หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“ศุภมาส” เดินหน้าขับเคลื่อน Soft Power จัดแข่งขันวาดภาพ Thai Youth Street Art ระดับอุดมศึกษา ในหัวข้อ “Dreams of Thailand” รุดให้กำลังใจนักศึกษา 6 สถาบัน ประชันฝีมือที่สยามสแควร์ ซอย 7 และส่งกำลังใจถึงทีมที่ร่วมแข่งขันทั่วประเทศกว่า 42 มหาวิทยาลัย
(เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 ) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดการประกวดภาพวาดในโครงการ “Thai Youth Streets Art” การประกวดศิลปะสตรีทอาร์ตระดับประเทศ (ระดับอุดมศึกษา) ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชน นักเรียน และนิสิต-นักศึกษาจากทั่วประเทศได้ร่วมชื่นชมในศิลปะและแสดงความคิดสร้างสรรค์ผ่านการวาดภาพบนกำแพงในพื้นที่สำคัญทั้งในสถานศึกษาและแหล่งท่องเที่ยวหลัก เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างแลนด์มาร์กทางศิลปะ ภายใต้แนวคิด “Dream of Thailand” ที่สะท้อนถึงความฝัน อัตลักษณ์ และความงดงามของประเทศไทยผ่านศิลปะร่วมสมัย พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. น.ส.สุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขา รมว.อว. น.ส.วราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช. และได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ร่วมงาน ณ สยามสแควร์ ซอย 7 (Walking Street) กรุงเทพฯ น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า นโยบาย Soft Power เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนให้เกิดพลังสร้างสรรค์ของประเทศ กระทรวง อว. ได้เข้าไปสนับสนุนนโยบาย Soft Power ใน 3 ส่วน คือ การพัฒนากำลังคนให้มีทักษะสูงขึ้น การใช้ข้อมูลทางวิชาการหนุนเสริมให้ซอฟต์พาวเวอร์ไทยได้รับความเชื่อถือในระดับโลก และการจัดโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กิจกรรมในวันนี้นับว่าเป็นอีกกิจกรรมที่สอดคล้องตามนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล ที่มุ่งพัฒนายกระดับความสามารถทางด้านศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย เป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีพื้นที่แสดงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ผ่านผลงานศิลปะ สะท้อนบทบาทและแนวคิดของเยาวชนที่สามารถร่วมพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้ “ดิฉันขอส่งกำลังใจให้กับน้อง ๆ นิสิต นักศึกษาทุกทีม ที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ ขอให้ทุกท่านจงภูมิใจในสิ่งที่ได้สร้างสรรค์ และจงรักษาไฟแห่งความฝันและความคิดสร้างสรรค์นี้ไว้ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศไทยให้เปี่ยมไปด้วยความหวัง ความงดงาม และศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด” รมว.อว. กล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้สนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาในสังกัดทั่วประเทศ นำพลังและองค์ความรู้ด้านศิลปวิทยาเข้าร่วมประกวดแข่งขันวาดภาพในโครงการ Thai Youth Street Art ระดับอุดมศึกษา ในวันที่ 26–27 เมษายน 2568 โดยสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพวาดบนพื้นที่สาธารณะที่สอดคล้องกับเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ตามบริบทชุมชน และจะได้นำผลงานภาพวาดมาจัดแสดงเพื่อเผยแพร่เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านศิลปวิทยาของสถาบันอุดมศึกษาในสังกัด อว. ให้ได้รับชมตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 ณ สยามสแควร์ ซอย 7 (Walking Street) โดยในปีนี้มีสถาบันอุดมศึกษาที่มีความพร้อมและเข้าร่วมการประกวดแข่งขันรวมทั้งสิ้น 42 สถาบันอุดมศึกษา แบ่งเป็นพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ จำนวน 36 สถาบัน และในพื้นที่กรุงเทพฯ ณ สยามสแควร์ ซอย 7 (Walking Street) จำนวน 6 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย และวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ และยังได้นำพลังด้านดนตรีจาก 4 สถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาร่วมจัดแสดงดนตรี สร้างบรรยากาศความสุขและถ่ายทอดแรงบันดาลใจ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปอีกด้วย ขอบคุณข้อมูล:  กลุ่มสื่อสารองค์กร สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดตัว! แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ : Medical AI Data Platform
กระทรวง อว. จับมือ สธ.  และพันธมิตร เปิดตัว Medical AI Data Platform แพลตฟอร์มกลาง AI ด้านการแพทย์ ตัวช่วยหมอคัดกรอง-วินิจฉัยโรครวดเร็ว . เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ สำหรับ “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. ภายใต้กระทรวง อว. จากความร่วมมือกับ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งความร่วมมือจากหน่วยงานในภาคีเครือข่าย Medical AI Consortium ที่มีเป้าหมายเชิญชวนให้โรงพยาบาลหรือหน่วยงานที่มีความสนใจ มาร่วม “แชร์-เชื่อม-ใช้” ข้อมูลภาพทางการแพทย์ เพื่อสร้างระบบนิเวศข้อมูลทางการแพทย์ที่เข้มแข็ง รองรับการนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรม AI ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่สามารถนำไปช่วยแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย และขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของคนไทย . สนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกหรือพันธมิตรของ Medical AI Consortium กรอกรายละเอียดได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/Gf8vZ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. โดย นาโนเทค เฟ้นหา 8 ผู้ประกอบการ ต่อยอดนวัตกรรมสมุนไพรสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเวทีค้นหา 8 ผู้ประกอบการร่วม “โครงการสร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรสู่ตลาดใหม่มูลค่าสูง” ภายใต้ SFสารสกัดสมุนไพร จับมือร่วมพัฒนาต้นแบบสารสกัดสมุนไพร สู่ผลิตภัณฑ์ต้นแบบเพื่อทดสอบตลาด ผลักดัน “นวัตกรรมสมุนไพรเชิงพาณิชย์” เพื่อการส่งออกในตลาดสุขภาพโลก สร้างโอกาสหนุนผู้ประกอบการไทยแชร์ส่วนแบ่งในตลาดโลกมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า  โครงการสร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรสู่ตลาดใหม่มูลค่าสูง เป็นโครงการค้นหาผู้ประกอบการที่สนใจ ร่วมพัฒนาผลงานวิจัยสารสกัดสมุนไพรมูลค่าสูง กิจกรรมภายใต้ SFสารสกัดสมุนไพร ซึ่งเป็น 1 ใน 4 Strategic Focus (SF) หรือกลไกการผลักดันเทคโนโลยียกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน จากการกำหนดแนวทางขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาต่อยอดการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยนาโนเทคในวงกว้าง โดยนาโนเทคเล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสทางธุรกิจจากการใช้ประโยชน์สมุนไพร ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีจุดแข็งในด้านวัตถุดิบ และภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพ ในขณะที่ยังต้องเผชิญข้อจำกัดที่มีผลต่อการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ความไม่แน่นอนของวัตถุดิบในตลาดที่มีความแปรปรวน ความไม่คงที่ของปริมาณสารสกัด ส่งผลให้ไทยยังขาดดุลเรื่องมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสมุนไพร เป็นโอกาสในการนำความเชี่ยวชาญทางด้านนาโนเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากสมุนไพรไทย “นาโนเทค มีความเชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรตลอดห่วงโซ่คุณค่า เริ่มตั้งแต่กระบวนการสกัดสู่สารสกัดที่มีปริมาณสารสำคัญสูง มาตรฐานการสกัด เทคโนโลยีการกักเก็บและห่อหุ้ม การพัฒนาสูตรตำรับ การผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอางในระดับกึ่งอุตสาหกรรม ตลอดจนแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ที่ตอบโจทย์ทั้งภาคอุตสาหกรรมและความต้องการจากผู้บริโภค” ดร.