หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
แนะนำข้อมูลเปิดภาครัฐ – High Value Datasets
ชุดข้อมูลที่มีคุณค่าสูง(High Value Datasets) มาจากการนำข้อมูลเปิดทุกประเภทที่มีลักษณะตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้มานำเสนอบนเว็บไซต์ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ โดยชุดข้อมูลที่มีคุณค่าสูงสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาประเทศได้ โดยมีลักษณะเด่นเฉพาะ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ได้มากกว่าข้อมูลเปิดทั่วไป เช่น เป็นข้อมูลที่สามารถเพิ่มความโปร่งใสของรัฐบาลได้ เป็นข้อมูลที่มีความต้องการสูง เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาก การพิจารณาชุดข้อมูลที่มีคุณค่าสูง แนวทางพื้นฐานในการประเมินคุณค่าของข้อมูลสามารถพิจารณาได้จาก 2 มุมมอง โดยแบ่งออกเป็นมุมมองของผู้ให้ข้อมูล และมุมมองของผู้ใช้ข้อมูล สำหรับแนวทางในการพิจารณาชุดข้อมูลที่หน่วยงานต้องการเปิดเผยว่าชุดข้อมูลนั้นเป็นชุดข้อมูลที่มีคุณค่าสูงหรือไม่ อ้างอิงจาก High Value Datasets Quick Guide (https://data.go.th/pages/high-value-criteria) มี 10 ข้อ ประกอบไปด้วย ส่วนที่ 1 : เพิ่มความโปร่งใส ข้อ 1  ข้อมูลที่เปิดเผยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่? ส่วนที่ 2 : ข้อมูลตามภารกิจของหน่วยงาน ข้อ 2  ข้อมูลที่เปิดเผยเป็นข้อมูลตามภารกิจหรือทิศทางเชิงกลยุทธ์ของหน่วยงาน และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องหรือไม่? ส่วนที่ 3 : มาตรฐานข้อมูลเปิดภาครัฐ คำถามข้อที่ 3-7 อ้างอิงตามแนวทางการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐในรูปแบบดิจิทัลต่อสาธารณะ เป็นไปตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนดไว้ใน พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 มาตรา 17 ข้อ 3  กระบวนการเปิดเผยข้อมูลของหน่วยงานของรัฐ จัดอยู่ในระดับใดของการวัดการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐที่สอดคล้องตามแนวทางฯ และสูงกว่าระดับที่ 3 ขึ้นไปหรือไม่? ระดับ 1: Initial หมายถึง ไม่มีกระบวนการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ หรือกระบวนการถูกกำหนดขึ้นมาเฉพาะกิจ ทำให้ไม่มีรูปแบบของการดำเนินงานที่สะท้อนภาพรวมของหน่วยงานของรัฐ ระดับ 2: Repeatable หมายถึง เริ่มมีกำหนดกระบวนการ สามารถดำเนินการตามกระบวนการซ้ำ ๆ ได้ แต่ยังขาดการกำหนดมาตรฐานของกระบวนการ ระดับ 3: Defined หมายถึง กระบวนการถูกกำหนดเป็นมาตรฐานที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดี ทั้งจากภายในและภายนอกหน่วยงานของรัฐ มีการถ่ายทอดองค์ความรู้หรือแนวปฏิบัติที่ดีให้กับบุคลากร แต่ยังขาดการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ระดับ 4: Managed หมายถึง มีการนำกระบวนการที่ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานมาใช้ในหน่วยงานของรัฐอย่างกว้างขวาง มีการติดตามการดำเนินงานและกำหนดตัวชี้วัด ระดับ 5: Optimized หมายถึง มีการปรับปรุงกระบวนการเปิดเผยข้อมูลเปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเปิดเผยข้อมูลภายในหน่วยงานของรัฐ หรือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   ข้อ 4 ข้อมูลที่เปิดเผยมี Metadata และ Data Dictionary สอดคล้องตามแนวทางฯ หรือไม่ ข้อ 5  ระดับคุณภาพของชุดข้อมูลสอดคล้องตามแนวทางฯ หรือไม่ (ชุดข้อมูลคุณภาพสูง คือ ชุดข้อมูลที่มีความถูกต้องสูง ผิดพลาดน้อยมาก รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีความสอดคล้องต้องกัน ทันสมัย) ข้อ 6 ข้อมูลที่เปิดเผยเป็นข้อมูลที่มีกลุ่มผู้ใช้งานแสดงความประสงค์ในการนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอภายในระยะเวลา 1 ปี หรือไม่ ข้อ 7 ข้อมูลที่เปิดเผยเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปต่อยอด ช่วยให้เกิดการวิเคราะห์เรื่องใหม่ ๆ หรือนำไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อให้บริการประชาชนได้หรือไม่ ส่วนที่ 4 : ข้อมูลอยู่ในรูปแบบพร้อมจะเปิดเผย ข้อ 8 ข้อมูลที่เปิดเผยอยู่ในรูปแบบที่สอดคล้องตามแนวทางฯ กำหนดในระดับใด และสูงกว่าระดับ Machine-readable (ระดับ 2 ขึ้นไป) หรือไม่ ((OL - Open License) (RE - Machine Readable) (OF - Open Format) (URI - Uniform Resource Identifier) (LD - Linked Data)) OL: เปิดเผยข้อมูลบนเว็บไซต์ได้ทุกรูปแบบ และสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรูปแบบนี้สามารถสร้างได้ง่าย แต่นำข้อมูลไปต่อยอดใช้ประโยชน์ได้ยาก (Not Reusable) เช่น PDF, TIFF, JPEG OL RE: เปิดเผยข้อมูลในรูปแบบที่อ่านได้ด้วยเครื่อง เป็นข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data) และใช้กับซอฟต์แวร์จำกัดสิทธิ์ (Proprietary Software) เช่น DOC, XLS OL RE OF: เปิดเผยข้อมูลในรูปแบบมาตรฐานแบบเปิด และไม่จำกัดสิทธิ์โดยบุคคลใด (Non-proprietary) เช่น CSV, ODS, XML, JSON, KML, SHP, KMZ OL RE OF URI: เปิดเผยข้อมูลในรูปแบบที่ใช้ยูอาร์ไอในการระบุตัวตนของข้อมูลและชี้ไปยังตำแหน่งของข้อมูลนั้น เช่น RDF (URIs) OL RE OF URI LD: เปิดเผยข้อมูลในรูปแบบที่ข้อมูลสามารถเชื่อมโยงไปสู่แหล่งข้อมูลอื่น หรืออ้างอิงข้อมูลในชุดข้อมูลอื่นได้ เช่น RDF (Linked Data)   ข้อ 9 ข้อมูลที่เปิดเผยเป็นข้อมูล Machine-readable ที่ถูกปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน หรือเป็นลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้: Near Real-Time Feed หรือ Time Series โดยได้รับจากเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เครื่องมือตรวจวัด (Sensor) หรือกล้องวิดีโอ (Video Camera) หรือไม่ ข้อ 10 ข้อมูลที่เปิดเผยเป็นข้อมูลที่มีการจัดทำอย่างต่อเนื่อง (มีข้อมูลย้อนหลัง 4 ปีขึ้นไป) หรือไม่ จากการพิจารณาตามแนวทางทั้ง 10 ข้อ หากคำตอบของท่านเป็นไปตามแนวทางฯ มากกว่าหรือเท่ากับ 8 จาก 10 ข้อ ถือว่ามีชุดข้อมูลที่มีคุณค่า (Value Datasets)  และเมื่อรวมกับแนวทางการเปิดเผยชุดข้อมูลที่มีคุณค่าเป็นเวลา 2 ปีขึ้นไป ผ่านระบบ data.go.th ที่ตรวจสอบได้จากจำนวนการเข้าชมข้อมูลมากกว่า 100 ครั้งต่อปี ทำให้ชุดข้อมูลนั้นสมควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นชุดข้อมูลที่มีคุณค่าสูง (High Value Datasets)
นานาสาระน่ารู้
 
เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว Ve-Sea ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ อร่อยง่าย ดีต่อสุขภาพ
