หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
FoodSERP Platform ยกระดับอาหาร-เวชสำอางไทย ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวง อว. โดย สวทช. แถลงเปิดตัว “FoodSERP Platform” พร้อมให้บริการตลอดห่วงโซ่การผลิตแก่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอาง โดยใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปแก้โจทย์ปัญหาของผู้ประกอบการในรูปแบบ One-stop service ให้บริการครอบคลุมกระบวนการต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนากระบวนการผลิตและการขยายขนาดการผลิต การวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ตลอดจนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอางไทยสู่การแข่งขันในตลาดโลก
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนสิงหาคม 2567
ข่าว สวทช. มอบรางวัลการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในประเทศ ประจำปี 2567 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา ครั้งที่ 73 สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี “ศุภมาศ” เปิดตัวเครือข่ายมหาวิทยาลัยและเครือข่ายคณะวิศวกรรมศาสตร์ “Upskill-Reskill อว. for EV” สวทช. ประกาศผล ‘ทีมแอสโทรนัต’ คว้ารางวัลชนะเลิศ ‘คิโบะ โรบ็อต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 5’ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันชิงแชมป์ระดับนานาชาติ พฤศจิกายนนี้ กระทรวง ศธ. และ อว. ผนึกกำลัง 4 พันธมิตรด้านการศึกษา พัฒนาผู้เรียน ผู้สอน เติมทักษะด้าน AI เปิดตัว “ภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” หนุนอุตสาหกรรม EV ในประเทศ แผ่นเข็มจิ๋ว ‘MicroSpike’ คว้าสุดยอดนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจ 2024 สารเคลือบกันฝุ่นรับ Creator Awards 2024 ในงาน 7 Innovation Awards 2024 “ศุภมาส” เปิดตัว “ศูนย์ปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว.” เนคเทค สวทช. ผนึก ศูนย์ TCI มจธ. เปิดตัวระบบ “ThaiRAP” เวอร์ชัน 2024 สวทช. – SCB เปิดปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 26 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 6 สวทช. จัดสัมมนาด้านชีวภัณฑ์จัดการศัตรูพืช เชื่อมนักวิจัยไบโอเทคพบปะเกษตรกร อว. แถลงความพร้อม อว.แฟร์2024 ยกระดับการเรียนรู้วิทย์ฯ นวัตกรรม ขับเคลื่อนไทยสู่อนาคต สวทช. ชวนอัปเดต 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง พบกัน 22-28 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์ฯ สิริกิติ์ CPF บูรณาการความร่วมมือ สวทช. ต่อยอดวิจัยที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมพร้อมเยี่ยมชม LANTA Supercomputer และ Bioprocessing Facility อว. พร้อมใจบริจาคโลหิต เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 CRDF Global ร่วมกับ IJC-FOODSEC โดย สวทช. มธ. และ QUB จัดประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยความปลอดภัยด้านอาหารและผลผลิตทางการเกษตร ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก สวทช. และ มธ. ร่วมมือกันจัดกิจกรรม “เปิดโลกวิทยาศาสตร์ข้อมูล ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรด้วยเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล” สำหรับนักเรียนและนักศึกษาในพื้นที่ จ.ปทุมธานี Traffy Fondue เปิดฟีเจอร์ใหม่ ใช้ AI สุดล้ำ บริหารจัดการ ‘เรื่องแจ้งปัญหา’ สวทช. รับโล่เกียรติคุณ จากผู้จัดงาน InfoComm Asia 2024 กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงเปิดงาน “อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ผอ.สวทช. อัปเดต 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ใน 5 ปีข้างหน้า ในงาน “Thailand Tech Show – อว. Fair 2024” สวทช. นำทัพ ร่วมจัดใหญ่ Thailand Tech Show ในงาน อว.แฟร์ ยกระดับผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยต่อยอดธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน สวทช. จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมจัดพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ประจำปี พศ. 2567 9 องค์กรผนึกกำลัง นำร่องใช้ “EnPAT” น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) เยี่ยมชมงาน อว. แฟร์ นายกฯ เป็นประธานพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน นายกฯ นำจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ผู้แทนหน่วยงาน ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 3 กระทรวง ลงนามความร่วมมือป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด     Download เอกสารฉบับเต็ม (7.9 MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
ค่ายศึกษาธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ครั้งที่ 2
กลับมาอีกครั้ง ค่ายสำหรับนักสำรวจ ครั้งที่ 2 🧑👩👦🧑‍🦳 สวทช. โดย NSTDA Shop ร่วมกับธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ชวนร่วมสำรวจเส้นทางธรรมชาติและศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของชะนีและสัตว์ป่าอื่นๆ ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 🐵🦋🦜🐓🐒🦅🐗🐐🐿🦌🌳🌺🌼 เปิดรับเด็ก เยาวชน หรือผู้สนใจทั่วไป ที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ที่ต้องการสร้างประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง โดยมีนักวิจัย สวทช. เป็นผู้แนะนำตลอดกิจกรรม ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคมนี้ กิจกรรมในค่ายประกอบด้วยการสำรวจเส้นทางธรรมชาติในป่าดงพญาเย็น, ศึกษาเสียงร้องของชะนี, เรียนรู้วิถีชีวิตของนกเงือก, และฝึกการใช้เครื่องมือและเรียนรู้เทคนิคการทำงานเพื่อก้าวสู่อาชีพนักวิจัยภาคสนาม รีบสมัครวันนี้ รับสิทธิพิเศษก่อน ♨️ ราคา 4,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนจองภายในวันที่ 15 กันยายนนี้ 🔷 ราคา 4,500 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนหลังวันที่ 15 กันยายน 2567 ลิงก์สมัคร https://forms.gle/9Frw2Jugt3QfiGyT8
ปฏิทินกิจกรรม
 
 สวทช. แชร์ความสำเร็จโครงการ TAIST-Tokyo Tech ผลิตกำลังคน 632 ราย เสริมความเลิศด้านการวิจัย หนุนภาคอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
(วันที่ 30 สิงหาคม 2567) : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานกล่าวเปิดในงานเสวนา "TAIST-Tokyo Tech Human Resource Development Program For Future Industry" โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. บรรยายในหัวข้อ TAIST Tokyo Tech Model กับการพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของประเทศ และยังมีการเสวนาพิเศษ หัวข้อ HRD for Future world & Future Technology: เปิดมุมมอง ประสานแนวคิด ผู้แทนภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรมและคนรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาบุคลากร สำหรับอุตสาหกรรมในโลกแห่งอนาคต โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ,ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ,ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ,ดร.อัศวิน สาลี อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.พัชรณัฐ แก้วมี ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารการลงทุน บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนา ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ [caption id="attachment_60643" align="aligncenter" width="2028"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์[/caption] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีบทบาทสำคัญด้านการพัฒนางานวิจัยของประเทศ และอีกภารกิจสำคัญคือการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรวิจัยสำหรับประเทศ โดยจัดทำโครงการสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทย หรือ TAIST Tokyo Tech ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียวและ สถาบันการศึกษาในประเทศไทย เพื่อพัฒนานักวิจัยที่มีทักษะสูงและทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งโครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ด้วย โดยตลอด 17 ปีของโครงการดังกล่าว สวทช. สามารถผลิตบันฑิตได้จำนวน 632ท่านแล้ว โดยบันฑิตเหล่านี้ได้เข้าทำงานต่อในหลายอุตสาหกรรม และ ได้เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในกลไกในการใช้วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเพื่อการขับเคลื่อนและเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ สวทช.