อุรชากล่าว พร้อมชี้ว่า นาโนเทคมีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบกับเครือข่ายพันธมิตรเพื่อส่งเสริมการขยายผลการใช้ประโยชน์งานวิจัยในเชิงพาณิชย์และสร้างความเชื่อมั่นที่มีต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย โดยในระยะแรก จะมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์สารสกัดจากบัวบกและกระชายดำ สำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรในกลุ่มเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยาสมุนไพร และผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพสัตว์ ข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) ชี้ให้เห็นว่า ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ที่ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น เช่นเดียวกับในประเทศไทย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2570 ชี้ว่า ตลาดสมุนไพรมีมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท/ปี และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-7% ผสานกับแนวโน้มปัจจุบันที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่นวัตกรรมและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในระดับโลกคือ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Product – HVA) ผู้อำนวยการนาโนเทคเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา นาโนเทคทำงานร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนจากหลายอุตสาหกรรมในกลุ่มที่มีการใช้ประโยชน์สมุนไพร โดยมีภาคเอกชนที่ร่วมกับนาโนเทคพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีด้านสมุนไพร กว่า 31 โครงการ หนึ่งในนั้นคือ ผู้ประกอบการที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ในกลุ่มสารสกัดจากกระชายดำที่มีปริมาณสารสำคัญสูง ซึ่งมีศักยภาพในการผลักดันสารสกัดดังกล่าวไปสู่บริษัทชั้นนำในตลาดโลกกว่า 10 ประเทศ ซึ่งหลังจากนี้ นาโนเทคเองก็คาดหวังให้กิจกรรมความร่วมมือนี้ เป็นโครงการนำร่องเพื่อเป็นกลไกในการสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานในวันนี้และอนาคตต่อไป นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการนาโนเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการสร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรสู่ตลาดใหม่มูลค่าสูง เป็น 1 ใน กลไกการสนับสนุนผู้ประกอบการของนาโนเทคที่เรามุ่งสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และช่วยแก้ปัญหา (Solution Provider) ให้กับผู้ประกอบการในภาคการผลิตและบริการ ในทุกภาคส่วน ผ่านบริการต่างๆ อาทิ การร่วมวิจัย รับจ้างวิจัย และการให้คำปรึกษา เพื่อให้ผู้ประกอบการมีขีดความสามารถในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าและบริการ ที่จะช่วยให้ผลประกอบการดีขึ้น จนเกิดความตระหนักถึงประโยชน์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระยะยาว และนำไปสู่การทำวิจัยและพัฒนาเพิ่มมากขึ้น “กิจกรรมในวันนี้เป็นกรอบงานวิจัยในกลุ่มสมุนไพรและสารสกัดมูลค่าสูง ที่สามารถตอบสนองให้กับหลากหลายอุตสาหกรรม ครอบคลุมถึงกลุ่มสุขภาพและความงาม อาหารเสริม และกลุ่มสุขภาพสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงในปัจจุบัน โดยต้องการผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร เครื่องสำอาง เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพและสารสกัดสมุนไพร ที่สนใจร่วมพัฒนาผลงานวิจัยสารสกัดสมุนไพรมูลค่าสูง เพื่อขยายผลการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับต้นแบบสารสกัดสมุนไพรเพื่อนำไปทดสอบตลาดและวิเคราะห์ช่องว่างของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ และได้รับสิทธิพิเศษในการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับสิทธิบัตรในการผลิตต้นแบบ และสิทธิประโยชน์อื่นๆ” โครงการสร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรสู่ตลาดใหม่มูลค่าสูง เฟ้นหาผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและศักยภาพ โดยพิจารณาจากแบบประเมินศักยภาพด้านการผลิตและการตลาดและแผนธุรกิจเบื้องต้นที่แสดงความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารสกัดสมุนไพรต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาในการพัฒนาสารสกัดต้นแบบมูลค่าสูงร่วมกับนักวิจัยจากนาโนเทค สวทช. อย่างใกล้ชิด ด้วยนาโนเทคโนโลยีและมาตรฐานการผลิตที่ได้มาตรฐาน นางศันสนีย์เผยว่า ความคาดหวังจากกิจกรรมนี้คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าจากพืชสมุนไพรภายในประเทศ ทำให้เกิดการผลักดันและขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์สมุนไพรทั้งสารสกัดและอนุภาค เพื่อสร้าง ระบบนิเวศ (ecosystem) ของสารสกัดสมุนไพรมูลค่าสูงที่สามารถผลิตขายและได้มาตรฐานในประเทศ สามารถสร้างงาน สร้างผลกระทบและก่อให้เกิดการหมุนเวียนในประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีคุณภาพสูงได้ตามมาตรฐานสากล และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Wellness Market) ตลาดเครื่องสำอางธรรมชาติ (Natural Cosmetics) และตลาดยาแผนโบราณมาตรฐานสูง (Traditional Medicine)           สำหรับภาคเอกชนที่สนใจ โครงการนี้มี 8 ผลงานพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์จากสารสกัดทองพันชั่งและซาโปนิน สำหรับต้านเชื้อราที่ผิวหนังของสัตว์เลี้ยง, ผลิตภัณฑ์จากสารสกัดโปรตีนจากรกสุกร เพื่อใช้ในการลดเลือนฝ้าแดด, กรรมวิธีการพิมพ์สารสำคัญจากสมุนไพรลงในแผ่นแปะ, อนุภาคนาโนที่กักเก็บสารสกัดใบขลู่สำหรับยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ P. acnes, ผลิตภัณฑ์จากสารอัลคาลอยด์ที่มีความบริสุทธิ์สูงจากพืชกระท่อม, กระบวนการผลิตอนุภาคขมิ้นชันเพื่อใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์เม็ดฟู่ และนาโนอิมัลชันสกัดจากเหง้าขิงและอนุภาคนาโนทองคำเพื่อยับยั้งการอักเสบและสมานแผล สามารถดาวน์โหลดใบสมัครผ่าน https://www.nanotec.or.th/th/ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568   *หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณจิรพร ศุภจำปิยา งานพัฒนาธุรกิจ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) อีเมล์ Jiraporn.sup@nanotec.or.th โทร. 081 639 7284