  ต่อเนื่องจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘Ve-Sea’ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปจากโปรตีนพืชในรูปแบบลูกชิ้นปลา เส้นปลา ฮือก้วย และกุ้ง เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ve-Sea ที่สายรักสุขภาพต้องว้าวอีกหนึ่งเทคโนโลยีแล้ว เพราะผลิตภัณฑ์นี้นอกจากจะมีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงหมึกจริง ยังมีโปรตีนและไฟเบอร์ ปราศจากคอเลสเตอรอลและกลูเตน ที่สำคัญปลอดภัยจากสารเคมีที่อาจตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าจับตา เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดและยังมีตัวเลือกไม่มากนัก   [caption id="attachment_58345" align="aligncenter" width="750"] ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.นิสภา ศีตะปันย์ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ปัจจุบันหากสำรวจห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ผู้บริโภคจะเริ่มพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือได้ว่ามีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชชนิดอื่น ๆ เช่น หมู ไก่ ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะผลิตภัณฑ์ ‘หมึกจากพืช’ จะพบได้ว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีเพียงผงบุกเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีแป้งสาลีที่มีโปรตีนกลูเตนเป็นส่วนประกอบเสริม ทำให้ผู้บริโภคที่มีอาการแพ้กลูเตนไม่สามารถบริโภคได้   [caption id="attachment_58342" align="aligncenter" width="750"] Ve-Sea หมึกจากโปรตีนพืชในรูปแบบพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC)[/caption]   “ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงสร้างอาหารมาคิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิต ‘หมึกจากโปรตีนพืช’ ในรูปแบบพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์นี้มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับหมึกจริง มีโปรตีนพืชเป็นส่วนประกอบที่ร้อยละ 4-6 มีไฟเบอร์สูง ปราศจากคอเลสเตอรอลและกลูเตน นอกจากนี้ยังมีปริมาณโซเดียมต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในท้องตลาด ใช้เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ แพ้อาหารทะเล และแพ้กลูเตน รวมถึงต้องการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ โดยผลิตภัณฑ์ Ve-Sea หมึกจากโปรตีนพืชนำไปใช้ปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นลวก ยำ ผัด แกง ทอด ปิ้ง ย่าง”   [caption id="attachment_58343" align="aligncenter" width="600"] ผัดกะเพราหมึกจากโปรตีนพืช[/caption]   [caption id="attachment_58428" align="aligncenter" width="600"] ต้มยำรวมมิตร หมึก กุ้ง และลูกชิ้นปลาจากโปรตีนพืช[/caption]   [caption id="attachment_58427" align="aligncenter" width="600"] คาลามารี (calamari) หมึกจากโปรตีนพืชคลุกแป้งทอดกรอบ ปรุงรสชาติสไตล์อิตาลี[/caption]   [caption id="attachment_58426" align="aligncenter" width="600"] หมึกจากโปรตีนพืชลวกจิ้ม[/caption]   ดร.นิสภา เสริมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ว่า ทีมวิจัยให้ความสำคัญอย่างยิ่งเรื่องการเลือกใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายภายในประเทศ และการเลือกใช้เครื่องจักรที่มีการใช้งานทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการระดับ SME เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ได้ ซึ่งจากการประเมินต้นทุนการผลิตพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีราคาที่แข่งขันกับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชชนิดอื่น ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจริงได้ ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีโอกาสทางการตลาดสูงทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารประเภทโปรตีนทางเลือกจากพืชแล้ว ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. ยังมีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ในฐานะหน่วยให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร (novel food) และการบริการทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ในนาม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป) สวทช.   ดร.นิสภา อธิบายถึงการให้บริการผ่าน ‘แพลตฟอร์ม FoodSERP’ หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ one-stop service’ ว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร 4 กลุ่ม คือ ส่วนผสมฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารเฉพาะกลุ่ม และสารสกัดฟังก์ชัน ซึ่งการให้บริการจะครอบคลุมทั้งการวิจัยและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การวิจัยและพัฒนาเพื่อขยายกำลังการผลิต การบริการวิเคราะห์ทดสอบ และการจัดเตรียมเอกสารรับรองเพื่อใช้ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมถึงการให้บริการอบรมและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ “ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค เปิดให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อจากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ ส่วนทางด้านบริการทดสอบ เอ็มเทคพร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร และได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้บริการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (ระบบ tiny-TIMsg) และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ (ระบบ TIM-2) รวมถึงวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่นักวิจัย สวทช. ร่วมกับผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาขึ้น ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง” ดร.นิสภา กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea ทั้งผลิตภัณฑ์หมึก กุ้ง ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วยจากโปรตีนพืช ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ประกอบการที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารติดต่อได้ผ่านแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช. อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
CoCalc Online Platform สำหรับนักคณิตศาสตร์
