หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สำเร็จ ! ไบโอเทค สวทช.พัฒนา “กุ้งกุลาดำพันธุ์ใหม่” หวังฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งกุลาดำไทย
  อุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งเคยสร้างรายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาทต่อปี และทำให้ไทยกลายเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับหนึ่งของโลก โดยเฉพาะ “กุ้งกุลาดำ” ซึ่งเป็นกุ้งพันธุ์พื้นถิ่นของไทย มีเนื้อแน่น กรอบเด้ง รสชาติอร่อย เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ และเป็นกุ้งพันธุ์หลักที่เกษตรกรไทยเคยเพาะเลี้ยงและส่งออกไปทั่วโลก แต่เมื่อเจอวิกฤตโรคระบาดและปัญหาสิ่งแวดล้อมในฟาร์มกุ้ง เกษตรกรได้รับความเสียหายอย่างหนัก ฟาร์มกุ้งหลายแห่งต้องปิดตัวลง ส่งผลให้การเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำในประเทศไทยลดลงอย่างมากและถูกทดแทนด้วยการเลี้ยงกุ้งขาวดังที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปอย่างมหาศาล การขาดแคลนพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำคุณภาพดีเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเลี้ยงกุ้งกุลาดำในประเทศไทยฟื้นตัวช้า ผลผลิตกุ้งส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงเป็นกุ้งขาวพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำจนประสบความสำเร็จ ได้กุ้งกุลาดำพันธุ์ใหม่ที่ปลอดโรคและโตเร็ว   [caption id="attachment_64888" align="aligncenter" width="579"] ดร.สรวิศ เผ่าทองศุข ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสัตว์น้ำแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.สรวิศ เผ่าทองศุข ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสัตว์น้ำแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่ากุ้งกุลาดำเคยเป็นกุ้งที่ประเทศไทยส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ในอดีตเรายังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรค สิ่งแวดล้อม และการจัดการระบบการเลี้ยง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การเลี้ยงกุ้งกุลาดำประสบปัญหาจนต้องมีการนำกุ้งขาวจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยงแทน กุ้งกุลาดำที่เป็นพันธุ์พื้นถิ่นของไทยจึงค่อย ๆ หายไป โดยปัจจุบันมีการเลี้ยงกุ้งกุลาดำไม่ถึงร้อยละ 10 ของผลผลิตกุ้งทะเลทั้งหมดของประเทศ และเป็นกุ้งขาวมากกว่าร้อยละ 90   [caption id="attachment_64890" align="aligncenter" width="750"] ศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.)[/caption]   “อย่างไรก็ตามกุ้งกุลาดำยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงในการเพาะเลี้ยงให้เป็นผลผลิตของประเทศ เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามที่จะคงขีดความสามารถด้านการเลี้ยงกุ้งกุลาดำของประเทศไทยเอาไว้ โดยไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ดำเนินการก่อตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.)  ในพื้นที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อวิจัยและพัฒนาพันธุ์กุ้งกุลาดำ และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำที่มีคุณภาพภายใต้ระบบการเลี้ยงที่ปลอดโรค จากนั้นคัดเลือกลูกกุ้งที่ผ่านการพัฒนาพันธุ์แล้วไปให้เกษตรกรเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์เพื่อผลิตลูกกุ้งตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน” ในการพัฒนาพันธุ์กุ้งกุลาดำ นักวิจัยได้รวบรวมกุ้งกุลาดำจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งจากธรรมชาติและแหล่งเพาะเลี้ยง นำมาเพาะเลี้ยงในพื้นที่กักกันและตรวจโรคกุ้งอย่างละเอียด เพื่อคัดเฉพาะกุ้งที่ปลอดโรคเท่านั้นไปเลี้ยงต่อ จากนั้นนำไปเพาะพันธุ์ให้ได้ลูกกุ้งปลอดโรค แล้วจึงเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์เพื่อผลิตเป็นพ่อแม่พันธุ์กุ้งสำหรับพัฒนาพันธุ์ต่อภายในศูนย์วิจัยฯ   [caption id="attachment_64891" align="aligncenter" width="750"] บ่อเลี้ยงกุ้งระบบปิดภายในศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.)[/caption]   “หลังจากเรานำลูกกุ้งกุลาดำปลอดโรคเข้ามาเลี้ยงภายในศูนย์วิจัยฯ จนโตเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้งอายุ 9-11 เดือน จึงผสมพันธุ์เพื่อผลิตลูกกุ้งรุ่นต่อ ๆ ไป ซึ่งค่อนข้างใช้เวลานานเนื่องจากว่าเราต้องการพัฒนาพันธุ์กุ้งที่โตเร็ว จึงต้องมีขั้นตอนการคัดเลือกพันธุ์ และเนื่องจากกุ้งมาจากหลายแหล่ง เราจึงต้องทำให้เป็นประชากรกุ้งกุลาดำของศูนย์วิจัยฯ และใช้เทคนิคฉีดสีทำเครื่องหมายบนตัวพ่อแม่พันธุ์ ส่วนการผสมพันธุ์กุ้งจะไม่ใช้วิธีธรรมชาติ แต่จะใช้วิธีรีดถุงสเปิร์มจากพ่อพันธุ์ไปผสมกับแม่พันธุ์กุ้งตามแผนการผสมพันธุ์ที่ออกแบบไว้ เมื่อได้ลูกกุ้งที่มาจากพ่อแม่พันธุ์แต่ละคู่ ก็จะคัดเลือกลูกกุ้งที่เติบโตดีเพื่อนำไปเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์และเข้าสู่การผสมพันธุ์รอบใหม่ ผลิตลูกกุ้งรุ่นใหม่ คัดเลือกพันธุ์จนกระทั่งได้พันธุ์ที่ตรงตามต้องการ” ดร.สรวิศ กล่าว   [caption id="attachment_64892" align="aligncenter" width="750"] พ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำที่พัฒนาโดยศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.)[/caption]   ทั้งนี้ ในปี 2567 นักวิจัย สวทช. พัฒนาพันธุ์กุ้งกุลาดำสำเร็จและได้กุ้งกุลาดำพันธุ์ใหม่ที่มีลักษะเด่น คือ ปลอดโรค แข็งแรง โตเร็ว มีขนาดใหญ่ เนื้อแน่น และมีรสชาติอร่อย ทำให้จำหน่ายในราคาที่สูงขึ้น และสร้างตลาดใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์กุ้งของไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบพันธุ์ในสภาพแวดล้อมการเพาะเลี้ยงจริงร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และฟาร์มกุ้งของเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียง โดยคาดว่าจะขยายผลผลิตพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำพันธุ์ใหม่ในเชิงพาณิชย์ได้ในปีถัดไป   [caption id="attachment_64889" align="aligncenter" width="750"] พ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาโดยไบโอเทค สวทช. ปลอดโรค โตไว และขนาดใหญ่[/caption]   “เป้าหมายหลักของเราคือพัฒนาพันธุ์และผลิตพ่อแม่พันธุ์กุ้งคุณภาพดีให้เกษตรกร ซึ่งตอนนี้เราพัฒนาพันธุ์ขั้นแรกสำเร็จแล้ว คือได้พันธุ์ที่โตเร็วและปลอดโรค เพื่อเริ่มต้นให้เกษตรกรได้ใช้ ในขั้นต่อไปเราต้องการพัฒนาพันธุ์กุ้งกุลาดำให้ทนต่อโรค เช่น โรคไวรัสตัวแดงดวงขาว ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของการเลี้ยงกุ้ง รวมถึงการพัฒนาพ่อแม่พันธุ์กุ้งเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ เช่น อินเดีย ซึ่งมีการเลี้ยงกุ้งกุลาดำจำนวนมาก จึงมีความต้องการพ่อแม่พันธุ์จำนวนมากด้วยเช่นกัน” ดร.สรวิศ กล่าว   [caption id="attachment_64893" align="aligncenter" width="750"] กุ้งกุลาดำพันธุ์ใหม่จากไบโอเทค สวทช. ตัวใหญ่ เนื้อแน่น รสชาติอร่อย สามารถสร้างตลาดใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยได้[/caption]   การพัฒนาพันธุ์กุ้งกุลาดำที่แข็งแรงและต้านทานโรคจะช่วยให้เกษตรกรไทยกลับมาเลี้ยงกุ้งกุลาดำได้อีกครั้ง และช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งกุลาดำไทย สร้างรายได้และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการเพาะเลี้ยงกุ้งระดับโลก เกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำพันธุ์ใหม่ของไบโอเทค สวทช. ติดต่อได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.) ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โทร. 0 7727 0776 และติดตามข่าวสารผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก “ศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง”   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย จินตนา ศรีธิหล้า ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. และศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.)