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ชวนเอกชนลงทุน R&D หนุนยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ จาก “เกษตรดั้งเดิม” สู่ “เกษตรอัจฉริยะ”ด้วยนวัตกรรมฐานชีวภาพ
(25 เมษายน 2568) ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ: ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน เป็นประธานกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม วิทยากร และผู้เข้าร่วมงาน “กิจกรรมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน การยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมฐานชีวภาพ” ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นเวทีของการแบ่งปันความรู้ และแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีฐานชีวภาพที่สามารถนำไปใช้กับวัตถุดิบทางการเกษตร และต่อยอดการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เพื่อทำให้ผู้ประกอบการปรับตัว เตรียมความพร้อม ยกระดับและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสม รวมถึงทราบสิทธิประโยชน์ของภาครัฐเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ โอกาสนี้ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน กล่าวว่า “สวทช. ในฐานะองค์กรชั้นนำด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ได้มุ่งส่งเสริมระบบเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงให้ทันสถานการณ์ ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งในด้านความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก ส่งผลให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านจากระบบเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่ “เกษตรอัจฉริยะ” ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมฐานชีวภาพ ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ สวทช. ในการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (ST Implementation for Sustainable Thailand) คือ การเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบและวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรม อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน โดยใช้กระบวนการทางชีวภาพ เคมี หรือกายภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม” ดร.สมบุญ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งนี้ สวทช. ยังให้การสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการ ผ่านบริการต่าง ๆ อาทิ การร่วมวิจัย รับจ้างวิจัย การให้คำปรึกษา และบริการรับรองเพื่อให้ผู้ประกอบการที่มีการลงทุนวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้รับสิทธิประโยชน์ของภาครัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีขีดความสามารถในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าและบริการ ที่จะช่วยให้ผลประกอบการดีขึ้น และนำไปสู่การทำวิจัยและพัฒนาเพิ่มมากขึ้น” นอกจากนี้ ยังมีการบรรยาย เรื่อง “ใช้สิทธิประโยชน์ภาครัฐให้คุ้มค่ากับงานวิจัยที่สร้างผลกำไร” โดย คุณภาณุทัต ธรรมบุศย์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สวทช. การบรรยาย เรื่อง “ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม SME ไทย ด้วยกลไก ITAP” โดย คุณพีชยา จิระธรรมกิจกุล ผู้จัดการงานอุตสาหกรรมอาหาร เกษตร และสุขภาพ ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) สวทช. และ คุณเปรมฤดี ศรีทัพไทย ที่ปรึกษาอาวุโส งานอุตสาหกรรมอาหาร เกษตร และสุขภาพ ITAP สวทช. และการบรรยาย เรื่อง “การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรสู่อุตสาหกรรมชีวภาพด้วยนวัตกรรม” โดย ดร.วรินธร สงคศิริ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ ไบโอเทค สวทช. พร้อมทั้งมีการเสวนา “แบ่งปันมุมมอง แนวคิดและประสบการณ์ แปลงงานวิจัยให้เป็นธุรกิจ” และ “One-on-One Consulting บริการให้คำปรึกษางานวิจัยกับผู้ประกอบการ” และเยี่ยมชมบูธบริการ ของ สวทช. ที่มาร่วมจัดแสดงในงาน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. คว้ารางวัล “องค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานและการมีรายได้สำหรับผู้สูงอายุ ประจำปี 2568” ระดับดีเด่น
วันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ฮอลล์ EH101 : ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้านบริหารทั่วไป เป็นผู้แทน สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณจาก นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ประธานในพิธี ในโอกาสที่ สวทช. ได้รับ “รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานและการมีรายได้สำหรับผู้สูงอายุ ประจำปี 2568” ประเภทรางวัล “ระดับดีเด่น” จากการคัดเลือกของกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. ทั้งนี้ พิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ “รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานและการมีรายได้สำหรับผู้สูงอายุ ประจำปี 2568” เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม Senior Job Connect “งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ” จัดโดยกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. ภายใต้งาน Ageing Thailand 2025 เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนการจ้างงานผู้สูงอายุ เพิ่มช่องทางการมีงานทำ สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
The STEAM Youth Camp ณ นครเซี่ยงไฮ้
🔊ขอเชิญชวนน้อง ๆ ระดับชั้นมัธยมศึกษา ร่วมเดินทางเปิดประสบการณ์สุดพิเศษในต่างแดนกับ The STEAM Youth Camp ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองแห่งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และวัฒนธรรม 💡 . 🚨 เรียนรู้สนุก ๆ พร้อมฝึกเป็นนักวิจัยรุ่นเยาว์ ร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อนใหม่ ผ่านกิจกรรม Hands-on STEAM ในรูปแบบที่หลากหลาย ภายใต้การดูแลของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ จากสถาบันการศึกษาชั้นนำในเซี่ยงไฮ้ และสัมผัสประสบการณ์เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ พร้อมวิทยากรให้ความรู้ที่จะช่วยเปิดมุมองด้านการเรียนรู้ STEAM ได้เป็นอย่างดี 🚀 . 🎯หัวข้อกิจกรรมที่น่าสนใจ ✅ กิจกรรมฝึกเป็นนักวิจัยรุ่นจิ๋ว Decoding Our Genetic Secrets ไขความลับชีวิตพันธุกรรมที่ห้องปฏิบัติการวิจัย ✅ เปิดประสบการณ์สุดพิเศษ เรียนรู้ AI กับการประยุกต์ใช้ด้านการแพทย์จากผู้เชี่ยวชาญ ณ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง พร้อมเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนวัตกรรมล้ำสมัย ✅ กิจกรรม Creative Problem Solving with Coding ในโรงเรียนสองภาษา Shanghai New Epoch Bilingual School โรงเรียนที่มีชื่อเสียงในด้านหลักสูตรสองภาษาที่ผสมผสานมาตราฐานการศึกษาทั้งของจีนและนานาชาติ ✅ เรียนรู้ความมหัศจรรย์ของจักรวาล ผ่านพิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Shanghai Astronomy Museum ✅ ตื่นตาตื่นใจกับความหลากหลายทางชีวภาพที่ Shanghai Natural History Museumหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเซี่ยงไฮ้ 🚨คุณสมบัติผู้สมัคร : นักเรียนระดับมัธยมศึกษา 📢วันรับสมัคร : ตั้งแต่วันนี้ – 23 พฤษภาคม 2568 👦🏻จำนวนรับสมัคร : 20–24 คน (ยืนยันการเข้าร่วมกิจกรรม พร้อมชำระค่าลงทะเบียน 26–28 พฤษภาคม 2568) 💰ค่าลงทะเบียน : 58,000 บาท/คน (ราคารวม Vat 7% เรียบร้อยแล้ว) (ไม่รวมค่าทำหนังสือเดินทางและค่าใช้จ่ายส่วนตัว) 👉สนใจสมัครได้ที่ : https://forms.gle/J92HCxQzPNM4HoDv5 . 📅 วันจัดกิจกรรม : 21 – 25 กรกฎาคม 2568 . 📍สถานที่จัดกิจกรรม 🏢สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน . 📌สมัครและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณเสาวณีย์ โสภณนันทวัฒน์ ☎️โทร : 02 529 7100 ต่อ 77220 มือถือ : 081 8480949 📧อีเมล : saowanee@nstda.or.th . คุณจิดากาญจน์ สีหาราช ☎️โทร : 02 529 7100 ต่อ 77205 📧อีเมล : jidakarn@nstda.or.th  
