ผลการค้นหา :
การสนับสนุนกองทุนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช.
การสนับสนุนกองทุนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช.
https://www.nstda.or.th/donation/
เนื่องจาก ดัชนีวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นบันไดสู่การพัฒนาประเทศ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ สวทช.ขอเชิญชวนท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศได้ที่ https://www.nstda.or.th/donation/
ประเภทการสนับสนุนเงินเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบไปด้วย
มาตราการ BOI บริจาคเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก BOI ตามคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ได้มีประกาศที่ ๑๐/๒๕๖๕ เรื่อง มาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ข้อที่ ๑ ผู้ประกอบการสามารถขอรับสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน กรณีโครงการที่ได้ลงทุนหรือมีค่าใช้จ่าย ในข้อย่อยที่ ๑.๑ (๔) การสนับสนุนองค์กรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น สถาบันการศึกษา ศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทาง สถาบันวิจัย หน่วยงานของภาครัฐ เป็นต้น รวมถึง กองทุนด้านต่าง ๆ เช่น ด้านพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านพัฒนา บุคลากร ตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้มีการลงทุนหรือการใช้จ่ายในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ หรืออุตสาหกรรมโดยรวมมากขึ้น
มาตราการ RDI บริจาคเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อลดหย่อนภาษีจากกรมสรรพากร พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 770) พ.ศ. ๒๕๖๖
กำหนดมาตรการเพื่อยกเว้นภาษีให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศ วิจัย และนวัตกรรม ให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด และ มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยการนำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคการ เกษตรและภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินงานผ่านการทำงานร่วมกันของศูนย์ทั้ง 5 ศูนย์แห่งชาติ ได้แก่
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวัสดุต่างๆ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) มุ่งพัฒนางานด้านอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) มุ่งพัฒนางานด้านนาโนเทคโนโลยี
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ
สำหรับการนำเงินบริจาคไปใช้ มีกิจกรรมตาม 4 พันธกิจหลักประกอบด้วย
ด้านการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม
ด้านการพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค
ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของผู้ประกอบการขนากกลางและย่อม (SMEs) ในประเทศ
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เพื่ออุตสาหกรรมและบริการ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
งานสนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน (PSR)
111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง
อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
โทรศัพท์ : 0-2564-7000 ต่อ 1308, 1335
อีเมล : ipd-psr@nstda.or.th
นานาสาระน่ารู้
แนะนำ Low Code Development Platforms
Low Code Development Platforms คือแพลตฟอร์มการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันได้โดยใช้การเขียนโค้ดน้อยที่สุด มีอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก (GUI) ที่ผู้ใช้สามารถลากและวางเครื่องมือหรือคอมโพเนนต์ต่าง ๆ เพื่อสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพาการเขียนโค้ดแบบดั้งเดิม
คุณสมบัติหลักของ Low Code Development Platforms:
Visual Development : นักพัฒนาสามารถออกแบบอินเทอร์เฟซและกระบวนการทำงานของแอปพลิเคชันได้ด้วยการลากและวางคอมโพเนนต์
Pre-Built Modules : มีคอมโพเนนต์และโมดูลที่สร้างไว้ล่วงหน้า เช่น ส่วนของอินเทอร์เฟซผู้ใช้ ตัวเชื่อมต่อฐานข้อมูล และเครื่องมือสำหรับการทำงานเชิงตรรกะ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ง่าย
Automation : แพลตฟอร์มจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การเชื่อมต่อข้อมูลและการนำแอปพลิเคชันไปใช้งาน
Integration Capabilities : มักมีระบบการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล, API และบริการอื่น ๆ ที่ง่ายต่อการรวมเข้าด้วยกัน
Rapid Prototyping : สามารถสร้างและทดสอบต้นแบบแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วผ่านการใช้เครื่องมือที่มีอยู่
Low Code Development Platforms สามารถแบ่งตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้:
1.General-Purpose Low Code Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่หลากหลาย ทั้งเว็บและมือถือ โดยไม่ได้เจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง
ตัวอย่าง: OutSystems, Mendix, Microsoft Power Apps
2.Business Process Management (BPM) Platforms
ลักษณะ: เน้นการจัดการและปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ (Business Processes) โดยให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันและการปรับปรุงการไหลของข้อมูล
ตัวอย่าง: Appian, Pega, ProcessMaker
3.Database-Centric Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่เน้นการสร้างแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลอย่างง่ายดาย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่จัดการและประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่าง: Knack, Caspio, Airtable
4.Request Handling and Form-Based Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคำร้องขอ (Request Handling) หรือฟอร์มต่างๆ ที่สามารถรวบรวมและจัดการข้อมูลได้
ตัวอย่าง: Zoho Creator, Nintex, Quick Base
5.Integration-Focused Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่เน้นการเชื่อมต่อและผสานรวมระบบต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงข้อมูลจากหลายแหล่งและประสานงานระหว่างระบบได้
ตัวอย่าง: Boomi, MuleSoft, Retool
6.Customer Relationship Management (CRM) Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์ม Low Code ที่เน้นการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อจัดการและพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลลูกค้าและกระบวนการขายได้
ตัวอย่าง: Salesforce Lightning, Zoho CRM, Creatio
7.Open Source Low Code Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์ม Low Code ที่เป็นโอเพนซอร์ส ซึ่งสามารถปรับแต่งและพัฒนาต่อยอดได้อย่างอิสระ โดยชุมชนผู้ใช้งานหรือองค์กร
ตัวอย่าง: Budibase, Joget, Appsmith
8.Industry-Specific Low Code Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น การเงิน การแพทย์ หรือการผลิต
ตัวอย่าง: Vantiq (สำหรับ IoT และ AI), Unqork (สำหรับภาคการเงินและประกันภัย)
นานาสาระน่ารู้
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หมายถึง ศาสตร์ที่รวบรวมองค์ความรู้ในหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ มาพัฒนาให้เครื่องจักรหรือระบบคอมพิวเตอร์มีความชาญฉลาด สามารถคิด คำนวณ วิเคราะห์ เรียนรู้ และตัดสินใจโดยใช้เหตุผลได้เสมือนสมองของมนุษย์ และสามารถเรียนรู้ พัฒนา และปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์เองได้
ประเภทของ AI
ANI (Narrow AI):
AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะทาง เช่น การจดจำเสียง (Voice Recognition) การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการเล่นเกมโกะ AI ประเภทนี้พบได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัล (Siri, Alexa) และระบบแนะนำสินค้าของเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์
AGI (General AI):
AI ที่สามารถทำงานได้หลากหลายคล้ายมนุษย์ โดยสามารถนำมาใช้งานหลากหลาย เช่น การสร้างภาพ การประมวลผล การสร้างเสียงดนตรี
ASI (Superintelligent AI):
แนวคิดที่ AI จะมีความฉลาดที่เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน แต่ยังคงเป็นเพียงทฤษฎีและอยู๋ระหว่างการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
ขั้นตอนหลักในการทำงานของ AI มีดังนี้:
การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection):
AI ต้องการข้อมูลจำนวนมากในการฝึกฝน เช่น ข้อมูลภาพ เสียง ข้อความ หรือข้อมูลดิบอื่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้เป็นตัวอย่างเพื่อให้ระบบเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
การประมวลผลข้อมูล (Data Processing):
ข้อมูลที่ได้รับจะถูกประมวลผลและแปลงให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ AI จะทำการค้นหาแบบแผนและความสัมพันธ์ในข้อมูลเหล่านี้
การเรียนรู้ (Learning):
AI จะใช้ อัลกอริทึมการเรียนรู้ เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงตนเอง ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้แบบจำแนกประเภท (Classification) หรือการเรียนรู้แบบจับกลุ่ม (Clustering)
การทำนายหรือการตัดสินใจ (Prediction/Decision Making):
AI สามารถทำการทำนายหรือการตัดสินใจได้ เมื่อระบบได้เรียนรู้แล้ว เช่น การทำนายแนวโน้มของตลาดหุ้นหรือการแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้
การปรับปรุงตนเอง (Self-Improvement):
AI ที่ทำการปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่องโดยการเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ๆ ที่ได้รับเข้ามา ซึ่งทำให้มันมีความแม่นยำและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น
ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ AI เช่น:
ผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัล: เช่น Siri, Google Assistant ที่สามารถช่วยตอบคำถาม จัดการปฏิทิน หรือควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้าน
การวิเคราะห์ข้อมูล: AI ถูกใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในธุรกิจเพื่อช่วยในการตัดสินใจและสร้างกลยุทธ์
การรักษาทางการแพทย์: AI ช่วยในการวินิจฉัยโรคและการพัฒนายาใหม่ ๆ ที่มีความแม่นยำสูง
การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ: ที่ใช้ AI ในการนำทางและตัดสินใจในสภาพแวดล้อมจริง
ดังนั้นการเข้าใจพื้นฐานและการทำงานของ AI จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การพัฒนา AI ยังมาพร้อมกับความท้าทายทั้งด้านเทคโนโลยีและจริยธรรมที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
นานาสาระน่ารู้
โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ https://www.thailandtechshow.com/
โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ (https://www.thailandtechshow.com/) จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตลาดเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่าย ผู้ซื้อพบผู้ขาย ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เป็นโครงการที่เชื่อมโยงภาคเอกชนให้สามารถเข้าถึงและนำผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยออกสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่สร้างคุณค่าให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐาน ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์เสริมศักยภาพและยกระดับผู้ประกอบการ เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยในภาคเอกชน
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาต่อยอดในภาคเอกชน
เพื่อยกระดับผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งรวมงานวิจัยและพัฒนา เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
เพื่อรับทราบข้อมูล ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดของเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลงานวิจัยให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
สำหรับรายชื่อเผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย มีรายละเอียดแบ่งตาม แบ่งเป็นหมวดหมู่ 8 หมวดด้วยกันประกอบไปด้วย
เกษตร/ประมง
เครื่องมือ /เครื่องจักร
เวชสำอาง /เวชภัณฑ์
การแพทย์
อาหาร/เครื่องดื่ม
อิเล็กทรอนิกส์
สื่อการเรียน
เครื่องประดับ
ผู้ใช้งานสามารถดูแต่ละสถานภาพการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมด ประกอบไปด้วย
องค์ความรู้
ลิขสิทธิ์
สิทธิบัตร (granted)
อนุสิทธิบัตร (granted)
คำขอสิทธิบัตร (filed)
คำขออนุสิทธิบัตร (filed)
อยู่ระหว่างดำเนินการขอรับความคุ้มครอง
ความลับทางการค้า
รวมถึงแสดงสถานภาพของผลงานวิจัยทั้งหมด ประกอบไปด้วย
ผลการทดลองระดับห้องปฏิบัติการได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นไปได้
ได้ต้นแบบในระดับห้องปฏิบัติการ
ต้นแบบระดับห้องปฏิบัติการได้ถูกทดสอบในสภาวะจำลอง
ได้ต้นแบบระดับ pilot scale
ต้นแบบระดับ pilot scale ได้ถูกทดสอบในสภาวะทำงานจริง
ตัวอย่างข้อมูลผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ปรากกฎ
ทั้งนี้หากผู้ที่สนใจต้องการขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เหมาะสำหรับผู้สนใจ, นักลงทุน, ผู้ประกอบการเพื่อการผลิตและจำหน่ายท่านสามารถดูรายละเอียด ผ่าน www.thailandtechshow.com จะมีข้อมูลคุณสมบัติของผู้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ รูปแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการยื่นความจำนงเพื่อขอถ่ายทอดเทคโนโลยี
นานาสาระน่ารู้
สานพลังพิชิต ฝ่าวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลัง
ประเทศไทยผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังแปรรูปมากเป็นอันดับต้นของโลก โดยในปี 2564 กรมการค้าต่างประเทศรายงานว่าประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังแปรรูปเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 1.23 แสนล้านบาท แต่ทว่าหลังจากช่วงปี 2562 ที่ไทยเริ่มพบรอยโรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava Mosaic Disease: CMD) และประกาศการระบาดอย่างเป็นทางการในปี 2565 อุตสาหกรรมมันสำปะหลังกลับต้องเผชิญกับความสั่นคลอนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเรื่อยมา เพราะโรค CMD นอกจากจะทำให้หัวมันแคระแกร็นและคุณภาพผลผลิตตกต่ำแล้ว ยังเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่าย รวดเร็ว แต่ยับยั้งการแพร่ระบาดยากเพราะมีแมลงหวี่ขาวเป็นตัวกระจายโรค พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่ของไทยจึงกลายไปเป็นพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ที่ต้องเผชิญปัญหาโรค CMD ระบาดภายในระยะเวลาเพียง 2-3 ปี
อย่างไรก็ตามท่ามกลางวิกฤตใหญ่ที่ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ยังมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังที่เลือกยืนหยัดหาแนวทางฝ่าฟันวิกฤตนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า ‘การสู้ไปด้วยกันจะนำไปสู่การผ่านพ้นวิกฤตได้’
[caption id="attachment_60352" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption]
[caption id="attachment_60353" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption]
ปัญหาเกิด ‘ตัวกลางเร่งขยับ’
[caption id="attachment_60344" align="aligncenter" width="650"] ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.[/caption]
ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า นับตั้งแต่เริ่มพบโรค CMD ในประเทศไทยเมื่อปี 2562 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโสของ สท. ณ ขณะนั้น ได้มอบแนวทางให้บุคลากร สท. สร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และผสานการนำเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคที่นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. พัฒนาไว้มาช่วยรับมือกับปัญหานี้ทันที ในปีนั้น สท. จึงได้ร่วมกับไบโอเทคจัดการประชุมเพื่อสร้างความตระหนักถึงโรคนี้ให้ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดย สท. ได้เชิญนักวิชาการด้านการเกษตรจากหน่วยงานต่าง ๆ มาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง ส่วนนักวิจัยไบโอเทคได้นำเสนอเทคโนโลยีรับมือกับการระบาดของโรคทั้งในส่วนเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคและอุปกรณ์ตรวจโรค
“ผลจากการประชุมครั้งนั้นก่อให้เกิดความร่วมมือครั้งใหญ่กับภาคเอกชน คือ กลุ่มพูลผล โดยบริษัทพูลอุดม จำกัด กลุ่มธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังหลายรูปแบบ ในการนำร่องสร้างกระบวนการรับมือโรค CMD อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยผู้บริหารของบริษัทมีวิสัยทัศน์ว่าโรค CMD ไม่น่าใช่ปัญหาเล็ก และมีแนวโน้มจะลุกลามไปเป็นวิกฤตการณ์โรคระบาดใหญ่ได้ในไม่ช้า ซึ่งผลจากการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ ของบริษัท ทำให้ขณะนี้บริษัทมีเทคโนโลยี ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และความเข้มแข็งด้านองค์ความรู้ สำหรับสร้างระบบการผลิตขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และใช้ประคับประคองเกษตรกรพันธมิตรของบริษัทกว่า 2,000 ครัวเรือน ไม่ให้ล้มพับในวันที่พื้นที่เพาะปลูกหลายแสนไร่ทั่วประเทศกลายเป็นพื้นที่สีแดงอย่างทุกวันนี้ได้”
หลังจากบริษัทพูลอุดมฯ รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากไบโอเทคในปี 2563 บทบาทของนักวิชาการจาก สท. ได้ขยับปรับเปลี่ยนจากการเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงเพื่อสร้างความตระหนัก มาเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งการระบาดของโรค CMD เพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ปลอดโรคเอาไว้ให้ได้นานที่สุด จนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมาช่วยพลิกสถานการณ์นี้
ชวินทร์ เล่าว่า ตั้งแต่วันแรกที่บริษัทพูลอุดมฯ และนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. ตัดสินใจดำเนินงานร่วมกัน นักวิชาการจาก สท. ยังคงทำหน้าที่ช่วยประสานการดำเนินงานเสมอมา นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิจัย และเกษตรกรด้วย เพราะตระหนักดีว่าโรค CMD ไม่ใช่ปัญหาเล็กที่จะแก้ไขได้ด้วยใครเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับประเทศที่ต้องการกำลังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ดังนั้น สท. จะไม่หยุดหมุนเฟืองจนกว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้
เทคโนโลยีรักษาพื้นที่สีเขียว ‘เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย’
[caption id="attachment_60341" align="aligncenter" width="650"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. เล่าต่อในมุมไบโอเทคว่า เดิมทีก่อนจะพบการระบาดโรค CMD ในประเทศไทย นักวิจัยไบโอเทคนำโดย ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ได้พัฒนาเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังพันธุ์เศรษฐกิจของไทยไว้ก่อนแล้วด้วย 2 เหตุผลหลัก คือ การอนุรักษ์ต้นพันธุ์แท้ปลอดโรค และการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์วิกฤตที่อาจทำให้ขาดแคลนต้นพันธุ์ เช่น เกิดเหตุโรคระบาด เกิดภัยธรรมชาติ
[caption id="attachment_60342" align="aligncenter" width="650"] ต้นอ่อนมันสำปะหลัง[/caption]
“ในตอนนั้นช่วงปี 2563 หลังจากตัวแทนจากบริษัทพูลอุดมฯ แสดงความสนใจที่จะรับถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรค ดร.ธราธร และทีมได้ดำเนินการถ่ายทอดวิธีการผลิตต้นพันธุ์ด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทันที พร้อมช่วยดูแลการพัฒนาห้องปฏิบัติการภายในโรงงานของบริษัท และช่วยเป็นพี่เลี้ยงด้านการปรับปรุงกระบวนการอนุบาลและเพาะปลูก จนบริษัทสามารถผลิตและส่งต่อท่อนพันธุ์ให้เกษตรกรใช้ปลูกจริงได้แล้ว ซึ่งในตอนนั้นทีมวิจัยได้ช่วยผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อเป็นต้นแม่พันธุ์ให้บริษัทนำไปใช้ขยายพันธุ์ต่อ รวมแล้วมากกว่า 20,000 ต้น
[caption id="attachment_60351" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
“นอกจากเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์แล้ว อีกหนึ่งตัวอย่างเทคโนโลยีสำคัญที่ไบโอเทคนำไปช่วยเหลือ คือ ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test เทคโนโลยีตรวจโรค CMD ที่ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. และทีมพัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาจับต้องได้ ที่สำคัญวิธีการตรวจง่าย เกษตรกรตรวจได้ด้วยตัวเองภายในพื้นที่เพาะปลูก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกษตรกรตรวจโรคได้บ่อยครั้งขึ้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่พบในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที”
[caption id="attachment_60343" align="aligncenter" width="650"] ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_60354" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]
นอกจากการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการพัฒนาต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวเอาไว้ให้ได้นานที่สุด นักวิจัยไบโอเทคยังมองไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีฐานเพื่อรองรับการล้างพื้นที่สีแดงแบบเอาน้ำดีไล่น้ำเสียในอนาคตด้วย
ดร.ยี่โถ เล่าว่า จนถึงปัจจุบันทีมวิจัยยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการแก้ปัญหาโรค CMD และการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยมาอยู่ตลอด โดยทีมได้พัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจมจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะเทคโนโลยีนี้แม้จะต้องลงทุนสูงในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยความรวดเร็วในการขยายต้นพันธุ์ปลอดโรคจะทำให้ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานพันธมิตรที่มีห้องปฏิบัติการสามารถขยายต้นพันธุ์กลุ่มทนทานโรค CMD และต้านทานโรค CMD พันธุ์ต่าง ๆ (ข้อมูล ณ มิถุนายน 2567 มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทยสามารถพัฒนาพันธุ์ต้านทานโรค CMD ได้แล้ว 3 พันธุ์ อยู่ในช่วงวางแผนเตรียมการขยายพันธุ์) ในระดับหลักแสนหรือกระทั่งหลักล้านต้นได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนที่เราสามารถช่วยกันเอาน้ำดีไล่น้ำเสีย คืนพื้นที่ทั่วประเทศให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง และทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว
[caption id="attachment_60340" align="aligncenter" width="650"] กระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจม[/caption]
“อีกหนึ่งเทคโนโลยีการผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและไบโอเทคกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย คือ การพัฒนาระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในระบบ somatic embryogenesis หรือการโคลนนิง (cloning) พืชผ่านเซลล์แคลลัส ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการ genetic transformation หรือการส่งถ่ายยีนเข้าสู่เซลล์เพื่อปรับแต่งรหัสพันธุกรรมของพืช โดยในกรณีมันสำปะหลัง สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อพัฒนาพันธุ์ให้มีลักษณะตามวัตถุประสงค์การใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เช่น ต้านทานโรค ต้นพันธุ์ให้แป้งสูง ต้นพันธุ์ที่เหมาะแก่การผลิตเอทานอล หรืออื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้นในอนาคตได้”