CoCalc  เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการการคำนวณทางคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะของการทำงานร่วมกันผ่านเว็บเบราว์เซอร์ โดย CoCalc เป็นเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นโดย SageMath และมีความสามารถที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึง: การคำนวณทางคณิตศาสตร์: รองรับการใช้ SageMath, Python, R, และเครื่องมือคอมพิวเตอร์ทางคณิตศาสตร์อื่นๆ ในการคำนวณและการวิเคราะห์ข้อมูล การจัดการเอกสาร: สามารถสร้างและจัดการเอกสารในรูปแบบต่างๆ เช่น Jupyter Notebooks, LaTeX, และ Markdown การทำงานร่วมกัน: ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันในเอกสารเดียวกันแบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะสำหรับการศึกษาและการทำงานเป็นทีม การติดตามและการจัดการเวอร์ชัน: CoCalc มีฟีเจอร์ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของเอกสารและการจัดการเวอร์ชันที่ช่วยให้สามารถกลับไปยังสถานะก่อนหน้าได้ ตัวอย่างการใช้งาน CoCalc การเรียนการสอน: การสร้างโน้ตบุ๊ก: ครูสามารถสร้าง Jupyter Notebook ที่รวมคำอธิบาย ทฤษฎี และตัวอย่างการคำนวณ แล้วแชร์ให้กับนักเรียนเพื่อให้พวกเขาสามารถทำแบบฝึกหัดได้ การทำงานร่วมกัน: นักเรียนสามารถทำงานร่วมกันในโปรเจ็กต์เดียวกันโดยการเขียนโค้ดหรือทำการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกันในเวลาเดียวกัน การวิจัย: การทำการทดลอง: นักวิจัยสามารถใช้ CoCalc เพื่อเขียนและทดสอบโค้ดในการวิเคราะห์ข้อมูลหรือการคำนวณทางคณิตศาสตร์ การแชร์ผลลัพธ์: สามารถแชร์ผลลัพธ์ของการวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมงานหรือกลุ่มวิจัยได้ การพัฒนาโปรแกรม: การพัฒนาและทดสอบโค้ด: นักพัฒนาสามารถเขียนและทดสอบโค้ดในภาษา Python หรือ R ภายใน CoCalc และใช้ทรัพยากรออนไลน์ของแพลตฟอร์มในการรันโค้ด การทำงานร่วมกันในการพัฒนา: ทีมพัฒนาสามารถทำงานร่วมกันในการพัฒนาโปรเจ็กต์ โดยใช้ CoCalc เพื่อแก้ไขและทดสอบโค้ดร่วมกัน การจัดการข้อมูล: การวิเคราะห์ข้อมูล: นักวิเคราะห์ข้อมูลสามารถใช้เครื่องมือใน CoCalc เช่น R หรือ Python เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และสร้างกราฟหรือรายงาน การเขียนรายงาน: สามารถใช้ LaTeX หรือ Markdown เพื่อเขียนและจัดรูปแบบรายงานผลการวิเคราะห์  
นานาสาระน่ารู้
 
Urban Technology เมืองน่าอยู่ด้วย Traffy Fondue
Urban Technology  เป็นแนวคิดและการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการดำเนินชีวิตในเขตเมืองให้ดีขึ้น การใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างเมืองที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยในการจัดการทรัพยากร การบริการ การขนส่ง และการสื่อสารในเมืองให้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ปรับปรุงคุณภาพชีวิตในพื้นที่เมือง โดยการจัดการทรัพยากรและบริการต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างของ Urban Technology Smart City : การจัดการจราจร: ใช้เซ็นเซอร์และข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อจัดการการจราจรและลดการติดขัด ระบบสาธารณูปโภค: ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการและตรวจสอบการใช้พลังงานและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะ: ใช้เซ็นเซอร์ในการติดตามระดับของถังขยะและจัดการการเก็บขยะได้ดีขึ้น การสื่อสารและข้อมูล: เครือข่ายไวไฟฟรี: ให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตฟรีในพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะและสถานีขนส่ง แอพพลิเคชันสำหรับบริการคมนาคม: แอพที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบริการคมนาคม  เช่น ตารางเวลาเดินรถหรือข้อมูลสภาพอากาศ ระบบขนส่ง: การขนส่งอัจฉริยะ: ระบบขนส่งสาธารณะที่มีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับเส้นทางและเวลาเดินรถให้เหมาะสมกับความต้องการ รถยนต์ไร้คนขับ: การใช้เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการจราจรติดขัด การจัดการพลังงาน:  Smart Grid : ระบบที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการการแจกจ่ายพลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ พลังงานทดแทน: การใช้พลังงานจากแหล่งที่ยั่งยืน เช่น โซลาร์เซลล์และลม การสร้างเมืองอย่างยั่งยืน: การออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: การใช้วัสดุก่อสร้างและการออกแบบที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการพื้นที่สีเขียว: การสร้างและบำรุงรักษาพื้นที่สีเขียว เช่น สวนสาธารณะและพื้นที่ปลูกต้นไม้ในเมือง ความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย: กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ: การใช้กล้องที่สามารถตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมที่น่าสงสัย ระบบเตือนภัย: ระบบที่สามารถแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย สำหรับงานวิจัย สวทช. ได้พัฒนา แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เกิดขึ้นจากการผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยีหลัก คือ  Geographical Information System (GIS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเพื่อการจัดเก็บรายละเอียดข้อมูล ตำแหน่งของสถานที่ รวมถึงรูปภาพของสถานที่ และเทคโนโลยี AI ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล Big Data ออกมาเป็นข้อมูลที่พร้อมใช้งาน รวมถึงการมีจุดแข็งที่การมีแพลตฟอร์มให้ประชาชนทั่วไปใช้งานได้ง่าย ทำให้สามารถประยุกต์ใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อส่งเสริมการเป็น Smart City ในด้านอื่นๆ ให้กับประเทศได้อีกหลากหลาย ตอนนี้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue มีสถิติเรื่องแจ้งทั่วประเทศใกล้ครบ 1 ล้านเรื่องแล้ว โดยข้อมูลในเดือนกรกฎาคม 2567 รับเรื่องแจ้งแล้ว 947,769 เรื่อง แถมเรื่องแจ้งได้รับการแก้ไขถึง 733,372 หรือคิดเป็น 77% และใช้เวลาแก้ปัญหาเร็วขึ้นเฉลี่ยถึง 4 เท่า นับเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีเข้ามาปฏิรูปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบราชการให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ส่งผลให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้ความสนใจนำแพลตฟอร์มไปประยุกต์ใช้เพิ่มช่องทางรับแจ้งปัญหา ช่วยให้ประชาชนแจ้งปัญหาได้สะดวกและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สำหรับหน่วยงานที่สนใจสามารถนำ Traffy Fondue ไปประยุกต์ใช้งานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ศูนย์ข้อมูล Traffy Fondue หรือ https://info.traffy.in.th  
นานาสาระน่ารู้
 
สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีอัปไซเคิลน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ หอมกรุ่น กลมกล่อมสไตล์เอเชีย