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
แกะกล่องงานวิจัย : ‘หัวน้ำซุปปลา’ จากน้ำต้มลูกชิ้น
  1) เกี่ยวกับอะไร ? โดยทั่วไปในกระบวนการผลิตลูกชิ้นจากเนื้อปลาจะมีน้ำจากการต้มลูกชิ้นมากกว่า 3-6 ตันต่อวัน ซึ่งโรงงานจะเก็บน้ำไว้ในห้องเย็นเพื่อจำหน่ายให้ผู้ประกอบการประเภทจัดเลี้ยงหรือร้านอาหารที่ต้องการใช้น้ำชนิดนี้ทำอาหาร แต่ก็ยังมีน้ำต้มลูกชิ้นเหลือเป็นปริมาณมาก ส่งผลให้โรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำทิ้งโดยเปล่าประโยชน์เป็นประจำทุกวัน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการแปรรูปน้ำต้มลูกชิ้นเป็นหัวน้ำซุปปลาประเภทพร้อมปรุง (ready-to-cook: RTC) ที่มีกลิ่นหอมกรุ่น รสกลมกล่อมสไตล์เอเชีย เหมาะแก่การผลิตเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ     2) ดีอย่างไร ? ข้อดีแรกของผลิตภัณฑ์​ คือ อร่อยแบบไร้ผงชูรส เพราะนักวิจัยเลือกใช้กระบวนการทำเข้มข้นที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อรักษากลิ่นรสของวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด ไม่ใส่ผงชูรส และไม่ใส่สารปรุงแต่งชนิดที่ต้องระบุบนฉลากอาหาร (เช่น สารแต่งสี สารกันบูด) นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังผ่านการฆ่าเชื้อด้วยกระบวนการสเตอริไลซ์ ทำให้จัดเก็บได้นานกว่า 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น ข้อดีที่สองคือผลิตภัณฑ์เป็นหัวน้ำซุปชนิด RTC จึงเหมาะแก่การใช้งานทั้งในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม ช่วยรักษาความคงที่ของรสชาติอาหาร ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บวัตถุดิบสด ลดระยะเวลาการต้มน้ำซุป รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกระบวนการผลิต เช่น แรงงาน เชื้อเพลิง ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากข้อดีเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์เทรนด์อาหารโลกในปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รับประทานสะดวก ประหยัดเวลา และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   3) ตอบโจทย์อะไร ? การนำน้ำต้มลูกชิ้นมาอัปไซเคิลเป็นหัวน้ำซุปปลาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ของเหลือทิ้งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การแปรรูปเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกยังช่วยเพิ่มโอกาสในการพาสินค้าไทยไปครองส่วนแบ่งทางการตลาดด้วย   4) สถานะของเทคโนโลยี ? พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการให้บริการได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล bbd@biotec.or.th   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีอัปไซเคิลน้ำต้มลูกชิ้นเป็น ‘หัวน้ำซุปปลา’ หอมกรุ่น กลมกล่อมสไตล์เอเชีย     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘Adaptive Education Platform’ ออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะกับผู้เรียนรายบุคคล
  ปัญหาหนึ่งของระบบการศึกษาไทย คือ การใช้หลักสูตรแกนกลางแบบเดียวกันในการจัดการเรียนการสอนแก่เด็กทั้งประเทศ ขณะที่เด็กมีทักษะพื้นฐานและความสามารถในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน จึงเกิดปัญหาเด็กเรียนไม่ทันกันในชั้นเรียน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดอ่อนของตนเองอยู่ตรงไหน สุดท้ายเด็กอาจรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการเรียนรู้และหลุดออกจากระบบการศึกษาในที่สุด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา Adaptive Education Platform แพลตฟอร์มให้บริการอีเลิร์นนิง (e-learning) ที่มีฟังก์ชันติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน พร้อมช่วยแนะนำเนื้อหาที่ควรทบทวนและศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้แบบอัตโนมัติ   ติดตามการเรียนรู้ ระบุจุดต้องแก้ไข [caption id="attachment_64357" align="aligncenter" width="750"] ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. เล่าว่า adaptive education หรือการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่ผ่านการปรับให้มีความจำเพาะกับผู้เรียนรายบุคคลกำลังเป็นเทรนด์การศึกษาในหลายประเทศชั้นนำ เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันมีความก้าวหน้าจนเอื้อให้นักพัฒนาเทคโนโลยีออกแบบ adaptive education platform รูปแบบต่าง ๆ มาให้บริการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านระบบอีเลิร์นนิงแบบรายบุคคล เพื่อวิเคราะห์จุดที่อาจเป็นปัญหาในการเรียนรู้ และแนะนำเนื้อหาที่ควรทบทวนหรือควรศึกษาเพิ่มเติมตามหลักคิด adaptive education แบบอัตโนมัติได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้นอกจากจะทำหน้าที่เป็นโคชส่วนบุคคลให้แก่ผู้เรียนได้แล้ว ยังเป็นผู้ช่วยที่ทำให้ครูและอาจารย์ทำงานด้านการติดตามคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้ระบบการศึกษาไทยเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพนี้ ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ออกแบบ adaptive education platform เพื่อให้บริการแก่ครูและอาจารย์ในประเทศไทย โดยปัจจุบันภายใต้แพลตฟอร์มนี้มีเทคโนโลยีติดตามกระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบอีเลิร์นนิงที่พร้อมให้บริการแล้ว 3 เทคโนโลยี     “เทคโนโลยีแรกคือ BookRoll เทคโนโลยีติดตามการอ่านเอกสารสื่อการเรียนรู้ที่เป็นไฟล์ PDF เพื่อระบุว่าผู้เรียนใช้เวลาอ่านเนื้อหาส่วนไหนมากเป็นพิเศษ มีการขีดเน้นส่วนสำคัญและส่วนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจไว้ตรงจุดไหนบ้าง เทคโนโลยีที่สอง KidBright Simulator เทคโนโลยีติดตามการเรียนรู้ทักษะโค้ดดิง (coding) ผ่านการฝึกเขียนโค้ดในรูปแบบบล็อก (Blockly) โดยระบบจะติดตามความเร็วในการต่อบล็อกแต่ละส่วน จุดที่นำบล็อกออกแล้วต่อใหม่ รวมถึงช่วยนับจำนวนบล็อกที่ใช้ต่อทั้งหมด ซึ่งการติดตามทั้งหมดนี้จะช่วยประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์และความเข้าใจเรื่องการเขียนโค้ดของผู้เรียนได้ ส่วนเทคโนโลยีที่สามที่พร้อมให้บริการแล้วคือ Abdul for Education เทคโนโลยีติดตามการตอบคำถามในระบบแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจ ระบบจะติดตามว่าคำตอบที่ผู้เรียนเลือกหรือพิมพ์ตอบนั้นถูกต้องหรือแสดงถึงความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนหรือไม่ ด้วยเครื่องมือทั้งหมดนี้จะช่วยให้ทั้งผู้เรียน ผู้สอน รวมถึงผู้ออกแบบเนื้อหาทราบถึงปัญหาที่ผู้เรียนกำลังเผชิญได้ทันที และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีติดตามการเรียนรู้ผ่านคลิปวิดีโอเพิ่มเติมด้วย “หากในอนาคตผู้ออกแบบเนื้อหาจัดทำโครงสร้างของเนื้อหาตลอดหลักสูตรอย่างละเอียดและนำโครงสร้างเหล่านั้นเข้าสู่แพลตฟอร์ม ก็จะเอื้อให้แพลตฟอร์มแนะนำให้ผู้เรียนทราบโดยอัตโนมัติว่าจากปัญหาที่ผู้เรียนกำลังเผชิญควรทบทวนหรือศึกษาเพิ่มเติมเรื่องใด เช่น ผู้เรียนกำลังฝึกทำโจทย์วิชาภาษาอังกฤษเรื่อง error identification ซึ่งจากการตอบคำถามของผู้เรียนทำให้ระบบพบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่อง past tense และ past perfect tense อย่างมีนัยสำคัญ​ ระบบก็จะแนะนำเนื้อหาทั้ง 2 ส่วนนี้ให้ผู้เรียนใช้ทบทวนใหม่โดยอัตโนมัติ”   ติดตามง่าย เห็นภาพรวม ดร.เสาวลักษณ์ เล่าว่า adaptive education platform ผ่านการออกแบบเพื่อช่วยลดเวลาการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนแบบรายบุคคล ดังนั้นระบบทั้งหมดจึงเป็นระบบอัตโนมัติ เมื่อครูหรืออาจารย์นำสื่อการเรียนรู้เข้าสู่แพลตฟอร์ม แล้วส่งลิงก์ของเนื้อหาให้ผู้เรียนทุกคนใช้เข้าสู่ระบบเพื่อเริ่มกิจกรรมการเรียนรู้ ระบบจะติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนรายบุคคลแบบอัตโนมัติ และสรุปผลการเรียนรู้ให้ทั้งผู้เรียนและผู้จัดการเรียนการสอนทราบทันทีในรูปแบบแดชบอร์ด (dashboard) วิเคราะห์และสรุปผล “การจัดการเรียนรู้แบบอีเลิร์นนิงผ่าน adaptive education platform นำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งเป็นเครื่องมือจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน เป็นการบ้าน และเป็นโจทย์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตัวเองนอกเวลาในชั้นเรียน ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้สอน ซึ่งจุดเด่นของระบบอีเลิร์นนิงคือ ผู้เรียนใช้ศึกษาหรือทบทวนซ้ำด้วยตัวเองได้ตลอดเวลา และยังเอื้อให้ผู้เรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพได้ด้วย”     ปัจจุบันทีมวิจัยเริ่มนำระบบ adaptive education platform ไปทดสอบให้บริการแก่อาจารย์และนักเรียนจำนวน 600 คน ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทราแล้ว โดยหลักสูตรที่ให้บริการขณะนี้มี 2 หลักสูตร คือ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและการฝึกทักษะโค้ดดิ้งโดยทั้งสองหลักสูตรได้รับการสนับสนุนจาก EEC “นอกจากนี้ทีมวิจัยกำลังดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานด้านการศึกษาของประเทศไทย เช่น สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร, สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ในการนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสอนและการเรียนให้แก่ครู อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษาไทย โดยทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนด้านการขยายผล เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนไทยมากที่สุด” ดร.เสาวลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีนี้ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่อีเมล ae@nectec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ Shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
