ผลการค้นหา :
ไอแทป สวทช. หนุนผู้ประกอบการก่อสร้างต่อยอดธุรกิจพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร ‘ปลูกได้ทุกฤดูกาล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ตอบโจทย์ BCG
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สนับสนุนด้านวิชาการและเทคโนโลยีนวัตกรรมให้กับธุรกิจก่อสร้างต่อยอดธุรกิจพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) มาใช้กับการปลูกพืชออร์แกนิคในห้องพักอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงเทพฯ โดยสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้คำปรึกษาจนเป็นผลสำเร็จ
โดย บริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ได้ขอรับการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากโปรแกรม ITAP สวทช. ในการเริ่มพัฒนาธุรกิจการเกษตรในอนาคตด้วยการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) แบบอินทรีย์ ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบควบคุมสภาวะการเพาะปลูกที่ทันสมัย เช่น แสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ น้ำ และสารอาหารพืชแบบอัจฉริยะ เพื่อให้บริษัทสามารถปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวในเมืองที่มีคุณภาพได้ตลอดทั้งปี ได้นำเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร มาใช้กับการปลูกผักและผลไม้ออร์แกนิคในห้องพักอพาร์ตเมนต์ ทำให้ได้ต้นแบบห้องที่ปลูกผักและผลไม้ออร์แกนิคชนิดต่าง ๆ เช่น ผักเคล สตรอว์เบอร์รี และสมุนไพรเมืองหนาว เป็นต้น พร้อมเป็นสถานที่ดูงานของบริษัทต่างๆ ที่สนใจจะทำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารได้ศึกษาต้นแบบ เพราะผักและผลไม้ออร์แกนิคที่ปลูกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูงในตลาด ราคาแพง และการลงทุนของเทคโนโลยีนี้เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถลงทุนได้
ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า สวทช. หน่วยงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย มีเป้าหมายในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG “เพิ่มคุณภาพชีวิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ต่อยอดจุดแข็งของประเทศในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ประกอบด้วย Bioeconomy (ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร Circular Economy (ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน) และ Green Economy (ระบบเศรษฐกิจสีเขียว) ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก ด้วยการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับบริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ได้ขอรับการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากโปรแกรม ITAP สวทช. ในการเริ่มพัฒนาธุรกิจการเกษตรในอนาคตด้วยการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) แบบอินทรีย์ ด้วยการนำเทคโนโลยีฟาร์มเกษตรอัจฉริยะมาปรับใช้ในการปลูกพืชระบบปิดในอาคาร ด้วยระบบควบคุมสภาวะการเพาะปลูกที่ทันสมัย เช่น แสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ น้ำ และสารอาหารพืชแบบอัจฉริยะ เพื่อให้บริษัทสามารถปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวในเมืองที่มีคุณภาพได้ตลอดทั้งปี ถือเป็นนวัตกรรมการปลูกผักผลไม้อินทรีย์ที่ตอบโจทย์สังคมเมืองและเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี โปรแกรม ITAP สวทช. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและถ่ายทอดงานวิจัยที่ตอบโจทย์การพัฒนาเกษตรกรรมสู่ความยั่งยืน นอกจากนี้ยังสนับสนุนผู้ประกอบการด้านโรงเรือนอัจฉริยะในหลากหลายรูปแบบเพื่อหนุนผู้ประกอบการและเกษตรกรพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันและยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าการเกษตร รวมถึงนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศตามแผนโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ด้าน รองศาสตราจารย์วันชัย แหลมหลักสกุล ผู้เชี่ยวชาญ และหัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมระบบไซเบอร์-กายภาพทางการผลิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ผู้เชี่ยวชาญในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากโปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า ได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร มาร่วมพัฒนาธุรกิจเกษตรในอนาคตของบริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ด้วยการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร โดยทำโรงงานปลูกพืชระบบปิด Plant Factory ที่ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ ทั้งการให้น้ำ แสง อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดีแล้ว ยังสามารถปลูกพืชนอกฤดูกาลได้