  โดยทั่วไปในกระบวนการผลิตลูกชิ้นจากเนื้อปลาจะมีน้ำที่ได้จากการต้มลูกชิ้นมากกว่า 3-6 ตันต่อวัน ซึ่งโรงงานจะเก็บน้ำส่วนหนึ่งไว้ในห้องเย็นเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการประเภทจัดเลี้ยงหรือร้านอาหารที่ต้องการใช้น้ำชนิดนี้ทำอาหาร อย่างไรก็ตามความต้องการเหล่านั้นยังคงไม่มากพอ ส่งผลให้โรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการบำบัดน้ำทิ้งโดยเปล่าประโยชน์เป็นประจำทุกวัน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการแปรรูปน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ ประเภทพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) กลิ่นหอมกรุ่น รสกลมกล่อมสไตล์เอเชีย เหมาะแก่การผลิตเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ   [caption id="attachment_58247" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลารูปแบบต่าง ๆ[/caption]   [caption id="attachment_58245" align="aligncenter" width="750"] ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์, ดร.ยุวเรศ มลิลา และคุณญาณี ศรีมารุต (ซ้าย-ขวา)[/caption]   คุณญาณี ศรีมารุต ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยด้านการลดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม ทีมวิจัยได้ดำเนินการพัฒนากระบวนการผลิตหัวน้ำซุปปลาจากน้ำต้มลูกชิ้นขึ้นด้วยกระบวนการทำเข้มข้นที่อุณหภูมิต่ำเพื่อรักษากลิ่นรสของวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร นอกจากนี้ยังนำน้ำซุปไปเข้ากระบวนการสเตอริไลซ์เพื่อยืดอายุได้โดยไม่เสียรสชาติ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นเก็บรักษาในบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องแช่เย็นและใส่สารกันบูดได้นานกว่า 1 ปี เหมาะแก่การผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทีมวิจัยได้จดความลับทางการค้าเรียบร้อยแล้ว และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งนี้ในขั้นตอนของการทดลองขยายขนาดการผลิตทีมวิจัยได้รับทุนจากโครงการสนับสนุนเร่งการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (Research gap fund) ประจำปีงบประมาณ​ 2563     ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้ออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์ไว้ที่ปริมาตร 150 กรัมต่อซอง ใช้เป็นหัวน้ำซุปสำหรับทำน้ำแกงได้ประมาณ 5 ถ้วย หรือใช้ทำชาบูได้ 1 มื้อ (2-3 คน) ทั้งนี้การออกแบบขนาดของบรรจุภัณฑ์สามารถปรับได้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบการผลิตเป็นซองขนาดเล็กสำหรับบริโภค 1 คนต่อ 1 มื้อ หรือเป็นบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่สำหรับจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารหรือร้านจัดเลี้ยง ซึ่งหัวน้ำซุปแบบ RTC จะช่วยให้ผู้ประกอบการรักษาความคงที่ของรสชาติอาหาร ลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บวัตถุดิบสด และระยะเวลาการต้มน้ำซุป รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต อาทิ แรงงาน เชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี ผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นในประเทศไทยรวมถึงอีกหลายประเทศทั่วโลก และจะยิ่งเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้นหากผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านั้น ‘ช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบาย’ ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า ในปี 2566 ผลิตภัณฑ์น้ำซุปใสมีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึงราว 1.8 แสนล้านบาท (4.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยในช่วงปี 2567-2576 มีแนวโน้มอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ปีละ 5.1% โดยหน่วยงานด้านการวิเคราะห์มูลค่าทางเศรษฐกิจได้ประมาณการไว้ว่าในปี 2576 ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 2.3 แสนล้านบาท (6.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากผลิตภัณฑ์เป็น clean label หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งประเภทที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร (เช่น ผงชูรส สารแต่งกลิ่นรส สารแต่งสี สารกันบูด) และเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท RTC จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับตนเอง เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ รวมไปถึงผู้ที่มองหาผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารที่ใช้งานได้สะดวก สามารถจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุ ที่สำคัญผลิตภัณฑ์อาหารที่ให้กลิ่นรสแบบเอเชียยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศซึ่งมีกำลังซื้อสูง อาทิ ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์นี้มีแนวโน้มที่จะมีศักยภาพในการทำการตลาดทั้งในไทย (ตลาดพรีเมียม) และต่างประเทศ     “นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์หัวน้ำซุปปลาเข้มข้นที่ปัจจุบันพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ขณะนี้ทีมวิจัยยังพร้อมเปิดรับโจทย์วิจัยการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารประเภทน้ำซุปและน้ำแกงในระดับอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อร่วมวิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งด้านความคุ้มค่าในการผลิตและโอกาสทางการตลาดก่อนลงทุนทำวิจัยได้” ดร.ยุวเรศกล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล bbd@biotec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เอ็มเทค สวทช. ต่อยอด ‘Ve-Chick’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทาน แค่ฉีกซอง ก็อิ่มอร่อยได้ทันที
  ‘อาหารดี’ ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อม คือ เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาวะที่ดี (well-being) 3 ด้าน ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะบทบาทของอาหารแห่งอนาคตไม่ควรตอบโจทย์ได้เพียงความอิ่มอร่อย แต่ควรดีต่อร่างกาย และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเกินความจำเป็น นอกจากนี้หากมองในมุมเศรษฐกิจ อาหารไทยยังมีศักยภาพที่จะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ก่อให้เกิดเงินตราสะพัดในระบบ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และการท่องเที่ยวของประเทศตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้อีกด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยความสำเร็จในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เนื้อไก่จากโปรตีนพืช สู่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยพร้อมรับประทานในรูปแบบซอง ที่แค่ฉีกเปิดซองก็อิ่มอร่อยได้ทันที ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้พกพาสะดวก ไม่ต้องแช่แข็ง เก็บได้นานถึง 1 ปี   [caption id="attachment_57961" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า Ve-Chick เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลือง ที่ทีมวิจัยเปิดตัวผลงานและเปิดรับถ่ายทอดเทคโนโลยีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2564 โดยผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบแรกที่เปิดตัว คือ รูปแบบ premix ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แบบผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่รูปแบบต่าง ๆ ก่อนนำไปปรุงเป็นอาหาร และรูปแบบ precook ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อไก่พร้อมนำไปปรุงเป็นอาหารต่อทันที (ready-to-cook : RTC) และยังผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานในรูปแบบแช่แข็ง (frozen food) ที่เพียงแค่นำไปอุ่นร้อนก็อิ่มอร่อยได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงมือปรุงได้อีกด้วย “ผลิตภัณฑ์​ Ve-Chick ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นด้านการมีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อไก่จริง แต่ปราศจากคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจพบได้ในเนื้อไก่ ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์มาได้ประมาณ 3 ปี ทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการไปแล้ว 3 แห่ง คือบริษัทปรายา จำกัด, บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Green Spoons) และบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด (จำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วในชื่อแบรนด์ Gin Zhai และ FoodFill)”     ทั้งนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ทีมวิจัยไม่ได้มุ่งเป้าตอบโจทย์เพียงเทรนด์ ‘อาหารดี’ 3 ด้าน ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ ‘ดีที่ 4 หรือดีต่อเวลา’ เพิ่มเติมด้วย โดยทีมวิจัยได้พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ Ve-Chick สู่ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เป็น ‘อาหารประเภทพร้อมรับประทาน (ready-to-eat : RTE)’ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบและมองหาความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้น โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ประมาณการไว้ว่าในช่วงปี 2567-2569 ประเทศไทยจะมีปริมาณการจำหน่ายอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 3-4% และมีปริมาณการส่งออกอาหารประเภทนี้เพิ่มขึ้นปีละ 5-6% ดร.กมลวรรณ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์​เนื้อไก่จากโปรตีนพืชรูปแบบ RTE จนประสบความสำเร็จในระดับ TRL6-7 หรือพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการเรียบร้อยแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ Ve-Chick รูปแบบ RTE ที่พัฒนาขึ้นนี้ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารประเภทที่ฆ่าเชื้อด้วยเครื่องรีทอร์ต (retort) ซึ่งใช้แรงดันและอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียสฆ่าเชื้อโรค โดยไม่ทำให้อาหารมีลักษณะเนื้อสัมผัสและกลิ่นรสที่เปลี่ยนแปลงไป และเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการรังสรรค์อาหารเมนูต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ รวมถึงเลือกใช้กรรมวิธีในการปรุงอาหารได้หลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เมนูผัด หรือแกงกะทิ ดังตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ทีมวิจัยพัฒนาไว้แล้วอย่าง ‘กะเพราไก่สับจากโปรตีนพืช’ และ ‘แกงเขียวหวานไก่จากโปรตีนพืช’     “Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อใจ เพราะมีรสชาติที่อร่อยและเนื้อสัมผัสสมจริง เป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเนื้อไก่จากโปรตีนพืชสำหรับผลิตภัณฑ์ RTE มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 20 หรือเทียบเท่าเนื้อไก่ แต่มีปริมาณใยอาหารสูงกว่า และปราศจากคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตแข่งขันกับเวลาอีกด้วย เพราะแค่ฉีกซองก็รับประทานได้ทันที หรือจะอุ่นร้อนเพื่อเสริมความอร่อยก็ได้เช่นกัน ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์มาติดบ้านเตรียมไว้ล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเสีย เพราะเก็บได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ที่สำคัญกระบวนการผลิตและเก็บรักษาอาหารประเภทนี้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าอาหารจากเนื้อไก่จริง” สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุนเครื่องจักรราคาสูง เพราะกระบวนการผลิตทั้งหมดผ่านการวิจัยและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘ผู้ประกอบการไทยในระดับ SME ต้องเข้าถึงได้’ ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต Ve-Chick รูปแบบ RTE เป็นวัตถุดิบที่หาซื้อได้ทั่วไปในประเทศ ส่วนเครื่องจักรที่ใช้ผลิตก็เป็นเครื่องจักรราคาจับต้องได้ที่ใช้งานอยู่ทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหารไทย ดังนั้นหากผู้ประกอบการยังไม่มีเครื่องจักรเป็นของตนเองและไม่พร้อมจะลงทุน ก็สามารถจ้างโรงงานผลิตอาหารทั่วไปในการผลิตได้ “ทั้งนี้เทรนด์อาหารดีที่ดีต่อทั้งใจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเวลา ไม่ได้เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น Ve-Chick รูปแบบ RTE อาจเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยนำเมนูอาหารไทยไปสร้างซอฟต์พาวเวอร์ในระดับนานาชาติได้ เพราะปัจจุบันแม้จะเริ่มมีผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบ RTE จำหน่ายแพร่หลายแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์ RTE ที่เป็นอาหารโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงยังคงมีน้อย ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังมีความต้องการสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Chick ทั้งแบบ premix, RTC, frozen food และ RTE ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ประกอบการที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารติดต่อได้ผ่านแพลตฟอร์ม FoodSERP สวทช. อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
แนะนำข้อมูลเปิดภาครัฐ – การเปิดเผยชุดข้อมูล
 ขั้นตอนการเปิดเผยชุดข้อมูลสำหรับข้อมูลเปิดภาครัฐ จากบทความแนะนำข้อมูลเปิดภาครัฐ หลังจากพิจารณาเตรียมข้อมูลเพื่อเปิดเผย ต่อไปเป็นขั้นตอนเปิดเผยชุดข้อมูล ที่หน่วยงานจะต้องดำเนินการเพื่อเปิดเผยสู่สาธารณะ โดยมีทั้งหมด 10 ขั้นตอน ขั้นตอน 1 สำรวจชุดข้อมูลที่มีอยู่ในหน่วยงาน พิจารณาในหน่วยงานของท่านว่า มีการทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) แล้วหรือไม่ กรณี หน่วยงานมีการทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) - เข้าไปดูที่ Data Catalog ที่ได้จัดทำไว้ และนำข้อมูลที่ถูกจัดชั้นความลับว่าเป็น “ข้อมูลสาธารณะ” แล้วนำเข้าสู่ ขั้นตอน 2 เพื่อพิจารณาเพิ่มเติมชุดข้อมูลที่ ควรนำมาเปิดเผย กรณี หน่วยงานไม่มีการทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) - ให้ทำการสำรวจข้อมูลภายในหน่วยงาน ให้นำข้อมูลที่เป็น “ข้อมูลสาธารณะ” สามารถเปิดเผย ไปพิจารณาเพิ่มเติมตาม ขั้นตอน 2   ขั้นตอน 2 พิจารณาชุดข้อมูลที่ควรจะนำมาเปิด หลังจากได้ “ข้อมูลสาธารณะ” มาแล้ว ก็ต้องมาระบุชุดข้อมูลที่จะนำไปเปิดเผยว่าเป็นชุดข้อมูลประเภทใด มีความสำคัญอย่างไร และนำไปใช้ในทิศทางใด โดยพิจารณาตาม ลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ กฎหมายกำหนดให้เปิดเผย เช่น ข้อมูลแผนงาน โครงการ สัญญาสัมปทาน เปิดตามภารกิจของหน่วยงาน เช่น ข้อมูลเชิงสถิติการให้บริการ มีประโยชน์ต่อผู้พัฒนาในการนำไปพัฒนาบริการภาครัฐ เช่น ข้อมูลสถิติต่าง ๆ มีประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ใช้งาน เช่น