หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ร่วมขอแสดงความยินดีกับ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รับรางวัล Ajinomoto – FoSTAT Awards นักวิจัยดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ประจำปี 2568
(12 มิถุนายน 2568) ห้องแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร. กอบกุล เหล่าเท้ง ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในโอกาสได้รับรางวัล Ajinomoto – FoSTAT Awards นักวิจัยดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ประเภท Outstanding Food Scientist Award ประจำปี 2568 จากผลงาน เรื่อง Microbial Precision Fermentation and Scale-up Platform of Function Ingredient Production for Industrial Applications  โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พวงเพ็ชร์ นิธยานนท์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) และ นายธีระชัย ขันธิกุล กรรมการ รองเลขาธิการ มูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ เป็นผู้มอบรางวัล ภายในงาน Food Innovation Asia Conference 2025 รางวัลดังกล่าวมูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย จัดโครงการมอบรางวัล Ajinomoto - FoSTAT Awards สำหรับนักวิจัยดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร เพื่อกระตุ้นให้มีการพัฒนาผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารพร้อมทั้งเชิดชูเกียรตินักวิจัยที่อุทิศตนเป็นแบบอย่างที่ดี โดยพิจารณาจากผลงานวิจัยที่ส่งข้อเสนอโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนาฟรี “The Future is Now: ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Intelligent Manufacturing” 7 ก.ค. 2568 | เจาะลึกเทรนด์ Industry 4.0 และ Digital Transformation พร้อมสิทธิประโยชน์จาก BOI
ศูนย์การเรียนรู้เพื่ออนาคต สวทช. (Career for the Future Academy) ขอเชิญผู้ประกอบการ นักอุตสาหกรรม และผู้สนใจ เข้าร่วมสัมมนาฟรีในหัวข้อ“The Future is Now: ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Intelligent Manufacturing” 📅 วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2568🕐 เวลา 13.00–16.00 น.📍 รูปแบบออนไลน์ (ผ่าน Zoom) ในยุคที่อุตสาหกรรมกำลังก้าวเข้าสู่ Industry 4.0 การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่าน (Digital Transformation) คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดและเติบโตสัมมนานี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเข้าใจเครื่องมือ Industry 4.0 CheckUp ที่ สวทช. ให้บริการฟรี และสามารถนำไปใช้ประเมินตนเองเพื่อพัฒนาอย่างเป็นระบบ 🔸 หัวข้อบรรยายที่น่าสนใจ: กลยุทธ์เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ยุค 4.0 อย่างยั่งยืน ประสบการณ์ตรงจากวิทยากรด้าน Business Transformation แนวทางการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 พร้อมข้อมูล สิทธิประโยชน์จาก BOI เครื่องมือ "Industry 4.0 CheckUp" ใช้ได้จริงจาก สวทช. 🧑‍🏫 วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ: คุณณัฐรัตน์ สิมะพล – ที่ปรึกษาธุรกิจด้านการปรับเปลี่ยนองค์กร คุณสายทษพร ศรีอัครวัฒน์ – ที่ปรึกษาด้าน Digital Strategy ดร.ธวัชชัย ตั้งปณิธานพงษ์ – ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการผลิต ดร.รังสรรค์ ผุดผ่อง – ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมยั่งยืน (EECi) 📍 ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนา ฟรี!👉 [ใส่ลิงก์สำหรับลงทะเบียน] สอบถามเพิ่มเติม:📞 โทร. 0 2644 8150 ต่อ 81894 (คุณพนม), 81886 (คุณปภัสศิริ)📧 Email: training@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
หลักสูตร “ถอดรหัสอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทย”(Decoding Thailand’s Semiconductor Industry:THSEMI)
ถอดรหัส "อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทย" เปิดมุมมองใหม่สู่หนึ่งในอุตสาหกรรมหัวใจของโลกเทคโนโลยี! พบกับหลักสูตรพิเศษ THSEMI: Decoding Thailand’s Semiconductor Industry เรียนรู้เชิงลึกจากตัวจริงของวงการ ทั้งนักวิจัย-อุตสาหกรรม-ภาครัฐ พร้อมเยี่ยมชมโรงงาน Wafer Fab แห่งแรกของไทย 📌 หัวข้อไฮไลต์: 🔹Value Chain ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 🔹IC Design, Wafer Fabrication, Testing, Packaging 🔹โอกาสการลงทุนในไทย 🔹ทัวร์โรงงานจริง ณ TMEC ฉะเชิงเทรา 🗓 วันที่ 5–6 สิงหาคม 2568 📍 โรงแรมเซ็นจูรี พาร์ค กรุงเทพฯ + TMEC ฉะเชิงเทรา 💵 ค่าลงทะเบียน 10,000–10,700 บาท 🎯 เหมาะสำหรับ: นักอุตสาหกรรม วิศวกร นักวิจัย และผู้สนใจทุกท่าน 🧠 ปรับมุมมองใหม่ ก้าวทันเทคโนโลยีระดับโลก 📲 สมัครเลย! 👉 https://www.career4future.com/thsemi สอบถามรายละเอียดได้ที่ : 0 2644 8150 ต่อ 81901 (คุณปานทิพย์)
ปฏิทินกิจกรรม
 
สัมมนาออนไลน์ฟรี! : AI ในชีวิตประจำวัน จากเทคโนโลยีสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