“การวิจัยนี้ได้พัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคารที่ควบคุมสภาวะการเพาะปลูก ได้แก่ แสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ลม คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำและสารอาหารพืช ด้วยระบบอัตโนมัติประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยตั้งค่าการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถปรับตั้ง แก้ไข ควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตจากนอกสถานที่ได้ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยของเสียสู่สภาพแวดล้อมน้อยที่สุด
โดยเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรของบริษัทฯ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น อุณหภูมิ แสงเทียม (LED) เพื่อการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์แสงนี้จะผ่านแสงจากหลอดไฟ LED ที่มีการควบคุมความเข้มของแสง คลื่นความถี่และระยะเวลาของแสงในแต่ละช่วงการปลูก เพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับการสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ทั้งนี้การใช้แสง LED จะช่วยลดระยะเวลาการปลูกลงได้ครึ่งหนึ่งของระยะเวลาการเติบโต อีกทั้งยังมีการควบคุมลมและความชื้นในอากาศ หากความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำกว่ากำหนด ระบบจะเชื่อมต่อกับระบบพ่นละอองน้ำแบบพิเศษเพื่อปรับความชื้นสัมพัทธ์ให้อยู่ในช่วงที่กำหนด ซึ่งโดยภาพรวมระบบจะควบคุมพารามิเตอร์ เพื่อให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด”
ด้าน นายพีรพงษ์ ตันตยาคม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการ กล่าวว่า เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจก่อสร้างเป็นหลัก และมีแนวคิดที่ต้องการปลูกพืชผักและผลไม้เมืองหนาวของต่างประเทศแบบออร์แกนิคไว้กินเอง แต่ด้วยพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นดินที่มีจำกัดเนื่องจากอยู่ในกรุงเทพฯ อีกทั้งปัญหาด้านแมลงศัตรูพืช สภาพดินฟ้าอากาศ และฤดูกาล แต่มีห้องว่างในอพาร์ตเมนต์จึงได้นำแนวคิดนี้ไปขอรับการสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช.โดยมีรองศาสตราจารย์วันชัย แหลมหลักสกุล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นผู้เชี่ยวชาญและได้ดำเนินโครงการจากการทดลองปลูกผักสลัดได้สำเร็จ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้ทดลองปลูกสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์ต่างประเทศ ผักเมืองหนาว เช่น ผักเคล เซเลอรี่ สวิสชาร์ด พาสเลย์ และสมุนไพรต่างประเทศ รวมถึงดอกไม้กินได้ เป็นต้น
“ผลที่ได้รับจากการนำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารมาใช้คือ นวัตกรรมการปลูกผักผลไม้อินทรีย์ในอาคารในพื้นที่จำกัดที่กรุงเทพฯ และยังสามารถปลูกให้ผลผลิตตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูกาล มีคุณภาพทางกายภาพ ทางเคมีของผลผลิต สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารเคมีและยาปราบศัตรูพืช ซึ่งแตกต่างจากการปลูกโดยทั่วไปที่จะออกผลผลิตตามฤดูกาลและต้องใช้น้ำและสารเคมีและยาปราบศัตรูพืชเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังลดต้นทุนด้านการขนส่งเนื่องจากปลูกใกล้แหล่งจัดจำหน่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งบริษัทฯ ได้จัดตั้งเป็นศูนย์สาธิตระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร เมื่อดำเนินการโครงการแล้วเสร็จ เพื่อสาธิตระบบฟาร์มเกษตรในอาคารให้กับลูกค้าของบริษัทฯ และผู้สนใจในการนำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารไปใช้ในธุรกิจ ร้านอาหาร และบ้านอยู่อาศัย
จากในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ผู้บริโภคต้องทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากขึ้น บริษัทฯ ได้จัดจำหน่ายพืชผักแบบออร์แกนิคที่ปลูกได้จากฟาร์มเกษตรในอาคารได้แก่ ผักเคล และสมุนไพรต่างประเทศ เช่น โรสแมรี่ ไทม์ ออริกาโน โหระพาอิตาเลี่ยน ซึ่งทำการตลาดภายใต้แบรนด์ "Kale Factory" ผ่านหลายช่องทางที่ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น ทั้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, LINE และผ่านแพลตฟอร์มบริการส่งด่วน เช่น LINE MAN, Robinhood และ AOW”
นายพีรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีการปลูกแห่งอนาคตนี้ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการปลูกพืชที่ต้องการความปลอดภัยสูง จึงควรเป็นพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เช่น พืชผักผลไม้เมืองหนาว สมุนไพร หรือยารักษาโรค โดยใช้เทคโนโลยีการปลูกพืชในอาคารที่มีการควบคุมสภาวะการเพาะปลูก ทำให้สามารถทำการเกษตรได้ทุกเวลา ไม่มีฤดูกาล มีคุณภาพทางกายภาพ-ทางเคมีของผลสะอาดและปลอดภัยตามที่ต้องการ
ผู้ประกอบการที่สนใจเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร สามารถขอรับบริการได้ที่ โปรแกรม ITAP สวทช. โทร 0 2- 564 -7000 ต่อ 1301 หรืออีเมล panita@nstda.or.th
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
ตอนที่ 4 รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://www.youtube.com/watch?v=kzhUVkEsjasเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ดร.ณัฏฐพร พิมพะ และคณะ ดร.นุวงศ์ ชลคุป คุณฉวีวรรณ คงแก้ว และคณะ ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม และคณะ ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ และ นพ.ปรีดา มาลาสิทธิ์
30 ปี สวทช.