ข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท ข้อมูลการขนส่ง ข้อมูลการเกิดอาชญากรรม สร้างความโปร่งใส คือ ผู้ใช้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อป้องกันการทุจริต เช่น ข้อมูลด้านงบประมาณ ค่าใช้จ่ายของภาครัฐ และการจัดซื้อจัดจ้าง   ขั้นตอน 3 จัดลำดับความสำคัญ โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ คุณค่าของแต่ละชุดข้อมูล คุณภาพของชุดข้อมูล การบริหารจัดการของชุดข้อมูลเปิด หากมีคุณค่าสูง ข้อมูลที่มีอยู่มีคุณภาพ และอยู่ในรูปแบบที่สามารถเปิดเผยได้ ก็ควรพิจารณาให้เปิดเผยก่อน   ขั้นตอน 4 การรวบรวมจัดทำชุดข้อมูล เนื่องจากข้อมูลอาจจะมาจากหลายส่วนงานภายใน จึงต้องมีการจัดทำออกมาเป็นชุดข้อมูลก่อนเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป   ขั้นตอน 5 การจำแนกประเภทข้อมูลและตัวอย่าง ต้องทำให้มั่นใจก่อนว่า ข้อมูลที่จะนำมาเปิดเผยถูกจำแนกว่าเป็นข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้ โดยสามารถพิจารณาตามคำถามต่อไปนี้ เป็นข้อมูลเปิดตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ใช่หรือไม่ หากใช่ สามารถเปิดเผยได้ หากไม่ใช่ ให้พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงฯ ตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และพ.ร.บ.ข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ. 2562ใช่หรือไม่ หากใช่ ไม่สามารถเปิดเผยได้ หากไม่ใช่ ให้พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป เป็นข้อมูลส่วนบุคคลฯ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540ใช่หรือไม่ หากใช่ ให้พิจารณาว่าได้รับอนุญาตให้เปิดเผยได้ ใช่หรือไม่ หากใช่ สามารถเปิดเผยได้ หากไม่ใช่ ไม่สามารถเปิดเผยได้ หากไม่ใช่ ให้พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป เป็นข้อมูลที่มีกฎหมายเฉพาะให้เปิดเผย ใช่หรือไม่  หากใช่ สามารถเปิดเผยได้  หากไม่ใช่ ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้หลังจากจำแนกชุดข้อมูล จะต้องพิจารณาเรื่องต่อไปนี้ด้วย  คุณภาพของชุดข้อมูล ชุดข้อมูลที่คุณภาพต่ำไม่ควรนำมาเปิดเผยหรือเผยแพร่จนกว่า จะมีการควบคุมคุณภาพของข้อมูลให้สูงขึ้นในระดับที่ยอมรับให้เปิดเผยได้  สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ข้อมูลเปิดภาครัฐจะต้องไม่มีข้อห้ามเรื่องลิขสิทธิ์สิทธิบตัรเครื่องหมายการค้า หรือข้อจ ากัดในเชิงการค้า (Open License) ในการนำชุดข้อมูลดังกล่าว ไปเปิดเผย และสามารถใช้งานได้โดยอิสระ ไม่เสียค่าใช้จ่าย   ขั้นตอน 6 การเตรียมความพร้อมก่อนนำขึ้นเผยแพร่ ทำให้อยู่ในรูปแบบเปิด ทำให้อยู่ในรูปแบบเปิดมากที่สุด เช่น มีชุดข้อมูลอยู่ในไฟล์ .pdf ก็ให้ทำการแปลงเป็นไฟล์รูปแบบอื่น เพื่อทำให้เครื่องอ่านได้ เช่น .csv การแปลงไฟล์ ที่ทำให้สามารถเปิดเผยได้ ตรวจสอบคุณภาพ – กำจัดข้อมูลซ้ำ ทำให้ไม่มีข้อมูลว่าง ตรวจสอบความต้องกัน – รูปแบบวันที่ รูปแบบเวลา ตรวจสอบมาตรฐาน – รหัสมาตรฐาน เช่น UN/LOCODE กำหนดความถี่ในการปรับปรุง กำหนดว่าชุดข้อมูลนี้ ต้องปรับปรุงหรือไม่ หากมี ความถี่เป็นอย่างไร จะใช้วิธีใดในการปรับปรุง Metadata ต้องมีการจัดทำเมทาดาตาเพื่อความสะดวกกับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นความต้องการขั้นต่ำในการเปิดเผยชุดข้อมูลเปิด   ขั้นตอน 7 การขออนุมัติ การเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐจะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐในการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ   ขั้นตอน 8 เปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐผ่านช่องทาง มี 2ช่องทาง หลัก ๆ ที่แนะนำเพื่อให้ข้อมูลไม่ซ้ำซ้อนกัน ผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการเผยแพร่ชุดข้อมูลให้เป็นไปตามกลุ่มข้อมูลเปิดภาครัฐที่ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐได้มีการกำหนดไว้ โดย สพร. ผู้พัฒนาศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ (Data.go.th) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานสามารถนำข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้มาเปิดเผย ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานเอง หากหน่วยงานของรัฐมีชุดข้อมูลที่เปิดเผยไปแล้วผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานเอง ผู้รับผิดชอบในการนำข้อมูลเปิดของหน่วยงานสามารถ เชื่อม API มาที่ทางแพลตออร์มที่ สพร. มีให้บริการได้   ขั้นตอน 9 การวัดผล ต้องกำหนด “แผนการวัดผล” เพื่อนำแผนการไปปรับปรุง และพัฒนาข้อมูลเปิดภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น กำหนดแผนปรับปรุง ชุดข้อมูลที่นำขึ้นเปิดเผยแล้ว (Existing Datasets) โดยพิจารณาจาก ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับชุดข้อมูล ข้อร้องเรียน กำหนดแผนการนำเข้าชุดข้อมูลใหม่ ๆ โดยพิจารณาชุดข้อมูลที่มีแนวโน้มควรเปิดเผย (Potential Datasets) ตัวอย่างข้อมูลเหล่านี้ หาได้จาก ชุดข้อมูลภายในประเทศที่มีคนต้องการ แต่ยังไม่มีการเปิดเผย ชุดข้อมูลที่มีคุณค่าของต่างประเทศ ชุดข้อมูลที่ถูกนำไปใช้พัฒนาบริการต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ   ขั้นตอน 10 การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ผลที่ได้จาก ขั้นตอน 8 ต้องนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลที่ได้มีการเปิดเผยไปแล้วมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีหลักการปรับปรุงเบื้องต้นดังนี้ แก้ไข ปรับปรุง ข้อมูลเดิม ที่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ ปรับปรุง ข้อมูลเดิมให้มีคุณภาพมากขึ้น เพิ่มชุดข้อมูลตามความต้องการของผู้ใช้ เพิ่มชุดข้อมูลให้ทันสมัย กำหนดเป้าหมายให้เปิดเผยเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี จัดทำ High Value Datasets   แหล่งข้อมูล : https://www.dga.or.th/wp-content/uploads/2021/03/ราชกิจจานุเบกษา_เปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลต่อสาธารณะ.pdf
นานาสาระน่ารู้
 
แนะนำข้อมูลเปิดภาครัฐ – คุณลักษณะและการประเมินความพร้อม