ขอขอบคุณพันธมิตรทุกภาคส่วนที่มีความร่วมมือช่วยกันผลักดันพัฒนาบุคลากรเพื่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ความสำเร็จของโครงการ TAIST Tokyo Tech ถือเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ ด้วยการบ่มเพาะผู้มีความสามารถระดับสูง ส่งเสริมความเป็นเลิศด้านการวิจัย และส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ [caption id="attachment_60645" align="aligncenter" width="2028"] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์[/caption] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวในการสัมมนา หัวข้อ TAIST Tokyo Tech Model กับการพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของประเทศ ตอนหนึ่งว่า โครงการ TAIST-Tokyo Tech เป็นความร่วมมือและใช้ความเชี่ยวชาญระดับนานาชาติระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Tech) และมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยหลายแห่ง โดยความร่วมมือเป็นการรวมตัวกันของคณาจารย์ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมระดับโลกจากญี่ปุ่นและไทย ซึ่งผลกระทบที่สำคัญของโครงการนี้จะทำให้นักศึกษาและนักวิจัยไทยได้สัมผัสกับมาตรฐานการวิจัยและการศึกษาระดับสากลเพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและวิชาการ ขยายมุมมองระดับโลก สำหรับตัวอย่างความสำเร็จของโครงการ TAIST Tokyo Tech ที่เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อประเทศไทย ได้แก่ 1.การพัฒนาทุนมนุษย์โดยปลูกฝังวิศวกรและนักวิจัยที่มีทักษะสูงรุ่นใหม่ที่มีความรู้ขั้นสูงและประสบการณ์เชิงปฏิบัติ โดยผู้สำเร็จการศึกษาเหล่านี้มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของประเทศไทย 2.ความเป็นเลิศด้านการวิจัย ด้วยการร่วมมือกับ Tokyo Tech ทำให้ TAIST ได้ยกระดับมาตรฐานการวิจัยในประเทศไทย นำไปสู่การค้นพบและนวัตกรรมใหม่ ๆ 3.ความร่วมมือในอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างนักวิชาการและอุตสาหกรรม อำนวยความสะดวกในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง และ 4.เกิดการยอมรับในระดับสากล โดยความร่วมมือของ TAIST กับ Tokyo Tech ช่วยเพิ่มชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัย ดึงดูดนักศึกษาต่างชาติและความร่วมมือในด้าน “โครงการ TAIST Tokyo Tech ถือเป็นแนวทางที่ครอบคลุมในการพัฒนานักวิจัยและทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทย ด้วยการรวมการศึกษาขั้นสูง ความร่วมมือในอุตสาหกรรม การวิจัยแบบสหวิทยาการ และความเชี่ยวชาญระดับนานาชาติ โครงการฯ นี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการรับมือกับความท้าทายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและอนาคต” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้การเสวนาพิเศษ หัวข้อ HRD for Future world & Future Technology: เปิดมุมมอง ประสานแนวคิด ผู้แทนภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรมและคนรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาบุคลากร สำหรับอุตสาหกรรมในโลกแห่งอนาคต ผู้ร่วมเสวนาได้สะท้อนมุมมองความสำเร็จของโครงการ TAIST-Tokyo Tech ได้อย่างน่าสนใจ ได้แก่ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า TAIST-Tokyo Tech พยายามที่จะตอบโจทย์ความต้องการบุคลากรของประเทศ ด้วยการพัฒนาหลักสูตรที่มีการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ซึ่งจะมีการวัดผลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่านิสิตนักศึกษาที่เราผลิตต้องมีคุณภาพอย่างไร นอกจากนี้เราได้นำผลการคาดการณ์ความต้องการกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาวิเคราะห์ เพื่อวางแผนการผลิตกำลังคน การจัดสรรทุน และพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ TAIST-Tokyo Tech ตอบโจทย์การผลิตบุคลากรให้กับอุตสาหกรรมของประเทศได้ ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์  กล่าวว่า รู้จักและได้เห็นการพัฒนารวมถึงผลผลิตจากโครงการ TAIST-Tokyo Tech มานาน นับเป็นโครงการที่สร้างแพลตฟอร์มการพัฒนากำลังคนคุณภาพสูง โดยนักศึกษาในโครงการนี้ได้รับโอกาสสำคัญ คือ การสัมผัสสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลาย โอกาสในการเรียนรู้ข้ามหลักสูตร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการเป็นพลเมืองของโลก หากมีโมเดลลักษณะนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกจะช่วยให้เราสามารถผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพได้มากขึ้น ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจุบัน 3 ประเด็นที่ทั้งโลกให้ความสำคัญ คือ 1) ปัญญาประดิษฐ์  2)ยานยนต์ไฟฟ้า 3)ความยั่งยืน ซึ่ง  TAIST-Tokyo Tech มีหลักสูตรที่ตอบโจทย์ประเด็นที่โลกให้ความสำคัญทั้งหมด  TAIST-Tokyo Tech จึงเป็นเหมือนโอกาสในการเรียนเรื่องที่ตรงกับความต้องการของโลกกับอาจารย์ระดับ world class เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ทำให้เราเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังได้ลงมือทำจริงซึ่งถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ดร.อัศวิน สาลี อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า TAIST-Tokyo Tech เป็นหลักสูตรที่ให้ชีวิตผ่านการมอบโอกาส เนื่องจากพื้นฐานไม่ได้จบด้านวิศวกรรมเครื่องกล แต่มีความชื่้นชอบเรื่องยานยนต์ และเป็นบันไดไปสู่โอกาสในการเรียนต่อปริญญาเอก และกลับมาพัฒนาคน สร้างคน ในฐานะอาจารย์ในปัจจุบัน ดร.พัชรณัฐ แก้วมี ผู้จัดการ Renewable Energy Business Development, Prime Road Power Public Company Limited กล่าวว่า TAIST-Tokyo Tech เป็นบันไดก้าวสำคัญของชีวิต ส่วนตัวจบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านวิศวกรรม TAIST-Tokyo Tech ทำให้  สามารถพัฒนาศักยภาพในตัวเอง รวมถึงความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น นำไปสู่โอกาสการทำงานในปัจจุบัน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
สวทช. ผนึก มทร.ธัญบุรี จัดค่าย ส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สู่อาชีพด้านนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ หนุนครูและนักศึกษา สกร.ปทุมธานี สู่ ‘นวัตกรเกษตร’
ในยุคที่นวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน การเสริมสร้างความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับเยาวชนไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษารังสิต จัดกิจกรรมค่าย “ส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สู่อาชีพด้านนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่” ที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ให้กับคุณครูและนักเรียน จากสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดปทุมธานี (สกร.ปทุมธานี) จำนวน 8 ศูนย์ ในวันที่ 16 - 17 สิงหาคม 2567 ด้วยการสนับสนุนจากผู้ประกอบการบ้านสวนลุงวัฒน์ จังหวัดจันทบุรี เพื่อสร้างฐานความรู้ที่เข้มแข็งในการเพิ่มทักษะ(Upskill) ผู้เข้าร่วมอบรมสู่การเป็นนักนวัตกรเกษตรในอนาคต ในยุคที่นวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน การเสริมสร้างความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับเยาวชนไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษารังสิต จัดกิจกรรมค่าย “ส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สู่อาชีพด้านนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่” ที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ให้กับคุณครูและนักเรียน จากสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดปทุมธานี (สกร.ปทุมธานี) จำนวน 8 ศูนย์ ในวันที่ 16 - 17 สิงหาคม 2567 ด้วยการสนับสนุนจากผู้ประกอบการบ้านสวนลุงวัฒน์ จังหวัดจันทบุรี เพื่อสร้างฐานความรู้ที่เข้มแข็งในการเพิ่มทักษะ(Upskill) ผู้เข้าร่วมอบรมสู่การเป็นนักนวัตกรเกษตรในอนาคต นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สวทช. ได้เน้นย้ำถึงแนวทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่เป็นแนวคิดสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่ความยั่งยืน การพัฒนานวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่เพียงแค่ต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้ แต่ยังต้องสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น และการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังต้องมองถึงความเป็นไปได้ในเชิงการตลาดเพื่อให้เกิดผลสำเร็จที่ยั่งยืนต่อไป ในกิจกรรมครั้งนี้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับโอกาสในการเรียนรู้และประยุกต์ใช้นวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ผ่านการออกแบบและควบคุมกล่องปลูกพืชด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Coding และ IoT ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในยุคดิจิทัลจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร.จุฬาลักษณ์ วัฒนานนท์ และอาจารย์พลวัฒน์ จินตนาภรณ์ อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ มทร.ธัญบุรี และยังได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพืชจากคุณเสาวณีย์ บัวโทน ครูชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษารังสิต และคุณสันติ อาริยะ นักวิชาการ ห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร โดยได้แนะนำพืชที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ เช่น เคล ราชินีผักใบเขียว และพืชกินแมลง ซึ่งเป็นพืชที่สามารถต่อยอดในการพัฒนาเป็นอาชีพเสริมได้ในอนาคต ตัวอย่างโครงงาน ที่น่าสนใจในกิจกรรมครั้งนี้คือโครงงานต้นแบบกล่องปลูกพืช ที่นำเสนอโดย นายชวินธร อัครทัตตะ นักเรียนจาก Charterhouse School, UK ซึ่งได้นำเสนอแนวคิดการปลูกพืชที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีการวางแผนการตลาดที่ชัดเจนในการนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด สิ่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักศึกษาในการมองเห็นภาพรวมของการพัฒนานวัตกรรมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบไปจนถึงการประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวัน ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากกิจกรรมนี้คือการเสริมสร้างความรู้และทักษะที่เข้มแข็งให้กับผู้เข้าร่วมอบรม พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้ได้เห็นถึงความสำคัญของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การนำวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของตนเอง แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนและประเทศชาติในอนาคต น.ส.สิริรัตน์ มีภาคสม ครู กรมส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอลำลูกกา (สกร.ลำลูกกา) กล่าวว่า “กิจกรรมเป็นตัวอย่างสื่อการเรียนรู้ด้านนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ได้ดีมาก ๆ ค่ะ สนุก ตื่นเต้น น่าสนใจทุกขั้นตอนในการเรียนรู้ วิทยากรทุกท่านสอนดี เป็นกันเอง และดูแลผู้เข้าร่วมอบรมอย่างทั่วถึง ภาพรวมดีทุกอย่างและคิดว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ในการดูแลพืชได้จริงที่ สกร.ลำลูกกา เช่น ช่วยอนุบาลพืชต้นอ่อน และมีเซนเซอร์วัดค่าต่าง ๆ ทำให้รู้ว่าพืชชนิดใดเหมาะสมกับน้ำ อุณหภูมิ ปุ๋ย และแสงในระดับใด เพื่อให้พืชสามารถปรับตัวในกล่องได้อย่างแข็งแรง ก่อนนำออกไปปลูกในแปลงจริง” ด้านนายศักดา ป้องกัน นักศึกษาจาก สกร.ลำลูกกา กล่าวว่า “การเข้ามาร่วมอบรมในครั้งนี้ทำให้ได้รับความรู้ใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีการเกษตรมากขึ้น และตนคิดว่าอยากนำความรู้ที่ได้รับไปทดลองปลูกพืช และนำมาขายเป็นการสร้างอาชีพเสริมและมีรายได้เพิ่มอีกด้วย” กิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเยาวชนไทย ให้พร้อมกับการเผชิญกับความท้าทายในอนาคต และเป็นตัวอย่างที่ดีในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาอาชีพและชีวิตอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. โชว์ความสำเร็จจากโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)” ส่งเสริมผู้ประกอบการสร้างรายได้มุ่งสู่ 1,000 ล้านบาทต่อปี
(วันที่ 29 สิงหาคม 2567) ที่ชั้น 10 อาคาร ซีอาเซียน ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. พร้อมด้วย คุณจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDEs) ขนาดใหญ่ Innovation Driven Enterprises ร่วมพิธีประกาศความสำเร็จโครงการ "แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)" ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถสร้างรายได้สูงถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี และ/หรือมีการเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ภายใน 3 ปี  ผ่านการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น Product Innovation Process Innovation Market Innovation และ Organization Innovation เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprises: IDEs)  โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่รวดเร็ว ตลอดจนความท้าทายใหม่ ๆ ในบริบทปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่าง ๆ เหล่านี้จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กร สร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง และมีโอกาสในการเติบโตในเวทีระดับโลกต่อไป ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการ "แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)" ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในยุคที่การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืน การพัฒนาผู้ประกอบการที่สามารถสร้างรายได้สูงถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี ไม่เพียงเป็นความสำเร็จเฉพาะตัวของผู้ประกอบการ แต่ยังสะท้อนถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม สวทช. รู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนนี้ และจะยังคงสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก “โครงการนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมและการจัดการที่ทันสมัย เรามุ่งหวังให้โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต แต่ยังจะช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในแง่ของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยโดยรวม" นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. และหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ "แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)"  นับเป็นโครงการสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถยกระดับธุรกิจด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล แม้ท่ามกลางความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้โครงการได้รับการสนับสนุนจาก สวทช. และ บพข. โดยมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprises: IDEs) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในประเทศไทยสามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตสูง โดยผ่านการสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในหลากหลายสาขา อาทิ การประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรม และการสร้างกลยุทธ์เชิงธุรกิจเพื่อนำพาธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน โครงการนี้ยังมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนผ่านการสร้างเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านนวัตกรรม (Innovation Stakeholder Ecosystem) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ภายในงานมีการเสวนาพิเศษที่น่าสนใจจากผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การอภิปรายในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีในการพัฒนาธุรกิจ และการแชร์ประสบการณ์จริงจากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในโครงการ หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานคือการบรรยายพิเศษจาก CEO ขององค์กรระดับแนวหน้าของประเทศ ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในธุรกิจและผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว Showcase ด้าน Influencer Marketing ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลังในยุคดิจิทัล ที่ไม่เพียงแต่สร้างการรับรู้ แต่ยังช่วยเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ทั้งนี้ในอนาคตโครงการ "แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม (Innovation Growth Hacker)" มีแผนที่จะสานต่อความสำเร็จในปีถัดไป โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรมที่เข้มแข็งและยั่งยืนยิ่งขึ้น ผ่านการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาธุรกิจไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีระดับโลก ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. 111 อาคาร Garden of Innovation ห้องเลขที่ GOI 15 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หมู่ที่ 9 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร. 02-564-7000 ต่อ 71748, 5373 Facebook: https://www.facebook.com/NstdaBID Email: bid@nstda.or.th
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. โดย นาโนเทค ผลักดันนวัตกรรมสารสกัดกระชายดำสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ต่อยอด “สารสกัดกระชายดำ” สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมจับมือ SNPS หรือบริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ลงนามอนุญาตให้สิทธิใช้ประโยชน์ผลงานวิจัย ร่วมขับเคลื่อนงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมกลุ่ม Active ingredients ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง-เสริมอาหาร รับความต้องการตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามของโลก หนุนโมเดลเกษตรกรรมแบบยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยกลไก S&T for Sustainable Thailand ของ สวทช. ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) กล่าวว่า ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่สังคมอายุยืน (Longevity Society) อย่างเต็มรูปแบบ อัตราการเกิดใหม่ลดลงประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากการคาดการณ์ในปี 2040 คนไทยอายุ 70+ จะเพิ่มขึ้นเป็น 11.6 ล้านคน จาก 5.4 ล้านคนในปี 2563  และคาดว่าในปี 2593 ค่าเฉลี่ยการมีชีวิตอยู่ของคนไทยจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 90 ปี ซึ่งการที่มนุษย์เรามีอายุยืนยาวขึ้นเป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการแพทย์ อาหาร และสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่าในอดีต  ทั้งนี้ แม้คนไทยจะอายุยืนขึ้น แต่การที่ไทยเป็นสังคมสูงวัยด้วย ทำให้วัยแรงงานมีจำนวนลดลง มีผลิตภาพแรงงานต่ำลง ในขณะเดียวกันสังคมอายุยืนก็นำมาซึ่งโอกาส และความท้าทายใหม่ๆ มากมายทั้งภาคธุรกิจ สังคม และบริการ อาทิ การแพทย์/สุขภาพ, อาหาร/เครื่องดื่ม, ที่พักอาศัย และท่องเที่ยว/ไลฟ์สไตล์ เป็นต้น “สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด รับกับวิสัยทัศน์ “เตรียมทัพกำลังคน สร้างอุตสาหกรรมอนาคต” IGNITE THAILAND : Future Workforce for Future Industry ที่กระทรวง อว. โดยนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. มีนโยบายที่สอดรับวิสัยทัศน์ดังกล่าว โดยมุ่งเน้นงานที่ตอบโจทย์สำคัญของประเทศ เช่น นโยบาย อว. For เซมิคอนดักเตอร์ อว. For EV อว. For AI เป็นต้น โดยมีแผนพัฒนาคนทักษะสูงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกันนี้ สวทช. เองมีการผลักดันแผนงาน S&T for Sustainable Thailand โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีกลุ่มเป้าหมายของ สวทช. ไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางทั้งในภาคอุตสาหกรรม สังคม ชุมชน รวมถึง Age Tech เช่นกัน” ดร. อุรชากล่าว Age Tech เป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ตลาด Age Tech มีแนวโน้มจะเติบโตรวดเร็วในระยะสั้นถึงกลางทำให้ได้รับการสนใจจากนักลงทุนมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการชะลอวัย (Anti-Aging) และการฟื้นฟู (Rejuvenation) กำลังได้รับความสนใจไปทั่วโลกสอดรับกับสังคมโลกที่เข้าสู่ยุคผู้สูงวัย ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่สามารถทำให้มีรูปร่าง ผิวพรรณภายนอกที่ดูดีขึ้น แต่ยังสามารถส่งเสริมสุขภาพ และอาจเพิ่มช่วงเวลาที่มีสุขภาพดี (Healthspan) และช่วงอายุขัย (Lifespan) ได้อีกด้วย ปัจจุบัน เทคโนโลยีดังกล่าว ได้ถูกนำมาใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, หัตถการเพื่อความงาม, รวมถึงผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำสารสกัดสมุนไพรไทยมาใช้เป็นสารสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สวทช. มีการส่งเสริม สนับสนุนการใช้ วทน. มาประยุกต์ใช้ในการวิจัยพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของสารสกัดสมุนไพรไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันได้มีการผลักดันแผนงาน S&T for Sustainable Thailand ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและคลอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน เช่น การต่อยอดสารสกัดกระชายดำนี้, นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน รวมไปถึง Digital Healthcare Platform, แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ สวทช. โดย นาโนเทคเองก็มีกลไกการขับเคลื่อนเพื่อการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน (R&D & infrastructure utilization) ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ภายใต้บทบาท solution partner อีกด้วย ดร. อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า นวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน เป็น 1 ใน BCG Implementation ของ สวทช. เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน เพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรโดยมีสมุนไพรนำร่อง 3 ชนิดได้แก่ กระชายดำ บัวบก และกะเพรา ตอบโจทย์เกษตรกรผู้ปลูก เอกชนผู้ผลิต-จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร และผลักดันให้เกิด “Hub of Thai Herbal Extract” ในการส่งเสริมพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสตลาดสมุนไพรให้กับประเทศอย่างยั่งยืน กระชายดำ (Kaempferia parviflora) ถูกนำมาเป็นยาบำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะทำให้แข็งแรง แก้ปวดเมื่อย และอาการเหนื่อยล้า และยังมีฤทธิ์ทางเภสัชกรรมมากมาย เช่น ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สมานแผลในกระเพาะอาหาร ขยายหลอดเลือดและต้านจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร และยังเพิ่มการไหลเวียนในโลหิตได้ด้วย การเติบโตจากแนวโน้มของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น จึงนำมาสู่แนวคิดในการวิจัยพัฒนาสารสกัดกระชายดำมาตรฐาน (Standardized Extract) รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสุขภาพ เพื่อการยับยั้งกระบวนการแก่ของเซลล์ (anti-aging) เพื่อการผลักดันเป็น Thailand herbal champion อย่างเป็นรูปธรรม ดร. อุดมกล่าวว่า นาโนเทค สวทช. ดำเนินการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสารสกัดกระชายดำมา 7-8 ปี โดยพัฒนากระบวนการสกัดกระชายดำเพื่อให้ได้สารสกัดกระชายดำ ในรูปสารสำคัญที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ พร้อมวิจัยร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการศึกษาความปลอดภัยและความเป็นพิษเฉียบพลันและกึ่งเรื้อรังของสารสกัดกระชายดำในสัตว์ทดลอง รวมถึงศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดกระชายดำในแง่ของการชะลอวัยในเซลล์เพาะเลี้ยงและสัตว์ทดลอง ซึ่งเป็นองค์ความรู้ในการนำสารสกัดกระชายดำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาเพื่อสุขภาพและชะลอวัยอีกด้วย และทดสอบขยายขนาดการผลิตสารสกัดกระชายดำมาตรฐานในระดับอุตสาหกรรมอีกด้วย โครงการดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติและบริษัทสเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ในการผลักดันการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพด้านชะลอวัยจากสารสกัดกระชายดำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขอรับอนุญาตใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาด้านกระบวนการเตรียมสารสกัดมาตรฐานกระชายดำจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีอีกด้วย รองศาสตราจารย์ ภญ. ดร. พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้วิจัย และส่งมอบสารออกฤทธิ์มาตรฐานจากธรรมชาติและสมุนไพรไทย (API:Active Phyto-Innovention) กว่า 24 ปีสำหรับอุตสาหกรรมเวชสำอาง อาหารเพื่อสุขภาพ, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์ยา รวมถึงส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพผิวพรรณ และเป็นผู้นำในการสกัดสารสกัดมาตรฐานสมุนไพรไทยที่มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานการผลิต ทำให้สามารถกำหนดปริมาณสารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ให้มีความเสถียร ทำให้วัตถุดิบจาก