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. คว้ารางวัล “TAB Digital Inclusive Award 2025” ตอกย้ำความมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อคนทุกกลุ่ม
(25 เมษายน 2568) ณ โรงแรมเดอะรีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท จังหวัดเพชรบุรี : สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรสมาชิกของคนตาบอดระดับชาติ ที่มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงพิทักษ์สิทธิของคนตาบอดทั่วประเทศ จัดพิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรติ TAB Digital Inclusive Award 2025 ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 23-27 เมษายน 2568 เพื่อยกย่องและเป็นกำลังใจแก่ผู้พัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่ออกแบบโดยคำนึงถึงการเข้าถึงและใช้งานของผู้พิการทางสายตา โดยได้รับเกียรติจาก นายอุเทน ชนะกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานมอบโล่รางวัล โอกาสนี้ ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. เป็นตัวแทนองค์กร สวทช. เข้ารับรางวัลการเข้าถึงเว็บไซต์ภาครัฐ “เว็บไซต์สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปิดกว้างและครอบคลุมสำหรับทุกคนในสังคม โดยได้กล่าวภายหลังรับรางวัลว่า รางวัล "การเข้าถึงเว็บไซต์ภาครัฐ" เป็นผลจากการประเมินอย่างเข้มข้นโดยคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งพิจารณาถึงความใส่ใจในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ของ สวทช. ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติสำหรับการเข้าถึงเนื้อหาดิจิทัล (Web Content Accessibility Guidelines: WCAG) เพื่อทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างราบรื่นและเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างเท่าเทียมกับผู้ใช้งานทั่วไป “การได้รับรางวัล TAB Digital Inclusive Award 2025 ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ สวทช. ในการขับเคลื่อนพันธกิจหลักในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน การให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมนั้น สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนตาบอดผ่านเทคโนโลยีที่ไร้ Barrier อย่างแท้จริง และเป็นแรงบันดาลใจให้ สวทช. มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสรรค์สังคมที่เปิดกว้างสำหรับทุกคนอย่างต่อเนื่องและตลอดไป” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวทิ้งท้าย   
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
มหัศจรรย์สีสันของสาหร่ายจิ๋ว Miracle of Microalgae
🔊ไม่ว่าคุณจะมีโครงการอยู่แล้ว หรืออยากเริ่มต้นเส้นทางนักวิจัย ค่ายนี้จะพาคุณก้าวสู่ Next STEP อย่างมั่นใจ! 🧪 มหัศจรรย์สีสันของสาหร่ายจิ๋ว Miracle of Microalgae 👩🏻‍🔬   🗓 วันจัดกิจกรรม: 22–23 พฤษภาคม 2568 📍 สถานที่จัดกิจกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) . 🚨คุณสมบัติผู้สมัคร 👦🏻นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 50 คน . 📆 วันรับสมัคร: วันนี้–30 เมษายน 2568 📢 วันประกาศรายชื่อ: 1 พฤษภาคม 2568 . 🌍ไฮไลท์กิจกรรม 🔍ฝึกทักษะด้านการเพาะเลี้ยงและสกัดสารสีจากสาหร่าย จากห้องปฏิบัติการใกล้ชิด พร้อมชิมสาหร่ายจิ๋วในรูปแบบอาหาร . 🎯หัวข้อกิจกรรมที่น่าสนใจ เรียนรู้เทคนิคในห้องปฏิบัติการ เช่น ✅ เลี้ยงง่ายอยู่ยงสาหร่ายจิ๋ว: เรียนรู้เทคนิคการเพาะเลี้ยงสาหร่ายขนาดจิ๋ว ✅ สีสันบันเทิง: การเตรียมสารสกัดจากสาหร่ายขนาดเล็ก และการใช้ประโยชน์ (Preparation of microalgae extracts and their use) ✅ ฝึกปฏิบัติการใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ และเรียนรู้ทักษะกระบวนการวิจัยโดยนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ ดูแลอย่างใกล้ชิด . 💰 ค่าลงทะเบียน: จำนวน 4,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) กิจกรรม 2 วัน 1 คืน รอบเข้าร่วมกิจกรรม ค่าที่พัก ค่าสันทนาการ 1 คืน ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางไม่ร่วมกิจกรรม . 📌รายละเอียดที่ : https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSclXSbV-drxrnFTLMNwWKoos8WvtkiL6MkQXZB9fFyx8k29oQ/viewform . 📩 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: 👉คุณเสาวณีย์ โสภณนันทวัฒน์ Tel. 025297100 ต่อ 77220 | 📲 มือถือ 081 8480949 | 📧saowanee@nstda.or.th 👉คุณปิยะวัฒน์ ผลสนอง Tel. 025647000 ต่อ 71413 | 📧 pjywat@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
คณะสพฐ. ผู้บริหาร และอาจารย์ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ศึกษาเรียนรู้งานวิจัยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพิ่มพูนศักยภาพการด้านศึกษา
22 เมษายน 2568 ดร. จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ให้การต้อนรับ คณะทำงานสำนักบริหารงานความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นำผู้เข้าร่วมโครงการ พัฒนาศักยภาพการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย กว่า 300 คน เรียนรู้ศึกษางาน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ ได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานและนวัตกรรมต่างๆ ของ สวทช. และสร้างความเข้มแข็ง ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีด้วยงานวิจัยและพัฒนา สวทช. ได้จัดให้คณะฯ ได้มีโอกาสเรียนรู้ ศึกษางานส่งเสริมเด็กและเยาวชน ของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร โดยคุณสรารี ชาญอุไร ฝ่ายบริหารภาพลักษณ์และกิจกรรมด้านพัฒนากำลังคนของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร นำเสนอ กิจกรรมพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมทักษะความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเยาวชน และสถานที่ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพพืช โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม(Fabrication Lab: FabLab) ซึ่งมีอุปกรณ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เครื่องมือวิศวกรรมศาสตร์ที่ทันสมัย มีความปลอดภัย เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝนเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจริงกับนักวิจัยและนักวิชาการของ สวทช.