แกะกล่องงานวิจัย : ‘NomadML’ เทรน AI ไม่ต้องเขียนโค้ด
  1) เกี่ยวกับอะไร ? เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะด้าน computer vision เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในอนาคต เพราะนอกจากจะช่วยลดเวลาการทำงานได้แล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมได้เป็นอย่างดีด้วย โดยฟังก์ชันหลัก 3 ประเภทที่ได้รับความนิยมในการใช้งาน คือ image classification หรือการจำแนกประเภทวัตถุในภาพ object detection หรือการตรวจจับตำแหน่งวัตถุในภาพ และ image segmentation หรือการระบุพื้นที่วัตถุภายในภาพ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา NomadML (โนแมดเอ็มแอล) แพลตฟอร์มผลิตโมเดล AI ฟังก์ชัน computer vision (ทั้ง 3 ฟังก์ชันหลัก) ในรูปแบบที่ใช้งานง่าย วิธีเทรนไม่ซับซ้อน ที่สำคัญไม่ต้องเขียนโค้ด เหมาะทั้งการใช้ทดสอบระบบหรือ Proof of Concept (PoC) และการผลิตโมเดล AI เพื่อใช้งานจริง โดยแพลตฟอร์มนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก AI for Thai Platform และโครงการยกระดับแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลทางการแพทย์ภายใต้ Medical AI Consortium   2) ดีอย่างไร ? การใช้งาน NomadML ทำได้ง่าย เพียง 3 ขั้นตอนหลัก ขั้นตอนแรกคือการนำชุดข้อมูลภาพที่ผ่านการแยกประเภทแล้วเข้าสู่ระบบ ขั้นที่สองปรับฟังก์ชันหรือพารามิเตอร์สำหรับประมวลผลหรือเลือกใช้ NomadML-Auto ฟังก์ชันปรับแต่งอัตโนมัติที่วิจัยและพัฒนาให้มีความแม่นยำสูงเสมือนผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ปรับแต่งให้ โดยหลังจากปรับแต่งเสร็จแล้วให้คลิกปุ่มเริ่มเทรนโมเดล เพื่อให้ระบบประมวลผลสร้างโมเดล AI ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบความแม่นยำของโมเดลว่าวิเคราะห์ได้มีประสิทธิภาพเพียงไร หากผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจก็โหลดโมเดลไปใช้งานจริงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ผู้ที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์มนี้แต่ไม่มีพื้นฐานด้านการเทรนโมเดล AI มาก่อน สามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานด้วยตัวเองได้จากคู่มือที่ทีมวิจัยจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนโปรแกรมเมอร์ วิศวกรซอฟต์แวร์ หรือ SI (System Integrator) แพลตฟอร์ม NomadML จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเรื่องการช่วยลดเวลาการทำงาน ทำให้มีเวลาทำ PoC หลายรูปแบบมากขึ้น และทำให้ได้โมเดล AI ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเวลาอันรวดเร็ว   3) ตอบโจทย์อะไร ? NomadML เป็นเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโมเดล AI ที่แต่เดิมต้องใช้เวลาผลิตนานและมีค่าใช้จ่ายสูง ปัจจุบันเริ่มทดลองใช้งาน NomadML แล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนเหล็กใช้ผลิตโมเดล AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่ามีตำหนิหรือไม่ อุตสาหกรรมอาหารแช่งแข็งใช้ผลิตโมเดล AI เพื่อตรวจสอบขนาดและรูปทรงของสินค้า อุตสาหกรรมการแพทย์ใช้ผลิตโมเดล AI เพื่อวิเคราะห์หารอยโรคจากฟิล์มรังสีเอกซ์   4) สถานะของเทคโนโลยี ? ปัจจุบันแพลตฟอร์ม NomadML เปิดให้ทดสอบใช้งานระบบแล้ว ผู้ที่สนใจใช้บริการได้ที่ www.nomadml.in.th โดยหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบระบบ ทีมวิจัยจะเปิดให้ใช้งาน 2 รูปแบบ คือ แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับบุคคลทั่วไปและแบบเสียค่าบริการรายปี โดยสมาชิกจะได้รับพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูล ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลในระบบ และระยะเวลาการทำงานต่อครั้งมากกว่าบุคคลทั่วไป รวมถึงไม่ต้องรอคิวการใช้ระบบร่วมกับผู้ใช้งานทั่วไปด้วย     รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย :  ‘NomadML’ แพลตฟอร์มเทรน AI เทรนง่าย ไม่ต้องเขียนโคด   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘KidBright μAI’ ฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว
  รู้หรือไม่ ทุกวันนี้นอกจากคนรุ่นใหม่จะต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว การเรียนรู้วิธีสร้างโมเดล AI เพื่อประมวลผลข้อมูลก็ขยับเข้ามาเป็นหนึ่งในหลักสูตรการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าของประเทศไทยแล้วด้วย เพราะการที่เยาวชนมีทักษะความรู้ด้านนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเฉพาะทางในระดับชั้นที่สูงขึ้น แต่ยังช่วยฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ฝึกประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำงานหรือการแก้ไขปัญหา และยังเป็นการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทักษะเหล่านี้ล้วนจำเป็นต่อการทำงานในทุกสายอาชีพและการใช้ชีวิต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ)’ แพลตฟอร์มสำหรับให้เยาวชนใช้ฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI  และอุปกรณ์ AIoT (Artificial Intelligence of Things) แบบครบจบในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อการเรียนรู้ที่เป็นระบบ ง่าย และสนุก   ‘KidBright μAI’ เรียนรู้วิธีสร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT อย่างเป็นระบบ [caption id="attachment_63477" align="aligncenter" width="750"] ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เนคเทค สวทช.[/caption] ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. อธิบายว่า แพลตฟอร์ม KidBright μAI ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือบอร์ดสมองกลฝังตัวทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ AIoT และส่วนที่สองคือเว็บแอปพลิเคชัน KidBright μAI IDE โดยตัวบอร์ดจะมาพร้อมอุปกรณ์รับสัญญาณภาพและเสียง ตัวรับสัญญาณไวไฟ อุปกรณ์แสดงผลข้อมูลอย่างจอและลำโพง และพอร์ตสำหรับต่อเซนเซอร์จากภายนอก โดยผู้เรียนจะใช้งานบอร์ดตัวนี้ร่วมกันเว็บแอปพลิเคชัน KidBright μAI IDE ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับสร้างโมเดล AI และเขียนโค้ดเพื่อสั่งการทำงาน ปัจจุบัน KidBright μAI IDE ใช้สร้างโมเดล AI ได้ 3 ประเภท คือ ‘image classification’ จำแนกประเภทวัตถุภายในภาพ ‘object detection’ ระบุตำแหน่งวัตถุภาพในภาพ และ ‘voice classification’ ระบุคำสั่งเสียง ซึ่งโมเดลเหล่านี้ล้วนมีการใช้ประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม เช่น สมาร์ตโฟน ยานยนต์ การแพทย์ รวมถึงนำไปใช้ควบคุมสายการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ด้วย     “การฝึกสร้างโมเดล AI ด้วย KidBright μAI IDE ทำได้ง่ายเพียง 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกให้จัดเก็บข้อมูลภาพหรือเสียง ด้วยกล้องและไมโครโฟนที่ติดมากับบอร์ด KidBright μAI หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ผู้เรียนมี ขั้นตอนที่สองติดป้ายกำกับเพื่อระบุประเภทของข้อมูล ขั้นตอนที่สามกดสั่งการให้ระบบเทรน AI แบบอัตโนมัติ เพียงเท่านี้ก็จะได้โมเดล AI มาใช้งานแล้ว หลังจากนั้นผู้เรียนสามารถนำโมเดลไปประยุกต์ใช้สั่งการทำงานบอร์ด KidBright μAI ได้โดยการเขียนโค้ดด้วยชุดคำสั่งแบบบล็อก (Blockly) เพื่อให้บอร์ดประมวลผลและทำงานตามที่กำหนด เช่น หากผู้เรียนเทรนให้โมเดล AI แยกวัตถุในภาพว่าเป็นสุนัขหรือแมว ก็อาจนำไปเขียนโค้ดสั่งการทำงานต่อว่าหากกล้องของบอร์ดจับภาพสุนัขได้ให้เล่นเสียงโฮ่งเลียนแบบเสียงสุนัขออกมาทางลำโพง แต่หากจับภาพแมวได้ให้เล่นเสียงเหมียวแทน”     จุดเด่นของแพลตฟอร์ม KidBright μAI คือ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้กระบวนการผลิตโมเดล AI และเขียนโค้ดเพื่อสั่งการทำงานอุปกรณ์ AIoT แบบครบทุกขั้นตอนด้วยแพลตฟอร์มเดียว ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นระบบและต่อเนื่อง ใช้เวลาในการเรียนรู้สั้น ที่สำคัญคือช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมให้แก่สถาบันการศึกษาหรือผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้หากผู้เรียนไม่มีบอร์ด KidBright μAI ก็สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ทุกขั้นตอนได้ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน KidBright AI ซึ่งภายในแอปพลิเคชันจะมีระบบจำลองสถานการณ์ (simulation) ที่มีหุ่นยนต์ ‘น้องขนมชั้น’ รอรับคำสั่งและแสดงผลให้ผู้เรียนได้เห็น ทดแทนการแสดงผลโดยบอร์ด KidBright μAI ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนไทยเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยีแห่งอนาคตได้อย่างทั่วถึง   [caption id="attachment_63478" align="aligncenter" width="750"] บอร์ด KidBright μAI[/caption] รวมพลสร้างคนรุ่นใหม่เชี่ยวชาญ AI ดร.