หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
อบรม “ICH GCP E6 (R3): บทบาทความรับผิดชอบของนักวิจัย” วันที่ 30–31 กรกฎาคม 2568
อบรม “ICH GCP E6 (R3): บทบาทความรับผิดชอบของนักวิจัย” วันที่ 30–31 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมการวิจัย (QRI) สวทช. ร่วมกับมูลนิธิซิดเซอร์-เฟอร์แคป (SIDCER-FERCAP) ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เจาะลึกการดำเนินการวิจัยทางคลินิกที่ดี ICH GCP E6 (R3): บทบาทความรับผิดชอบของนักวิจัย" ในวันที่ 30–31 กรกฎาคม 2568 ณ อาคารสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (CO-113) ชั้น 1 จ.ปทุมธานี และผ่านระบบ Webex Online วัตถุประสงค์ของการอบรมนี้เพื่อ เสริมความเข้าใจพื้นฐานด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ เรียนรู้การประยุกต์ใช้ ICH GCP E6 (R3) ในการดำเนินงานวิจัย เตรียมความพร้อมของนักวิจัยให้สามารถรับผิดชอบการวิจัยได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย 📝 เหมาะสำหรับ นักวิจัยมือใหม่ นักวิจัยที่ทำการวิจัยในมนุษย์ และผู้ประสานงานวิจัย 🎓 ผู้ผ่านการอบรมครบ 2 วันจะได้รับประกาศนียบัตรจาก สวทช. และ SIDCER-FERCAP 🔗 รายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่: www.career4future.com/gcp 📞 ด้านหลักสูตร: QRI@nstda.or.th | 02 564 7000 ต่อ 71843 หรือ 71844 📞 ด้านการลงทะเบียน: arisara.sri@nstda.or.th | 02 644 8150 ต่อ 81889
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ชูโครงสร้างพื้นฐาน วทน. “สู้วิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล
(วันที่ 11 มิถุนายน 2568) ณ ชั้น 4 ห้อง 405 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STIS) เป็นประธาน เปิดสัมมนาหัวข้อ “สู้วิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล: บทบาท NQI โดย สวทช.” โดยมี ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC), ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC), นางสาวิตรี กองเกียรติวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC), ดร.ภญ.รวิวรรณ มณีรัตนโชติ (รักษาการ)ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) และนายวรวิทย์ จันทร์สีหราช (รักษาการ)ผู้อำนวยการฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFED) ร่วมให้ข้อมูลและต้อนรับการเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า มีความยินดีที่จัดสัมมนาในหัวข้อ ‘สู้วิกฤตการค้าโลกใหม่ด้วยระบบวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากล: บทบาท NQI โดย สวทช.’ ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการจัดงานสัมมนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI) ร่วมกันเป็นครั้งแรกของ สวทช.  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความต้องการของลูกค้าที่ใช้บริการด้าน NQI ของ สวทช. และนำมาออกแบบการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากทั่วโลกเผชิญภาวะปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำแพ็คเกจการให้บริการสำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุนและการพัฒนา (Upskill) บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นกิจกรรมวันนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แบ่งปันประสบการณ์และแลกเปลี่ยนแนวคิดในการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพัฒนา ซึ่งรวมถึงการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลผลิตด้านนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จ และสอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยีและทิศทางการขับเคลื่อนนวัตกรรม รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลก อีกทั้งยังเป็นการสร้างความตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของ สวทช. ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI) ต่อความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมแก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้ที่สนใจ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovative Startup Ecosystem) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จและเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืนในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจการค้าโลกต่อไป ทั้งนี้ภายในงานมีการแนะนำบริการทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ตามมาตรฐานสากล และมาตรฐานตามข้อกำหนด อย. โดย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC), บริการวิเคราะห์ทดสอบเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน มอก. 17025 (ISO/IEC17025) โดย ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC), บริการทดสอบผลิตภัณฑ์ภาชนะสัมผัสอาหาร เฉพาะด้านความปลอดภัย โดย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC) นอกจากนี้ยังมีบริการทดสอบความปลอดภัยและฤทธิ์ทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องมือแพทย์ โดยศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) และบริการออกแบบพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์เชิงวิศวกรรม โดยฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFED) ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนายังได้มีโอกาสพิเศษในการเยี่ยมชม เครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม อย่างใกล้ชิดและมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิจัยและวิศวกรอย่างใกล้ชิด    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ยกระดับพืชพื้นบ้านสู่ “ผำพรีเมียม” ด้วย Smart Technology
จากพืชน้ำพื้นบ้านที่เคยถูกมองข้าม ‘ผำ’ กำลังได้รับการยกระดับให้กลายเป็นวัตถุดิบอาหารแห่งอนาคต ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมาร์ตฟาร์ม ระบบควบคุมอัจฉริยะ และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและควบคุมคุณภาพ ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ ‘ผำ’ ได้ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ โภชนาการ และความยั่งยืน พร้อมเปิดประตูสู่ตลาดสุขภาพระดับพรีเมียมทั้งในและต่างประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“ชุมชนรักษ์อาหาร” สานพลังท้องถิ่นกอบกู้อาหารส่วนเกิน สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน
  ในแต่ละวันมีอาหารเหลือทิ้งมากมาย มีทั้งอาหารปรุงสุก/อาหารพร้อมรับประทานที่จำหน่ายไม่หมด เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้สด ไปจนถึงวัตถุดิบที่ใกล้หมดอายุ ซึ่งอาหารเหล่านี้จำนวนมหาศาลต้องกลายเป็นขยะทั้งที่ยังสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารที่มีคุณค่าได้อีกมากมาย การสูญเสียอาหาร (Food loss) และขยะอาหาร (Food waste) ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรและโอกาสในการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีขยะอาหารมากถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยในขยะอาหารเหล่านั้นมีอาหารที่ยังสามารถนำกลับมารับประทานได้ หรือ “อาหารส่วนเกิน” (Food surplus) มากถึง 3.7 ล้านตัน ในขณะเดียวกันยังมีประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนหลายล้านคนที่กำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร และไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเหมาะสม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS (Scholars of Sustenance Foundation) และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนผู้ผลิตอาหาร ภาคประชาสังคม และชุมชน ดำเนินงานโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อการจัดตั้งเป็นธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) โดยมีเป้าหมายในการขยายผลการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ส่งต่ออาหารไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ   [caption id="attachment_69995" align="aligncenter" width="750"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]   กอบกู้อาหารส่วนเกิน ลดขยะอาหาร ปันอิ่มสู่ชุมชน มูลนิธิ SOS ได้ริเริ่มโครงการรักษ์อาหารขึ้นด้วยความตระหนักถึงปัญหาอาหารเหลือทิ้งและความมั่นคงทางอาหาร ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ด้อยโอกาสและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง โดยดำเนินการกอบกู้อาหารส่วนเกินจากผู้ผลิตอาหารในเครือข่ายของหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งเป็นผู้บริจาคอาหาร และนำอาหารเหล่านี้ส่งต่อให้แก่เครือข่ายผู้รับบริจาคอาหาร ทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน ดร.