‘ความยั่งยืน’ โจทย์ที่เอกชนใส่ใจ
[caption id="attachment_60339" align="aligncenter" width="650"] เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด[/caption]
เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เล่าต่อในมุมภาคเอกชนว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมานโยบายของบริษัทที่ผู้บริหารวางเป็นแนวทางในการทำงานให้แก่พนักงานมาตลอดคือความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนในห่วงโซ่ผลลัพธ์ (impact value chain) เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง จากนโยบายนั้นทำให้ทันทีที่ผู้บริหารทราบข่าวการเข้ามาของโรค CMD ก็ตัดสินใจลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับช่วยประคับประคองทุกภาคส่วนในสายการผลิตของบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันทันที
“นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ทีมวิจัยไบโอเทคได้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงบริษัทในด้านการพัฒนากระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ในโครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันบริษัทสามารถผลิตต้นพันธุ์สะอาดเฉลี่ย 15,000-20,000 ต้น/เดือน เพื่อจัดส่งให้เกษตรกรพาร์ตเนอร์ใช้ปลูกได้แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังกำลังร่วมดำเนินการผลิตต้นพันธุ์ต้านทานโรคภายใต้โครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคของบริษัทสยามควอลิตี้สตาร์ช จำกัด เพื่อส่งมอบให้เกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิใช้ปลูกเพื่อผลิตมันสำปะหลังคุณภาพหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมด้วย โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตให้ได้มากกว่า 400,000 ต้น ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทีมวิจัยไบโอเทคและนักวิชาการจาก สท. สวทช. ที่สนับสนุนองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตของบริษัทเสมอมา
“ภายหลังจากการช่วยเหลือเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานประสบความสำเร็จแล้ว บริษัทยังมีแผนจะพัฒนากระบวนการผลิตต่อเพื่อผลิตท่อนพันธุ์ปลอดโรคได้มากขึ้น และกระจายไปยังเกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ เพราะนอกจากบริษัทจะต้องพึ่งพิงผลผลิตจากพวกเขาแล้ว การที่เกษตรกรเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันกับบริษัทได้ ก็เป็นสัญญาณอันดีว่าอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยจะกลับมามั่นคงได้อีกครั้ง”
[caption id="attachment_60329" align="aligncenter" width="650"] เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด (คนที่ 6 จากซ้ายมือ) และทีมงานผู้ผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค[/caption]
เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เสริมว่า ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานทั้งในจังหวัดชัยภูมิและบุรีรัมย์ในรูปแบบพาร์ตเนอร์ที่ดูแลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด โดยได้สนับสนุนต้นพันธุ์สะอาดทั้งพันธุ์ทนทานและพันธุ์ต้านทานให้แก่เกษตรกร มีทีมงานให้ความรู้ในการเรื่องการคัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดีเหมาะกับสภาพดินและน้ำ รวมถึงช่วยแนะนำวิธีการปลูกและดูแลอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองโรค CMD ในรูปแบบ strip test ที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาไปให้ความรู้ เพื่อช่วยเสริมความเข้มแข็งให้เกษตรกรเครือข่ายด้วย ทุกคนต่างดำเนินงานตามค่านิยมของกลุ่มบริษัทฯ ที่ว่า ‘ซื่อสัตย์ โปร่งใส ใส่ใจในทุกปัญหา สร้างความเชื่อมั่นและรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในที่นี้ครอบคลุมทั้งเกษตรกร สังคม และสิ่งแวดล้อม
คำบอกเล่าของทั้ง 4 คน อาจไม่ใช่เสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ของวิกฤตโรค CMD ระบาดหนักในประเทศไทยได้ แต่คำบอกเล่าเหล่านี้จะช่วยฉายภาพให้เห็นว่าการที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตัดสินใจร่วมมือฝ่าฟันปัญหาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คือหนทางที่นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยอย่างยั่งยืนได้
ด้วยความระลึกถึง ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ และ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ผู้อุทิศทั้งกำลังกายและใจช่วยเหลือประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตโรค CMD จนวาระสุดท้ายของชีวิต
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย สวทช. และบริษัทพูลอุดม จำกัด
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
3 สัญญาณเตือน แบตเตอรี่กำลังเสื่อม
แบตเตอรี่ก็เหมือนกับร่างกายของคนเราที่มีวันเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ส่วนจะเสื่อมเร็ว เสื่อมช้า เสื่อมน้อย เสื่อมมาก ถ้าสังเกตดูเราก็จะเห็นสัญญาณบางอย่างที่บอกให้รู้ว่า แบตเตอรี่ของเราไม่ทรงพลังเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
สัญญาณแรกที่อาจสังเกตได้คือ จำนวนชั่วโมงการใช้งานลดลง เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม พลังงานของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ต่อการชาร์จเต็มจะลดลงจากปกติ เนื่องจากความสามารถในการกักเก็บและจ่ายพลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า ความจุของแบตเตอรี่น้อยลง เช่น ปกติเราชาร์จแบตเตอรี่พัดลมมือถือเต็มแล้วใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงกว่าแบตเตอรี่จะหมด แต่พอแบตเตอรี่เสื่อมจะใช้งานได้น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
สัญญาณที่สองคือ ความร้อนของแบตเตอรี่สูงขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม ความต้านทานภายในตัวแบตเตอรี่จะสูงขึ้น ความร้อนจึงเกิดขึ้นมากกว่าแบตเตอรี่ใหม่ที่มีกระแสเท่ากัน ดังนั้นหากเรากำลังใช้งานอุปกรณ์ใด ๆ อยู่ แล้วรู้สึกว่าตรงบริเวณที่ใส่แบตเตอรี่มีความร้อนเกิดขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุปกรณ์นั้นอาจจะเริ่มเสื่อมแล้ว
สัญญาณที่สามคือ แบตเตอรี่มีลักษณะผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากข้างในแบตเตอรี่มีวัสดุและสารเคมีที่เรียกว่า อิเล็กโทรไลต์ บรรจุอยู่ หากวัสดุและสารเคมีเหล่านี้เสื่อมสภาพก็อาจทำให้เกิดแก๊สสะสมภายในแบตเตอรี่ ส่งผลให้แบตเตอรี่เกิดอาการบวม เกิดรอยรั่ว และมีสารเคมีรั่วซึมออกมาภายนอก ซึ่งสารเคมีหลายชนิดส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่เบาบางไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้นเมื่อพบว่าแบตเตอรี่ที่เรากำลังใช้งานอยู่นั้นเริ่มส่งสัญญาณ 3 อย่างดังที่กล่าวมา ก็ให้เตรียมเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพราะการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมสภาพต่อไปอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราเสียหาย และหากแบตเตอรี่เสื่อมจนเกิดการรั่วซึมของสารเคมีก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราด้วย
ที่มา : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่
เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นานาสาระน่ารู้
บทความ
เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูล Data Analysis