SNPS มีคุณภาพระดับสากล สามารถนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรมหลากหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่มสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร และ น้ำมันสกัดและน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรด้วยเครื่องมืออันทันสมัย และการควบคุมมาตรฐานอย่างเข้มงวด สร้างมาจากพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบันอยู่เสมอ  “ครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จจากการร่วมมือของเรากับศูนย์นาโนเทค สวทช. ในการพัฒนา “B GOLDTM” สารสกัดกระชายดำบริสุทธิ์ที่มีปริมาณฟลาโวนอยด์สูงสุดในรูปแบบอนุภาคขนาดนาโน กระบวนการสกัดแบบพิเศษโดยใช้เทคโนโลยีนาโน เพื่อช่วยคงคุณค่าของสารออกฤทธิ์สำคัญกลุ่มฟลาโวนอยด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยเทคโนโลยีนาโนขั้นสูงทำให้ B GOLDTM มีความเสถียรสูง ทำให้สามารถเก็บรักษาได้นาน และยังผ่านการทดสอบทางคลินิกทางด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากศูนย์นาโนเทค ทำให้สามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัยและคุณภาพ รวมถึงยังมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมูลค่าของกระชายดำไทย พร้อมทั้งส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของประเทศอีกด้วย” รองศาสตราจารย์ ภญ. ดร. พรรณวิภา เผย ด้าน ดร. ธีรญา กฤษฎาพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า B GOLDTM นับเป็นการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบทางการเกษตรมูลค่าสูง ที่ส่งผลถึงการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และในปัจจุบัน SNPS อยู่ระหว่างลงนามสัญญาทางการค้ากับบริษัทชั้นนำระดับโลกในหลากหลายประเทศเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากสารสกัดกระชายของไทยสู่ผู้ผลิตเครื่องสำอางและเวชสำอาง อาทิ ประเทศฝรั่งเศส, เกาหลี, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, อินเดีย, สหราชอาณาจักร, เยอรมัน และนิวซีแลนด์ “การขยายตลาด B GOLDTM ไปในต่างประเทศ ทำให้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากกระชายดำ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรไทย โดยนักวิจัยไทย ถือว่า สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ BCG ของประเทศ ที่เน้นถึงการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติคุณภาพสูง” ดร. ธีรญาย้ำ    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สานพลังพิชิต ฝ่าวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลัง
  ประเทศไทยผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังแปรรูปมากเป็นอันดับต้นของโลก โดยในปี 2564 กรมการค้าต่างประเทศรายงานว่าประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังแปรรูปเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 1.23 แสนล้านบาท แต่ทว่าหลังจากช่วงปี 2562 ที่ไทยเริ่มพบรอยโรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava ​Mosaic Disease: CMD) และประกาศการระบาดอย่างเป็นทางการในปี 2565 อุตสาหกรรมมันสำปะหลังกลับต้องเผชิญกับความสั่นคลอนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเรื่อยมา เพราะโรค CMD นอกจากจะทำให้หัวมันแคระแกร็นและคุณภาพผลผลิตตกต่ำแล้ว ยังเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่าย รวดเร็ว แต่ยับยั้งการแพร่ระบาดยากเพราะมีแมลงหวี่ขาวเป็นตัวกระจายโรค พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่ของไทยจึงกลายไปเป็นพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ที่ต้องเผชิญปัญหาโรค CMD ระบาดภายในระยะเวลาเพียง 2-3 ปี อย่างไรก็ตามท่ามกลางวิกฤตใหญ่ที่ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ยังมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังที่เลือกยืนหยัดหาแนวทางฝ่าฟันวิกฤตนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า ‘การสู้ไปด้วยกันจะนำไปสู่การผ่านพ้นวิกฤตได้’   [caption id="attachment_60352" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption]   [caption id="attachment_60353" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption] ปัญหาเกิด ‘ตัวกลางเร่งขยับ’ [caption id="attachment_60344" align="aligncenter" width="650"] ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.[/caption]   ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า นับตั้งแต่เริ่มพบโรค CMD ในประเทศไทยเมื่อปี 2562 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโสของ สท. ณ ขณะนั้น ได้มอบแนวทางให้บุคลากร สท. สร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และผสานการนำเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคที่นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. พัฒนาไว้มาช่วยรับมือกับปัญหานี้ทันที ในปีนั้น สท. จึงได้ร่วมกับไบโอเทคจัดการประชุมเพื่อสร้างความตระหนักถึงโรคนี้ให้ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดย สท. ได้เชิญนักวิชาการด้านการเกษตรจากหน่วยงานต่าง ๆ มาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง ส่วนนักวิจัยไบโอเทคได้นำเสนอเทคโนโลยีรับมือกับการระบาดของโรคทั้งในส่วนเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคและอุปกรณ์ตรวจโรค “ผลจากการประชุมครั้งนั้นก่อให้เกิดความร่วมมือครั้งใหญ่กับภาคเอกชน คือ กลุ่มพูลผล โดยบริษัทพูลอุดม จำกัด กลุ่มธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังหลายรูปแบบ ในการนำร่องสร้างกระบวนการรับมือโรค CMD อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยผู้บริหารของบริษัทมีวิสัยทัศน์ว่าโรค CMD ไม่น่าใช่ปัญหาเล็ก และมีแนวโน้มจะลุกลามไปเป็นวิกฤตการณ์โรคระบาดใหญ่ได้ในไม่ช้า ซึ่งผลจากการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ ของบริษัท ทำให้ขณะนี้บริษัทมีเทคโนโลยี ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และความเข้มแข็งด้านองค์ความรู้ สำหรับสร้างระบบการผลิตขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และใช้ประคับประคองเกษตรกรพันธมิตรของบริษัทกว่า 2,000 ครัวเรือน ไม่ให้ล้มพับในวันที่พื้นที่เพาะปลูกหลายแสนไร่ทั่วประเทศกลายเป็นพื้นที่สีแดงอย่างทุกวันนี้ได้”         หลังจากบริษัทพูลอุดมฯ รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากไบโอเทคในปี 2563 บทบาทของนักวิชาการจาก สท. ได้ขยับปรับเปลี่ยนจากการเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงเพื่อสร้างความตระหนัก มาเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งการระบาดของโรค CMD เพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ปลอดโรคเอาไว้ให้ได้นานที่สุด จนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมาช่วยพลิกสถานการณ์นี้ ชวินทร์ เล่าว่า ตั้งแต่วันแรกที่บริษัทพูลอุดมฯ และนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. ตัดสินใจดำเนินงานร่วมกัน นักวิชาการจาก สท. ยังคงทำหน้าที่ช่วยประสานการดำเนินงานเสมอมา นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิจัย และเกษตรกรด้วย เพราะตระหนักดีว่าโรค CMD ไม่ใช่ปัญหาเล็กที่จะแก้ไขได้ด้วยใครเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับประเทศที่ต้องการกำลังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ดังนั้น สท. จะไม่หยุดหมุนเฟืองจนกว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้     เทคโนโลยีรักษาพื้นที่สีเขียว ‘เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย’ [caption id="attachment_60341" align="aligncenter" width="650"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. เล่าต่อในมุมไบโอเทคว่า เดิมทีก่อนจะพบการระบาดโรค CMD ในประเทศไทย นักวิจัยไบโอเทคนำโดย ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ได้พัฒนาเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังพันธุ์เศรษฐกิจของไทยไว้ก่อนแล้วด้วย 2 เหตุผลหลัก คือ การอนุรักษ์ต้นพันธุ์แท้ปลอดโรค และการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์วิกฤตที่อาจทำให้ขาดแคลนต้นพันธุ์ เช่น เกิดเหตุโรคระบาด เกิดภัยธรรมชาติ   [caption id="attachment_60342" align="aligncenter" width="650"] ต้นอ่อนมันสำปะหลัง[/caption] “ในตอนนั้นช่วงปี 2563 หลังจากตัวแทนจากบริษัทพูลอุดมฯ แสดงความสนใจที่จะรับถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรค ดร.