จุฬารัตน์อธิบายว่า การกอบกู้อาหารส่วนเกิน (Food rescue) อาศัยกระบวนการทำงานของ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้บริจาคอาหาร ตัวกลางกอบกู้อาหาร และผู้รับบริจาค แต่ที่ผ่านมายังประสบปัญหาในเรื่องการขยายผล เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนตัวกลางกอบกู้อาหาร และงบประมาณในการดำเนินการ จึงเป็นที่มาของการจัดทำกลไก “ชุมชนรักษ์อาหาร หรือ Local food rescue” โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและบุคลากรในท้องถิ่นเข้ามาช่วยดำเนินงาน เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ไปในเวลาเดียวกัน โดยมีเป้าหมายขยายผลการดำเนินงานไปสู่ 8 จังหวัดในปี 2568 ซึ่งได้เริ่มนำร่องที่จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดแรก “การดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องของบุคลากรผู้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับส่งอาหาร หากมูลนิธิไม่สามารถขยายการทำงานไปทั่วประเทศได้ด้วยตนเอง ทีมงานจึงต้องมองหาเครือข่ายหรือกลุ่มบุคคลที่สามารถเข้ามารับบทบาทนี้แทนได้ และทีมงานพบว่าภายในชุมชนเองก็มีเครือข่ายจิตอาสาและอาสาสมัครอยู่แล้ว เช่น อสม. อพม. ซึ่งเป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการทำงานเพื่อสังคมอยู่เดิม ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นว่าการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ในชุมชน พร้อมกับการอบรมและเสริมศักยภาพให้พวกเขาสามารถดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายผลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้”     สานต่อความสำเร็จ “ชุมชนบางพูน” สู่ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมามูลนิธิ SOS ได้ดำเนินโครงการรักษ์อาหารร่วมกับชุมชนบางพูน ตำบลบางพูน อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จนประสบความสำเร็จ และสามารถเป็นต้นแบบในการขยายผลไปสู่ชุนชนอื่นได้ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” โดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหาร (Local food rescue) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในจังหวัดปทุมธานี เช่น ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย ควบคู่ไปกับการลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ โดยมุ่งสู่การพัฒนา “ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน” หรือ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” (Pathum Thani Food Bank Model)   [caption id="attachment_69996" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]   “ความสำเร็จของชุมชนรักษ์อาหาร คือ การที่ชุมชนสามารถเริ่มต้น เรียนรู้ และพร้อมจะเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นได้ ซึ่งมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ชุมชนบางพูน จังหวัดปทุมธานี แม้โครงการยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่ชุมชนนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้า ด้วยจิตอาสาอย่างแท้จริง พวกเขาลงมือทำเองทุกขั้นตอน ทั้งรับการฝึกอบรมจากมูลนิธิ SOS การจดบันทึกข้อมูล และการเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับเรา โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว เช่น ค่าน้ำมันรถในการรับ-ส่งอาหาร “ปัจจุบันชุมชนบางพูนได้เริ่มรับอาหารจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นแม็กซ์แวลูคลอง 2, แม็กซ์แวลูลาดสวาย, ฟิวเจอร์พาร์ค และตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และพวกเขาก็ทำมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 2 ปีแล้ว และทำได้อย่างดีด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องตระหนัก คือ ชุมชนไม่ควรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปตลอดโดยลำพัง จึงเป็นที่มาของ "ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล" ที่ทีมงานเริ่มต้นในวันนี้ เพื่อเข้ามาเป็นกลไกสนับสนุนชุมชนบางพูน ทั้งในด้านทรัพยากรและงบประมาณบางส่วน เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน”   [caption id="attachment_70000" align="aligncenter" width="750"] สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน”[/caption]   ใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการอาหารให้ปลอดภัย สร้างความมั่นใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ดร.ปัทมาพร ยังชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายหลักของการขับเคลื่อนชุมชนรักษ์อาหาร คือ "ความปลอดภัยของอาหาร" ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุด ที่ต้องให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะการฝึกอบรมและการให้ความรู้แก่กลุ่มอาสาสมัครในชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจว่า “อาหารปลอดภัย” หมายถึงอะไร และจะต้องจัดการกับอาหารแต่ละประเภทอย่างไรให้ถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดในกระบวนการเหล่านี้ ผลกระทบอาจร้ายแรงต่อผู้รับอาหาร ดังนั้นจุดนี้จึงเป็น "จุดวิกฤต" ที่ต้องบริหารจัดการให้ดี หากเราสามารถทำให้ชุมชนเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ความท้าทายอื่น ๆ จะลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ สวทช. ได้นำองค์ความรู้จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในสังกัด สวทช. เรื่อง แนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline for Food Donation) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการอาหารให้มีความปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งมีทั้งแนวทางปฏิบัติตั้งแต่ขั้นตอนการรับอาหาร การเก็บรักษาอาหาร การขนส่ง การแจกจ่ายอาหาร หลักปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสอาหาร เช่น การแช่แข็งอาหารส่วนเกินและติดฉลากใหม่ การระบุวันที่และระยะเวลาที่แนะนำ ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายและการควบคุมอันตราย เช่น สารเคมี สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เพื่อให้อาหารที่นำไปแจกจ่ายยังคงมีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการบริโภค ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้บริจาคว่าอาหารที่บริจาคไปแล้วนั้นได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและจะไม่เกิดปัญหากับผู้บริโภค ส่วนผู้รับก็มั่นใจได้ว่าอาหารที่รับมานั้นมีคุณภาพและปลอดภัยต่อการบริโภคอย่างแท้จริง   [caption id="attachment_69999" align="aligncenter" width="750"] สวทช. ได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปช่วยในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน[/caption]   อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ สวทช. นำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอาหาร คือ แพลตฟอร์มแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ที่พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) “หนึ่งในประเด็นที่เราพบจากการทำวิจัยเชิงนโยบาย คือ ความกังวลของผู้บริจาค ที่มักตั้งคำถามว่าอาหารที่บริจาคไปนั้น ถึงมือผู้ที่ต้องการจริงหรือไม่ มีการนำไปขายต่อหรือส่งต่อให้บุคคลเฉพาะกลุ่มหรือเปล่า แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เราตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยระบุได้ว่า อาหารล็อตไหนมาจากที่ใด และถูกส่งต่อไปถึงใครอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความโปร่งใสและความเชื่อมั่นกับทั้งผู้บริจาคและผู้รับ อีกทั้งในอนาคตเราตั้งใจจะต่อยอดแพลตฟอร์มช่วยในการออกแบบการจัดสรรอาหารให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้รับแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านโภชนาการ เป็นการยกระดับการจัดการอาหารส่วนเกินให้มีทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และมีความยั่งยืน” ดร.