คลัง VDO
2 กระทรวงผนึกกำลัง ใช้ประโยชน์จาก Big DATA จัดการท่องเที่ยวอุทยานธรณี หนุนเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืน
วันที่ 26 สิงหาคม 2564 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การสร้างเครือข่ายการวิจัยและพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุนหน่วยงานในยุคดิจิทัลและ BCG Model” ในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อเดินหน้านำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) สู่การอนุรักษ์ ป้องกัน และจัดการแหล่งเรียนรู้ สร้างมูลค่าและประโยชน์ของงานทางด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย และอุทยานธรณี สอดรับโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน BCG Economy model รวมทั้งสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนกรมทรัพยากรธรณี สู่การเป็นองค์กรดิจิทัลในอนาคต
ดร.สมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจเกี่ยวกับการสงวน การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม และธรณีพิบัติภัย โดยการสำรวจ ตรวจสอบ และวิจัยสภาพธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี การประเมินศักยภาพแหล่งทรัพยากรธรณี การกำหนดและกำกับ ดูแลเขตพื้นที่สงวน อนุรักษ์ ทรัพยากรธรณี และพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณี คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องสู่สาธารณชน จึงร่วมมือกับกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรทางวิชาการ อาทิ เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ เครือข่ายธรณีพิบัติภัย เครือข่ายอุทยานธรณี เครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ทางวิชาการด้านธรณีวิทยาสู่ชุมชนและหน่วยงานในท้องถิ่น สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น เพื่อยกระดับการสร้างการรับรู้สู่สาธารณชน กรมทรัพยากรธรณีจึงได้สนับสนุนและขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมและการแปรรูปทางดิจิทัล (Digital Transformation & Innovation : DTI) ในงานด้านธรณีวิทยา ที่สอดคล้องกับแนวคิดวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในปัจจุบัน โดยร่วมมือกับเนคเทคขับเคลื่อนการวิจัย พัฒนา สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม แลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และประสบการณ์ พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือร่วมกัน จากจุดแข็งและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านธรณีวิทยา บูรณาการกับความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มในมิติต่างๆ ของเนคเทค ที่เป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อสร้างนวัตกรรมผลงานและเชื่อมโยงข้อมูลที่มีประสิทธิภาพให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ควบคู่กับการพัฒนาโครงการต่างๆ ร่วมกันในอนาคต
สำหรับนวัตกรรมและการแปรรูปทางดิจิทัล (Digital Transformation & Innovation : DTI) ที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดงานวิจัย นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ของกรมทรัพยากรธรณี ได้แก่ DTI สำหรับงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ งานด้านพิพิธภัณฑ์ งานด้านธรณีพิบัติภัย งานด้านสำรวจธรณีฟิสิกส์ งานด้านอุทยานธรณี และถ้ำวิทยา ความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรณีวิทยา ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเครือข่ายการวิจัยและพัฒนา และสร้างระบบการใช้เทคโนโลยีในการวิจัยและพัฒนาให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวถึงความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม และผลงานวิจัย ในความร่วมมือนี้ โดยนำ “นวนุรักษ์” (https://www.navanurak.in.th) แพลตฟอร์มบริหารจัดการและให้บริการข้อมูลวัฒนธรรม สร้างฐานข้อมูลและความหลากหลายทางชีวภาพอัตลักษณ์ชุมชนและพื้นที่อุทยานธรณี และ“Museum pool”แพลตฟอร์มบริหารจัดการเนื้อหาการนำชมมาใช้ในส่วนฐานข้อมูลการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ทั้ง 7 แห่ง ของ ทธ. นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาใช้ในอุทยานธรณี (Geopark) เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนเพื่อบริหารการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่อุทยานธรณี ยกระดับพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในระดับประเทศและระดับโลก โดยใช้องค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การประสานเชื่อมโยงนักวิจัย กับเครือข่ายให้เกิดการทำงานร่วมกัน ศึกษาวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล จ.สตูล ในระบบนิเวศถ้ำ (ถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำอุไรทอง และถ้ำทะลุ) ทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางวัฒนธรรม พบพืช สัตว์ จุลินทรีย์และเห็ดรา รวมทั้งสิ้น 802 ชนิด นำข้อมูลเข้านวนุรักษ์แพลตฟอร์มดิจิทัล จำนวน 3,163 รายการ (ข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ 2,076 รายการ และข้อมูลวัฒนธรรม 1,088 รายการ) และยังได้นำข้อมูลไปอบรมไกด์ท้องถิ่นในพื้นที่ จัดทำคู่มือการอนุรักษ์หญ้าทะเลหอสี่หลัง คู่มือเล่าเรื่องอย่างง่ายสิ่งมีชีวิตเด่น ป้ายประชาสัมพันธ์พร้อม QR Code คลิปวีดิโอเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเอกสาร Biodiversity in Satun UNESCO Global Geopark และได้แต่งตั้งคณะทำงานความหลากหลายทางชีวภาพพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูลโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ในการบริหารจัดการท่องเที่ยวสร้างเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เนคเทค สวทช. ได้นำงานวิจัยและพัฒนามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการวิธีประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติดินถล่มและหินหล่นด้วยการประยุกต์ใช้ไอซีที เช่น การติดตั้งระบบเครือข่ายเซนเซอร์ไร้สายในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม การวิเคราะห์ข้อมูล point clouds เพื่อระบุเหตุการณ์หินหล่น และการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อระบุพื้นที่เกิดดินถล่ม
โครงการความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน จะเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชน เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทางด้านทรัพยากรธรณี เครือข่ายการวิจัยด้านธรณีพิบัติภัย เครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับงานด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย อุทยานธรณี และแหล่งธรณีวิทยา รวมทั้งสามารถนำเทคโนโลยีด้านธรณีวิทยาไปประยุกต์ใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของภาคประชาชนในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการบูรณาการความร่วมมือในการใช้เครื่องมือที่เกิดขึ้น จากงานวิจัยและองค์ความรู้ด้านในการสงวน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี ซากดึกดําบรรพ์ ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม และธรณีพิบัติภัย ให้เกิดประโยชน์ให้เกิดมิติต่าง ๆ รวมถึงสนับสนุน โมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน BCG Economy Model ให้เกิดประโยชน์ตั้งแต่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เน้นการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ที่อยู่กับชุมชน เกษตรกร ด้วยการอนุรักษ์ รู้จักการใช้ประโยชน์เพิ่มพูน และฟื้นฟูไปพร้อม ๆ กัน โดยการร่วมมือกันของภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