ธราธร และทีมได้ดำเนินการถ่ายทอดวิธีการผลิตต้นพันธุ์ด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทันที พร้อมช่วยดูแลการพัฒนาห้องปฏิบัติการภายในโรงงานของบริษัท และช่วยเป็นพี่เลี้ยงด้านการปรับปรุงกระบวนการอนุบาลและเพาะปลูก จนบริษัทสามารถผลิตและส่งต่อท่อนพันธุ์ให้เกษตรกรใช้ปลูกจริงได้แล้ว ซึ่งในตอนนั้นทีมวิจัยได้ช่วยผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อเป็นต้นแม่พันธุ์ให้บริษัทนำไปใช้ขยายพันธุ์ต่อ รวมแล้วมากกว่า 20,000 ต้น   [caption id="attachment_60351" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]     “นอกจากเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์แล้ว อีกหนึ่งตัวอย่างเทคโนโลยีสำคัญที่ไบโอเทคนำไปช่วยเหลือ คือ ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test เทคโนโลยีตรวจโรค CMD ที่ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. และทีมพัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาจับต้องได้ ที่สำคัญวิธีการตรวจง่าย เกษตรกรตรวจได้ด้วยตัวเองภายในพื้นที่เพาะปลูก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกษตรกรตรวจโรคได้บ่อยครั้งขึ้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่พบในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที”   [caption id="attachment_60343" align="aligncenter" width="650"] ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช.[/caption]     [caption id="attachment_60354" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]     นอกจากการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการพัฒนาต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวเอาไว้ให้ได้นานที่สุด นักวิจัยไบโอเทคยังมองไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีฐานเพื่อรองรับการล้างพื้นที่สีแดงแบบเอาน้ำดีไล่น้ำเสียในอนาคตด้วย ดร.ยี่โถ เล่าว่า จนถึงปัจจุบันทีมวิจัยยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการแก้ปัญหาโรค CMD และการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยมาอยู่ตลอด โดยทีมได้พัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจมจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะเทคโนโลยีนี้แม้จะต้องลงทุนสูงในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยความรวดเร็วในการขยายต้นพันธุ์ปลอดโรคจะทำให้ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานพันธมิตรที่มีห้องปฏิบัติการสามารถขยายต้นพันธุ์กลุ่มทนทานโรค CMD และต้านทานโรค CMD พันธุ์ต่าง ๆ (ข้อมูล ณ มิถุนายน 2567 มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทยสามารถพัฒนาพันธุ์ต้านทานโรค CMD ได้แล้ว 3 พันธุ์ อยู่ในช่วงวางแผนเตรียมการขยายพันธุ์) ในระดับหลักแสนหรือกระทั่งหลักล้านต้นได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนที่เราสามารถช่วยกันเอาน้ำดีไล่น้ำเสีย คืนพื้นที่ทั่วประเทศให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง และทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว   [caption id="attachment_60340" align="aligncenter" width="650"] กระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจม[/caption]   “อีกหนึ่งเทคโนโลยีการผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและไบโอเทคกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย คือ การพัฒนาระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในระบบ somatic embryogenesis หรือการโคลนนิง (cloning) พืชผ่านเซลล์แคลลัส​ ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการ genetic transformation หรือการส่งถ่ายยีนเข้าสู่เซลล์เพื่อปรับแต่งรหัสพันธุกรรมของพืช โดยในกรณีมันสำปะหลัง สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อพัฒนาพันธุ์ให้มีลักษณะตามวัตถุประสงค์การใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เช่น ต้านทานโรค ต้นพันธุ์ให้แป้งสูง ต้นพันธุ์ที่เหมาะแก่การผลิตเอทานอล หรืออื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้นในอนาคตได้”   ‘ความยั่งยืน’ โจทย์ที่เอกชนใส่ใจ [caption id="attachment_60339" align="aligncenter" width="650"] เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด[/caption]   เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เล่าต่อในมุมภาคเอกชนว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมานโยบายของบริษัทที่ผู้บริหารวางเป็นแนวทางในการทำงานให้แก่พนักงานมาตลอดคือความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนในห่วงโซ่ผลลัพธ์ (impact value chain) เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง จากนโยบายนั้นทำให้ทันทีที่ผู้บริหารทราบข่าวการเข้ามาของโรค CMD ก็ตัดสินใจลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับช่วยประคับประคองทุกภาคส่วนในสายการผลิตของบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันทันที “นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ทีมวิจัยไบโอเทคได้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงบริษัทในด้านการพัฒนากระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ในโครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันบริษัทสามารถผลิตต้นพันธุ์สะอาดเฉลี่ย 15,000-20,000 ต้น/เดือน เพื่อจัดส่งให้เกษตรกรพาร์ตเนอร์ใช้ปลูกได้แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังกำลังร่วมดำเนินการผลิตต้นพันธุ์ต้านทานโรคภายใต้โครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคของบริษัทสยามควอลิตี้สตาร์ช จำกัด เพื่อส่งมอบให้เกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิใช้ปลูกเพื่อผลิตมันสำปะหลังคุณภาพหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมด้วย โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตให้ได้มากกว่า 400,000 ต้น ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทีมวิจัยไบโอเทคและนักวิชาการจาก สท. สวทช. ที่สนับสนุนองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตของบริษัทเสมอมา “ภายหลังจากการช่วยเหลือเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานประสบความสำเร็จแล้ว บริษัทยังมีแผนจะพัฒนากระบวนการผลิตต่อเพื่อผลิตท่อนพันธุ์ปลอดโรคได้มากขึ้น และกระจายไปยังเกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ เพราะนอกจากบริษัทจะต้องพึ่งพิงผลผลิตจากพวกเขาแล้ว การที่เกษตรกรเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันกับบริษัทได้ ก็เป็นสัญญาณอันดีว่าอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยจะกลับมามั่นคงได้อีกครั้ง”             [caption id="attachment_60329" align="aligncenter" width="650"] เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด (คนที่ 6 จากซ้ายมือ) และทีมงานผู้ผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค[/caption]   เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เสริมว่า ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานทั้งในจังหวัดชัยภูมิและบุรีรัมย์ในรูปแบบพาร์ตเนอร์ที่ดูแลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด โดยได้สนับสนุนต้นพันธุ์สะอาดทั้งพันธุ์ทนทานและพันธุ์ต้านทานให้แก่เกษตรกร มีทีมงานให้ความรู้ในการเรื่องการคัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดีเหมาะกับสภาพดินและน้ำ รวมถึงช่วยแนะนำวิธีการปลูกและดูแลอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองโรค CMD ในรูปแบบ strip test ที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาไปให้ความรู้ เพื่อช่วยเสริมความเข้มแข็งให้เกษตรกรเครือข่ายด้วย ทุกคนต่างดำเนินงานตามค่านิยมของกลุ่มบริษัทฯ ที่ว่า ‘ซื่อสัตย์ โปร่งใส ใส่ใจในทุกปัญหา สร้างความเชื่อมั่นและรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในที่นี้ครอบคลุมทั้งเกษตรกร สังคม และสิ่งแวดล้อม                     คำบอกเล่าของทั้ง 4 คน อาจไม่ใช่เสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ของวิกฤตโรค CMD ระบาดหนักในประเทศไทยได้ แต่คำบอกเล่าเหล่านี้จะช่วยฉายภาพให้เห็นว่าการที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตัดสินใจร่วมมือฝ่าฟันปัญหาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คือหนทางที่นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยอย่างยั่งยืนได้ ด้วยความระลึกถึง ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ และ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ผู้อุทิศทั้งกำลังกายและใจช่วยเหลือประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตโรค CMD จนวาระสุดท้ายของชีวิต     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย สวทช. และบริษัทพูลอุดม จำกัด