การวิเคราะห์ข้อมูล Data Analysis เป็นกระบวนการตรวจสอบ, แปลง, และจัดระเบียบข้อมูลดิบเพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึก, รูปแบบ, แนวโน้ม, หรือข้อสรุปที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้ กระบวนการนี้ประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล, การทำความสะอาด, การสำรวจ, การแปลง, และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การสรุปที่เป็นประโยชน์
ประเภทของเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการทำ Data Analysis
1. เครื่องมือสเปรดชีต (Spreadsheet Tools)
Microsoft Excel: นิยมใช้มากที่สุดในธุรกิจ มีฟังก์ชันที่หลากหลายในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึง Pivot Tables, การทำกราฟ, และการใช้สูตรทางสถิติ
Google Sheets: คล้าย Excel แต่เป็นเครื่องมือออนไลน์ที่สามารถทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์และมีการเชื่อมต่อกับ Google Data Studio สำหรับการรายงาน
2. เครื่องมือ BI (Business Intelligence Tools)
Power BI: เป็นเครื่องมือจาก Microsoft ที่ช่วยในการสร้างรายงานและแผนภูมิแบบอินเตอร์แอคทีฟจากข้อมูลขนาดใหญ่
Tableau: เครื่องมือ BI ที่มีความสามารถในการสร้าง Dashboard และการทำ Data Visualization ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Qlik Sense: เป็นเครื่องมือ BI ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Visual และทำ Data Discovery
3. เครื่องมือทางสถิติ (Statistical Tools)
R: ภาษาการเขียนโปรแกรมที่ออกแบบมาสำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติ มีแพ็คเกจหลากหลายสำหรับการทำ Data Analysis
Python (Libraries เช่น Pandas, NumPy, SciPy, Matplotlib, Seaborn): ภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากใน Data Analysis และ Data Science โดยมีไลบรารีต่างๆ สำหรับการทำงานกับข้อมูล
SAS: ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติและการสร้างแบบจำลองทางสถิติ มีความนิยมในองค์กรขนาดใหญ่
4. เครื่องมือด้านการทำเหมืองข้อมูล (Data Mining Tools)
RapidMiner: เครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการทำเหมืองข้อมูล (Data Mining) และการสร้างโมเดลการวิเคราะห์
KNIME: แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลโอเพนซอร์สที่มีเครื่องมือสำหรับการทำ Data Mining และการวิเคราะห์ทางสถิติ
5. เครื่องมือการจัดการฐานข้อมูล (Database Management Tools)
SQL: ภาษาในการจัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้ในการดึงข้อมูลและการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
Microsoft SQL Server: ระบบการจัดการฐานข้อมูลที่มีความสามารถในการทำ Data Analysis โดยใช้ SQL
MySQL/PostgreSQL: ระบบการจัดการฐานข้อมูลโอเพนซอร์สที่นิยมใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับองค์กรและเว็บแอปพลิเคชัน
6. เครื่องมือการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Tools)
Apache Hadoop: แพลตฟอร์มโอเพนซอร์สสำหรับการประมวลผลและจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
Apache Spark: เครื่องมือสำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวดเร็วกว่า Hadoop และมีไลบรารีสำหรับการทำงานกับข้อมูล เช่น MLlib สำหรับการทำ Machine Learning
Google BigQuery: บริการคลาวด์จาก Google สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์
7. เครื่องมือในการทำ Data Visualization
Matplotlib/Seaborn (Python): ไลบรารีใน Python สำหรับการทำ Data Visualization และการสร้างกราฟที่ซับซ้อน
D3.js: ไลบรารี JavaScript สำหรับการสร้างการแสดงผลข้อมูลที่มีความซับซ้อนและอินเตอร์แอคทีฟบนเว็บ
Power BI: เป็นเครื่องมือจาก Microsoft ที่ช่วยในการสร้างรายงานและ Data Visualization แบบอินเตอร์แอคทีฟ
8. เครื่องมือในการทำ Data Wrangling
OpenRefine: โอเพนซอร์สสำหรับการทำ Data Cleaning และการจัดการข้อมูล
Trifacta Wrangler: เครื่องมือที่ช่วยในการแปลงและจัดระเบียบข้อมูล
นานาสาระน่ารู้
ระบบ Open source ERP สำหรับหน่วยงานภาครัฐ
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการและบูรณาการกระบวนการทางทรัพยากรของภายในองค์กร ระบบนี้ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวมข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ เข้าด้วยกันในระบบเดียว ทำให้สามารถวิเคราะห์และบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาต้นแบบ ระบบ Open source ERP สำหรับหน่วยภาครัฐ เพื่อระบบสารสนเทศ เพื่อการบริหารทรัพยากรขององค์กร (ERP) ที่พัฒนาด้วยซอฟแวร์ Open source Odoo โดยชื่อเรียกว่า NSTDA ERP-Government (NSTDA eGov)เหมาะสำหรับภาครัฐ/หน่วยงานที่มีความต้องการใช้ระบบ ERP ในการวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ
เป้าหมายของโครงการ
1.เป็นต้นแบบระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรขององค์กร (ERP) ที่พัฒนาโดยใช้ซอฟต์แวร์ Open source (Odoo เวอร์ชัน 15 พัฒนาภาษาด้วย Python 3.8 ขึ้นไป โดยใช้ฐานข้อมูล PostgreSQL 10 ขี้นไป) ที่ครอบคลุมและรองรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เชื่อมโยงส่วนการบริหารทรัพยากรองค์กรทั้งหมด และสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องขององค์กร รวมจำนวน 7 โมดูล (Modules) รวมทั้งรายงานและข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองต่างๆ ได้แก่
1) Organization Structure การบริหารจัดการโครงสร้างองค์กร
2) Budgeting Module การบริหารงบประมาณ
3) Procurement Module การบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง
4) Finance & Accounting Module การบริหารการเงินและบัญชี
5) Agreement and Contract Module การจัดการสัญญา
6) Assets Module การบริหารครุภัณฑ์
7) Inventory Module การบริหารวัสดุคงคลัง
2. ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์ที่มีค่าลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรม Opensource ERP (กลาง/ใหญ่) ในประเทศไทย
เพื่อการนำไปใช้งานสามารถติดตั้งแพ็คเกจ ERP-Government พื้นฐาน สามารถนำไปกำหนดค่าตั้งต้นต่างๆ และปรับประยุกต์ใช้กับองค์กรของตนเองได้
ซึ่งครอบคลุมและรองรับกระบวนการทำงานอย่างประสิทธิภาพเชื่อมโยงส่วนการบริหารทรัพยากรองค์กรทั้งหมด และสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องขององค์กร
ภาพรวมของระบบ
ระบบเบิกจ่าย
เบิกจ่ายแบบผ่านพัสดุ/ไม่ผ่านพัสดุ
มี Workflow การขออนุมัติ
การตรวจสอบงบประมาณ
การติดตามสถานะ
ระบบบริหารงบประมาณ
การวางแผนงบประมาณผ่าน spreadsheet เพื่อ Import
การควบคุมงบประมาณหลายเงื่อนไข
การตรวจสอบงบประมาณแบบรวมภาษี หรือไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
มุมมองวิเคราะห์งบประมาณได้หลายแบบ
ผูกกิจกรรม (Activity) การดำเนินงานกับรหัสบัญชี
ระบบจัดซื้อจัดจ้าง
ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง 2560
ตั้งค่าการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ วงเงินเล็กน้อย / 79วรรคสอง / ว.119
การบริหารสัญญา
การตรวจรับผ่านระบบ (Paperless)
ระบบการเงิน และบัญชี
รองรับระบบภาษีไทย (ภาษีมูลค่าเพิ่ม / ภาษีหัก ณ ที่ จ่าย)
ส่งข้อมูลภาษีเชื่อมโยงกับระบบ กรมสรรพการ
เชื่อมโยงผังบัญชีองค์กรกับ GFMIS, CFS
รองรับการโอนผ่านธนาคาร BBL, KTB
กำหนดประเภทครุภัณฑ์/ออกทะเบียนคุมครุภัณฑ์
ระบบงานขาย
บันทึกขายแบบรับรายได้งวดเดียว แบ่งงวดได้
แจ้งเตือนการเปิดใบสั่งขายตามวงเงินการรับงาน (Credit Limit)
ลงนามใบสั่งขายด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์
ส่งใบเสนอราคา/ใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน ให้ลูกค้าทางอีเมลอัตโนมัติ
ช่องทางติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
NSTDA ERP-Government (NSTDA eGov)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
email : eprgov_service@nstda.or.th