ปัทมาพร ให้ข้อมูล นอกจากนี้ สวทช. ยังได้นำแพลตฟอร์มการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ที่พัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ในสังกัด สวทช. มาประยุกต์ใช้กับการจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อคำนวณว่าในการบริจาคอาหารแต่ละครั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไหร่ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริจาค ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร และอาจนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว     “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชนโดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหารยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ในเป้าที่ 2 คือ Zero hunger ที่มุ่งการขจัดความหิวโหย สร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย และเป้าที่ 12 คือ Responsible consumption and production ที่มุ่งลดปริมาณขยะอาหารและการสูญเสียอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยทั้งสองเป้าหมายนี้สามารถแก้ไขไปพร้อมกันได้ด้วยแนวทางที่เชื่อมโยงกัน หากเราสามารถนำอาหารส่วนเกินจากการผลิต หรืออาหารที่สูญเสียไปในกระบวนการผลิต มาส่งต่อให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนหรือกลุ่มผู้หิวโหยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการลดขยะอาหารไปพร้อมกันในคราวเดียว” ดร.ปัทมาพรกล่าว แม้โครงการขยายผล “ชุมชนรักษ์อาหาร” จะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการที่จังหวัดปทุมธานีเป็นแห่งแรก แต่คณะทำงานคาดหวังว่าจะสามารถขยายผลออกไปให้ได้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแหล่งอาหารส่วนเกินจำนวนมาก สามารถจัดวางระบบให้เกิดการแบ่งปันระหว่างจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงกันได้ จะช่วยให้การจัดการอาหารส่วนเกินเกิดประโยชน์สูงสุด และตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมี “ธนาคารอาหาร” หรือฟูดแบงก์ในทุกจังหวัด แต่มีจุดกระจายศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมโยงและสนับสนุนพื้นที่ใกล้เคียงได้ ซึ่งจะนำไปสู่ระบบการแบ่งปันที่ยั่งยืน และขยายผลได้อย่างแท้จริงในระดับประเทศ เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. อินโฟกราฟิกโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ENTEC สวทช. ชู 5 เทรนด์พลังงานอนาคต ฉลองก้าวสำคัญ 5 ปีวิจัยเพื่อชาติ
(10 มิถุนายน 2568) ณ โรงแรม Mövenpick BDMS Wellness Resort กรุงเทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดประชุมยุทธศาสตร์เครือข่ายพันธมิตรการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีการก่อตั้ง เผยบทบาทในฐานะกลไกขับเคลื่อนงานวิจัยพลังงานสะอาดของประเทศ พร้อมเปิดตัว 5 เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานอนาคตสู่เป้าหมาย Net Zero 5 ปีแห่งการบุกเบิกและสร้างสรรค์นวัตกรรมพลังงานเพื่อชาติ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ENTEC ก่อตั้งขึ้นจากการรวมความเชี่ยวชาญของ 2 ศูนย์ ได้แก่ เอ็มเทค และเนคเทค เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ โดยมุ่งเน้นวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพลังงานชาติ แผนบูรณาการพลังงานระยะยาวของประเทศไทย (TIEB) และนโยบายเศรษฐกิจ BCG อย่างเป็นรูปธรรม ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ENTEC ได้พัฒนานวัตกรรมที่นำไปใช้ได้จริง อาทิ น้ำมันหม้อแปลง EnPAT จาระบีชีวภาพ และไบโอดีเซลเกรดพรีเมียม Premium H-FAME จากน้ำมันปาล์ม รวมถึงแพลตฟอร์ม Solar Sure สำหรับจัดการแผงโซลาร์เซลล์หมดอายุ การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่จากวัสดุในประเทศและระบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้ภายใต้โครงการ Thailand BattSwap เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ ทั้งหมดล้วนสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality ปี 2593 และ Net Zero ปี 2608 ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมพลังงานของภูมิภาค โอกาสครบรอบ 5 ปีนี้จึงไม่ใช่เพียงวาระสำคัญของ ENTEC หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อขับเคลื่อนระบบพลังงานไทยด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สู่อนาคตที่ยั่งยืน 5 เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานสะอาด สู่ Net Zero ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC กล่าวว่า ทั่วโลกกำลังเร่งเดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดย เทคโนโลยีพลังงานสะอาดถือเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านจากระบบพลังงานแบบเดิมที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปสู่ระบบพลังงานที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความมั่นคงในระยะยาว ENTEC คาดการณ์ 5 เทรนด์เทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่จะมีบทบาทในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานแห่งอนาคต พร้อมกำหนดทิศทางการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มเหล่านี้ ดังนี้: เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF): วิจัยและพัฒนา SAF จากวัตถุดิบหมุนเวียนในประเทศ เช่น น้ำมันเหลือใช้หรือชีวมวล ร่วมกำหนดนโยบายและส่งเสริมการใช้ SAF ในอุตสาหกรรมการบินไทย เซลล์แสงอาทิตย์โครงสร้างเซลล์ซ้อนที่ใช้เพอรอฟสไกต์-ซิลิคอน (Perovskite-Silicon Tandem Solar Cell): พัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงโดยผสานเพอรอฟสไกต์กับซิลิคอน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมจัดประชุมวิชาการส่งเสริมการใช้จริง พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Energy): พัฒนา Green Hydrogen จากพลังงานหมุนเวียน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสะอาดในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ร่วมวางแผนนโยบายระดับชาติ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors - SMRs): เตรียมความพร้อมด้านองค์ความรู้ บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมจัดตั้งศูนย์วิจัยและหลักสูตรเฉพาะทาง ระบบกักเก็บพลังงานที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า (Grid-scale Energy Storage): วิจัยพัฒนาแบตเตอรี่ครบวงจร ตั้งแต่วัสดุ การออกแบบ ผลิต และบริหารจัดการวงจรชีวิต เพื่อให้กักเก็บพลังงานได้มาก มีประสิทธิภาพสูง และอายุใช้งานยาว ทั้ง 5 เทรนด์เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เปิดทางสู่นวัตกรรม ธุรกิจ และการจ้างงานใหม่ในภาคพลังงานสะอาด โดยเฉพาะในประเทศที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง วิสัยทัศน์ในการผลักดันพลังงานยั่งยืน ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้ายว่า ENTEC จะเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งสู่ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม โดยสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนางานวิจัยให้เป็นผลิตภัณฑ์ บริการ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ เสริมระบบนิเวศนวัตกรรมพลังงานไทยให้เติบโตยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. กับนวัตกรรมพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยและฝนตกหนัก
ขณะนี้อิทธิพลจากมรสุมส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง กรมอุตุนิยมวิทยาและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประกาศเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงในภาคเหนือ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมถึงปัญหาน้ำท่วมขังในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารและใช้ความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยศูนย์วิจัยแห่งชาติในสังกัดและพันธมิตร ได้ตระหนักถึงภารกิจสำคัญในการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาระบบและเครื่องมือในการสนับสนุนการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยพิบัติ การบรรเทาผลกระทบ และการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน  โดย สวทช. ได้ขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายที่เกิดจากสถานการณ์อุทกภัยและฝนตกหนักโดยเฉพาะ สำหรับนวัตกรรมเด่นจาก สวทช. เพื่อรับมืออุทกภัย มีดังนี้ Traffy Fondue "ฟีเจอร์ช่วยน้ำท่วม" Traffy Fondue "ฟีเจอร์ช่วยน้ำท่วม" เป็นแพลตฟอร์มที่ประชาชนสามารถใช้ในการแจ้งเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ ขอรับความช่วยเหลือ หรือแจ้งความประสงค์บริจาคสิ่งของผ่านช่องทาง LINE @TraffyFondue เพื่อให้การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าถึงผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  ฟีเจอร์นี้จึงทำหน้าที่เปรียบเสมือนระบบรับแจ้งเหตุการณ์น้ำท่วมโดยตรงจากภาคประชาชน ช่วยให้ผู้ประสบภัยสามารถร้องขอความช่วยเหลือหรือแสดงความจำนงในการบริจาคสิ่งของจำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ระบบดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และประสานงานการจัดสรรทรัพยากรความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปยังผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และตรงตามความต้องการ อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/home/news_post/traffyfondue-flood/ เทคโนโลยีเครื่องกรองน้ำและคลินิกคุณภาพน้ำ  ในด้านการจัดการน้ำสะอาด ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค สวทช.) ได้นำองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีมาพัฒนาโซลูชันเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอุปโภคบริโภคในภาวะอุทกภัย ซึ่งมักมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคและสารเคมี  หนึ่งในนั้นคือ เครื่องกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยี "SOS Water" (Solar-Operating System Water) ซึ่งเป็น "โครงการพัฒนาเครื่องผลิตน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรองนาโน"  เครื่องนี้สามารถผลิตน้ำดื่มที่สะอาดได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทำงานได้ในทุกสภาวการณ์ แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า  โดยประยุกต์ใช้ไส้กรองเซรามิกเคลือบอนุภาคเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ด้วยการตรึงอนุภาคเงินระดับนาโนลงบนพื้นผิวและรูพรุนของไส้กรองเซรามิก ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียและป้องกันการสะสมของเชื้อที่ไส้กรอง  สามารถผลิตน้ำดื่มสะอาดจากแหล่งน้ำจืดธรรมชาติทั่วไปได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือระบบการตกตะกอนที่ซับซ้อน นอกจากนี้เครื่องกรองน้ำดังกล่าวยังมีระบบกรองร่วมกันอีก 5 ชนิด เช่น ถังกรองทราย (Sand filter) เพื่อกรองตะกอนและสารแขวนลอยขนาดใหญ่, ไส้กรองเรซิ่น (Resin) ที่ช่วยปรับความกระด้างของน้ำ, ไส้กรองคาร์บอน (Activated carbon) ที่ช่วยกรองกลิ่น สี คลอรีน และดูดจับสารอินทรีย์กับสารเคมีต่างๆ รวมถึงโลหะหนัก, ไส้กรองแมงกานีส ซีโอไลต์ (Manganese zealite) ช่วยกรองโลหะหนัก, และไส้กรองยูเอฟ (Ultra filtration) ที่เป็นใยสังเคราะห์สามารถกรองละเอียดได้ถึง 10 นาโนเมตร สามารถดักจับสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียได้  เครื่อง SOS Water นี้มีน้ำหนัก 160 กิโลกรัม และมีกำลังการผลิต 200 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของชุมชนขนาดประมาณ 1,000 คน และสามารถเลือกใช้งานได้ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโซลาร์เซลล์จำนวน 4 แผง หรือไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ นาโนเทค สวทช. ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย นำเครื่อง SOS Water ไปทดสอบประสิทธิภาพการทำงานจริงในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ซึ่งผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเครื่องทำงานได้ดีและคุณภาพน้ำดื่มที่ผลิตได้เป็นไปตามมาตรฐานน้ำดื่มของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และเมื่อสถานการณ์น้ำลด "คลินิกคุณภาพน้ำ" โดยนาโนเทค สวทช. จะเข้ามามีบทบาทในการบูรณาการเทคโนโลยีเซนเซอร์และการปรับปรุงคุณภาพน้ำ เพื่อให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทางวิทยาศาสตร์ พร้อมให้คำปรึกษาและองค์ความรู้เชิงเทคนิคในการปรับปรุงและฟื้นฟูคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน รวมถึงแหล่งน้ำตามธรรมชาติของชุมชนให้กลับสู่มาตรฐานที่ปลอดภัยสำหรับการอุปโภคบริโภค อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/home/news_post/aqua-nano-water-filter-narathiwat-20241121/ https://www.nstda.or.th/home/news_post/water-quality-clinic-20240814/ ระบบทันพิบัติ (TanPibut) "ทันพิบัติ" เป็นระบบสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ทางธรรมชาติแบบเรียลไทม์ พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ระบบนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการภัยพิบัติ โดยรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลน้ำจากกรมชลประทานและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ติดตั้งในพื้นที่เสี่ยง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์และแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น แผนที่สถานการณ์ แดชบอร์ด และระบบแจ้งเตือน ไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและผู้บริหาร เพื่อช่วยในการตัดสินใจวางแผนและสั่งการในการรับมือสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระบบทันพิบัติยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีบูรณาการและลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน อ่านเพิ่มเติม: https://www.nectec.or.th/news/news-public-document/tanpibut-html.html แอปพลิเคชัน "ทันระบาด" (TanRabad) เฝ้าระวังโรคติดต่อหลังอุทกภัย ภายหลังสถานการณ์อุทกภัย มักเกิดความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่มากับน้ำ หรือโรคที่มีแมลงเป็นพาหะเนื่องจากแหล่งน้ำขัง แอปพลิเคชัน "ทันระบาด" ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์สนับสนุนการป้องกันและควบคุมการระบาดไข้เลือดออกเชิงรุก พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. ร่วมกับกรมควบคุมโรค ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเฝ้าระวัง สอบสวน และควบคุมโรคไข้เลือดออกในระดับพื้นที่ ช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสามารถรายงานสถานการณ์โรคได้อย่างรวดเร็ว ติดตามแนวโน้มการระบาด และสนับสนุนการตัดสินใจในการออกมาตรการป้องกันและควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที ลดผลกระทบทางสุขภาพต่อประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม อ่านเพิ่มเติม: https://trb.ddc.moph.go.th/ งานวิจัยและสนับสนุนพันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม  ด้านความมั่นคงทางอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ทนทานต่อสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างพันธุ์ข้าวเด่นที่พัฒนาขึ้น อาทิ ข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน, ข้าว กข51  และ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม 2 ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีกลิ่นหอม ทนต่อน้ำท่วมฉับพลัน และต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในระดับปานกลาง นอกจากนี้ยังมี ข้าวเจ้าพันธุ์หอมนาเล ซึ่งมีคุณสมบัติพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทนน้ำท่วมฉับพลัน ต้านทานโรคขอบใบแห้ง และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล  และ ข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคา ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง ลำต้นแข็งแรงไม่หักล้มง่าย ขนาดต้นสูงปานกลาง ทำให้เก็บเกี่ยวง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่  ข้าวเหนียวพันธุ์นี้เป็นข้าวไม่ไวแสง ปลูกได้ตลอดปี มีระยะเวลาการปลูกประมาณ 130-140 วัน ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ยประมาณ 800 กิโลกรัมต่อไร่ และเมื่อหุงสุกจะมีกลิ่นหอม นุ่มเหนียว สวทช. ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการปลูกและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดลำปาง พะเยา และเชียงราย อ่านเพิ่มเติม: https://www.biotec.or.th/biogallery/index.php/food-and-agriculture-thai/rd51-thai https://www.biotec.or.th/biogallery/index.php/food-and-agriculture-thai/flash-flooding-thai https://www.nstda.or.th/home/news_post/pr-nstda-08122566/ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อเพื่อสุขอนามัยในภาวะอุทกภัย ลดความเสี่ยงโรคติดต่อ หลังน้ำท่วม การรักษาสุขอนามัยในพื้นที่ประสบภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่อาจมากับน้ำหรือเจริญเติบโตในสภาวะน้ำขัง สวทช. ได้พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อประสิทธิภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว ได้แก่   น้ำยาฆ่าเชื้อ "อะเจิร์มโก" (Agermgo) เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยนาโนเทค สวทช. เพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม Agermgo เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมซิงค์นาโนอิมัลชั่น  ซึ่งเป็นการนำอนุภาคซิงค์ออกไซด์ระดับนาโนมาผสมผสานกับสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น กรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าว  ทำให้มีคุณสมบัติเด่นในการฆ่าเชื้อโรคได้หลากหลายชนิด ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วและมีผลยาวนาน นอกจากนี้ ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับสารเคมีฆ่าเชื้อแบบดั้งเดิมบางชนิด ในสถานการณ์อุทกภัย น้ำยาฆ่าเชื้อ Agermgo มีบทบาทสำคัญในการทำความสะอาดพื้นผิวอาคารบ้านเรือน ศูนย์พักพิง หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคที่มากับน้ำท่วม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นหลังน้ำลด เช่น โรคฉี่หนู โรคอุจจาระร่วง หรือโรคผิวหนัง การมีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขอนามัยของประชาชนในพื้นที่ประสบภัย อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/sci2pub/zinc-nano-emulsions/   น้ำยาฆ่าเชื้อ “ENERclean” (เอนเนอร์คลีน) เป็นนวัตกรรมที่ได้จากต้นแบบเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีทางไฟฟ้าเคมี (Electrolyzed water) ซึ่งวิจัยและพัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ร่วมกับทีมวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) น้ำยาฆ่าเชื้อนี้ประกอบด้วยกรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous acid, HOCl) เป็นองค์ประกอบหลัก มีระดับค่ากรดด่างในช่วงเป็นกรดอ่อน (pH 4-6) ผลิตจากสารธรรมชาติ ปราศจากแอลกอฮอล์และสารเคมีที่เป็นพิษ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีประสิทธิภาพในการยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงมีฤทธิ์ในการยับยั้งฆ่าเชื้อไวรัสไข้เลือดออก เป็นอีกทางเลือกสำหรับการดูแลสุขอนามัยในภาวะวิกฤต อ่านเพิ่มเติม: https://www.nstda.or.th/home/news_post/enerclean/ ระบบ ThaiWater ด้านการติดตามและบริหารจัดการข้อมูลน้ำ สวทช. ได้ร่วมมือกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ในการสนับสนุนระบบนิเวศวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำของประเทศ  ทำให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามข้อมูลสำคัญ เช่น ปริมาณน้ำในเขื่อน สภาพอากาศปัจจุบัน และการคาดการณ์แนวโน้ม ผ่าน ระบบคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ (ThaiWater) ที่พัฒนาและดำเนินการโดย สสน. ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย เกี่ยวกับความร่วมมือ สวทช.-สสน.: https://www.nstda.or.th/home/news_post/mou-nstda-hii/ เข้าถึงข้อมูล ThaiWater: https://www.thaiwater.net/ สวทช. ยังคงยืนหยัดในพันธกิจการสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  และขอส่งกำลังใจไปยังผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยทุกท่าน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. ลงพื้นที่นครสวรรค์ ติดตามความก้าวหน้างาน อววน. พร้อมเยี่ยมชม “คลินิกคุณภาพน้ำ” จาก สวทช.
วันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการขับเคลื่อน (อววน.) ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ณ ห้องประชุมพาสาน อาคารสัญลักษณ์ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ “ NSN สู้ Flood: สานพลังเครือข่ายความร่วมมือด้านการบริหารจัดการอุทกภัยแบบบูรณาการ” โอกาสนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้นำเสนอนิทรรศการคลินิกคุณภาพน้ำ นำทีมโดย ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาระดับนาโนการดูดซับและการคำนวณ (NCAS) และ ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ หัวหน้าทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) ศูนย์นาโนเทค สวทช. ทั้งนี้ ‘คลินิกคุณภาพน้ำ’ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย บูรณาการเทคโนโลยีเซนเซอร์ และการปรับปรุงคุณภาพน้ำ เป็นเสมือนคลินิกที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ และรักษาให้น้ำมีคุณภาพดีเหมาะกับการอุปโภคบริโภค ซึ่งในอนาคตกำลังพัฒนาขยับสู่แพลตฟอร์มที่พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ ขยายผลการใช้ประโยชน์ทั่วประเทศ ช่วยแก้ไขปัญหาและปรับปรุงคุณภาพน้ำให้กับชุมชนที่ต้องการ โดยได้รับความสนใจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะมีความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพน้ำต่อไปในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช.เสริมเทคนิคการเข้าถึงแหล่งทุนและการคำนวณความต้องการเงินทุนหมุนเวียนด้วยวิทยกรผู้เชี่ยวชาญ ในหลักสูตร DMA