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
10 Technologies to Watch 2024: เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies: PETs)
  ปัจจุบันคลาวด์ (cloud) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งกับการใช้ชีวิตของผู้คน เพราะนอกจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลแล้ว ยังเป็นพื้นที่ประมวลผลข้อมูลหรือ cloud computing อีกด้วย ตัวอย่างการใช้งานทั่วไป เช่น การอัปโหลดข้อมูลไฟล์งานหรือรูปภาพเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บและส่งต่อ การใช้สมาร์ตวอตช์ส่งข้อมูลสุขภาพขึ้นจัดเก็บและประมวลผลในคลาวด์เพื่อความสะดวกในการติดตามข้อมูลด้านสุขภาพ ซึ่งหากมองในภาพใหญ่ภาคธุรกิจก็มีการใช้งานคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์และประมวลผล รวมถึงเก็บข้อมูลสำคัญขององค์กรและลูกค้าอย่างแพร่หลายแล้วเช่นกัน ดังนั้นระบบรักษาความปลอดภัยของคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาว่าจะได้รับความนิยมสูงในอนาคต คือ Privacy-Enhancing Technologies: PETs หรือ เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ที่ช่วยเพิ่มการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานขึ้นอีกระดับ     หากคุณกำลังสงสัยว่าทำไมการยกระดับความปลอดภัยการใช้งานคลาวด์จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นเพราะเคยมีตัวอย่างความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับบุคคล หน่วยงาน ไปจนถึงความมั่นคงของประเทศมาแล้ว ตัวอย่างแรกพนักงานบริษัทซัมซุงนำ source code ไปให้ ChatGPT ช่วยรีวิว แล้วเกิดเหตุข้อมูลบริษัทรั่วไหล ตัวอย่างที่สองบริษัท MediSecure ที่ให้บริการจ่ายยาโดน Ransomeware โจมตีจนข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล ตัวอย่างที่สามบริษัท SnowFlake ที่ให้บริการ Cloud AI โดนแฮกเกอร์โจมตีจนข้อมูลลูกค้ารั่วไหล ส่งผลให้หุ้นของบริษัทตกร้อยละ 26 ในรอบ 12 เดือน และตัวอย่างสุดท้ายข้อมูลที่ตั้งค่ายทหารของสหรัฐอเมริกาในซีเรียและอิรักรั่วไหลจากคลาวด์ของผู้ให้บริการระบบสมาร์ตวอตช์ ส่งผลต่อความมั่นคงทางการทหาร     ก่อนจะไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยี PETs เพิ่มเติม มาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่า เพราะอะไรเทคโนโลยี cloud computing ที่มีการใช้งานกันอยู่ทั่วไปจึงยังมีช่องโหว่อยู่ จากภาพจะเห็นว่าเมื่อโรงงานอุตสาหกรรมใช้อุปกรณ์ IIoT (Industrial Internet of Things) ส่งข้อมูลไปประมวลผลยังคลาวด์ ข้อมูลจะผ่านการเข้ารหัสเพื่อป้องกันการดักฟังระหว่างทาง โดยเมื่อไปถึงคลาวด์แล้ว คลาวด์จะถอดรหัสข้อมูลมาคำนวณและวิเคราะห์ผล ก่อนจัดส่งผลลัพธ์ไปแสดงที่อุปกรณ์ปลายทาง ซึ่งในช่วงของการปลดล็อกรหัสนั้นเอง คือ การเปิดช่องช่องโหว่ให้ข้อมูลถูกโจรกรรมหรือรั่วไหลได้ทั้งจากการที่คลาวด์ถูกแฮ็ก และจากการที่เจ้าของคลาวด์นำข้อมูลไปหาประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต     ส่วนทางด้านเทคโนโลยี PETs ที่ผ่านการออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาช่องโหว่ดังกล่าว ข้อมูลที่ส่งขึ้นคลาวด์จะผ่านการเข้ารหัสด้วยวิธีการใหม่ที่ป้องกันการดักฟังข้อมูลระหว่างทางได้ และเมื่อข้อมูลไปถึงคลาวด์ คลาวด์จะคำนวณข้อมูลเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องถอดรหัส หรือหมายความว่ามีเพียงเจ้าของข้อมูลที่มีกุญแจเท่านั้นที่จะเข้าถึงเนื้อหาของข้อมูล ทั้งข้อมูลต้นฉบับและข้อมูลที่ผ่านการคำนวณแล้วได้ วิธีการนี้จึงมีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า     ปัจจุบันเริ่มมีการนำเทคโนโลยี PETs มาให้บริการแล้วหลากหลาย ตัวอย่างกลุ่มผู้ใช้งาน เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ ผู้ให้บริการด้านการวางแผนการตลาดและการโฆษณา ผู้ให้บริการเกี่ยวกับระบบยืนยันตัวตน รวมถึงผู้ดำเนินงานด้านทรัพยากรบุคคล     สำหรับประเทศไทย เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ในชื่อ Cyblion.io (ไซบิลเลียน) ไว้ใช้ให้บริการแพลตฟอร์ม IoT แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมไทยก้าวผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยความมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น ปัจจุบันเนคเทคได้ทดสอบการใช้งานจริงร่วมกับ บริษัทธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด (น้ำมันพืชกุ๊ก) แล้ว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
3 สัญญาณเตือน แบตเตอรี่กำลังเสื่อม
  แบตเตอรี่ก็เหมือนกับร่างกายของคนเราที่มีวันเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ส่วนจะเสื่อมเร็ว เสื่อมช้า เสื่อมน้อย เสื่อมมาก ถ้าสังเกตดูเราก็จะเห็นสัญญาณบางอย่างที่บอกให้รู้ว่า แบตเตอรี่ของเราไม่ทรงพลังเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว สัญญาณแรกที่อาจสังเกตได้คือ จำนวนชั่วโมงการใช้งานลดลง เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม พลังงานของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ต่อการชาร์จเต็มจะลดลงจากปกติ เนื่องจากความสามารถในการกักเก็บและจ่ายพลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า ความจุของแบตเตอรี่น้อยลง เช่น ปกติเราชาร์จแบตเตอรี่พัดลมมือถือเต็มแล้วใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงกว่าแบตเตอรี่จะหมด แต่พอแบตเตอรี่เสื่อมจะใช้งานได้น้อยกว่า 5 ชั่วโมง สัญญาณที่สองคือ ความร้อนของแบตเตอรี่สูงขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม ความต้านทานภายในตัวแบตเตอรี่จะสูงขึ้น ความร้อนจึงเกิดขึ้นมากกว่าแบตเตอรี่ใหม่ที่มีกระแสเท่ากัน ดังนั้นหากเรากำลังใช้งานอุปกรณ์ใด ๆ อยู่ แล้วรู้สึกว่าตรงบริเวณที่ใส่แบตเตอรี่มีความร้อนเกิดขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุปกรณ์นั้นอาจจะเริ่มเสื่อมแล้ว สัญญาณที่สามคือ แบตเตอรี่มีลักษณะผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากข้างในแบตเตอรี่มีวัสดุและสารเคมีที่เรียกว่า อิเล็กโทรไลต์ บรรจุอยู่ หากวัสดุและสารเคมีเหล่านี้เสื่อมสภาพก็อาจทำให้เกิดแก๊สสะสมภายในแบตเตอรี่ ส่งผลให้แบตเตอรี่เกิดอาการบวม เกิดรอยรั่ว และมีสารเคมีรั่วซึมออกมาภายนอก ซึ่งสารเคมีหลายชนิดส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่เบาบางไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อพบว่าแบตเตอรี่ที่เรากำลังใช้งานอยู่นั้นเริ่มส่งสัญญาณ 3 อย่างดังที่กล่าวมา ก็ให้เตรียมเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพราะการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมสภาพต่อไปอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราเสียหาย และหากแบตเตอรี่เสื่อมจนเกิดการรั่วซึมของสารเคมีก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราด้วย ที่มา : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่ เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นานาสาระน่ารู้
 
บทความ
 
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับพันธมิตร นำองค์ความรู้ทางชีวภาพ หนุนเสริมพื้นที่ผาแดง จ.ตาก เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางธรรมชาติ
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก และพันธมิตรหลายภาคส่วน จัดกิจกรรม“KIT CAMP 2024” และ “ก็มาดิ... CRAFT” ภายใต้การดำเนินงานโครงการ “การอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนในพื้นที่เหมืองผาแดง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ตามโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG” ระหว่างวันที่ 22 - 25 สิงหาคม 2567 ณ โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก และโรบินสันแม่สอด โดยไบโอเทคได้ร่วมจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องกิจกรรมสำรวจเก็บตัวอย่างและศึกษาเห็ดและราทำลายแมลงจากธรรมชาติ การส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชในพื้นที่ และสาธิตการทำไมซีเลี่ยมรูปหัวใจสำหรับฟื้นฟูป่าธรรมชาติและอิฐชีวภาพรักษ์โลกจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและกากกาแฟจากพื้นที่ โดยพิธีเปิดงานมี ดร.ธเนศ มณีกุล ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานพื้นที่ 32 สำนักงาน กปร. เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย นายกานดิษฏ์ สิงหากัน ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์และแผนงานตามแนวพระราชดำริ สำนักโครงการพระราชดำริและกิจการพิเศษ กรมป่าไม้ และ ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ผู้แทนจากหน่วยงานรอบพื้นที่ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วน จัดทำกิจกรรม วิจัยสำรวจความหลากหลายทางธรรมชาติในพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูให้มีความสมบูรณ์ขึ้น ภายใต้โครงการ “การอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนในพื้นที่เหมืองผาแดง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ตามโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG” ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมหลายส่วน ตั้งแต่การสำรวจสร้างคลังข้อมูลเห็ดกินได้ การใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ การผลิตอิฐชีวภาพ หมักกาแฟ ผลิตไซเดอร์ การใช้จุลินทรีย์สร้าง seed ball เร่งการงอกของเมล็ด การศึกษาจุลินทรีย์ก่อโรคพืชและแมลงศัตรูพืช การใช้จุลินทรีย์เพื่อควบคุมโรคพืชและแมลง รวมถึงการแนะนำพันธุ์พืชมะเขือเทศที่ดีให้กับเกษตรกรในพื้นที่ และอีกกิจกรรมที่ไบโอเทคให้ความสำคัญมากคือ การพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะน้อง ๆ นักเรียนและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดตาก ให้มีความตระหนักรู้ในความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งก่อให้เกิดความร่วมมือกับเครือข่ายในพื้นที่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคสังคม ในการจัดกิจกรรม“KIT CAMP 2024” และ “ก็มาดิ... CRAFT” ไม่ว่าจะเป็นกรมป่าไม้ สำนักงาน กปร. หอการค้าและ YEC จังหวัดตาก ททท.สำนักงานตาก บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร แม่สอด วิทยาลัยชุมชนจังหวัดตาก สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เป็นต้น สำหรับกิจกรรมที่ไบโอเทคนำมาร่วมอบรมและถ่ายทอดความรู้ให้แก่น้อง ๆ นักเรียนในพื้นที่ครั้งนี้ ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย ได้แก่ 1) การสร้างคลังข้อมูลเห็ดราในพื้นที่และรอบ ๆ ผาแดง 2) การสร้างคลังข้อมูลราทำลายแมลงเพื่อสนับสนุนองค์ความรู้ 3) การทำอิฐชีวภาพรักษ์โลกจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและกากกาแฟจากพื้นที่ และ 4) การเรียนรู้การจัดการโรคและแมลงด้วยชีวภัณฑ์ เพื่อประโยชน์กับเกษตรในพื้นที่และเครือข่ายชุมชน ดร.สายัณห์ สมฤทธิ์ผล นักวิจัย ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงการสำรวจเห็ดในพื้นที่ว่า เห็ดมีส่วนร่วมในระบบนิเวศโดยช่วยฟื้นฟูป่าหลายประการ เห็ดหลายชนิดมีคุณสมบัติในการย่อยสลายซากพืช เพื่อปลดปล่อยธาตุอาหารกลับคืนสู่ผืนป่า เห็ดบางชนิดอยู่ร่วมแบบพึ่งพาอาศัยกับรากพืช ช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของต้นไม้ โดยทีมวิจัยได้นำเอาองค์ความรู้เรื่องเทคโนโลยีและการปรับปรุงพันธุ์มาใช้ เช่น การปรับปรุงพันธุ์เห็ด โดยนำสายพันธุ์ดั้งเดิมจากที่นี่ไปปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ดีขึ้นในลักษณะต่าง ๆ โดยเฉพาะเห็ดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปรับปรุงพันธุ์ให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับที่ตลาดต้องการ มีดอกขนาดใหญ่ขึ้น คุณสมบัติทางโภชนาการดีขึ้น หรือเห็ดที่อยู่ร่วมกับรากพืช มีการศึกษาชนิดเห็ดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเหมาะสมกับต้นพืช และพยายามที่จะนำเห็ดชนิดนี้ใส่เข้าไปที่รากพืชเพื่อให้พืชเจริญเติบโต และสามารถฟื้นฟูป่าได้ ถ้าเรามีพันธุ์เห็ดที่ดี ชาวบ้านจะมีผลผลิตเห็ดที่ดี สามารถขายได้ โดยทีมวิจัยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ในด้านวิทยาศาสตร์ให้กับประชาชนและเด็ก ๆ ในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อให้มีความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ มีความเข้าใจในทรัพยากรที่มี ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เขาจะช่วยกันปกปักษ์รักษาป่าผืนนี้ให้มีความสมบูรณ์ต่อไป นางสุชาดา มงคลสัมฤทธิ์ นักวิจัย ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงกิจกรรมสำรวจราแมลงว่า ต้องการสำรวจราแมลงในพื้นที่เพื่อศึกษาถึงความหลากหลายของตัวอย่างราแมลง หลังจากที่สำรวจและจัดจำแนกชนิดของราแมลงแล้ว จะนำไปสร้างคลังข้อมูลความหลากหลายของราแมลงในพื้นที่ น้อง ๆ หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักราแมลงมาก่อน หลังจากน้อง ๆ ได้มาร่วมกิจกรรมสำรวจราแมลงกับพี่นักวิจัย จะได้เรียนรู้วิธีการสำรวจหาราแมลงในป่า ได้รู้จักชนิดของราแมลง โดยราแมลงในพื้นที่ผาแดงส่วนใหญ่มักจะพบเจอตามเศษซากไม้ใบทับถม กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความหลากหลายของราแมลงและการนำราแมลงไปใช้ประโยชน์ เช่น บิวเวอเรีย และเมตาไรเซียม สามารถพัฒนาเป็นชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ ด้าน นางสาวเชษฐ์ธิดา ศรีสุขสาม ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงกิจกรรมการเรียนรู้การจัดการโรคและแมลงด้วยชีวภัณฑ์ว่า กิจกรรม KIT CAMP เราได้นำความรู้เรื่องเกษตรปลอดภัยโดยอาศัยจุลินทรีย์กำจัดแมลงมาให้กับน้อง ๆ เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้ต่อยอดและนำกลับไปบอกกับที่บ้านได้ว่า จะทำการเกษตรอย่างไรที่ไม่ต้องใช้สารเคมีหรือใช้น้อยลง ซึ่งการจะใช้ชีวภัณฑ์ให้ได้ผล อย่างแรกคือต้องวินิจฉัยเป็น โรคร้าย แมลงดี แมลงร้าย เพราะแมลงมีหลายชนิด ตัวไหนดีต้องเก็บไว้ ตัวไหนร้ายต้องรีบควบคุม รวมถึงยังได้นำชีวภัณฑ์มาให้น้อง ๆ รู้จักด้วย ซึ่งการใช้งานต้องใช้ให้ถูกต้อง เก็บให้ถูก ไม่ใช้ตอนฝนตก และตอนร้อน และใช้ให้ตรงโรค ซึ่งเราคาดหวังว่า น้อง ๆ จะได้รับความรู้ มีแรงบันดาลใจนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ได้เข้าใกล้วิทยาศาสตร์มากขึ้น และนำเอาไปทำโครงงานวิทยาศาสตร์ได้ด้วย ปิดท้ายด้วย ดร.นัฐวุฒิ บุญยืน นักวิจัย ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงกิจกรรมการทำหัวใจไมซีเลี่ยมสำหรับปลูกป่าลด carbon footprint และทำอิฐชีวภาพว่า กิจกรรมสาธิตและอบรมการทำหัวใจ BCG Nature Heart (Mycelium-Based Composite) และอิฐชีวภาพ (biobrick) เป็นกิจกรรมเพื่อพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เชื่อมโยงข้อมูลด้านจุลินทรีย์และเห็ดรานำไปส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในพื้นที่ในโครงการฯ และพื้นที่ชุมชนโดยรอบและพื้นที่ภายใต้ความร่วมมือ โดยได้ให้น้อง ๆ ได้ทำไมซีเลี่ยมรูปหัวใจสำหรับฟื้นฟูป่าธรรมชาติ และอิฐชีวภาพรักษ์โลกจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและกากกาแฟจากพื้นที่ และร่วมกันปลูกป่าจากหัวใจไมซีเลี่ยมที่น้อง ๆ ทำขึ้นเองด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนา โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ SME ในตลาดต่างประเทศ : ตลาดตะวันออกกลาง อินโดนิเซีย และอินเดีย
SME สายส่งออกห้ามพลาด!!✈️ กับงานสัมมนา ▪️"โอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ SME ในตลาดต่างประเทศ ตอนที่ 1: เจาะตลาดตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และอินเดีย 🇦🇪🇮🇳🇮🇩" ▪️พบกับการบรรยายในหัวข้อ 🔺โอกาสและอุปสรรคของตลาดเกิดใหม่ ประเทศแถบตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และอินเดีย 🔺กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ 🔺แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ 🥇โดย ดร.เกริกเกียรติ ศรีเสริมโภค ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ (ผู้เชี่ยวชาญตลาดอินเดีย อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง) ✨สิทธิพิเศษสำหรับผู้ร่วมงาน :: สามารถสมัครรับคำปรึกษาเชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญด้านส่งออกรายบริษัทได้แบบ private session 📆วันที่ 4 กันยายน 2567 ⏱️เวลา 9.00 -12.00 น. 📌ณ ห้องประชุม ออดิทอเรียม (CO-113) อาคารสำนักงานกลาง อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลิงค์สมัคร 🔻🔻 https://www.nstda.or.th/r/r8LSg รับสมัครจำนวนจำกัด เพียง 50 ที่นั่ง ไม่มีค่าใช้จ่าย 📞สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คุณอภิวันท์ 0817922105
ปฏิทินกิจกรรม