เสาวลักษณ์ เล่าว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ KidBright (เทคโนโลยี KidBright Coding และ KidBright μAI) ทีมวิจัยและพันธมิตรได้ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการจัดกระบวนการสอนให้แก่ครูและอาจารย์ไปแล้วมากกว่า 10,000 คน จากมากกว่า 7,000 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และมีนักเรียนเข้าใช้งานแพลตฟอร์มแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้ง ตัวอย่างการนำ KidBright μAI ไปใช้จัดกิจกรรมให้แก่เยาวชน เช่น ในงานรวมพลคน KidBright ที่ผ่านมาได้จัดการแข่งขันให้เยาวชนพัฒนาโมเดล AI และเขียนโค้ดเพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่มีส่วนประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ การจัดกิจกรรมครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝนเพิ่มพูนทักษะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AIoT ในการแก้ไขปัญหาโจทย์จริง ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนานและเป็นกันเอง และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ร่วมกันกับเพื่อนและอาจารย์จากต่างสถาบันการศึกษา ​รวมถึงนักวิจัยผู้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ     “การที่แพลตฟอร์ม KidBright ขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วเป็นผลมาจากการได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคมมาโดยตลอด ทั้งด้านการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาและการจัดอบรม การรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตบอร์ด KidBright μAI เพื่อให้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ได้ทันความต้องการของทั้งครู อาจารย์ และนักเรียนจากทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีเมกเกอร์ภายในประเทศไทยและบุคลากรจากสถานบันการศึกษาต่าง ๆ ร่วมนำ open source ของแพลตฟอร์มไปใช้พัฒนาฟังก์ชันเสริม เพื่อให้เยาวชนได้มีเครื่องมือสำหรับเรียนรู้และพัฒนาระบบอัตโนมัติที่มีฟังก์ชันการทำงานหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้อีกส่วนที่ขาดไม่ได้เลยคือการสนับสนุนงบประมาณในการขับเคลื่อนกิจกรรม เพื่อให้โอกาสทางการเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงผู้ที่มีความพร้อมเท่านั้น” ดร.เสาวลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย     แพลตฟอร์ม KidBright คือหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการสร้างรากฐานของประเทศ เพราะการที่เยาวชนได้เรียนรู้เทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้น จะช่วยให้พวกเขาต่อยอดการเรียนรู้สู่ช่วงชั้นที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ถือเป็นการลงทุนที่จะออกดอกออกผลต่อไปในระยะยาว และทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมด้านบุคลากรซึ่งเป็นแต้มต่อสำคัญของการแข่งขันในเวทีโลก สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kid-bright.org   ผู้ให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม KidBright μAI กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สนับสนุนด้านการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้และการจัดอบรม หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และธนาคารกรุงเทพ สนับสนุนงบประมาณเพื่อขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์มให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด เมกเกอร์ภายในประเทศไทย เช่น เชียงใหม่เมกเกอร์ ขอนแก่นเมกเกอร์ สมาคมเมกเกอร์ประเทศไทย รวมไปถึงมหาวิทยาลัยเครือข่าย เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาคเหนือ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ภาคกลาง) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มหาวิทยาลัยศิลปากร (ภาคตะวันตก) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (ภาคใต้) ร่วมนำ open source ของแพลตฟอร์มไปพัฒนาฟังก์ชันเสริมใหม่ ๆ เพื่อให้เยาวชนมีเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้และนำไปใช้พัฒนาระบบอัตโนมัติที่มีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนการขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์มเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาของเยาวชนไทยทั่วประเทศ ครูและอาจารย์พันธมิตรจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สนับสนุนการนำแพลตฟอร์มไปใช้จัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนในสังกัด และช่วยพัฒนาสื่อการเรียนรู้ทั้งวิธีการใช้งานแพลตฟอร์ม เทคนิคการสร้างโมเดล AI และเทคนิคการเขียนโค้ดเพื่อสั่งการอุปกรณ์ AIoT สำหรับเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้คนในชุมชนได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน บริษัทอินโนเวตีฟ เอ็กเพอริเมนต์ จำกัด สนับสนุนผ่านการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตบอร์ด KidBright Coding และ KidBright μAI จำหน่ายภายใต้แบรนด์ INEX เพื่อให้ผู้ที่สนใจใช้งานเข้าถึงเทคโนโลยีได้สะดวกยิ่งขึ้น   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช. และ ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช.พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสุขภาพ “A-MED Care” ระบบหลังบ้านสนับสนุนโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่”
  ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านระบบสุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาความแออัดในโรงพยาบาลและหน่วยบริการสาธารณสุข เนื่องมาจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ส่งผลให้จำนวนผู้เข้ารับบริการล้นโรงพยาบาล คนไข้ต้องรอคิวนานกว่าจะได้ตรวจรักษา บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาดูแลผู้ป่วยน้อยลงและเหนื่อยล้าจากภาระงานที่มากเกินกว่าจะรองรับได้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์เอเม็ด หรือ  A-MED Care Platform ระบบหลังบ้านให้บริการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ช่วยสนับสนุนการทำงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานด้านสาธารณสุขในประเทศ เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพผ่านโครงการ "30 บาทรักษาทุกที่"   [caption id="attachment_64192" align="aligncenter" width="750"] ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา[/caption]   ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพและการแพทย์ สวทช. กล่าวว่า สวทช.ให้ความสำคัญกับงานวิจัยด้านการแพทย์และสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสถานการณ์โควิดทีมวิจัยได้พัฒนาแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ทางไกล หรือ A-MED Telehealth ซึ่งมีการนำไปใช้ดูแลผู้ป่วยโควิดที่แยกกักตัวที่บ้านในลักษณะโรงพยาบาลเสมือน เพื่อบรรเทาปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาลในช่วงวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อมาได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พัฒนาต่อยอดเป็นระบบที่ดูแลข้อมูลการเบิกจ่ายในโครงการ "เจอ แจก จบ" เพื่อดูแลผู้ป่วยโควิดที่มีสิทธิบัตรทองและมีอาการไม่รุนแรงสามารถรับยารักษาจากร้านยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการ ล่าสุดในปี 2567 สปสช.ได้ขับเคลื่อนโครงการ "30 บาทรักษาทุกที่" เพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทองให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึงและลดปัญหาความแออัดในโรงพยาบาล โดย สวทช.ได้มีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากแพลตฟอร์มกลุ่ม AMED Care ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการให้บริการการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ   [caption id="attachment_64194" align="aligncenter" width="561"] ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพและการแพทย์ สวทช.[/caption]   "A-MED Care เป็นแพลตฟอร์มที่ สวทช.พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ที่ สปสช. ร่วมกับสภาวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งมีหน่วยบริการนวัตกรรมฯ รวม 7 ประเภทด้วยกัน ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมอย่างแท้จริงเพราะมีสถานพยาบาลเอกชนและคลินิกเอกชนเข้ามาร่วมให้บริการประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองด้วย โดยแพลตฟอร์ม A-MED Care เป็นระบบหลังบ้านที่ช่วยสนับสนุนหน่วยนวัตกรรมฯ ในการให้บริการคนไข้และจัดทำข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ปัจจุบันได้นำแพลตฟอร์ม A-MED Care ไปใช้กับหน่วยบริการนวัตกรรมฯ แล้ว 4 ประเภท ได้แก่ ร้านยาคุณภาพ คลินิกพยาบาล คลินิกเวชกรรม และคลินิกแพทย์แผนไทย และเร็ว ๆ นี้จะขยายการใช้งานไปยังหน่วยบริการนวัตกรรมฯ ที่เหลือให้ครอบคลุมทุกประเภท" ดร.