Website: http://www.nstda.or.th/erp-government
นานาสาระน่ารู้
ทำความรู้จักเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย
Social Media Analytics Tools เป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวม, วิเคราะห์, และแสดงผลข้อมูลที่ได้จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter, Instagram, และ YouTube เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจแนวโน้ม, ความคิดเห็น, และการตอบสนองของผู้บริโภคหรือสาธารณชนต่อแบรนด์, สินค้า, บริการ, หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
ความสามารถของเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย
การติดตามการสนทนา (Social Listening) : เครื่องมือสามารถติดตามและดึงข้อมูลจากโพสต์, คอมเมนต์, และข้อความบนโซเชียลมีเดีย เพื่อค้นหาว่าผู้คนพูดถึงแบรนด์, คำหลัก (keywords), หรือหัวข้อใดบ้าง
การวิเคราะห์ความรู้สึก (Sentiment Analysis) : วิเคราะห์ความรู้สึก (เชิงบวก, เชิงลบ, หรือเป็นกลาง) ของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่มีต่อแบรนด์หรือหัวข้อที่สนใจ
การวิเคราะห์แนวโน้มและหัวข้อยอดนิยม (Trend and Topic Analysis) : วิเคราะห์แนวโน้มที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ และหัวข้อที่มีการพูดถึงบ่อยบนโซเชียลมีเดีย
การวิเคราะห์ผู้มีอิทธิพล (Influencer Analysis) : ระบุและวิเคราะห์ผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดียที่มีบทบาทในการกระจายข้อมูลหรือมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของผู้อื่น
การวิเคราะห์ประชากร (Demographic Analysis) : วิเคราะห์ข้อมูลประชากร เช่น อายุ, เพศ, ที่อยู่, และความสนใจ ของกลุ่มผู้ใช้งานที่พูดถึงหรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์หรือหัวข้อที่สนใจ
การวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitive Analysis) : วิเคราะห์กิจกรรม, การสนทนา, และแคมเปญของคู่แข่ง เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ของตนเองให้เหมาะสมและแข่งขันได้
ประโยชน์ของการใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย
การปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด: เข้าใจแนวโน้มและความต้องการของผู้บริโภค ทำให้สามารถปรับแผนการตลาดให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น
การตรวจสอบแบรนด์: ช่วยติดตามและประเมินสถานการณ์ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ และรับรู้ปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
การวางแผนและประเมินผลแคมเปญ: ใช้ข้อมูลในการวางแผนแคมเปญและประเมินผลลัพธ์ของแคมเปญอย่างเป็นระบบ
ประเภทข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์
โพสต์และคอมเมนต์: ข้อมูลที่มาจากโพสต์, คอมเมนต์, และการแชร์เนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
การกดถูกใจ, การแชร์, และการแสดงผล: ข้อมูลที่แสดงถึงการตอบสนองของผู้ใช้งานต่อเนื้อหา
คีย์เวิร์ดและแฮชแท็ก: คำหรือวลีที่ใช้บ่อยหรือได้รับความสนใจในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
ข้อมูลโปรไฟล์ผู้ใช้งาน: ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งาน เช่น อายุ, เพศ, ที่อยู่, ความสนใจ เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก
เวลาที่โพสต์และมีการโต้ตอบ: ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาและความถี่ในการโพสต์หรือมีการโต้ตอบ ซึ่งมีประโยชน์ในการวางแผนการเผยแพร่เนื้อหาให้เหมาะสม
สำหรับงานวิจัยของ สวทช. ที่พัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ได้พัฒนา S-Sense เป็นระบบวิเคราะห์ความคิดเห็นของบุคคลทั่วไปหรือกลุ่มลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย ว่ารู้สึกอย่างไรต่อผลิตภัณฑ์ บริการ และยี่ห้อสินค้า โดยระบบจะรวบรวมข้อความจากโซเชียลมีเดีย เช่น Webboard, Twitter, Facebook, Youtube ฯลฯ แล้วนำมาประมวลผลทางภาษาเพื่อแยกแยะ และวิเคราะห์เชิงลึก มีจุดเด่นของเทคโนโลยี (Innovation Statement) ประมวลผลและวิเคราะห์ภาษาไทยที่ไม่เป็นทางการเช่น ภาษาสนทนา หรือ ภาษาที่ใช้บนโซเชียลมีเดีย ด้วยเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ และการเรียนรู้ด้วยเครื่อง
S-Sense ระบบวิเคราะห์ข้อความแสดงความคิดเห็นอัตโนมัติ
รายละเอียดทดลองใช้งาน เพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.aiforthai.in.th/service_sa.php
คุณสมบัติ
วิเคราะห์คำสำคัญที่เกี่ยวข้อง คำบ่งบอกคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการ หรือคำที่มีการกล่าวถึงบ่อยครั้ง
วิเคราะห์จุดประสงค์ของข้อความว่าเป็น การสอบถามปัญหา ร้องขอ ประกาศโฆษณา หรือ แสดงความคิดเห็น
วิเคราะห์ความคิดเห็นของข้อความว่าเป็นเชิงบวก หรือลบ
วิเคราะห์ประโยคเชิงเปรียบเทียบ
สามารถตรวจจับชื่อบริษัท แคมเปญ สินค้าและบริการที่ผู้ใช้ระบุ และวิเคราะห์การเชื่อมโยงกับความคิดเห็นในเชิงบวกและลบ
รองรับโดเมนธุรกิจและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น รถยนต์ อุตสาหกรรมบริการ ท่องเที่ยว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมและน่าสนใจดังนี้:
Google Trends
เป็นเครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานตรวจสอบแนวโน้มการค้นหาบน Google ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงความสนใจของผู้คนในหัวข้อต่าง ๆ ได้ดี ใช้ Google Trends เพื่อดูว่าเทรนด์หรือคีย์เวิร์ดใดกำลังมาแรง และสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนการตลาดและเนื้อหาที่จะนำเสนอ
Hootsuite
เป็นแพลตฟอร์มการจัดการโซเชียลมีเดียที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวิเคราะห์และติดตามแนวโน้มและการสนทนาบนโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง เช่น Facebook, Twitter, Instagram ผู้ใช้งานสามารถสร้างแดชบอร์ดที่คอยอัปเดตข้อมูลตามคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้งานสนใจ หรือสามารถตรวจสอบโพสต์ที่มีการกล่าวถึงแบรนด์ของผู้ใช้งาน
Wisesight
เป็นเครื่องมือที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียในประเทศไทย ใช้สำหรับการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มทางสังคม, การพูดถึงแบรนด์, และการประเมินความรู้สึกของผู้บริโภค
Zanroo
เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลและการจัดการโซเชียลมีเดียที่สามารถติดตามการสนทนาและแนวโน้มต่าง ๆ ในไทยและภูมิภาคเอเชีย ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามผลกระทบของแคมเปญการตลาด
Mandala Analytics
เป็นเครื่องมือวิเคราะห์โซเชียลมีเดียที่มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด, การติดตามแบรนด์, และการประเมินความรู้สึกของผู้บริโภคในตลาดไทย
นานาสาระน่ารู้
แนะนำโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ Microsoft Clipchamp
Microsoft Clipchamp เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ใช้งานได้ง่ายและเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการตัดต่อวิดีโอมาก่อน มีฟีเจอร์ที่หลากหลาย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมที่ซับซ้อนหรือมีความรู้เฉพาะทางมาก่อน ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยให้การตัดต่อวิดีโอง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
ความสามารถของ Microsoft Clipchamp
การตัดต่อวิดีโอพื้นฐาน: สามารถตัด, แบ่ง, หรือรวมวิดีโอคลิปต่างๆ ได้ง่ายๆ โดยใช้ฟังก์ชันลากแล้ววาง (Drag and Drop)
การใส่ข้อความและภาพเคลื่อนไหว: สามารถใส่ข้อความหรือภาพเคลื่อนไหวลงในวิดีโอได้ เช่น การใส่ชื่อเรื่อง หรือคำบรรยาย
ฟิลเตอร์และเอฟเฟกต์: มีฟิลเตอร์และเอฟเฟกต์ต่างๆ ให้เลือกใช้งานเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับวิดีโอ
การบันทึกหน้าจอและเว็บแคม: สามารถบันทึกหน้าจอและเว็บแคมพร้อมกันได้ เหมาะสำหรับการสร้างวิดีโอสอนหรือพรีเซนเทชัน
การใส่เสียงและดนตรี: มีคลังเสียงและดนตรีให้เลือกใช้ หรือสามารถเพิ่มไฟล์เสียงของผู้ใช้งานเองได้
การบีบอัดวิดีโอ: ช่วยให้คุณสามารถบีบอัดวิดีโอเพื่อให้ขนาดไฟล์เล็กลงและเหมาะสมสำหรับการอัปโหลดบนแพลตฟอร์มต่างๆ
การส่งออกวิดีโอในความละเอียดต่างๆ: สามารถส่งออกวิดีโอในความละเอียดที่หลากหลาย ตั้งแต่ 480p, 720p ไปจนถึง 1080p ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งาน
วิธีการใช้งานเบื้องต้นของ Microsoft Clipchamp
เริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่: เมื่อเปิด Clipchamp ขึ้นมา คุณสามารถเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่ได้โดยคลิกที่ "Create a new video"
นำเข้าวิดีโอและไฟล์สื่อ: คลิกที่ "Import media" เพื่ออัปโหลดไฟล์วิดีโอ, รูปภาพ หรือเสียงที่คุณต้องการใช้ในการตัดต่อ
การจัดเรียงคลิป: ลากไฟล์สื่อของผู้ใช้งานไปยังไทม์ไลน์ (Timeline) ด้านล่าง จากนั้นคุณสามารถจัดเรียงคลิปตามลำดับที่คุณต้องการได้
การตัดต่อคลิป: หากคุณต้องการตัดบางส่วนของวิดีโอออกไป ให้เลือกคลิปในไทม์ไลน์ แล้วใช้ฟังก์ชัน "Split" เพื่อแบ่งคลิปออกเป็นส่วนๆ แล้วลบส่วนที่ไม่ต้องการ
การเพิ่มข้อความและเอฟเฟกต์: คลิกที่ "Text" เพื่อเพิ่มข้อความลงในวิดีโอ และเลือก "Filters" หรือ "Transitions" เพื่อใส่เอฟเฟกต์หรือการเปลี่ยนผ่านระหว่างคลิป
การบันทึกและส่งออก: เมื่อคุณทำการตัดต่อเสร็จแล้ว ให้คลิกที่ปุ่ม "Export" เพื่อส่งออกวิดีโอ เลือกความละเอียดที่ต้องการ และบันทึกไฟล์ลงในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน
Microsoft Clipchamp มีทั้งเวอร์ชั่นฟรี จะใช้ได้เฉพาะ การใช้งานฟีเจอร์พื้นฐาน และเวอร์ชั่นที่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านฟีเจอร์และการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ
สำหรับการใช้งานฟีเจอร์พื้นฐาน ประกอบไปด้วย
การตัดต่อ, การเพิ่มข้อความ, การใส่ฟิลเตอร์ และเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้
การส่งออกวิดีโอ: สามารถส่งออกวิดีโอได้ในความละเอียดสูงสุด 1080p แต่มีลายน้ำ (Watermark) ของ Clipchamp ปรากฏบนวิดีโอ
คลังสื่อ: มีการเข้าถึงคลังสื่อที่จำกัด เช่น ภาพสต็อก, คลิปวิดีโอ, และเพลงบางส่วน
การบีบอัดวิดีโอ: สามารถบีบอัดวิดีโอเพื่อให้ขนาดไฟล์เล็กลงได้ แต่มีข้อจำกัดในด้านคุณภาพ
การบันทึกหน้าจอ: สามารถบันทึกหน้าจอและเว็บแคมได้พร้อมกัน แต่ไม่มีการปรับแต่งขั้นสูง
ฟีเจอร์ AI ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย (Free Version)
Text-to-Speech (พื้นฐาน): การแปลงข้อความเป็นเสียงในบางภาษาหรือเสียงพื้นฐานอาจสามารถใช้ได้ฟรี แต่จะมีข้อจำกัดในด้านตัวเลือกเสียงหรือเวลาการใช้งาน
Auto-Generate Videos (พื้นฐาน): ฟีเจอร์นี้อาจเปิดให้ใช้งานฟรีในรูปแบบพื้นฐาน แต่มีข้อจำกัดเรื่องการเลือกสไตล์หรือการเข้าถึงทรัพยากรบางอย่าง
ปัจจุบัน Microsoft Clipchamp ได้รับการออกแบบให้ใช้งานบนเว็บเบราว์เซอร์เป็นหลัก ผู้ใช้งานต้องใช้โปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและแล็ปท็อปเท่านั้น สำหรับการใช้งานแบบฟรีเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานฟีเจอร์พื้นฐานในการตัดต่อวิดีโอโดยไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรหรือฟีเจอร์ที่ครอบคลุมมากนัก ในขณะที่การใช้งานแบบพรีเมียมเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างวิดีโอคุณภาพสูงและไม่มีข้อจำกัดในการใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ รวมถึงการเข้าถึงคลังสื่อขนาดใหญ่รูปแบบหลากหลาย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถ Download ใช้งานได้ที่ https://clipchamp.com/en/
นานาสาระน่ารู้
ล้ำไปอีก ! “SEESOLAR” โซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตร ลดรังสียูวี-กระจายแสงดี-สะท้อนความร้อน พืชไม่ถูกแดดเผา เราได้ไฟฟ้าใช้
โซลาร์เซลล์เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารอย่างเช่นทุกวันนี้ จากเดิมมีการใช้โซลาร์เซลล์ใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่ปัจจุบันล้ำไปอีกขั้นเมื่อนักวิจัยพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์ที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชด้วยนวัตกรรมลดรังสียูวี กระจายแสงดี และสะท้อนรังสีความร้อน เหมาะสำหรับติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือนหรือแปลงเกษตร ช่วยปกป้องพืชผักไม่ให้ถูกแดดเผาและยังให้ผลผลิตคุณภาพดี ส่วนเกษตรกรได้ผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงเรือน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาแผงโซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตร หรือ AgriPV (Agricultural photovoltaics) ที่มีสมบัติกึ่งส่องผ่านแสง สามารถคัดกรองรังสีอัลตราไวโอเลตหรือยูวี (UV) สะท้อนรังสีอินฟราเรด และมีการกระจายแสงที่ดี เหมาะสำหรับติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือน หรือประยุกต์ใช้ในพื้นที่ทำการเกษตร ได้ทั้งผลิตกระแสไฟฟ้าและช่วยเพิ่มผลผลิตจากการเพาะปลูก สร้างความยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_60027" align="aligncenter" width="750"] ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่า จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ หลายพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร เกิดโรคระบาดและศัตรูพืชเพิ่มขึ้น ผลผลิตต่อพื้นที่ลดลงและคุณภาพของอาหารแย่ลง ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน โดยที่ผ่านมาพบว่าในสภาวะที่อากาศร้อนจัด พืชผักจะเจริญเติบโตได้ไม่ดี ผลผลิตต่ำ และมีราคาสูงขึ้นถึง 40% ทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้คือการปลูกพืชในโรงเรือนที่ควบคุมสภาพอากาศให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิดได้ และยังเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องกังวลถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศภายนอกโรงเรือน
[caption id="attachment_60028" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR ที่พัฒนาโดยนักวิจัย ENTEC สวทช.[/caption]
ปัจจุบันการประยุกต์ใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์ร่วมกับภาคการเกษตรไว้ในพื้นที่เดียวกันหรือ Agrivoltaics มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถลดผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยที่ยังคงประสิทธิภาพผลผลิตและลดต้นทุนในกิจการด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนและมีแสงแดดจัดตลอดเกือบทั้งปี การปลูกพืชใต้แผงโซลาร์เซลล์แบบมาตรฐานทั่วไปที่ทึบแสงจะทำให้เกิดเงามืดบนบริเวณเพาะปลูก ส่วนการใช้แผงโซลาร์เซลล์แบบกึ่งส่องผ่านแสงที่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์จะทำให้แสงและความร้อนผ่านแผงได้มาก
[caption id="attachment_60031" align="aligncenter" width="750"] SEESOLAR โซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตรที่มีจุดเด่นช่วยลดรังสียูวี กระจายแสงดี สะท้อนความร้อน และยอมให้แสงช่วง PAR ส่องผ่านได้สูง[/caption]