รายงานสถานการณ์การขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ในประเทศไทย ปี 2564
โครงการ "จัดทำรายงานสถานการณ์การขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในประเทศไทย ปี 2564"
จัดทำโดย มูลนิธิเพื่อส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืนแห่งเอเชียแปซิฟิก (Thai SCP Network)
Download
BCG
บทความต่างประเทศ Design in Thailand : the designers turning nature into innovative materials
บทความต่างประเทศ กล่าวถึง การออกแบบไทย ทั้งการออกแบบเฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตาม "Bio-Circular-Green-Design"
Link : Design in Thailand: the designers turning nature into innovative materials
BCG
อย. เผยความคืบหน้าการใช้ rPET เป็นบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม
นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ขณะนี้ อย. ได้ดำเนินการทบทวนประกาศกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการนำพลาสติกรีไซเคิลกลับมาผลิตเป็นภาชนะบรรจุอาหาร ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งได้มีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดชนิดของพลาสติกรีไซเคิลที่จะอนุญาตให้ใช้ผลิตเป็นภาชนะบรรจุอาหาร คือ พลาสติกพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate; PET)
นอกจากนี้ อย. ยังได้ร่วมมือกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ในการศึกษาวิจัยแนวทางการประเมินความปลอดภัยพลาสติกรีไซเคิลของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งสำรวจพฤติกรรมการนำขวดบรรจุอาหารและเครื่องดื่มไปใช้ซ้ำ เพื่อนำมาพิจารณากำหนด (ร่าง) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและแนวทางการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลสำหรับประเทศไทย เพื่อประกอบการพิจารณาความปลอดภัยและการอนุญาตภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล และได้จัดทำ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก ควบคู่ ไปด้วย
ทั้งนี้ อย. จะนำรายละเอียดของ (ร่าง) หลักเกณฑ์ เงื่อนไข รวมถึงแนวทางการประเมินฯ ที่ปรับแก้ไขเสนอต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความคิดเห็นในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2564 นี้ เพื่อรวบรวมความคิดเห็นต่าง ๆ เสนอต่อคณะอนุกรรมการวิชาการด้านภาชนะบรรจุอาหารพิจารณาต่อไป เพื่อให้สามารถกำหนดหลักเกณฑ์และกฎหมายที่ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติได้บนพื้นฐานการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค และการอนุญาตให้ใช้พลาสติกรีไซเคิลที่มีมาตรฐานและมีความปลอดภัยเป็นภาชนะบรรจุอาหารยังเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)
ที่มาข้อมูล : https://www.fda.moph.go.th/Shared Documents/News/ปีงบประมาณ 2564/ข่าวแจก 158 ปีงบประมาณ 2564/ข่าว rPET.pdf
BCG
ทักษะที่ผู้จัดการความรู้ต้องการมากที่สุด
APQC (American Productivity and Quality Center) ได้ระบุ 16 ความสามารถหลักสำหรับทีม KM (knowledge management, การจัดการความรู้) ได้ถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
- การจัดการโครงการและโปรแกรม
- Consulting and customer centricity
- การสื่อสารและการจูงใจ
- การจัดการข้อมูล, เทคโนโลยี และความคล่องข้อมูล
การสแกนอย่างเร็วของกลุ่มเหล่านี้แสดงความหลากหลายของทักษะที่ถูกต้องการเพื่อประสบผลสำเร็จ KMers ต้องรู้วิธีที่จะปรึกษาและสื่อสารกับผู้ถือผลประโยชน์ร่วม, วางแผนและจัดการโครงการขนาดใหญ่ และแปลผลข้อมูลและเทคโนโลยีดีพอที่จะเลือกเครื่องมือและตรวจสอบการประยุกต์ใช้ ทั้งหมดนี้สามารถรู้สึกเหมือนคำสั่งที่มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทีมที่มีข้อจำกัดเรื่องแหล่งทรัพยากรและขนาดเล็ก ร่วมมือกับกลุ่ม เช่น IT และ HR สามารถช่วยทีมที่มีขนาดเล็กแก้ปัญหา
ทักษะ KM สำหรับพื้นที่ทางธุรกิจที่พัฒนาอย่างเร็ว
อย่างชัดเจน โปรมแกรม KM ต้องการเพิ่มส่วนผสมของทักษะคน, กระบวนการ และเทคโนโลยี แต่เมื่อถามผู้ตอบการสำรวจล่าสุดทักษะไหนสำคัญที่สุดเพื่อช่วยทีม KM ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ผู้ตอบหลายคนมุ่งไปที่ประเด็นของการสื่อสาร, การจูงใจ และความคล่องข้อมูล
ความต้องการสำหรับทักษะคนไม่ใหม่ใน KM แต่ก้าวปัจจุบันของการเปลี่ยนแปลงกำลังต้องการ KMers กลายเป็น change agent ที่เชี่ยวชาญและมีทักษะที่เกี่ยวข้อง เช่น active listening, การสื่อสาร, การฝึกหัด, การเล่าเรื่อง (storytelling) และ facilitation
ในเวลาเดียวกัน ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของข้อมูลธุรกิจและโปรแกรมวิเคราะห์กำลังทำให้ KM upskill ในเรื่องเหล่านี้ บางความพยายามเหล่านี้ถูกออกแบบเพื่อช่วยกลุ่มธุรกิจลูกค้าเปลี่ยนข้อมูลเป็นความรู้
ที่มา: Lauren Trees (March 02, 2020). The Skills Knowledge Managers Need Most. Retrieved August 18, 2021, from https://www.apqc.org/blog/skills-knowledge-managers-need-most
การจัดการความรู้ (KM)
มีหลายเหตุผลในการทำ benchmark
ทำไมบริษัททำ benchmark
Benchmarking ช่วยองค์กรปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยให้รายละเอียดที่ต้องการเพื่อระบุอย่างมีประสิทธิภาพระดับการพัฒนาของการปฏิบัติและกระบวนการทางธุรกิจซึ่งขับเคลื่อนองค์กร
ใครเพื่อที่จะ benchmark ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระบุ คำตอบที่ง่ายคือ ระบุองค์กรในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทำไมไม่ มีการปฏิบัติที่เหมือนกัน ดังนั้นมาดูกัน ทำในหนทางเดียวกันใช่ไหมและถ้าไม่เป็นหนทางที่ดีกว่าใช่ไหม ทำเพื่อการเปรียบเทียบที่ง่าย แต่อย่าลืมเหตุผลทำไมองค์กรทำ benchmark เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น องค์กรต้องการเรียนรู้หนทางที่ดีกว่า เร็วกว่า และฉลาดกว่าเพื่อทำงาน ดังนั้นค้นหาองค์กรอื่นซึ่งทำในสิ่งที่เหมือนกันไม่มีค่า ต้องการ fresh eyes
จากการศึกษา benchmarking เมื่อเร็ว ๆ นี้ องค์กรที่ให้การสนับสนุนสงสัยเมื่อดูเหมือนว่าองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องถูกแนะนำเป็นผู้ร่วมศึกษา เรียนรู้อะไร ไม่ได้ทำเกี่ยวข้องกับที่ทำ อย่างแน่นอน ไม่รู้สึกสนใจในผลิตภัณฑ์ สนใจในวิธี นี้เป็นที่ที่การเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดขึ้น เมื่อกระบวนการระดับสูงเหมือนกัน แต่วิธีแตกต่าง
เมื่อระบุเกณฑ์ benchmarking ระบุองค์กรซึ่งปฏิบัติกระบวนการที่เหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรม คำศัพท์เฉพาะอาจไม่เหมือนกันแต่บทเรียนที่สามารถเรียนรู้ล้ำค่า นี้เป็นพลังที่แท้จริงของ benchmarking
ที่มา: Matt Zacher (April 24, 2020). The Many Reasons to Benchmark. Retrieved August 18, 2021, from https://www.apqc.org/blog/many-reasons-benchmark
การจัดการความรู้ (KM)
เคล็ดลับเพื่ออธิบาย KM (knowledge management, การจัดการความรู้) คืออะไรและทำไมพนักงานควรทำ KM
มากกว่าครึ่งหนึ่งของโปรแกรม KM ที่ APQC (American Productivity and Quality Center) สำรวจรับรู้ความสำคัญของการสื่อสาร ในโปรแกรมเหล่านั้นมีแผนการสื่อสารที่เป็นทางการและสมาชิกในทีมได้รับมอบหมายให้จัดการแผนดังกล่าว แม้แต่ด้วยการลงทุนเหล่านี้ ทีมต่อสู้อย่างต่อเนื่อง น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้เชี่ยวชาญ KM รายงานว่าองค์กรมีประสิทธิภาพในการทำให้พนักงานตระหนักวิธี KM ที่มีให้และเหตุผลสำหรับการมีส่วนร่วม
การปรับปรุงให้ดีขึ้นวิธีที่ทีม KM สื่อสาร