กิตติ กล่าว     ทั้งนี้ แพลตฟอร์มกลุ่ม A-MED Care ประกอบด้วย 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่         1. A-MED Care Pharma แพลตฟอร์มบริหารจัดการการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทองของร้านยา ช่วยให้ประชาชนที่มีสิทธิบัตรทอง และมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ รับยาได้ที่ร้านขายยาที่มีสัญลักษณ์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย         2. A-MED Care for Nurse Clinics แพลตฟอร์มกลางสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่มีสัญญลักษณ์ คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น มุ่งเน้นให้บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค การพยาบาลพื้นฐาน และตรวจรักษาโรคเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง ซึ่งครอบคลุม 10 กลุ่มโรคทั่วไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย             3. A-MED Care for Medicine CLINIC แพลตฟอร์มกลางสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่มีสัญลักษณ์ คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนที่มีสิทธิบัตรทองเข้ารับการตรวจรักษาโรคทั่วไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย         4. A-MED Care for Thai Traditional Medical Clinics แพลตฟอร์มกลางสำหรับคลินิกแพทย์แผนไทย ที่มีสัญลักษณ์ คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น ให้บริการผู้มีสิทธิบัตรทองรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการนวด ประคบ หรืออบสมุนไพร ตามมาตรฐานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ และกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น             5. A-MED Care Home Ward แพลตฟอร์มที่พัฒนาต่อยอดจากระบบ A-MED Telehealth โดยร่วมกับสำนักการแพทย์ดิจิทัล กรมการแพทย์ สำนักสนับสนุนระบบปฐมภูมิ (สสป.) และ สปสช. สำหรับให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยในต่อเนื่องที่บ้าน ครอบคลุมโรคทางกาย 7 กลุ่ม โรคทางจิต และการบำบัดสารเสพติด 3 กลุ่ม ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างมีคุณภาพ และลดอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาล   [caption id="attachment_64191" align="aligncenter" width="750"] ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “30 บาท รักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา[/caption]   การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสุขภาพให้เป็นระบบหลังบ้านสำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ถือเป็นก้าวสำคัญของการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้เพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขของไทยให้มีความทันสมัย เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนผู้ใช้บริการ ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดความแออัดในโรงพยาบาล และสร้างความมั่นคงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างยั่งยืน   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช., วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช.พัฒนา “น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพ” จากปาล์มน้ำมัน มุ่งผลักดันโอเลโอเคมีมูลค่าสูง
  ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยผลผลิตส่วนใหญ่ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารและพลังงานทดแทน แต่ทุกวันนี้เกษตรกรไทยกำลังเผชิญกับปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด ภาครัฐจึงเร่งหาทางออกด้วยการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ปาล์มน้ำมันและผลักดันอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่น่าจับตามองและมีโอกาสเติบโตอย่างมากในอนาคต เนื่องจากผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีเป็นที่ต้องการสูงในตลาดโลกและยังเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน (biolubricant base oil) เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากปิโตรเลียม เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันพร้อมทั้งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูงของประเทศตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีเป้าหมายรวม 8 ผลิตภัณฑ์ หนึ่งในนั้นคือผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน (base oil) หรือน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเพิ่มเติมสารเติมแต่งเพื่อการเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเฉพาะทาง ซึ่งปัจจุบันตลาดโลกมีความต้องการน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมากถึง 14 ล้านตันต่อปี และน้ำมันหล่อลื่นและจาระบี 36 ล้านตันต่อปี (ข้อมูลจาก สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, 2564)   [caption id="attachment_63918" align="aligncenter" width="750"] ดร.พรประภา พิทักษ์จักรพิภพ นักวิจัยเอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.พรประภา พิทักษ์จักรพิภพ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน น้ำมันหล่อลื่นส่วนใหญ่ผลิตจากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยประกอบด้วยน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานประมาณร้อยละ 90 และอีกร้อยละ 10 เป็นสารเติมแต่งเพื่อปรับคุณสมบัติให้เหมาะสมต่อประเภทการใช้งาน อย่างไรก็ตาม การนำน้ำมันปาล์มมาใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพมีข้อเสียคือน้ำมันปาล์มมีสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลวที่อุณหภูมิห้อง และมีเสถียรภาพต่ำ ดังนั้นทีมวิจัยจึงพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากน้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์เพื่อปรับโครงสร้างทางเคมี ให้มีคุณสมบัติด้านการไหลเทที่ดีขึ้น คือไม่เกิดการแข็งตัวในช่วงอุณหภูมิที่ใช้งาน และมีเสถียรภาพสูงขึ้น ทำให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี   [caption id="attachment_63920" align="aligncenter" width="750"] น้ำมันปาล์ม วัตถุดิบผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพ[/caption]   “น้ำมันปาล์มรีไฟน์ที่กลั่นได้จากน้ำมันปาล์มดิบมีจุดไหลเทประมาณ 23 องศาเซลเซียส แต่เมื่อผ่านกระบวนการดัดแปลงโครงสร้างทางเคมีแล้วจะมีจุดไหลเทที่ต่ำลง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตจนได้น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพที่มีจุดไหลเทลดต่ำลงเท่ากับ -33 ถึง -9 องศาเซลเซียส นำไปใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพได้โดยไม่เกิดปัญหาการแข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำ นอกจากนี้น้ำมันจากพืชยังมีโครงสร้างที่เสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อเจอปฏิกิริยาออกซิเดชันและความร้อน แต่เมื่อนำมาผ่านการแปลงโครงสร้างทางเคมีแล้ว ทำให้มีเสถียรภาพต่อปฏิกิริยาออกซิเดชันและความร้อนสูงขึ้นมากกว่าน้ำมันจากพืชทั่วไปถึง 4 เท่า” ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานตามมาตรฐานเดียวกับน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากปิโตรเลียม เพื่อเปรียบเทียบสภาวะแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับการใช้งานจริง ซึ่งผลการทดสอบพบว่าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพที่ได้มีคุณสมบัติด้านการหล่อลื่นที่ดีกว่าน้ำมันจากปิโตรเลียม ค่าดัชนีความหนืดสูง มีเสถียรภาพดีกว่าน้ำมันจากพืช และมีจุดไหลเทต่ำเทียบเท่ากับน้ำมันจากปิโตรเลียม   [caption id="attachment_63921" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน[/caption]   “เรายังต้องทดสอบน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพกับสารเติมแต่งทางการค้าต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่ผลิตจากปาล์มสามารถใช้สารเติมแต่งทางการค้าที่มีอยู่เดิมได้ โดยเราคำนึงถึงการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสารเติมแต่งที่เราเลือกนำมาใช้จึงเป็นสารกลุ่มที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพด้วย และในเฟสถัดไปทีมวิจัยตั้งเป้าที่จะร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ร่วมวิจัยพัฒนายกระดับการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดการนำไปใช้งานจริง หากการพัฒนาประสบความสำเร็จ น้ำมันหล่อล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจะเป็นอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีใหม่ของไทย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมประเภทนี้ และต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากต่างประเทศ การผลิตเองภายในประเทศจะช่วยลดการนำเข้า เกิดการจ้างงาน และสร้างเสถียรภาพให้กับราคาปาล์มน้ำมันได้  ซึ่งเพียงแค่ผลิตจากวัตถุดิบจากภาคการเกษตรสำหรับใช้ในประเทศทดแทนการนำเข้าก็สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นกลุ่มที่เราสนใจ ได้แก่ กลุ่มน้ำมันตัดกลึงโลหะ น้ำมันไฮดรอลิก น้ำมันเครื่อง และน้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรมต่างๆ” ดร.พรประภา กล่าว   [caption id="attachment_63919" align="aligncenter" width="750"] คณะผู้วิจัย และ ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ[/caption]   โครงการพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากน้ำมันปาล์มนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้นและรักษาเสถียรภาพของราคาปาล์มน้ำมัน เป็นผลดีทั้งต่อภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของประเทศในภาพรวม   [caption id="attachment_63922" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยเอ็นเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมัน[/caption]   ปัญหาภาวะโลกร้อนที่เป็นผลมาจาการใช้น้ำมันปิโตรเลียมเป็นปัจจัยหนุนให้อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีเติบโตและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่ผลิตพืชน้ำมันเป็นจำนวนมาก การนำพืชน้ำมันเหล่านี้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรเท่านั้น ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผู้ประกอบการหรืออุตสาหกรรมที่สนใจร่วมวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน ติดต่อได้ที่ ดร.พรประภา พิทักษ์จักรพิภพ เอ็นเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4690 หรืออีเมล pawnprapa.pit@entec.or.th   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรกร กลิ่นหอม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. ภาพประกอบโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ใช้คลาวด์แบบไม่ต้องกลัวโดนแฮ็กด้วย ‘CYBLION’