และ เรียนรู้ผลงานวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้แก่ LEAD Education แพลตฟอร์ ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized learning) โดยแพลตฟอร์มจะติดตามพฤติกรรมและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแบบเรียลไทม์ และนำผลการประเมินมาแนะนำเนื้อหาที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียนแต่ละบุคคล ทำให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้และทักษะได้เต็มศักยภาพ และทำให้ครูสามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการสอน และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมตามระดับความสามารถ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะแห่งอนาคต ช่วยทำให้ผู้เรียนทุกคนบรรลุเป้าหมายได้ โดยเพิ่มทักษะการลงมือปฏิบัติผ่านเครื่องมือออนไลน์ เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การเป็นเครื่องมือที่นำไปใช้ด้านการพัฒนาการศึกษา นำเสนอโดยคุณสุภงช์ ไชยวงศ์ งานวิจัย Pathumma Multi-Modal LLM โมเดล AI ขนาดใหญ่เพื่อสร้าง Generative AI สัญชาติไทย ที่รองรับการประมวลผลข้อมูลได้หลากหลายทั้งข้อความ รูป และ เสียง และบริบทแบบไทย นำเสนอโดย คุณอานนท์ แซ่อึ่ง โครงการพัฒนาศักยภาพการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเป็นผู้นำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ โดยเน้นการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมและท้าทายความสามารถของนักเรียน โครงการยังมุ่งเน้นการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้และทักษะในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ เพื่อให้สามารถสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างเต็มที่ การดำเนินงานของโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย โดยการพัฒนานักเรียนที่มีศักยภาพสูงให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
5 มุมมองขับเคลื่อน Medical AI: ใช้พลังข้อมูลเสริม AI สู่นวัตกรรมการแพทย์เพื่อคนไทย
สรุปสาระจากเสวนา Medical AI ก้าวสำคัญสู่การพัฒนาการแพทย์แห่งอนาคต วงการสาธารณสุขไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนจากงานเปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคสาธารณสุข โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวถึงนโยบาย อว. for AI และเป็นสักขีพยานในการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรทางการแพทย์ Medical AI Consortium เปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” ที่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศข้อมูลที่เข้มแข็ง รองรับการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์เพื่อคนไทย ภายในงาน ยังมีเสวนา “Medical AI ก้าวสำคัญสู่การพัฒนาการแพทย์แห่งอนาคต” ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำจากหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เพื่อฉายภาพวิสัยทัศน์ ความท้าทาย ซึ่งมี 5 มุมมองสำคัญที่จะขับเคลื่อน Medical AI ของไทยไว้อย่างน่าสนใจ 1.พลังข้อมูล หัวใจขับเคลื่อน AI การแพทย์ไทย ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ฉายภาพความสำคัญของ AI ในทางการแพทย์ โดยชี้ให้เห็นว่า AI มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ Big Data แม้ไทยอาจยังตามหลังด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่ไทยเป็นเจ้าของข้อมูล “ศักยภาพของ Big Data จะเป็นของประเทศไทยได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถจัดระเบียบข้อมูลของเราได้ดีเพียงใด ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง” ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร กล่าว ตัวอย่างความสำเร็จที่ชัดเจน คือ AI อ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก หรือ Inspectra CXR ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลพัฒนาร่วมกับสตาร์ทอัปไทยอย่าง Perceptra ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลใช้งานแล้วกว่า 90 แห่ง นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร ยังกล่าวถึง การใช้เทคนิค Retrieval-Augmented Generation (RAG) เพื่อให้ AI เรียนรู้และตอบคำถามจากชุดข้อมูลเฉพาะของประเทศไทย เพื่อให้ AI สามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลที่อยู่ในบริบทของประเทศไทยได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการรวมข้อมูลจาก 3 กองทุนสุขภาพหลักของไทย ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ รวมถึงระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ Health Link แอปพลิเคชันหมอพร้อม และข้อมูลจีโนมิกส์จากโครงการ Genomics Thailand จะเป็นฐานข้อมูลอันทรงพลังสำหรับ AI การแพทย์ของไทย 2. AI ช่วยแพทย์คัดกรอง เพิ่มประสิทธิภาพ ลดเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการรักษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นำเสนอมุมมองของผู้ใช้งาน AI ด้านการแพทย์ โดยเน้นย้ำบทบาทของกรมการแพทย์ในการนำนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริงและเท่าเทียมกัน โดยกล่าวว่า “สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษา ถือเป็นภารกิจหลักของกรมการแพทย์” และยกตัวอย่างความสำเร็จของการใช้ AI คัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ซึ่งริเริ่มโดยโรงพยาบาลราชวิถีร่วมกับ Google AI ตั้งแต่ปี 2018 โดยไทยพบผู้ป่วยเบาหวานกว่า 6 ล้านคน โดยร้อยละ 15-20% เสี่ยงเกิดภาวะดังกล่าว ในขณะที่ประเทศไทยมีจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตาประมาณ 250 คน และส่วนใหญ่ปฏิบัติงานในกรุงเทพฯ สวนทางกับการกระจายตัวของผู้ป่วยทั่วประเทศ โดย AI มีความไว (Sensitivity) ในการตรวจคัดกรองสูงถึง 97 เทียบกับ 74 ของการคัดกรองโดยแพทย์ และมีความแม่นยำ (Specificity) สูงถึงร้อยละ 96 ดังนั้นการใช้ AI ช่วยคัดกรองภาวะดังกล่าว ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนและกระจายตัวที่ไม่สมดุลของจักษุแพทย์ได้ 3.แรงหนุนจากนโยบายและทุน: ขับเคลื่อน Medical AI สู่ S-Curve ใหม่ ความสำเร็จของ Medical AI ประเทศไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดระบบนิเวศที่สนับสนุน โดย ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ซึ่งบริหารกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) ได้ให้มุมมองเชิงนโยบายว่า Medical AI สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งการแพทย์เป็น 1 ใน 4 สาขาหลัก และมีศักยภาพสูงที่จะเป็น S-Curve ใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางตลาด AI โลกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเน้นย้ำถึงความได้เปรียบของไทยในด้านข้อมูลทางคลินิก (Clinical Data) และข้อมูลจีโนมิกส์ ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานอย่าง LANTA Supercomputer ของ สวทช. และบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความร่วมมือ “หากเราสามารถรวมพลังและใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกันของประเทศได้ จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” ศาสตราจารย์ สมปอง กล่าว ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง ได้อธิบายบทบาทของ กองทุน ววน. โดยเปรียบเปรยว่าเป็นเสมือน “กองทุนที่ 4” จากแตกต่าง จาก 3 กองทุนสุขภาพหลักซึ่งเน้นการเป็นแหล่งข้อมูล แต่ กองทุน ววน.จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน และการสร้างแนวทางประยุกต์ใช้ใหม่ ๆ เพื่อเติมเต็มและสร้างความสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศ Medical AI ของประเทศ นอกจากนี้ ยังมุ่งสนับสนุนเป้าหมายรูปธรรม เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์และบริการทางการแพทย์เพื่อทดแทนการนำเข้า และมีการหารือกับ สปสช. เพื่อผลักดันให้การวินิจฉัยและรักษาโรคด้วย AI เบื้องต้นราว 10 กลุ่มโรคให้สามารถเบิกจ่ายได้ในอนาคต 4.บพค. กับการสร้าง Ecosystem AI การแพทย์ ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กล่าวถึงการสนับสนุนของ บพค. ที่มีต่อโครงการ Medical AI Consortium มาแล้วกว่า 90 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์ม บุคลากร ต้นแบบ AI Model และกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นว่าแพลตฟอร์มนี้มีความปลอดภัย โดยวิสัยทัศน์ของ บพค. สนับสนุน 4 ภารกิจหลักตามที่ได้รับมอบหมายจากการปฏิรูประบบ ววน. คือ การพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง, การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน ววน., งานวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) และการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัย โดย มองว่าการพัฒนาเทคโนโลยี AI ต้องมองไปข้างหน้าและจำเป็นต้องมีการคาดการณ์อนาคตเพื่อเตรียมความพร้อม แม้ AI จะพัฒนาไปเร็วเพียงใด แต่ก็ยังต้องการมนุษย์ในการตรวจสอบ (Validate) และตัดสินใจขั้นสุดท้าย ดร.ณิรวัฒน์ เปรียบการขับเคลื่อน Medical AI เหมือนการปีนเขาเอเวอเรสต์ที่ต้องมีหมุดหมาย (Milestone) เล็ก ๆ ระหว่างทาง โดยเน้นความสำคัญของการสร้างความร่วมมือให้กว้างขวางขึ้น การสร้างมาตรฐานข้อมูล และการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการนำ AI ไปใช้ประโยชน์จริง 5.รากฐานทางเทคโนโลยี: เน้นสร้างเครื่องมือให้ "คนไทย" ประยุกต์ใช้ AI ได้จริง ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาชั้นนำของประเทศ สวทช. ตระหนักถึงความสำคัญของการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำ AI มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ให้มุมมองว่า AI จะฉลาดและมีประสิทธิภาพได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับตรรกะและ วิธีการสอน ให้ AI เรียนรู้และมองเห็นสิ่งที่สำคัญในข้อมูลนั้น เฉกเช่นเดียวกับที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้ประสบการณ์ในการวินิจฉัยโรค ภายใต้วิสัยทัศน์นี้ สวทช. โดย เนคเทค จึงได้จับมือกับพันธมิตรสำคัญ ทั้งกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และภาคีเครือข่าย Medical AI Consortium ริเริ่มและพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ขึ้น ปัจจุบันรวมภาพถ่ายทางการแพทย์แล้วกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ เช่น โรคทรวงอก มะเร็งเต้านม โรคตา โรคช่องท้อง โรคผิวหนัง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น หัวใจสำคัญที่ สวทช. มุ่งมั่นพัฒนา ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างคลังข้อมูล แต่คือการสร้างเครื่องมือที่จะปลดล็อกให้นักวิจัยและบุคลากรทางการแพทย์ไทยสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ทางการแพทย์ได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีราคาสูงจากต่างประเทศ สวทช. โดย เนคเทค ได้พัฒนาเครื่องมือสำคัญ ได้แก่ “RadiiView” ซอฟต์แวร์และคลาวด์แอปพลิเคชันสำหรับกำกับข้อมูล (Annotation) หรือการระบุลักษณะสำคัญบนภาพทางการแพทย์ได้อย่างแม่นยำ เพื่อสร้างชุดข้อมูลคุณภาพสูงสำหรับสอน AI “NomadML” แพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักวิจัยพัฒนาโมเดล AI ได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดโปรแกรมที่ซับซ้อน และสามารถเชื่อมต่อกับ LANTA Supercomputer เพื่อใช้พลังการประมวลผลสมรรถนะสูงของ สวทช. ในการเร่งกระบวนการพัฒนาและฝึกสอนโมเดล AI ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ศ.ดร.ชูกิจ เน้นย้ำว่า ยุทธศาสตร์ของไทยไม่ใช่การแข่งขันพัฒนา AI แต่คือการนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดในบริบทที่ไทยมีจุดแข็ง ซึ่งก็คือ ข้อมูลทางการแพทย์ และความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร การมีแพลตฟอร์มกลางที่ทำให้ข้อมูลจากโรงพยาบาลต่าง ๆ มาแชร์และเรียนรู้ร่วมกันจะทำให้ AI ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถสูง “ศักยภาพของ AI ทางการแพทย์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิเคราะห์ภาพถ่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพในองค์รวม เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลเสมือนของตัวบุคคล (Digital Twin) ที่สามารถให้คำแนะนำด้านสุขภาพเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ ซึ่ง Medical AI Data Platform นี้จะเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาต่อยอดในอนาคต” ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวทิ้งท้าย การเสวนาและการเปิดตัวแพลตฟอร์มครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วนในการผลักดัน Medical AI ของไทย การเกิดขึ้นของ Medical AI Data Platform และความร่วมมือภายใต้ Medical AI Consortium ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทลายกำแพงด้านข้อมูล สร้างมาตรฐาน และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์อย่างก้าวกระโดด ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาด้านสาธารณสุขและเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ของประเทศ แม้จะมีความท้าทายรออยู่ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกัน การสนับสนุนเชิงนโยบายและงบประมาณ รวมถึงความร่วมมือแบบ "ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้" เชื่อมั่นได้ว่า Medical AI จะไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่คืออนาคตของการแพทย์ไทย ที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืน Medical AI Consortium ยังคงเปิดรับและขอเชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ สถาบันการศึกษา นักวิจัย และภาคเอกชน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้ เพื่อต่อยอดการพัฒนา AI ทางการแพทย์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  สำหรับหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกหรือพันธมิตรของ Medical AI Consortium หรือการใช้งาน Medical AI Data Platform สามารถกรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มเพื่อการติดต่อกลับได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/Gf8vZ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กระทรวง อว. จับมือ สธ.  โดย สวทช. ม.มหิดล กรมการแพทย์ และพันธมิตร เปิดตัว Medical AI Data Platform ชวนโรงพยาบาล แชร์-เชื่อม-ใช้ ภาพทางการแพทย์ 2.2 ล้านภาพ หวังเป็นแพลตฟอร์มกลางที่ใช้ AI เป็นตัวช่วยคัดกรอง-หมอวินิจฉัยโรครวดเร็ว