ข้อมูลเปิดภาครัฐ ข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยต่อสาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงและใช้ได้อย่างเสรี ไม่จำกัดแพลตฟอร์ม ไม่เสียค่าใช้จ่าย เผยแพร่ ทำซ้ำหรือใช้ประโยชน์ได้โดยไม่จำกัดวัตถุประสงค์ คุณลักษณะแบบเปิด  โดยคุณลักษณะของไฟล์ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ จากเจ้าของข้อมูล สามารถเข้าถึงได้อย่างเสรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใช้งานหรือประมวลผลได้หลากหลายซอฟต์แวร์ ประโยชน์ของการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารประเทศ ช่วยสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารประเทศ   ขั้นตอนสำคัญของการเตรียมข้อมูลเพื่อเปิดเผย   ขั้นตอนที่ 1 การพิจารณาคุณลักษณะข้อมูลเปิดภาครัฐ คุณลักษณะข้อมูลเปิดภาครัฐ 10 ประการ ที่จะนำมาเปิดเผย ควรมีลักษณะดังนี้ สมบูรณ์ (Complete) คือ ข้อมูลเปิดต้องพร้อมใช้งาน และไม่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลความมั่นคง หรือมีข้อยกเว้นในการเปิดเผยข้อมูล ปฐมภูมิ (Primary) คือ ข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลโดยตรง ไม่มีการปรับแต่ง หรืออยู่ในรูปแบบข้อมูลสรุป เป็นปัจจุบัน (Timely) คือ ข้อมูลต้องเป็นปัจจุบัน และเปิดเผยในเวลาที่เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อเพิ่มประโยชน์ให้กับผู้ใช้ข้อมูล เข้าถึงได้ง่าย (Accessible) คือ ข้อมูลต้องเข้าถึงได้ง่าย ผู้ใช้ข้อมูลสามารถค้นหา เข้าถึง และใช้งานชุดข้อมูลได้หลายช่องทาง อ่านได้ด้วยเครื่อง (Machine-readable) คือ ข้อมูลต้องมีโครงสร้าง สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง และนำข้อมูลไปใช้งานต่อได ไม่เลือกปฏิบัติ (Non-discriminatory) คือ ผู้ใช้ข้อมูลต้องสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องระบุตัวตน หรือเหตุผลของการนำไปใช้งาน ไม่จำกัดสิทธิ (Non-proprietary) คือ ข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบมาตรฐานเปิดที่สามารถใช้ได้หลายแพลตฟอร์ม และต้องไม่ถือครองกรรมสิทธิ์หลังจากนำข้อมูลเปิดไปใช้ประโยชน์ ปลอดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (License-free) คือ ข้อมูลต้องไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือความลับทางการค้า คงอยู่ถาวร (Permanence) คือ ข้อมูลต้องสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา และมีการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของชุดข้อมูล ไม่มีค่าใช้จ่าย (Free of charge) คือ ผู้ใช้ข้อมูลต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงข้อมูล ขั้นตอนที่ 2 ประเมินความพร้อมของการเปิดเผยข้อมูล ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนถัดไปหรือ กระบวนการเตรียมการเปิ ดเผยข้อมูล จะต้องประเมินความพร้อมของการเปิดเผยข้อมูลภายในหน่วยงาน โดยจะประเมินจาก 5 กิจกรรมนี้ การบริหารจัดการข้อมูลเปิด จัดทำแผนในการบริหารจัดการและเปิดเผยข้อมูล การสร้างองค์ความรู้และทักษะ จัดกิจกรรมส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐภายในหน่วยงาน การสนับสนุนและส่งเสริมการนำข้อมูลไปใช้ ส่งเสริมให้เกิดการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ งบประมาณ กำหนดงบประมาณที่จำเป็นต่อการเปิดเผย การกาหนดกลยุทธ์  กำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน หลังจากผ่านการเตรียมการทั้ง 2 ขั้นตอนแล้ว สามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เพื่อเตรียมการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ แหล่งข้อมูล : https://www.dga.or.th/wp-content/uploads/2021/03/ราชกิจจานุเบกษา_เปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลต่อสาธารณะ.pdf
นานาสาระน่ารู้
 
ชาร์จแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนอย่างไรให้ใช้ได้ยืนยาว ?
หากต้องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสามารถปฏิบัติดังนี้ • ไม่ควรใช้แบตเตอรี่จนหมด และต้องชาร์จจาก 0% บ่อยๆ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว • การชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ข้ามคืนจะมีผลต่ออายุการใช้งานบ้างเล็กน้อยถึงน้อยมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และระบบในการชาร์จ • การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้วทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ใช้งานจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานานควรชาร์จแบตเตอรี่ไว้เพียงครึ่งเดียว แต่ถ้าใช้งานเป็นประจำสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ แต่ควรใช้และชาร์จแบตเตอรี่สลับไปมาอย่างเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องให้แบตเตอรี่อยู่ในสถานะที่เต็มอยู่ตลอดเวลา • ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่และใช้งานพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่คือ อุณหภูมิ กระแส และแรงดันในการชาร์จ ดังนั้นการชาร์จแบตเตอรี่ให้ปลอดภัย และถนอมแบตเตอรี่มีข้อแนะนำดังนี้ • เลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่ โดยเลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จที่ได้รับการรับรองว่าใช้กับอุปกรณ์นั้นๆ โดยเฉพาะ • ไม่ควรใช้อุปกรณ์ที่ห่อหุ้ม (เช่น เคสมือถือ) ที่ไม่สามารถระบายความร้อนได้ หรือหากใช้ ควรเลือกใช้อุปกรณ์ห่อหุ้มที่สามารถระบายความร้อนได้บ้าง และไม่ควรวางอุปกรณ์พร้อมแบตเตอรี่ที่กำลังชาร์จในพื้นที่ปิดหรือไม่มีการระบายความร้อน เช่น ใต้หมอน ใต้ผ้าห่ม • ไม่ชาร์จแบตเตอรี่ในสถานที่ที่มีความร้อนสูง เช่น ชาร์จทิ้งไว้กลางแดด ข้อมูลจาก : ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. อ้างอิงข้อมูลจาก MTEC
นานาสาระน่ารู้
 
บทความ
 
SageMath Opensource Software สำหรับนักคณิตศาสตร์
SageMath   เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ใช้สำหรับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ที่สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งาน และผู้ใช้สามารถเข้าถึงและแก้ไขโค้ดได้ตามต้องการ มันรวมฟังก์ชันจากหลายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น MATLAB, Maple, Mathematica, และ R โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ SageMath ใช้ภาษา Python เป็นหลักในการเขียนโค้ด ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมและง่ายต่อการเรียนรู้   โดยมีคุณสมบัติสำคัญคือ การคำนวณพีชคณิตและการแก้สมการ การวิเคราะห์เชิงตัวเลขและสถิติ การสร้างกราฟและการวิเคราะห์ทางเรขาคณิต การจัดการกับโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น พื้นที่เวกเตอร์, แมทริกซ์, และวงแหวน การใช้ SageMath สามารถทำได้ผ่านทางกราฟิก (SageMath Notebook) หรือผ่านทางใช้คำสั่ง (SageMath Command Line) นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันที่สามารถใช้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ที่เรียกว่า SageMathCloud หรือ CoCalc ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันและเข้าถึงเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ได้จากทุกที่
นานาสาระน่ารู้
 
แกะกล่องงานวิจัย : ชีวภัณฑ์ NPV ปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา #หนอนเริ่มบุกอีกแล้วนะ เตรียมรับมือกันหรือยัง
