นตอนการผลิตมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ ทำให้มักมีสารเคมีตกค้างก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้สารบางชนิดยังเป็นสารก่อมะเร็งและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดเท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดด้านสุขภาพและการแพทย์ “เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้ประยุกต์การใช้ลำอิเล็กตรอนในการวัลคาไนเซชัน ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากผลิตภัณฑ์จะมีความแข็งแรงและคงทนในระดับทัดเทียมกับวิธีการที่ใช้อยู่เดิมแล้ว ยังไม่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงไม่มีกลิ่นสารเคมีรบกวน และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูงขึ้น โดยหลังจากการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปใหม่สำเร็จ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาสูตรการผลิต ‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ซึ่งมีความต้องการในตลาดสูงต่อทันที จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาได้ คือ มีความสามารถในการกระจายแรงสูง ลดแรงกดทับได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณก้นกบและหลังส่วนล่างจากการนั่งเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แผ่นเจลรองนั่งที่พัฒนาขึ้นยังมีคุณลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้นั่งรู้สึกเย็นสบายแม้จะผ่านการนั่งทับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมงอีกด้วย”   [caption id="attachment_54777" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption] [caption id="attachment_54778" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแผ่นเจลรองนั่งจากยางพาราแล้ว โดยผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางและกลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านการฆ่าเชื้อด้วยลำอิเล็กตรอน โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถร่วมวิจัยต่อยอดการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์เป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับการดูแลสรีระตามหลักการยศาสตร์ (ergonomics) ที่ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะทางมากขึ้นได้ ดร.ปณิธิ เล่าต่อว่า ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังจะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่อุปกรณ์การแพทย์สำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้นทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก รวมถึงเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบของประเทศไทย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในแผนการพัฒนาแล้ว เช่น แผ่นเจลรองนั่งและรองนอนสำหรับบรรเทาการเกิดแผลกดทับ โดยปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนของการสรรหางบประมาณสนับสนุนในการทำวิจัยรูปทรงของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและการทดสอบในระดับคลินิก (clinical test) โดยอาสาสมัคร ส่วนอีกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง คือ แผ่นรองยืนฝึกการทรงตัวสำหรับการออกกำลังหรือกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อขาให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยร่วมกับกรมการแพทย์ “ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปยางด้วยวิธีการที่เป็นมิตรต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราของประเทศได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ รวมถึงมีส่วนช่วยเปิดตลาดและฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราด้วย เพราะหากทำได้สำเร็จจะส่งผลย้อนกลับมาสร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมยางพาราไทยได้เป็นอย่างดี” ดร.ปณิธิ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณเนตรชนก ปิยฤทธิพงศ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สวทช. อีเมล netchanp@mtec.or.th หรือ 0 2564 6500 ต่อ 4301       เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
3 โครงการวิจัย สวทช. ทุนล้านช้าง-แม่โขง เปิดตัวผลงานสู่สาธารณะ มุ่งงานวิจัยเห็ด มันสำปะหลัง และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระบบราง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตในประเทศกลุ่มลุ่มน้ำโขง
3 เมษายน 2567 กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวเปิดโครงการที่ได้รับทุนจากกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (LMCSF Funded Project) โดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อประชาสัมพันธ์แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และขยายเครือข่ายต่อยอดการสร้างผลกระทบของโครงการ จำนวน 3 โครงการของ สวทช. ประกอบด้วยเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเพิ่มมูลค่าเห็ดบริโภค การผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืน และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยมี ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และนายหม่า มิงเกิง ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยนักวิจัยในโครงการ และผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้าร่วมงาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ในปี 2566 สวทช. ได้รับทุนจากกองทุนความร่วมมือพิเศษล้านช้าง-แม่โขง หรือ LMCSF จำนวน 3 โครงการ โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง และโครงการส่งเสริมการผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืนโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภูมิภาคแม่น้ำโขง และโดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในประเทศและการจัดเตรียมร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ตามข้อกำหนดของโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยทั้ง 3 โครงการได้รับสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพิเศษล้านช้าง-แม่โขง (Lancang-Mekong Cooperation Special Fund) ประจำปี 2566 จากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 734,092 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 25,830,423 บาท) ซึ่งกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อการพัฒนาแก่ประเทศลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม และจีน โดยจะสนับสนุนแก่โครงการขนาดกลางและขนาดเล็กที่ส่งเสริมการพัฒนาในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีนปรากฏชัดเจนในความร่วมมือเหล่านี้ โดยไทยเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังประเทศลุ่มน้ำโขง ขณะเดียวกันได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีและกิจกรรมความร่วมมืออื่น ๆ จากประเทศจีนเช่นกัน นายหม่า มิงเกิง (Mr. Ma Minggeng) ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ขอแสดงความยินดีกับ สวทช. ที่ได้รับทุนวิจัยใน 3 โครงการ ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ลงนามข้อตกลงระดับรัฐบาลว่าด้วยความร่วมมือสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งแรกในปี ค.ศ. 1978 จนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมสนับสนุนโครงการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า 1,000 โครงการ นับตั้งแต่การเปิดตัวความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาคครั้งแรก โดยมีเป้าหมายในการสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีนกับประเทศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งประเทศเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการเร่งการพัฒนาและตระหนักถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังการพัฒนากำลังการผลิตใหม่ ๆ ระดับภูมิภาค เพื่อส่งเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขันของอุตสาหกรรม กว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ถือเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของประเทศ เห็นได้ชัดเจนจากแผนพัฒนาประเทศไทย 4.0 โมเดล BCG และเป้าหมายการหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยการพึ่งพานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ด้านนักวิจัยในโครงการ ในโครงการแรก ดร.อัมพวา ปินเรือน หัวหน้าโครงการและนักวิจัยทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (Technology transfer and knowledge exchange on edible mushrooms for economic and agriculture sustainable development among countries in the Mekong region) จำนวน 258,059 ดอลลาร์สหรัฐ (9,072,323 บาท โดยประมาณ) เป็นระยะเวลา 3 ปี (2567 - 2570) โครงการมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขี้นให้แก่ประชาชนไทยและประชาชนในกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงผ่านทรัพยากรเห็ด รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง กิจกรรมภายใต้โครงการประกอบด้วย การศึกษา พัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรเห็ดป่าและคอร์ไดเซบ (กลุ่มถั่งเช่า) ที่ใช้บริโภคได้ในแต่ละพื้นที่ การค้นหาหรือพัฒนาสายพันธุ์เห็ดเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์นำเข้า รวมทั้งเปิดโอกาสทางการตลาด ส่งเสริมการบริหารจัดการและควบคุมกระบวนการเพาะเห็ดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยการใช้น้ำและพลังงานการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดหรือจัดการของเสียจากกระบวนการผลิตเห็ด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากเห็ดและคอร์ไดเซบ รวมถึงการเพาะเห็ดร่วมกับไม้ป่าซึ่งจะเป็นการเพิ่มผลผลิตของเห็ดป่าในธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งอาหารและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชนบท สร้างโอกาสการอยู่ร่วมกับป่าได้โดยไม่ทำลายป่าและลดความเสี่ยงต่อการเก็บเห็ดพิษมาบริโภค ซึ่งการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้นี้จะช่วยเพิ่มความสามารถและความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมการผลิตเห็ดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเห็ดและคอร์ไดเซบ ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ หัวหน้าโครงการและนักวิจัยทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการการส่งเสริมการผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืนโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภูมิภาคแม่น้ำโขง (Promotion of Sustainable Cassava Production in the Mekong Region through Dissemination of Cassava Mosaic Disease Diagnostic and Clean Cassava Seed Production Technologies) จำนวน 288,846 ดอลลาร์สหรัฐ (10,161,603 บาท โดยประมาณ) เป็นระยะเวลา 3 ปี (2567 - 2570) มันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องเผชิญวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดการระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้ผลผลิตลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดเพื่อนำมาปลูกต่อไป เพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคและการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาด ไบโอเทคได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตท่อนพันธุ์สะอาดที่มีคุณภาพ ทำให้สามารถผลิตต้นพันธุ์ได้ปริมาณมากภายในเวลารวดเร็ว ได้แก่ เทคนิค tissue culture และเทคนิค mini stem cutting นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง สำหรับใช้ตรวจคัดกรองโรคในกระบวนการผลิตต้นพันธุ์สะอาดและการติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคในแปลงปลูก ได้แก่ เทคนิค ELISA และเทคนิค immunochromatographic strip test โดยไบโอเทคได้เริ่มมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้น ให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยแล้ว ภายใต้โครงการนี้ทีมวิจัยจะนำเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์สะอาดและการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง ไปขยายผลให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างในกลุ่มประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง และโครงการที่ 3 ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในประเทศและการจัดเตรียมร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ตามข้อกำหนดของโครงการรถไฟความเร็วสูง (Technological Capability Enhancement of Local Industries and Product Standardization Initiative in Accordance with High-speed Railway Project Requirements) ได้รับทุนวิจัยจำนวน 187,187 ดอลลาร์สหรัฐ (6,596,497 ล้านบาท โดยประมาณ) เป็นระยะเวลา 2 ปี (2567 - 2569) ปัจจุบันพบว่า บุคลากรในภาคการศึกษา วิจัยและพัฒนา และภาคอุตสาหกรรม ของกลุ่มประเทศล้านช้าง-แม่โขงยังคงขาดทักษะความรู้และความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์มาตรฐานสูงสำหรับใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของโครงการรถไฟความเร็วสูง รวมถึงอุตสาหกรรมในประเทศที่ยังขาดโอกาสการเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานของโครงการรถไฟความเร็วสูง เนื่องจากมีประสบการณ์ไม่เพียงพอในการผลิตผลิตภัณฑ์มาตรฐานสูงป้อนเข้าสู่การใช้งานในโครงการรถไฟความเร็วสูง ทีมวิจัยจึงเล็งเห็นจุดควรปรับปรุงที่จะนำไปใช้การริเริ่มสร้างกรอบการทำงานที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยเริ่มจากการยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่กำลังดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยสร้างความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจ และสังคมระยะยาวให้กับประเทศในกลุ่มล้านช้าง-แม่โขง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการจัดทำร่างมาตรฐานของสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศก่อนเสนอต่อหน่วยงานมาตรฐานระดับประเทศเพื่อใช้อ้างอิงในการประกาศรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับนำไปใช้ในโครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย และจะขยายผลโดยการส่งต่อองค์ความรู้ไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่จะมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอนาคต ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีประสบการณ์ดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง รวมถึงการสร้างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถไฟความเร็วสูงอย่างเป็นระบบตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย จัดกิจกรรมเยาวชนประดิษฐ์หุ่นยนต์จากกระดาษแข็ง และเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีโลกเสมือนกับแชทบอทปัญญาประดิษฐ์
โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย  ร่วมจัดกิจกรรมเยาวชนกิจกรรมเรียนรู้การประดิษฐ์หุ่นยนต์จากกระดาษแข็งและเชื่อมต่อเป็น AR กับ ChatGPT ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  กล่าวว่า โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย โดย สวทช. ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดกิจกรรมเยาวชน ประดิษฐ์หุ่นยนต์จากกระดาษแข็ง ซึ่งเป็นวัสดุที่ประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีเสมือนกับแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ ในวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร โดยเป้าหมายของกิจกรรม เราต้องการให้เด็กได้พัฒนาทักษะสำคัญในโลกอนาคต ตั้งแต่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีโลกเสมือน ทักษะการแก้ไขปัญหา ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการสื่อสาร  ผ่านการลงมือทำของเล่น ภายใต้แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายฮว่าง มินห์ เฟือง จากบริษัท GraphicsMiner Lab กล่าวว่า  เด็กๆ จะได้ทำของเล่นจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษแข็ง ช่วยพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว ทักษะกระบวนการคิด และการทำงานเป็นกลุ่ม หุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและแทบเล็ต ทั้งระบบปฏิบัติการ Android หรือ iOS นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมจะสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ด้วย ChatGPT ผ่าน Augmented Reality (AR) ประกอบด้วย กิจกรรมวิศวกรสร้างจรวด ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และเซอร์โว