งานวิจัยของ APQC ชี้บางส่วนผสมสำหรับความสำเร็จ ข้อความเป็นสิ่งจูงใจมากที่สุดเมื่อได้รับการปรับให้เข้ากับผู้ฟังที่มีศักยภาพแต่ละคนและส่งออกโดยผู้นำหรือแหล่งที่น่าเชื่อถือ จะพูดอะไรเกี่ยวกับการเข้าใจการตลาด ต้องเข้าใจอะไรทำให้บางคนทำหน้าที่ได้ดีและต่อมาถ้าสามารถ เชื่อม KM กับสิ่งกระตุ้นภายในเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคอาวุโสไม่สามารถจินตนาการวิธีที่จะทำให้การแบ่งปันความรู้เข้าไปในแผนการ สามารถแสดงวิธีทำเป็นเอกสารบางอย่างที่รู้ หรือสอนให้คนอื่น ๆ สามารถลดปริมาณงาน ข้อความอาจเน้นความจริงว่าถ้ามีส่วนร่วมใน community forum กำลังตอบคำถามเดียวกันที่ตอบโดย email แล้ว แต่ยังสร้างการบันทึกที่เข้าถึงได้ซึ่งผู้เสาะหาความรู้ในอนาคตสามารถใช้ประโยชน์ การสื่อสารดีกว่าเป็นการกีฬาของทีม ดังนั้นทำให้ผู้นำไปใช้และผู้มีความกระตือรือร้นมีส่วนร่วม สามารถช่วยกระจายคำ
ที่มา: Lauren Trees (May 19, 2019). 10 Tips to Explain What KM Is and Why Employees Should Do It. Retrieved August 22, 2021, from https://www.apqc.org/blog/10-tips-explain-what-km-and-why-employees-should-do-it
การจัดการความรู้ (KM)
สุริยะ เผยผู้ประกอบการอุตฯไบโอ เดินหน้าลงทุนเฉียด 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มประเภทโรงงาน เสริมมาตรการสร้างแรงจูงใจ สนับสนุนอุตสาหกรรมไบโอกระตุ้น GDP
สุริยะ เผยผู้ประกอบการอุตฯไบโอ เดินหน้าลงทุนเฉียด 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มประเภทโรงงาน เสริมมาตรการสร้างแรงจูงใจ สนับสนุนอุตสาหกรรมไบโอกระตุ้น GDP ตั้งเป้าหมาย ไทยเป็นไบโอฮับอาเซียน
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบความก้าวหน้ามาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย เร่งขับเคลื่อน Bio economy สอดรับ BCG Model เอกชนลงทุนกว่า 149,000 ล้านบาท หวังกระตุ้น GDP และหนุนไทยเป็นไบโอฮับอาเซียน ด้านสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) รับไม้ต่อเร่งหารือกระทรวงการคลัง ขยายเวลามาตรการกระตุ้นใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Green Tax Expense) ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 1.25 เท่า จูงใจ ห้างร้านใช้ไบโอพลาสติกทดแทนปีละไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 10 (more…)
BCG
Digital transformation ใช้ไม่ได้โดยปราศจากกลยุทธ์
Digital transformation คืออะไร
Digital transformation เกี่ยวกับการรวมตัวเชิงกลยุทธ์ของหลายเทคโนโลยี องค์ประกอบขั้นพื้นฐานรวมถึงทำให้ข้อมูลและรายละเอียดเป็นดิจิทัล, ทำให้กระบวนการเป็นอัตโนมัติ, ประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ และทำให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ทางดิจิทัล
แต่ถ้า digital transformation เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล เป็น a transformation ใช่ไหม
ความพยายาม digital transformation สามารถแตกต่างในเรื่องขอบเขต, การควบคุม และความตั้งใจ หลายองค์กรกำลังแก้ปัญหาทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้พัฒนาวิธีเชิงกลยุทธ์รวมเพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ทั่วธุรกิจ
เมื่อนี้เกิดขึ้น องค์กรต่อสู้เพราะไม่มีวัตถุประสงค์ที่ครอบคลุมหรือแผนผูกมัดความพยายามเข้าด้วยกัน ในที่สุดผลคือความสับสนท่ามกลางผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเพราะว่าไม่รู้:
1. รวมถึงอะไร บ่อยครั้งไม่มีตัวแปรหรือเกณฑ์เพื่อระบุส่วนไหนของธุรกิจต้องการโครงการการทำให้เป็นดิจิทัลหรือเพื่อช่วยบอกขอบเขตและจัดลำดับความสำคัญความพยายาม ผลคือความสับสนเกี่ยวกับที่ไหนที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
2. อะไรเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
3. วิธีที่ชิ้นส่วนรวมเข้าด้วยกัน บ่อยครั้งไม่มีมุมมองแบบองค์รวมของโครงการดิจิทัลเพื่อช่วยองค์กรเข้าใจการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างโครงการ
เคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไร
Digital transformation ควรประกอบด้วยโครงการดิจิทัลที่มีการเชื่อมต่อระหว่างกัน, กลยุทธ์ ไม่ใช่เทคโนโลยี ควรชี้แนะการตัดสินใจ ดังนั้นหลายองค์กรต้องพิจารณา 3 คำถามซึ่งเกี่ยวข้องกับงานทางดิจิทัล
1. ทำไมกำลังทำอย่างนี้ ตัวอย่างเช่น องค์กรกำลังมีส่วนร่วมใน digital transformation เพราะต้องการปรับปรุงความใกล้ชิดลูกค้าให้ดีขึ้น, ความดีเยี่ยมของการปฏิบัติ หรือการเติบโตขององค์กรใช่ไหม
2. ทำให้ความพยายามทำงานไปด้วยกันได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น มีทีมดิจิทัลหรือคณะกรรมการดำเนินการด้วยการเฝ้าดูและความรับผิดชอบทั่วโครงการใช่ไหม
3. จะวัดความสำเร็จอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าวัตถุประสงค์คือปรับปรุงความใกล้ชิดลูกค้าให้ดีขึ้น รู้วิธีวัดผลกระทบของโครงการดิจิทัลต่อประสบการณ์ลูกค้าใช่ไหม
โดยถามคำถามเหล่านี้กับตัวเอง องค์กรสามารถสร้างวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน วัดได้ซึ่งจัดให้อยู่ในแนวเดียวกับโดยตรงกลยุทธ์ที่ครอบคลุม คำตอบยังช่วยผู้นำระบุเกณฑ์สำหรับโครงการดิจิทัล
ที่มา: Holly Lyke-Ho-Gland (March 12, 2019). Digital Transformation Doesn’t Work Without a Strategy. Retrieved August 22, 2021, from https://www.apqc.org/blog/digital-transformation-doesnt-work-without-strategy
การจัดการความรู้ (KM)
ความผิดพลาดเกี่ยวกับ KM (knowledge management, การจัดการความรู้) ที่ใหญ่ที่สุดที่องค์กรทำให้เกิดขึ้น
Stan Garfield ได้เน้นไปที่ 5 ความผิดพลาด ได้แก่
1. ไม่ได้เริ่มต้นด้วย vision ที่น่าสนใจ
หนึ่งของความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดที่ Stan เห็นคือ ไม่ได้สื่อสาร vision ที่ชัดเจนและน่าสนใจเกี่ยวกับอะไรที่ KM ควรจะเป็น, อะไรคิดว่าจะประสบผลสำเร็จ หรือวิธีที่ความสำเร็จจะถูกระบุ ทีม KM ยังสามารถใช้ vision เพื่ออธิบายทั้งหมดของ KM เกี่ยวกับอะไรและทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น
Stan ยืนยันว่า vision ของ KM เป็นแรงจูงใจมากที่สุดเมื่อผูกติดกับตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของวิธีที่ KM สามารถทำให้การทำงานง่ายขึ้น, ประหยัดเวลาของคน หรือทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
2. ไม่สนใจ information architecture
3. สนับสนุนการค้นหาที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมากกว่าการรวบรวมที่ใช้เทคโนโลยีอย่างง่าย ๆ
อีกหนึ่งโอกาสที่พลาดไปซึ่ง Stan ได้พูดถึงเกี่ยวกับการรวบรวมเนื้อหา เมื่อคนบ่นว่าไม่สามารถค้นพบรายละเอียดที่ต้องการ ผู้จัดการความรู้อาจลงทุนใน search engines หรือ search tuning ใหม่ ทั้งสองมีคุณค่า แต่ยังมีการแก้ปัญหาที่ง่ายและไม่ใช้เทคโนโลยี
4. upgrading เสมอ ๆ
Stan กล่าวความพยายามมากเท่าไรที่องค์กรใช้เปลี่ยน apps และ platforms ทุกครั้งที่ version ใหม่ ถูกปล่อยออกมา บางครั้งผู้ขายต้องการการ update เหล่านี้ update เครื่องมือและโยกย้ายเนื้อหาต้องการแหล่งทรัพยากรจำนวนมาก และในบางกรณี version ใหม่ ไม่ให้คุณค่าที่มากกว่า version เก่า
5. ให้ความสนใจมากเกินไปสำหรับแนวโน้ม
ความผิดพลาดสุดท้ายซึ่ง Stan พูดถึงคือสิ่งกระตุ้นเพื่อติดตามทุกแฟชั่นที่เข้ามา โดยไม่คำนึงถึงเทคโนโลยีและเทคนิคใหม่ได้รับการทดสอบหรือตรงประเด็นกับกรณีธุรกิจ KM พฤติกรรมนี้เป็นเรื่องปกติมากในหลายองค์กรที่ขาด vision ที่น่าสนใจและกรณีใช้สำหรับ KM
ที่มา: Lauren Trees (April 15, 2019). The Biggest KM Mistakes Organizations Make—and How to Avoid Them. Retrieved August 22, 2021, from https://www.apqc.org/blog/biggest-km-mistakes-organizations-make-and-how-avoid-them
การจัดการความรู้ (KM)