  📌 1) เกี่ยวกับอะไร ? มันสำปะหลัง เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยที่มีมูลค่าการส่งออกในปี 2565 มากกว่า 1.5 แสนล้านบาท แต่กระนั้นในปี 2567 นี้ เกษตรกรกลับต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เพราะศัตรูพืชตัวร้ายอย่าง ‘หนอนกระทู้หอม’ และ ‘หนอนกระทู้ผัก’ ได้บุกเข้ากัดกินจนต้นมันสำปะหลังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกษตรกรตั้งรับได้ไม่ทัน ‘สารเคมี’ จึงกลายมาเป็นตัวเลือกแรกในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีไม่ได้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะหนอนศัตรูพืชกลุ่มนี้มีการพัฒนาจนมีอัตราการดื้อยาค่อนข้างสูง ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีในปริมาณที่มากขึ้น หรือต้องเปลี่ยนไปใช้สารชนิดใหม่ที่มีความรุนแรงกว่าเดิม ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านต้นทุนการผลิต และการเป็นอันตรายต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ในการนี้ สวทช. จึงขอเสนอชีวภัณฑ์ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในหนอนแมลงให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการในการปราบหนอนศัตรูพืชดื้อยา โดยไวรัสชนิดนี้จะทำให้หนอนที่กินไวรัสเข้าไปป่วย กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ทำให้เกิดการดื้อยา อีกทั้งยังไม่มีสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม   📌 2) ดีอย่างไร ? ไวรัสเอ็นพีวีเป็นไวรัสที่มีความจำเพาะกับสายพันธุ์ของหนอน จึงไม่ก่อให้เกิดการทำลายระบบนิเวศเกินความจำเป็น ลดการสร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี การใช้งานทำได้ง่าย เพียงผสมไวรัสเอ็นพีวีกับน้ำสะอาดตามสัดส่วนที่กำหนดแล้วฉีดพ่นให้ทั่วใบตามความถี่ที่เหมาะสม ปัญหาหนอนบุกที่ต้องเผชิญอยู่จะค่อย ๆ ลดลงจนหายไปในที่สุด อย่างไรก็ตามยังคงต้องดูแลฉีดพ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันหนอนที่ติดมาจากต้นพันธุ์ใหม่หรือแมลงจากที่อื่นบินมาวางไข่   📌 3) ตอบโจทย์อะไร? ลดละเลิกการใช้สารเคมีอันตราย เพื่อสุขภาวะที่ดีของแรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่เพาะปลูก ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว จากการลดปริมาณสารกำจัดศัตรูพืช รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีทั้งทางตรงและทางอ้อม   📌 4) สถานะของเทคโนโลยี? ปัจจุบัน สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ NPV ให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด (06 4536 3549) และบริษัทบีไบโอ จำกัด (08 1806 1268) ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทได้โดยตรง   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : รู้จัก-รู้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
Mesh PV แผงโซลาร์เซลล์เสริมความแข็งแรงด้วยชั้นรองรับน้ำหนักแบบใหม่ ประยุกต์ใช้งานได้สะดวกทั้งกับอาคารและยานพาหนะ
  ปัจจุบันโซลาร์เซลล์ได้รับความนิยมในการใช้งานตามบ้านเรือนอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามโซลาร์เซลล์มาตรฐานที่ผลิตและจำหน่ายทั่วไปยังมีจุดอ่อนสำคัญด้านรูปลักษณ์ที่มีลักษณะเป็น ‘แผงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ทึบแสง ต้องใช้โครงเหล็กขนาดใหญ่แข็งแรงสูงในการรับน้ำหนัก’ ส่งผลให้การออกแบบติดตั้งแผงทำได้ไม่หลากหลาย การจัดวางให้สวยงามกลมกลืนกับอาคาร บ้านเรือน หรือสภาพแวดล้อมทำได้ลำบาก     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘Mesh PV (เมช พีวี)’ แผงโซลาร์เซลล์เสริมความแข็งแรงด้วยชั้นรองรับน้ำหนักแบบใหม่ เพื่อประยุกต์ใช้กับงานอาคารและยานพาหนะ   [caption id="attachment_57729" align="aligncenter" width="750"] ว่าที่ร้อยตรี นพดล สิทธิพล ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ว่าที่ร้อยตรี นพดล สิทธิพล ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. อธิบายว่า แท้จริงแล้วอุปสรรคด้านรูปลักษณ์ของแผงโซลาร์เซลล์ไม่ได้มาจากเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่มาจากกรอบโลหะที่ใช้ยึดติดองค์ประกอบของแผงเข้าด้วยกัน เพราะกรอบซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของแผงจะต้องรับน้ำหนักได้มาก แข็งแรง และทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง “ทีมวิจัยจึงได้ออกแบบโครงสร้างสำหรับยึดองค์ประกอบแผงโซลาร์เซลล์ขึ้นใหม่ ให้มีลักษณะเป็นตาข่าย (mesh) ชนิดพิเศษที่รับน้ำหนักได้มาก มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อมในระดับทัดเทียมกับโครงสร้างที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป ใช้เสริมความแข็งแรงให้แผงโซลาร์เซลล์ได้หลายประเภท ทั้งแบบโปร่งแสงและทึบแสง แบบโค้งงอได้และแบบโค้งงอไม่ได้ และสามารถผลิตสีของตาข่ายให้กลมกลืนกับพื้นที่ที่จะติดตั้งได้อีกด้วย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Mesh PV อยู่ระหว่างขอความคุ้มครองสิทธิกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา”   [caption id="attachment_57730" align="aligncenter" width="450"] Mesh PV[/caption]   Mesh PV เหมาะกับการใช้งานทั้งกับบ้านเรือนและอาคารสูงที่ต้องรองรับแรงกระแทกจากกระแสลมรุนแรง โดยติดตั้งได้ทั้งบนดาดฟ้า ลานกลางแจ้ง หรือจะประยุกต์ใช้เป็นหลังคาทรงโค้งบริเวณแนวทางเดิน กันสาด หรือหน้าต่างบานกระทุ้งก็ได้เช่นกัน โดยหากมองไปถึงการเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าให้แก่ยานยนต์ Mesh PV ก็เหมาะอย่างยิ่งกับ camper van หรือรถบ้านสำหรับทำกิจกรรมตั้งแคมป์ และ ฟูดทรัก (food truck) ที่ผู้ใช้งานต้องใช้ไฟฟ้าในการทำกิจกรรมต่าง ๆ     ว่าที่ร้อยตรี นพดล อธิบายต่อว่า ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ Mesh PV ประสบความสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว อยู่ในขั้นตอนทดสอบประสิทธิภาพความแข็งแรงคงทนของผลิตภัณฑ์ในภาคสนามและการทดสอบตามมาตรฐาน IEC61215 ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะทดสอบแล้วเสร็จภายในปี 2567 โดยหากการทดสอบประสบความสำเร็จก็พร้อมเปิดถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ต่อทันที แต่หากมีผู้ประกอบการท่านใดสนใจผลิตภัณฑ์ Mesh PV สามารถติดต่อเพื่อร่วมวางแผนการวิจัยผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ก่อนได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินงานวิจัย และเพิ่มโอกาสผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดที่กำลังมีความต้องการสูง “ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์จำหน่ายอยู่เดิมและสนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Mesh PV ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือก ไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าจะต้องปรับเปลี่ยนสายการผลิตใหม่ หรือไม่สามารถสั่งผลิตภายในประเทศได้ เพราะเทคโนโลยีการผลิต Mesh PV ผ่านการออกแบบให้มีขั้นตอนการผลิตที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และวัสดุที่ใช้ในการผลิตทั้งหมดหาได้สะดวกภายในประเทศไทย” ว่าที่ร้อยตรี นพดล กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) เบอร์โทรศัพท์: 0 2564 6500 หรืออีเมล info@entec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็นเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น