หุ่นยนต์พร้อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถใช้ระบบ AR พูดคุยกับหุ่นยนต์ กิจกรรมแต่งเติมสีสันตกแต่งหุ่นยนต์ตามจินตนาการ  กิจกรรมวิศวกรปัญญาประดิษฐ์ – ChatGPT กิจกรรมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์น้อยสร้างสรรค์คลิปสั้นโดยใช้เทคโนโลยี AR เชื่อมต่อ ChatGPT สื่อสารหัวข้อที่ตนเองสนใจในโซเชียลมีเดีย เด็กหญิงปุญยารัศม์ เสมะกนิษฐ์ (น้องโบตั๋น) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี เล่าว่า วันนี้ได้มาเข้าค่ายกับ สวทช. รู้สึกดีใจและสนุกมาก เพราะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่หลาย ๆ คน ได้ทำความรู้จักกับหุ่นยนต์ เป็นครั้งแรกที่ได้ลองประกอบหุ่นยนต์หลายรูปแบบด้วยตัวเอง ได้ใช้งานแอปพลิเคชันกับหุ่นยนต์ ได้ฝึกความละเอียดรอบคอบในการประดิษฐ์หุ่นยนต์ ต้องระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาด หากเราพลาดเพียงจุดเล็ก ๆ เพียงจุดเดียว ก็อาจทำให้หุ่นยนต์เสียหายได้เลย สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง อยากพัฒนาต่อยอดเป็นหุ่นยนต์สำรวจและเก็บขยะที่เข้าถึงได้ทุกพื้นที่ ทุกสภาพแวดล้อมทำให้ชุมชนและประเทศมีความสะอาดมากยิ่งขึ้น เด็กชายสดุดี สิทธิชาติ (น้องเจได) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เล่าว่า วันนี้ได้เรียนรู้การประดิษฐ์เยอะมาก ผมมีความฝันและชอบการต่อลังกระดาษมาก รู้สึกสนุก ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนำ Chat GPT มาใช้งาน ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเพิ่มเติมโดยนำไปใช้งานกับอุปกรณ์อื่น เพื่อใช้งานในชีวิตประจำวันได้อีก ในอนาคตอยากพัฒนาเป็นหุ่นยนต์ที่ช่วยมนุษย์เก็บของ สามารถควบคุมการทำงานจากโทรศัพท์มือถือได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันมากขึ้น คุณศศิประภา เจริญธรรมรักษา ผู้ปกครองของเยาวชนที่มาเข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดี  มีความเหมาะสมกับเด็กในยุคสมัยนี้ คือ มีการใช้ Chat GPT ประยุกต์เข้ากับสิ่งประดิษฐ์ เด็กได้เรียนรู้โปรแกรมใหม่ ๆ และด้วยความที่ สวทช. ร่วมมือจัดกิจกรรมผู้เชี่ยวชาญ AI จากเวียดนาม เด็ก ๆ จึงได้ฝึกการฟังภาษาอังกฤษด้วย ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าเด็กได้นำความรู้ด้านภาษามาใช้งานได้จริง และที่สำคัญกิจกรรมจัดในช่วงปิดเทอม เด็ก ๆ สามารถมาเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ ขอบคุณทาง สวทช. ที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2567
ข่าว สวทช. รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) สวทช. ร่วมกับ สกมช. ผนึกกำลังรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยี นักวิจัย สวทช. เจ๋ง รวมทัพรับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2567 สวทช.-อว. ชี้ “น้ำไม่ใช่เชื้อเพลิง” ไม่สามารถใช้แทนน้ำมันในรถยนต์เชื้อเพลิงสันดาปได้ สวทช. ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อเยาวชน เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในงานวันนักประดิษฐ์ 2567 สวทช. โดย ไบโอเทค-เอ็มเทคได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2566 จำนวน 3 โครงการ ด้านรถไฟความเร็วสูง มันสำปะหลังและเห็ด เกษตรกรเฮ ปลูกถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML สร้างรายได้ไม่ธรรมดา  สวทช.-พันธมิตร หนุนปลูกครบวงจร ใช้กลไก ‘ตลาดนำการผลิต’ เอกชนรับซื้อถึงแปลง สวทช. พร้อมพันธมิตร ร่วมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี และแนวทางการใช้ ChatGPT และเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ปี 67 เอ็มเทค สวทช. ผนึกกำลัง ส.อ.ท. จัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มอุตสาหกรรม เหล็ก รองรับมาตรการ CBAM สวทช. ลุยพื้นที่ EECi เสริมสร้างศักยภาพครู รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน สอดคล้องนโยบาย BCG พร้อมต่อยอดในชั้นเรียน 7 เยาวชนตัวแทนประเทศไทยบินลัดฟ้าสู่แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมลุ้นผลการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากไอเดียที่ส่งเข้าประกวด เอ็มเทค สวทช. หนุนอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ปลดล็อก CBAM ช่วยไทยคงมูลค่าส่งออก EU กว่า 4 พันล้านบาท เยาวชนไทยร่วมลุ้นผลการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากไอเดียที่ส่งเข้าประกวด สวทช. รับรางวัลคลิปแอนิเมชันรักษ์โลก ประเภทองค์กร จากคณะอนุกรรมาธิการด้านคุณธรรมและจริยธรรมฯ วุฒิสภา “ศุภมาส” ประกาศเดินหน้าแผนพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ ศุภมาส ร่วมผลักดันไทยเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า กรมโรงงานฯ ผนึก สวทช. หนุน 500 โรงงาน ประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบออนไลน์ Thailand i4.0 Checkup สวทช. รับรางวัลทุนหมุนเวียน ประเภทประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น ปี 2566 ไบโอเทค เปิดบ้าน TBRC คลังจุลินทรีย์ชั้นนำระดับอาเซียน เอสซีจี เยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และผลงานวิจัย สวทช. สวทช.-สวก.-กรมส่งเสริมการเกษตร ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ สวทช. -บพข. คิก ออฟ ‘MED Drive’ ยกระดับความสามารถผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ สวทช. ผนึกกำลัง มธ. และ OR ร่วมวิจัยพัฒนา เทคโนโลยีพลังงานทดแทน และพัฒนานวัตกรรมสู่ความยั่งยืน   Download เอกสารฉบับเต็ม (23.4 MB)
จดหมายข่าว สวทช.