  ปัจจุบันเริ่มมีการใช้งานระบบ cloud computing หรือการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์อย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากจะช่วยลดเวลาทำงานได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมของธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังมีจุดอ่อนหนึ่งที่ค่อนข้างสร้างความกังวลใจให้แก่ผู้ใช้งาน คือ ‘ความปลอดภัยของข้อมูล’ เพราะหากเกิดข้อมูลรั่วไหลไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเสียหายใหญ่หลวงถึงขั้นเสียเปรียบทางการแข่งขันหรือถูกดำเนินคดีได้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘CYBLION (ไซบีเลียน)’ แพลตฟอร์มคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่ส่งขึ้นไปประมวลผลบนคลาวด์ ด้วยเทคโนโลยี Fully Homomorphic Encryption (FHE) เพื่อให้คลาวด์ประมวลผลข้อมูลได้โดยไม่ต้องถอดรหัส ปิดช่องโหว่ความปลอดภัยของเทคโนโลยีการประมวลผลที่ใช้งานอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งนี้การวิจัยและพัฒนาได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)   CYBLION เพิ่มความปลอดภัย ไม่กลัวโดนแฮ็ก [caption id="attachment_62975" align="aligncenter" width="750"] ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ (กลาง) และทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ เนคเทค สวทช.[/caption] ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. อธิบายว่า โดยทั่วไปก่อนจัดส่งข้อมูลไปประมวลผลบนคลาวด์จะมีการเข้ารหัส (encryption) เพื่อป้องกันการดักฟังข้อมูลระหว่างเส้นทางการส่ง เมื่อข้อมูลไปถึงคลาวด์แล้วคลาวด์จะถอดรหัสข้อมูลมาคำนวณ แล้วเข้ารหัสป้องกันอีกครั้งก่อนจัดส่งผลลัพธ์ให้เจ้าของข้อมูล จะเห็นได้ว่าด้วยวิธีการนี้แม้จะมีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลขณะจัดส่ง แต่ก็ยังคงมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยขณะคลาวด์กำลังประมวลผล ซึ่งหากคลาวด์เกิดเหตุรั่วไหล โดนโจรกรรม หรือผู้ให้บริการคลาวด์นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของข้อมูลก็อาจได้รับความเดือดร้อนอย่างมหาศาล ดังที่เคยเกิดเหตุการณ์กับบริษัทในอุตสาหกรรมการเงิน การแพทย์ ผู้ผลิตอุปกรณ์ดิจิทัล รวมไปถึงการทหาร “เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว ทีมวิจัยได้พัฒนาแพลตฟอร์ม CYBLION ขึ้นด้วยเทคนิค FHE ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี Privacy-Enhancing Computation (PEC) เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทย กลไกการทำงานของ CYBLION คือ การเข้ารหัสแบบพิเศษที่ส่งข้อมูลไปประมวลบน PEC-Cloud ได้โดยไม่จำเป็นต้องถอดรหัสเพื่อคำนวณข้อมูล ผู้เดียวที่จะมีกุญแจถอดรหัสข้อมูลทั้งข้อมูลดิบและข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้วคือเจ้าของข้อมูลเท่านั้น ทำให้วิธีการนี้มีความปลอดภัยสูงกว่าเดิมมาก แม้เกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ผู้ที่ได้รับข้อมูลไปจะไม่สามารถเปิดดูข้อมูลได้” ปัจจุบันทีมวิจัยเปิดให้ใช้งานระบบ CYBLION แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ระบบนี้เหมาะกับ SI (System Integrator) รวมถึงผู้ออกแบบและพัฒนาระบบ IoT (Internet of Things) และ IIoT (Industrial Internet of Things) ที่สนใจใช้งาน PEC-Cloud “ทีมวิจัยออกแบบระบบ CYBLION ให้ใช้งานง่ายทุกขั้นตอน โดยปรับแต่งฟังก์ชันการคำนวณ (โจทย์ที่ต้องการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์) เป็นแบบการเชื่อมต่อโหนด (node) หรือไม่ต้องเขียนโคด ทำให้ผู้ใช้งานที่ไม่เชี่ยวชาญด้านการเขียนโคดเพื่อการคำนวณผ่านคลาวด์มาก่อนสามารถเรียนรู้เพื่อใช้งานระบบนี้ได้” ดร.กลิกากล่าว     คลาวด์ปลอดภัยเอื้อเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโต ดร.กลิกา อธิบายเสริมว่า การที่เทคโนโลยีคลาวด์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยโดยเฉพาะด้านธนาคารและการแพทย์ เพราะจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับการให้บริการ โดยยังคงรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เป็นความลับ เช่น ในอนาคตสถานพยาบาลแต่ละแห่งอาจเข้าถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยที่เคยเข้ารักษาจากสถานพยาบาลอื่นได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยของระบบคลาวด์ไปใช้สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้านการแพทย์ประเภทต่าง ๆ เช่น  AI ช่วยวินิจฉัยโรคเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการรักษา ระบบแฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (digital twin in healthcare) ส่วนทางด้านอุตสาหกรรมการเงิน ตัวอย่างเด่นเช่นการที่แต่ละธนาคารแลกเปลี่ยนข้อมูลรูปแบบการโดนลอบโจรกรรมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ธนาคารอื่น ๆ รู้เท่าทันและป้องกันภัยล่วงหน้าได้อย่างทันท่วงที     “อีกหนึ่งภาคส่วนของประเทศไทยที่จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากเทคโนโลยี PEC คือ อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ เพราะเทคโนโลยีนี้จะเอื้อให้ผู้ประกอบการระดับ SMEs ก้าวกระโดดจากอุตสาหกรรรม 2.0 ไป 4.0 ได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมาแม้ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่จะทราบแล้วว่าการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือการนำระบบ IIoT มาใช้งานจะเป็นประโยชน์ทั้งด้านการลดเวลา ความสิ้นเปลือง และยังช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจจากการมีสายการผลิตที่มีคุณภาพ แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยของระบบคลาวด์ และขาดความพร้อมที่จะลงทุนเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์เพื่อใช้ประมวลผลข้อมูลจากอุปกรณ์ IIoT ด้วยตัวเอง ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงตัดสินใจชะลอการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เพราะมองว่าแทนที่จะเกิดประโยชน์หากเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลอาจกลายเป็นภัยร้ายแรงต่อธุรกิจแทนได้ ดังนั้นระบบ PEC ที่ได้มาตรฐานในราคาค่าบริการที่จับต้องได้ จึงถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้อุตสาหกรรมการผลิตไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว     “ณ ขณะนี้ นอกจากประเทศไทยที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี PEC เป็นของตัวเองและกำลังอยู่ในช่วงทดสอบการให้บริการแล้ว หลายประเทศที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกก็เริ่มให้บริการเทคโนโลยี PEC อย่างเป็นรูปธรรมแล้วเช่นกัน เช่น Zama บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสและ TripleBlind บริษัทสัญชาติอเมริกัน ที่ให้บริการเทคโนโลยี PEC แก่อุตสาหกรรมการแพทย์ การเงิน และอุตสาหกรรมการผลิต อีกหนึ่งตัวอย่างเด่น คือ Tune Insight บริษัทสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่ให้บริการเทคโนโลยี PEC ด้านระบบความมั่นคงไซเบอร์ (cybersecurity) เพิ่มเติมอีกด้านหนึ่งด้วย” แม้เทคโนโลยี PEC จะถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังมีการพัฒนาและใช้งานไม่แพร่หลายนัก แต่ด้วยแนวโน้มการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีความปลอดภัยของระบบคลาวด์และข้อมูลดิจิทัลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังที่หลายประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายหรือนโยบายสนับสนุนแล้ว ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเทคโนโลยี PEC จะก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในไม่ช้า ดังนั้นการที่ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาและให้บริการระบบเหล่านี้ด้วยตัวเอง จะเป็นหนึ่งในกลไกสนับสนุนสำคัญที่ทำให้คนไทยก้าวกระโดดสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้แบบไม่ตกขบวน สำหรับผู้ที่สนใจทดลองใช้งานแพลตฟอร์ม CYBLION ติดต่อสอบถามได้ที่คุณจิรัฐติกาล ทรัพย์สมบูรณ์ ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประมวลผล เนคเทค สวทช. อีเมล business@nectec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เช็กสถิติ “ที่สุดของ กทม.” บนแพลตฟอร์ม Traffy Fondue