“รังสียูวีทำให้พืชออกดอกออกผลได้ไม่ดี ส่วนรังสีความร้อนก็ทำให้พืชเหี่ยวเฉา เป็นผลให้พืชชะงักการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ไม่ดี ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาแผงโซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตรแบบใหม่ เรียกว่า SEESOLAR (ซีโซลาร์) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นตรงที่ให้แสงส่องผ่านแผงโซลาร์เซลล์ได้ ทำให้พืชได้รับแสงในปริมาณที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต และจุดเด่นที่สำคัญของ SEESOLAR คือมีชั้นฟิล์มคัดกรองรังสียูวี ทำให้รังสียูวีส่องผ่านได้เพียง 17.5% เมื่อเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์กึ่งส่องผ่านแสงทั่วไปที่มีค่าการผ่านแสงรังสียูวีถึง 45.5% นอกจากนี้ฟิล์มยังมีสมบัติการกระจายแสงที่ดี ทำให้พืชเจริญเติบโตได้สม่ำเสมอ และสะท้อนรังสีความร้อนได้ 12% เปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์กึ่งส่องผ่านแสงทั่วไปที่สะท้อนได้เพียง 6% จึงช่วยลดอุณหภูมิภายใต้โรงเรือนเกษตรหรืออาคาร อีกทั้งยังยอมให้แสงช่วง Photosynthetically Active Radiation (PAR) ส่องผ่านได้สูง ซึ่งมีเป็นช่วงแสงที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช ทำให้เราเพาะปลูกพืชควบคู่ไปกับการผลิตไฟฟ้าได้” ดร.ทวีวัฒน์ อธิบาย
[caption id="attachment_60032" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR ที่พัฒนาโดยนักวิจัย ENTEC สวทช.[/caption]
ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ทดลองปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR เปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ชนิดอื่นและฟิล์มโรงเรือน พบว่าผักสลัดที่ปลูกใต้แผง SEESOLAR มีรสชาติหวาน กรอบ และมีความชุ่มน้ำ มีรสขมน้อยกว่า ผักสลัดที่ปลูกใต้แผงโซลาร์เซลล์ชนิดอื่นและฟิล์มโรงเรือน
นวัตกรรม SEESOLAR ใช้ได้กับทั้งแปลงปลูกพืชขนาดเล็กหรือโรงเรือนเพาะปลูกขนาดใหญ่โดยติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือน ส่วนไฟฟ้าที่ผลิตได้นำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือน เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้ได้กับฟาร์มปศุสัตว์ ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมถึงอาคารบ้านเรือน เช่น ติดตั้งเป็นหลังคาโรงรถ กันสาด ป้องกันรังสียูวีและรังสีความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน
[caption id="attachment_60030" align="aligncenter" width="750"] ผลการทดลองปลูกผักสลัดภายใต้แผง SEESOLAR เปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ชนิดอื่นและฟิล์มโรงเรือน[/caption]
“เมื่อเปรียบเทียบกับแผงโซลาร์เซลล์อื่น ๆ SEESOLAR ของเรามีจุดเด่นคือสามารถคัดกรองรังสียูวีกระจายแสงดี และสะท้อนรังสีความร้อนได้ ให้แสงที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช เหมาะสำหรับใช้ในการเกษตร มีความแข็งแรงและน้ำหนักเท่ากับแผงมาตรฐานทั่วไป แล้วก็ผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อการเพาะปลูก โดยปัจจุบันตลาดโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยมีมูลค่าของแผงโซลาร์เซลล์ประมาณ 3.9 พันล้านบาท ซึ่งเราคาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 5% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 245 ล้านบาทภายในปี 2028” ดร.ทวีวัฒน์ กล่าว
[caption id="attachment_60029" align="aligncenter" width="750"] SEESOLAR เหมาะสำหรับติดตั้งเป็นหลังคาโรงเรือนเพาะปลูก ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช และผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงเรือน[/caption]
ทั้งนี้ นักวิจัยได้ยื่นจดสิทธิบัตรแผงเซลล์แสงอาทิตย์กรองรังสีอัลตราไวโอเลตและสะท้อนรังสีอินฟราเรดแบบใกล้เพื่อติดตั้งบนหลังคาโรงเรือนแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบมาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์และทดสอบการประยุกต์ใช้งานกับโรงเรือนปลูกพืช
ผู้สนใจร่วมวิจัยพัฒนาหรือรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ติดต่อได้ที่ ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2717 หรืออีเมล taweewat.kra@entec.or.th
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ENTEC สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
10 Technologies to Watch 2024: การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอไอเสริม (AI-Augmented Software Development)
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทั่วโลกต่างตื่นเต้นไปกับความสามารถของ AI ด้านต่าง ๆ ที่เขยิบเข้ามาใกล้คนทั่วไปมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม ช่วยสร้างแผนงาน หรือกระทั่งสร้างภาพหรือคลิปตามคำสั่งหรือ prompt ที่เป็นเพียงวลีภาษาพูดที่ใช้สื่อสารกันทั่วไปแทนการเขียนโค้ด ส่งผลให้ปัจจุบัน AI เริ่มได้รับตำแหน่งเป็นคู่หูในการทำงานของใครหลายคน รวมถึงโปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้วย เพราะปัจจุบันโปรแกรมเมอร์สามารถนำ AI มาใช้เป็นผู้ช่วยในการทำงานได้ ทั้งในขั้นตอนการออกแบบ การสร้าง ไปจนถึงการทดสอบซอฟต์แวร์ อีกทั้งยังใช้เป็นผู้ช่วยในการวางแผนการตลาดของแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ที่กำลังพัฒนา ทำให้คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตอันใกล้ AI อาจได้รับการเลื่อนขั้นสู่การเป็น software development tools ที่สำคัญชนิดหนึ่ง
หากคุณกำลังสงสัยว่าโปรแกรมเมอร์จะนำ AI ไปช่วยทำอะไรได้บ้าง ตัวอย่างเด่น 4 ด้านที่ AI มีศักยภาพที่จะก้าวมาเป็นผู้ช่วยได้เป็นอย่างดี ด้านแรกคือการแปลงภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) หรือภาษาที่เราใช้สื่อสารกันอยู่ทั่วไปให้เป็นโค้ดได้อย่างรวดเร็ว ด้านที่สองคือการช่วยสร้างและแปลงโค้ดให้ใช้กับภาษาสมัยใหม่ได้ ด้านที่สามคือการช่วยสร้างอัลกอริทึมเสนอแนะการตัดสินใจที่สำคัญต่าง ๆ ได้ และตัวอย่างด้านสุดท้ายคือการช่วยออกแบบชุดความรู้และกระบวนการพัฒนาทักษะบุคลากรแบบรายบุคคล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับองค์กรด้านการพัฒนาทักษะแบบรายบุคคล หรือองค์กรที่มีบุคลากรในสังกัดเป็นจำนวนมาก
โดยหากเจาะไปที่ประโยชน์ของการนำ AI มาใช้ออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์จะพบว่า AI ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานให้โครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ได้ถึงร้อยละ 20 ยกระดับการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ในภาพรวมได้ร้อยละ 35-45 ผลักดันซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันใหม่ให้ออกตลาดได้เร็วขึ้นถึงร้อยละ 5 และที่สำคัญช่วยลดความเหลี่อมล้ำในการเข้าถึงและการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ได้ด้วย
ทั้งนี้คาดว่าภายในปี 2028 วิศวกรซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ในองค์กรจะใช้ AI ในการทำงานกันมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มจากร้อยละ 10 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 75 เลยทีเดียว เพราะหากมีการเตรียมพร้อมฝึกปรือฝีมือกันอย่างเหมาะสม AI จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทั้งนักพัฒนาซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ องค์กรธุรกิจ รวมไปถึงระดับประเทศ
สำหรับนักพัฒนาแล้ว AI จะช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นร้อยละ 25-30 ช่วยให้จัดการงานที่มีความซับซ้อนสูงได้ดียิ่งขึ้น และทำให้คนทำงานมีความสุขกับการทำงานมากยิ่งขึ้นด้วย ด้านองค์กรธุรกิจไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย SMEs ไปจนถึงสตาร์ตอัป AI จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้ร้อยละ 10-20 ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากผลิตภัณฑ์และบริการที่แตกต่างได้เป็นอย่างดี ส่วนในระดับประเทศ หากมีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์และ AI เพื่อการสร้างประโยชน์ในภาคส่วนต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) อย่างเต็มตัว อย่างไรก็ตามหากนำ AI มาใช้ประโยชน์อย่างหละหลวม ก็อาจสร้างโทษให้ได้มากไม่แพ้กัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นานาสาระน่ารู้
บทความ