🔥#FREE Online Seminar 🆓 . 🚨ไม่ว่าคุณจะทำงานในสาย Marketing สาย Coding สาย Business Analyst สาย Academic หรืออื่นๆ การใช้ GenAI จะช่วยให้การทำงานและการใช้ชีวิตสะดวกขึ้นแบบสุดๆ ‼️รีบลงทะเบียนก่อนเต็ม‼️ 🚀 . ✨HIGHLIGHTS✨ สาธิตการใช้งานเครื่องมือ #GenAI ยอดนิยม ที่จะเปิดโลกใหม่ของการทำงานและการเรียนรู้ พร้อมกรณีศึกษาจริง สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที! เช่น ✅ การใช้ #ChatGPT ช่วยออกแบบแผนการสอน เขียนแผนธุรกิจ ✅ การใช้ #Canva #Gamma สร้างสื่อการสอน สื่อประชาสัมพันธ์ ✅ การใช้ #Copilot ช่วยเขียนโค้ดเบื้องต้นหรือวิเคราะห์ข้อมูล ✅ การใช้ AI ช่วยวางแผนการตลาดหรือโพสต์โซเชียลมีเดียอย่างมืออาชีพ . 🎯หัวข้อ: AI ในชีวิตประจำวัน จากเทคโนโลยีสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วิทยากร: คุณชัชวาล สังคีตตระการ (คุณโคนัน) วิศวกรอาวุโส กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช. . 📅 วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม 2568 🕙 เวลา 09.00 - 12.00 น. 📍 Online ผ่าน Cisco Webex 🚩 ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับฟัง FREE ที่: https://www.nstda.or.th/r/Epxqk . 📢หมายเหตุ: เมื่อลงทะเบียนแล้ว ทางทีมงานจะนำส่งลิงค์ Webex และคู่มือการใช้ Webex ผ่าน Browser ให้ท่านทางอีเมลที่ลงทะเบียนไว้ในวันที่ 14 ก.ค. . 👉สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: Software Park Thailand 02-583-9992 Ext. 81421 (เสกสรรค์), 81424 (จันทิมา), 81426 (ทรงศิริ) TTD@swpark.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
สัมมนา Next Energy Frontiers: Innovations for the Future of Energy and Mobility
NECTEC ENTEC ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมงาน 🎯 Next Energy Frontiers: Innovations for the Future of Energy and Mobility 🌏 ภายใต้งาน ASIA Sustainable Energy Week 2025 . 💡ร่วมเปิดมุมมองกับงานวิจัยและนวัตกรรมพลังงาน ภายใต้กระทรวง อว. เพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 💡 พบกับผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยพร้อมเนื้อหาสุดเข้มข้น! อาทิ . 🌱 พลังงานนิวเคลียร์ 🌱 โซเดียมแบตเตอรี่ 🌱 Fuel cell 🌱 Bio fuel 🌱 SAF . 📄🔋พร้อมทั้งรับฟังและแลกเปลี่ยนความรู้จากเวทีเสวนา "การประยุกต์ใช้งานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานใหม่ในภาคอุตสาหกรรม" 📅 วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2568 🕗 เวลา 09.30-16.00 น. 📍 ห้อง MR208CD ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 🆓 เข้าร่วมฟรี! (รับจำนวนจำกัด 120 ที่นั่ง) 📲 https://shorturl.at/zTR2z . อย่าพลาดโอกาสในการอัปเดตเทรนด์พลังงานและเทคโนโลยีแห่งอนาคต! แล้วพบกันนะคะ 💡🚗🌱
ปฏิทินกิจกรรม
 
อบรม “ICH GCP E6 (R3): บทบาทความรับผิดชอบของนักวิจัย” วันที่ 30–31 กรกฎาคม 2568
อบรม “ICH GCP E6 (R3): บทบาทความรับผิดชอบของนักวิจัย” วันที่ 30–31 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมการวิจัย (QRI) สวทช. ร่วมกับมูลนิธิซิดเซอร์-เฟอร์แคป (SIDCER-FERCAP) ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เจาะลึกการดำเนินการวิจัยทางคลินิกที่ดี ICH GCP E6 (R3): บทบาทความรับผิดชอบของนักวิจัย" ในวันที่ 30–31 กรกฎาคม 2568 ณ อาคารสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (CO-113) ชั้น 1 จ.ปทุมธานี และผ่านระบบ Webex Online วัตถุประสงค์ของการอบรมนี้เพื่อ เสริมความเข้าใจพื้นฐานด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ เรียนรู้การประยุกต์ใช้ ICH GCP E6 (R3) ในการดำเนินงานวิจัย เตรียมความพร้อมของนักวิจัยให้สามารถรับผิดชอบการวิจัยได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย 📝 เหมาะสำหรับ นักวิจัยมือใหม่ นักวิจัยที่ทำการวิจัยในมนุษย์ และผู้ประสานงานวิจัย 🎓 ผู้ผ่านการอบรมครบ 2 วันจะได้รับประกาศนียบัตรจาก สวทช. และ SIDCER-FERCAP 🔗 รายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่: www.career4future.com/gcp 📞 ด้านหลักสูตร: QRI@nstda.or.th | 02 564 7000 ต่อ 71843 หรือ 71844 📞 ด้านการลงทะเบียน: arisara.sri@nstda.or.th | 02 644 8150 ต่อ 81889
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ชูโครงสร้างพื้นฐาน วทน. “สู้วิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล
(วันที่ 11 มิถุนายน 2568) ณ ชั้น 4 ห้อง 405 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STIS) เป็นประธาน เปิดสัมมนาหัวข้อ “สู้วิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล: บทบาท NQI โดย สวทช.” โดยมี ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC), ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC), นางสาวิตรี กองเกียรติวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC), ดร.ภญ.รวิวรรณ มณีรัตนโชติ (รักษาการ)ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) และนายวรวิทย์ จันทร์สีหราช (รักษาการ)ผู้อำนวยการฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFED) ร่วมให้ข้อมูลและต้อนรับการเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า มีความยินดีที่จัดสัมมนาในหัวข้อ ‘สู้วิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล: บทบาท NQI โดย สวทช.’ ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการจัดงานสัมมนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI) ร่วมกันเป็นครั้งแรกของ สวทช.  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความต้องการของลูกค้าที่ใช้บริการด้าน NQI ของ สวทช. และนำมาออกแบบการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากทั่วโลกเผชิญภาวะปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำแพ็คเกจการให้บริการสำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุนและการพัฒนา (Upskill) บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นกิจกรรมวันนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แบ่งปันประสบการณ์และแลกเปลี่ยนแนวคิดในการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพัฒนา ซึ่งรวมถึงการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลผลิตด้านนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จ และสอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยีและทิศทางการขับเคลื่อนนวัตกรรม รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลก อีกทั้งยังเป็นการสร้างความตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของ สวทช. ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI) ต่อความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมแก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้ที่สนใจ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovative Startup Ecosystem) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จและเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืนในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจการค้าโลกต่อไป ทั้งนี้ภายในงานมีการแนะนำบริการทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ตามมาตรฐานสากล และมาตรฐานตามข้อกำหนด อย. โดย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC), บริการวิเคราะห์ทดสอบเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน มอก. 17025 (ISO/IEC17025) โดย ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC), บริการทดสอบผลิตภัณฑ์ภาชนะสัมผัสอาหาร เฉพาะด้านความปลอดภัย โดย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC) นอกจากนี้ยังมีบริการทดสอบความปลอดภัยและฤทธิ์ทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องมือแพทย์ โดยศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) และบริการออกแบบพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์เชิงวิศวกรรม โดยฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFED) ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนายังได้มีโอกาสพิเศษในการเยี่ยมชม เครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม อย่างใกล้ชิดและมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิจัยและวิศวกรอย่างใกล้ชิด    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ยกระดับพืชพื้นบ้านสู่ “ผำพรีเมียม” ด้วย Smart Technology
จากพืชน้ำพื้นบ้านที่เคยถูกมองข้าม ‘ผำ’ กำลังได้รับการยกระดับให้กลายเป็นวัตถุดิบอาหารแห่งอนาคต ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมาร์ตฟาร์ม ระบบควบคุมอัจฉริยะ และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและควบคุมคุณภาพ ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ ‘ผำ’ ได้ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ โภชนาการ และความยั่งยืน พร้อมเปิดประตูสู่ตลาดสุขภาพระดับพรีเมียมทั้งในและต่างประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“ชุมชนรักษ์อาหาร” สานพลังท้องถิ่นกอบกู้อาหารส่วนเกิน สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน
  ในแต่ละวันมีอาหารเหลือทิ้งมากมาย มีทั้งอาหารปรุงสุก/อาหารพร้อมรับประทานที่จำหน่ายไม่หมด เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้สด ไปจนถึงวัตถุดิบที่ใกล้หมดอายุ ซึ่งอาหารเหล่านี้จำนวนมหาศาลต้องกลายเป็นขยะทั้งที่ยังสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารที่มีคุณค่าได้อีกมากมาย การสูญเสียอาหาร (Food loss) และขยะอาหาร (Food waste) ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรและโอกาสในการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีขยะอาหารมากถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยในขยะอาหารเหล่านั้นมีอาหารที่ยังสามารถนำกลับมารับประทานได้ หรือ “อาหารส่วนเกิน” (Food surplus) มากถึง 3.7 ล้านตัน ในขณะเดียวกันยังมีประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนหลายล้านคนที่กำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร และไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเหมาะสม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS (Scholars of Sustenance Foundation) และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนผู้ผลิตอาหาร ภาคประชาสังคม และชุมชน ดำเนินงานโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อการจัดตั้งเป็นธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) โดยมีเป้าหมายในการขยายผลการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ส่งต่ออาหารไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ   [caption id="attachment_69995" align="aligncenter" width="750"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]   กอบกู้อาหารส่วนเกิน ลดขยะอาหาร ปันอิ่มสู่ชุมชน มูลนิธิ SOS ได้ริเริ่มโครงการรักษ์อาหารขึ้นด้วยความตระหนักถึงปัญหาอาหารเหลือทิ้งและความมั่นคงทางอาหาร ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ด้อยโอกาสและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง โดยดำเนินการกอบกู้อาหารส่วนเกินจากผู้ผลิตอาหารในเครือข่ายของหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งเป็นผู้บริจาคอาหาร และนำอาหารเหล่านี้ส่งต่อให้แก่เครือข่ายผู้รับบริจาคอาหาร ทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน ดร.จุฬารัตน์อธิบายว่า การกอบกู้อาหารส่วนเกิน (Food rescue) อาศัยกระบวนการทำงานของ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้บริจาคอาหาร ตัวกลางกอบกู้อาหาร และผู้รับบริจาค แต่ที่ผ่านมายังประสบปัญหาในเรื่องการขยายผล เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนตัวกลางกอบกู้อาหาร และงบประมาณในการดำเนินการ จึงเป็นที่มาของการจัดทำกลไก “ชุมชนรักษ์อาหาร หรือ Local food rescue” โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและบุคลากรในท้องถิ่นเข้ามาช่วยดำเนินงาน เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ไปในเวลาเดียวกัน โดยมีเป้าหมายขยายผลการดำเนินงานไปสู่ 8 จังหวัดในปี 2568 ซึ่งได้เริ่มนำร่องที่จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดแรก “การดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องของบุคลากรผู้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับส่งอาหาร