  วัน ๆ พันกว่าเรื่อง ! แล้วเรื่องไหนที่ชาว กทม. ให้ความสนใจมากที่สุด ปัญหาอะไรที่ประชาชนเห็นว่าสำคัญที่สุด และปัญหาใดได้รับการแก้ไขมากที่สุด Traffy Fondue รวบรวมสถิติให้ดูกันจะจะ พร้อมเปิดให้โหวตเรื่องที่คิดว่าสำคัญและอยากให้เจ้าหน้าที่เร่งแก้ไข เว็บไซต์ https://bangkok.traffy.in.th เพิ่มฟีเจอร์ "สถิติ" ฟีเจอร์ที่แสดงเรื่องที่มีสถานะ "ที่สุด" ในด้านต่าง ๆ จากการแก้ปัญหาของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในแพลตฟอร์ม Traffy Fondue โดยล่าสุดเปิดให้บริการดูข้อมูลสถิติได้ 7 ด้าน ประกอบด้วย เขตที่ประชาชนพอใจในการแก้ปัญหามากที่สุด เขตที่แก้ปัญหามากที่สุด (%) เรื่องยอดนิยมที่มียอดเข้าชมสูงสุด เรื่องประชาชนถูกใจสูงสุด เรื่องที่ประชาชนให้ความสำคัญสูงสุด เปิดเรื่องใหม่มากสุด (เรื่องแจ้งเดิมที่ปิดงานแล้วแต่ต้องการแจ้งใหม่อีกครั้ง) ปัญหาที่ได้รับการแก้ไขมากสุด ประชาชนสามารถดูสถิติย้อนหลังในแต่ละเดือนโดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://bangkok.traffy.in.th และกดเลือกไอคอน "สถิติ" จากนั้นกดเลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการดูสถิติ ระบบจะแสดงผลสถิติของเรื่องที่เลือกดู อยากรู้สถิติของเดือนไหนก็เลือกเดือนที่ต้องการได้ เขตไหนทำงานเร็ว แก้ปัญหาไว ถูกใจประชาชน หรือเรื่องไหนฮอตฮิตเป็นที่สนใจของประชาชน ไม่ต้องเดาอีกต่อไป เข้าไปดูที่ฟีเจอร์ "สถิติ" ได้เลย นอกจากนี้ หัวข้อ “เรื่องสำคัญสุด” ยังเปิดให้ประชาชนกด “โหวต” เพื่อให้ความสำคัญกับปัญหานั้น ปัญหาไหนได้รับคะแนนโหวตสูง กทม. ก็จะยิ่งให้ความสำคัญและเร่งแก้ไขให้โดยเร็ว ทั้งนี้ ข้อดีของฟีเจอร์ "สถิติ" คือ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของคนกรุงเทพฯ และเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนพัฒนาเมืองให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจจากประชาชน   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘ถุงมือยางไนไตรล์’ ปราศจากสารก่ออาการแพ้ ใส่สบาย ใช้ได้หลากหลาย
  ถุงมือยางไนไตรล์ (nitrile gloves) เป็นถุงมือยางสังเคราะห์ที่มีการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้งานมากกว่า 2 แสนล้านชิ้นต่อปี เพราะถุงมือยางชนิดนี้มีคุณสมบัติเด่นที่เหนือกว่าถุงมือยางธรรมชาติในด้านการทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน อีกทั้งยังไม่มีโปรตีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามถุงมือยางไนไตรล์ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือมีความแข็งกระด้างมากกว่าถุงมือยางธรรมชาติ ทำให้หากสวมใส่เป็นระยะเวลานานอาจเกิดความเมื่อยล้า เรื่องที่สองคืออาจพบปัญหาการแพ้สารเคมีบางชนิดที่ใช้ในการผลิต โดยเฉพาะสารตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเป็นสารสำคัญที่ต้องใช้ในขั้นตอนการผลิต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยา เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนจากยางธรรมชาติและแพ้สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในถุงมือยาง ถุงมือยางไนไตรล์ที่พัฒนาขึ้นนอกจากจะทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีแล้ว ยังนุ่มและยืดหยุ่นสูงขึ้นกว่าเดิมจึงช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการสวมใส่เป็นเวลานานได้อย่างดี การพัฒนาถุงมือยางชนิดนี้มุ่งเป้าตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการความสะอาดและปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ อาหาร เครื่องสำอาง อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ห้องปฏิบัติการ รวมถึงการใช้งานทั่วไป เช่น งานทำความสะอาด ทำสวน ซ่อมรถ   [caption id="attachment_62644" align="aligncenter" width="750"] ดร.พร้อมศักดิ์ สงวนธำมรงค์ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช[/caption]           ดร.พร้อมศักดิ์ สงวนธำมรงค์ นักวิจัย ทีมวิจัยกระบวนการผลิตยางขั้นสูงและมาตรฐานยาง กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่างานวิจัยนี้ได้รับทุน Starting Venture 2022 จากบริษัทบีเอเอสเอฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของโลกจากประเทศเยอรมนี โดยงานวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกได้แก่ การพัฒนาสูตรการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ เช่น กำมะถัน สารตัวเร่งปฏิกิริยา แป้ง ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เป็นสารเคมีที่จำเป็นต่อการผลิตถุงมือยางด้วยกรรมวิธีทั่วไป “ส่วนที่สองคือการหาสภาวะการผลิตที่เหมาะสม โดยศึกษาตัวแปรต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อกระบวนการจุ่มขึ้นรูปถุงมือยาง เพื่อให้ได้ถุงมือที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ส่วนสุดท้ายคือการขยายสเกลการผลิตจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยงานวิจัยในขั้นตอนนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแกรนด์โกลบอลโกลฟส์ จำกัด ในการทดลองนำสูตรและกระบวนการผลิตที่พัฒนาขึ้นไปใช้ผลิตต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยา พร้อมดำเนินการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพแต่ละขั้นตอนการผลิตตามเกณฑ์กำหนดของโรงงาน จากการทดลองพบว่าต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ที่ผลิตได้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานถุงมือยางสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียวและถุงมือยางสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร”     นอกจากจุดเด่นด้านคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถุงมือยางไนไตรล์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น นอกจากจะมีการลดปริมาณสารเคมีอันตรายลง ทีมวิจัยยังได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยปรับลดทั้งระยะเวลาที่ใช้บ่มน้ำยางและอุณหภูมิที่ใช้ในการอบถุงมือยาง ทำให้ประหยัดพลังงานและลดต้นทุนในการผลิตได้ด้วย ดร.พร้อมศักดิ์ เล่าทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในช่วงเปิดรับผู้ประกอบการที่ต้องการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งคาดว่าถุงมือยางที่พัฒนาขึ้นจะวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายในปี พ.ศ. 2569   ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจขอรับต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ไปทดลองใช้งาน หรือต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่คุณเนตรชนก ปิยะฤทธิพงศ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4301 อีเมล netchanp@mtec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. พัฒนา AI เชื่อมโยง ‘ผู้ให้’ กับ ‘ผู้รับบริจาคอาหาร’ มุ่งลดความสูญเปล่าอาหารส่วนเกิน
  ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีประชากรรายได้น้อยและผู้ประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารคุณภาพมากถึง 3.8 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2559 มูลนิธิ SOS Thailand หรือ Scholars of Sustenance Foundation, Thailand ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ต้องการบริจาคอาหารกับผู้ต้องการรับบริจาคอาหาร เพื่อช่วยบรรเทาความหิวโหยและแก้ไขปัญหาอาหารส่วนเกินซึ่งเป็นตัวการสำคัญของปัญหาโลกร้อน ปัจจุบันมูลนิธิได้ช่วยส่งต่ออาหารไปแล้วกว่า 9.8 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็น 41.3 ล้านมื้ออาหาร โดยส่งมอบให้แก่ชุมชนมากกว่า 3,750 แห่ง ช่วยลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการฝังกลบได้เกือบ 25,000 ตัน (ตามการรายงานของ SOS Thailand)   [caption id="attachment_62292" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างอาหารที่ได้รับบริจาค อาหารปรุงสุกแล้วที่เหลือจากการจำหน่าย[/caption]   [caption id="attachment_62291" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างอาหารที่ได้รับบริจาค ผักผลไม้สดที่ผ่านการคัดทิ้งเนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานสำหรับการจำหน่าย[/caption]   ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ SOS Thailand ดำเนินงานได้สะดวกและรวดเร็ว มีความพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ ที่ยังคงต้องการความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ช่วยแนะนำการจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริจาคกับผู้ขอรับบริจาคอาหารแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดภาระและเวลาการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่ โดยการวิจัยและพัฒนานี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)   [caption id="attachment_62286" align="aligncenter" width="640"] ดร.นันทพร รติสุนทร นักวิจัยทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.นันทพร รติสุนทร นักวิจัยทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ เนคเทค สวทช. เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะที่ได้จากการพัฒนาระบบ Thai School Lunch หรือระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติที่เปิดให้บริการแก่สถานศึกษาทั่วประเทศไทย มาต่อยอดพัฒนาสู่แพลตฟอร์มจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริจาคกับผู้ขอรับบริจาคอาหารแบบอัตโนมัติ กลไกหลักคือเมื่อผู้บริจาค เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารขนาดใหญ่ ยื่นความประสงค์บริจาคอาหารผ่าน Cloud Food Bank หรือช่องทางรับบริจาคต่าง ๆ ของ SOS Thailand ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทอาหาร ปริมาณอาหาร ปริมาณความต้องการอาหาร (คำนวณจากจำนวนผู้ต้องการอาหารจากแต่ละชุมชน) รวมถึงข้อจำกัดด้านการขนส่งของ SOS Thailand โดยอัตโนมัติ จากนั้น AI จะวิเคราะห์และแนะนำตัวเลือกการจัดสรรอาหารบริจาค พร้อมตารางเส้นทางรับส่งอาหาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจบริหารจัดการอาหารบริจาคแต่ละวันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ     [caption id="attachment_62287" align="aligncenter" width="650"] ภาพตัวอย่างจากแพลตฟอร์ม[/caption]   [caption id="attachment_62295" align="aligncenter" width="650"] ภาพตัวอย่างจากแพลตฟอร์ม[/caption]   [caption id="attachment_62294" align="aligncenter" width="650"] ภาพตัวอย่างจากแพลตฟอร์ม[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนทดสอบใช้งานร่วมกับมูลนิธิ SOS Thailand ซึ่งคาดว่าจะพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบภายในสิ้นปีนี้ ระบบนี้จะช่วยสนับสนุนให้ทีม SOS Thailand ขยายผลการดำเนินงานไปยังนอกพื้นที่บริการหลัก 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และนครราชสีมาได้ง่ายยิ่งขึ้น (การขยายผลมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน แพลตฟอร์มที่ทีมวิจัยช่วยพัฒนาเป็นเพียงปัจจัยสนับสนุนหนึ่งเท่านั้น) นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนพัฒนาต่อยอดแพลตฟอร์ม AI นี้ให้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการอาหารบริจาคไปยังกลุ่มคนเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ โดยจะร่วมกับโครงการ BKK Food Bank ของกรุงเทพมหานคร ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรอาหารบริจาคทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง ดร.