เมื่อวันที่ 4-5 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดอบรมในโครงการเสริมแกร่งผู้ประกอบการ ปรับตัวสู่การผลิตดิจิทัล (Digital Manufacturing Advisor : DMA) ในหัวข้อ "การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการคำนวณความต้องการเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งบัญชี CEO " โดยวัตถุประสงค์ของการอบรมในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถคำนวณและวางแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อการปรับปรุงการผลิต ที่สำคัญคือการรู้จักแหล่งเงินทุนและสิทธิประโยชน์จากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเข้าใจถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุน เช่น BOI ที่ใช้ได้จริงในภาคธุรกิจได้อย่างชัดเจน และสามารถวิเคราะห์และประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำเสนอแผนการเงินและการขอสนับสนุนอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ผู้เข้าอบรมได้ทราบถึงหลัก วิธีคิด และสามารถคำนวณความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในกิจการได้ รวมทั้งทราบในแหล่งเงินทุน การสนับสนุนการค้ำประกันจากสินเชื่ออย่าง บสย. และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการยื่นขอสินเชื่อ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจากวิทยกรผู้เชี่ยวชาญ ในหัวข้อต่าง ๆ สิทธิประโยชน์และผลิตภัณฑ์ทางการเงินสำหรับผู้ส่งออก โดย คุณณุทาวดี อุบล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย บริการทางการเงินเพื่อการปรับปรุงเทคโนโลยี โดย สวทช. โดย คุณทวีรัช มารวยทรัพย์ นักวิเคราะห์ผลงานนโยบาย สนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน ฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สวทช. แนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ BOI โดย คุณชนากานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย สวทช. เทคนิควางแผนทางการเงิน โดย คุณจันทร์ฉาย พิทักษ์อรรณพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเขาแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) การคำนวณค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการลงทุนเพื่อการปรับปรุงกระบวนการผลิต โดย คุณทรงชัย พุทธิมาโนชญ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงิน, อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตอิสระ การเข้าถึงแหล่งทุน/บสย.จะช่วยท่านเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างไร/การค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการทั่วไป และกลุ่มมนวัตกรรม/การคำนวณความต้องการเงินทุนหมูนเวียน โดยนายเทียบจิตต์ จันทรภูติผลากร ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) Workshop การคำนวณค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการลงทุนเพื่อการปรับปรุงกระบวนการผลิต โดย คุณจรรยฤทธิ์ ทรงมณี ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมอบรมซักถาม พร้อมแชร์ประสบการณ์ปัญหาด้านการเงิบของผู้ประกอบการแบบเจาะลึก  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
แกะกล่องงานวิจัย : ‘คิดไบรท์ ไมโครเอไอ’ ฝึกสร้าง AIoT ในแพลตฟอร์มเดียว
  📌 เกี่ยวกับอะไร ? ทุกวันนี้เทคโนโลยี AI เข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของผู้คนแทบทุกมิติ คนรุ่นใหม่จึงจำเป็นต้องรู้เท่าทันและใช้เทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุ ‘การเรียนรู้วิธีสร้างโมเดล AI เพื่อประมวลผลข้อมูล’ เป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า เพื่อเตรียมความพร้อมทักษะแห่งอนาคตให้แก่เยาวชนไทยแล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ) แพลตฟอร์มฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT (Artificial Intelligence of Things) แบบครบจบในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อการเรียนรู้ที่เป็นระบบ ง่าย และสนุก   แพลตฟอร์ม KidBright μAI ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือ บอร์ดสมองกลฝังตัว ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ AIoT ตัวบอร์ดจะมาพร้อมอุปกรณ์รับสัญญาณภาพและเสียง ตัวรับสัญญาณไวไฟ อุปกรณ์แสดงผลข้อมูล​ (จอและลำโพง) และพอร์ตสำหรับต่อเซนเซอร์จากภายนอก ส่วนที่สองคือ เว็บแอปพลิเคชัน KidBright μAI IDE สำหรับฝึกสร้างโมเดล AI และเขียนโค้ดควบคุมอุปกรณ์ ปัจจุบัน KidBright μAI IDE ใช้สร้างโมเดล AI ได้ 3 ประเภท คือ Image Classification จำแนกประเภทของภาพ Object Detection จำแนกและระบุตำแหน่งวัตถุภายในภาพ และ Voice Classification จำแนกประเภทเสียง ซึ่งทักษะการพัฒนาโมเดลเหล่านี้นำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น สมาร์ตโฟน ยานยนต์ การแพทย์ รวมถึงใช้ควบคุมสายการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม     📌 ดีอย่างไร ? จุดเด่นของ KidBright μAI คือ เรียนรู้ง่าย เหมาะสำหรับใช้ปูพื้นฐานการเขียนโค้ด ฝึก AI และสร้างอุปกรณ์ AIoT ขั้นตอนการเรียนรู้ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลัก ขั้นแรกคือการฝึกโมเดล AI ผ่านการสร้างชุดข้อมูล การกำกับข้อมูล และการเลือกฟังก์ชันการฝึกที่เหมาะสม ขั้นที่สองคือการฝึกเขียนโค้ดด้วยชุดคำสั่งแบบบล็อก (Blockly) เพื่อให้บอร์ดประมวลผลและทำงานตามที่กำหนด เช่น หากผู้เรียนฝึกให้โมเดล AI จำแนกประเภทภาพได้แล้วว่าเป็นสุนัขหรือแมว ก็อาจเขียนโค้ดสั่งการทำงาน เช่น หากกล้องของบอร์ดจับภาพสุนัขให้เล่นเสียง ‘โฮ่ง’ แต่หากกล้องจับภาพแมวให้เล่นเสียง ‘เหมียว’ แทน การเรียนรู้ที่เป็นระบบและต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจแบบองค์รวม เชื่อมโยงองค์ความรู้และประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การเรียนรู้ที่ง่าย สนุก และรวดเร็ว จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เรียนไม่มีบอร์ด KidBright μAI ก็สามารถเรียนรู้ทุกขั้นตอนได้ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน KidBright AI โดยในแอปฯ จะมีระบบจำลองสถานการณ์ (Simulation) ที่มีหุ่นยนต์ ‘น้องขนมชั้น’ คอยรอรับคำสั่งและแสดงผลให้เห็นแทนการแสดงผลผ่านบอร์ด     📌 ตอบโจทย์อะไร ? แพลตฟอร์ม KidBright μAI เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการสร้างรากฐานทักษะแห่งอนาคตให้แก่เยาวชน เพราะการเรียนรู้การเขียนโค้ด การสร้างโมเดล AI รวมถึงการสร้างอุปกรณ์ AIoT นอกจากจะเป็นการปูพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์แล้ว ยังช่วยให้พวกเขาได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ พร้อมนำไปใช้ต่อยอดการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ KidBright μAI ยังเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา จึงช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพิ่มโอกาสให้เด็กไทยเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างเท่าเทียม   📌 สถานะของเทคโนโลยี ? เนคเทค สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตบอร์ด KidBright μAI ให้แก่บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ โดยมีการจัดจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้เนคเทคและพันธมิตรยังได้นำอุปกรณ์ KidBright (KidBright Coding และ KidBright μAI) ไปถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการจัดกระบวนการสอนให้แก่ครูและอาจารย์แล้วมากกว่า 10,000 คน จากกว่า 7,000 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ มีนักเรียนเข้าใช้งานแพลตฟอร์มแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้ง   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘KidBright μAI’ ฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงาน วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2568