หากมูลนิธิไม่สามารถขยายการทำงานไปทั่วประเทศได้ด้วยตนเอง ทีมงานจึงต้องมองหาเครือข่ายหรือกลุ่มบุคคลที่สามารถเข้ามารับบทบาทนี้แทนได้ และทีมงานพบว่าภายในชุมชนเองก็มีเครือข่ายจิตอาสาและอาสาสมัครอยู่แล้ว เช่น อสม. อพม. ซึ่งเป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการทำงานเพื่อสังคมอยู่เดิม ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นว่าการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ในชุมชน พร้อมกับการอบรมและเสริมศักยภาพให้พวกเขาสามารถดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายผลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้”     สานต่อความสำเร็จ “ชุมชนบางพูน” สู่ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมามูลนิธิ SOS ได้ดำเนินโครงการรักษ์อาหารร่วมกับชุมชนบางพูน ตำบลบางพูน อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จนประสบความสำเร็จ และสามารถเป็นต้นแบบในการขยายผลไปสู่ชุนชนอื่นได้ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” โดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหาร (Local food rescue) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในจังหวัดปทุมธานี เช่น ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย ควบคู่ไปกับการลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ โดยมุ่งสู่การพัฒนา “ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน” หรือ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” (Pathum Thani Food Bank Model)   [caption id="attachment_69996" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]   “ความสำเร็จของชุมชนรักษ์อาหาร คือ การที่ชุมชนสามารถเริ่มต้น เรียนรู้ และพร้อมจะเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นได้ ซึ่งมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ชุมชนบางพูน จังหวัดปทุมธานี แม้โครงการยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่ชุมชนนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้า ด้วยจิตอาสาอย่างแท้จริง พวกเขาลงมือทำเองทุกขั้นตอน ทั้งรับการฝึกอบรมจากมูลนิธิ SOS การจดบันทึกข้อมูล และการเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับเรา โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว เช่น ค่าน้ำมันรถในการรับ-ส่งอาหาร “ปัจจุบันชุมชนบางพูนได้เริ่มรับอาหารจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นแม็กซ์แวลูคลอง 2, แม็กซ์แวลูลาดสวาย, ฟิวเจอร์พาร์ค และตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และพวกเขาก็ทำมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 2 ปีแล้ว และทำได้อย่างดีด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องตระหนัก คือ ชุมชนไม่ควรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปตลอดโดยลำพัง จึงเป็นที่มาของ "ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล" ที่ทีมงานเริ่มต้นในวันนี้ เพื่อเข้ามาเป็นกลไกสนับสนุนชุมชนบางพูน ทั้งในด้านทรัพยากรและงบประมาณบางส่วน เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน”   [caption id="attachment_70000" align="aligncenter" width="750"] สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน”[/caption]   ใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการอาหารให้ปลอดภัย สร้างความมั่นใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ดร.ปัทมาพร ยังชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายหลักของการขับเคลื่อนชุมชนรักษ์อาหาร คือ "ความปลอดภัยของอาหาร" ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุด ที่ต้องให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะการฝึกอบรมและการให้ความรู้แก่กลุ่มอาสาสมัครในชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจว่า “อาหารปลอดภัย” หมายถึงอะไร และจะต้องจัดการกับอาหารแต่ละประเภทอย่างไรให้ถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดในกระบวนการเหล่านี้ ผลกระทบอาจร้ายแรงต่อผู้รับอาหาร ดังนั้นจุดนี้จึงเป็น "จุดวิกฤต" ที่ต้องบริหารจัดการให้ดี หากเราสามารถทำให้ชุมชนเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ความท้าทายอื่น ๆ จะลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ สวทช. ได้นำองค์ความรู้จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในสังกัด สวทช. เรื่อง แนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline for Food Donation) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการอาหารให้มีความปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งมีทั้งแนวทางปฏิบัติตั้งแต่ขั้นตอนการรับอาหาร การเก็บรักษาอาหาร การขนส่ง การแจกจ่ายอาหาร หลักปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสอาหาร เช่น การแช่แข็งอาหารส่วนเกินและติดฉลากใหม่ การระบุวันที่และระยะเวลาที่แนะนำ ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายและการควบคุมอันตราย เช่น สารเคมี สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เพื่อให้อาหารที่นำไปแจกจ่ายยังคงมีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการบริโภค ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้บริจาคว่าอาหารที่บริจาคไปแล้วนั้นได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและจะไม่เกิดปัญหากับผู้บริโภค ส่วนผู้รับก็มั่นใจได้ว่าอาหารที่รับมานั้นมีคุณภาพและปลอดภัยต่อการบริโภคอย่างแท้จริง   [caption id="attachment_69999" align="aligncenter" width="750"] สวทช. ได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปช่วยในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน[/caption]   อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ สวทช. นำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอาหาร คือ แพลตฟอร์มแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ที่พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) “หนึ่งในประเด็นที่เราพบจากการทำวิจัยเชิงนโยบาย คือ ความกังวลของผู้บริจาค ที่มักตั้งคำถามว่าอาหารที่บริจาคไปนั้น ถึงมือผู้ที่ต้องการจริงหรือไม่ มีการนำไปขายต่อหรือส่งต่อให้บุคคลเฉพาะกลุ่มหรือเปล่า แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เราตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยระบุได้ว่า อาหารล็อตไหนมาจากที่ใด และถูกส่งต่อไปถึงใครอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความโปร่งใสและความเชื่อมั่นกับทั้งผู้บริจาคและผู้รับ อีกทั้งในอนาคตเราตั้งใจจะต่อยอดแพลตฟอร์มช่วยในการออกแบบการจัดสรรอาหารให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้รับแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านโภชนาการ เป็นการยกระดับการจัดการอาหารส่วนเกินให้มีทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และมีความยั่งยืน” ดร.ปัทมาพร ให้ข้อมูล นอกจากนี้ สวทช. ยังได้นำแพลตฟอร์มการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ที่พัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ในสังกัด สวทช. มาประยุกต์ใช้กับการจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อคำนวณว่าในการบริจาคอาหารแต่ละครั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไหร่ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริจาค ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร และอาจนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว     “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชนโดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหารยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ในเป้าที่ 2 คือ Zero hunger ที่มุ่งการขจัดความหิวโหย สร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย และเป้าที่ 12 คือ Responsible consumption and production ที่มุ่งลดปริมาณขยะอาหารและการสูญเสียอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยทั้งสองเป้าหมายนี้สามารถแก้ไขไปพร้อมกันได้ด้วยแนวทางที่เชื่อมโยงกัน หากเราสามารถนำอาหารส่วนเกินจากการผลิต หรืออาหารที่สูญเสียไปในกระบวนการผลิต มาส่งต่อให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนหรือกลุ่มผู้หิวโหยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการลดขยะอาหารไปพร้อมกันในคราวเดียว” ดร.ปัทมาพรกล่าว แม้โครงการขยายผล “ชุมชนรักษ์อาหาร” จะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการที่จังหวัดปทุมธานีเป็นแห่งแรก แต่คณะทำงานคาดหวังว่าจะสามารถขยายผลออกไปให้ได้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแหล่งอาหารส่วนเกินจำนวนมาก สามารถจัดวางระบบให้เกิดการแบ่งปันระหว่างจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงกันได้ จะช่วยให้การจัดการอาหารส่วนเกินเกิดประโยชน์สูงสุด และตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมี “ธนาคารอาหาร” หรือฟูดแบงก์ในทุกจังหวัด แต่มีจุดกระจายศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมโยงและสนับสนุนพื้นที่ใกล้เคียงได้ ซึ่งจะนำไปสู่ระบบการแบ่งปันที่ยั่งยืน และขยายผลได้อย่างแท้จริงในระดับประเทศ เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. อินโฟกราฟิกโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ENTEC สวทช. ชู 5 เทรนด์พลังงานอนาคต ฉลองก้าวสำคัญ 5 ปีวิจัยเพื่อชาติ
(10 มิถุนายน 2568) ณ โรงแรม Mövenpick BDMS Wellness Resort กรุงเทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดประชุมยุทธศาสตร์เครือข่ายพันธมิตรการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีการก่อตั้ง เผยบทบาทในฐานะกลไกขับเคลื่อนงานวิจัยพลังงานสะอาดของประเทศ พร้อมเปิดตัว 5 เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานอนาคตสู่เป้าหมาย Net Zero 5 ปีแห่งการบุกเบิกและสร้างสรรค์นวัตกรรมพลังงานเพื่อชาติ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ENTEC ก่อตั้งขึ้นจากการรวมความเชี่ยวชาญของ 2 ศูนย์ ได้แก่ เอ็มเทค และเนคเทค เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ โดยมุ่งเน้นวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพลังงานชาติ แผนบูรณาการพลังงานระยะยาวของประเทศไทย (TIEB) และนโยบายเศรษฐกิจ BCG อย่างเป็นรูปธรรม ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ENTEC ได้พัฒนานวัตกรรมที่นำไปใช้ได้จริง อาทิ น้ำมันหม้อแปลง EnPAT จาระบีชีวภาพ และไบโอดีเซลเกรดพรีเมียม Premium H-FAME จากน้ำมันปาล์ม รวมถึงแพลตฟอร์ม Solar Sure สำหรับจัดการแผงโซลาร์เซลล์หมดอายุ การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่จากวัสดุในประเทศและระบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้ภายใต้โครงการ Thailand BattSwap เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ ทั้งหมดล้วนสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality ปี 2593 และ Net Zero ปี 2608 ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมพลังงานของภูมิภาค โอกาสครบรอบ 5 ปีนี้จึงไม่ใช่เพียงวาระสำคัญของ ENTEC หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อขับเคลื่อนระบบพลังงานไทยด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สู่อนาคตที่ยั่งยืน 5 เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานสะอาด สู่ Net Zero ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC กล่าวว่า ทั่วโลกกำลังเร่งเดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดย เทคโนโลยีพลังงานสะอาดถือเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านจากระบบพลังงานแบบเดิมที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปสู่ระบบพลังงานที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความมั่นคงในระยะยาว ENTEC คาดการณ์ 5 เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่จะมีบทบาทในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานแห่งอนาคต พร้อมกำหนดทิศทางการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มเหล่านี้ ดังนี้: เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF): วิจัยและพัฒนา SAF จากวัตถุดิบหมุนเวียนในประเทศ เช่น น้ำมันเหลือใช้หรือชีวมวล ร่วมกำหนดนโยบายและส่งเสริมการใช้ SAF ในอุตสาหกรรมการบินไทย เซลล์แสงอาทิตย์โครงสร้างเซลล์ซ้อนที่ใช้เพอรอฟสไกต์-ซิลิคอน (Perovskite-Silicon Tandem Solar Cell): พัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงโดยผสานเพอรอฟสไกต์กับซิลิคอน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมจัดประชุมวิชาการส่งเสริมการใช้จริง พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Energy): พัฒนา Green Hydrogen จากพลังงานหมุนเวียน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสะอาดในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ร่วมวางแผนนโยบายระดับชาติ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors - SMRs): เตรียมความพร้อมด้านองค์ความรู้ บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมจัดตั้งศูนย์วิจัยและหลักสูตรเฉพาะทาง ระบบกักเก็บพลังงานที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า (Grid-scale Energy Storage): วิจัยพัฒนาแบตเตอรี่ครบวงจร ตั้งแต่วัสดุ การออกแบบ ผลิต และบริหารจัดการวงจรชีวิต เพื่อให้กักเก็บพลังงานได้มาก มีประสิทธิภาพสูง และอายุใช้งานยาว ทั้ง 5 เทรนด์เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เปิดทางสู่นวัตกรรม ธุรกิจ และการจ้างงานใหม่ในภาคพลังงานสะอาด โดยเฉพาะในประเทศที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง วิสัยทัศน์ในการผลักดันพลังงานยั่งยืน ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้ายว่า ENTEC จะเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งสู่ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม โดยสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนางานวิจัยให้เป็นผลิตภัณฑ์ บริการ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ เสริมระบบนิเวศนวัตกรรมพลังงานไทยให้เติบโตยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. กับนวัตกรรมพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยและฝนตกหนัก
ขณะนี้อิทธิพลจากมรสุมส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง กรมอุตุนิยมวิทยาและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประกาศเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงในภาคเหนือ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมถึงปัญหาน้ำท่วมขังในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารและใช้ความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยศูนย์วิจัยแห่งชาติในสังกัดและพันธมิตร ได้ตระหนักถึงภารกิจสำคัญในการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาระบบและเครื่องมือในการสนับสนุนการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยพิบัติ การบรรเทาผลกระทบ และการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน  โดย สวทช. ได้ขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายที่เกิดจากสถานการณ์อุทกภัยและฝนตกหนักโดยเฉพาะ สำหรับนวัตกรรมเด่นจาก สวทช. เพื่อรับมืออุทกภัย มีดังนี้ Traffy Fondue "ฟีเจอร์ช่วยน้ำท่วม" Traffy Fondue "ฟีเจอร์ช่วยน้ำท่วม" เป็นแพลตฟอร์มที่ประชาชนสามารถใช้ในการแจ้งเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ ขอรับความช่วยเหลือ หรือแจ้งความประสงค์บริจาคสิ่งของผ่านช่องทาง LINE @TraffyFondue เพื่อให้การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าถึงผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  ฟีเจอร์นี้จึงทำหน้าที่เปรียบเสมือนระบบรับแจ้งเหตุการณ์น้ำท่วมโดยตรงจากภาคประชาชน ช่วยให้ผู้ประสบภัยสามารถร้องขอความช่วยเหลือหรือแสดงความจำนงในการบริจาคสิ่งของจำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ระบบดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และประสานงานการจัดสรรทรัพยากรความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปยังผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และตรงตามความต้องการ อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/home/news_post/traffyfondue-flood/ เทคโนโลยีเครื่องกรองน้ำและคลินิกคุณภาพน้ำ  ในด้านการจัดการน้ำสะอาด ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค สวทช.) ได้นำองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีมาพัฒนาโซลูชันเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอุปโภคบริโภคในภาวะอุทกภัย ซึ่งมักมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคและสารเคมี  หนึ่งในนั้นคือ เครื่องกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยี "SOS Water" (Solar-Operating System Water) ซึ่งเป็น "โครงการพัฒนาเครื่องผลิตน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรองนาโน"  เครื่องนี้สามารถผลิตน้ำดื่มที่สะอาดได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทำงานได้ในทุกสภาวการณ์ แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า  