นันทพร เล่าต่อว่า นอกจากเทคโนโลยีข้างต้น ทีมวิจัยยังได้พัฒนาระบบสร้างแคมเพนบริจาคอาหาร ซึ่งจะเปิดรับบริจาคอาหารจากทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย รวมถึงประชาชนทั่วไปในพื้นที่ที่มีความต้องการอาหารแบบเฉพาะกิจ เพื่อให้ได้ปริมาณอาหารประเภทที่ต้องการมากเพียงพอสำหรับจัดส่งให้แก่ผู้ที่มีความต้องการอาหารเหล่านั้นอย่างเร่งด่วน เช่น ผู้ประสบภัยธรรมชาติ “ในขั้นตอนถัดไปของการดำเนินงาน ทีมวิจัยยังมีแผนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการขยายการดำเนินงานของ SOS Thailand ให้ครอบคลุมไปยังพื้นที่เมืองรอง ภายใต้แผนการจัดตั้ง National Food Bank และในอนาคตจะพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ให้มุ่งเน้นการจัดสรรอาหารบริจาคตามหลักโภชนาการที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะให้แก่ผู้รับบริจาคอาหารในแต่ละพื้นที่ และยังเป็นการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพด้วย “การพัฒนาและการใช้งานระบบ Cloud Food Bank รวมถึงแพลตฟอร์ม AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทั้งค่าอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐาน ค่าเช่าพื้นที่คลาวด์ ค่าสาธารณูปโภค ค่าซ่อมบำรุง และค่าบริหารจัดการ ดังนั้น SOS Thailand จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปเพื่อให้ดำเนินภารกิจต่อไปได้ในระยะยาว และยังเป็นหนึ่งในกลไกสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 การขจัดความหิวโหย และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน” ดร.นันทพร กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจสนับสนุนเงินทุนเพื่อการขับเคลื่อนภารกิจของ SOS Thailand ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.scholarsofsustenance.org/support-sos ส่วนผู้ที่สนใจการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการจัดการอาหารส่วนเกิน หรือสนใจนำระบบดิจิทัลนี้ไปใช้งาน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2546 หรืออีเมล nantaporn.ratisoontorn@nectec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช. และ shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เอ็มเทค สวทช. พัฒนาฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ หนุนผู้ประกอบการขอรับรอง “ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์” ขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมมากมายซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก โดยสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่มากเกินไป เป็นผลให้เกิดภาวะโลกร้อนซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ทุกภาคส่วนต้องหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังเพื่อบรรเทาผลกระทบและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือ "การประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์" และ "การคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์" เพื่อขอรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดทำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของวัสดุพื้นฐานและพลังงานของประเทศ (Thai National Life Cycle Inventory Database) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลการใช้ทรัพยากรและการปล่อยมวลสารสู่สิ่งแวดล้อมของการผลิตผลิตภัณฑ์หนึ่งหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ตามแนวทางการประเมินตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment; LCA)     ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า เอ็มเทคได้พัฒนาข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนตามมาตรฐานสากลมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนำไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยการพัฒนาฐานข้อมูลต่าง ๆ นั้น ทีมวิจัยได้ดำเนินงานตามแนวคิดตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Thinking; LCT) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์หรือบริการตลอดวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่ขั้นตอนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต การใช้งาน การกำจัดซาก จนกระทั่งการนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบใหม่ โดยแนวคิดตลอดวัฏจักรชีวิตเป็นแนวคิดที่ใช้กันทั่วโลก ดังนั้นหน่วยงานที่นำฐานข้อมูลไปใช้ประโยชน์จึงมั่นใจได้ว่าฐานข้อมูลมีความถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานสากล   [caption id="attachment_61995" align="aligncenter" width="726"] ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช.[/caption]   "ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์คือการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์เพื่อขอใช้เครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์บนผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน โดยจะแสดงข้อมูลเป็นปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ที่เกิดขึ้นตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต การขนส่ง จนถึงการใช้งานและการกำจัดของเสีย ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” ปัจจุบันในหลายประเทศเริ่มมีการนำคาร์บอนฟุตพรินต์มาใช้กันแล้วอย่างเช่นใน อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลี ทั้งยังมีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยต้องติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพรินต์ด้วย หากประเทศไทยมีการดำเนินโครงการและเก็บข้อมูลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน จะช่วยให้เรามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นในการประชุมระดับโลกเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยขณะนี้มีบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์รวม 10,254 รายการ (*ข้อมูลจากเว็บไซต์องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ณ วันที่ 27 ก.ย. 67)   [caption id="attachment_61996" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างผลิตภัณฑ์น้ำมันของบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีการประเมินวัฏจักร์ชีวิตของผลิตภัณฑ์และได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์[/caption]   บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คือตัวอย่างหนึ่งขององค์กรที่นำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ในการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทบางจากฯ ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1. น้ำมันเตา (Fuel Oil) 2. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas (LPG)) 3. น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (High Speed Diesel) 4. น้ำมันแก๊สโซลีนพื้นฐาน (Gasoline based) 5. น้ำมันก๊าดหรือน้ำมันเครื่องบิน (Illuminating or Industrial Kerosene (IK)) ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก “ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคอย่างมาก เนื่องจากเป็นข้อมูลที่บ่งบอกชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น ภาครัฐจึงควรมีมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างแพร่หลายมากขึ้นในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ดร.นงนุช กล่าว   [caption id="attachment_61997" align="aligncenter" width="500"] ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ [ที่มาภาพ : องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ][/caption]  ทั้งนี้ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. มีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มมีแนวคิดด้านการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ผู้ประกอบการหรือองค์กรที่สนใจขอรับคำปรึกษาด้านการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์หรือการขอรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ ติดต่อได้ที่ TIIS โทรศัพท์ 0 2564 6500 หรืออีเมล admin-tiis@nstda.or.th   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น