      วันที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลา 14.30 น.  สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2568”  ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีเกษตรกรรมก้าวหน้า ส่งเสริมการทำนายุคใหม่ สืบสานศิลปาชีพร่วมสมัย ชาวนาไทยยั่งยืน” พร้อมพระราชทาน เกียรติบัตรแก่คณะกรรมการกลาง ศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568  จำนวน 4 ราย  ผู้สนับสนุนการจัดงาน ฯ จำนวน 29 ราย  และทรงมี พระราชดำรัสเปิดงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2568  จากนั้นเสด็จฯ  พระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการงานด้านข้าวทั้งจากหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทอดพระเนตรการแสดงโปงลาง ชุดกรมการข้าว เทิดไท้ กรมสมเด็จพระเทพ ฯ มิ่งขวัญแก้ว ชาวนาไทย และกำเนิดพระแม่โพสพ โดยเยาวชนอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน อรรคฮาตสี  ตลอดจนฉายพระฉายาลักษณ์ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกร ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านข้าวและชาวนา  จึงจัดงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2568 ระหว่างวันที่ 5 – 7 มิถุนายน พุทธศักราช 2568 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร  ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ประชาชนรำลึกถึงความสำคัญของข้าว ในฐานะพืชที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน รวมทั้งเชิดชูเกียรติชาวนาไทย และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตด้านการเกษตรที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว การยกระดับคุณภาพผลผลิตให้สนองความต้องการของตลาด การผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมงานได้รับทราบและนำไปประยุกต์ใช้ การจัดงานดังกล่าวเป็นแบบบูรณาการทุกภาคส่วน  ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีเกษตรกรรมก้าวหน้า ส่งเสริมการทำนายุคใหม่ สืบสานศิลปาชีพร่วมสมัย ชาวนาไทยยั่งยืน”  โดยภายในงานได้จัดให้มีนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการด้านข้าวและชาวนาไทย นิทรรศการวิชาการด้านข้าว  การเชิดชูเกียรติชาวนา  การแสดงวัฒนธรรมประเพณีด้านข้าว  และกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวนา และผู้สนใจทั่วไป โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค-สวทช.) และ ดร.ศรีสวัสดิ์ ขันทอง ผู้ช่วยวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (APBT) ไบโอเทค-สวทช. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ ภายในงาน สวทช. ได้นำผลงานวิจัยและพัฒนามาจัดแสดงนิทรรศการ ในระหว่างวันที่ 5–7 มิถุนายน 2568 โดยนำเสนอภายใต้แนวคิด "การพัฒนาระบบปลูกข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกรวน (NSTDA Climate-Smart Rice)" ไบโอเทค สวทช. มุ่งมั่นพัฒนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับการผลิตข้าวไทยให้มีความยั่งยืน สามารถรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผลงานสำคัญที่จัดแสดงประกอบด้วย 3 ด้าน ดังนี้ 1. การพัฒนาพันธุ์ข้าวทนสภาวะโลกรวน สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ใช้เทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุล (Molecular Markers) พัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ - หอมสยาม: ข้าวหอม ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้ ทนน้ำน้อยและน้ำท่วมฉับพลัน - หอมสยาม 2: ข้าวหอม คุณภาพกลิ่นดี ทนโรค น้ำท่วม ผลผลิตเฉลี่ย 600 กิโลกรัม/ไร่ - หอมชลสิทธิ์ 2: ข้าวเจ้าหอมนุ่ม ไม่ไวแสง ทนทานต่อน้ำท่วม โรคขอบใบแห้ง โรคไหม้ และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ผลผลิตสูง 800 – 1,000 กิโลกรัม/ไร่ - ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1: ข้าวขาวไม่หอม อายุเบา ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เหมาะกับพื้นที่นาชลประทาน ผลผลิตสูง ศักยภาพผลผลิต 1,500 กิโลกรัม/ไร่ พันธุ์ข้าวเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน และเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้แก่เกษตรกร 2. แพลตฟอร์ม AgriOmics เป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลพันธุกรรม (Genome) และลักษณะภายนอกของพืช (Phenomics) ช่วยวิเคราะห์กลไกทางพันธุกรรมระดับโมเลกุล เพื่อระบุยีนสำคัญในการเกษตรได้แม่นยำและรวดเร็ว ส่งผลให้สามารถปรับปรุงพันธุ์ ลดต้นทุน วางแผนการเพาะปลูก และจัดการศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ 3. ฐานข้อมูล NSTDA Rice Database รวบรวมข้อมูลจีโนมของข้าวไทยกว่า 700 สายพันธุ์ ครอบคลุมความหลากหลายทางพันธุกรรมกว่า 13 ล้านตำแหน่ง พร้อมข้อมูลฟีโนไทป์ เช่น‌ คุณภาพเมล็ดข้าว การต้านทานโรค และการปรับตัวของพืช พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถค้นหายีนและเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าวได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว การพัฒนาดังกล่าวเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเกษตรกรรมไทยให้มีความยั่งยืน รองรับความต้องการของตลาด และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่นฯ ผลักดัน AI ภาษาไทย การพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ “Thai LLM”
(วันที่ 6 มิถุนายน 2568) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดงาน “Thai LLM และความท้าทายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย” พร้อมทั้งพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ นายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Thai LLM ที่เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง โดยมี นายณัฐพงษ์ ช่วยบำรุง  Chief Technology Officer และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. ร่วมเป็นสักขีพยาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้กับ บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) โดยเฉพาะ Thai LLM ที่เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะ Generative AI ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ LLM และการที่ประเทศไทยมี Thai LLM ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเชิงยุทธศาสตร์ที่จะช่วยพัฒนา AI ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย และส่งเสริมการสร้างสรรค์บริการดิจิทัลในประเทศ ทั้งนี้ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. และ สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด จะร่วมกันวิจัยพัฒนา Thai LLM แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้าง Sandbox สำหรับการทำ Proof of Concept (PoC) และพัฒนากำลังคนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น สวทช. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือที่เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ "ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในวันนี้จะเป็นก้าวสำคัญและเป็นความท้าทายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของ AI ภาษาไทย และสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศวิจัยไทยในระยะยาว" ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าว นายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า มีความยินดีและเป็นนับอีกก้าวสำคัญของบริษัทสยาม ไอเอฯ ที่ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เพื่อร่วมกันพัฒนา แบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) โดยเฉพาะ Thai LLM ประเทศไทยควรมี และควรพัฒนาโดยคนไทย ซึ่งความร่วมมือในวันนี้เป็นก้าวสำคัญมากที่เราจะได้พัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาความรู้ร่วมกันโดยคนไทยและเพื่อคนไทยในอนาคต "ความเข้มแข็งของ บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เราเป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งประสิทธิภาพสูงสำหรับการประมวลผล AI การได้มีโอกาสร่วมมือกับ สวทช. ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่การใช้งานจริงในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน" นายรัตนพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การมี LLM ที่เข้าใจภาษาไทยโดยเฉพาะถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถพัฒนา AI ที่เข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาของคนไทยได้อย่างแท้จริง และส่งเสริมการสร้างสรรค์บริการดิจิทัลที่ตรงกับความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งการผนึกกำลังระหว่าง สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และ สวทช. ในวันนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา AI ภาษาไทยให้ก้าวหน้าและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศ และเรามุ่งมั่นที่จะนำพาเทคโนโลยี AI ของไทยให้ก้าวทันโลก และร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศไทย สำหรับภายในงานดังกล่าวยังมีไฮไลต์ที่น่าสนใจ อาทิ ปาฐกถาพิเศษ “Thai LLM: ปัญญาประดิษฐ์เพื่อภาษาไทย” โดย ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. การเสวนาพิเศษ “อนาคต LLM และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการประยุกต์ ใช้ในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมไทย” โดย นายวชิรวิทย์ ทุนทรัพย์ Business Development Manager บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) นายณัฐพงษ์ ช่วยบำรุง Chief Technology Officer บริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัย กลุ่มนวัตกรรมการผลิตยั่งยืน สวทช. พร้อมทีมนักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. ร่วมเสวนา นอกจากนี้ยังมีชมบูธนิทรรศการผลงานวิจัยนวัตกรรม โซลูชันด้าน AI จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน พร้อมบริการให้คำปรึกษาสำหรับผู้สนใจพัฒนา AI ใช้งานภายในองค์กร และกิจกรรมเวิร์กชอปเจาะลึกเบื้องหลัง “Pathumma LLM” พร้อมทดลองใช้งานเครื่องมือ AI ต่าง ๆ โดย ทีมนักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. ซึ่งมีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมอบรมจำนวนมาก
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดตัว “NPV หนอนเจาะฝักถั่ว” นวัตกรรมชีวภาพปราบหนอนร้ายในถั่วฝักยาว หนุนพืชเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน
 (วันที่ 6 มิถุนายน 2568) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดกิจกรรม NSTDA x Press Interviews กิจกรรมพิเศษเพื่อให้นักวิจัยได้พบปะพูดคุยกับสื่อมวลชนในประเด็น: การค้นพบไวรัส NPV ใหม่ที่ช่วยแก้ไขปัญหาหนอนเจาะฝักถั่วในพืชตะกูลถั่ว โดยไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนานวัตกรรมชีวภาพชนิดใหม่คือ ไวรัส เอ็นพีวี (NPV) เพื่อใช้ในการปราบ “หนอนเจาะฝักถั่ว หรือหนอนเจาะฝักลายจุด” ซึ่งเป็นศัตรูพืชสำคัญที่สร้างความเสียหายอย่างมากต่อพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วฝักยาวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย จุดเด่นของ NPV ชนิดใหม่นี้คือ มีความปลอดภัยสูง มีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเป้าหมาย (หนอนเจาะฝักถั่ว) ทำให้ปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างในผลผลิต เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและยั่งยืนกว่าการใช้สารเคมี ลดปัญหาการดื้อยา ลดต้นทุนการผลิต ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง รวมถึงยังควบคุมศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนุนพืชเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน นับเป็นนวัตกรรมการพัฒนาสารชีวภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคเกษตรกรรมไทย สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการลดการใช้สารเคมีและหันมาใช้ชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชมากขึ้น นายสัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ (ABCT) ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ถั่วฝักยาวถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย และคนไทยนิยมบริโภคมากเป็นอันดับ 3 แต่การปลูกถั่วฝักยาวกลับเผชิญปัญหาใหญ่จาก “หนอนเจาะฝักถั่ว” ซึ่งเป็นศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายอย่างมากต่อผลผลิต หนอนเจาะฝักถั่วจะกัดกินดอกและเมล็ดในฝัก ทำให้ผลผลิตลดลงถึง 20-25% ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกร เพื่อแก้ปัญหานี้ เกษตรกรส่วนใหญ่มักใช้สารเคมีกำจัดแมลง แต่การใช้สารเคมีนี้นำมาซึ่งปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น แมลงศัตรูพืชดื้อยา นอกจากนี้ ยังมีสารพิษตกค้างในผลผลิตซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ปัญหาสารพิษตกค้างในถั่วฝักยาวได้รับการยืนยันจากข้อมูลของ ThaiPan (เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช) ในปี 2559 พบว่า ถั่วฝักยาวมีสารพิษตกค้างสูงเป็นอันดับ 3 หรือพบมากถึง 66.7% ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ ปัญหานี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกถั่วฝักยาวได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญคือเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประทานผลผลิตที่ปลอดภัย จากปัญหาหนอนเจาะฝักถั่วที่เป็นภัยคุกคามสำคัญต่อผลผลิตถั่วฝักยาว ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ (ABCT) ไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนานวัตกรรมชีวภาพชื่อว่า “NPV หนอนเจาะฝักถั่ว” (MaviMNPV, Maruca vitrata multi-nucleopolyhedrovirus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมศัตรูพืชอย่างหนอนเจาะฝักถั่วหรือหนอนเจาะฝักลายจุด โดยมีกลไกการทำงานและความปลอดภัยคือ NPV หนอนเจาะฝักถั่วเป็นไวรัสที่ก่อโรคในแมลงศัตรูพืชโดยเฉพาะ และมีความจำเพาะเจาะจงกับหนอนเจาะฝักถั่ว (Bean pod borer) หรือหนอนเจาะฝักลายจุด (Spotted pod borer) เท่านั้น ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เมื่อหนอนเจาะฝักถั่วกินไวรัส NPV นี้เข้าไป จะแสดงอาการติดเชื้อภายใน 3-4 วัน โดยหนอนจะกินอาหารน้อยลง เคลื่อนไหวช้าลง ลำตัวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม และสุดท้ายจะตายลงในที่สุด ด้าน ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ นักวิจัยไบโอเทค และผู้แทนผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ภาคการเกษตรไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากศัตรูพืช ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรโดยตรง การพึ่งพาสารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชนั้น แม้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่กลับสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนให้ทั้งภาคการเกษตรและสิ่งแวดล้อม การค้นพบ NPV หนอนเจาะฝักถั่วถือเป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีชีวภาพสามารถแก้ไขปัญหาการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดร.เกรียงไกร เน้นย้ำว่า “การควบคุมทางชีวภาพไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่คือหนทางสู่การเกษตรที่ปลอดภัยและยั่งยืน สวทช. มุ่งมั่นที่จะวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเป็นทางออกที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทยต่อไป” ทั้งนี้ ไบโอเทค-สวทช. โดยโรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบผลิตไวรัส NPV ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม ได้พัฒนาและผลิตไวรัส NPV จำเพาะกับหนอน มาแล้ว 3 ชนิด ได้แก่ NPV หนอนกระทู้หอม NPV หนอนกระทู้ผัก และ NPV หนอนเจาะสมอฝ้าย โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและการทดลองตลาดร่วมกับภาคเอกชน และเป็นผลิตภัณฑ์จากผลงานวิจัยที่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และล่าสุดคือ NPV หนอนเจาะฝักถั่ว จะเป็นผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 4 ของโรงงานต้นแบบฯ เพื่อป้องกันและกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชสำคัญของพืชตระกูลถั่วในประเทศไทย โอกาสดีสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกถั่วฝักยาว ขณะนี้ไบโอเทคอยู่ระหว่างเปิดรับเกษตรกรผู้ปลูกถั่วฝักยาวที่สนใจเข้าร่วมทำแปลงทดสอบการใช้สารชีวภัณฑ์ NPV หนอนเจาะฝักถั่ว เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการผลิตถั่วฝักยาวให้ปลอดภัยและยั่งยืน สอบถามรายละเอียดได้ที่โรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3781 หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์