โดยประยุกต์ใช้ไส้กรองเซรามิกเคลือบอนุภาคเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ด้วยการตรึงอนุภาคเงินระดับนาโนลงบนพื้นผิวและรูพรุนของไส้กรองเซรามิก ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียและป้องกันการสะสมของเชื้อที่ไส้กรอง  สามารถผลิตน้ำดื่มสะอาดจากแหล่งน้ำจืดธรรมชาติทั่วไปได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือระบบการตกตะกอนที่ซับซ้อน นอกจากนี้เครื่องกรองน้ำดังกล่าวยังมีระบบกรองร่วมกันอีก 5 ชนิด เช่น ถังกรองทราย (Sand filter) เพื่อกรองตะกอนและสารแขวนลอยขนาดใหญ่, ไส้กรองเรซิ่น (Resin) ที่ช่วยปรับความกระด้างของน้ำ, ไส้กรองคาร์บอน (Activated carbon) ที่ช่วยกรองกลิ่น สี คลอรีน และดูดจับสารอินทรีย์กับสารเคมีต่างๆ รวมถึงโลหะหนัก, ไส้กรองแมงกานีส ซีโอไลต์ (Manganese zealite) ช่วยกรองโลหะหนัก, และไส้กรองยูเอฟ (Ultra filtration) ที่เป็นใยสังเคราะห์สามารถกรองละเอียดได้ถึง 10 นาโนเมตร สามารถดักจับสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียได้  เครื่อง SOS Water นี้มีน้ำหนัก 160 กิโลกรัม และมีกำลังการผลิต 200 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของชุมชนขนาดประมาณ 1,000 คน และสามารถเลือกใช้งานได้ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโซลาร์เซลล์จำนวน 4 แผง หรือไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ นาโนเทค สวทช. ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย นำเครื่อง SOS Water ไปทดสอบประสิทธิภาพการทำงานจริงในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ซึ่งผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเครื่องทำงานได้ดีและคุณภาพน้ำดื่มที่ผลิตได้เป็นไปตามมาตรฐานน้ำดื่มของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และเมื่อสถานการณ์น้ำลด "คลินิกคุณภาพน้ำ" โดยนาโนเทค สวทช. จะเข้ามามีบทบาทในการบูรณาการเทคโนโลยีเซนเซอร์และการปรับปรุงคุณภาพน้ำ เพื่อให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทางวิทยาศาสตร์ พร้อมให้คำปรึกษาและองค์ความรู้เชิงเทคนิคในการปรับปรุงและฟื้นฟูคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน รวมถึงแหล่งน้ำตามธรรมชาติของชุมชนให้กลับสู่มาตรฐานที่ปลอดภัยสำหรับการอุปโภคบริโภค อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/home/news_post/aqua-nano-water-filter-narathiwat-20241121/ https://www.nstda.or.th/home/news_post/water-quality-clinic-20240814/ ระบบทันพิบัติ (TanPibut) "ทันพิบัติ" เป็นระบบสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ทางธรรมชาติแบบเรียลไทม์ พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ระบบนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการภัยพิบัติ โดยรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลน้ำจากกรมชลประทานและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ติดตั้งในพื้นที่เสี่ยง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์และแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น แผนที่สถานการณ์ แดชบอร์ด และระบบแจ้งเตือน ไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและผู้บริหาร เพื่อช่วยในการตัดสินใจวางแผนและสั่งการในการรับมือสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระบบทันพิบัติยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีบูรณาการและลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน อ่านเพิ่มเติม: https://www.nectec.or.th/news/news-public-document/tanpibut-html.html แอปพลิเคชัน "ทันระบาด" (TanRabad) เฝ้าระวังโรคติดต่อหลังอุทกภัย ภายหลังสถานการณ์อุทกภัย มักเกิดความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่มากับน้ำ หรือโรคที่มีแมลงเป็นพาหะเนื่องจากแหล่งน้ำขัง แอปพลิเคชัน "ทันระบาด" ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์สนับสนุนการป้องกันและควบคุมการระบาดไข้เลือดออกเชิงรุก พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. ร่วมกับกรมควบคุมโรค ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเฝ้าระวัง สอบสวน และควบคุมโรคไข้เลือดออกในระดับพื้นที่ ช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสามารถรายงานสถานการณ์โรคได้อย่างรวดเร็ว ติดตามแนวโน้มการระบาด และสนับสนุนการตัดสินใจในการออกมาตรการป้องกันและควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที ลดผลกระทบทางสุขภาพต่อประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม อ่านเพิ่มเติม: https://trb.ddc.moph.go.th/ งานวิจัยและสนับสนุนพันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม  ด้านความมั่นคงทางอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ทนทานต่อสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างพันธุ์ข้าวเด่นที่พัฒนาขึ้น อาทิ ข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน, ข้าว กข51  และ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม 2 ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีกลิ่นหอม ทนต่อน้ำท่วมฉับพลัน และต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในระดับปานกลาง นอกจากนี้ยังมี ข้าวเจ้าพันธุ์หอมนาเล ซึ่งมีคุณสมบัติพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทนน้ำท่วมฉับพลัน ต้านทานโรคขอบใบแห้ง และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล  และ ข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคา ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง ลำต้นแข็งแรงไม่หักล้มง่าย ขนาดต้นสูงปานกลาง ทำให้เก็บเกี่ยวง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่  ข้าวเหนียวพันธุ์นี้เป็นข้าวไม่ไวแสง ปลูกได้ตลอดปี มีระยะเวลาการปลูกประมาณ 130-140 วัน ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ยประมาณ 800 กิโลกรัมต่อไร่ และเมื่อหุงสุกจะมีกลิ่นหอม นุ่มเหนียว สวทช. ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการปลูกและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดลำปาง พะเยา และเชียงราย อ่านเพิ่มเติม: https://www.biotec.or.th/biogallery/index.php/food-and-agriculture-thai/rd51-thai https://www.biotec.or.th/biogallery/index.php/food-and-agriculture-thai/flash-flooding-thai https://www.nstda.or.th/home/news_post/pr-nstda-08122566/ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อเพื่อสุขอนามัยในภาวะอุทกภัย ลดความเสี่ยงโรคติดต่อ หลังน้ำท่วม การรักษาสุขอนามัยในพื้นที่ประสบภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่อาจมากับน้ำหรือเจริญเติบโตในสภาวะน้ำขัง สวทช. ได้พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อประสิทธิภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว ได้แก่   น้ำยาฆ่าเชื้อ "อะเจิร์มโก" (Agermgo) เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยนาโนเทค สวทช. เพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม Agermgo เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมซิงค์นาโนอิมัลชั่น  ซึ่งเป็นการนำอนุภาคซิงค์ออกไซด์ระดับนาโนมาผสมผสานกับสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น กรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าว  ทำให้มีคุณสมบัติเด่นในการฆ่าเชื้อโรคได้หลากหลายชนิด ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วและมีผลยาวนาน นอกจากนี้ ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับสารเคมีฆ่าเชื้อแบบดั้งเดิมบางชนิด ในสถานการณ์อุทกภัย น้ำยาฆ่าเชื้อ Agermgo มีบทบาทสำคัญในการทำความสะอาดพื้นผิวอาคารบ้านเรือน ศูนย์พักพิง หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคที่มากับน้ำท่วม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นหลังน้ำลด เช่น โรคฉี่หนู โรคอุจจาระร่วง หรือโรคผิวหนัง การมีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขอนามัยของประชาชนในพื้นที่ประสบภัย อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/sci2pub/zinc-nano-emulsions/   น้ำยาฆ่าเชื้อ “ENERclean” (เอนเนอร์คลีน) เป็นนวัตกรรมที่ได้จากต้นแบบเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีทางไฟฟ้าเคมี (Electrolyzed water) ซึ่งวิจัยและพัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ร่วมกับทีมวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) น้ำยาฆ่าเชื้อนี้ประกอบด้วยกรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous acid, HOCl) เป็นองค์ประกอบหลัก มีระดับค่ากรดด่างในช่วงเป็นกรดอ่อน (pH 4-6) ผลิตจากสารธรรมชาติ ปราศจากแอลกอฮอล์และสารเคมีที่เป็นพิษ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีประสิทธิภาพในการยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงมีฤทธิ์ในการยับยั้งฆ่าเชื้อไวรัสไข้เลือดออก เป็นอีกทางเลือกสำหรับการดูแลสุขอนามัยในภาวะวิกฤต อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/home/news_post/enerclean/ ระบบ ThaiWater ด้านการติดตามและบริหารจัดการข้อมูลน้ำ สวทช. ได้ร่วมมือกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ในการสนับสนุนระบบนิเวศวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำของประเทศ  ทำให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามข้อมูลสำคัญ เช่น ปริมาณน้ำในเขื่อน สภาพอากาศปัจจุบัน และการคาดการณ์แนวโน้ม ผ่าน ระบบคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ (ThaiWater) ที่พัฒนาและดำเนินการโดย สสน. ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย เกี่ยวกับความร่วมมือ สวทช.-สสน.: https://www.nstda.or.th/home/news_post/mou-nstda-hii/ เข้าถึงข้อมูล ThaiWater: https://www.thaiwater.net/ สวทช. ยังคงยืนหยัดในพันธกิจการสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  และขอส่งกำลังใจไปยังผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยทุกท่าน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. ลงพื้นที่นครสวรรค์ ติดตามความก้าวหน้างาน อววน. พร้อมเยี่ยมชม “คลินิกคุณภาพน้ำ” จาก สวทช.
วันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการขับเคลื่อน (อววน.) ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ณ ห้องประชุมพาสาน อาคารสัญลักษณ์ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ “ NSN สู้ Flood: สานพลังเครือข่ายความร่วมมือด้านการบริหารจัดการอุทกภัยแบบบูรณาการ” โอกาสนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้นำเสนอนิทรรศการคลินิกคุณภาพน้ำ นำทีมโดย ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาระดับนาโนการดูดซับและการคำนวณ (NCAS) และ ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ หัวหน้าทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) ศูนย์นาโนเทค สวทช. ทั้งนี้ ‘คลินิกคุณภาพน้ำ’ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย บูรณาการเทคโนโลยีเซนเซอร์ และการปรับปรุงคุณภาพน้ำ เป็นเสมือนคลินิกที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ และรักษาให้น้ำมีคุณภาพดีเหมาะกับการอุปโภคบริโภค ซึ่งในอนาคตกำลังพัฒนาขยับสู่แพลตฟอร์มที่พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ ขยายผลการใช้ประโยชน์ทั่วประเทศ ช่วยแก้ไขปัญหาและปรับปรุงคุณภาพน้ำให้กับชุมชนที่ต้องการ โดยได้รับความสนใจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะมีความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพน้ำต่อไปในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์