(วันที่ 21 เมษายน 2568) โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคสาธารณสุข โดยมี นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวถึงนโยบาย อว. for AI และเป็นสักขีพยานในการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรทางการแพทย์ ประกอบด้วย  กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย Medical AI Consortium ซึ่งภายในงานมีการ เปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” อย่างเป็นทางการ ที่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศข้อมูลที่เข้มแข็ง รองรับการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์เพื่อคนไทย โดยมี พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา  ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมงานแถลงข่าว   นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า “กระทรวง อว. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่านนโยบาย ‘อว. for AI’ ซึ่งมุ่งสร้างระบบนิเวศ AI ที่ครบวงจร การแพทย์เป็นเป้าหมายสำคัญที่ AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำ รวดเร็ว และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การสนับสนุนการจัดตั้ง Medical AI Consortium ผ่านทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เพื่อพัฒนา Medical AI Data Platform ถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของประเทศ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงคลังข้อมูล แต่ยังประกอบด้วยเครื่องมือที่พัฒนาโดย สวทช. ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยและแพทย์สามารถพัฒนานวัตกรรม AI ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นภารกิจสำคัญในการสร้างรากฐาน AI การแพทย์ที่มั่นคงของประเทศ จึงขอเชิญชวนโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ร่วมแบ่งปันข้อมูลและระบุโจทย์ที่สำคัญ และนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาร่วมพัฒนาโมเดล AI ที่ใช้ได้จริง เพื่อร่วมกันยกระดับสาธารณสุขไทยให้ก้าวทันโลก และใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. มีพันธกิจในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ Medical AI Consortium และ แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ ที่พัฒนาขึ้นนี้ คือ ตัวอย่างของการบูรณาการความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและ AI ของ สวทช. เข้ากับความรู้ทางการแพทย์จากพันธมิตร เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตัวอย่างของเทคโนโลยีอย่าง RadiiView และ NomadML ที่พัฒนาโดยนักวิจัยเนคเทค สวทช. จะช่วยปลดล็อกให้นักวิจัยและแพทย์ไทยสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ได้เอง ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และนำไปสู่ AI ทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์บริบทของประเทศไทยอย่างแท้จริง” แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) พัฒนาโดยเนคเทค สวทช. ประกอบด้วยเทคโนโลยีที่สนับสนุนกระบวนการพัฒนา AI ทางการแพทย์ของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ครบวงจร และปลอดภัยตามมาตรฐานคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ภายใต้การดูแลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ครอบคลุม 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.  ส่วนบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) รองรับการรวบรวม จัดเก็บ จัดทำรายการข้อมูลภาพทางการแพทย์อย่างปลอดภัยและเป็นระบบ มีการกำกับดูแลสิทธิ์การเข้าถึงตามหลักธรรมาภิบาลข้อมูล นอกจากนี้ นักวิจัยเนคเทค สวทช. ยังพัฒนา RadiiView ซอฟต์แวร์และคลาวด์แอปพลิเคชันสำหรับการกำกับข้อมูลภาพทางการแพทย์ (Annotation) ที่มีเครื่องมือช่วยให้แพทย์ระบุลักษณะสำคัญบนภาพได้อย่างแม่นยำ เพื่อสร้างชุดข้อมูล 2.  ส่วนพัฒนาและฝึกสอน AI (AI Modeling) ผ่านแพลตฟอร์ม NomadML ที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาโมเดลได้โดย ไม่ต้องเขียนโค้ดโปรแกรมที่ซับซ้อน เพียงนำชุดข้อมูลที่กำกับแล้วจาก RadiiView มาใช้บนแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับทรัพยากรประมวลผลสมรรถนะสูงอย่าง LANTA Supercomputer ของ สวทช. เพื่อเร่งกระบวนการพัฒนาโมเดล 3. ส่วนบริการ AI (AI Service Deployment) มุ่งเน้นการนำโมเดล AI ที่ผ่านการพัฒนาและตรวจสอบประสิทธิภาพแล้ว ไปสู่การใช้งานจริงในระบบบริการสุขภาพ โดยอาจให้บริการผ่าน National AI Service Platform เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว ได้รวบรวมภาพทางการแพทย์แล้วกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ ได้แก่ โรคทรวงอก, มะเร็งเต้านม (ภาพแมมโมแกรม), โรคตา (ภาพจอประสาทตา), โรคในช่องท้อง (ภาพอัลตราซาวด์), โรคผิวหนัง, โรคหลอดเลือดสมอง (ภาพ CT/MRI), และโรคกระดูกพรุน (ภาพ BMD/VFA) พร้อมทั้งพัฒนาโมเดล AI ต้นแบบแล้ว 2 บริการ ซึ่งมีศักยภาพในการช่วยแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย และขยายโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพ ปัจจุบัน Medical AI Consortium มีสมาชิกเข้าร่วมขับเคลื่อนรวม 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการแพทย์,  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์, คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ม.นวมินทราธิราช อย่างไรก็ดี สวทช. และพันธมิตร เชื่อมั่นว่าความร่วมมือและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลกลางทางการแพทย์นี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งสร้างนวัตกรรม AI ทางการแพทย์ที่ใช้งานได้จริงในวงกว้าง จึงขอเชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ สถาบันการศึกษา นักวิจัย และภาคเอกชน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้ เพื่อขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขไทยให้ก้าวหน้าต่อไป ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ตัวอย่าง AI ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ บริษัทสตาร์ตอัป เริ่มพัฒนาการใช้ AI เพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest  X-ray) ทางการแพทย์และสร้างรายงานทางการแพทย์เพื่อใช้ในการวินิจฉัยความผิดปกติของภาพเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อขยายผลการให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศิริราช  ปิยมหาราชการุณย์ และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก รวมทั้งโรงพยาบาลอื่น ๆ ในราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อโปรแกรม AI มาจากต่างประเทศ ช่วยลดงบประมาณค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลในประเทศไทย โดยล่าสุดเทคโนโลยีเพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest  X-ray)  ได้ผ่านมาตรฐานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขแล้ว และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กำลังพัฒนาไปยังโรคอื่น ๆ ซึ่งในอนาคตมีแผนจะดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง AI สำหรับใช้ในโรงพยาบาลนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป อย่างไรก็ตาม Medical AI Consortium เป็นเครือข่ายสำคัญที่จะเป็นโอกาสให้ประเทศไทยดึง DATA มาร่วมแบ่งเป็นข้อมูลในการทำงานด้านการแพทย์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ AI เรียนรู้ข้อมูลได้ฉลาดและแม่นยำมากขึ้น  ด้าน นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกภาคส่วน รวมถึงในวงการแพทย์ โดย AI ได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแลรักษาทางการแพทย์ ทั้งในด้านการวินิจฉัย การรักษา และการบริหารจัดการระบบสุขภาพ ในประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานกว่า 6 ล้านคน ราว 15–20% เสี่ยงภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา แต่มีจักษุแพทย์เฉพาะทางเพียง 250 คน จากข้อจำกัดดังกล่าว ได้มีการศึกษาทดลองการใช้ AI ใน 13 เขตสุขภาพจากบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมการตรวจคัดกรองโรคจอประสาทตา พบว่า การตรวจโดยบุคลากรทางการแพทย์มีความไว (sensitivity) อยู่ที่ร้อยละ 74 และมีความแม่นยำ (specificity) สูงถึงร้อยละ 98 ขณะที่การตรวจโดยใช้ AI ให้ผลความไวที่สูงกว่ามาก คือประมาณร้อยละ 97 และมีความแม่นยำอยู่ที่ร้อยละ 96 ทำให้เห็นว่าระดับความแม่นยำจะใกล้เคียงกัน แต่ AI มีความสามารถในการตรวจคัดกรองโรคได้รวดเร็วและมีความไวสูงกว่า “การนำ AI มาใช้ในการคัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาสามารถช่วยลดระยะเวลาการรอคอยในการเข้ารับการตรวจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของประชาชน และทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการมองเห็นและความพิการในผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ทั้งนี้การพัฒนา AI สำหรับการแพทย์จำเป็นต้องใช้ข้อมูลภาพทางการแพทย์คุณภาพสูงปริมาณมาก ซึ่งที่ผ่านมามีความท้าทายในการรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน Medical AI Consortium จึงก่อตั้งขึ้นและขับเคลื่อนให้เกิด แนวคิด “ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้” เพื่อเป็นกลไกความร่วมมือในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์ข้อมูลทางการแพทย์อย่างมีธรรมาภิบาล โดยมีแพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) ที่พัฒนาขึ้นโดย เนคเทค สวทช. เป็นแพลตฟอร์มกลางดิจิทัล ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ บริหารจัดการ และให้บริการข้อมูลแก่สมาชิกในเครือข่ายและคนทั่วไป ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลและมาตรฐานคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC)  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ Institute of Science Tokyo ยกระดับความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากรวิจัยสู่อนาคต
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ศาสตราจารย์ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา และ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารจาก Institute of Science Tokyo ณ ห้องประชุม YT711 อาคารโยธี กรุงเทพฯ คณะผู้แทนจากญี่ปุ่นนำโดย Prof. Naoto Ohtake ประธานสถาบัน Dr. Jun-ichi Takada รองประธานฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ และ Dr. Kenji Fueki คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ เดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้เพื่อหารือแนวทางยกระดับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยมีทีมงานจากโครงการ TAIST–Science Tokyo ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเพื่อผลักดันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์วิจัย ที่มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสการจัดตั้ง Institute of Science Tokyo อย่างเป็นทางการ พร้อมเน้นย้ำบทบาทของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ โดยเสนอหัวข้อความร่วมมือในการดำเนินการวิจัย อาทิ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในสาขาการแพทย์และทันตกรรม การพัฒนาระบบคาร์บอนเครดิต รวมถึงการวิจัยเพื่อการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ซึ่งล้วนเป็นประเด็นสำคัญที่สอดรับกับแนวโน้มเทคโนโลยีโลกและเป้าหมายการแก้ไขปัญหาทางสังคมร่วมกัน ภายในการประชุม ดร.หงลดา เทอดเกียรติกุล ได้นำเสนอภาพรวมบทบาทและพันธกิจของ สวทช. ในด้านการขับเคลื่อนงานวิจัยและการพัฒนาบุคลากรวิจัย พร้อมทั้งรายงานผลความร่วมมือระหว่างนักวิจัยจาก สวทช. และ Institute of Science Tokyo ซึ่งได้ร่วมกันตีพิมพ์ผลงานวิจัยมากกว่า 150 ฉบับ ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและศักยภาพในการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ อันเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่ความร่วมมือด้านวิจัยในอนาคตอย่างกว้างขวาง และสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมได้อย่างยั่งยืน ในโอกาสเดียวกัน Prof. Naoto Ohtake ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของ Institute of Science Tokyo ว่าจะเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของสังคมผ่านการส่งเสริมศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยเน้นการบูรณาการองค์ความรู้หลากหลายแขนงร่วมกับแนวคิดเชิงวิสัยทัศน์ เพื่อสร้างคุณค่าและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในระยะยาว ด้าน Dr. Jun-ichi Takada แสดงความมุ่งมั่นในการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรระดับนานาชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำงานร่วมกันบนเวทีโลก ขณะที่ Dr. Kenji Fueki นำเสนอแนวทางความร่วมมือด้านวิจัยในสาขาวิศวกรรมการแพทย์และทันตกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีสุขภาพได้อย่างก้าวกระโดด การหารือยังได้สะท้อนเป้าหมายร่วมในการพัฒนาบุคลากรวิจัยคุณภาพระดับนานาชาติ ผ่านโครงการ TAIST–Science Tokyo ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย และ Institute of Science Tokyo โดยมีเป้าหมายในการผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสนับสนุนการพัฒนาประเทศในอนาคต การเยือนในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักร่วมกันของทั้งสองฝ่ายในบทบาทของวิทยาศาสตร์และทรัพยากรมนุษย์ในการขับเคลื่อนประเทศให้สามารถรับมือกับความท้าทายรอบด้านในอนาคต พร้อมเดินหน้าส่งเสริมโครงการความร่วมมือด้านวิจัย นวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมโดยเน้นความเข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาจากสองสถาบันเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์